เรื่องเด่น พระพุทธเจ้าพูดถึงโลกอื่นๆหรือต่างดาว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย piyaa, 18 สิงหาคม 2012.

  1. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    [​IMG]


    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
    ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
    คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
    ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

    ขนาด ภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
    ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

    ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
    ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)
    ก็ ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป

    ก็ แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
    (ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
    ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้

    ขนาดภูเขาจักรวาล

    ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์
    สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

    ขนาดของภพและทวีป
    ใน โลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็ เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
    ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
    สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)


    ๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
    รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
    ๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
    ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
    จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น)
    มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
    โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

    ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย
    "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
    กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า
    เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน
    ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว
    นรกขุมต่างๆ เทวโลกและพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

    กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา
    เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"

    ๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
    -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
    -แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
    -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาด
    ต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
    -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"
    เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
    -ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น
    ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
    -มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
    -มนุษย์ ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
    -มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"
    ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
    -มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้า
    และมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์
    มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
    -มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"
    ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
    -มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้า
    และมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ
    ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"
    ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
    -ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"


    ขอขอบคุณพระไตรปิฏกฉบับประชาชน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2012
  2. piyaa

    piyaa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    1,730
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +16,072
    ชมพูทวีป ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ มีสัณฐานเป็นรูปไข่ดุจดังดุมเกวียน คนมีรูปหน้ากลมดุจดังดุมเกวียน อายุของคนในชมพูทวีปนั้น หากเป็นผู้ที่เป็นคนดีมีศีลธรรมอายุก็จะยืน หากมีลักษณะตรงกันข้ามก็จะอายุสั้น เป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า (ซึ่งก็คือโลกที่เราๆ ท่านๆ อาศัยอยู่)

    ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหม ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ดังมีหลักฐานในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ดังนี้


    ที่อยู่ของมนุษย์ หรือมนุสสภูมินั้น อยู่บนพื้นดิน(หรือเรียกว่า ดาวเคราะห์)ลอยอยู่กลางอากาศ ในระดับเดียวกับไหล่เขาพระสุเมรุ ตั้งอยู่ในทิศทั้ง 4 ของเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาล (หรือทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเรียก กาแล็กซี่)ผืนแผ่นดินใหญ่(ดาวเคราะห์)ทั้ง 4 ที่ลอยอยู่ในทิศทั้ง 4 เรียกว่า ทวีป มีชื่อและที่ตั้ง ดังนี้

    1.ปุพพวิเทหทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ

    2.อมรโคยานทวึป(อปรโคยานทวีป) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ

    3.ชมพูทวีป(โลกมนุษย์ที่เราอยู่) ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาพระสุเมรุ

    4.อุตตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ

    ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน) -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน -สมัยหนึ่งมนุษย์ในชมพูทวีปเคยมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาดต้องสอยมะเขือกิน -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป" เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"

    เรื่องของชมพูทวีป เหตุที่เรียกชื่อดังนี้ เพราะทวีปนี้มีไม้หว้าเป็นพญาไม้ประจำทวีป (ต้นชมพู่ แปลว่าต้นหว้า) ไม้หว้าต้นนี้อยู่ในป่าหิมพานต์ ลำต้นวัดโดยรอบ ๑๕ โยชน์ จากโคนถึงยอดสูงสุด ๑๐๐ โยชน์ จากโคนถึงค่าคบสูง ๕๐ โยชน์ ที่ค่าคบมีกิ่งทอดออกไปในทิศทั้ง ๔ แต่ละกิ่งยาว ๕๐ โยชน์ วัดจากโคนต้นไปทางทิศไหนก็จะสูงเท่ากับความยาวในแต่ละทิศ คือ ๑๐๐ โยชน์ ใต้กิ่งหว้า ทั้ง ๔ นั้น เป็นแม่น้ำใหญ่ไหลผ่านไปในทิศทั้งหลาย ผลหว้ามีกลิ่นหอม รสหวานปานน้ำผึ้ง หมู่นกทั้งหลายชวนกันมากินผลหว้าสุกนั้น บางทีผลสุกก็หล่นลงตามฝั่งแม่น้ำ แล้วงอกออก เป็นเนื้อทอง และถูกน้ำพัดออกไปจมลงในมหาสมุทร เรียกทองนั้นว่า ทองชมพูนุท เพราะอาศัยเกิดมาจาก ชมพู นที

    ความเป็นอยู่ของมนุษย์ในทวีปทั้ง 3 ยกเว้นชมพูทวีป มีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย มีสิ่งแวดล้อมที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีมลภาวะ ทำให้อาหารการกิน และน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียนเหมือน อย่างในชมพูทวีป ที่เป็นเช่นนี้เพราะมนุษย์ใน 3 ทวีป มีศีลธรรมที่เป็นปกติ สม่ำเสมอ ส่วน มนุษย์ในชมพู-ทวีป มีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันมาก บางคนสุขสบาย บางคนลำบาก บางคนปานกลาง ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละคน

    แต่ละยุคในชมพูทวีป อาจกล่าวได้ว่า มนุษย์ในชมพูทวีป มีความแตกต่างกันมากที่สุดก็ว่าได้

    1.อังคะ 2.มคธะ 3.กาสี 4.โกศล 5.วัชชี 6.มัลละ 7.เจตี 8.วังสะ 9.กุรุ 10.ปัญจาละ
    11.มัจฉะ 12.สุรเสนะ 13.อัสสกะ 14.อวันตี 15.คันธาระ 16.กัมโพชะ

    และมีแคว้นเล็กๆ อีก 5 แคว้น คือ สักกะ โกลิยะ ภัคคะ วิเทหะ และอังคุตตราปะ

    แคว้นพระบิดาของพระพุทธองค์ก็อยู่ในแคว้นเล็ก ๆ นี่อาณาจักรเหล่านี้ปกครองในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือพระราชามีอำนาจเด็ด ขาดบ้าง ระบบสามัคคีธรรม คือมีสภาเป็นที่ปรึกษาบ้าง ระบบประชาธิปไตยบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ด้วยเหตุที่พุทธศาสนาถือกำเนิดในแผ่นดินอินเดีย จึงควรจะได้ศึกษาภูมิหลังของอินเดียในยุคก่อนการกำเนิดของพุทธศาสนาพอสังเขป ดังนี้

    ชนชาติที่เชื่อกันว่า เป็นชนชาติดั่งเดิมของอินเดียคือ เผ่าซานโตล (Santole) มุนดา (Mundas) โกลาเรีย (Kolaria) ตูเรเนียน (Turanians) ดราวิเดียน (Dravidians) คนพวกนี้เป็นพวกผิวดำจำพวกหนึ่ง ปัจจุบันยังพอมีหลงเหลืออยู่ที่รัฐพิหาร และเบงกอล ของอินเดีย

    บุรพวิเทหทวีป ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันออกของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้ 7,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปแว่นที่กลม มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 400 เกาะ มีแม่น้ำเล็กใหญ่ มีเมืองใหญ่เมืองน้อย คนในทวีปนี้หน้ากลมดังเดือนเพ็ญ มีรูปกะโหลกสั้น ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทำให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 100 ปีเท่ากันทุกคน

    อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศตะวันตกของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้ 9,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งดวง มีเกาะเล็กเกาะน้อยเป็นบริวารอยู่โดยรอบ คนในทวีปนี้มีรูปหน้าดังพระจันทร์ครึ่งดวง ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทำให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 400 ปีเท่ากันทุกคน

    อุตตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ในมหาสมุทรทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เป็นแผ่นดินกว้างได้ 8,000 โยชน์ มีสัณฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีภูเขาทองล้อมรอบ มีเกาะล้อมรอบเป็นบริวาร 500 เกาะ คนในทวีปนี้หน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมมีรูปร่างสมประกอบไม่สูงไม่ต่ำดูงดงาม กล่าวกันว่าคนที่อยู่ทวีปนี้เป็นคนรักษาศีล

    จึงทำให้แผ่นดินราบเรียบ ต้นไม้ต่างก็ออกดอดงดงามส่งกลิ่นหอมขจรขจายไปทั่ว และเป็นแผ่นดินที่ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน ในแผ่นดินอุตตรกุรุทวีปนี้มีต้นกัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง สูง 100 โยชน์ กว้าง 100 โยชน์ ผู้ใดปรารถนาจะได้แก้วแหวนเงินทองหรือสิ่งใดๆ ก็ให้ไปยืนนึกอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์นี้

    ผู้หญิงชาวอุตตรกุรุทวีปนั้นมีความงดงามมาก ส่วนผู้ชายก็เช่นกันมีความงามดังเช่นหนุ่มอายุ 20 ปีกันทุกคน ทุกคนไม่เบียดเบียนกัน ไม่ทำชั่ว เมื่อตายแล้วจึงขึ้นสวรรค์แน่นอน ทำให้คนในทวีปนี้ไม่กลัวตาย และผู้ที่อาศัยในทวีปนี้ มีอายุ 1,000 ปีเท่ากันทุกคน

    เมื่อพวกเขาตายจากกันไปก็จะไม่มีทุกข์โศกร้องไห้เสียใจ พากันแต่งคนตายนั้นแล้วนำไปวางไว้ในที่แจ้ง แล้วก็จะมีนกหัสดีลิงค์บินมานำเอาศพนั้นไป คนอุตรกุรุทวีปจะไม่ไปเกิดในจตุรบาย คือ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน แต่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้า


    ในแผ่นดินทั้ง 4 ทวีป มีพระมหาจักรพรรดิราชผู้ประพฤติทศพิธราชธรรม 10 ประการ ทรงมีแก้ว 7 ประการ ซึ่งเกิดด้วยบุญของพระองค์ ได้แก่ จักรแก้ว ม้าแก้ว ช้างแก้ว จักรรัตนะ นางแก้ว ขุนคลังแก้ว และลูกแก้ว ทั้ง 7 ประการ มีศักดานุภาพมาก พระองค์ทรงเป็นประมุขของคนทั้งหลาย


    มนุษย์ทั้งหลายที่ยังไม่พ้นจากกิเลสและกองทุกข์ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยูในวัฏสงสารนี้ เหตุแห่งมรณะ 4 ประการ คือ

    1. อายุกขยมรณะ ตายเพราะหมดอายุ

    2. กัมมักขยมรณะ ตายเพราะสิ้นกรรม

    3. อุภยักขยมรณะ ตายเพราะชรา

    4. อุปัจเฉกทมรณะ ตายเพราะกรรมเข้ามาตัดรอน เช่นมีผู้ตี ฆ่า แทง ตกน้ำ ตกต้นไม้ตาย ถูกรถชนตายอย่างปัจจุบันทันด่วน แม้มีการเยียวยาแต่ก็ไม่สามารถรอดได้ เพราะเป็นกรรมเหนือกรรม
    จากไตรภูมิพระร่วง
     
  3. chandayot

    chandayot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,458
    ค่าพลัง:
    +2,234
    หลวงปู่บุญเหลือที่หนองคาย ได้พบทุกทวีปที่ว่ามา ใต้ดินประเทศลาว และเวียดนาม
    ท่านบวชผ้าขาว ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเจ้าของศาลาแก้วกู่ครับ ผมเคยพบท่านด้วยครับ
     
  4. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    อนุโมทนาครับ

    ที่มีรูปวาดคงจะดีนะครับ

    จะได้เห็นภาพชัดเจน

    อ่านแล้วนึกไม่ภาพไม่ออกว่าจะใหญ๋โตขนาดไหน
     
  5. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ก็น่าใจหายอยู่ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสถึง ในโลกต่างๆนี้ มีมากมายนัก ที่พระพุทธองค์ ทรงตรัส ว่า แสนโกฏิจักวาล หมื่นโลกธาตุ ดวงดาวต่างๆที่เราท่านทั้งหลายมองด้วยตาเนื้อ และที่มองไม่เห็น แสงระยิบระยับ ไปทั่วท้องฟ้าส่วนใหญ่ จักวาลต่างๆที่เห็น ก็จะเป็นก้อนกลมๆ ดินหิน แร่ธาตุต่างๆมากมาย ไม่มีสัตว์ต้นไม้ มนุษย์อยู่ ลอยอยู่กลางอากาศ คำว่าหมื่นโลกธาตุ มันต้องมีสัตว์ อยู่ มากบ้างน้อยบ้าง บางโลก มีคนอยู่ อายุหลายหมื่นปี บางโลกไม่มีคนอยู่เลย มีแต่สัตว์อยู่ไม่มีคนอยู่ แต่ในสมัยครั้งพุทธกาล มีพระองค์หนึ่ง ก่อนมี่จะบวชพระ ท่านมีเมีย ไม่ใช่คนในโลกมนุษย์เรา แต่เป็นชาว มนุษย์โลกอื่น อุตรธวีปถ้าจำผิดขออภัย ท่านสวยกว่าคนในโลกของเรามาก มีคนรับใช้มาพล้อม เกิดมาด้วยอำนาจบุญ ท่านชื่อว่า พระโชติกะเถระ ข้าวหุงด้วยมณี ข้าวสุกตลอด ร้อนอุ่นๆ อยู่อย่างนั้น ตักไม่แหว่ง เมื่อท่านออกบวช สิ่งของ เมียของท่าน คนรับใช้ ได้ไปอยู่ยังโลก อุตระธวีป ดังเดิม แม้แต่พื้นบ้านของท่านก็ ดารดาษไปด้วยมณี แก้ว ๗ ประการ แม้แต่ พระเจ้าอชาติศรัตรู มาเห็นเข้า คิดอยากจะปล้นเอาเลย แต่ไม่ได้มาทำนะ

    โลกอื่นที่ยังมองเห็นด้วยตาเนื้อ แต่โลกอีกมิติหนึ่ง ที่มี อยู่ในโลก มนุษย์ ของเราที่มองไม่เห็น ด้วยตาเนื้อ อีกมากมาย ที่พวกเรายังไม่รู้ ไม่เห็น สุดที่จะพรรณาได้ นอกจากคนที่ปฏิบัติ ธรรม พอรู้ได้บางจำพวก ที่ทำจิต เข้าถึง ความเป็นทิพย์ จึงจะสัมผัส ได้ พระพุทธเจ้าได้ถามหมอ ชีวกโกมารภัช ว่าชีวก เธอไปเมือง ทวารวดี มาหรือ หมอชีวก ตอบว่า ข้าพระองค์ไปมาพระเจ้ข้า แล้ว ชาวเมือง ทวารวดี เขาพูดกันอย่างไร หมอชีวก บอกว่ากินก็กิน นอนก็นอน พูดไปตอบกันไป ด้วยความสนุกสนาน หมอชีวกสงสัย เลยถามพระพุทธเจ้าว่า พระองค์พูดภาษา เมืองทวารวดี เป็นเพราะอาศัย ที่เป็นพระพุทธเจ้า หรือ พระองค์ ไปเรียนมา พระพุทธองค์ ตอบว่า ชีวก ภาษาของ ชาวเมืองทวาราวดี ตถาคตพูดเป็น เพราะ เป็นโคตรเง่าของพระองค์เอง ภาษาดั้งเดิม

    ภาษานี้เป็นภาษาที่ไพเราะที่สุด เป็นภาษาโดดๆ พูดง่ายจะกินก็กิน จะนอนก็นอน จะไปก็ไป และมีดาว อีกดวงหนึ่งที่ใหญ่มาก ใหญ่กว่าโลกของเรา เป็นพันๆเท่า เรียกว่า ดาวหลุมดำ ที่นักวิทยาศาตย์ บอกว่าดาวดวงนี้ กินดาวดวงอื่น แท้ที่จริง ดาวดวงนี้ เหมือนกระพร้อม ดาวดวงอื่น ไหลพัดเข้าไป ลอยอยู่ในนั้น เกือบร้อยปี หรือมากกว่านั้น ดาวต่งๆ ถึงจะหมุนออกมาได้ครั้ง หนึ่ง ครูบาอาจารย์ ท่านบอกว่า ดาวดวงนี้ อายุคน ๒-๓ หมื่นปี แม้ปัจจับัน พระโมคคัลนะยังไปเทศอยู่เลย

    เดือนละครั้ง หรือสองครั้งนี่แหละ ดาวที่หมุนเข้าไปในนั้น นับเป็นร้อยๆดวง จริงๆนักวิจัยเขาไม่ได้เฝ้าตลอดเลยทึกทัดเอา ว่า ดาวหลุมดำกินดาวดวงอื่น มันใช้เวลานาน เป็นร้อยๆปี ถึงจะออกมา แต่เมื่อปีที่แล้ว ข่าวออก ว่า นักวิทยาศาตรย์ เกาหลี จะตอบได้ถูกกว่าเพื่อน ว่าดาวหลุมดำไม่ได้กินดาวดวง อื่นเพียงแต่ไหลเข้าไป แต่คงจะมองไม่เห็น เพราะมันไกลจากโลกเรามาก มายนัก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2012
  6. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    หาก ๑ โยชน์=๑๖ กม.ข้อมูลที่อ้างมาจากพระไตรปิฏกฉบับประชาชน คงเชื่อถือไม่ได้ ยิ่งหลวงปู่บุญเหลือพบที่ใต้แผ่นดินลาวแล้ว ยิ่งค้านกันเลย ขอยึดหลักกาลามาสูตร อ่านแล้วพิจารณาหลายๆรอบๆละนานๆด้วย แต่ยากที่จะเชื่อครับ
     
  7. a5g1aeka

    a5g1aeka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    728
    ค่าพลัง:
    +1,578
    เคยสนทนากับหลวงพี่รูปหนึ่งที่เกาะสมุย บอกมาว่า พระไตรปิฏก ฉบับปัจจุบันเชื่อได้ไม่เกินครึ่ง ต่อเติมตัดแต่งมากมาย สมาชิกและชาวพุทธโปรดพิจารณาใคร่ครวญด้วย ขอยึดหลักกาลามาสูตรนำด้วยธรรมนำหน้าครับๆๆ
     
  8. DR-NOTH

    DR-NOTH เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    581
    ค่าพลัง:
    +1,276
    แม้โลกอื่นหรือต่างดาวจะเป็นอย่างไรก็ตาม
    หากเราสร้างเนื้อนาบุญไว้ในโลกนี้โดยดีแล้ว
    ความสมบูณพูนสูขจะติดตามเราไปตลอดทุกโลกแล.....
     
  9. goodarz

    goodarz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +577

    ขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้นะค่ะ ได้ความรู้ความเข้าใจมากขึ้นมาอีก เพราะเข้าใจว่าการตายของมนุษย์มีเพียง 2 ปัจจัย คือ ตายเพราะหมดอายุขัย กับ ตายเพราะมีกรรมมาตัดรอน ตอนนี้ ต้องเปลี่ยนมาเข้าใจใหม่ว่ามี 4 ปัจจัย
     
  10. Moderator6

    Moderator6 ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,354
    ค่าพลัง:
    +3,721
    พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญู ผู้สอนแม้แต่พรหม เทวดา
     
  11. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    พระพุทธเจ้าพูดถึงโลกอื่นๆหรือต่างดาว<!-- google_ad_section_end -->
    :cool:ขออภัยขอเสริมครับ :cool:

    ผมว่าสงสัยผู้ที่กล่าว ในสิ่งต่างๆ ในเมื่อบางคนไม่เข้าใจ แม้แต่ในกายของตน ศิลน่ะ รักษามั่นคงแล้วยัง หรือไม่เคยรักษา ขนาดดวงดาวต่างๆที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อยังไม่รู้ บ้างเลย จะไปรู้เรื่องอะไร เลยกับไอ้ผี คนที่ตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นอะไร เพราะมันละเอียดกว่า ที่เรามองเห็น ได้ด้วยตาเนื้อ นอกจากคุณบางคน ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึง ทิพย์จักษุญาณบางส่วน เล็กๆน้อยๆก็ยังดี จึงจะพอรู้ได้บ้าง ให้หายการสงสัย ภพชาติ บาปกรรม ชั่วดี ตาบใดถ้าคุณไม่รักษาศิลจริงจัง บ้างบางครัง คุณก็จะหมดสิทธิ์ รู้เรื่องบางอย่าง

    สิ่งที่คุณรู้แต่ผมไม่รู้ แต่สิ่งที่ผมรู้คุณไม่รู้จริงไหม ไม่มีใครรู้ไปเสียทุกเรื่องหรอกครับ จบป. ๔ เหมือนกัน ความสามรถยังไม่เท่ากันเลย คนจบป. ๔ มันจะรู้คนที่จบ ม.๓ ม.๖ หรือมหาลัยไหม ผมอยากทราบ แต่คนที่เขาเรียนมาหรือจบสูงกว่าสามารถรู้ ที่ต่ำกว่าครับ ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้ คุณจะร้องอ๋อ ถ้าคนเห็นผี อีกคนไม่เห็น จะตอบว่าอย่างไร มันก็ถูกด้วยก้นทั้งคู่ แต่ใครรู้มากกว่ามันได้เปรียบ ไอ้คนไม่เห็นผี มันเสียเปรียบที่ไม่เห็นไง ครับ ปู่บุญเหลือท่านเป็นพระโพธิสัตว์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้ เพราะว่ากัปนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ถึง ๑๐ พระองค์

    ผมเคยไปกราบท่านแล้ว และเห็นจริยาวัตรท่าน แล้ว ตอนหลังเอาประวัติท่านมาอ่าน ยิ่งเข้าใจมากกว่าเดิม ที่รู้มา คนที่ปราถนาแค่ สาวก จะรู้มากกว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ คนที่เป็นพระโพธิสัตว์ ต้องเรียนอะไรต้องละเอียดหมด กรรมฐาน ๔๐ มหาสติปัฏฐาน ๔ ต้องได้หมด อารมย์พระโสดา สกิทาคา พระอนาคามี อารมย์พระอรหันต์ ต้องรู้หมด แต่ไม่ได้ตรัสรู้ ต้องรอคิว มาตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าคุยกันเรื่องนี้ ๓ วัน ๓ คืนยังคุยกันไม่จบเลยครับ และกฏตายตัว คือชาติสุดท้ายต้องบริจาคลูกเมียให้เป็นทาน เหมือนพระเวสสันดร ในชาดก

    จริงๆพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึงโลกต่างๆไว้มากมาย ที่พระอริยสงฆ์ นำมาสั่งสอน ท่านได้คัดกรอง ส่วนใดส่วนหนึ่ง มาสั่งสอนพวกเรา ไม่สามารถนำมาสอนได้หมด เพราะท่านไม่ใช่วิสัยของพระพุทธองค์ พระบางองค์ ไม่มีหน้าที่ จะสอนผู้อื่น ท่านก็ไม่ทำ ท่านจะดับขันเข้านิพานเร็ว สัตว์ที่ต่างๆหรือภูมิภพต่างๆที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หรือที่พระสงฆ์ บางองค์ ท่านได้กล่าวถึง มันมีครบ ไม่ว่าจะพยาครุฑ พยานาค คนธรรย์ เพชรพยาธร กินนรกินรี หรือพวกบังบด ซึ่งเป็นอีกมิติหนึ่ง ที่มิติซ้อนกันอยู่ อยู่บนโลกมนุษย์ แม้แต่ต้นไม้ ก็มี เทพพยาดา นางไม้ ประเภท พระภูมิเจ้าที่ สถิตธิ์ วิมานอยู่ ถ้าตราบใดคนไม่เคยเห็นผี อย่าไปคุยโลกทิพย์น่ะ คุยไปมันก็ทะเราะกันเปล่าๆ ไม่มีประโยชน์ ถ้าคุยด้วยเหตุด้วยผล ถามที่มาที่ไป ถ้ารู้ตอบ ถ้าไม่รู้ก็ไม่ต้องตอบน่าจะดีกว่าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 สิงหาคม 2012
  12. สมพิศเปรม

    สมพิศเปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +361
    เห็นด้วยกับคุณบุญทรงพระเครื่อง อะไรที่เราไม่รู้ เราไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี เพราะฉะนั้นอย่าไป ขัดแย้งกับคนที่เขาปฏิบัติจนรู้ และจนเห็น ถ้าอยากรู้ว่าที่คนอื่นเขารู้ เขาเห็น จริงหรือไม่ ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง เพราะไม่มีใครห้ามไม่ให้พิสูจน์ จริงไหมคะ
     
  13. ปรม

    ปรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2010
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +325
    เห็นด้วยครับ

    ถ้าใครเคยเจอแล้วถึงจะเชื่อไอ้เรื่องมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นเนี่ย(จริงๆตอนเห็นก็ตาเปล่าน่ะ)

    แต่ถ้าใครเจอแล้ว ยิ่งเจอหลายๆครั้งเนี่ย มันจึงน่าเชื่อครับ(คนอื่นไม่ต้องสนใจ ก็เขาไม่เห็นนี่ พูดให้ฟังจนคอแตกเขาก็ไม่เชื่อหรอก)
    ครั้นจะบอกว่าอยากให้เชื่อก็พาไปดูหน่อย

    เราบอกว่าได้ครับ เอาขั้นตอนแรกน่ะอยากเห็นต้องถือศีล 5 ให้ได้สัก 7 วัน-10 วันน่ะ

    ดันบอกทำไม่ได้

    อยากเห็นแต่ไม่ยอมตามเงื่อนไขเรา คือจะเอาเงื่อนไขมัน มันทำไม่ได้ ถุยย

    คนแบบนี้ผมอยากจะเรียกมัน(ในใจน่ะ) ว่า ไอ้กระจอกว่ะ
     
  14. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    พระพุทธเจ้าพูดถึง อวกาศ อนุภาค อะตอมๆลๆ

    พวกฝรั่งยังคิดว่าโลกแบนอยู่เลย นึกแล้วขำ
     
  15. ดาวศุกร์

    ดาวศุกร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +554
    บนฟ้าไม่มีสวรรค์ ใต้ดินไม่มีนรก พระท่านว่ามันเป็นแค่มิติที่ทับซ้อนกัน
    ส่วนจักรวาลอื่นๆไม่ต้องไปสนใจไปค้นหา เพราะไม่ใช่จักรวาลที่เป็นมงคล จักรวาลที่เป็นมงคลจะมีพระพุทธเจ้าลงมาประสูติ ณ จักรวาลนั้น
     
  16. Loogkaew

    Loogkaew สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +21
    อีก 3 จักรวาล นั้นน่าจะมีมงคลมากกว่าของเรานะจ๊ะเพราะ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ว่า มีแต่จักรวาลของเราที่ มีความเป็นอยู่ที่ขึ้นๆลงๆ รักษาศีลและคุณธรรมได้ไม่มั่นคง ต่างจากอีก 3 จักรวาลนั้นซึ่งทำได้ตลอดมาและต่อเนื่อง แต่ถ้าให้ออกความเห็นคิดว่า ที่ท่านพระพุทธเจ้า ท่านลงมาตรัสรู้ชอบ ณ ชมพูทวีปนั้นเป็นเพราะการที่จะละซึ่งทุกสิ่งได้ ก็คือต้องเผชิญกับสิ่งที่ ทำให้หลงที่สุด ทำให้กลัวที่สุด ทำให้โลภที่สุด พบเจอกับทุกสิ่งที่ยั่วยวนเพื่อเป็นการพิสูจน์และพบเห็นทุกสิ่งเป็นอนิจจังเพื่อให้เห็นถึงการดับทุกข์ที่แท้จริงนั้นต้องดับที่ตรงไหนมากกว่าจ๊ะ ขอบพระคุณพี่เจ้าของกระทู้ที่นำความรู้ล้ำค่ามาให้พี่ๆน้องๆได้อ่านกันขอบคุณมากจ๊ะ
     
  17. ดาวศุกร์

    ดาวศุกร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +554
    ที่ผมกล่าวเช่นนั้นเพราะจักรวาฬนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เนื่องจากในจักรวาลนี้มีโลกที่ประกอบไปด้วย"สภาวะธรรม" คือ มีความทุกข์และความสุขของสัตว์โลกที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เมื่อเป็นเช่นนั้นพระองค์ก็สามารถสั่งสอนให้สัตว์โลกให้เข้าถึงธรรมได้ง่าย ส่วนจักรวาฬอื่นส่วนใหญ่มีความสบาย เมื่อสอนเรื่องทุกข์ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ สอนเรื่องไม่เที่ยงก็ยากจะเข้าใจเพราะมีอายุขัยยาวเกินไป ลองคิดเล่นๆดูว่าทำไมเทวดาถึงบรรลุถึงขั้นอรหันต์ได้ ซึ่งก็เป็นเหตุผลเดียวกัน

    ลองอ่านที่มาใน จูฬนีสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ ข้างล่างดูนะครับ

    แม้ว่าทุกจักรวาลจะประกอบด้วยภพภูมิต่างๆ ดังกล่าวแล้วเหมือนๆ กัน แต่ก็ใช่ว่าทุกจักรวาลจะมีคุณสมบัติเหมือนกันทุกประการ เนื่องจากมีจักรวาลหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษแตกต่างจากจักรวาลอื่นๆ ดังนั้นจึงสามารถแบ่งจักรวาลออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
    1) อนันตจักรวาล
    จักรวาลทั่วๆ ไป ซึ่งมีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน เรียกว่า อนันตจักรวาล ในทุกอนันตจักรวาลจะไม่มี วิวัฏฏบุคคล คือ บุคคลผู้เจริญ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระนิยตโพธิสัตว์ หรือพระเจ้าบรมจักรพรรดิ ไปบังเกิดเลย จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อมงคลจักรวาล
    2) สมมันตจักรวาล
    ในแสนโกฏิอนันตจักรวาลนั้น มีอยู่จักรวาลหนึ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ เป็นจักรวาลที่มีบุคคลผู้เจริญ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระนิยตโพธิสัตว์ และพระเจ้าบรมจักรพรรดิ ไปบังเกิด จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า มงคลจักรวาล

    ที่มา : จูฬนีสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓
     
  18. Loogkaew

    Loogkaew สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอบคุณมากจ้าพี่ สำหรับความรู้มากมาย แต่สงสัยอย่างนึงว่า พอโลกเกิดแล้ว ภพภูมิต่างๆ ก็เกิดตามในทันทีนี้เกิดแบบไม่มีสาเหตุที่มาที่ไปเลยเหรอจ๊ะ แล้วที่มีการเกิดเป็นสัตว์เป็นมนุษย์บนโลก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป็นในว่า เพราะมีความอยากได้อยากมี จึงเกิดยังงี้สิ่งที่เกิดขึ้นมาก็เป็นเพราะความอยากได้อยากมีของสิ่งที่อยู่ในภพภูมิที่ว่าหรือเปล่าจึงเริ่มเกิดบ่วงเวรกรรมมาจนถึงทุกวันนี้
     
  19. ดาวศุกร์

    ดาวศุกร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    171
    ค่าพลัง:
    +554
    ผมขออนุญาตตอบคุณ Loogkaew อีกครั้งละกันนะครับ

    เรื่องที่กำลังสงสัยอยู่นั้น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าเป็น"อจินไตย" เป็นเรื่องที่คนเราไม่ควรคิด เพราะไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อการหลุดพ้น ปกติพระพุทธเจ้าจะไม่ตรัสสั่งสอนในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เหล่านั้น แต่พระอานนท์(ซึ่งตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์) ทูลถามเรื่องเหล่านี้ด้วยความสงสัย (ดูในจูฬนีสูตร) โดยถาม 2 ครั้ง พระองค์ทรงไม่ตอบ เมื่อพระอานนท์ทูลถามครั้งที่ 3 จึงทรงอธิบายให้ฟัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้คนธรรมดาไม่อาจเข้าใจ แม้แต่เป็นพระอริยบุคคลแล้วก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ได้หมดเท่าพุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าที่ไม่มีประมาณ

    จากพระสูตร อจินติตสูตร

    [๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อจินไตย ๔ ประการนี้ อันบุคคลไม่ควรคิด
    เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการ
    เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย พุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ๑ ฌานวิสัย
    ของผู้ได้ฌาน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เมื่อบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความ
    เป็นบ้า เดือดร้อน ฯ
     
  20. Loogkaew

    Loogkaew สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +21
    ขอบคุณพี่ดาวศุกร์ มากๆเลยจ้า เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วจ๊ะ ^ ^
     

แชร์หน้านี้

Loading...