จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขอขอบใจจ้า...น้องฟ้าใสใส ใจดีดี๊ ของพี่เกษ มาให้พี่หยิกแก้มทีหนึ่งซิ..อิๆ หมั่นเขี้ยว...ขอพรนั้นจงสำเร็จแด่น้องฟ้าผู้น่ารักด้วยนะจ๊ะ...(k)({)(k)({)
     
  2. อัญญะมณี

    อัญญะมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ในงานจิตเกาะพระ พี่น้องฝากให้พี่แป้นเรียนกับครูน้องหนู บอกว่าจะส่งการบ้านทางโทรศัพท์ ครูน้องหนูก็นึกในใจ ตายล่ะหว๋า ไม่เคยสอนทางโทรศัพท์เลย ทำไงดีละนี่ เอาว่ะ เป็นงัยเป็นกัน ลองดูสักตั้ง ส่วนพี่เพ็ญบอกว่าครูน้องหนูจะได้พัฒนาสักที ฮ่าๆๆๆๆๆๆ พี่น้องเป็นคุณครูที่น่ารัก ใส่ใจลูกศิษย์ คอยตามการบ้าน คอยให้คำแนะนำ ขอชื่นชมค่ะ

    พี่แป้นเป็นลูกศิษย์คนแรกที่ส่งการบ้านทางโทรศัพท์ เป็นลูกศิษย์ที่น่ารักมากๆ ๆๆๆค่ะ ครูบอกให้ทำอะไร เธอทำตามหมดเลย ศรัทธาเธอเต็มเปี่ยม ตั้งใจรักษาศีล ตอนแรกที่ฝึก ครูก็สอบสังโยชน์ 3 ข้อแรก เธอผ่านหมด ตอนถามเธอว่าร่างกายนี้เป็นของเราไหม เธอตอบทันทีว่าไม่ใช่ค่ะ ตายช่างมัน ร่างกายนี้ไม่ห่วงแล้ว แล้วเธอก็กลายเป็นจิตบำเพ็ญในทันที

    ระยะแรกเธอจะเห็นภาพพระได้ทั้งลืมตา และหลับตา แต่จะทรงอารมณ์สบายกว่าเมื่อหลับตา ก็แนะนำให้ทำแบบหลับตา ให้หมั่นแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร สวดมนต์ นั่งสมาธิควบคู่กันไป จนมีวันนึงโทรมาส่งการบ้านว่าคุณครูทำอะไรหรือเปล่าคะ ปกติจะต้องนึกถึงพระจึงจะเห็น แต่คืนนี้พระท่านมาลอยอยู่ตรงหน้าเลยค่ะ เห็นตลอดเลย แสดงว่าจิตเธอแนบแน่นกับพระแล้ว แต่วันรุ่งขึ้นภาพพระหายไป มองเท่าไหร่ก็ไม่เห็น แต่่นึกรู้ว่าพระท่านอยู่ด้วยตลอด
    เธอเข้าฌาณ 4 แล้ว ก็ให้เธอทำไปให้ต่อเนื่อง

    โรคประจำตัวเธอคือ โรคหัวใจ ได้รับทุกขเวทนาทางกายเป็นประจำ เมื่อเธอทรงฌาณได้ดีแล้ว เวลาครูถามว่าเจอกระทบอะไรมั้ย มีอาการเป็นยังงัยบ้าง ส่วนมากเธอจะตอบว่าไม่มีกระทบ ไม่รู้สึกโกรธค่ะ ครูก็เริ่มงงเหมือนกัน ทำไมไม่มีกระทบเลย จนระยะหลังๆ สัมผัสได้ว่าเวลาคุยกับพี่แป้นแล้วมันเบา สบายมากเลย จนสอบอารมณ์เมื่อวานนี้ เป็นวันปีใหม่พอดี ซักไปซักมา เธอก็พูดว่าเธอมีอาการทุกขเวทนาทางกาย แต่ครูบอกว่าร่างกาย กับจิตนั้นแยกกัน เวทนาเกิดที่กาย เรื่องของกายไม่ใช่เรื่องของจิต เธอก็เลยพิจารณา แล้วก็วาง ครูจึงรู้ว่าที่แท้เธอชินกับโรคประจำตัวจนไม่ได้มองว่าเป็นกระทบ จึงไม่ได้บอกครู จิตเธอไม่เกาะกาย เธอทำจิตเกาะพระแบบอารมณ์สบายๆ ไม่เบา ไม่หนัก แต่สม่ำเสมอ ขอชื่นชมในการวางกำลังใจของพี่แป้นค่ะ

    เมื่อจิตยกแล้วก็ยังต้องทรงอารมณ์แบบนี้ไว้ ทำให้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอเหมือนเดิม ยังโทรหากันได้เหมือนเดิมค่ะ

    ฟังเวอร์ชั่นครูกับศิษย์ไปแล้ว มาฟังเวอร์ชั่นเพื่อนคุยกันบ้างค่ะ ขอเชิญพี่น้องมาบอกเล่าการทำจิตเกาะพระของพี่แป้นค่ะ
    โมทนาสาธุค่ะ
     
  3. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    จงเห็นทุกข์แต่อย่าเป็นทุกข์



    ธรรมโอวาท หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    โลกมายา หาความจริง มิได้
    มีแต่ความรักแบบยึดติด ลับ ลวง หลอน หลง
    สู้โลกทิพย์ไม่ได้ หาโลกมายาแทบไม่พบเจอ
    มีแต่ความรักแบบมหาเมตตา ลัด ตัด ตรง คม ชัด ลึก ละ ปล่อย วาง

    ตัดกิเลสต้องตัดแบบ ตัดบัวอย่าให้เหลือใย
    หรือ ตัดบัวเหลือใย ตัดใจมิให้เหลือเธอ

    การปฎิบัติจิตเกาะพระก็เช่นกัน ต้องปฎิบัติเพื่อความหลุดพ้น
    นี่ก็คือ วัตถุประสงค์สูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
    และวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิด
     
  5. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "ใครเขาจะดี ใครเขาจะเลว ช่างเขา
    เราเห็นเขาเลวมาก คือเรา เลวมากเอง"

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระมหาวีระ ถาวโร)
    ขอขอบคุณ FB: ธรรมะออกแบบชีวิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2013
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    "อภัยทานเป็นคุณ แก่ผู้ให้ มากกว่าผู้รับ"

    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช​


    ที่มา fb ศูนย์เผยแพร่ธรรมะ"พ่อแม่ครูอาจารย์"​
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ความสำเร็จอยู่หลังอุปสรรค์เสมอ
    ความสุขก็เช่นกัน อยู่หลังความทุกข์
    เพียงแต่..ต้องรู้วิธีทำให้จิตนิ่งเสียก่อน

    เป็นผู้ให้โดยไม่ต้องหวังผล มีความสุขมากกว่าเป็นผู้รับ(อิ่ม)
    เป็นผู้แพ้ดีกว่าเป็นผู้ชนะ เพราะต้องใช้พลังจิตมาก โดยใช่เหตุ
    เป็นผู้ให้อภัยดีกว่าถือโทษโกรธกัน
    เป็นผู้หวังดีกว่ามาเพ่งโทษหรือจับผิดกัน
    เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนดีกว่าโอหัง อลังการ

    เชิญทุกท่าน มาร่วมแชร์ประสบการณ์การปฎิบัติธรรม หรือให้ธรรมาทาน
    แต่ขอแบบสร้างสรรค์นะครับ เพราะคุณสมบัติของคนดีหรือใจมีธรรมะนั้น
    แสดงธรรมย่อมไม่เป็นลักษณะที่ขัดแย้ง เสียดสี หรือ แคลงใจ นะครับ
    แต่ถ้าหากใคร อยากจะระบายหรือตำหนิ พี่ภูขอรับแต่เพียงผู้เดียวนะครับ
    เพราะแก้วพี่ภูเจาะรูใหญ่...คิคิ

    ขอภาษาดอกไม้..นะตัวเอง
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ชออนุญาตินำการบ้านของลูกศิษย์อีกคนหนึ่งมาลงเป็นธรรมทาน เพื่อให้ทุกท่านได้ร่วมอนุโมทนาบุญกันอีกสักรอบค่ะ (คุณหนุ่มเกาะพระติดเป็นออโต้แล้ว ปัญญาเริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผลมาจากจิตหลบเข้าวิปัสสนาเองอย่างเข้มข้นเลยค่ะ สาธุ..:cool:)

    สวัสดีปีใหม่ครับ

    เมื่อวานนี้ไดัมีโอกาสไปสวดมนต์ข้ามปีที่วัดมา ก่อนสวดหลวงพ่อท่านเทศน์เรื่องของความทุกข์ และร่างกายสังขาร รวมถึงการละและปล่อยวางในเรื่องตัวตน ซึ้งบังเอิญตรงกับหลักการพิจารณาความทุกข์ที่ผมกำลังทำอยู่พอดี ก็เลยได้ความรู้เพิ่มเติมไปด้วย และขอถือโอกาสนี้เอาบุญมาฝากด้วยครับ

    การพิจารณาในช่วงที่ผ่านมาเห็นว่า ทุกข์นั้นได้เกิดขึ้นในทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นทุกข์จากการบีบคั้นของร่างกายสังขารและขันธ์ 5 ทุกข์ที่เกิดจากการแรงกระทบจากบุคคลและสิ่งแวดล้อมภายนอก ทุกข์ที่เกิดจากกิเลสของตนเอง

    เรามีอะไรเราก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น เริ่มตั้งแต่เบื้องต้นที่ได้มา ในขั้นกลางที่ต้องรักษาไว้ และในขั้นปลายที่ต้องเสียไป แม้กระทั้งความอยากจะได้มาก็เป็นทุกข์ ส่วนทุกข์มากหรือน้อยประการใด อยู่ที่การให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น

    ตอนนั่งสมาธิ เมื่อพิจารณาถึงบุคคลใกล้ตัว ก็เห็นว่า ความรักที่เรามีต่อเขา ก็เป็นทุกข์ การคาดหวังต่อคนที่เรารักก็เป็นทุกข์ ฯลฯ สักพักก็เห็นว่า ร่างกายเราที่อยู่ในท่านั่งสมาธิ ลอยห่างออกมาจากพวกเขาไปเรื่อยๆ แล้วก็มีความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา ถ้าเราอยากจะรักอย่างไม่มีทุกข์ หรือทุกข์น้อย เราควรจะรักอย่างพรหมวิหาร 4 เป็นความรักที่เราสามารถให้กับทุกคน ทุกชนชั้น รวมไปถึงคนในครอบครัวเราเอง เป็นรักที่กำหนดขอบเขตแค่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา และเสริมด้วยการรับผิดชอบต่อหน้าที่และฐานะทางสังคมและบทบาทของตนที่มี เช่น บทบาทของความเป็นพ่อ เป็นสามี เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นหัวหน้า เป็นเพื่อน

    การมีสังขารร่างกาย จึงเป็นบ่อเกิดแห่งการเกิดทุกข์ การจะพ้นทุกข์คือการเห็นและเรียนรู้ทุกข์ โดยไม่เอาตัวเองไปเกลือกกลัวในกองทุกข์


    หนุ่ม
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =====

    ดังคำกล่าว ที่ว่าอันสำเนียง ส่อภาษา กริยาส่อสกุล เป็นเช่นนี้จริงแท้มิเป็นอื่น
    ดั่งโบราณกล่าวไว้ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน คนเรานั้นไม่ต้องไปตรวจดูหรอกว่าใครคนอื่นนั้นดีชัวมากน้อยอย่างไร หรือว่าเขานั้นมีภูมิปัญญามากน้อยแค่ไหน ที่คอยโอ้อวดตนและผู้อื่นมากน้อยเพียงใด เพราะทุกอย่างที่ตัวเขาเป็น เขาย่อมแสดงออกมาเองให้เห็นเอง หางจะยาวหรือสั้น ย่อมไม่มีทางปิดได้มิดไม่นานก็โผล่ออกมาให้เห็น ที่มันโผล่ออกมาได้นั้นเป็นเพราะกิเลสภายในไอ้มานะทิฏฐิตัวดีนี่แหละมันคอยแต่จะดึงหางของตนให้โผล่ออกมาให้เห็นจนได้ในที่สุดครับไม่ต้องกลัว.

    ความเป็นอริยะบุคคลของผู้ที่จะเป็นผู้คอยสั่งสอนอบรมผู้อื่นได้นั้น จึงต้องเข้าใจดีว่า ผู้เป็นอริยะบุคคลโดยแท้จริง ย่อมแสดงตนอย่างอริยะชน หรือหากการแสดงกริยา ว่ากล่าววาจาที่อาจจะดูล่อแหลมเสียดแทง ผู้เป็นอริยะบุคคลเช่นครูอาจารย์ทั้งหลาย ท่านก็มีวิธีการที่ฉลาดพอและดีเยี่ยมที่สามารถทำให้ศิษย์ยอมรับในสิ่งนั้นๆได้ เพราะท่านย่อมเข้าใจในวิถีทาง และรู้วาระจิตของศิษย์ของท่านเป็นอย่างดี หากบารมีมีมากพอ ภูมิความรู้การปฏิบัติดีมากพอแล้ว สามารถฝึกตนได้ดีพอแล้ว มีชัยชนะเหนือจิตตนแล้ว อันนี้ย่อมสามารถกระทำได้ แต่ก็ไม่ควรประมาทเพราะหากเราไปเจอผู้ที่รู้มากกว่าเราจริง ปฏิบัติมากกว่าเรา จิตใจสะอาดบริสุทธิ์มากกว่าเรา เราก็ควรจะต้องสำเนียกตนเอง ควรรู้ประมาณตนและให้เกียรติยอมรับผู้นั้นด้วยใจจริงครับ
    ขอเสริมอีกนิดครับว่า เหล่าบัณฑิตทั้งหลายต่างย่อมรู้ดีว่า การเสวนากับคนที่มีปัญญาแต่เป็นคนพาลที่ยึดมั่นในมานะทิฏฐิแห่งตนมากนั้น ย่อมเป็นกาลเสียเวลาเปล่า หาได้มีประโยชน์อะไรไม่ จึงไม่ควรเสวนาด้วย ครับ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

    ที่กล่าวมาก็แค่อยากเตือนสติตนเองครับไม่ได้อยากจะไปเตือนสติใครครับ สุดท้ายก็ต้องปลงอนิจจัง มนุษย์เรามันก็เป็นแบบนี้แหละ แล้วเราละอย่าไปทำตนแบบเขาละมันไม่ดีครับ สาธุ


    ว่าแล้วก็ขอเข้าเรื่องเลยครับคือ ในดิถีปีใหม่นี้ขออวยพร ให้พ่อภู แม่เพ็ญ ท่านอาจารย์ ท่านจิตบำเพ็ญ จิตบุญ จิตเกาะพระ และทุกๆท่าน จงประสพแต่ความสุข ความเจริญรุ่งเรื่องทุกประการ มีดวงตาเห็นธรรมและ เจริญในธรรมบรรลุธรรมอันยิ่งๆขึ้นไปจนถึงที่สุดแห่งนิพพาน ครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  10. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ธรรมมีอุปการะมาก ๒ อย่าง คือ


    ๑. สติ ที่เราต้องฝึกสติ ก็เพราะว่า สติ คือความระลึกได้ว่าถ้าเรามีสติ

    อยู่ตลอดเวลาเราทุกคนถึงต้องฝึกตนให้เป็นคนที่ไม่ขาดสติ

    เราก็จะรู้ตัวทั่วพร้อมในขณะที่เราคิดจะทำอะไร คิดดี หรือคิดชั่ว

    ถ้าเรามีสติ ทุกคนก็จะไม่ประมาท เพราะมีฐานคือมีสติอยู่ตลอดเวลา

    ๒. สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่ทำอะไรโดยขาดสติคิดก่อนทำอยู่เสมอ


    ถ้าเรามีธรรมอุปการะ ๒ อย่างนี้ เราก็จะทำอะไร

    ในสิ่งที่จะทำให้ตัวเราและคนที่รักเราไม่เป็นทุกข์ ฉะนั้น สติและสัมปชัญญะ

    จึงจำเป็นมากที่ทุกคนต้องฝึกให้กับตัวเอง


    ธรรม ก็มีความหมายว่า ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน

    หมายความว่า ธรรมฝ่ายดีก็ทรงความดีไว้ เช่นใครทำดีไว้ขั้นกามาวจร

    รูปาวจร อรูปาวจร โลกุตตระ ธรรมก็ทรงความดีนั้นๆ ไว้

    อย่างยุติธรรมเสมอ ธรรมฝ่ายชั่วก็ทรงความชั่วไว้ เช่น ใครทำทุจริต

    ทางกาย วาจา ใจ ธรรมที่ทรงความชั่วนั้นๆ ไว้อย่างยุติธรรมเช่นกัน


    ขอฝากไว้กับท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านหวังว่าคงมีประโยชน์กับทุกๆ ท่านไม่มากก็น้อยนะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2013
  11. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    สาธุ..ครับ ชัดเจน
     
  12. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ทุกข์สิ่งมีเพราะมีเรา
     
  13. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    *** ขันธ์ กับจิตนี้ ****
    ตัวเดียวกันหรือป่าว

    และก็ สติ กับ ความคิด และวิตกวิจาร ตัวเดียวกันหรือป่าวขอรับ

    และวิธีการแยกการเห็น และเข้าไปกระทำ การฟาดฟันเสียดแทง

    ตัดก้านบัว เพื่อไม่ให้เหลือเยื่อใย นี้ต้องทำอย่างไร

    เพื่อเอาภาพแห่งโลกมายา นั้นออกไปเสียให้พ้นๆ

    แน่นอนว่าต้องเป็นปัญญา แต่ลักษณะแห่งคมปัญญา

    -" มีลักษณะอย่างไร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2013
  14. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    กราบอนุโมทนากับธรรมะโดนใจของคุณtjs ด้วยค่ะ
    คงไม่มีคำคมใดที่มีคุณค่าไปกว่าคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีเทวดามาถามคำถามว่า "คุณธรรมอันใดที่ทำให้ชีวิตประสบความเจริญ" อันเป็นที่มาของ "มงคลชีวิต 38 ประการ" ที่ใครปฏิบัติตามย่อมเป็นเหตุนำมาซึ่งความสุข ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
    มงคลที่ 1.ไม่คบคนพาล
    อย่าคบมิตร ที่พาล สันดานชั่ว
    จะพาตัว เน่าดิบ จนฉิบหาย
    แม้ความคิด ชั่วช้า อย่ากล้ำกราย
    เป็นมิตรร้าย ภายใน ทุกข์ใจครัน...
    "อเสวนา จะพาลานัง"

    ถ้ามงคลข้อแรกทำไม่ได้เสียแล้ว แล้วมงคลข้ออื่นๆ จะทำได้ฤๅ...

    เรื่องภายในย่อมสำคัญกว่าเรื่องภายนอกตน
    คนที่รู้เพียงเปลือกนอกย่อมสู้คนที่รู้ถึงแก่นไม่ได้
    อดีต คือ ความฝัน
    ปัจจุบัน คือ ภาพมายา
    อนาคต คือ ความไม่แน่นอน

    คิดก่อนทำ อดทนไว้ พึงอภัย
    ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่ตัวของเราเอง
    โกงคนอื่น เหมือนจุดไฟเผาตัวเอง
    เมตตาคนอื่น เหมือนสร้างบ้านให้ตัวเอง
    อย่าระแวงคนอื่น ยิ่งกว่าระวังตัวเอง
    ชีวิตไม่พอกับตัณหา เวลาไม่พอกับความต้องการ
    ที่พักครั้งสุดท้าย คือป่าช้า

    ถ้าท่านทำงานแข่งกับสังคม ความพินาศล่มจมจะตามมา
    ถ้าท่านทำงานเห็นแก่หน้า ท่านจะพบปัญหาเรื่อยไป
    ถ้าท่านทำตัวเห็นแก่ได้ ท่านอย่าหว ังน้ำใจจากเพื่อนฝูง
    ถ้าท่านกล้าเกินไป ท่านจะทำอะไรไม่สำเร็จ
    ถ้าท่านกล้าจนเกินงาม ท่านจะพบกับความเดือดร้อน
    ถ้าท่านขาดความพอดี ท่านจะพบกับความทุกข์อย่างมหันต์
    ถ้าท่านขาดความยังคิด ชีวิตทั้งชีวิตจะหมดความหมาย
    ถ้าท่านทำใจให้สงบ ท่านจะพบกับความสุขที่เยือกเย็น
    ถ้าท่านมีความพอดี ท่านจะเป็นเศรษฐีในเรือนยาจก
    ถ้าท่านมีแต่ความงก ท่านจะเป็นยาจกในเรือนเศรษฐี
    ถ้าท่านมีเมตตาจิต ท่านจะมีญาติมิตรทั่วบ้าน
    ถ้าท่านเมตตาเกินประมาณ ท่านจะพบคนพาลทั่วเมือง
    ถ้าท่านคิดถึงความหลัง ท่านจะพบรังแห่งความเศร้า
    ถ้าท่านมีความมัวเมา ท่านจะพบความปวดร้าวภายหลัง
    ถ้าท่านทำดีเพื่อเด่น ท่านจะถูกขเม่นจากญาติมิตร
    ถ้าท่านทำดีเพื่อน้ำจิต ท่านจะมีชีวิตอยู่อย่างสบาย
    ถ้าท่านหวังพึ่งแต่คนอื่น ท่านจะต้องกลืนน้ำตาตัวเอง
    ถ้าท่านรู้จักใช้เวลา ชีวิตจะมีค่ากว่านี้
    ถ้าไม่กินอยู่เท่าที่มี จะได้เป็นเศรษฐีเงินกู้
    ถ้ามั่วสุมกับอมายมุข จะพบความทุกข์ในเบื้องปลาย
    ถ้าทำหูเบาตามเขาว่า จะต้องน้ำตาตกใน
    ถ้าพูดโดยไม่คิด เท่ากับพ่นลมพิษใส่คนอื่น
    ถ้าจริงจังกับโลกเกินไป จะต้องตายเพราะความเศร้า
    ถ้าต้องการความเป็นอิสระ ให้พยายามชนะใจตัวเอง
    ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ จะพบกับความสุขได้ที่ไหน
    ถ้าไม่ยอมปล่อยวาง จะพบกับความว่างได้อย่างไร
    ถ้าหาความสุขจากความมัวเมา ท่านกำลังจับเงาในกระจก
    ถ้าอยากเป็นคนงาม อย่าวู่วามโกรธง่าย
    ถ้าอยากเป็นคนสบาย อย่าเบื่อหน่ายความเพียร
    ถ้าอยากเป็นคนมั่งมี อย่าเป็นคนดีแต่จ่าย
    ถ้าอยากเป็นคนนำสมัย อย่าทำลายวัฒนธรรม
    ถ้าอยากเป็นคนมีเกียรติ อย่าเหยียดหยามคนอื่น
    ถ้าอยากเป็นคนความรู้ อย่าลบหลู่อาจารย์
    ถ้าอยากหาความสำราญ อย่าล้างผลาญสมบัติ
    ถ้าอยากเป็นคนมีอำนาจ อย่าขาดความยุติธรรม
    ถ้าอยากเป็นคนดัง อย่าหวังความสงบ
    ถ้าอยากเป็นที่เคารพ ต้องพบความจบก่อนตาย

    อย่าทำตัวให้เด่น โดยการสร้างหนี้ให้ตัวเอง
    (อย่าพยายามทำใจคนอื่นให้เหมือนใจเรา เพราะเราก็ทำใจให้เหมือนคนอื่นไม่ได้)
     
  15. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    อดีต คือ สิ่งที่ล่วงมา ไม่ควรเหนี่ยวรั้ง
    ปัจจุบัน คือ ความจริง ในสิ่งเฉพาะหน้า
    อนาคต คือ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ไม่ควรคาดหวัง

    ธรรมะ คือ คุณากร เป็นคุณูปการในปัจจุบัน สดๆร้อนๆ

    ส่วน ธรรมะตัดแปะก๊อปปี้จิต คือ สิ่งเอาไว้ทิ่มแทงผู้อื่น เป็น คุณูป้อมปราการ ของคนๆนั้น

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2013
  16. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    โมทนาสาธุด้วยค่ะพี่ต้อย คุณพี่ต้อยท่านจบพยาบาลรุ่นแรกของจุฬาฯ พร้อมกับคุณหมอหลายๆท่าน ความสามารถของท่านก็ไม่แตกต่างจากคุณหมอที่ศึกษามาด้วยกันเลย...:cool:
     
  17. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    บทสวดสรรเสริญพระธรรมคุณ ทำนองสรภัญญะ

    (นำ) ธรรมะคือคุณากร (รับพร้อมกัน) ส่วนชอบสาธร
    ดุจดวงประทีปชัชวาล
    แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์สันดาน
    สว่างกระจ่างใจมล
    ธรรมใดนับโดยมรรคผล เป็นแปดพึงยล
    และเก้านับทั้งนฤพาน
    สมญาโลกอุดรพิสดาร อันลึกโอฬาร
    พิสุทธิ์พิเศษสุกใส
    อีกธรรมต้นทางครรไล นามขนานขานไข
    ปฏิบัติปริยัติเป็นสอง
    คือทางดำเนินดุจครอง ให้ล่วงลุปอง
    ยังโลกอุดรโดยตรง
    ข้าขอโอนอ่อนอุตมงค์ นบธรรมจำนง
    ด้วยจิตและกายวาจาฯ (กราบ)

    พระธรรมคือคำสอนอันมีประโยชน์ เปรียบประดุจประทีบอันโชติช่วง ที่พระบรมศาสดาทรงมอบไว้ให้ กำจัดความมืดบอดในสันดานของสัตวโลกทั้งหลาย ยังจิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายให้สว่างไสว

    พระธรรมอันใดเมื่อว่าโดย มรรคและผล นับได้เป็น 8 (มรรค 4 ผล 4) อีกทั้งพระนิพพาน รวมเป็น 9 ซึ่ีงมีสมญาเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระนพโลกุตตรธรรม อันสว่างล้ำลึกโอฬาร

    อีกทั้งธรรมที่เป็นต้นทางนำไปสู่พระนพโลกุตตรธรรมนั้น ได้แก่ พระปริยัติธรรม และ ปฏิบัติธรรม รวม 2 อย่าง เปรียบดังหนทางที่จะนำไปสู่พระนพโลกุตตรธรรม

    ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรมเจ้านั้น ด้วยกาย วาจา และใจ

    PANTIP.COM : Y6242376 บทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ทำนองสรภัญญะ []
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    พอสะกิดนิดหน่อย เวทนา กับสติ ก็เริ่มทำงาน นำมาแปะในบัดดล

    พร้อมทั้งที่มา ด้วยความโปร่งใส

    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2013
  19. watjojoj

    watjojoj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +9,793
    กิเลสเกิดเพราะมีอวิชชาเป็นนาย
    มุ่งใจตัด “ฉันทะกับราคะ” สองตัวพอแล้ว
    ........................................................................
    “...จงจำไว้ว่า ถ้าปรารถนานิพพาน จงพยายามตัด ฉันทะกับราคะ
    ไอ้ฉันทะกับราคะที่เรียกกันว่าเป็น “อุปาทาน” นี่มันเป็นอะไร
    ท่านเข้าใจไหม แต่ความจริงผมเคยบอกไว้เสมอ ๆ นะ เคยเจอะใน ขันธวรรค (ในพระไตรปิฏก) ท่านเคยพูดถึงอารมณ์ของอวิชชา
    อวิชชา นี่เราแปลกันว่า ไม่รู้ ๆ ไปตะบัน ครูบาอาจารย์ท่านสอนอย่างนั้น แต่ว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านบอกว่า คำว่า “อวิชชา” นี่ต้องแปลว่า รู้ไม่ครบ เพราะว่า คนและสัตว์ที่เกิดมาไม่รู้ไม่มี

    ใน ขันธวรรค ท่านบอกว่า การตัดอวิชชา แยกศัพท์ออกมาได้เป็นจริยา คือ เป็นอาการของอวิชชา คือฉันทะความพอใจ ราคะความกำหนัดยินดี ถ้าอารมณ์ทั้ง ๒ ประการนี้ยังมีในจิต ก็เชื่อว่าบุคคลนั้น ยังมีอวิชชาอยู่ในใจ ไปนิพพานไม่ได้

    ฉันทะพออะไร พอใจความร่ำรวย พอใจความสดสวยงดงาม พอใจในความโกรธ พอใจในความพยาบาท พอใจในชาติในภพ ชาติภพคือชาติมนุษย์ ชาติเทวดา ชาติพรหม
    “ราคะ” มีความกำหนัดยินดี ชื่นอกชื่นใจเหลือเกิน มีความร่ำรวยมีของสวยโกรธใครเขาได้ หรือติดชาติติดภพ เกิดเป็นคนได้ เกิดเป็นเทวดาได้ เกิดเป็นพรหมได้ ดีอกดีใจ ชื่นใจ รักมาก

    นี่อาการอย่างนี้เป็นอาการของ อวิชชา ความโง่ที่ดึงตัวให้ติดอยู่ เรียกว่า “อุปาทาน” ถ้าตัดเหตุทั้งสองประการนี้ได้แล้ว ก็ไม่ต้องไปตัดอะไร ถ้ามุ่งใจตัด “ฉันทะกับราคะ” สองตัวพอแล้ว อารมณ์ของท่านก็ไปถึงนิพพานเพราะทำลายอวิชชาได้ อย่างอื่นมันก็ไม่เหลือกิเลสทั้งหมดที่มันจะเกิดได้ก็เพราะอาศัยอวิชชาเป็นนาย.”

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    จากเรื่อง ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า ตอนที่ ๑๙
    ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๒๔๙ ธ.ค. ๒๕๔๔ หน้า ๓๕
     
  20. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    ในนี้ เห็นจะมีคุณ "อุษาวดี" นี่ล่ะนิ่งที่สุด (สังขารุเบกขา)
     

แชร์หน้านี้

Loading...