จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขออนุโมทนาบุญกับจิตบุญดวงที่ ๑๓๐ ดว้ยค่ะและขออนุโมทนากับคุณ

    ครูแนท และผู้ที่มีส่วนร่วมในความสำเร็จครั้งนี้ ขออนุโมทนาค่ะสาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2013
  2. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขออนุโมทนา กับ จิตบุญดวงที่ ๑๓๐ และครูผู้สอนทุกๆท่านด้วยค่ะ:cool::
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2013
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ขอกล่าวถึง "อาหารกายกับอาหารใจ"เพราะเราจะรู้ดีว่าถ้าเราไม่ได้กินอาหารนั้นไม่เกิน ๓ เดือน ก็คงจะตายแน่ๆนอกจากท่านผู้ปฏิบัติบางท่านที่ท่านได้"ญาณ"ที่เป็นอาหารทิพย์แต่สําหรับคนธรรมดาๆคงตายแน่ จึงนํามาเล่าเรื่องอาหารที่มนุษย์เราต้องการ คือ ปัจจัย ๔ แต่ถ้ากินมากเกินไป อาหารนี่แหละก็ฆ่าเราได้ เพราะกินไม่เป็นคือ "กินทุกอย่างที่ขวางหน้า" นั้นก็หมายความท่านเป็น"ทาส"ของอาหารแล้วนั้น แล้วตามมาก็คือเป็น"โรค"ต่างๆตามมาได้อย่างเช่น "โรคความดัน โรคเบาหวาน โรคอ้วน"ก็ตามมานี่คือ อาหารทําให้เกิดทั้งคุณทั้งโทษต่อเรา จึงมีคํากล่าวว่า "กินไม่พิจารณาจะเป็นปลาติดเบ็ด" แต่นั้นก็ไม่ได้หมายถึงทุกคนจะเป็นอย่างนั้นเพราะถ้าเราปฏิบัติธรรมเราก็จะพิจารณาอาหารและก็เข้าใจในการกินเพื่ออยู่ พอประมาณเท่านั้นท่านผู้ปฏิบัติจะไม่ยึดติดในรสอาหารเพราะท่านอยู่เพื่อรักษาธาตุขันธ์เฉยๆ ส่วน"อาหารใจ"นั้นแตกต่างกันคือ ทําให้อิ่มเอิบใจ อาหารใจนี้ได้จากการ ภาวนา รักษาศีล ที่ทําให้เกิด ปัญญา รักษาธาตุขันธ์ ผู้ปฏิบัติจะเป็นคนมีสุขภาพดีและร่างกายแข็งแรง ดูแล้วจะต่างจากคนที่มีแต่ อาหารกาย เพราะจะลุกจะนั่งก็ไม่สะดวก สบาย เพราะมันหนักน่วงกายเพราอาหารมันทําพิษ แต่ถ้าได้อาหารใจนี่ท่านจะเบากายและเบาใจ จึงขอนํามาฝากท่านว่าการกินก็มีคุณและโทษของอาหารตามความเหมาะสมค่ะ.
     
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]



    ขออนุโมทนาบุญ กับ จิตบุญน้องใหม่ จิตบุญ ที่ 130 คุณชมภูนุช น้องเป้ ...และคุณครูที่เกี่ยวข้องทุกท่านค่ะ... สาธุ



    เนื่องในวันครู...ขอน้อมเศียรเกล้าก้มกราบแทบพระบาท ท่านพ่อ สมเด็จองค์ปฐม ผู้เป็นปฐมบรมครู ของพวกเรา ชาว จิตเกาะพระ... และ กราบเท้า ครูบาอาจารย์ ทุกท่าน...มีหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นที่สุด...ลูกขอเดินตามรอยเท้า ท่านพ่อและ หลวงพ่อฯ ... ทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด จนกว่าชีวิตลูกจะหาไม่...

    อีกครั้ง...ที่ได้มีโอกาส ทำหน้าที่ พาดวงจิตที่พร้อมจะยุติการเกิดใน วัฏฏะสงสาร ขึ้นกราบพระบาท ท่านพ่อ บนพระนิพพาน ...
    น้องเป้...เพื่อนรุ่นน้องที่เคยไปปฏิบัติธรรม ที่วัดพุทธปทีป ด้วยกัน เมื่อต้นปีที่แล้ว ...และเมื่อวาระมาถึง ธรรมะก็จัดสรรให้มาได้เจอกัน อีกครั้ง ในงานบุญ เมื่อวันที 29 ธ.ค 55 ..มีโอกาสได้สนทนาธรรม กัน จึงทราบ ว่า ... นี่คือ อีกคนนึง ที่กำลังหาทางกลับบ้านพระนิพพาน..เธอเหมือนเครื่องบิน ที่กำลัง บินวนไปวนมา หาลานบิน ลงไม่ได้... จับประเด็นได้ว่า ... เธอมีอภิญญา ขนาด 5 ดาว เลยทีเดียว และต้องการรื้อฟี้นของเก่า จากอดึตชาติ.ก็บอกเธอว่าเดี่ยวค่อยไปฝึกเมื่อไหร่ก็ได้ นั่นน่ะ ไม่ใช่ทางหลุดพ้นนะ ..อภิญญา ไม่ได้ทำให้เธอพ้นทุกข์ถาวร ยังเสี่ยงกับ นรก อยู่เลย .. ทำไมไม่ทำ จิตให้เป็นพระอริยะ ให้ได้ก่อน อภิญญาก็จะตามมาทีหลัง ...เธอมองหน้าทันที และ ถามด้วย ความสนใจ ก่อนจะตัดสินใจ มาเรียน จิตเกาะพระ เมื่อวันขี้นปีใหม่ ...รวมระยะเวลาเรียนทั้งสิ้น 15 วัน


    ตลอดระยะเวลา 15 วัน น้องเป้ ..ปฏิบัติอย่างจริงจัง.ตั้งใจมาก วิริยะ พากเพียร ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ กำลังใจเด็ดเดี่ยวเอาความตายเข้าแลก..เลยทีเดียว...กว่าจะถึงวันนี้ ...อุปสรรคค่อนข้างมาก ครูพี่แนท ก็ไม่ยอมแพ้ ตามจี้ ตามจิก ทั้งทางemail facebook โทรศัพท์ message ทุกรูปแบบ ...เนื่องจากเธอ ส่งการบ้าน ไม่สม่ำเสมอ ทำให้ การสอนเดินมรรค ค่อนข้างไม่ต่อเนื่อง เนื่องจาก จิตเธอไปไวมาก ..จนบางครั้งท่านพ่อ เมตตาสงเคราะห์ ท่านมาสอนเธอเอง ในสมาธิ ...ครูแนทตามสอนซ้ำอีกที เป็นอย่างนี้ ก็หลายครั้ง ..และเธอเองก็ถูกทดสอบกำลังใจ จากท่านพ่อ ว่าปรารถนาพระนิพพานด้วยศรัทธาแท้ หรือเปล่า? จวบจนกระทั่ง วันสุดท้าย ของการเรียน ท่านพ่อ ก็มาสงเคราะห์ ยกจิต เธอขี้นนิพพาน...เธอเล่าว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหม เทวดา นางฟ้า ต่างโมทนา ชี่นชม เฉลิมฉลอง รื่นเริงกันเป็นการใหญ่เลย.."เธอบอกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่เลย.".. ตอนนี้ เธอกำลังเขียนบันทึก นาทีสำคัญ นั้น มาเล่าให้ทุกท่านทราบค่ะ...โปรดรอสักครู่ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2013
  5. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    ขออนุโมทนาบุญกับน้องเป้ จิตบุญดวงที่ 130 , ครูพี่แนท พร้อมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยนะค่ะ....สาธุ สาธุ สาธุค่ะ
     
  6. fein

    fein เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +463
    เมื่อคืน อ่านไปจนจบก็นอนเลยค่ะ ครูเพ็ญทักช้าาาไปหน่อยค่ะ แหะๆ

    แหมครูเพ็ญก็เป็นคุณครูใหญ่ของจิตเกาะพระไงคะ...
    ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะให้พวงมาลัยให้เลยค่ะ แต่...อย่าเอาไปรัดคอนะคะ อิอิ

    ขออารธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ได้โปรดดลบัลดาลให้ครูเพ็ญ ครูภู ครูดัช ครูผึ้ง ครูหน่อย ครูเมิล และจิตบุญทั้งหลาย และผู้มีธรรมทั้งหลาย ที่ได้ให้ธรรมทานแก่ฝ้ายในเวปนี้ มีสุขะ พละ คิดหวังสิ่งใดขอให้สมปราถนาทุกประการนะคะ



    [​IMG]

     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ความหมายของจิตมี ๑๐ ชื่อ คือ

    ๑ ธรรมชาติใดย่อมคิดธรรมชาตินั้น ชื่อว่า จิต.

    ๒ ธรรมชาติใดย่อมน้อมไปหาอารมณ์ ชื่อว่า มโน.

    ๓ จิตรวบรวมอารมณ์ไว้ภายใน ชื่อว่า หทัย.

    ๔ ฉันทะที่มีในใจนั้นเอง ชื่อว่า มนัส.

    ๕ จิตเป็นธรรมชาติที่ผ่องใส ชื่อว่า ปัณฑระ.

    ๖ มนะนั่นเองเป็นอายตนะ ชื่อว่า มนายตนะ.

    ๗ มนะนั่นแหละเป็นอินทรีย์ ชื่อว่า มนินทรีย์.

    ๘ ธรรมชาติใดรู้แจ้งอารมณ์ ชื่อว่า วิญญาณ.

    ๙ วิญญาณนั่นแหละเป็นขันธ์ ชื่อว่า วิญญาณขันธ์.

    ๑๐ มนะเป็นธาตุที่รู้แจ้งซึ่งถึงอารมณ์ ชื่อว่า มโนวิญญาณธาตุ.

    คัดมาให้ผู้อ่านได้ทราบถึงความหมายของจิต ๑๐ ชื่อ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2013
  8. pporjai

    pporjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    8,907
    ค่าพลัง:
    +16,490
    โมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๓๐ ของกลุ่มจิตบุญ ด้วยค่ะ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. UncleGee

    UncleGee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    4,016
    ค่าพลัง:
    +10,241
    _/\_ สาธุ
    ขออนุโมทนากับจิตบุญดวงที่ ๑๓๐
    และคุณครูจิตบุญทุกท่านด้วยครับ
     
  10. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    ขอให้เจริญๆ ทั้งทางโลกและทางธรรมนะคะคุณฝ้าย
     
  11. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    “..การปฏิบัติจริงๆ ต้องปฏิบัติเมื่อประสบอารมณ์
    มีสติตามรู้ เท่าทันอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
    ไม่เลือกเวลา สถานที่ หรือโอกาส
    ทุกอิริยาบท เป็นการปฏิบัติอยู่ทั้งนั้น...”

    หลวงพ่อชา สุภทฺโท
    ที่มา fb ธรรมโอสถ ​
     
  12. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ● คำสอนสมเด็จองค์ปฐม

    อย่าไปชนะจริยาของคนอื่น ให้รู้จักชนะความโกรธในจิตของตนเอง

    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น (พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน)​
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอโมทนาบุญกับคุณเป้UK จิตบุญ 130
    และครูแนท ตลอดจนครูผู้สอนทุกท่านครับ
     
  14. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สติเลี้ยงปัญญา ปัญญาเลี้ยงจิต
    แล้วจิตปัญญาจะมาเลี้ยงสติอีกที


    แค่ทำให้สติเกิดบ่อยๆถี่ๆ จนกลายเป็นมหาสติหรือทรงฌานนั่นเอง
    เพราะในขณะที่สติเกิดบ่อยหรือทรงฌานอยู่นั้น ปัญญาย่อมเกิดขึ้น
    และพิจารณาตามความเป็นจริงได้ พร้อมกับจิตที่ยกหรือจิตปัญญาญาณ

    หรือพูดให้เข้าใจง่าย ก็คือ สติ+จิต=ทำให้เป็นหนึ่งเดียว=เอกัคคตารมณ์
    คือ ภาวะที่จิตตั้งมั่นไม่ไหลไปกับอารมณ์ต่างๆ(สัมมาสมาธิ)
    เมื่อสติกับจิตรวมกันเป็นหนึ่ง แล้วปัญญาก็จะเกิดเอง หรือ เราก็รู้เมื่อนั้นเอง
    พี่ภูหมายถึง จิตบุญนะ
    เพราะจิตบุญนั้น จิตเขาสอบผ่านปัญญาญาณไปแล้ว
    แต่ที่มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ก็คือ สติ
    สติหรือคราบมนุษย์ยังอยู่ เราก็หนีไม่พ้นกับกิเลสหรือกระแสโลก
    แต่เมื่อใด ถ้าเราหมั่นทรงฌานเป็นปกติแล้ว ปัญญามันก็จะเกิดเอง
    ปัญญาจะช่วยให้เรารอดพ้นหรือแยกแยะทุกธรรม ทุกกิเลสได้
    แต่ผู้ที่สามารถมองเห็นเกิด-ดับของจิต(เจตสิก=อารมณ์ของจิต)นั้นได้
    จำเป็นต้องใช้ปัญญาละเอียด หรือปัญญาญาณ
    ปัญญาญาณ ไม่ใช่ปัญญาที่ได้จากสมาธิหรือฌาน

    สรุปแล้วจิตบุญ แค่ทำความรู้สึกบ่อย(มีสติบ่อยๆ)
    หรือหมั่นทรงฌาน แต่อย่าไปพูโถึงติดสุขจากฌานกันนะ เพราะจิตบุญสอบผ่านไปแล้ว
    แค่มีสติรู้สึกตัว+ทั่วพร้อม ก็จะทำให้เรารู้เท่าทันของการเกิดกิเลสตนและผู้อื่นได้
    หรือสิ่งที่มากระทบ แต่ถ้ากระทบมากๆ สติธรรมๆก็เอาไม่อยู่
    ถึงได้บอกกับพวกเราไปว่า แค่สติธรรมดาๆนั้น ก็เหมือนไม้ซีกจะไปงัดไม่ซุง(กิเลส)
    ขืนนำสติธรรมดาๆไปวิ่งไล่ชนกิเลส มีหวังตายกับตายลูกเดียว
    กิเลสตัวเล็กๆพอไหว แต่ถ้ากิเลสตัวใหญ่ๆ แค่สติอย่างเดียวไม่มีกำลังมากพอแน่
    เพราะคนเราที่หลงกันมาเกิดนั้น ไม่ใช่กิเลสต่างๆหรอกหรือ?

    กำลังหรือที่จะเอาชนะกิเลสหยาบ ก็คือ สติหรือศีล
    เอาชนะกิเลสขนาดกลาง ก็คือ ฌาน หรือปัญญาที่ได้จากสมาธิ
    แต่จะเอาชนะกิเลสละเอียด ก็คือ ปัญญาญาณ

    จิตบุญเอ๋ย! ตกฌาน ตายทุกราย
    ขนาดพระอรหันต์ ท่านยังต้องเจริญสติอยู่เป็นประจำ จนกว่าจะละสังขาร
    แล้วพวกเรา(จิตบุญ) ท่านคิดว่าเป็นใคร? เก่งมาจากไหน?


    จบฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มกราคม 2013
  15. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเน้นย้ำ คำว่า สติ
    คนเราจะเป็น จะตาย ก็เพราะว่า ไม่มีสติกัน นี่แหล่ะ!
    สติมากก็ทุกข์น้อย เผลอสติก็ทุกข์มาก
    ก็แค่เรื่องสติ บอกว่าให้ทรงฌานๆๆๆๆๆๆ ก็ไม่เชื่อกัน
    เมื่อสติน้อย ก็ทุกข์ให้เข็ดกันไป
    ดื้อกันนัก...


    สติ แปลว่า ความรู้สึกตัว
    สติคอยทำหน้าที่ระหว่างกายกับจิต
    เช่น รู้กายเคลื่อนไหวใช้แค่สติก็พอ
    แต่..รู้ใจเคลื่อนไหว ใช้แค่สติเพียงอย่างเดียวไม่พอ แต่จะต้องใช้ปัญญา/ปัญญาญาณ เป็นต้น

    เพราะฉะนั้น
    เรา(สติ)ส่วนใหญ่จึงอยู่กับกาย อยู่กับกระแสโลกซะมากกว่า
    เพราะธรรมชาติมันถูกสร้างให้เรา(สติ)คอยทำงานร่วมกับกาย(สมอง) หรืออายตนะทั้งภายนอก-ใน
    แล้วไปสิ้นสุดที่ในใจของเรา สรุปแล้วก็คือ รู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์

    แต่เจริญสติภาวนา
    ไม่ใช่ให้สติไปตัดความรู้สึกหรือการรับรู้ออกจากกายหรือกิเลสหรือกระแสโลก
    เมื่อเรามีความรู้สึกตัวมาก(สติเกิดมาก) ปัญญาก็เกิด เราก็จะรู้ความจริงเมื่อนั้น
    จิตจะเกิดปัญญาได้ก็ต่อเมื่อ จิตนิ่งหรือจิตเป็นสมาธิหรือจิตเป็นฌาน
    เมื่อเรา(จิต)เกิดปัญญา ต่อไปเรา(จิต)ก็รู้เท่าทันกิเลส หรือไม่ไปวิ่งตามกระแสโลกอีกต่อไปแล้ว

    หลวงปู่ดูลย์บอกว่า “คิดเท่าไหร่ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ต้องอาศัยคิด”
    ก็ให้มันคิดไป แต่คิดแล้วจิตเคลื่อนไปนะ จิตเกิดอะไรขึ้นแล้วคอยรู้ทัน ก็จะเห็นเลย พอรู้ทันว่าจิตเคลื่อน จิตตั้งมั่น
     
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะอย่างอื่น ไม่ต้องไปรู้มากหรอก
    เอาแค่เรื่องสติกับจิตตนเอง ให้รอดก่อนเห่อ
    อย่าเอาแต่ท่องจำกันมากนัก ตำราน่ะ

    ให้ปฎิบัติมากๆ เมื่อได้ผล แล้วจึงนำมาเทียบกับตำราเอาภายหลัง
    กันหลงทาง กันหลงตนเอง รู้ไม่มีผู้ใดเก่งกว่าพระพุทธเจ้ากันหรอก

    เรียนธรรมะต้องนำจิตมาเดินมรรค ไม่ใช่เอาตา-หูไปเดินมรรค
    ท่องตำรามากเสื่อมมาก สมองนะเสื่อม มิใช่ตำรา
    แล้วจะไปท่องจำกันทำไม แค่สัญญา ไม่ใช่ปัญญา

    ธรรมกำลังสอนให้เราละหยาบ/ละเอียด
    ธรรมะกำลังสอนให้เราละบัญญัติ/สมมุติ
    ธรรมะกำลังสอนเราให้รู้-เห็น ตามความเป็นจริง ด้วยปัญญา
    ธรรมะกำลังสอนให้เราหลุดพ้น ด้วยปัญญา/ปัญญาญาณ

    เวลาศึกษาธรรมะให้เอากันจริงๆ เอากันจริงๆหมายถึง ปฎิบัติมากๆ
    ไม่ใช่ท่องจำกันมากๆ
    เรียนธรรมะให้ใช้จิตมากๆ มิใช่ให้ใช้สมองกันมากๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มกราคม 2013
  17. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    มาส่งการบ้านเด็กจิตยกคนล่าสุดก่อน อีกสักครู่ครูท่านอื่นจะมาเขียนต่อนะคะ
    1.หากมีเหตุให้ต้องตาย จะเสียดายชีวิตไหม พร้อมตายไหม?
    พร้อมค่ะ
    2.มีห่วงใดๆติดค้างอยู่ในจิตในใจของท่านหรือไม่?
    ไม่มีค่ะ
    3.เมื่อเห็นท่านพ่อทุกครั้งรู้สึกเช่นไร?
    มีกำลังใจ แล้วก็สบายใจค่ะ
    4.มองว่า ทุกข์ คืออะไร?
    คือสิ่งที่เกิดจากขันธ์ 5 ดับไปพร้อมกับขันธ์ 5 มองเห็นทุกข์สองแบบ ทุกข์กาย และทุกข์ใจ เห็นความทุกข์อยู่ที่เป็นของกาย เช่น ไม่สบาย หิว ฯลฯ อยู่ แต่จิตไม่ได้ทุกข์อะไร แค่รู้วาง จิตนิ่งๆ ส่วนทุกข์ใจ เป็นอารมณ์ปรุงแต่ง ความยึดมั่นถือมั่นและเกิดจากกิเลสทั้งหลาย มันดับได้ด้วยสติ จิต และไม่มีอยู่ในจิตให้ทุรนทุรายเหมือนเมื่อก่อน อารมณ์ตอนนี้เป็นแบบไหน เช่น สบายๆ นิ่งๆ ว่างๆ อะไรประมาณนี้ค่ะ
    นิ่งๆ สบายไม๊ ไม่เคยคิดว่าสบายหรือเปล่า แต่รู้สึกอารมณ์เดียวไม่เกาะอะไร ไม่เหมือนเมื่อก่อน หงุดหงิด โกรธ โมโห บ่อยมากๆ ว่างก็ไม่ค่อยว่าง คิดเรื่องนั้นนี่ แต่คิดเป็นอย่างๆ ไม่ฟุ้ง เช่น ทำงานก็คิดเรื่องงาน พักเรื่องงานจะพิจารณาธรรมก็คิดไป งี้อ่ะค่ะ
    6.รู้สึกมั้ยว่า เราไม่ได้มีจิตที่เป็นดังเดิมอีกต่อไป และไม่เหมือนคนอื่น
    ต่างจากคนอื่นอย่างมาก มองไปทางไหนเหมือนอยู่ตัวคนเดียว จิตเดียว?
    ต่างมากๆ มองคนรอบตัวในชีวิตประจำวันไม่มีใครคิดแบบเราเลย ต่างมากๆ
    7.ท่านพ่อบอกจะให้ไปนิพพานตอนนี้ จะไปไหม?
    ไปแน่นอนค่ะ
     
  18. ◎

    เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2012
    โพสต์:
    428
    ค่าพลัง:
    +5,154
    จะยึกยัก หรือยึดเยื้อ ก็ไม่สำคัญเท่ากับการปล่อยหรอกครับ

    ดังนั้น หากโรงเรียนนี้ เป็น "รร.ของหนู มณีตรี คำภีร์"

    ควรจะต้อง ชหม. แต่ไม่จำเป็นที่จะต้อง นน. และ นน.

    หากเพราะ สว. จะอุทานเป็นเกาเหลา มจก.

    ซ้ำยังเสีย พลจ.เปล่าๆ เพราะการอยากรู้ คป.

    โอ้..ตำเรือ(อตร.) ^^

    สติ คือ กรล.
    สัมปชัญญะ คือ กรช.

    แล้วจะ สบ.หห.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2013
  19. phai-put

    phai-put เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +306
     
  20. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    กิเลสที่อยู่ในจิตเรา ก็เหมือนต้นไม้ที่มีทั้งรากแก้ว รากฝอย และลําต้น กิ่ง ก้าน สาขา ทุกอย่างอยู่ในต้นไม้นั้น ฉันใดกับกิเลสที่อยู่ในใจก็มีหลายแขนง และถ้าเราจะกําจัด กิเลสของเรา เราก็จะต้องถอนรากมัน คือ "อวิชา"เปรียบเสมือนการถอนรากแก้วของต้นไม้ คือ ถอนโคนมันทิ้งทั้งหมด ถ้าจะตัดใบตัดกิ่งของต้นไม้มัน ก็ยังจะงอกออกมาอีกฉันนั้น กับกิเลสก็เหมือนกันต้องโคนลงทีใจ คือถอนที่ใจเท่านั้น ก็คือ "การภาวนาฆ่ากิเลส" ธรรมะขององค์หลวงตา มหาบัว ญาณสัมปันโน. ขอน้อมกราบนมัสการองค์หลวงตา ด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...