จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    เดี๋ยวนี้เสียงเพลงพี่พอใจหายไปไหนหนอ
     
  2. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า...
    ดูกรพาหิยะ เพราะเหตุนั้นแล ท่านพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
    เมื่อเห็น จักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
    เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง
    ดูกรพาหิยะ ท่านพึงศึกษาอย่างนี้แล

    ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล
    เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ
    เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้น ท่านย่อมไม่มีในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้น
    ท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่างโลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

    ลำดับนั้นแล
    จิตของพาหิยทารุจีริยะ กุลบุตรหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย
    เพราะไม่ถือมั่นในขณะนั้นเอง ด้วยพระธรรมเทศนาโดยย่อนี้ของพระผู้มีพระภาค
    ลำดับนั้นแล
    พระผู้มีพระภาคตรัสสอนพาหิยทารุจีริยะกุลบุตรด้วย พระโอวาทโดยย่อนี้แล้ว เสด็จหลีกไป ฯ

     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอให้จิตบุญทั้งหลาย
    จงตั้งอยู่บนความไม่เที่ยง
    จงเข้าใจ+ยอมรับ ความไม่เที่ยงนี้เสีย
    เพราะการเกิดมาในบนโลกแห่งวัฎสงสารนั้น ไม่มีสิ่งใดเที่ยง
    จิตบุญทั้งหลาย จงมองเห็นความเกิด-ดับของจิตตนเอง
    หรือ จงมองเห็นความไม่เที่ยงนี้ เป็นธรรมดาเถิด

    เห็นมีแต่จิตพวกเรา โดยเฉพาะจิตบุญ ที่พอจะเห็นความไม่เที่ยง
    หรือ พอจะเข้าใจ คำว่า ไม่เที่ยงนี้อย่าถ่องแท้

    เพราะฉะนั้น กระทู้นี้ก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน
    อย่าไปมองความไม่เที่ยงจากที่อื่นเลย
    เพราะตราบใดจิตบุญยังไม่นิ่งมากพอ
    เพราะบนความไม่เที่ยงนี้ก็เกิดมา ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เป็นธรรมดาๆอย่างนี้
    พวกเราลองนั่งนึกหลับตากันเถิดว่า ถ้าคนทั้งโลกตายหมด
    เราจะรู้สึกอย่างไร อยู่ได้ไหม เหงาไหม

    สำหรับจิตตนเอง(พี่ภู) ตอบว่า ดี
    นั่น เป็นยังไง พวกเราก็คิดดูเอาเองนะ
    จิตบุญทั้งหลายเมื่อเราเห็นหรือรับรู้เรื่องราวอะไรมากัน
    ขอให้พวกเราคอยหมั่นวิปัสสนาให้ชิน
    เพราะไม่เห็นธรรมอะไรที่จะพ้นกฎธรรมดา หรือ กฎพระไตรลักษณ์ไปได้

    ต่อไปนี้
    จงมองเห็นสรรพสิ่งเป็นสมมุติให้ชัดเจน
    และนี่คือเป็นธรรมดาๆอย่างนี้นี่เอง
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ก่อนที่พวกเราจะเห็นความไม่นิ่ง หรือ ความไม่เที่ยง
    ได้อย่างชัดเจนกัน เราจะต้องฝึกอินทรีย์ ๕ ให้แก่กล้า
    โดยเฉพาะจะต้องเน้น ตัวสติปัญญา

    ง่ายที่สุด และลัดที่สุด ในขณะนี้ ก็คือ..
    ให้เหล่าจิตบุญน้อมดวงจิตของพระพุทธเจ้าเข้ามาสู่จิตตนเอง
    ตามที่เคยแนะนำให้กับพวกเราไปปฎิบัติกันก่อนหน้านี้แล้ว
    จากจิตความเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ แต่ถ้าผู้ปฎิบัติกระทำตามที่แนะนำไปแล้ว
    พวกเราจะได้ดวงจิตที่ยิ่งใหญ่และมีกำลังใจมาก(พลังจิต)
    และเหมาะสมกับภารกิจ คือยกจิตผู้คนนี้ได้อย่างง่ายดาย

     
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คำว่า "ไม่ยึดติด"

    คำๆ นี้สำคัญมาก สำหรับผู้ปฎิบัติ
    เพราะผู้ปฎิบัติบางท่านยังแยกแยะไม่ออก หรือ แยกได้ แต่ไม่ชัดเจน
    โดยเฉพาะจิตบุญจักต้องแยกกาย แยกจิตให้เด็ดขาดนะะะ
    แต่ถ้าแยกแยะไม่เด็ดขาด ก็อาจจะทำให้เรายุ่งยาก หรือเป็นทุกข์ใจกันอีก
    แต่ถ้าผู้ใดยังมีความทุกข์หลงเหลืออยู่นั้น
    อาจจะมาจากสาเหตุหลักๆ ก็คือ สติปัญญาที่ต่างกัน
    ก็ไม่เป็นไร สามารถฝึกต่อไปได้ อย่าหยุดเฉยอยู่กับที่ ตราบใดที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ

    ทำไม๊ เรายังรู้สึกว่าตนเองเป็นทุกข์อยู่
    ตอบ...ก็เพราะเราแยกกาย แยกจิตไม่ได้ หรือ ยังละ(ตัด)ขันธ์๕ยังไม่เด็ดขาด
    และนี่ไง! ก็คือ ที่มาที่ไปที่ให้พวกเราน้อมนำเอาดวงจิตของพระพุทธเจ้าเข้ามาในจิตตนเอง
    เพราะกำลังใจ กำลังฌานของตนเองยังไม่เพียงพอ
    เพราะพวกเราฆราวาส มีสิ่งกระทบจิตมากกว่าพระสงฆ์
    แต่จะไม่มีผลกระทบต่อผู้ปฎิบัติที่มีอินทรีย์แก่กล้า


     
  6. เมธญา

    เมธญา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +1,584
    กราบอนุโมทนากับพระธรรมคำสอน. ที่สุดแล้ว "ที่มีมันไม่จริง. และที่จริงมันไม่มี"
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    อะไรคือตัวชี้วัดของผู้ปฎิบัติเอง

    ทั้งๆที่พวกเราปฎิบัติกันมายาวนาน

    ขอตอบสั้นๆว่า...
    การปล่อยวาง หรือ กิเลสทั้งหลายทั้งปวงนั้น ลดน้อยลงไปเพียงใด
    เช่น กิเลสที่เกิดบ่อยที่สุด และทุกคนพอจะมองเห็นได้ง่ายที่สุด
    ก็คือ ความโกรธ มันลดน้อยลงไปบ้างไหม๊?
    หรือ ไม่มีเลย ลืมไปเลยคำว่า ทุกข์(อันนี้ดีเยี่ยม)
    จิตใจเรามันเยือกเย็นขึ้นกว่าเก่าไหม๊?
    ลมหายใจมันแผ่วเบาไหม๊
    โดยเฉพาะการรักษาอารมณ์จิตนั้น ก็เป็นสิ่งสำคัญมาก
    เป็นต้น

    ผู้ปฎิบัติเท่านั้น ที่จะต้องเป็นฝ่ายตอบตนเอง
    ผู้อื่นก็ตอบแทนไม่ได้ด้วย
    เพราะผลของการปฎิบัติธรรม เป็นเรื่องปัจจัตตัง!
    หรือ ผู้ปฎิบัติท่านนั้นก็จะรู้ด้วยตนเอง จะเห็นด้วยตนเอง
    และโดยเฉพาะผู้ปฎิบัติท่านนั้น ปฎิบัติเป็นผลสำเร็จได้ ผู้นั้นก็จะชอบเอง
    หรือปฎิบัติต่อไป
    เปรียบเสมือนพ่อค้าที่ค้าขายแล้วมีกำไรก็อยากทำต่อ นั่นเอง
    การปฎิบัติธรรมก็เหมือนกัน
    แต่มีจำนวนมากที่เสียโอกาสไป ก็คือปฎิบัติไม่ได้อะไรเลย
    คำว่าไม่ได้ หมายถึง ไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม
    หรือปฎิบัติไม่ได้มรรค ผล หรือนิพพาน ไปตามลำดับจิตของผู้ปฎิบัตินั้น

    ปล.ชาวจิตบุญทั้งหลาย ลองสำรวจจิตของตนเองกันดูนะะะ
     
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขออภัยไม่ได้เอ่ยธรรมสำหรับผู้ที่ยังปฎิบัติไม่ได้
    โดยเฉพาะบุุคคลทั่วไป หรือ กำลังปฎิบัติจิตเกาะพระ หรือ จิตบำเพ็ญ
    ขอให้ท่านเพิ่มความเพียรให้มาก โดยการสร้างกำลังให้มาก
    เช่น สวดมนต์ ฟังเทศน์ ฟังธรรมเป็นประจำ
    ตรงนี้แหล่ะ! จะช่วยทำให้จิตของท่านเข้าถึงความละเอียดได้
    จากจิตที่เคยหยาบ ก็จะละเอียดหรือจิตนิ่งได้เป็นบางครั้ง
    กำลังใจ(บุญหรือบารมี)ของผู้ปฎิบัตินี้ จึงจำเป็นมาก
    เพราะกำลังใจนี้ ที่จะนำพาเราเข้าถึงการปฎิบัติ หรือ อยากจะปฎิบัติธรรม
    เพราะถ้ามีความเพียรน้อยก็มักจะเกิดความท้อแท้เกิดขึ้น และจะเป็นอุปสรรคในการปฎิบัติ

    สรุปแล้ว
    ผู้ปฎิบัติจะละทิ้งครูไม่ได้เลย และ จะต้องเชื่อฟังแนะนำด้วย
    แต่ถ้าไม่สามารถปฎิบัติตามนี้ก็ ย๊ากกก ที่จะสำเร็จ
    อย่าไปปฎิบัติตามใจตนเองเลย เพราะว่าเราต้องการละกิเลสตนเอง
    มิใช่ไปละกิเลสของผู้อื่น
    เพราะอย่าหลงไปตามหาครูบาอาจารย์ที่ตามใจตนเองเลย
    ถึงหาเจอ เราเองก็ปฎิบัติไม่สำเร็จแน่ ยกเว้นเราคือ สัพพัญญู
    ขอให้ผู้ปฎิบัติใหม่ จงวางกำลังใจก่อนการปฎิบัติกันให้ถูก
    หรือถ้ารู้ตัวว่าตนเองมีอะไรที่ติดตัว ติดใจมา ขอให้วางก่อน
    รู้มันวางยาก อัตตา มานะ น่ะ ผู้เขียนทราบดี
    ฝืนก็ต้องฝืนนะ ถ้าท่านอยากเป็นผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ

    คนดี มักทำดีง่าย แต่ทำเลวยาก
    ส่วนคนเลว มักทำเลวง่าย แต่ทำดียาก

    สำหรับผู้ที่ยังเข้าไปไม่ถึงการปฎิบัติ ก็ไม่เป็นไรนะ
    พี่ภูขอเป็นตัวแทน เป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังปฎิบัติทุกๆท่านนะครับ
    โชคดีๆๆ
     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Z-ry25Glibc]กําลังใจที่เธอไม่รู้ - เสถียร ทํามือ - YouTube[/ame]

    กำลังใจที่เธอไม่รู้
    ..คิคิ
    อย่าเพิ่งเข้าใจพี่ภูผิดกันอีกนะ
    คำว่า "กำลังใจ" มันสำคัญมากนักสำหรับผู้ที่มี ยังต้องการกำลังใจอยู่

    พี่ภูขอยกกำลังใจให้กับทุกคนทั้งหมดเลยนะครับ
    โดยเฉพาะผู้ที่กำลังปฎิบัติจิตเกาะพระหรือจิตบำเพ็ญ ทุกๆท่าน
    สู้ๆๆนะครับ
    ออกจากทุกข์ของตนเองให้ได้
    เมื่อมีอินทรีย์แก่กล้าแล้ว ค่อยนำพาดวงจิตตนเอง
    ออกจากการเวียนว่ายตายเกิดภายหลัง

    ถ้าพี่ภูเลือกได้นะ..
    ถ้าแลกพวกเราทั้งหมดที่ปรารถนาไปนิพพานในชาตินี้
    แล้วเหลือพี่ภูคนเดียว ที่ไม่ได้ไปพระนิพพาน
    พี่ภูยอมนะ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ธันวาคม 2012
  10. ลูกพลัง

    ลูกพลัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +8,932
    มณีที่แท้จริง

    มณีที่แท้จริง

    สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงชูดวงมณีซึ่งมีสีต่างๆกันขึ้น แล้วทรงถามท้าวมหาราชทั้ง 5 ว่า

    "มณีนี้ มีสีเป็นอะไร ?"

    ท้าวมหาราชทั้ง 5 ต่างก็กราบทูลว่ามีสีต่างๆ กันไป พระโลกนาถทรงเก็บดวงมณีนั้น แล้วทรงยกพระหัตถ์เปล่าชูขึ้น ตรัสถามว่า

    "มณีนี้ มีสีอะไร ?"

    ท้าวมหาราชทั้งหลายทูลว่า

    "ในพระหัตถ์ของพระองค์มิได้มีดวงมณี จะมีสีมาแต่ไหนเล่า?"

    พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า

    "เธอทั้งหลายเหตุใดจึงหลงนัก ตถาคตนำเอามณีของโลกออกแสดงเธอต่างก็กล่าวว่า มีสี เขียว แดง เหลือง ขาว ต่างๆกันไป ครั้นตถาคตนำเอาดวงมณีที่แท้จริงออกแสดง เธอทั้งหลายกลับไม่รู้"


    ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ.. สาธุสวัสดี
     
  11. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  12. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  13. NOKMAM

    NOKMAM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +6,157
    [​IMG]
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=WWqV-lKOFrg]ปฐมสมโพธิ ; ปุกกุสะถวายผ้าสิงคิวรรณ - YouTube[/ame]​

    สำหรับคุณวิทย์
    ได้โปรดพิจารณา(ในฌาน) ท่านผู้นี้ให้หน่อย
    ชื่อ ปุกกุสะ
    แล้วช่วยตอบผมมาด้วยนะครับ

    สำหรับผู้อื่นฟังเทศน์ดีๆมีรางวัล​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ธันวาคม 2012
  15. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    ดูนิวรณ์ให้ดี ๆ ให้พยายามระงับ จิตที่ทรงสมาธิอยู่ไม่ได้นาน ก็เพราะนิวรณ์เข้ามาแทรกใจ ทำให้ฟุ้งซ่าน ซึ่งก็ไม่ใช่ของแปลก ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเจ้ายังไม่ใช่พระอรหันต์
    แต่ในขณะเดียวกัน รู้แล้วก็พึงหาทางแก้ไขด้วย มิใช่เห็นธรรมดาแล้วปล่อยทิ้งไป ให้จิตเป็นทาสของนิวรณ์อยู่เป็นปกติ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ ไม่มีการก้าวหน้าในผลของการปฏิบัติ


    ต้องตั้งสติตั้งใจเอาไว้ให้ดี ๆ เพียรเอาชนะนิวรณ์ให้ได้ไปในที่สุด พึงเร่งรัดการปฏิบัติ อย่าทำใจให้ฟุ้งซ่าน รักษาอารมณ์การปฏิบัติเข้าไว้ให้ดี จักได้เห็นโทษนิวรณ์ ๕ ประการได้ชัดเจน

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น
    รวบรวมโดย พล.ต.ท.น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน
     
  16. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    นิวรณ์ 5

    นิวรณ์ คือสิ่งที่ขวางกั้นจิตทำให้สมาธิไม่อาจเกิดขึ้นได้ มี 5 อย่างคือ

    1.กามฉันทะ คือความยินดี พอใจ เพลิดเพลินในกามคุณอารมณ์ ได้แก่ ความยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ(สิ่งสัมผัสทางกาย) อันน่ายินดี น่ารักใคร่พอใจ รวมทั้งความคิดอันเกี่ยวเนื่องด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้น (คำว่ากามในทางธรรมนั้น ไม่ได้หมายถึงเรื่องเพศเท่านั้น)

    2.พยาปาทะ คือ ความโกรธ ความพยาบาท ความไม่พอใจ ขัดเคืองใจ

    3.ถีนมิทธะ แยกเป็นถีนะคือความหดหู่ท้อถอย และมิทธะคือความง่วงเหงาหาวนอนถีนะและมิทธะนั้นมีอาการแสดงออกที่คล้ายกันมาก คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึมเหมือนกัน แต่มีสาเหตุที่ต่างกันคือ
    ถีนะเป็นกิเลสชนิดหนึ่ง เกิดจากการปรุงแต่งของจิต ทำให้เกิดความย่อท้อ เบื่อหน่าย ไม่มีกำลังที่จะทำความเพียรต่อไป
    ส่วนมิทธะนั้นเกิดจากความเมื่อยล้าอ่อนเพลียของร่างกาย หรือจิตใจจริง ๆ เนื่องจากตรากตรำมามาก หรือขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่มากเกินไป มิทธะนี้ไม่จัดเป็นกิเลส (พระอรหันต์ไม่มีถีนะแล้ว แต่ยังมีมิทธะได้เป็นบางครั้ง)

    4.อุทธัจจกุกกุจจะ แยกเป็นอุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านของจิต และกุกกุจจะคือความรำคาญใจ
    อุทธัจจะนั้นคือการที่จิตไม่สามารถยึดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เป็นเวลานาน จึงเกิดอาการฟุ้งซ่าน เลื่อนลอยไปเรื่องนั้นที เรื่องนี้ที
    ส่วนกุกกุจจะนั้นเกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วในอดีต ว่าไม่น่าทำไปอย่างนั้นเลย หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังไม่ได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้

    5.วิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ หรือไม่ปักใจเชื่อว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด หรือควรทำแบบไหนดี จิตจึงไม่อาจมุ่งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งได้อย่างเต็มที่ สมาธิจึงไม่เกิดขึ้น

    นิวรณ์ทั้ง 5 ตัวนี้ มีเฉพาะอุทธัจจะเท่านั้นที่เกิดขึ้นตัวเดียวได้ ส่วนนิวรณ์ตัวอื่น ๆ นอกนั้น เมื่อเกิดจะเกิดขึ้นร่วมกับอุทธัจจะเสมอ

    นิวรณ์ทั้ง5 เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำสมาธิ ถ้านิวรณ์ตัวใดตัวหนึ่ง หรือหลายตัวเกิดขึ้น สมาธิก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย แต่นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ไม่เป็นตัวขวางกั้นวิปัสสนาเลย ทั้งยังเป็นประโยชน์แก่วิปัสสนาอีกด้วย เพราะวิปัสสนานั้นเป็นการเรียนรู้ธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่ว่าขณะนั้นอะไรจะเกิดขึ้น ก็เป็นประโยชน์ให้เรียนรู้ได้เสมอ นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ๆ ของจิตที่เป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ ให้เห็นถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่อยู่ในอำนาจ ของจิตเช่นกัน
     
  17. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    คำถาม/บอกเล่า ที่เจอบ่อยจากผุู้กำลังฝึกจิตเกาะพระ

    ครูค่ะ วันนี้ดีใจจังเห็นภาพพระได้ชัดเจนแจ่มใสมาก

    ครูครับ ส่งการบ้านช้า เพราะช่วงนี้มองภาพพระไม่ชัดเลย ทำไปได้ช้ามากๆ

    หนูมองเห็นภาพพระได้บางมุม มองยังไงก็มองไม่เห็นรายละเอียด

    การยินดีมากไปที่เห็นภาพพระได้อย่างที่ตั้งเป้าหมายไว้ การเห็นภาพพระได้ไม่เหมือนที่คิด แล้วเกิดความลังเล สงสัย ความหดหู่ ท้อถอย กังวลใจเหล่านี้ล้วนเป็นนิวรณ์ขัดขวางการปฏิบัติทั้งสิ้น


    การฝึกปฏิบัติจริงๆคือทำไป ใส่เหตุใส่ปัจจัยที่เหมาะสมเข้าไป เช่นรักษาศีล นึกภาพพระให้ถี่ๆ จะเห็นชัดไม่ชัด เห็นมุมไหน สว่างมาก สว่างน้อย ไม่เป็นไร ถ้าไม่เห็นภาพพระ (เพราะขึ้นฌานสูง)ก็แค่นึกถึงท่านในใจ ให้ถี่ๆเหมือนเดิมก็ได้

    เวลาฝึกให้สำรวจตัวเองถ้าเริ่มมีนิวรณ์เกิดก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่เกิดเลยสิแปลก ถ้ามีแล้วรุู้ตัวก็กำจัดมันไป มันเป็นธรรมดา เมี่อมันดับไปก็เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ มีเกิดก็มีดับไปเป็นธรรมดา

    ถ้าดูดีๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็เป็นธรรมดา ถ้าไปดีใจเวลาสมหวัง มากเท่าไร ถึงเวลาเจอสิ่งที่ทำให้ไม่สมหวังก็เสียใจมากเท่านั้น ถ้าเห็นเป็นธรรมดาก็ไม่ดีใจ เสียใจกับสิ่งที่มากระทบ (ทางใจ) ก็ทุกข์ลดลง

    ครูบาอาจารย์ท่านเลยบอก "เลยตายก็หายทุกข์" คือเมื่อไรที่มีเหตุที่จะทำให้กายของเจ้าของตาย ย่อมนำมาสู่ทุกข์ใหญ่หลวงของเจ้าของ ถ้าวางเฉยกับความตายของตัวเองได้จริงก็จบกิจในพระพุทธศาสนาที่ต้องทำเพื่อตัวเอง


    ฝากไว้ให้ผู้ปฏิบัติพิจารณาโดยแยบคาย

    จบ. ๓๑
     
  18. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ตอนนี้มีนิวรณ์ครบเลยค่ะ ลังเลในการตัดสินใจ ย่อท้อ เหนื่อยหน่าย รำคาญใจ ขัดเคืองใจ กลัว

    กลัว...ว่ายังไม่ดีพอที่จะได้ จะเป็น จะมี และเป็นไม่ได้ เลยพยายามหลบเลี่ยง ปฏิเสธ หลายอย่างและหลายครั้ง จนในที่สุดกลัวว่า... พระท่าน จะระอากับตัวเองเต็มทีแล้ว

    ตอนนี้เลยไม่มีการบ้านส่งครูค่ะ ขอตั้งหลัก (ตั้งแล้ว ตั้งอีก)อีกหนค่ะ ดีแล้วจะมาส่งการบ้านค่ะ ครูทุกคน
     
  19. phai-put

    phai-put เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +306
     
  20. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน. ที่ปฎิบัติแล้วกำลังสงสัยอยู่. ดิฉันเข้าใจค่ะ เพราะดิฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นแบบนี้.เมื่อตอนที่ดิฉันเริ่มศึกษาธรรมะ. และเริ่มปฏิบัติ. มันมีแต่ความสงสัย และความอยากรู้.ดิฉันก็ได้เพียรศึกษา และเพียรปฎิบัติ. มันไม่ได้ง่ายเลย.เพราะรู้สึกว่า มันมีแต่มารเข้ามากระทบจิตใจของเรา. และขันธ์ของเราก็เป็นมาร.จะทำความดีมันคอยจะมีมารอยู่ตลอดเลย.ดิฉันก็ไม่ย่อท้อมีแต่จะเพิ่มความเพียร.ขึึ้นเรื่อยๆ จนได้ทราบว่ามารทั้งหลายเหล่านี้แหล่ะที่ทำให้เรามีความเพียรยิ่งขึ้น.และได้คำตอบจากมารทั้งหลายเหล่านี้. คำว่า อนิจจัง คือ ความแปรปรวนนั้น มีอยู่รอบตัวทั่วสรรพางค์ร่างกาย ไตร่ตรองตามสภาวะซึ่งมีอยู่ในตัวอย่างสมบูรณ์ให้เห็นชัด แม้ว่า จะทุกข์ ความบีบคั้นก็มีอยู่ทั้งวันทั้งคืน. ไม่เพียงแต่ทุกข์ทางกาย. ทุกข์ทางใจที่เกิดขึ้น เพราะอารมณ์ต่างๆ ก็มีอยู่เช่นกัน จงกำหนดให้เห็นชัด. อนัตตา ก็ปฎิเสธในความเป็นสัตว์ เป็นสังขาร เป็นเรา เป็นเขาอยู่ทุกขณะเมื่อพิจารนาจนมีความชำนาญ กายก็จะรู้สึกเบา ใจก็จะมีความอัศจรรย์และสว่างกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับ.ความขยันหมั่นเพียรก็จะเกิดขึ้นกับทุกๆท่านและทำให้ท่านได้ถึงจุดประสงค์จำนงค์หมายค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกๆท่านจากใจจริงค่ะสาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...