จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. จารุณี22

    จารุณี22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +1,403
    [​IMG]


    อริยสัจ ๔ โดย พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)


    ถาม : ขณะที่เราพิจารณาอยู่นี้ เป็นแต่เพียงภาคปฏิบัติเท่านั้น
    ขอทราบเทียบเคียงถึงการที่จิตได้ทราบอริยสัจ ๔ โดยสังเขป

    หลวงพ่อ : การสังเกตจิตที่ได้ทราบอริยสัจ ๔ อันนี้
    จะขอเปรียบเทียบประสบการณ์ที่ผ่านมาในบางครั้ง
    ทุกข์ในอริยสัจเป็นทุกข์ของสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ เพราะไปบ่งชัดอยู่ที่ว่า
    โสกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัส ถ้าสิ่งที่ไม่มีจิต ไม่มีใจ สิ่งนั้นก็ไม่มีทุกข์ ไม่มีโทมนัส
    ไม่มีความคับแค้นใจ ไม่มีความทุกข์ใจ

    ทีนี้การรู้แจ้งเห็นจริง ในอริยสัจ ๔ นั้น
    เราจะพึงสังเกตได้ในขณะที่จิตของเราได้ผ่านการพิจารณาลงไปแล้ว
    เมื่อจิตไปสงบนิ่งในลักษณะที่ประชุมพร้อมของ อริยมรรคคือ ศีล สมาธิ ปัญญา
    ประชุมพร้อมกันเป็นหนึ่งที่ดวงจิต แล้วมีประสิทธิภาพทำให้จิตของเรานิ่งเด่น
    สว่างไสวอยู่ ในขณะนั้น จิตจะมีสิ่งรู้ปรากฏผ่านขึ้นมาเรื่อย ๆ

    ในเมื่อจิตมีสิ่งที่ผ่านเข้ามา ถ้าจิตอยู่ในอริยมรรคประชุมพร้อม
    และอริยมรรคมีกำลัง ในขณะนั้น จิตจะไม่รู้สึกยึดถือในสิ่งที่ผ่านเข้ามา และจะไม่มีความหวั่นไหว
    อะไรผ่านเข้ามาแล้วก็จะผ่านไป ๆ เพียงแต่สัมผัส อาการที่จิตซึมซาบในอารมณ์นั้นไม่มี


    ทีนี้ในขณะนั้น เราจะพึงสังเกตได้ว่า
    ถ้าสิ่งใดผ่านเข้ามา เอาจิตไปยึดมันก็เกิดความยินดี ความยินดีนั้นเป็นกามตัณหา
    ถ้าจิตไปยึดก็เป็น ภวตัณหา ถ้าหากจิตไม่พอใจในสิ่งนั้น คือ เบื่อ ไม่ยินดี เป็นการยินร้าย ก็เป็น วิภวตัณหา

    ในเมื่อจิตมีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ความทุกข์มันก็เกิดขึ้น
    เพราะตัณหาเป็นมูลเหตุให้เกิดทุกข์ อันนี้พึงสังเกตอย่างนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2012
  2. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    กล้าทำ ต้องกล้ารับ สิ่งที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ล้วนเป็นผลงานของตนเองทั้งสิ้น อุจจาระทิ้งไว้ก็ต้องกลับมาเช็ดเอง
    อย่าหวังให้ใครไปตามล้างตามเช็ดให้ จะอยู่กับสิ่งหอมสะอาด ก็ต้อง คิด พูด ทำในสิ่งสะอาดนะที่รัก ขอโทษค่ะ วันนี้ทำกระทู้มีกลิ่น..rabbit_sleepy
     
  3. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ปลงสังขาร ก่อนแม่จากลา คุณแม่สอนว่า มนุษย์เราเอ๋ย เกิดมาทำไม นิพานมีสุข อยู่ใยมิไป ตันหาหน่วงหนัก หน่วงชักหน่วงไว้ ฉันไปมิได้ ตันหาผูกพัน ห่วงพันผูก ห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงทรัพย์ห่วงสิน ห่วงบ้านห่วงช่อง สละเสียเถิด จะได้ไปนิพาน ยามหนุ่มสาวน้อยหน้าตาแช่มช้อย งามทุกประการ แก่เฒ้าหนังยาน ล้วนแต่เครื่องเหม็นเหน่า เอ็นใหญ่เก้าร้อย เอ็นน้อยเก้าพัน ทำให้เข็ญใจ ให้ร้อนให้เย็น เมื่อยขบทั้งตัว ขนคิ้วก็ขาว นัยตาก็มัว เส้นผมบนหัวดำแล้วก็หงอก หน้าตาเว้าวอก ดูน่าบัดสี จะลุกก็โอย จะนั่งก็โอยเหมือนดอกไม้โรย ไม่มีเกสร จะเข้าที่นอน พึงสอนภาวะนา พระอะนิจจัง พระอทุกย์ขัง เราท่านเกิดมา รั้งแต่รอตาย ผู้ดีเข็ญใจต้องตายเหมื่อนกัน เงินทองทั้งนั้นมิได้ติดตัว ตายไปเป็นผี ลูกผัวเมียรัก เขาชักหน้าหนี เหม็นซากเปลื่อยเหน่า หมู่ญาติพี่น้อง เขาหามเอาไป เขาวางลงไว้ เขานั่งร้องให้ แล้วก็จากลา อยู่แต่ผู้เดียว ป่าไม้ชายเขียวเหลี่ยวไม่เห็นใคร เห็นแต่ฝูงแร้งเห็นแต่ฝูงกา มาแย่งกันกิน ดูหน้าสมเพช กระดูกเราเอ๋ย แร้งกาแย่งกินเราเป็นอาหาร เที่ยงคืนสงัดตื่นขึ้นมินาน ไม่มีลูกหลาน พี่น้องเผ่าพันธ์ เห็นแต่นกเค้า จับเจ่าเรียงกัน เห็นแต่นกแสก ร้องแรกแหกขวัญ เห็นแต่ฝูงผี ร้องให้หากัน มนุษย์เราเอ๋ย อย่าหลงนักเลย ไม่มีแก่นสาร อุตส่าห์ทำบุญ ค้ำจุนเอาไว้ จะไปสวรรค์ ให้ได้ดังการ ได้ถึงนิพาน ติดตามพระเจ้า อะหังวันทามิ สัพโส อะหังวันทามิ นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ ขอความสุขความเจริญจงมีกับท่านผู้อ่านทุกท่านเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2012
  4. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    เพ็ญ2ขออนุโมทนา กับครูพี่ภู ที่ได้ชี้แจงรายละเอียด เกี่ยวกับการดูจิตของนักปฏิบัติในข้อความข้างบนนี้ช่างเป็นธรรมทานอันสูงส่งอย่างมาก เพราะการปฏิบัตินั้นต้องเห็นจิตเราเองก่อนและถึงจะเข้าใจในสภาวะธรรมของเราก่อนนิสัยแท้ของจิตมี เกิด ดับ อยู่ตลอดเวลาเราไม่สามารถจะไปบังคับจิตได้ แต่เราผู้ปฏิบัติแค่รับรู้ และตามดูว่าคิดดี หรือไม่ดี คือคิดเป็นฝ่ายบุญหรือบาปแต่ก็จะต้องลงมือปฏิบัติ คือการปฏิบัติบูชาที่พระพุทธเจ้าได้สรรเสริญ ยิ่งกว่าอามิสบูชา เพราะการภาวนา คือ การเข้าไปดูความเกิดดับของจิตและจะทําให้เกิดปัญญา คือ ตัวผู้รู้ รู้ว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดไม่ควร (ควรในที่นี้คือควรพูดดีหรือไม่ควรพูดดี) เป็นผลจากการปฏิบัติ คืออยู่ในสามอย่างที่จะขาดเสียไม่ได้ คือ การลงมือปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธ คือผลแห่งการได้เข้าถึงก็จะมีสติติดแนบไปด้วยและจะทําให้ผู้ปฏิบัติมีความเมตตาต่อผู้เราได้พบเห็นแม้แต่สัตว์ เราก็จะเมตตาเขาเพราะเราได้เห็นค่าของการได้เกิดมาเป็นคนช่างเป็นบุญของพวกเราเหลือเกิน คําว่าจะไปเกียจคนนั้นแล้วชังคนนี้จะไม่มีในจิตผู้ปฏิบัติเพราะความมีเมตตาต่อกันและอยากให้ทุกคนหลุดพ้นจากความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่รอคอยพวกเราอยู่อย่างไม่มีวันที่จะหนี้พ้น เพ็ญ2 ขอเป็นกําลังใจให้ทุกๆท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งครูพี่ภู และครูเพ็ญ และครูผู้เกี่ยวข้องในการสอนทุกๆท่านด้วยเทอญ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2012
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    หลวงปู๋คำพอง ติสุโส แห่งวัดถ้ำกกดู่ จังหวัดอุดรธานี ท่านละสังขาร เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2544 ท่านได้ให้ธรรมมะไว้เตือนใจว่า หากไม่มีวันวานก็คงไม่มีวันนี้ และวันนี้ก็ต้องกลายเป็นวันวานสำหรับวันพรุ่งนี้ ไม่ว่า วันวาน หรือ วันพรุ่งนี้ ก็คือ วันนี้ นั่นเอง ฉะนั้น อย่าปล่อยให้วันคืนผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด เพราะว่าวันพรุ่งนี้ไม่ห่วนกลับมาค่ะ หวังว่าธรรมมะนี้ คงทำให้ทุกท่านเห็นความสำคัญของวันนี้ มาลินี u.k ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่จะทำวันนี้ให้ดีที่สุดนะคะ
     
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    นิยามของคำว่า "คนดี"

    ถามว่า ใครดี ใครชั่ว หรือ อะไรดี อะไรชั่ว?
    ตอบว่า ภายในของคนๆนั้น ซึ่งก็หมายถึง จิต
    แต่ถ้าภายในมันดี(จิต) ภายนอกก็ย่อมจะออกมาดีด้วย เช่น คำพูดและการกระทำ
    แต่คงไม่มีผู้ใดจะบริสุทธิ์ไปเสียทุกอย่าง เห็นมีแต่ชั่วน้อยหรือดีน้อย
    บุพกรรม คือกรรมที่ทำไว้ในกาลก่อน

    ถามว่า จิตมันนิ่ง หรือ จิตไม่นิ่ง จิตอย่างไหนมันดีกว่ากัน?
    ตอบว่า จิตนิ่ง
    เพราะจิตที่นิ่ง มีโอกาสเป็นสัมมาทิฎฐิสูง แต่จิตไม่นิ่ง จึงมีโอกาสเป็นมิจฉาทิฎฐิสูง

    แต่ถ้า คำว่า "เราดี" นั้น เราไม่มีสิทธิ์พูดเอง
    ผู้ที่มีสิทธิ์พูดได้ ก็คือ ผู้อื่นๆ หรือใครก็ได้ ที่มิใช่ตัวเรา

    แม้นกระทั่ง คำว่า "ผู้อื่นเลว" เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปพูดอีก
    เพราะตราบใด เรา(จิต)ยังเป็นมิจฉาทิฎฐิ(ความเห็นผิด)
    เพราะที่เราเที่ยวไปตำหนิ ไปเพ่งโทษ หรือ เข้าใจว่าคนอื่นนั้น เลว
    แต่อาจจะไม่เป็นอย่างที่เราเข้าใจก็ได้ เพราะความเข้าใจผิดของเราก็เป็นได้

    เพราะคนที่หลงมาเกิด หรือ หลงมีกายเป็นมนุษย์นั้น ส่วนใหญ่จิตจะไม่นิ่ง
    เมื่อจิตไม่นิ่ง จิตก็มักจะไหลตามกิเลสฝ่ายต่ำอยู่เสมอ โดยที่เราเองก็ไม่รู้สึกตัว
    เมื่อจิตไม่นิ่ง จิตก็เลยไม่ตั้งอยู่ในฝ่ายบุญหรือกุศลใดๆ
    เพราะจิตไม่นิ่งมักจะวิ่งลงต่ำ หรือ จิตจะวิ่งตามกระแสโลกได้ง่าย
    เมื่อจิตไม่นิ่ง เราก็มีโอกาส คิด-พูด-ทำ ผิดพลาดมากกว่าคนที่จิตนิ่ง
    โดยเฉพาะกรรมที่ไม่ดี จะเข้ามาสู่ตัวเราได้ง่าย หรือ หลงไปเบียดเบียนผู้อื่นได้ง่าย

    สาเหตุที่จิตไม่นิ่ง เพราะเจ้าของดวงจิต ไม่ดูแล ไม่สนใจดูจิต(ฝึกจิต)ตนเอง
    เพราะฉะนั้น ผู้ที่จิตยังไม่นิ่งนั้น อันตรายมาก ขอบอก!
    รีบๆมาทำให้จิตของตนเองนิ่งกันไวๆนะ
    เพราะจิตมีโอกาสจะไปตกอบายภูมิ หรือ นรกภูมินั้น มีค่อนข้างสูงมาก

    ปล.จะเป็นคนดี ไม่มีคำว่าสาย
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บุพกรรมที่ทำให้สัตว์โลกแตกต่างกัน

    วัฏสงสาร หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่างๆ ของสัตว์โลก
    ด้วยอำนาจของกิเลส กรรม และวิบาก หมุนวนไปตามภพภูมิต่างๆ ๓๑ ภูมิ
    แบ่งเป็น

    ๑. โลกเบื้องต่ำ ๔ ภูมิ ได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน
    ๒. โลกเบื้องกลาง ๗ ภูมิ ได้แก่ มนุษย์โลก ๑ และเทวภูมิ ๖
    ๓. โลกเบื้องสูง ๒๐ ภูมิ ได้แก่ รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔

    ในอันดับแรกนี้จะนำสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดมานำเสนอก่อน คือ มนุษย์โลก
    สัตว์ที่มาเกิดในโลกมนุษย์มี ๔ จำพวกคือ

    ๑. ผู้มืดมา แล้วมืดไป เป็นบุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ ยากจน ขัดสน ลำบาก
    ฝืดเคืองอย่างมากในการหาเลี้ยงชีพ มีปัจจัย ๔ อย่างหยาบ เช่นอาหารน้อย
    เครื่องนุ่งห่มเก่า ร่างกายมอซอ หม่นหมอง หรือเกิดมาพิการหูหนวก ตาบอด
    อัตคัดในเรื่องที่อยู่อาศัย เช่นอยู่ในสลัม
    เมื่อเกิดมาในสภาพนั้นแล้ว กลับประพฤติตนผิดศีลผิดธรรม เมื่อตายไปย่อม
    เข้าถึงแดนอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น

    ๒. ผู้มืดมา แล้วสว่างไป เป็นบุคคลที่เกิดในตระกูลต่ำ ยากจน ขัดสน ลำบาก
    ฝืดเคืองในการหาเลี้ยงชีพฯ แต่เขาเป็นคนมีศรัทธา ทำทานตามกำลัง
    มีความอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เมื่อตายไป
    ย่อมเข้าถึงแดนสุคติโลกสวรรค์ พรหม นิพพาน ตามกำลังวาสนาบารมี

    ๓. ผู้สว่างมา และมืดไป เป็นบุคคลที่เกิดในตระกูลสูง เป็นคนมีฐานะร่ำรวย
    มีโภคสมบัติมาก มีรูปร่างหน้าตาดี แต่กลับเป็นคนไม่มีศรัทธา ตระหนี่ ไม่มี
    ความเอื้อเฟื้อ มีใจหยาบช้า มักโกรธ ผิดศีลผิดธรรม เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง
    ทุคติอบายภูมิ มีนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานเป็นต้น

    ๔. ผู้สว่างมา และสว่างไป เป็นบุคคลที่เกิดในตระกูลสูง มีฐานะร่ำรวย
    มีโภคสมบัติมาก มีรูปร่างหน้าตาดี มีศรัทธาเลื่อมใสในพระศาสนา มีจิต
    เมตตา กรุณา ชอบทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เมื่อตายไปย่อม
    เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ พรหม นิพพาน ตามกำลังวาสนาบารมี


    Bloggang.com : zeedhama -
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บุพกรรม

    บุพกรรม ก็คือ กรรมที่ทำไว้ในกาลก่อน ส่งผลให้เกิดความแตกต่างๆ กัน
    ของบุคคลที่เกิดมาในโลกมนุษย์ เหตุหลักก็มาจากบุญกริยาวัตถุ ๑๐
    สรุปก็คือ ทาน ศีล ภาวนา เนื่องจากเรื่องกรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดซับซ้อนมาก
    จึงขอสรุปโดยย่อดังนี้

    ผู้ที่เคยให้ ทาน มาในอดีตเ กิดมาก็จะเป็นคนมีฐานะดี ไม่ขัดสน มีความเป็นอยู่
    อย่างสุขสบาย บางคนรวยมาก บางคนก็รวยน้อย บางคนก็พอมีพอกินไม่เดือดร้อน
    ขึ้นอยู่กับทานบารมีที่ทำไว้ในอดีต

    ผู้ที่เคยรักษา ศีล มาในอดีต เกิดมาจะเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี มีอายุยืนยาว
    โรคภัยไข้เจ็บน้อย มีทรัพย์สมบัติก็ปลอดภัยจากโจรภัย อัคคีภัย วาตะภัย
    อุทกภัย มีเพศที่สมบูรณ์ ลูกหลานบริวารเคารพเชื่อฟัง พูดจากอะไรก็มี
    คนเชื่อถือ และมีสติ สัมปชัญญะเป็นปกติ

    ผู้ที่เคยเจริญ สมาธิภาวนา มาในอดีต จะเป็นคนที่ฉลาด พูดคิดและทำอะไร
    ก็เป็นคนมีเหตุมีผล อ่อนน้อมถ่อมตน มีเมตตา สนใจในการปฏิบัติธรรม และ
    เป็นสัมมาทิษฐิ มีความเชื่อในเรื่องของกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อในพระธรรม
    คำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าสวรรค์ นรก เป็นสิ่งที่มีจริง มุ่งมั่นทำความดี
    บำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา เมื่อตายไปก็จะไปสู่แดนสุคติภูมิ
    มีสวรรค์ พรหม และพระนิพพาน เป็นที่ไป

    บุพกรรม ของคนที่ไม่ให้ทาน ไว้ในอดีต เกิดมาก็จะเป็นคนยากจน ขัดสนใน
    ชีวิต จะกินจะอยู่ด้วยความยากลำบาก บางคนบ้านก็ไม่มีจะอยู่ ต้องไปขอทานกินก็มี

    คนที่เคยละเมิดศีลในอดีต เกิดมาจะเป็นคนอายุสั้น เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่เสมอ
    บางคนก็มีร่างกายพิกลพิการ หูหนวก ตาบอด แขนขาด ขาขาด ฯลฯ
    ทรัพย์สมบัติที่มีก็ถูกโจรภัย อัคคีภัย วาตะภัย อุทกภัยเบียดเบียนได้ได้รับ
    ความทุกข์ความเสียหาย มีเพศไม่สมบูรณ์ ลูกหลานบริวารไม่เชื่อฟัง พูดจา
    ก็ไม่มีใครเชื่อถือ มีสติไม่สมบูรณ์ บางคนถ้าดื่มสุราเมรัยในอดีตไว้มาก
    เกิดมาก็เป็นโรคปวดหัวบ่อยและบางคนก็เป็นคนวิกลจริต เป็นบ้าต้องเข้าไปรักษา
    ในโรงพยาล ซึ่งมีให้เห็นในปัจจุบันมากมาย

    คนที่ไม่เคยเจริญสมาธิภาวนาในอดีต เกิดมามักจะเป็นมิจฉาทิฎฐิ
    ขาดปัญญาพิจารณาใคร่ครวญ เป็นคนขาดเหตุผล ไม่เชื่อในพระธรรม
    คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เชื่อในเรื่องของกฏแห่งกรรม ไม่เชื่อเรื่องสวรรค์ นรก
    ว่ามีจริง ก็จะละเมิดศีล ผิดศีล ผิดธรรม เป็นทางไปสู่อบายภูมิมีแดนนรก เปรต
    อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉานเป็นที่ไป

    หมายเหตุ
    ถ้ามองในสังคมรอบๆ ตัวเราถ้าพิจารณาให้ดีจะมีคนหลากหลายประเภท
    ให้เราเห็นตามที่กล่าวมานี้ โดยสรุปก็มาจากเหตุปัจจัย หรือกรรมที่เขากระทำไว้
    ในอดีตและผสมกับกรรมในปัจจุบัน ทำให้แต่ละท่านแต่ละบุคคล ประสบกับความสุข
    ความทุกข์แตกต่างกันไป สมดังพุทธพจน์ที่ทรงตรัสว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    วันนี้ทำกระทู้มีกลิ่น.

    =========================
    ช่วยดับกลิ่น(f)(f)(f)(f)(f)(f)catt3
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ธรรมะหลวงพ่อพระราชพรหมยาน


    พระนิพพาน
    1) บรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือ หนังสือวิสุทธิมรรค ท่านกลับยืนยันว่าพระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง 8 ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนานั้น คือ มัททนิมมัทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต วิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายในกามคุณ 5 อาลยสมุคฆโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสามให้ขาด ตัณหักขโย พระ นิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่พระนิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏฏสงสาร
    ความหมายตามบาลีที่ท่าน ว่าไว้นี้ ไม่ได้บอกว่าท่านที่ถึงนิพพานแล้วสูญ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นความเห็นผิด เมื่อบาลีท่านยันว่า นิพพานไม่สูญแล้ว ท่านบรรดานักเขียนนักแต่งทั้งหลาย ท่านเอามาจากไหนว่า นิพพานสูญ อันนี้น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง เพราะมีพระบาลีบทหนึ่งว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง ท่านอาจจะไปคว้าเอา ปรมัง สุญญัง โดยเข้าใจว่า สูญโญเข้าให้ เรื่องถึงได้ไปกันใหญ่
    2) นิพพาน นิพพาน เขาแปลว่า ดับ คือดับความชั่ว ได้แก่ โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง เป็นอารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความชั่วเจือปน เขตของพระนิพพานไม่มีความตาย ไม่มีการป่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ถ้าท่านพุทธบริษัทสงสัย ก็พยายามฝึกมโนมยิทธิ หรือ ทิพย์จักขุญาณได้พอสมควร ท่านจะรู้ได้รู้จักสภาวะของ พระนิพพาน ดีกว่าอ่านหนังสือแล้วก็เดาเอา
    3) พระนิพพาน มีแดนไหม หรือว่าพระนิพพานสูญ สูญหรือไม่สูญมีแดนหรือไม่มีแดน ถ้าเราคือสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ต้องคิด คิดว่าธรรมใดที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร สอนเราในชาตินี้ ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า นี่เป็นเชื้อของความทุกข์ มันก็ทุกข์จริง ๆ อันนี้เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข มันก็สุขจริง ๆ อันนี้ของสกปรกโสมมมันไม่สะอาด มันก็สกปรกจริง ๆ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเรา เราพิจารณาเห็นแล้วว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ฉะนั้นแดนที่มีความสุขจริงอย่างยิ่ง ไม่มีทุกข์เจือปน ก็คือ แดนพระนิพพาน แดนพระนิพพานก็เป็นแดนจริง ๆ มีความสุข จริง ๆ และก็ต้องมีจริง
    4) สำหรับท่านที่รักการปฏิบัติจริง เรื่องมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องใหญ่ นิพพานที่เข้าใจกันว่าสูญนั้นเป็นการเข้าใจผิดชัด ๆ ความจริงนิพพานไม่สูญ เป็นแดนพิเศษที่เหนือเทวดาและพรหม มีความสวยสดงดงามมากกว่าเทวดาและพรหม มีความสุขละเอียดกว่า สุขุมกว่า ไปไหน มาไหนได้สบาย ไม่มีสภาพสิ้นซากหรือไร้ความรู้สึก
    5) ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพาน ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ให้ได้บรรลุพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ อาศัยญาณที่ได้ไว้ในสมัยโลกียฌาน และอาศัยผลที่เป็นพระอริยะ ท่านเรียกญาณที่ได้ว่า วิมุตติญาณทัสสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมด้วยฌานเป็นเครื่องรู้ เท่านี้พระนิพพานก็ปรากฏชัดแก่ญาณจักษุ พระโสดาบันนี้ได้แต่เห็นพระนิพพาน ยังอาศัยนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้ ถ้าสำเร็จอรหัตตผลแล้ว ท่านก็ไปนอนค้างบนนิพพาน อันเป็นสถานที่อยู่สำหรับตนได้เลย บนนิพพานก็คล้ายกับพรหม มีวิมาน แต่วิจิตรมาก ร่างของท่านที่เข้าพระนิพพานเป็นทิพย์ ละเอียด ใสสะอาด ใสคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่าง มากกว่าพรหม อย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุด อย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอย่างอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์
    6) ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
    7) การเข้าพระนิพพานไม่มีอะไรยาก เพียงแต่ชนะใจตัวเองเท่านั้นคือ
    - ไม่ทำหรือคิดว่าจะทำความชั่วทุกอย่าง(ตามแบบศีล 5 )
    - สร้างความดีที่ทำให้เกิดความสุขแก่ตนและคนอื่นทุกอย่าง
    - ชำระใจให้เข้าใจในเหตุผล เคารพตามความเป็นจริง ไม่มีอารมณ์ฝืนกฎธรรมดา เห็นโลกเป็นทุกข์ตามความเป็นจริง รู้เหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ความอยากไม่รู้จบ ไม่สนใจกับความเคลื่อนไปของสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องการความเกิดรู้ตัวเสมอว่าทรัพย์สินที่หามาได้นั้น เราไม่มีโอกาสปกครองได้ตลอดกาล เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากมันเป็นปกติ เมื่อมันจากเรา หรือเราจากมัน ไม่มีอารมณ์เป็นห่วงหรือหนักใจ เห็นความตายเป็นกีฬาสำหรับเด็ก เท่านี้จะทำให้ใจสบาย เรื่องสวรรค์หรือพรหมถือว่าต่ำเกินไป ไปนิพพานเลยดีกว่า นิพพานมีแต่สุข หาทุกข์ไม่ได้
    8) ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตมันก็ไม่ถอย เมื่อจิตมันไม่ถอยทำอย่างไร ก็มีอย่างเดียว การก้าวไปสู่พระนิพพาน
    9) แต่ว่าขอเตือนสักนิด ถ้าจะทำจิตของเราให้ทรงอารมณ์เป็นพระนิพพานจริง ๆ ขอบรรดาท่านภิกษุ สามเณร และท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงพยายามทรงทรงอารมณ์ บารมี 10 ประการ ไว้ให้ครบถ้วน อันนี้ทิ้งไม่ได้ เกาะบารมี 10 ประการ ว่าสิ่งไหนบ้างที่ยังไม่มีสำหรับเราเรายังบกพร่อง อย่าให้บกพร่อง และใช้กำลังสมาธิควบคุมให้ทรงตัวให้มีกำลัง จรณะ 15 ที่เป็นกำแพงกั้น ที่จะไม่ให้เราตกอยู่ในภาวะของความชั่วแห่งจิต และใช้ อิทธิบาท 4 เป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราเข้าถึงความสุข ทรงกำลัง 3 ประการให้ทรงตัว แล้วใคร่ครวญหาความจริงว่า ร่างกายมันเป็นโทษ มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา หาความดีไม่ได้ เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ก็ไม่พ้นทุกข์ จิตยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นอารมณ์
    10) การเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นยาก คือ ตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษย์โลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเรา เราไม่ต้องการสิ่งที่เราต้องการคือ พระนิพพาน มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีขนตกอยู่เป็นปกติ คือว่าไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด
    11) พระอรหันต์ย่อมไม่ปรากฏเห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นเราเป็นของเรา ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของดีและก้ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของเลว ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์ยอมรับนับถือกฎแห่งความเป็นจริง ว่า ธรรมดาของโลกนี้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นกฎธรรมดาไปหมด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องสะเทือนใจ พระอรหันต์ เขาด่าก็ไม่สะเทือนใจ เขาชมก็ไม่สะเทือนใจ อะไร ๆ เกิดขึ้นมาทั้งทีก็เป็นเรื่องธรรมดา
    12) ถ้าจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่าไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้ง รูปฌาน และ อรูปฌาน เราพอใจ แต่คิดแต่เพียงว่านี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้องสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทีนี้หลงในฌานไม่มี ตัวมานะ ถือว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาไม่มี และอาการณ์ฟุ้งซ่าน สอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศลไม่มี และตัวสุดท้ายก็เห็นว่าโลกทั้ง 3 โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ทั้ง 3 โลก มันเป็นแดนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือ พระนิพพาน อันนี้ ถ้าเป็นสุขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นดินแดนของความสุข แม้ท่านจะไม่เห็น หากว่า พระวิชชาสาม ก็ดี อภิญญา 6 ก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี นี่เขาไปที่พระนิพพานได้เลย จะสามารถเห็นพระนิพพานได้เท่า ๆ กับเห็นของที่มองอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพานไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหวพระพุทธเจ้าได้.

    ==============================
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2012
  11. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    โมทนาสาธุกับธรรมทานของท่านพี่ด้วยครับ..

    ผู้ที่ขาดซึ่ง(หรือทำน้อยมากๆเลย) ทาน ศีล ภาวนา
    แถมมิหน่ำซ้ำยังทำในทางตรงกันข้ามอีกด้วย
    ก็ชอบที่จะมาบ่นอยู่ล่ำไปว่า "ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
    บ่นไปจนตายก็ไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาได้
    นอกเสียจาก"ลงมือปฎิบัติ" ทาน, ศีล-สมาธิ-ปัญญา
    เริ่มตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ในภพชาตินี้ ผลที่ได้ก็จะเห็นได้ตั้งแต่ในภพชาตินี้เลย

    ผู้ปฎิบัติน้อยก็จะยัง"หลง"มาก
    ผู้ปฎิบัติมากก็จะ"หลง"น้อย
    ผู้ปฎิบัติจนถึงที่สุดก็จะ"ไม่หลง"เลย..

    เมื่อปฎิบัติจนกระทั่ง"หลงน้อย"หรือ"ไม่หลงเลย"
    ก็จะเห็นได้ว่า"เป็นการสร้างกรรมปัจจุบันขึ้นมาใหม่" เพื่ออะไร? ก็เพื่ออานิสงค์ดังต่อไปนี้:-
    อานิสงค์น้อย-ก็จะเป็นทุกข์แบบไม่หนักหนาสาหัส(จะเป็นจะตายให้ได้)
    อานิสงค์ขั้นกลาง-ก็จะมีทุกข์หลงเหลืออยู่บ้างในระดับนึง แต่ก็จะมีปัญญาถอดถอนหรือปล่อยวางในทุกข์นั้นได้ดีมากยิ่งๆขึ้น(เมื่อเทียบกับปุถุชนผู้ปฎิบัติน้อยหรือผู้ที่ไม่ปฎิบัติเลย)
    อานิสงค์ขั้นสูง-ก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไปเลย(ที่สุดในทางพระพุทธศาสนา) เพราะมีปัญญา(วิมุติ)หลุดพ้น รู้แจ้งแทงตลอด เล็งเห็นว่าอัน"บุพกรรม"หรือ"วิบากกรรมเก่า"นั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ตนเองได้เป็นผู้กระทำขึ้นในอดีตหรืออดีตชาติ(นับไม่ถ้วนจริงๆ) มันมากมายมหาศาลจริงๆ(เพราะดันหลงมาเกิดไม่รู้กี่ล้านๆๆๆๆภพชาติแล้ว) ซึ่งเราเองก็ไม่สามารถที่จะถอยเวลากลับไปหาอดีตไปแก้ไขสิ่งที่เราเองได้กระทำไปแล้วได้ หรือแม้นแต่กระทั่งการที่จะไป"แก้ไขกรรมเก่า"ก็แล้วแต่(พึงไม่ประมาท! ในการแก้ไขกรรมเก่าด้วย"การสร้างกรรมใหม่" ขึ้นมาอีก..) ที่พอจะเห็นได้ในการบรรเทาวิบากกรรมเก่าให้เบาบางลง(หรือไม่มีผลเลย)นั้นก็คือ
    - หมั่นแผ่เมตตาหรืออุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมอยู่เนืองๆพร้อมกับการขอขมาอโหสิกรรมจากท่านๆทั้งหลาย (ข้อเท็จจริงคือ เจ้ากรรมบางท่านก็ยกโทษอโหสิกรรมให้ แต่ว่าบางท่านก็ไม่ยกโทษให้) ในความผิดพลาดของเราเองเมื่อครั้งในอดีตกาล อย่างน้อยที่สุดเจ้ากรรมหลายๆท่านก็จะได้ยกโทษให้บ้างหรือบรรเทาให้เบาบางลงนั่นเอง
    - ปฎิบัติจนสามารถ"ยกจิตอยู่เหนือขันธ์5"ได้อย่างแท้จริง.. อันวิบากกรรมเก่าย่อมที่จะส่งผลมาสู่ตนเองได้เฉพาะแค่กายสังขารเท่านั้น ไม่สามารถที่จะมาส่งผลต่อ"ดวงจิต(ประภัสสร)"ได้นั่นเอง กายหยาบมันก็มีหน้าที่ที่จะต้อง"ก้มหน้าก้มตาชดใช้วิบากกรรมไป" ส่วนจิตมันก็มีหน้าที่ที่มีเพียงแค่รู้-วางเท่านั้นพอ

    สาธุชนทั้งหลาย..เราๆท่านๆก็เป็นผู้เลือก(ลิขิตชีวิตตนเอง)ว่า
    1. รับกรรมไปแบบเต็มๆ(หรือดันแถมไปสร้างกรรมใหม่พอกพูนขึ้นมาอีกในภพชาตินี้)
    2. ปฎิบัติไปและรับกรรมแบบบรรเทาให้เบาบางลง(หรือขอส่วนลดจากเจ้ากรรม)
    3. ปฎิบัติมุ่งสู่ความหลุดพ้นและ"ไม่ต้องรับกรรมเก่าอีกเลย"ภายในจิตแห่งตน ส่วนกายหยาบก็รับไป ช่างหัวมัน! เพราะสุดท้ายมันก็เป็นสมบัติของโลกอยู่แล้ว(กรรมเก่ามันก็แค่ส่งผลต่อ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมของโลกเท่านั้นเอง) ซึ่งไม่มีผลต่อดวงจิต(เรา)อีกต่อไป แม้นยามที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายจากไปแล้ว
    ผู้มีปัญญาทุกท่านเมื่อได้สดับ ก็โปรดจงเลือกทางเดินของตนเองเถิด..

    ปล.หากท่านจะเลือกoption3 แล้วไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร? ก็แค่ขอสมัครเรียนจิตเกาะพระในกระทู้นี้กับบรรดาคุณครูใจดีทุกๆท่านได้เลยครับ

    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  12. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    พี่ต้อยน่ารักที่สุด อุดส่าห์ฝ่าจราจรมาชวยดับกลิ่น แต่ของเค้าแรงนะขอบอก สามวันจึงจักบางเบา หึๆ (deejai)(deejai)(deejai)
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ชวยดับกลิ่น

    ======================

    ด้วยความรัก เราลูกพ่อเดียวกัน ช่วยเต็มที่ค่ะ "แรงใจ" จะช่วยดับได้หลายกลิ่่นถึงจะแรงอย่างไรก็เถอะ ;43
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,000
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    บุพกรรมที่ทำให้สัตว์โลกแตกต่างกัน

    ----------------------------------------------------
    • หากรู้แจ้ง ก็หลุดพ้น
    แสดงกระทู้ - หากรู้แจ้ง ก็หลุดพ้น • ลานธรรมจักร
    อนุโมทนาสาธุค่ะ catt1แล้วพวกเราจะเป็นแบบใหน ในขณะนี้ เดี๋ยวนี้เรามีสิทธิที่จะ "ทําได้ ถ้าได้ทํา"
     
  15. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    รอ ... เพื่ออะไร

    การรอคอย มิใช่ ลอยคอ ...
    เคยสังเกตไหม ทำไมคนส่วนใหญ่ชอบรอคอย ในทุกๆสิ่ง
    ทั้งๆที่การรอคอยนั้น น้อยคนนักจะวางกำลังใจได้ถูก ส่วนมากอันเนื่องมาจากความไม่รู้ ยังหลงอยู่ ยังเมามันในกองทุกขื กองกิเลสอยู่

    เวลาที่ท่านๆรอนั้น สิ่งที่ท่านจะพบเจอก้อคือ จิตมันกระวนกระวาย กับสิ่งที่เฝ้ารอ จิตมันไม่นิ่งกับสิ่งที่ลุ้นว่าจะเกิด ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ก้อจะลุ้นนนน

    แล้วทำไมเราถึงเฝ้ารอ ทั้งๆที่ดูๆไปมันก้อไม่เห็นจะดีเลย

    คนเรานี่แปลก ไม่นั่งจมกับอดีตหรือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก้อเฝ้ารอกับสิ่งที่ยังไม่เกิด
    ชอบกันจริงๆ อดีตที่มันจะดูดให้เราจมลงเรื่อยๆ ... ยึดทำไม
    ชอบกันจริงๆ อนาคตอันมิใช่ของแน่นอน ... ยึดทำไม
    ชอบกันจริงๆ ปัจจุบัน สอดส่ายไปข้างนอกมิได้หยุดหย่อน ไม่เหนื่อย ไม่ล้า เหตุเพราะมันเย้ายวนยิ่งนักกับการเพ้อฝันกับสิ่งที่ยังไม่ถึง

    จิตที่ยังมิเคยถูกฝึก มักจะเป็นไปเช่นนี้ มิใช่สิ่งผิดปกติแต่อย่างใด
    จิตมันจึงไม่นิ่ง จิตมันชอบจะไปยุ่งข้างนอก ชอบไปจับกับของที่ไม่เที่ยง
    บางคนโชคดี ตาสว่างทัน อาจจะด้วยเหตุปัจจัยอันใดก้อแล้วแต่ ไม่ว่า ส่ายจนทุกข์จะตายอยู่แล้วถึงสว่าง หรือ ถึงวาระที่ท่่านจัดสรรไว้ให้แล้ว
    แต่บางคนน่าเสียดายนัก จวบจนวาระสุดท้ายของลมหายใจในขันธ์นี้ ก้อยังไม่หยุดที่จะทุกข์ ที่จะยึด ...

    เราจะ รอ ไปอีกนานเท่าใด ... เอาไว้ก่อน ... เดี๋ยวก่อน สุดท้าย ... ตายก่อน
    รอ+ลุ้น ... สุดท้าย ไม่มีให้ได้นะ ... เพราะสิ่งนี้ ไม่ใช่การจับรางวัล
    เรามิเคยเจอผู้ใดที่นั่งรอแล้วพบจิตแท้ ธรรมแท้ ... ไม่มีลูกฟลุ้ค

    เวลา มันไม่เคยโกหกตัวเอง ... มันก้าวเดินไปพร้อมกับกายสังขาลที่เสื่อมลงทุกวันของพวกเจ้า ...
    แต่เจ้ากลับประมาท มิสนใจในสิ่งที่เราบอก ... แล้วมัวที่แต่นั่งคร่ำครวญในโชคชะตา ในสิ่งที่มันกระทบเข้ามา ... ทำไมๆๆๆๆ

    หยุดเฝ้ารอได้แล้ว ไม่ควรยึดแล้ว ...
    ตื่นได้แล้วนะ ... เราไม่ควรอยู่กับสิ่งสมมติที่มำให้เราไม่สิ้นภพสิ้นชาติได้แล้ว

    เลิกรอ แล้วมองเข้าไปในจิตเจ้า ทำจิตของเจ้าให้นิ่ง ทำจิตของเจ้าให้เกิดสมาธิ
    อันสมาธินี้จักทำให้ดวงจิตที่มิเคยพบความสุขแท้ได้ประจักษณ์และพบสิ่งที่ควรทำ

    ไม่มีสิ่งอันใดบังเกิดกับผู้ที่มิได้ทำการอันใด
    มีแต่ธรรมอันประเสริฐเท่านั้นเกิดแก่ผู้ทำจริง เพียงแค่ ศีล สมาธิ ปัญญา

    เจ้าทำเพียงแนวทางนี้ ... แล้วเจ้าจะพบว่า
    ไม่น่า รอ จนเกือบจะตายเลย


    จิตนี้พัฒนาได้ ถ้าทำจริง เพียรจริง อดทนจริง มีศรัทธาจริงๆ ... แล้วจะพบ ธรรม
    จิตนี้ไปในทางเลวได้ เพียงแค่ปล่อยตามกระแสโลกไป ... แล้วจะพบ กรรม

    คนเลือกคือเจ้า มิใช่ เรา


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  16. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    เหวนรก ...

    ผู้ใดเคยไปน้ำตกเหวนรก ที่เขาใหญ่ ...
    เราไปมา เราได้พบว่า ...

    ผู้คนส่วนใหญ่เรียกน้ำตกเหวนรก เพราะ มันสูง และเคยมีช้างตกมาตายที่น้ำตกนี้หลายปีมาแล้ว มันจึงมีชื่อเสียงขึ้นมา

    แต่เราไม่ได้มองชื่อนั้นแบบคนทั่วไป เรามองอย่างไน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังตอนท้ายนะ

    ระยะทางจากปากทางถึงตัวน้ำตก 1000 เมตร
    จะมีป้ายบอกระยะทางทุกๆ 100 เมตร ...
    ถ้าเราเดินไปแรกๆ มิสนใจกับป้ายบอกระยะทาง เดินไป สนทนากันไป อันป้ายบอกทางก้อมิได้ทำให้เราสนใจว่าจะถึงเมื่อไหร่ ใจมันก้อไม่ส่าย เพียงเดินไป เดินตามทางไป ชมะรรมชาติไป ถึงเมื่อไหร่ก้อเมื่อนั้น ... สุดท้ายก้อถึงได้ อ้าวถึงแล้วเหรอ

    ... แต่ถ้ามีผู้ใด เดินไป มองป้ายไป จิตของคนนั้นจะไปจับที่ป้าย ไม่ได้อยู่ที่ตัว มันจะเดินไปแต่ละก้าวด้วยจิตที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน เมื่อไหร่จะเห็นป้ายหนอ อีกกี่ร้อยเมตรหนอ ไกลจังหนอ ไม่มีแม้สักวินาทีที่จะหยุดนิ่ง แต่ละย่างก้าวจะหนัก จะทุกข์ ไม่มีความสบายเลย ... เหตุเป็นเพราะ จิตเราส่าย มิได้อยู่กับเรา ไปส่งออกนอก ไปจับกับสิ่งภายนอก

    สิ่งที่ข้าพเจ้าพบว่า ควรเรียกว่าเหวนรก ...
    ระยะทางก่อนถึงตัวน้ำตกประมาณ 100 เมตร เป็นทางชันมาก ต้องเดินลงทีละขั้น ถ้าก้าวพลาด เดินไปไม่มีสติ ก้อตกลงไปได้อย่างง่ายดาย
    แค่เราเดินลงเพียงคนเดียวก้อจะแย่แล้ว แค่รักษาการทรงตัวของเราให้เดินลงไปอย่างปลอดภัยก้อแย่แล้ว ... แต่เราต้องแบกเจ้าตัวน้อยที่หมดแรงที่จะเดินต่อไป ให้ขี่หลัง
    แต่ละก้าวที่เดินไป เหงื่อหยดเป็นน้ำ ยิ่งเดินยิ่งใเห็นว่า นี่ละหนาการเกิดมาล้วนแล้วแต่ทุกข์ ยิ่งมีห่วงยิ่งทุกข์
    อันร่างกายนี้ มันทุกข์หนอ มันต้องรักษาหนอ มันบอบบางหนอ มีแต่เสื่อมหนอ ...
    ยิ่งมีห่วงด้วยแล้วหนอ ทุกขืมันยิ่งเยอะหนอ ...
    เดินลงไปก้อเห็นนรกไป นรกอยู่ไม่ไกล อยู่ในจิตในใจเรานี่แหละ ... ถ้าเราไปยึดทุกข์ นี่แหละนรกชั้นยอดที่เราจะเจอแม้ยังไม่ตาย

    ... คราวนี้มาเจอนรกของจริง เมื่อเดินขึ้น ... ตอนลงลำบากแค่ไหน
    ท่านลองคิดดูตอนขึ้นสิว่าจะเพิ่มเป็นกี่เท่า

    ขันธ์นี้กว่าจะก้าวย่างขึ้นไปได้ ช่างลำบากจริงๆ มีแต่ทุกข์จริงๆหนออันร่างกายนี้

    เวลาที่เราเดินขึ้นนั้น ... ถ้าเราไปเงยหน้ามองที่ยอดด้านบน เชื่อได้เลย เดินขึ้นไม่กี่ก้าว ท่านจะตกล้มลงมาแน่นอน ยิ่งมองยิ่งท้อ ยิ่งท้อยิ่งเหนื่อย ยิ่งเหนื่อยยิ่งทุกข์
    .... อนาคตยังไม่ต้องมอง มันจะทุกข์
    ขอให้มองเพียงตอนแรกเริ่มที่จะเดินขึ้นไปนะ ว่าเราจะเดินขึ้นแล้วนะ ข้างบนคือเป้าหมายของเรานะ(เป้าหมายต้องชัดเจน)

    พอเรารู้เป้าหมายของเราแล้ว ต่อไปมิต้องไปมอง ไปอยาก ไปสงสัยแล้วนะ
    มอง ... ขั้นต่อขั้นไป มองตรงๆ เจ้าจะพบบันไดขั้นที่อยู่ข้างหน้า ... นี่แหละคือปัจจุบัน อยู่กับปัจจุบัน รู้ว่าเราเดินขึ้น จดจ่ออยู่กับสิ่งที่กายเราทำเป็นพอ
    เดินไป ทำไป ใจสบายๆ มองขั้นต่อขั้นไป เหนื่อยก้อพัก อย่าฝืน เป็นลมตกลงมาก้อต้องเริ่มใหม่ ไม่มีประโยชน์อันใด ... เดินไป ดูตนเองไป อย่าไปสนใจสิ่งภายนอกอันจะทำให้เราเสียสมาธิ เดินๆๆๆ ก้าวๆๆ เงยหน้าอีกที ... ถึงแล้ว

    จิตเกาะพระก้อเช่นกัน ...
    ก่อนทำ ท่านต้องรู้นะว่าจะทำเพื่อสิ่งใด เพื่อให้เรารู้ชัดเจนในตัวเรา ...
    สร้างกำลังใจ ความอยาก ความศรัทธาในตนเองให้มากที่สุด ให้เยอะที่สุด ...
    พอเริ่มก้าวเดินแล้ว ... ตัดทิ้งให้หมดความอยาก
    เหลือเพียงแต่การก้าวเดินไปของดวงจิตด้วยสมาธิ กับพระ เดินไป วันต่อวัน นาทีต่อนาที อย่าไปมองสิ่งที่ยังไม่ถึง อย่าไปส่ายหา ไม่เกิดประโยชน์
    ไม่ต้องสงสัยในสิ่งที่เกิด อย่าไปแวะมองข้างทาง แวะไปแล้วจะถึงไหม เหตุการณ์อนาคตจะเกิดสิ่งใดขึ้นจะรู้ไหม ทำๆๆไป ด้วยความมั่นคง เพียร พอแล้วนะ
    แต่เมื่อเราท้อ หรือเหนื่อยขึ้นมา ขอให้มองกลับไปในจุดที่เราเริ่มเดินว่า เราตั้งใจจะทำสิ่งใด แล้วเราจะได้นำสิ่งนั้นมาสร้างกำลังใจให้เราก้าวเดินต่อไป
    ระหว่างทางจะเกิดอะไร ก้อรู้พอนะ ไม่ต้องไปจับมัน แค่จิตเรามันก้อหนักพอแล้ว อย่าไปหาสิ่งใดมาเป็นภาระให้เราอีกเลย
    ทำไปด้วยใจไม่อยาก แล้วจะพบความจริงอันเที่ยงแท้ของดวงจิตที่เรามองข้ามมานานแสนาน ...

    เมื่อมาถึงแล้ว เราจะเห็นเอง พบเอง เพียงเดินไปกับพระ อยู่กับปัจจุบัน พอแล้วนะ

    อดีต เดินล้ม ก้าวพลาด ก้อมิต้องไปยึดมัน จบไปแล้ว ไม่ต้องไปนำมาให้เราเสียกำลังใจ อยู่กับปัจจุบันนั้นพอแล้ว

    ศีล ... เตรียมร่างกายให้พร้อม ก่อนเดินไปน้ำตก ร่างกายไม่พร้อมก้อไม่มีทางเดินไปถึงได้แน่นอน
    สมาธิ ... การเดินทางไปน้ำตก เดินๆๆ ทำๆๆ ยิ่งนิ่งยิ่งไม่เหนื่อย ยิ่งไม่ละวางจะยิ่งหนัก ... ยิ่งสงสัย ยิ่งเสียเวลาในการเดินทาง ... ยิ่งอยากยิ่งกระวนกระวาย ลำบากใจยิ่งนัก

    ปัญญา ... เดินไป ทำไป ค่อยก้าวย่างไป ให้มีสมาธิ อยู่กับปัจจุบัน ปัญญานั้นจะมาเอง เข้าใจได้เอง แจ้งเองในจิตตน


    พยายามมองทุกสิ่งให้เป็นเรื่องที่ธรรมดา เป็นธรรมชาติที่เป็นไป มองอะไรง่าย ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องปรุง นั่นแหละยอดแล้ว ควรแล้ว

    แต่ถ้าผู้ใด ไม่มองทุกสิ่งเป็นเรื่องธรรมดา เป็นธรรมชาติ และไม่เข้าใจ หรือไม่พยายามเข้าใจ ปรุงเข้าไป หาเข้าไป สงสัยเข้าไป คลุกเข้าไป ... สุดท้ายเจ้าจะตายเปล่า ปล่อยดวงจิตล่องลอยไปหากายใหม่ เพื่อพบกองทุกข์ต่อไป ไม่จบไม่สิ้น


    มองทุกสิ่งเป็นธรรมดา นี่แหละผู้ไม่ธรรมดา


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย !

    การแสวงหาทางออกอย่างพวกเธอนี้ เป็นเรื่องประเสริฐแท้ การแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่าเหมือนแย่งกันเข้าไปสู่กองไฟ มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย

    เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำ กับคนจนๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าว เมื่อมีความพอใจย่อมมีความสุขเท่ากัน นี่เป็นข้อยืนยันว่าความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ อย่างพวกเธออยู่ที่นี่มีแต่ความพอใจแม้กระท่อมจะมุงด้วยใบไม้ ก็มีความสุขกว่าอยู่ในพระราชฐานอันโอ่อ่าแน่นอนทีเดียว


    คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนี้มิใช่คนใหญ่คนโตแต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตน มีความสุขสงบเยือกเย็น ปราศจากความเร่าร้อน กระวนกระวาย

    พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน
     
  18. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    อย่าสำคัญตนผิด ...

    วันนี้ขอมาพูดคุยปรับแนวคิดของเจ้าทั้งหลายนะ
    ไม่ว่าจะจิตบุญ หรือผู้ที่เดินมรรคอยู่

    อย่าสำคัญตนเป็นผู้ที่อยู่เหนือคนอื่นเด็ดขาด
    จิตบุญไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่ใช่ผู้อยู่เหนือคนอื่น ยิ่งใหญ่กว่าคนอื่น เก่งกว่าคนอื่น

    จิตนั้นมีความสลับซับซ้อนยิ่งนัก
    ยิ่งเจ้าว่างเท่าไหร่ นิ่งเท่าไหร่ มันจะไปได้ไกลเท่านั้น
    แต่...ถ้าเจ้าวางกำลังใจผิดเมื่อใด ประมาทเมื่อใด สร้างอัตตาในจิตเจ้าเมื่อใด
    ก้อไม่ต่างกับกระจกที่มัวหมอง ไม่ผ่องแผ้ว แล้วจะสว่างได้อย่างไร

    ผู้ที่กำลังฝึก ไม่ต้องไปสนใจผู้อื่นแม้แต่คนในครอบครัว อย่าไปมองว่าเราเหนือเค้า เรามีจิตดีกว่าเขา ยิ่งเจ้ามองเค้ามากเท่าใด เวลาที่เจ้าจะอยู่กับจิตตนเองก้อน้อยลงไปด้วยเท่านั้น ... ตราบใดที่วาระของเค้ายังไม่ถึง เจ้ามิต้องไปบังคับ บีบคั้นใดๆกับเค้าเลย
    ความปราถณาดีนั้นจะกลายเป็นความกดดันให้เค้า ไม่มีทางได้เลย

    อันตัวเจ้านั้นดีแล้วหรือ มองตนเองแจ้งแล้วแน่หรือ ถึงมีเวลาไปยุ่งกับผู้อื่น

    นำพาดวงจิตของเจ้าให้รอดเสียก่อน แล้วถึงค่อยนำพาเค้าเข้ามาก้อไม่สาย
    วาระกรรม เป็นของฌฉพาะตน อย่าไปก้าวล่วง เค้าจะทำก้อทำเอง มิได้เกิดจากใครบังคับแต่อย่างใด

    อุเบกขา ... เจ้าต้องท่องคำนี้ให้ขึ้นใน
    ใช้คำนี้ไม่เป็น ระวังจะเป็นผู้ทุกข์แทนเขานะ ...

    อย่าสำคัญตนผิด ... เราเป็นจิตบุญ ... สร้างอัตตามาแล้วนะ
    เราเป็นเพียงแค่ดวงจิตนึงเท่านั้น ... ที่สามารถเลวได้ ถ้าประมาท(ตราบใดที่ยังอยู่ในขันธ์นี้)

    จิตที่ห่างไกลจากการทรงฌานและสติ ... เจ้ากำลังประมาทแล้ว

    อย่าทะนงตนว่าเราเหนือใคร .....
    อย่าทะนงตนว่าเราเก่งกว่าใคร .....
    อย่าทะนงตนว่าเราวิเศษกว่าใคร .....
    จะไปเทียบกับผู้อื่นทำไม ..... ในเมื่อเราให้เจ้าเรียนรู้ธรรมในจิตเจ้า มิใช่จิตผู้อื่น

    จิตที่ไม่ปรุง ไม่ยึด ไม่ประมาท ไม่ส่ายไปนอก นี่แหละประเสริฐ ..... อยู่แต่ในจิตตนนี่แหละดี

    จิตธรรมดา นี่แหละ ที่เราต้องหาให้เจอ ... มิใช่จิตวิเศษ

    มองจิตตนพอนะ ... พอแล้ว


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  19. Wittayapon

    Wittayapon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    1,075
    ค่าพลัง:
    +19,233
    กาย ... ธรรมชาติ

    อันกายนี้ เป็นของไม่เที่ยงแท้จริง
    เมื่อเราไปตากแดดมา ผิวก้อจะคล้ำจะดำลงทันที
    นี่คือเราดำรงอยู่ในธรรมชาติ ก้อหลีกเลี่ยงมิได้มิใช่หรือ

    แต่คนที่ยังหลงกับกายนี้ ชอบยิ่งนักกับการปรุงแต่ง ...
    ผิวดำแล้ว ต้องไปหาหมอแล้ว ต้องไปขัดผิวแล้ว ต้องหายาทาแล้ว ต้องหาสิ่งปกปิดแล้ว อายจังผิวไม่สวย ไม่ผ่อง ไม่นิ้ง ... ทุกข์อก ทุกข์ใจ ไม่จบไม่สิ้นกับกายนี้

    เราลองอยู่นิ่งๆสิ ปล่อยให้เวลามันนำพาไป ก้าวเดินไป ปล่อยไปเป็นไป ใจสบายๆ ไม่ยึด ไม่สนใจ ... เวลาผ่านไป ทำไมผิวที่คล้ำดำ ถึงกลับมาขาวได้ดังเดิม ทั้งที่เรามิได้ทำสิ่งใดพิเศษเลย
    ธรรมชาติจะนำพาทุกสิ่งให้เป็นไปเอง เรามิต้องไปทำสิ่งใด ... แต่ที่เราทำไปเพราะจิตเราไม่นิ่งพอ อยากได้ไวๆ ไม่ชอบรอ อยากๆๆๆๆๆ มันถึงไม่จบไม่สิ้นกันสักทีกับความทุกข์นี้

    นิ่ง วาง ว่าง ... สว่าง
    ยุ่ง ปรุง ทุกข์ ... ไม่จบไม่สิ้น

    ทำไมพอเราแก่ขึ้น แต่จิตเราไม่รู้สึกว่ามันแก่ตามกายละ เคยสังเกตไหม เหมือนที่ชอบพูดกัน ใจสู้ แต่สังขาลไม่ไหว ...

    เห็นหรือยังว่า กายนี้ เสือมสบายไปตามกาลเวลา ... ยึดได้หรือไม่
    เห็นหรือยังว่า จิตนี้ เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปตามกายที่เสื่อมไป ...

    จิต ... เจ้าต้องพัฒนาจิตให้แจ้ง ... นี่แหละที่เราสอน
    กาย ... เจ้าจงดูความเสื่อมของมัน ไม่ควรยึด

    จิตพร้อมตาย คือ จิตที่ละวางได้ พร้อม
    กายต้องตาย คือ ธรรมชาติที่เลี่ยงมิได้ แล้วจะยึดเพื่ออะไร

    จิตที่จะแจ้ง ต้องวางได้ให้หมด

    เจ้าวางหมดเมื่อไหร่แล้วจะเจอจิตแท้ของเจ้า

    แต่มิใช่วางด้วยมือหรือด้วยปากนะ ... เจ้าต้องวางด้วยจิต ด้วยปัญญา
    เครื่องมือเรามีให้แล้ว ... ศีล สมาธิ ... ปัญญา
    เพียงเท่านี้ ทำได้หรือไม่ ... ทำไม่ได้ เราก้อไม่ว่าอันใด เจ้าก้อเวียนว่ายในวังวนแห่งทกข์ต่อไป ก้อเท่านั้น ...


    จบ.๑๑ เรือลำนี้จะไม่จม
     
  20. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ตายแล้วขอไปพระนิพพาน

    ขอพูดย่อ ๆ อารมณ์ที่ทำนี่ ไม่ใช่ต้องนั่งหลับตา
    ท่านเดินไป เดินมา นั่งทำอะไรอยู่ นอนอยู่ ยืนอยู่
    แล้วก็เดินอยู่ ทำอะไรก็ตาม มองดูสภาพของความจริง

    เห็นต้นหญ้าที่มันร่วงโรยลงไป ก็คิดว่า โอหนอ
    ชีวิตของคนเราก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน
    ก็คิดมันวนไปวนมา ถอนกำลังใจให้มันติด
    คือว่า เมื่ออาการอย่างนั้นเกิดขึ้น
    เราเห็นอะไรขึ้น ถ้าอาการของความทุกข์เกิดขึ้น
    ความขัดข้องเกิดขึ้น เราก็เฉยที่เรียกว่า
    สังขารุเปกขาญาณ มันอะไรจะมาก็ช่างมัน
    มันจะแก่ก็เชิญแก่ ใจสบาย ๆ
    ถือว่าหนีความแก่ไม่ได้
    ถ้าความป่วยไข้ไม่สบายมันเกิดขึ้น
    ทุกขเวทนามันมี เราก็ต้องรักษา
    ใจเรา ก็เฉย รักษาหายก็หายไม่หายก็ช่างมัน
    อยากจะตายเมื่อไหร่ก็เชิญ เกิดมาเพื่อตาย
    ใครเขาด่า ใครเขานินทาเราก็เฉย
    ไอ้การชมการสรรเสริญก็ดี
    การด่าการนินทาก็ดี
    เราไม่ได้เป็นไปตามปาก ของเขา
    เราจะดีหรือจะชั่วมันอยู่ที่กำลังใจของเราเท่านั้น
    รวบรวมกำลังใจไว้อย่างนี้นะขอรับ
    เราก็ เฉยต่ออาการทั้งหมดหนุ่ม
    ก็เฉยไม่ดีใจในความเป็นหนุ่ม
    แก่ก็เฉยไม่เสียใจในความเป็นคนแก่
    มันจะตายก็เฉยเพราะว่าเราจะต้องตาย
    ตายแล้วไปไหน เราภูมิใจได้ว่า
    ตายแล้วเราไปนิพพาน


    ธรรมโอวาทหลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     

แชร์หน้านี้

Loading...