คนขายชาติพ.ศ.2556

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย foleman, 2 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    คนขายชาติพ.ศ.2556

    โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์

    อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ


    คดีปราสาทพระวิหารยังคงเป็นประเด็นร้อน ซึ่งคาดว่าศาลโลกจะมีคำตัดสินมาในช่วงปลายปีนี้

    วันนี้จะพูดถึงเบื้องหลังที่เชื่อว่ามีส่วนที่ทำให้ไทยต้องเสียปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลก ในความเป็นจริงของเวลานั้น เราสู้กับฝรั่งเศสไม่ใช่สู้กับเขมร เพราะเขมรเป็นเพียงมารับช่วงต่อจากฝรั่งเศสเท่านั้น คดีที่จะเล่าต่อไปนี้จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับฝรั่งเศสโดยตรง เรียกว่า

    “คดีจารกรรมของฝรั่งเศสในประเทศไทย”

    ที่จารชนฝรั่งเศสล้วงตับไทยเอาไปให้เขมรสู้ในศาลโลก และมีส่วนสำคัญที่ทำให้ไทยแพ้คดี ในเมื่อคู่ต่อสู้รู้หมดว่าเราจะมาไม้ไหน จะสู้ในรูปแบบใด เขาดักทางได้หมดและเรามารู้ก็ต่อเมื่อสายไปเสียแล้ว

    คดีจารกรรมฝรั่งเศสถือว่าเป็นคดีต่อต้านการจารกรรมที่หน่วยต่อต้านข่าวกรองของไทยในขณะนั้น ได้ทำได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ตั้งแต่มี “สิ่งบอกเหตุ” หรือ “สิ่งนำสืบ” นำไปสู่การ “สืบสวน” จนทำให้รู้ว่าใครคือ “สปอนเซอร์” ใครคือเจ้าหน้าที่สืบราชการลับ หรือเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของฝรั่งเศสที่มาทำงานคดีนี้ในไทย โดยแฝงตัวมาหรือที่เรียกว่ามีการ “อำพรางอย่างเป็นทางการ” ด้วยการเป็นนักการทูตอยู่ในสถานทูตฝรั่งเศสประจำไทยเพื่อให้มีเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูต ใครคือ “สายลับหลัก” และ “สายลับปฏิบัติการ” ทั้งหมดมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง จนได้หลักฐานเพียงพอและนำไปสู่การจับกุม ส่งฟ้องศาลและศาลตัดสินลงโทษจารชนที่เกี่ยวข้องทั้งไทยและฝรั่งเศสคนละหลายปี


    เจ้าหน้าที่รู้เรื่องนี้ในครั้งแรกได้อย่างไร มีอะไรที่เป็นสิ่งบอกเหตุที่นำสืบต่อไป บางท่านบอกว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้นได้ปรารภว่า เวลาทูตฝรั่งเศสมาพบปะหารือข้อราชการ ทำไมทูตฝรั่งเศสรู้ตื้นลึกหนาบางของไทยดี ทั้งที่บางเรื่องเป็นการประชุมลับ หน่วยข่าวจึงต้องรับไปทำต่อ อีกท่านหนึ่งบอกว่า มีผู้หวังดีแจ้งให้ทราบว่า ข้าราชการในทำเนียบนายกรัฐมนตรีบางคนซึ่งมีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยผิดปกติ จึงได้มีการขยายผลสืบสวน จนพบเครือข่ายจารกรรมฝรั่งเศสในประเทศซึ่งขยายตัวอย่างกว้างขวาง

    เจ้าหน้าที่ข่าวกรองฝรั่งเศส ซึ่งอำพรางตัวมาเป็น “เลขานุการโท” ในสถานทูตฝรั่งเศส เป็นผู้วางแผนปฏิบัติการทั้งหมด โดยใช้คนไทยเชื้อชาติฝรั่งเศส 2 คน คือ ยอนนา ชอง ปอล ปรั๊ก และ มิแชล ลามาช ซึ่งพูดภาษาไทยได้ โดยเฉพาะคนหลังเรียนที่โรงเรียนฝรั่งแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีเพื่อนฝูงเป็นคนไทยมากมาย เป็น “สายลับหลัก” จนนำไปสู่การ “รีครูต” ข้าราชการไทยในกระทรวง ทบวง กรมที่เกี่ยวข้องมาเป็น “สายลับปฏิบัติการ” คอยส่งความลับทางราชการให้


    ข้าราชการไทยที่ถูกจัดตั้งเป็นสายลับเท่าที่พิสูจน์ทราบได้มี 6 คน คนหนึ่งทำงานอยู่ในทำเนียบนายกรัฐมนตรี อีกคนทำงานอยู่กองกลาง กระทรวงมหาดไทย อีกคนทำงานอยู่ในสำนักงานเลขานุการรัฐมนตรีมหาดไทย อีกคนทำงานในสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย มีตำรวจสองคน คนหนึ่งทำงานอยู่ฝ่ายสารบรรณ กรมตำรวจ และอีกคนเป็นเวรนำสาร ทั้งหมดล้วนเข้าถึงเอกสารลับของทางราชการทั้งสิ้น


    สำหรับค่าตอบแทนที่ได้รับนั้น สายลับรายหนึ่งสารภาพภายหลังว่าได้เดือนละ 1 หมื่นบาท ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนมากในช่วงเวลานั้น เพราะผู้จบปริญญาตรีได้เงินเดือน เดือนละ 900 บาท

    เมื่อส่วนราชการหนึ่งต้องส่งเอกสารลับในซองปิดผนึกไปยังมีส่วนราชการหนึ่ง เช่น จากมหาดไทยไปทำเนียบฯ และกระทรวงต่างประเทศ หรือจากกรมตำรวจไปกระทรวงมหาดไทย ฯลฯ สายลับที่ทำหน้าที่นำสารแทนที่จะส่งไปโดยตรง กลับนำไปมอบให้กับ มิแชล ลามาช ที่สวนลุมพินีบ้าง ที่ใกล้สถานทูตฝรั่งเศสบ้าง และรอคอยเอาคืนมา ซองเอกสารลับจะถูกเปิดในสถานทูต ถ่ายสำเนาไว้ และนำกลับคืนให้ผู้นำสารให้นำส่งต่อไปยังจุดหมาย โดยผู้รับไม่รู้เลยว่าซองนี้ได้ถูกเปิดเรียบร้อยแล้ว ทำอย่างนี้เป็นประจำ


    เป็นที่น่าตกใจที่จากการตรวจสอบภายหลังการจับกุม พบว่า ในช่วงปี 2501–2508 สำเนาโทรเลขที่รับ-ส่งระหว่างกรุงเทพฯ กับสถานทูตไทยในต่างประเทศ ที่หลุดรั่วไปถึงฝรั่งเศสมีจำนวนไม่น้อยกว่า 576 ฉบับ ส่วนหนึ่งในนั้นเป็นความลับเกี่ยวกับท่าทีของไทยในการต่อสู้คดีเขาพระวิหาร ทั้งนี้ ไม่รวมถึงเอกสารลับอื่นๆ อีกนับร้อยฉบับ ถือว่าเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย จึงไม่แปลกใจที่ว่า เวลาสถานทูตไทยในยุโรปได้รับคำสั่งให้ไปค้นหาเอกสารประวัติศาสตร์ที่หอสมุดแห่งชาติ ปรากฏว่าฝรั่งเศสเอาไปก่อนทุกครั้ง ซึ่งเวลานั้นเจ้าหน้าที่ไทยก็สงสัยว่าทำไมหาเอกสารนี้ไม่เจอสักที เพิ่งมาถึงบางอ้อก็ต่อเมื่อคดีนี้ถูกเปิดเผย

    คดีจารกรรมแบบนี้จำนวนไม่น้อยที่ทางการมารู้ในภายหลัง เรียกว่ากว่าจะรู้ก็ช้าไปแล้ว ดังนั้น การสร้างจิตสำนึกด้านการรักษาความปลอดภัยจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะ รปภ.เป็นมาตรการป้องกัน ถ้าคนไทยช่วยกันเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่ง พอเห็นอะไรผิดปกติก็รีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้น

    ปี 2505 ไทยเสียปราสาทพระวิหารจากคดีจารกรรมฝรั่งเศส ที่มีจารชนเป็นคนไทยขายชาติ

    ในปี 2556 เราไม่ทราบว่า ไทยจะมีคนไทยขายชาติ ที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียดินแดนเพิ่มเติมอีกหรือไม่อย่างไร

    วันนี้ฝรั่งเศสและกัมพูชาไม่จำเป็นต้องสร้างจารชน (Secret Agents) เช่นในอดีต สิ่งที่ฝรั่งเศสและกัมพูชาน่าจะได้ไว้แล้ว เราเรียกว่า “สายลับอิทธิพล” (Agent of Influence) ที่ไม่จำเป็นต้องซุกซ่อนตัวเหมือนเช่นจารชน แต่เป็นคนที่มีตำแหน่งใหญ่โต เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในวงสังคม และอาจมีรูปและข่าวออกในหนังสือพิมพ์บ่อยครั้ง บางคนอาจเป็นรัฐมนตรีหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มีอิทธิพลในการกำหนด เปลี่ยนแปลงนโยบายที่อาจเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายตรงข้าม หรือแอบไปตกลงแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้ามโดยที่ประชาชนไม่รู้

    สายลับอิทธิพลน่ากลัวมากกว่าจารชนทั่วไป เพราะสายลับอิทธิพลสามารถผลักดันให้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งจะทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายยิ่งกว่าการกระทำของจารชนเสียอีก และเป็นการยากสำหรับหน่วยต่อต้านข่าวกรองในการสืบสวนจับกุม นอกจากให้สังคมแซงก์ชัน วันนี้ ท่านผู้อ่านพอจะมองเห็นคนไทยที่เป็นสายลับอิทธิพลให้กับฝรั่งเศสและกัมพูชา หรือให้กับชาติอื่นบ้างไหม

    ผลของคดีปี 2556 จะซ้ำรอยกับปี 2505 เพราะมีคนไทยขายชาติหรือคนไทยหัวใจเขมร หรือไม่อย่างไร


    ที่มา posttoday
    24 มกราคม 2556
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 418000afc.jpg
      418000afc.jpg
      ขนาดไฟล์:
      116.3 KB
      เปิดดู:
      173
  2. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ภุมรัตน์ ทักษาดิพงศ์ หลายคนคงรู้จักเจ้าตัวในฐานะ คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเหตุการณ์สลายกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ที่ สภ.อ.ตากใบ จ.นราธิวาส แต่ใครจะรู้บ้างว่าข้าราชการบำนาญที่เป็นชายสูงอายุเฉียด 64 ปีในวันนี้ อดีตเคยเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ (สขช.) แถมยังเป็น ผอ.สขช.ประวัติศาสตร์ เพราะนั่งในตำแหน่งเบอร์ 1 ของวังปารุสกวัน ยาวนานที่สุด

    ผลงาน 9 ปี ผ่าน 6 รัฐบาล ร่วมงานกับ 5 นายกฯ ไล่ตั้งแต่สมัยรัฐบาลอานันท์ 2 ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลชวน 1 รัฐบาลบรรหาร รัฐบาล พล.อ.ชวลิต เรื่อยมาจนถึงรัฐบาลชวน 2 ก่อนปิดฉากชีวิตราชการในปลายปี 2544 สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ

    ซึ่งทั้งหมดพอจะบอกดีกรีความเป็นคน "เก่ง" ชนิดหาตัวจับยาก ถึงขนาดได้รับการยกย่องให้เป็น "กูรูข่าวกรอง" ของบรรดาเหยี่ยวข่าวยุคใหม่

    ตลอดการทำงานกว่า 40 ปีที่รับราชการสนองพระเดชพระคุณรับใช้บ้านเมือง ภุมรัตน์เปิดเผยว่า เขาทำงานข่าวลับมาตลอดทั้งชีวิต และเผชิญเหตุการณ์ระทึกมากมาย แทบนับครั้งไม่ถ้วน

    ทั้งกรณีนักศึกษาพม่าบุกยึดสถานทูตพม่าประจำประเทศไทย ที่ถนนสาทร เหตุการณ์กะเหรี่ยงก๊อดอาร์มี่บุกยึดโรงพยาบาลราชบุรี ฯลฯ

    และบ่อยครั้งเช่นกันที่ถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซง ชนิดจวนเจียนจะถูกเด้งออกจากตำแหน่ง

    แต่เพราะม็อตโต้ประจำตัวที่ยึดมั่นว่าจะไม่เอียงข้างใคร ไม่ว่ารัฐบาลไหน และขอยึดมั่นวางตัวเป็นกลางมาตลอด

    ที่สุดก็สามารถปิดฉากชีวิตราชการลงอย่างสวยงาม ก่อนผันตัวหลังเกษียณเป็นคอลัมนิสต์ตาม น.ส.พ. ตามแต่เวลาและโอกาสจะอำนวย

    แต่ก็ไม่นึกว่าจะได้โอกาสกลับมารับใช้ชาติอีกครั้ง ต่อเมื่อเกิดสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ หลังการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ชุมนุม 85 ศพที่ตากใบ ที่สุดเขาจึงได้รับการเรียกตัวกลับมาเป็น 1 ในนาม 9 อรหันต์ สอบสวนเหตุการณ์ที่ตากใบ

    ทั้งนี้ มติชนสุดสัปดาห์ ได้มีโอกาสพูดคุยกับอดีตซีไอเอมือฉมังของเมืองไทย

    :ประเมินความรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในภาคใต้อย่างไร

    ต้องยอมรับว่าการยุบ ศอบต. และ พตท.43 ทำให้เกิดช่องว่างทางด้านยุทธการและการข่าว สังเกตได้ว่าหลังการยุบทั้ง 2 หน่วยในปี 2544 แนวโน้มความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ช่วงปี 2545-2546 ก็มีมากขึ้น พอต้นปี 2547 ก็ระเบิดออกมา จากข้อมูลที่ได้รับจากหลายฝ่ายเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์ปล้นปืนที่กองพันพัฒนาที่ 4 น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองสูง

    แต่ความรุนแรงหลังจากซึ่งมีทั้งการไล่ฆ่าเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ผู้บริสุทธิ์ พระ นักศึกษา ฯลฯ ต่อเนื่องมาถึงเหตุการณ์ที่กรือเซะ และกรณีตากใบ ถือเป็นการกระทำของกลุ่มใหม่ที่มีแนวความคิดเป็นของตนเอง

    แต่มันไม่ได้เป็นพวกอุดมการณ์ 100% พวกนี้พยายามบิดเบือนศาสนาแล้วเอาไสยศาสตร์มาใช้กล่อมเกลาให้ผู้ที่หลงเชื่อทำสงครามศักดิ์สิทธิ์โดยอ้างว่าเป็นสงครามเพื่อพระเจ้า ซึ่งแนวคิดแบบนี้ไม่ใช่แนวคิดของมุสลิมในประเทศไทย

    เราจะสังเกตได้หลายครั้งว่าวิธีการก่อเหตุร้ายหลายครั้งไม่ใช่วิธีการของ ขจก. ในประเทศไทย เพราะมีการใช้มีด ดาบ ของมีคม มีการฆ่าปาดคอ ซึ่งไม่เคยพบในประเทศไทย

    ความรุนแรงเหล่านี้เป็นเรื่องที่ได้รับอิทธิพลมาจากประเทศในตะวันออกกลาง ซึ่งแกนนำหลายคนได้ถูกส่งไปอบรมในตะวันออกกลาง

    :สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ถือว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดนหรือไม่

    คนเหล่านี้เป็นพวกหัวรุนแรงมีจุดมุ่งหมายต้องการขับคนไทยพุทธออกจากพื้นที่ทั้งหมด เพราะฉะนั้น จะเห็นว่าคนไทยพุทธจะเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ของการฆ่ารายวัน เพราะถือว่าเป็นพวกนอกรีต นอกศาสนา

    ในส่วนของชาวไทยมุลสลิมที่ไปร่วมมือกับทางการไทยก็จะถือเป็นเป้าหมายอันดับ 2 คนเหล่านี้จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศ และจะต้องถูกกำจัดออกไปเช่นกัน

    หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ผลที่ตามมาก็คือความหวาดกลัวจะปกคลุมทั่วพื้นที่ภาคใต้

    คนไทยพุทธจะอยู่ในพื้นที่ไม่ได้ต้องอพยพออกจากพื้นที่ไปหมด จะเกิดลักษณะที่เรียกว่าคนไทยทิ้งถิ่น คือไม่มีคนไทยอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เลย

    ถามว่าวิธีการแบบนี้ถือว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดนไหม ในทางนิติศาสตร์บอกว่าไม่ใช่ แต่ในทางรัฐศาสตร์ถือว่าเป็นการแบ่งแยกดินแดนที่สมบูรณ์แล้ว

    :คิดว่ามีขบวนการก่อการร้ายต่างชาติเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้หรือไม่

    หากบอกว่าเป็นอัลกออิดะห์คงไม่ใช่ แต่มีความเป็นไปได้ว่า ขบวนการ จามิยาอิสลามิยา หรือ "เจไอ" ซึ่งมีฐานที่ตั้งอยู่ในอินโดนีเซีย จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความรุนแรงที่เกิดขึ้น

    เพราะว่าในอินโดนีเซียเคยเกิดเหตุการณ์อินโดมุสลิมทำสงครามกับอินโดคริสต์ และมีวิธีการไล่ฆ่าคนแบบทารุณ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย

    นอกจากนี้ มีอีกกลุ่มที่น่าสงสัยคือ กลุ่มอาบูไซยัฟ ซึ่งอยู่ในฟิลิปปินส์ตอนใต้ เป็นกลุ่มที่นิยมความรุนแรงและมีมีดดาบเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม โดยแนวคิดของกลุ่มนี้ต้องการจุดกระแสความรุนแรงของการก่อการร้ายให้เกิดขึ้น

    :ระดับนโยบายต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง

    เราต้องปฏิวัติการคิดใหม่ เทรนคนใหม่ และจัดวางกำลังใหม่ แต่ละปี สขช. เราจะมีการทำประมาณภัยคุกคาม ว่าแต่ละปีประเทศต้องประสบกับภัยอะไร มีสิ่งท้าทายอะไรเกิดขึ้นบ้าง

    เมื่อได้ข้อมูลทั้งหมดมาแล้ว เราก็มาจัดความสำคัญว่าปัญหาใดเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญเร่งด่วน จากนั้นก็ต้องมาดูว่าเรามีเครื่องไม้เครื่องมืออะไรพร้อมที่จะสู้กับภัยคุกคามเหล่านั้นบ้าง

    ยกตัวอย่างสหรัฐ อดีตสมัยคลินตันเป็นประธานาธิบดี หรือช่วงต้นที่บุชขึ้นมา สหรัฐให้ความสำคัญกับเรื่องเศรษฐกิจเป็น High Policy ส่วนเรื่องความมั่นคงเป็น Low Policy

    แต่พอเกิดเหตุการณ์ 11 กันยายน สหรัฐก็เปลี่ยนนโยบายใหม่ ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นคงเป็น High Policy ส่วนเรื่องเศรษฐกิจก็เป็น Low Policy ไป

    สำหรับประเทศไทย อนาคตในปี 2548 พ.ต.ท.ทักษิณก็คงต้องชูเรื่องความมั่นคงเป็น High Policy ส่วนเรื่องเศรฐกิจเรื่องการค้าก็ต้องลดบทบบาทไปเป็น Low Policy แทน

    :คิดว่าแนวทางที่รัฐบาลนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหา เดินมาถูกทางหรือยัง

    บางเรื่องก็ดีแล้วแต่บางเรื่องยังเป็นคำถามคาใจอยู่ ผมมองว่าภาคใต้ต้องเอาพลเรือนหัวดี ที่ทั้งเก่งฉลาด เป็นคนดีและเข้าใจวัฒนธรรมของชาวมุสลิมลงไปแก้ปัญหา หากจะปล่อยให้ทหารรับผิดชอบฝ่ายเดียวคงไม่ไหว

    เพราะทหารเป็นพวกหมัดหนักและถูกฝึกมาให้อยู่ในกรอบ ชินกับการใช้อาวุธหนักชินกับการใช้กำลัง

    จากเหตุการณ์ที่ตากใบ เห็นได้ชัดว่าทหารไม่ถนัดกับการสลายม็อบ หรือการทำงานในลักษณะที่ต้องใช้ความยืดหยุ่นสูง ซึ่งประวัติศาสตร์ก็มีให้เห็นหลายครั้ง

    ผมมองว่าปัญหาภาคใต้ตอนนี้เป็นปัญหาที่อยู่ในขั้นของการบ่อนทำลาย เป็นการต่อสู้ช่วงชิงความได้เปรียบทางด้านแนวคิด แต่มันยังไม่ถึงขั้นสู้รบเอาทหารไปแก้ปัญหาแบบเต็มกำลัง

    กรณีที่เกิดขึ้นจึงไม่อยากตำหนิว่าเป็นความผิดของรัฐบาลโดยตรง แต่น่าจะพูดได้ว่ารัฐบาลใช้เครื่องมือผิดประเภท การแก้ปัญหาจึงยังไม่บรรลุผล

    :จะปรับปรุงหน่วยข่าวอย่างไร ถึงจะทำให้มีประสิทธิภาพ

    อย่างแรกสิ่งที่เราสูญเสียไปต้องสร้างกลับมาให้เร็วที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ เคยมีสายข่าวตรงไหนก็ต้องสร้างกลับมาให้เหมือนเดิม

    ประการต่อมารัฐบาลต้องเข้าไปทุกพื้นที่ทุกหมู่บ้าน ทั่ว 3 จังหวัดชายแดนให้ได้ จากนั้นก็ใช้ข่าวลับเป็นฐานข้อมูลในการปฏิบัติการและขยายผล แต่ข่าวที่ได้ต้องเป็นข่าวที่ลับจริงๆ ทุกอย่างลับหมดไม่ใช่ลับในสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามเขารู้

    สุดท้ายรัฐบาลต้องกล้าลงทุนในด้านการข่าวประเทศไทยเป็นประเทศที่ลงทุนในด้านการข่าวน้อยมาก ข่าวทุกอย่างต้องใช้เงิน เพราะฉะนั้น เงินเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญในการพัฒนาการข่าว

    ยกตัวอย่างประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องการข่าว อย่างหน่วยซีไอเอ ของสหรัฐ หรือ มอร์ตสาร์ต ของอิสลาเอล ซึ่งปีๆ หนึ่งเขาจะได้รับเงินสนับสนุนเงินมหาศาลจากรัฐบาล



    :แนวทางแก้ปัญหาภาคใต้

    1. อย่าไปแก้ปัญหาแบบเหมารวม อย่าไปพูดว่าแก้ปัญหามุสลิมภาคใต้ เพราะภาพจะออกมาว่ามุสลิมภาคใต้มีปัญหา ทั้งๆ ที่ความจริงเหตุร้ายที่เกิดขึ้นทางภาคใต้เป็นการกระทำของคนบางกลุ่มที่เป็นมุสลิมหัวรุนแรงซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากต่างประเทศ ในขณะที่มุสลิมที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นกลาง

    สิ่งที่กลัวมากที่สุดคือหากรัฐบาลบริหารจัดการปัญหาผิดพลาด มุสลิมที่เป็นกลางก็จะกลายเป็นแนวร่วมของมุสลิมหัวรุนแรงในที่สุด

    2. ต้องดึงคนท้องถิ่นมาช่วยแก้ปัญหา เอาผู้นำศาสนา โต๊ะครู อิหม่าม รวมทั้งครูบาอาจารย์ ในพื้นที่มาช่วยกัน เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องโดยตรงของเขา รัฐบาลอย่าไปคิดแก้ปัญหาแทนเขา

    3. ในสังคมมุสลิมอย่าไปคิดว่าเงินคือปัจจัยหลักในการแก้ปัญหา เพราะมุสลิมมีวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่แตกต่างจากคนศาสนาอื่น

    :

    :ข้อคิดถึงรัฐบาล

    อยากให้รัฐบาลยอมรับว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นการก่อการร้าย เพราะหากเทียบตามประมวลกฎหมายอาญานั้นทุกกรณีที่เกิดขึ้นก็เข้าข่ายการก่อการร้ายหมด ไม่อยากให้นายกฯ กลัวการยอมรับความจริง เพราะเกรงว่าหากพูดแล้วต่างประเทศจะเข้ามาแทรกแซง เนื่องจากเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้นในบ้านเราเป็น Local Terrorism ไม่ใช่ Inter Terrorism

    รัฐบาลพยายามบอกว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายใน เรากลัวที่จะพูดความจริงแต่หารู้ไม่ว่าเรากำลังโดดเดี่ยวตัวเอง อยากให้รัฐบาลลองคิดกลับมุม 360 องศา และออกมายอมรับว่าเหตุการณ์ไม่สงบที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของมุสลิมหัวรุนแรงส่วนน้อยในประเทศ

    หากเราพูดอย่างนี้แล้ว มีประเทศใดอยากจะมาตรวจสอบเราก็สามารถย้อนกลับไปได้ว่า เราทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายหากคุณยื่นมือเข้ามาแทรกแซงก็เท่ากับสนับสนุนการก่อการร้าย

    ในยามที่ประเทศมีปัญหาเราสามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสได้ อย่าต่อสู้คนเดียวเพราะเชื้อและเกสรของการก่อการร้ายได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกแล้ว

    :ฝากอะไรถึงคนทำงานข่าว

    เป็นของธรรมดาที่หน่วยข่าวจะต้องโดนเล่นงานก่อน และหน่วยข่าวมักตกเป็นแพะรับบาปเสมอ หากมีอะไรเกิดขึ้นหนังสือพิมพ์มักโจมตีสำนักข่าวกรองแห่งชาติก่อนเพื่อน ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่าที่ไหนในโลกหน่วยข่าวจะตกเป็นแพะรับบาปอันดับแรกเสมอ เหมือนหนังหน้าไฟ ทำดีก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็ต้องไป

    วิธีคิดของฝ่ายการเมืองบางทีก็แย่ คนทำงานข่าวอย่าไปยึดติดกับตำแหน่ง อย่าเข้าใกล้นักการเมือง ต้องรักษาระยะห่างให้ดี

    เรา support รัฐบาล ไม่ได้ support นักการเมือง เรา support นายกฯ ไม่ได้ support บุคคล

    แหล่งที่มา: นสพ.มติชนสุดสัปดาห์ วันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 25 ฉบับที่ 1266
     
  3. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    บัวแก้วเผยกำหนดการนายกฯฝรั่งเศสเยือนไทย


    เมื่อ 30 ม.ค. ที่กระทรวงการต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายศรัณย์ เจริญสุวรรณ อธิบดีกรมยุโรป เปิดเผยกำหนดการเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายฌอง-มาร์ค เอโรต์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสและภริยา พร้อมคณะนักธุรกิจจากฝรั่งเศส 120 คน ในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ระหว่าง 4-5 ก.พ.นี้ ว่า นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสและคณะ จะเดินทางมาด้วยเที่ยวบินพิเศษลงจอดที่ท่าอากาศยานดอนเมืองในตอนค่ำของวันที่ 4 ก.พ.นี้ ก่อนจะเริ่มภารกิจเยือนไทยในที่ 5 ก.พ.


    โดยจะเดินทางไปกล่าวสุนทรพจน์ เรื่องมุมมองฝรั่งเศสต่อไทย อาเซียน และเอเชีย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และในช่วงบ่ายวันเดียวกันจะเดินทางไปพบปะพูดคุยกับกลุ่มชาวฝรั่งเศสในไทย และนำคณะนักธุรกิจฝรั่งเศสพบปะกับภาคเอกชนของไทย ที่โรงแรมดุสิตธานี จากนั้นในเวลา 18.00 น. นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสและคณะจะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลเพื่อพบหารือข้อราชการกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารค่ำแก่นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสและภริยา พร้อมเชิญคณะนักธุรกิจของฝรั่งเศสเข้าร่วม ตามด้วยการแถลงข่าวร่วมระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและฝรั่งเศส โดยนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสและคณะจะเดินทางกลับทันทีในวันที่ 5 ก.พ.


    ทั้งนี้ การเดินทางเยือนไทยของนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ถือเป็นการเยือนครั้งแรกในรอบ 23 ปี และเกิดขึ้นภายใน 6 เดือน หลังการเดินทางเยือนฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมตรีไทย ซึ่งได้กล่าวเชิญให้นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสเดินทางมาเยือนไทย พร้อมเชิญชวนนักลงทุนชาวฝรั่งเศสมาลงทุนในไทย ทั้งในด้านพื้นฐานโครงสร้างสาธารณูปโภค การศึกษาและวิจัย รวมทั้งพลังงานทดแทน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการบริหารจัดการน้ำ และระบบรถไฟแบบต่างๆ ซึ่งเป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของฝรั่งเศส

    ที่มา วันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 16:43 น. ข่าวสดออนไลน์
     
  4. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=gDgqnfVYnlY]เพลง เมืองกังวล - YouTube[/ame]
     
  5. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=QGf9LJQhPxo]เพลงถามคนไทย - YouTube[/ame]
     
  6. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=L8a9b7R0aCM]เพลงบ้านเกิดเมืองนอน - YouTube[/ame]
     
  7. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    “คำนูณ” จี้รัฐหยุดแพร่เอกสาร “ปมพระวิหาร” นิยามสันปันน้ำผิด-กระทบเขตแดน

    ส.ว.สรรหา เรียกร้องรัฐบาลในที่ประชุมสภาหยุดแพร่เอกสาร “50 ปี 50 ประเด็น ถามตอบกรณีปราสาทพระวิหาร” หวั่นกระทบต่อเขตแดนของไทย พร้อมนำกลับมาแก้ไขใหม่ให้สมบูรณ์ ชี้ กต.กลับคำไม่ยืนยันเส้นเขตแดนตามที่เคยต่อสู้ไว้ในอดีตไม่ได้

    วันนี้ (4 ก.พ.) ในการประชุมวุฒิสภา ซึ่งมีนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดโอกาสให้เพื่อนสมาชิกหารือ นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หารือในที่ประชุมวุฒิสภา โดยเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ยุติการเผยแพร่เอกสาร 50 ปี 50 ประเด็น ถามตอบกรณีปราสาทพระวิหาร และนำกลับมาแก้ไขใหม่ให้เกิดความสมบูรณ์ เนื่องจากพบประเด็นที่ผิดพลาด โดยเฉพาะบทนิยามศัพท์ คำว่า สันปันน้ำ

    ทั้งนี้ ในเอกสารดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศให้คำนิยามไว้ว่า “สันปันน้ำ คือแนวสันต่อเนื่องในภูมิประเทศ เมื่อฝนตก จะแบ่งน้ำเป็น 2 ส่วน ซึ่งอาจไม่ใช่สันเขา หรือ ขอบหน้าผาก็ได้ โดยปกติต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิค พิสูจน์หาสันปันน้ำ ทั้งนี้ตรงบริเวณปราสาทพระวิหาร จนถึงบัดนี้ ยังไม่เคยมีการสำรวจหาสันปันน้ำในภูมิประเทศจริง” ซึ่งเป็นข้อมูลที่ผิดจากความเป็นจริง

    นายคำนูณ กล่าวต่อว่า เมื่อปี 2504-2505 ที่มีการต่อสู้ในคดีปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยต่อสู้อย่างหนักว่า เส้นเขตแดนไทย - กัมพูชา อยู่ที่สันปันน้ำ ตามข้อบทอนุสัญญา ค.ศ.1904 และสันปันน้ำอยูที่หน้าผา ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติมาตั้งแต่คณะกรรมการผสมไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1904-1907 แล้ว โดยสามารถตรวจสอบได้จากเอกสารคำให้การของฝ่ายไทยที่ยื่นเมื่อ 29 ก.ย.2504 และเอกสารคำติงของฝ่ายไทยที่ยื่นเมื่อ 2 ก.พ.2505 ลงนามโดยหม่อมเจ้าวงษ์มหิป ชยางกูร ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศ จะกลับคำไม่ยืนยันเส้นเขตแดนตามที่เคยต่อสู้ไว้ในอดีตไม่ได้ จึงเรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศ แก้ไขข้อมูลในเอกสารดังกล่าวด้วย เนื่องจากอาจกระทบต่อเขตแดนของไทย

    “แม้ว่าศาลจะใม่ชี้ขาดในประเด็นนี้ แต่ศาลไม่ได้ชี้ขาดว่าเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามแผนที่ที่ประเทศกัมพูชาเสนอ ดังนั้นกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ กลับคำของตัวเอง ณ เวลาผ่านไป 51 ปี โดยไม่ยืนยันในเส้นเขตแดนของตัวเอง จึงเป็นผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ในประเด็นเขตแดนไทย-กัมพูชา ช่วง 195 ก.ม. จากช่องบก จ.อุบลราชธานี ถึง ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ที่ยังไม่มีการปักหลักเขตแดนไว้“ นายคำนูณ กล่าว

    http://www.manager.co.th/Politics/ViewN ... 0000014523
     
  8. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ความฝังใจไม่มีใครลืม 'แต้มต่อ'สู้คดีพระวิหาร! ทำให้'มหาอำนาจ'เห็น ไทยไม่ใช่'ประเทศเกเร'

    ความขัดแย้งในเรื่อง “ปราสาทพระวิหาร” ระหว่าง “กัมพูชา” กับ “ไทย” นั้น...ถูกนำไปขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมี “คนไทยบางกลุ่ม” ผสมโรง “อาศัยความขัดแย้ง” เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง

    และอาจส่งผลให้ “ไทย” ต้องพ่ายแพ้ในศาลโลก ที่ทาง “กัมพูชา” ได้ยื่นเรื่องต่อสู้เอาไว้ ล่าสุดที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรง...เมื่อ “ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์” อดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ได้ออกมาเขียนบทความตีพิมพ์ในนสพ.โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา

    ในหัวเรื่องที่ว่า “คนขายชาติ พ.ศ.2556” โดยเนื้อหาเป็นการออกโรงเตือนว่า จะมีคนขายชาติในปี 2556 ซ้ำรอยปี 2505 ทั้งระบุชัดด้วยว่า เป็น “สายลับอิทธิพล” มีตำแหน่งใหญ่โต เปลี่ยนนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ฝ่ายตรงข้าม

    ถือเป็นเรื่องที่ “คนไทย” มิอาจมองข้ามได้...ว่าเกิดอะไรขึ้นกับ “สามัญสำนึกของสายลับอิทธิพล” เหล่านี้ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงมากขึ้น และที่มา-ที่ไปของ “กลเกมเขมร” นั้น “ไทยอินไซเดอร์” ขอนำไปสนทนาตรงกับ “รองศาสตราจารย์ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งในอดีตเคยเป็นถึง “รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี” ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเป็นนักวิชาการทางด้านรัฐศาสตร์ ด้านการเมืองเปรียบเทียบ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่ติดตามและศึกษาเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี

    ณ วันนี้ “ดร.ปณิธาน” ชี้ช่องทางการต่อสู้ว่า...ทำอย่างไร “ไทย” จะได้เปรียบ และสามารถเอาชนะได้...แต่อยู่ที่ “ผู้มีอำนาจปัจจุบัน” จะทำหรือไม่...โปรดติดตาม!!!

    Q : การที่รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้ตอบโต้รัฐบาลพนมเปญในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทตามแนวชายแดน จะมีผลต่อคำตัดสินของศาลโลกกรณีปราสาทพระวิหารหรือไม่?

    A : ศาลคงตัดสินไปตามปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ประการแรกคือทางกฎหมาย หรือข้อเท็จจริงทางกฎหมาย เป็นเรื่องปกติที่ศาลจะตัดสิน ประการที่ 2 คือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ได้เป็นศาลที่เหมือนกับศาลภายในประเทศ อำนาจหน้าที่ในกฎหมายมันไปผูกโยงกับเงื่อนไขทางการเมืองด้วย ศาลจึงมีทั้งองค์ประกอบที่เป็นการเมือง โดยเฉพาะการคำนึงถึงความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศ และเรื่องอิทธิพลของนานาประเทศ เรื่องของอธิปไตย ดินแดนในลักษณะที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่ง 2 ประเด็นนี้นำมาสู่พฤติกรรมของรัฐที่เป็นคู่กรณีที่หลากหลาย บางรัฐปฏิเสธไม่รับอำนาจศาลได้ แต่ศาลภายในประเทศจะปฏิเสธไม่ได้...ต้องรับ แล้วที่มาที่ไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนใหญ่ก็เป็นการสมัครใจ ไม่ได้มีที่มาที่ไปที่ชัดเจนว่า ใครเป็นคนกำหนด กฎหมายระหว่างประเทศอาจใช้ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นหลักปฏิบัติ เพราะฉะนั้นหลักการก็ถือว่าไม่ตายตัวเท่าศาลยุติธรรมภายในประเทศ

    "2 ประเด็น ทำให้หลายประเทศมีการดำเนินการที่สลับซับซ้อนในการส่งคดีขึ้นศาล ทั้งดำเนินการทางกฎหมายด้วย ทั้งดำเนินการทางการเมืองด้วย อันนี้ทำให้หลายประเทศมีการรณรงค์ควบคู่ไปกับการใช้หลักฐาน ทั้งหลักฐานเก่าและหลักฐานใหม่ อย่างเช่นกรณีกัมพูชาก็คาดกันว่าจะมีความพยายามในการสร้างภาพว่าถูกไทยรุกราน และมีความรุนแรงตามชายแดนที่ทหารไทยไม่ยอมถอนออกไปจากคำพิพากษาครั้งแรก ก็ต้องให้ถอนอีก อันนี้ก็เป็นหลักฐานที่หลายฝ่ายเชื่อว่ากัมพูชาสร้างขึ้นมา เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่แต่ละประเทศที่เป็นคู่กรณี ถ้าสมัครใจหรือยอมรับอำนาจศาลแล้วต้องมีการดำเนินการที่ดีใน 2 เรื่องนี้ คือต้องเตรียมหลักฐาน เอกสาร เตรียมตัวที่จะไปต่อสู้ให้ดีและรอบคอบ โดยเฉพาะการชี้แจงถึงที่มาที่ไปของเอกสารหลักฐานและบรรทัดฐานที่ไม่แน่นอนนัก และไปต่อสู้ และต้องระมัดระวังไม่ให้ไปหลงใช้เอกสารหลักฐาน หรือพฤติกรรมอย่างไรที่จะไปผูกมัดตัวเอง อันนี้คือประเด็นแรก"

    ประเด็นที่ 2 คือต้องมีการส่งสัญญาณที่เข้มแข็ง ชัดเจน ไปยังคู่กรณี และไปยังศาลด้วย ว่าเราเคารพศาล เราทำตามกฎเกณฑ์กติกา เพราะว่าเรามีข้อผูกมัด ข้อตกลงระหว่างประเทศ อย่างเช่นการเป็นสมาชิกสหประชาชาติ ขณะเดียวกันเราก็มีจุดยืนของเราเอง และมีความเป็นเอกภาพ มีความเป็นปึกแผ่น เรื่องเหล่านี้มันจะไม่มีผลโดยตรงกับศาลก็จริง แต่ว่าศาลมีองค์ประกอบทางการเมือง พิจารณาเรื่องเสถียรภาพ เรื่องความขัดแย้ง องค์ประกอบของศาลก็คำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย

    Q : ความพยายามของรัฐบาลปัจจุบันในการโยนความผิดให้กับรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ จนกลายเป็นปัญหาทางการเมืองภายในประเทศ จะส่งผลต่อคำตัดสินของศาลโลกหรือไม่?
    A : ความขัดแย้งภายในประเทศ ทำให้เกิดภาวะความไม่มีเอกภาพ ถือว่าเป็นจุดอ่อนจุดหนึ่งในการสร้างความเข้มแข็ง สร้างความเป็นเอกภาพ การส่งสัญญาณ รวมถึงการส่งท่าที สื่อสารท่าทีไป อันนี้ก็ถือว่าเป็นจุดอ่อนอย่างหนึ่ง แล้วการที่ถูกแทรกแซงจากต่างประเทศ แล้วมีท่าทีที่จะเอนเอียงไปทางใดทางหนึ่งจากเรื่องที่เราจะไปต่อสู้กัน ก็ทำให้อาจจะมีผลทางอ้อม เพราะว่าศาลเหล่านี้ก็พิจารณาองค์ประกอบที่สลับซับซ้อน และแน่นอนเรื่องนี้กัมพูชารู้เรื่องดี และได้เตรียมตัวมาและดำเนินยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีที่สลับซับซ้อนทั้งในแง่ต่างประเทศ และในประเทศ แม้กระทั่งการเข้ามามีความเห็นที่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย และเข้ามาดำเนินกิจกรรมที่มีผลต่อความคิดของคนไทย ก็เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ของกัมพูชาในภาพรวมที่จะเอาชนะคดีนี้

    Q : มีเสียงโจมตีทั้งจากรัฐบาลปัจจุบันและรัฐบาลกัมพูชาเกี่ยวกับการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไปขอเจรจาลับ ถือว่าเป็นข้อเสียหรือข้อด้อยของรัฐบาลอภิสิทธิ์หรือไม่?

    A : การถูกแทรกแซงหรือการถูกโจมตีจากกัมพูชาที่ผ่านมา ทำในจังหวะที่มีความอ่อนไหวอยู่ 2-3 เรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องที่คนไทยยังไม่มีเอกภาพมากนักในเรื่องของการต่อสู้คดี เพราะยังมีข้อมูลที่หลากหลายอยู่ เนื่องจากว่าการเมืองภายในมีความขัดแย้งและแปรปรวนมาหลายปี การเข้ามาตรงนี้แล้วให้ข้อมูลที่สับสนก็ยิ่งทำให้เอกภาพความคิดของคนไทยใน การที่จะไปต่อสู้เรื่องปราสาทพระวิหารสับสนตามไปด้วย อันนี้กัมพูชาก็ได้ประโยชน์โดยตรง ยิ่งมีคนไทยที่มีความคิดโน้มเอียงไปยังกัมพูชา กัมพูชาก็ยิ่งได้ประโยชน์ เพราะเหมือนเป็นกระบอกเสียง แก้ต่างให้กัมพูชา อันนี้ต้องระมัดระวังมาก แต่แน่นอนกัมพูชาก็สามารถให้ข่าวได้โดยตรงอาจจะไม่ต้องอาศัยกระบอกเสียงที่เป็นคนไทยอะไรมากมาย สื่อไทยก็รายงานอยู่แล้วแทบทุกคำพูด ก็ทำให้กัมพูชามีช่องทางที่จะเข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของคนไทย ทำให้เกิดความสับสน การออกมาเพื่อที่จะหนุนใครไม่หนุนใคร หรือให้ร้ายใครของกัมพูชาที่เกี่ยวข้องกับการเมืองไทย ทำให้เกิดความคิดที่แตกแยกขึ้นไปอีก

    อีกประเด็น คือกัมพูชาโดยพื้นฐานแล้วมีความเป็นกังวลว่า ถ้าหากไทยรวมตัวกันได้ มีเอกภาพ รัฐบาลสามารถรวบรวมพลังกลุ่มต่างๆให้ปกป้องดินแดนอย่างเข้มแข็ง ไม่ถอย กัมพูชาจะเสียเปรียบแน่นอน ศักยภาพทางการทหาร ศักยภาพในแง่เศรษฐกิจ เอาเข้าจริงแม้แต่เพื่อนฝูงในแวดวงการเมืองระหว่างประเทศก็ดี กัมพูชาถือว่ามีน้อยกว่าไทย ถึงแม้จะมีมหาอำนาจอยู่เบื้องหลังเยอะก็จริง เมื่อรวมๆกันแล้วไทยก็ยังมีค่าในสายตาของเกือบทุกประเทศมากกว่ากัมพูชาอยู่ดี แล้วกัมพูชากลัวมาก ว่าถ้าหากรวมตัวกันติด แล้วมีเอกภาพ ก็จะเสียเปรียบมาก แล้วส่งผลถึงศาลด้วย ถ้าศาลเห็นว่าไทยมีเอกภาพแล้วรวมตัวกันติด แล้วมีสมัครพรรคพวกเยอะ ตัดสินแล้วไม่ทำตามศาล ก็เสียเครดิตอยู่ดี

    "ประเด็นสุดท้าย กัมพูชาก็เลยตัดสินใจทางยุทธศาสตร์ไปแล้วว่า จำเป็นต้องแอบอิงกลุ่มการเมืองในไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือรัฐบาลสมัยใดสมัยหนึ่ง เพื่อที่จะเอามาเป็นพวกในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่แย่ที่สุดสำหรับกัมพูชาก็ คือรัฐบาลไทยไม่ยอม คนไทยไม่ยอม และไม่ฟังคำตัดสินใดๆทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรมหรือกัมพูชาเอง แล้วปฏิเสธความสัมพันธ์ที่จะอะลุ่มอล่วยให้กับกัมพูชา กัมพูชาก็ต้องแอบอิงรัฐบาลนั้นๆเพื่อให้รัฐบาลนั้นเป็นเกราะ และสานประโยชน์กับกัมพูชา อันนี้ก็เป็นยุทธศาสตร์ที่ค่อนข้างลึกซึ้ง"

    Q : ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเจรจาลับคืออะไร เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องเจรจาลับหรือไม่?
    A : คือการเจรจา เราไม่ได้เรียกว่า “เจรจาลับ” การพบปะกันเพื่อปูทางไปสู่การปรับปรุงสัมพันธ์ ในบริบทปัจจุบัน “มันไม่มีอะไรลับ” แค่ขึ้นเครื่องบิน คนบนเครื่องบินก็แบ่งกันเป็นหลายสีแล้ว พอลงไปที่โรงแรมก็มีอีกหลายสี พอนั่งคุยกันที่ภัตตาคารก็มีอีกหลายสี ซึ่งมีกล้องติดมือหมด เพราะฉะนั้นโดยความเป็นจริงถ้าคิดดูให้ดีไม่มีอะไรลับ แค่เดินทางออกไปจากทำเนียบฯ พรรคพวกคนละสีกับทำเนียบฯแจ้งกันหมดแล้ว ดูการสื่อสารทางโทรศัพท์ เอสเอ็มเอส เฟซบุ๊คจะเห็นชัดเลยว่า ความเคลื่อนไหวทางการเมืองทุกฝ่ายมีการแจ้งอยู่ จริงๆแล้วไม่ใช่มีหลายสีอย่างเดียว ฝ่ายต่างประเทศก็เข้ามาเกาะเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้

    "การที่คุณภูมิรัตน์ (ทักษาดิพงษ์) อดีตผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ได้หยิบยกขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้เองว่า ในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็มีคนที่ขายความลับให้กับทางฝ่ายกัมพูชา และถูกดำเนินคดี และอยู่ในทำเนียบฯ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ว่ากัมพูชาได้ดำเนินนโยบายแบบแยบยลมานานผ่าน ฝรั่งเศส...อันนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจว่าคน 3-4 คนที่ถูกดำเนินคดีจากผู้ช่วยทูตเบอร์2 ของสถานทูตฝรั่งเศสในไทย ในช่วงที่เรามีการต่อสู้คดีตัวปราสาทพระวิหารในช่วงแรก ก็ชัดเจนว่าเขามีเครือข่าย ณ วันนี้ ลองคิดดูว่าเครือข่ายเหล่านี้มันจะเข้มข้นขนาดไหน"

    Q : แปลว่ามีคนไทยกลุ่มหนึ่ง จำพวกหนึ่งไปยอมรับกับยุทธศาสตร์นี้ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ด้านน้ำมัน พลังงานใช่หรือไม่?

    A : หลายเหตุผล บางครั้งก็เป็นเรื่องความเชื่อ บางครั้งก็เป็นความผูกพันในอดีตที่ได้ร่ำเรียนมาที่ได้เห็นมุมมองแบบนั้น นักเรียนที่ไปเรียนมาแล้วใกล้ชิด คนที่ไปทำงานมาแล้วผูกพันกันเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัว บางเรื่องก็มองยุทธศาสตร์ระยะยาวว่าอยากจะครอบงำอิทธิพลของประเทศเหล่านี้ เพื่อที่จะมีอำนาจในอนาคต แต่ประเด็นคือว่า 1.ความลับไม่ค่อยมี ความลับค่อนข้างรั่วไหลง่ายในสังคมเปิดแบบเรา 2.การเจรจามันก็ชัดเจนว่า ทางฝ่ายเขาต้องการพูดคุย จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ที่สื่อได้รายงานไปแล้วก็ชัดเจนว่าทางฝ่ายกัมพูชา ทาบทามติดต่อขอพบรองนายกฯสุเทพ (เทือกสุบรรณ) แล้วถูกปฏิเสธ แล้วตอนหลังได้พบกัน อันนั้นก็เป็นหลักฐานที่เป็นที่เปิดเผยอยู่แล้วว่า กัมพูชาต้องการพูดคุย โดยเฉพาะการยกเลิกเอ็มโอยู 2544 ที่ทำให้กัมพูชามีแรงกดดันมากหลังจากการยกเลิกเอ็มโอยู 2544 ทำให้กัมพูชาไม่สามารถเดินหน้าต่อเรื่องพัฒนาพลังงานได้แล้ว จะเห็นว่ากัมพูชามีท่าทีรุกเร้าและเข้ามาเสนอการเจรจา หลังจากนั้นพอไม่สำเร็จกัมพูชาเลยใช้กำลังแล้วสร้างกรณีการกล่าวหาทหารไทยตามมา...อย่างที่เห็น

    "ในช่วงที่คุณอภิสิทธิ์เข้ามา ความพยายามของคุณอภิสิทธิ์ที่พยายามแก้ปัญหาที่คั่งค้างที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 190 ทำให้เกิดการชะงักงัน การถอนการรับรองกัมพูชาในการจดทะเบียนก็ทำให้กัมพูชาค่อนข้างไม่เป็นมิตร แล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็พยายามหาทางปรับปรุงความสัมพันธ์ตรงนั้น เพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากมาตรา 190 และการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็นำไปสู่การพูดคุยกัน จริงๆ ตั้งแต่มีการพบปะกัน ไปเยี่ยมเยียนกันในฐานะนายกฯคนใหม่แล้วว่าจะทำอย่างไรให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น แต่ไม่ได้ไปพาดพิงหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องของผลประโยชน์ในทะเลหรือน้ำมัน ในทางกลับกันเห็นได้ชัดเลยว่าพอยกเลิกเอ็มโอยู 2544 แล้วไม่ได้เดินหน้าเลย กัมพูชายิ่งโกรธ"

    Q : ยุทธศาสตร์ที่กัมพูชาดำเนินการเพื่อให้คนไทยแตกความสามัคคี ช่วงรัฐบาลอภิสิทธิ์คืออีกช่วงหนึ่งตามแผนการที่เขาวางแผนไว้ด้วยหรือไม่?

    A : การให้ข่าวที่สับสนมีผลต่อความรู้สึกของคนไทย คนไทยมีความละเอียดอ่อนต่อข่าวพวกนี้อยู่แล้ว เรื่องของความขัดแย้ง การสู้รบ สงคราม เรื่องผลประโยชน์ทางการค้า การคอร์รัปชั่น เรื่องเกี่ยวกับน้ำมัน เรื่องเหล่านี้คนไทยมีความอ่อนไหวแล้วก็ติดตามเรื่องนี้พอสมควร โดยเฉพาะสื่อ เพราะฉะนั้นเขาก็รู้ว่าเขาจะพูดอะไร ให้ข่าวอะไรมันก็จะมีน้ำหนักพอสมควร เพราะเขามีหน่วยติดตามเฝ้าประเมินน้ำหนักของข่าวอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี หรือพูดง่ายๆเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้เครือข่ายระหว่างประเทศ และให้ข่าวในลักษณะเอื้ออำนวยกับยุทธศาสตร์ของเขา

    "การเลือกตั้งหรือการดำเนินการต่อสู้ โดยเฉพาะเรื่องคดีน้ำหนักมันก็น้อยลงไปด้วย เพราะว่ารัฐบาลก็ระมัดระวัง อย่างรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ต้องระมัดระวัง อธิบายกับกลุ่มพันธมิตรฯ อธิบายกับกลุ่มเสื้อแดง รับบาลนี้จริงก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน ต้องอธิบายกับกลุ่มคนเสื้อฟ้า คนเสื้อเหลือง และขณะเดียวกันก็ต้องกับกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ ว่าไปแล้วก็ยิ่งหนักเหมือนกัน ทั้งหมดนี้กัมพูชาก็ได้เปรียบ"

    Q : อาจารย์เชื่อโดยสนิทใจหรือไม่ว่าจะคนไทยที่ยอมแม้กระทั่งให้ประเทศเสียดินแดน เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวในการได้รับสัมปทานบางอย่างในอ่าวไทยหรือ บริเวณพื้นที่ทับซ้อน?

    A : ต้องยืนยัน..“รัฐบาลไทย-หน่วยงานราชการไทย-ทหารไทย” ก็ต้องยืนยันว่าจะปกป้องดินแดนอธิปไตย ดินแดนจริงอยู่มันมีการพิพาทกันอยู่เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้หรือเสีย ถ้าหากประเทศเอาจริงเอาจังมุ่งมั่นที่จะปกป้องจริงๆจังๆ ไม่ค่อยน่ากังวล โดยพื้นฐานทางคดีเราก็ได้เปรียบหลายเรื่อง เพราะคดีจบไปแล้ว แล้วกัมพูชาก็มีการทำผิดกฎเกณฑ์กติกา ไม่ว่าจะเป็นเอ็มโอยู 2543 การฟ้องก็ชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งจริงๆศาลก็ชี้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าการอะลุ่มอล่วยกันในตอนช่วงหลังๆ เพื่อที่จะทำธุรกิจข้ามรัฐข้ามชาติ ทำให้คนอยู่ดีด้วย ทำให้ธุรกิจการค้าเฟื่องฟู ไม่รบกันมันทำให้เกิดแนวความคิดอีกแบบหนึ่งขึ้นมา

    Q : แปลว่าภาพที่จะเห็นการรบกันในอนาคตจึงค่อนข้างจะยาก?

    A : ในความเป็นจริง...ถึงมีการปะทะกัน แต่ก็ไม่ถึงเป็นสงครามขนาดใหญ่ แต่ว่าในการปะทะกันบ้างมันก็เห็นมาบ้างแล้ว อย่างกัมพูชาก็พยายามทุกวิถีทางในการที่จะเข้ามาประชิดตัวรับบาลปัจจุบัน เพื่อไม่ให้รัฐบาลปัจจุบันขยับตัวได้มากนัก เพราะฉะนั้นการใช้กำลัง หรือการกดดันกัมพูชาด้วยการใช้กำลังแบบในอดีตก็อาจจะทำได้ยากขึ้นอีก ทหารไทยเองก็ต้องระมัดระวังในการปกป้องดินแดนมากขึ้น เพราะเขาต้องดูนโยบายรัฐบาลปัจจุบันด้วย

    Q : มีเสียงวิจารณ์คำตัดสินของศาลโลกในอนาคตว่าไทยอาจจะแพ้ เพราะคำตัดสินครั้งที่แล้วสั่งให้มีการคุ้มครองชั่วคราว ซึ่งเป็นการออกคำสั่งใหม่เพื่อประนีประนอมไปแล้ว?
    A : คือจริงๆแล้ว 9 ต่อ 3 ว่า “ปราสาทไม่อยู่ในอาณาเขต” แต่ศาลไม่ได้ชี้เลย และบอกว่าเราต้องถอนทหารออกจากบริเวณนั้น แต่บริเวณไหนบ้าง ศาลก็ไม่ได้ชี้ชัดเจน แต่ศาลพูดว่า “เฉพาะปราสาท” ซึ่งอันนี้ทำให้กัมพูชาเดือดร้อนมาก เลยต้องขอให้ศาล จริงๆแล้วมันมีเรื่องการส่งคือปฎิมากรรมอีก ซึ่งก็ส่งไปแล้ว แต่ว่ากัมพูชาผิดพลาดตรงที่ว่า ไม่ได้ขอให้ศาลชี้เลยว่าบริเวณที่ต้องถอนออก ทั้งหมดมันคือตรงไหน แล้วศาลก็ไม่สามารถไปชี้ได้ เพราะการชี้เหมือนกับการต้องไปกำหนดเขตแดนกันใหม่ ซึ่งศาลก็บอกว่าต้องกลับไปยังคณะกรรมการที่ไทยทำกับกัมพูชาซึ่งไม่ได้ทำกัน อีกประเด็นหนึ่งคือ ศาลบอกว่าปราสาทอยู่ในเขตอธิปไตย แต่ว่าอาณาเขตอยู่ตรงไหนต้องเป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนหรือไม่ ศาลไม่ชี้ แล้วการที่ไปขอให้ชี้ก็คือการขอให้เปิดคดีใหม่...ในความคิดของเรา เพราะฉะนั้นศาลคงไม่ทำ แต่กัมพูชาเขาถือว่าตรงนั้นเป็นการขอยืนยันความชัดเจน แต่ผู้พิพากษาหลายคนก็บอกว่ามันคงทำไม่ได้แล้ว มันจบไปแล้ว ถ้าไปชี้ปุ๊บ...มันจะมีผลต่อดินแดนใหม่ขึ้นมาทันที

    Q : คำสั่งคุ้มครองครั้งที่แล้วไม่ใช่การเปิดประเด็นใหม่?

    A : การคุ้มครองชั่วคราวเป็นเรื่องที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เป็นบทบาทใหม่ของศาล เพราะศาลไม่ต้องการให้ประเทศรบกัน ถ้าประเทศรบกันแล้ว ศาลไม่มีบทบาทอะไรเลย ศาลก็อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นศาลก็เปิดประเด็นหรือว่าขยายขอบเขตอำนาจในแง่ของการสร้าง สันติภาพ แต่ศาลก็ไม่ได้กำหนดอยู่ดีว่าเขตแดนเป็นของใคร

    Q : ครั้งที่ถึงแม้จะมีการเปิดประเด็นใหม่ เพื่อการประนีประนอมระหว่างประเทศ มันก็ไม่ได้บ่งบอกว่าในอนาคตศาลอาจจะต้องประนีประนอมอีก แล้วไทยต้องเสียดินแดน?

    A : ถูก...คือศาลก็จะประนีประนอมไกล่เกลี่ย เหมือนกับที่ศาลไกล่เกลี่ยไม่ให้ตีกัน ไม่ให้รบกัน ในกรณีนี้ศาลก็ไม่อยากให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ ศาลก็บอกให้ถอยไปคนละระยะหนึ่ง ถอยออกไปก่อน เรื่องจัดทำหลักเขตแดน ก็ไปตกลงกันเองดีกว่า ศาลไม่มีอำนาจในการไปชี้ ถึงชี้...คุณไม่รับ มันก็ไม่มีผลอยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่รู้จะชี้ไปทำไม

    Q : ข้อประท้วงที่ไทยยกไปต่อสู้จะมีผลหรือไม่ เช่นที่บอกว่า ศาลไม่มีอำนาจมาตัดสินเขตพื้นที่ทับซ้อนได้ หรือศาลไม่สามารถยกคดีเก่ามีตัดสินใหม่ได้?

    A : เนี่ย...มันเป็นประโยชน์กับเราแทบทั้งสิ้น คือถ้ากัมพูชาฟ้องได้-ฟ้องไปนานแล้ว ไม่รอถึง 50 ปี แต่ว่ากัมพูชาต้องการผูกมัดศาล ซึ่งไม่ยุติธรรมกับศาลเหมือนกัน ให้ศาลเปิดคดีใหม่ ผู้พิพากษาเขาก็รู้ แต่ว่าแน่นอนเขาก็มีบทบาทที่ต้องว่าไป การไปบังคับให้ศาลตัดสินใหม่ บางทีก็ไม่ยุติธรรมกับศาลเหมือนกัน เรื่องประเด็นนี้ก็ไม่ค่อยมีใครพูดว่า ศาลเอง...ผมก็คิดว่าไม่ได้มองกัมพูชาในสายตาที่จะไปเอื้อให้กัมพูชานัก

    Q : มีความเป็นไปได้ที่ศาลจะยกคำร้อง?

    A : เขาก็คาดการณ์กันว่า มีทั้งตัดสินที่เป็นประโยชน์กับเรา เป็นประโยชน์กับกัมพูชา หรือตัดสินเป็นกลาง แต่ว่าศาลรับคำร้องไปแล้ว ศาลก็จะพิจารณาดูว่า ศาลมีอำนาจในการตัดสินอะไรบ้าง คือศาลมีหน้าที่แบบนี้ ไม่แปลกอะไร เพียงแต่ว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอย่างที่คุยกันตอนต้นเขามีข้อจำกัดเยอะ ไม่ใช่ศาลในประเทศ พูดไปแล้วพัฒนาการศาลระหว่างประเทศเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ยังไม่เป็นที่ชัดเจนทั้งหมด เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องระมัดระวัง ถ้าตัดสินไปแล้วมันไม่มีผลบังคับใช้จริง หรือว่าทำให้เกิดปัญหาตามมา ทำให้เกิดการสู้รบ เขาเสียเครดิตมากๆ เขาก็ต้องระวัง ไม่เหมือนศาลในประเทศที่มีพัฒนาการชัดเจนอยู่ในขอบเขตประชาธิปไตย สภาฯเป็นคนออกกฎหมาย มีจารีตประเพณีชัดเจน มีตำรวจเป็นคนบังคับใช้กฎหมาย มีกระบวนการยุติธรรมชัดเจน ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จริงๆแล้วเป็นองค์กรระหว่างประเทศมากกว่า ที่จับเอามาพูดคุยกันแล้วดูว่าทำตามกฎหมายที่ตกลงไปแล้วอย่างไร ถ้าไม่ทำบางทีก็ยากที่จะไปบังคับ

    Q : กลุ่มภาคประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวตอนนี้ ถือว่าตีตนไปก่อนไข้หรือไม่ หรือเป็นการแสดงบทบาทรักชาติซึ่งก็ควรทำ?

    A : ผมคิดว่าคนไทยก็เป็นกังวล เรื่องคดีปราสาทพระวิหาร หรือเขาที่คนไทยเรียกกัน จริงๆ คือ “ตัวปราสาท” เนี่ย เป็นเรื่องละเอียดอ่อน คนไทยรู้สึกผูกพันกับดินแดนตรงนี้ โดยเฉพาะผูกพันกับความไม่ยุติธรรมที่ฝรั่งเศสเข้ามา จริงๆแล้วตรงนี้ไม่ใช่เรื่องกัมพูชาอย่างเดียว เรื่องฝรั่งเศสด้วยที่เข้ามากระทำกับคนไทย ในยามที่คนไทยอ่อนแอ สับสน อันนี้ผมว่าเป็นความฝังใจลึกๆที่ไม่มีใครลืม อีกประเด็นคือความขัดแย้งของหลายกลุ่มทางการเมือง ทำให้คนไทยยิ่งกังวลใจไป ว่าจะมีเอกภาพพอที่จะไปสู้กับกัมพูชาหรือไม่ ในขณะที่เขาเข้มแข็งและมีเอกภาพจาก “ระบบกึ่งเผด็จการ” จริงๆแล้วระบบนี้ก็ไม่ถือว่าจะอยู่ได้ค้ำฟ้า แล้วช่วงนี้เป็นช่วงที่เข้มแข็งที่สุดช่วงหนึ่งของเขา หลังจากที่เขามีการทำสงครามกลางเมือง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ซึ่งเป็นช่วงขาลง แต่ตอนนี้มันเป็นช่วงขาขึ้น แต่มันก็เป็นช่วงปลายๆขาขึ้นของเขา

    Q : อาจารย์บอกว่าประเด็นที่ต่อสู้กันในศาลส่วนใหญ่ไทยจะ “ได้เปรียบ” เสียส่วนใหญ่ ความพยายามของกัมพูชาในการสร้างความแตกแยกของคนไทย ไม่สามารถรวมพลังคนทั้งประเทศต่อสู้กับกัมพูชาได้ มันเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้การต่อสู้คดีของกัมพูชาในศาลโลกราบรื่น?



    A : นั่นแหละครับ...นั่นแหละครับคือประเด็นที่สำคัญ ที่หลายคนอาจจะมองไม่เห็นว่า ลึกๆแล้วเขารู้สึกว่าเขาเสียเปรียบมานาน ลึกๆแล้วเขารู้สึกว่าศาลตัดสินให้เขาชนะ ไทยไม่ทำตามเขาก็ลำบากอยู่ดี เพราะฉะนั้นเขาจึงดำเนินยุทธศาสตร์เสริมขึ้นมาหลายทาง เพื่อทำให้เขามีความได้เปรียบ เพราะตอนนี้ผมคิดว่าทำไปทำมา เขารู้สึกว่าอาจจะพอสมน้ำสมเนื้อกับเรา ในขณะที่จริงๆพื้นฐานเขาเสียเปรียบอย่างมาก

    Q : ไทยมีแรงสนับสนุนจากคณะมนตรีความมั่นคงมากน้อยเพียงใด?


    A : เราเป็นประเทศที่มีที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากต่อจีน ต่อสหรัฐฯ อันนี้ชัดเจน แล้วขณะนี้ความสัมพันธ์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับกับรัสเซีย 3 ประเทศหลักที่สำคัญที่สุดในคณะมนตรีความมั่นคงฯ ที่เหลืออังกฤษกับฝรั่งเศส แน่นอนมีปัญหาภายใน มีปัญหาการเมือง อังกฤษก็เพิ่งประกาศว่าอาจจะต้องถอนตัวจากสหภาพยุโรป เห็นได้ชัดเจนเลยว่า 2 ประเทศนั้นอาจจะไม่สามารถเข้ามาสนับสนุนไทยได้มากนัก แต่ว่าเรามี 3 ประเทศ เราเพียงต้องการแค่ 1 ในคณะมนตรีความมั่นคงถาวร เราก็ไม่มีปัญหาแล้ว เพียงแต่ว่าทำอย่างไรให้ 3 ประเทศนั้นเขาดูว่า เราไม่เกเรนัก และเราก็ทำตามกติกาสากล ไม่อย่างนั้นเขาก็อธิบายกับโลกลำบากว่าอยู่ดีๆมาปกป้องเราซึ่งเป็นประเทศที่เกเรทำไม

    Q : ภาพที่ไทยกำลังถูกสร้างว่า เป็นประเทศใหญ่รังแกประทศเล็กกว่าแก้ได้หรือไม่?A : ได้...แต่ว่าต้องทำให้ดีกว่านี้ การชี้แจงต้องเอาข้อมูลหลักฐานทางทหารมากขึ้นกว่านี้ เพราะว่ามีหลักฐานทางการชัดเจนจากประเทศพันธมิตรของเรารอบด้าน ว่าใครเป็นคนส่งสัญญาณยิงก่อน ซึ่งก็ชัดเจนว่าเป็นกัมพูชา คือหลักฐานเหล่านี้มีอยู่ในมือของมหาอำนาจหลายประเทศ ซึ่งสำคัญมาก เอาออกมา แต่ว่ารัฐบาลนี้คงระมัดระวังและคงกลัวว่าจะทำให้กัมพูชาไม่เป็นมิตรมากกว่านี้อีก และหลักฐานทางการทูตเราออกมาแล้ว เช่น รัฐบาลที่แล้วบอกว่ากัมพูชาส่งจดหมายไปร้องเรียนก่อนที่จะมีการโจมตี ลงวันที่ไว้ล่วงหน้า อันนี้เป็นเรื่องที่พิสดารมากในความคิดความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในเวทีระหว่างประเทศเขารู้เลยว่าอันนี้เป็นการเตรียมตัวของทางฝ่ายกัมพูชา เขาอาจจะอ้างว่าเขาเขียนเผื่อไว้ก่อน แต่มันไม่น่าจะถึงขนาดนั้น

    Q : คนไทยยังมีความหวังในการต่อสู้ในศาลโลก ไม่ถึงขั้นที่ไทยต้องเสียดินแดนใช่หรือไม่?
    A : เราต้องมีความหวังอยู่เสมอ เราเป็นประเทศขนาดใหญ่ มีสถานภาพมาก หลักฐานทางประวัติศาสตร์มันก็ไม่ได้ทำให้เราเสียเปรียบมาก แต่ว่าการดำเนินยุทธศาสตร์แต่ละขั้นตอนอย่าให้ก้าวพลาดและล้มลุกคลุกคลาน…เท่านั้นเอง เราดูร่างกาย ดูสมรรถภาพทางจิตใจแล้วเราได้เปรียบโดยธรรมชาติ อันนี้มันเป็นเรื่องของภูมิยุทธศาสตร์ ภูมิรัฐศาสตร์ที่เราได้เปรียบอยู่แล้ว

    Q : ยกเว้นคนในชาติด้วยกันเองที่ถูกยุทธศาสตร์กัมพูชาตีแตก?

    A : ใช่ครับ ที่เขามายุยง แล้วทำให้เราสะดุด ล้มลุกคลุกคลานด้วยตัวเราเอง อันนี้มันเป็นเรื่องที่กัมพูชาเขา...มันต้องศึกษาเหมือนกันว่าเขาพุ่งเป้ามาถึงเรา...อย่างที่ไม่น่าเชื่อ

    Q : ไทยมีหนอนบ่อนไส้หรือไม่?

    A : เราเป็นประเทศเปิดครับ ยุทธศาสตร์ของประเทศเปิดต้องเป็นอีกแบบ ยุทธศาสตร์ของประเทศปิดอีกแบบ ถ้ายุทธศาสตร์มันเป็นเปิดแบบนี้เราต้องมียุทธศาสตร์อีกแบบหนึ่ง เราจะไปเก็บความลับ ไปกีดกันไม่ให้คนรู้ไม่ได้ เราต้องเปิดเผยหมด อันนี้มันเป็นคนละยุทธศาสตร์กับของเขา

    Q : มันเลยกลายเป็นจุดอ่อนของเราไปโดยปริยายใช่หรือไม่?

    A : ใช่...ถ้าเราไม่พลิกจุดอ่อนเป็นจุดแข็ง เราก็จะมีปัญหา การเปิด...อันนี้ชัดเจน อย่างอเมริกาเปิดหมด วิกิลีกส์ก็เปิด ทุกอย่างเปิดหมดแล้วกลายเป็นจุดแข็ง จีนปิดไม่ยอมให้มีการรายงานอะไรเลย มันเป็นจุดแข็งของจีน ทีนี้ถ้าเราคิดว่าเราเปิดไปมากแล้ว เราก็ต้องเปิดมากกว่านี้ อย่างเช่นว่ารัฐบาลปัจจุบันไปเจรจาอะไรกับกัมพูชา ถ้าไปปิดแล้วปิดไม่มิด ก็กลายเป็นข่าว ทุกวันนี้ก็กลายเป็นจุดอ่อนของเรา เราจึงต้องเปิดเผยหมดว่าได้ทำอะไร เพราะฉะนั้นกัมพูชารู้เรื่องนี้ดีก็พยายามเอาตรงนี้มาเป็นจุดอ่อนว่าเรามีความลับ เจรจาลับ จริงๆแล้วมันไม่มี แต่เขามี

    ที่มา http://thaiinsider.info/news2012b/colum ... 5-04-25-37
    วันศุกร์ที่ 25 มกราคม 2013 เวลา 11:23 น.
     
  9. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    สว.รสนาติงนายกฝรั่งเศสไม่ควรแส่กฎหมายม.112 ของไทย วิวาทะนักวิชาการแดงโต้แหลก

    7 กุมภาพันธ์ 2013 โดย แคน ไทเมือง

    ข่าวดังในยามนี้ร้อนฉ่าติดๆ กันมานับสัปดาห์ อันเนื่องมาจากกรณีศาลตัดสินจำคุก บก.วอยซ์ ออฟ ทักษิณ หมิ่นฯเบื้องสูง
    มีการแสดงความคิดเห็นเชิงต่อต้านคำตัดสินหลากหลายรูปแบบดังที่ทราบกันตามข่าว

    ล่าสุด เมื่อนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ได้เดินทางมาเยือนประเทศไทยและได้ไปแสดงปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็มีการตอบคำถามเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

    และก็ไม่เว้นที่จะกล่าวถึงกฎหมายหมิ่นฯเบื้องสูงของไทย ทำให้ นางรสนา โตสิตระกูล อดรนทนไม่ได้ เลยเขียนเฟซบุ๊คติติงการแสดงความคิดเห้นของนายรัฐมนตรีฝรั่งเศสอย่างเผ็ดร้อน



    รสนา โตสิตระกูล
    17 hours ago via mobile
    นายกฯฝรั่งเศสวอนไทยเคารพสิทธิแสดงความคิดเห็น โดยในเนื้อข่าวระบุตอนหนึ่งว่า …
    นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ยังให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไทยโดยเฉพาะการเอาผิดกับผู้ละเมิดกฎหมายมาตรา 112ว่า การแสดงออกทางความคิดเห็นจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีอำนาจก็ไม่ควรใช้กฎหมายในการกีดกันเสรีภาพทางความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน

    นายกฯฝรั่งเศสไม่ควรให้ความเห็นในเรื่องที่ตัวท่านเองไม่รู้รายละเอียด ถ้าสมมุตินายกฯไทยไปฝรั่งเศสแล้วให้สัมภาษณ์ว่า ฝรั่งเศสไม่ควรกีดกันเสรีภาพของสตรีมุสลิมในการคลุมฮิญาบ เพราะเป็นการเสรีภาพในการนับถือศาสนา

    เสรีภาพสากลมี4เรื่องคือ Freedom of Speech, Freedom of Worship, Freedom from Hunger และ Freedom from Fear

    เรื่องฮิญาบเป็นเรื่องที่สภาฝรั่งเศสมีมติออกมาเหมือนกัน แล้วใครไปก้าวก่ายได้ไหมว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ฝรั่งเศสกลัวเรื่องก่อการร้าย จนสามารถละเมิดสิทธิในการนับถือศาสนาได้
    นายกรัฐมนตรีไทยย่อมไม่ไปให้สัมภาษณ์ในเรื่องที่เป็นกระบวนการทางกฎหมายของประเทศอื่นฉันใด นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็ควรรักษามารยาททางการเมืองที่จะไม่วิจารณ์เรื่องของกฎหมาย และกระบวนการทางตุลาการของประเทศอื่นฉันนั้น
    หากจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมใดใด ก็เป็นเรื่องของการแก้ไขในรัฐสภาภายใต้ระะบบประชาธิปไตยของเราเอง
    0000

    จากนั้นนักวิชาการปีกแดงก็แสดงความคิดเห็นผ่านสื่อมติชนนักวิชาการ สวน “รสนา มั่วนิ่ม!” กรณีโต้นายกฯ ฝรั่งเศส ม.112 ว่าอย่าสอดเรื่องคนอื่น (มีต่อ ยกสอง)
    วันที่ 06 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 22:55:35 น

    6 ก.พ. 56 ภายหลังจากที่ นาย ฌอง-มาร์ค เอโรต์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสได้แสดงปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา และได้ตอบคำถามสื่อมวลชน กรณีการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ล่าสุดเป็นผลให้มีคำพิพากษาจำคุก นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข เป็นเวลาถึง 11 ปี ว่า

    “การแสดงความคิดเห็นเป็นเสรีภาพพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยควรมีการสร้างกฎหมายขึิ้นมาควบคุม โดยที่ไม่ริดรอนสิทธิในการแสดงความคิดเห็น ในบางประเทศ มีการใช้กฎหมายริดรอนสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทางอินเตอร์เน็ต ส่วนกฎหมายหมิ่นนั้น เป็นกฎหมายที่มีอยู่ในบางประเทศ ซึ่งฝรั่งเศสไม่มีกฎหมายนี้


    ซึ่งในโลกโซเซียลเน็ตเวิร์คความเห็นข้างต้นของนายกฯ ฝรั่งเศสเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบอย่างร้อนแรงจากทั้ง น.ส. รสนา โตสิตระกูล ส.ว. กทม. และ อาจารย์ วันรัก สุวรรณวัฒนา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

    โดย “รสนา” ได้โพสข้อความลงในเฟสบุ๊คของตนว่า นายกฯ ฝรั่งเศสไม่ควรให้ความความเห็นในเรื่องที่ตนเองไม่รู้รายละเอียด ถ้าสมมุตินายกฯ ไทยไปเยือนฝรั่งเศสแล้วให้สัมภาษณ์ว่า ฝรั่งเศสไม่ควรกีดกันเสรีภาพของสตรีมุสลิมในการคลุมฮิญาบ เพราะเป็นเสรีภาพในการนับถือศาสนา โดยเสรีภาพสากลมี 4 เรื่อง คือ เสรีภาพในการพูด (Freedom of speech) เสรีภาพในการนับถือศาสนา (Freedom of Worship) อิสรภาพจากความอดอยาก (Freedom from Hunger) และอิสรภาพจากความกลัว (Freedom from Fear)

    เรื่องฮิญาบเป็นเรื่องที่สภาฝรั่งเศสมีมติออกมาเหมือนกัน แล้วใครไปก้าวก่ายได้ไหมว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ฝรั่งเศสกลัวเรื่องก่อการร้าย จนสามารถละเมิดสิทธิในการนับถือศาสนาได้

    นายกรัฐมนตรีไทยย่อมไม่ไปให้สัมภาษณ์ในเรื่องที่เป็นกระบวนการทางกฎหมายของประเทศอื่นฉันใด นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็ควรรักษามารยาททางการเมืองที่จะไม่วิจารณ์เรื่องของกฎหมาย และกระบวนการทางตุลาการของประเทศอื่นฉันนั้น

    “หากจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมใดๆ ก็เป็นเรื่องของการแก้ไขในรัฐสภาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของเราเอง”

    โดยในเวลาต่อมาไม่นาน “วันรัก” สุวรรณวัฒนา ได้ออกมาโพสข้อความในเฟชบุ๊คตนตอบโต้รสนาว่า เรื่องฮีญาบ รสนาพูดโดยไม่มีข้อเท็จจริงทั้งหมด รัฐฝรั่งเศสไม่ได้ห้ามสัญลักษณ์ทางศาสนาเฉพาะของมุสลิมอย่างเดียวนะ ห้ามสัญลักษณ์ทางศาสนาทั้งหมด และเฉพาะในสถานที่ราชการ คุณจะใส่อยู่บ้าน เข้าบริษัท ฯลฯ ได้ เพราะรัฐฝรั่งเศสเป็นรัฐฆราวาส เคารพเสรีภาพทางศาสนาของทุกคน แต่เมื่อเข้าพื้นที่ราชการ ให้ความสำคัญกับคุณค่ารีพลับบลิกว่าด้วยการไม่แสดงสัญลักษณ์ทางศาสนาในสถานที่สาธารณรัฐมากกว่า เพราะอาจนำมาซึ่งการพริวิเลชศาสนาใดศาสนาหนึ่งได้ (เหมือนของไทย ที่เคารพทุกศาสนาในทางหลักการ แต่ในทางปฏิบัติ มีเพียงพุทธเท่านั้นที่ได้สิทธิพิเศษจากรัฐ และเหตุผลข้อนี้เพราะคนเคยฆ่ากันในฝรั่งเศสด้วยเหตุผลทางศาสนามาหลายศตวรรษ)
    “รสนาพูดข้อเท็จจริง ผิดๆและเพียงเสี้ยวเดียว พูดอย่างนี้อาจส่งผลปลุกปั่นคนมุสลิมนอกฝรั่งเศสให้เข้าใจผิดว่าฝรั่งเศสไม่เคารพเสรีภาพทางศาสนาของคนในประเทศซึ่งไม่จริงได้เลย” วันรักระบุ

    ทั้งนี้ในเฟสบุ๊คของทั้ง ส.ว.รสนา และอาจารย์วันรักมีพลเมืองเน็ตจำนวนมากเข้าไปอ่านความเห็นและกดไลค์ แต่ที่น่าสนใจคือ ในหน้าเฟสบุ๊คของส.ว. รสนามีผู้ต่อว่าการให้ความเห็นดังกล่าวว่า “ให้ส่งกระจกดูเงาตัวเองเสียก่อน” ซึ่งประเด็นนี้ดูจะสร้างความร้อนแรงให้กับโลกสังคมออนไลน์ได้อย่างมาก และนี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดถึงระดับเสรีภาพในสังคมไทยว่ามีเปิดพื้นที่เปิดรับความเห็นแตกต่างได้มากเพียงใดซึ่งจุดสำคัญอยู่ที่การใช้เหตุผลและความอดกลั้นต่อความเห็นต่างจะถูกนำมาใช้มากเพียงใด

    0000

    จากนั้น สว. รสนา โตสิตระกูล ได้โพสต์ข้อความซัดกลับอีกครั้ง ในเวลาไล่เรี่ยกับข่าวที่มติชนนำเสนอโดยได้เขียนว่า…

    ถึงคุณ Fay Suwanwattana

    ที่อ้างว่าฝรั่งเศสเป็นรัฐฆราวาสก็เลยห้ามการแสดงสัญญลักษณ์ทางศาสนาในสถานที่ราชการเพราะคนเคยฆ่ากันในฝรั่งเศสเพราะเหตุผลทางศาสนา

    แล้วSecular State อย่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ เยอรมัน และประเทศยุโรปอีกหลายประเทศ ซึ่งก็มีสง…ครามศาสนาเช่นเดียวกัน อย่างในเยอรมันก็มีสงครามศาสนา30ปี เขาก็ไม่ได้ห้ามแสดงสัญญลักษณ์ทางศาสนาเหมือนในฝรั่งเศส ส่วนเยอรมันห้ามตั้งพรรคนาซี และพรรคคอมมูนิสต์ ซึ่งเขาก็เป็นประเทศประชาธิปไตย การห้ามแต่ละเรื่องที่ต่างกันก็ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศ จะเอามาตรฐานฝรั่งเศสไปใช้กับเยอรมัน หรืออเมริกาก็คงไม่ได้ จะอธิบายเพียงด้านใดด้านหนึ่งก็คงไม่ครบถ้วน

    ดิฉันเพียงแต่ยกตัวอย่างมารยาททางการทูต ว่าผู้นำที่มาเยือนในฐานะที่มาเป็นแขกเมืองไม่ควรวิจารณ์ในสิ่งที่เป็นประเด็น controversial เหมือนที่เราถ้าไปในฐานะแขกเมืองของเขา เราก็จะไม่ไปพูดในประเด็นแบบเดียวกัน

    การยกประเด็นฮิญาบมิได้มุ่งหมายจะไปปลุกปั่นให้คนมุสลิมเกลียดชังฝรั่งเศสแต่ประการใด
    การโยงของคุณออกนอกประเด็นที่ดิฉันต้องการสื่อ สิ่งที่คุณชี้นำกลับจะนำไปสู่สิ่งที่คุณวิจารณ์ดิฉันค่ะ



    ที่มา สำนักข่าวเจ้าพระยา
     
  10. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=8P8UehcHuGU]เผด็จการทรราชฮุนเซน - YouTube[/ame]
     
  11. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    คิดว่านะจะมีคนยังมีชีวิตอยู่ครับ!

    "หน่วยข่าวกรองมักตกเป็นแพะรับบาปเสมอ หากมีอะไรเกิดขึ้นหนังสือพิมพ์มักโจมตีสำนักข่าวกรองแห่งชาติก่อนเพื่อน ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะไม่ว่าที่ไหนในโลกหน่วยข่าวจะตกเป็นแพะรับบาปอันดับแรกเสมอ เหมือนหนังหน้าไฟ ทำดีก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าพลาดขึ้นมาก็ต้องไป"
     
  12. 3719

    3719 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +70
    คนทำผิดขายชาติยังลอยนวล คนที่ต้องไปจับกุมก็เพิกเฉย 50ปีผ่านไปแล้ว เอาไอ้คนขายชาติคนนั้นมากระชากหน้ากากดูกันเถอะ
     
  13. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    | ไทยโพสต์
    ทรยศต่อชาติ???

    ท่านขุนน้อย
    19 ตุลาคม 2552 - 00:00

    ขนาดรุ่นเนื้อว่าน เนื้อผงพิมพ์สุพรรณ อย่าง ป๋าเปรม ผู้เคยได้ชื่อว่าดอกพิกุลแทบไม่ร่วงออกมาจากปาก
    ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมาแจกแจงเรื่องราวต่างไปตามฐานานุรูป แต่เพียงแค่คำพูดไม่กี่วรรค กี่ประโยค
    ก็เล่นเอากุ้ง หอย ปู ปลา สะดุ้งโหยงไปเป็นแถบๆ
    พล่านน์น์กันไปทั้งพรรค ทั้งที่เคยจาบจ้วง
    ผรุสวาท ด่าทอ จิกหัว โขกสับ อำมาตยาธิปไตยมาโดยตลอด แถมยังปาอิฐ ปาหิน เข้าไปในบ้าน ป๋า
    อีกต่างหาก...แล้วไม่คิดจะเปิดพื้นที่ให้คนแก่ คนชรา ได้มีโอกาสชี้แจงเล็กๆ น้อยๆ บ้างเลยเชียวหรือ???

    --------------------------------------------

    เอาเป็นว่า...คำว่า การทรยศต่อชาติ ของ ป๋าเปรม จะกินความหมายกว้างขวาง ลึกซึ้ง ดื่มด่ำ
    เจาะทะลวงไปถึงริดสีดวงทวารของใครต่อใครกันบ้างนั้น อันที่จริงแล้วก็คงเป็นเรื่องระหว่าง ป๋า กับ จิ๋ว
    ที่ต่างฝ่ายต่างก็คบค้าสมาคมกันมานมนาน นับตั้งแต่ยุคพระเจ้าเหายังคงใส่กางเกงหูรูดก็ว่าได้
    คำพูด คำตักเตือน ระหว่าง อดีตนาย กับ อดีตลูกน้อง หรือจะให้เกียรติยกระดับขึ้นมาในฐานะ
    เพื่อนเตือนเพื่อน ก็ตาม น่าจะถือเป็นเรื่องระหว่างบุคคลทั้งสอง ที่ผู้อื่นซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ เอาเลย
    ไม่น่าจะถึงกับต้องกินปูนร้อนท้องมากมายนัก...


    -------------------------------------------

    แต่ถ้าหากขาดแคลนแคลเซียม ฟอสฟอรัส เกิดความโหยหาต้องการที่จะรับประทานปูนระดับ
    เป็นกระสอบๆ กันจริงๆ ก็นี่เลย...ลองไปฟังคนแก่ คนชรา อีกราย ที่ได้ออกมาพูดจาให้สัมภาษณ์
    ในชนิดแทบไม่ต้องเสียเวลาตีความอะไรให้เมื่อย ถือเป็นบทสัมภาษณ์ที่ใครก็ตาม ซึ่งไม่ต้องการ
    ทรยศต่อชาติ พลาดมาได้โดยเด็ดขาด!!! นั่นก็คือ การให้สัมภาษณ์ของพลตำรวจเอก วสิษฐ เดชกุญชร
    ผู้ซึ่งไม่ว่าจะพิจารณาจากคุณวุฒิ วัยวุฒิ อีกทั้งวัตรปฏิบัติที่แน่วแน่ สม่ำเสมอ ใสสะอาดมาโดยตลอด

    น่าจะสามารถเรียกได้ว่าเป็น ผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ของบ้านเมืองอีกรายหนึ่ง ซึ่งได้ตีพิมพ์อยู่ในนิตยสาร
    ผู้จัดการ-สุดสัปดาห์ ฉบับวันเสาร์ที่ผ่านมา...

    ----------------------------------------

    เพื่อไม่ต้องเสียเวลามาอธิบาย ขยายความ ให้รกรุงรังเกินไปนัก...เอาเป็นว่าลองไปหาอ่านเอาเองก็แล้วกัน
    แต่รับประกันการันตีได้ว่า คำพูดในแต่ละวรรค แต่ละประโยค ของอดีตนายตำรวจนักเขียนท่านนี้
    ไม่เพียงแต่จะสร้างความซี๊ดซ๊าด ด้วยลีลาอันสุดแสนจะเฉียบขาด คมคาย สุขุม นุ่มลึก เท่านั้น
    ยังห้าวหาญ ตรงไป-ตรงมา ระดับตีใจกลางแสกหน้าของ ผู้ทรยศต่อชาติ ชนิดหน้าแหกเป็นลิ่มๆอีกทั้งยังน่าจะมีส่วนช่วยกระตุก กระตุ้นเตือนบรรดาผู้ที่ไม่ต้องการจะทรยศต่อชาติ ให้ตระหนัก สำนึก
    ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว ได้อย่างชัดเจน...

    -----------------------------------------

    แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ในโลกยุคนี้ อันเป็นยุคที่ความดีลดลงเหลืออยู่แค่เพียง 1 ส่วน
    ความไม่ดีขยายวงบานปลาย ลุกลามไปถึง 3 ส่วน โอกาสที่จะหวังให้ใครต่อใครแยกแยะความแตกต่าง
    ระหว่าง กงจักร กับ ดอกบัว ออกจากกันให้ชัดเจน มันคงไม่ถึงกับ...ง่ายซักเท่าไหร่นัก ทั้งๆ ที่ผู้ทรยศต่อชาติ
    แสดงอาการทรยศต่อชาติออกมาให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า ถือเป็นที่ประจักษ์โดยชัดเจน ไม่ว่าในแง่นิตินัย
    หรือพฤตินัยก็ตาม แต่ก็ยังอุตส่าห์มีผู้ซึ่งอ้างถึงความรักชาติ ชักแถวเข้าไปอ่อนน้อม ศิโรราป ให้กับ
    ผู้ทรยศต่อชาติกันเป็นแถวๆ...

    -------------------------------------------

    จะไปจับเอาแต่ละคน แต่ละราย มาเข้าเครื่องเอ็กซเรย์ สแกนสมอง นับรอยหยักแต่ละลอน
    ว่ายังครบถ้วนสมบูรณ์อยู่อีกหรือไม่? ก็คงไม่ได้ข้อสรุปอะไรมากมายนัก เพราะโดยลักษณะอาการเช่นนี้...
    มันคงไม่ได้เกี่ยวพันกับระบบการทำงานของสมอง หรือวงจรประสาทแต่ละวงจรกันซักเท่าไหร่
    แต่มันน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่อง จิตวิญญาณ เรื่องอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อประเทศชาติ ต่อแผ่นดิน
    ต่อสังคมส่วนรวม ซึ่งในระยะหลังคงต้องยอมรับว่า...มันชักจะออกไปทางวิปริต ผิดเพี้ยน พิสดาร วิตถาร
    น่างุนงงสงสัยอยู่ไม่น้อย...

    -----------------------------------------------

    แม้นว่าเอาคำตอบในทางรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ หรือกระทั่งสังคมศาสตร์ มาใช้อธิบายถึงลักษณะ
    อาการผิดเพี้ยนเหล่านี้ได้บ้าง แต่ดูจะไม่ถึงกับครบถ้วนสมบูรณ์มากมายนัก ไม่ว่าจะอธิบายผ่าน
    ความไม่สมดุลของโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมก็ตาม จนดีไม่ดีอาจต้องหันไปใช้
    คำตอบในทางโหราศาสตร์เข้ามาช่วย ว่าด้วยอิทธิพลของดวงดาวแต่ละดวง ที่ยักย้ายถ่ายเท ถอยหลัง
    เดินหน้า อย่างไรก็ไม่ทราบได้ มันถึงทำให้ความรู้สึกนึกคิดจิตใจของผู้คนวิปริต ผิดเพี้ยนกันได้ถึงขั้นนี้...

    -------------------------------------------------

    ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายตำรวจ อดีตนายทหาร อดีตอธิบดี อดีตดารา ฯลฯ...แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า
    อะไรจะโง่งมงายถึงขั้นแยกไม่ออกว่าตัวเองกำลังรับใช้ใครอยู่???
    ผู้ที่กำลังออกคำสั่งให้ตัวเองหันขวา หันซ้าย ไปตามแผนการณ์อันชั่วช้า อำมะหิต ในแต่ละครั้งแต่ละครานั้น
    เป็นผู้รักชาติ หรือผู้ที่ทรยศต่อชาติกันแน่??? ไม่ต้องไปหยิบยกเอาเรื่องน่าปวดหัวอย่าง ประชาธิปไตย
    หรือ อำมาตยาธิปไตย มาถกเถียง ตีความ กันให้ปวดหัว เสียเวลา เพียงแค่มองถึงความกระเหี้ยนกระหือรือ
    คิดจะยกแผ่นดินทั้งแผ่นดินให้กับแขก ร่วมเซ็งลี้น้ำมันกับเขมร ขายความลับบนท้องฟ้าให้กับสิงคโปร์ ฯลฯ
    แค่นี้ก็...จบแล้ว!!!
    เลิกพูดกันได้ถึงยอดหญ้า รากหญ้า ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง ชนชั้นล่าง
    ประเภทนี้ต้องถือว่า ทรยศต่อชาติ หรือ ทรยศต่อชนทุกชั้น กันเห็นๆ...

    -----------------------------------------------

    แต่ก็นั่นแหละ...ถ้าหากเป็นระดับ น้าบัติ ก็อย่าถึงกับไปต่อว่า ไปถือสาแกเลย คือแกเป็นแค่นักแสดง
    หรือดารา ที่ถนัดแต่การเล่นไปตามบทเท่านั้น ถึงจะเคยเล่นบทเป็น พระเอก มาก่อนในตอนหนุ่มๆ
    แต่ในเมื่อตอนแก่ๆ จะเป็นเพราะงานไม่เข้า หรือไม่ค่อยมีโอกาสได้รับบทที่ถนัดๆ ก็แล้วแต่ น้าบัติ
    ท่านก็คงจำเป็นที่จะต้องหันไป ซบ ผู้ที่หยิบยื่นบทมาให้ จนต้องกลายเป็น บัติซบ ไปแล้วในขณะนี้
    แต่ที่น่าตื่นตะลึง น่างุนงง จนแทบไม่อยากเชื่อสายตา...ก็คงหนีไม่พ้นบรรดาอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
    ตั้งแต่ระดับที่เคยได้รับเหรียญรามรามา เข็มกล้ากลางสมร เคยดื่มน้ำพระพัฒน์สัตยา เคยกล่าวคำ
    ถวายสัตย์ปฏิญญาน ฯลฯ ครั้งแล้วครั้งเล่า...จู่ๆ ก็หันมาเล่นบท ผู้ช่วยกบฏ เอาดื้อๆ ไม่ได้สนใจถึงหลักฐาน
    ประจักษ์พยาน แห่งการทรยศ ทั้งๆ ที่ปรากฏให้เห็นต่อสายตาครั้งแล้วครั้งเล่า...

    -----------------------------------------

    ก็เอาเถอะ...ด้วยเสรีภาพที่ พระผู้เป็นเจ้า ทรงมอบไว้ให้แก่มวลมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ด้วยระบอบประชาธิปไตย
    ที่แต่ละปัจเจกบุคคลมีสิทธิ์ที่จะใช้เสรีภาพนั้นๆ ไปตามความพึงพอใจของตัวเองได้เสมอๆ ใครจะเลือกทำดี
    หรือจะเลือกทำชั่วก็ย่อมได้ และหลังจากที่แต่ละคนแต่ละรายได้ตัดสินใจเลือกไปแล้ว
    ก็คงอีกไม่นานนัก...ที่ผลตอบแทนแห่งการเลือกนั้นๆ จะหวนกลับมาตอบสนองต่อทุกๆ ราย ไป
    ตามการกระทำของตัวเอง โดยไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่อณูเดียว...

    -------------------------------------------

    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก สุนทโรวาท อิหม่าม อาลี..."ผู้ที่น่าสงสารที่สุด ก็คือผู้รู้ที่ตกอยู่ใต้คำสั่งของคนโง่เขลา
    ผู้ที่มีธรรมชาติเป็นคนใจกว้างเอื้อเฟื้อ แต่ต้องถูกชี้นำโดยคนละโมภโลภมาก ผู้ที่มีคุณธรรมแต่ต้องถูกบงการ
    โดยคนชั่วมั่วโลกีย์...".
     
  14. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
  15. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    บันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • mou43_1t.jpg
      mou43_1t.jpg
      ขนาดไฟล์:
      176.9 KB
      เปิดดู:
      58
    • mou43_2t.jpg
      mou43_2t.jpg
      ขนาดไฟล์:
      183.3 KB
      เปิดดู:
      49
    • mou43_3t.jpg
      mou43_3t.jpg
      ขนาดไฟล์:
      161.9 KB
      เปิดดู:
      45
    • mou43_4t.jpg
      mou43_4t.jpg
      ขนาดไฟล์:
      169.7 KB
      เปิดดู:
      45
    • mou43_5t.jpg
      mou43_5t.jpg
      ขนาดไฟล์:
      137.1 KB
      เปิดดู:
      49
  16. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    คำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรณีปราสาทพระวิหารปี 2505
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • icj1962_1.png
      icj1962_1.png
      ขนาดไฟล์:
      197.7 KB
      เปิดดู:
      55
    • icj1962_2.png
      icj1962_2.png
      ขนาดไฟล์:
      208.1 KB
      เปิดดู:
      56
    • icj1962_3.png
      icj1962_3.png
      ขนาดไฟล์:
      107.4 KB
      เปิดดู:
      40
  17. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    Request for the indication of provisional measures. The Court to hold public hearings on Monday 30 and Tuesday 31 May 2011.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • icj2011_5.png
      icj2011_5.png
      ขนาดไฟล์:
      100 KB
      เปิดดู:
      53
    • icj2011_6.png
      icj2011_6.png
      ขนาดไฟล์:
      70.7 KB
      เปิดดู:
      50
  18. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    Cambodia files an Application requesting interpretation of the Judgment rendered by the Court on 15 June 1962 in the case concerning the Temple of Preah Vihear (Cambodia v. Thailand) and also asks for the urgent indication of provisional measures
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • icj2011_1.png
      icj2011_1.png
      ขนาดไฟล์:
      148.5 KB
      เปิดดู:
      54
    • icj2011_2.png
      icj2011_2.png
      ขนาดไฟล์:
      160.8 KB
      เปิดดู:
      55
    • icj2011_3.png
      icj2011_3.png
      ขนาดไฟล์:
      101.4 KB
      เปิดดู:
      45
    • icj2011_4.png
      icj2011_4.png
      ขนาดไฟล์:
      41.2 KB
      เปิดดู:
      46
  19. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    สัญญาว่าด้วยปักปันเขตร์แดน ติดท้ายหนังสือสัญญาลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ.๑๒๕ (ค.ศ. ๑๙๐๗)

    เพื่อ ประโยชน์ที่จะให้กรรมการซึ่งกล่าวไว้ในข้อ ๔ ของหนังสือลงวันนี้ จัดการปักปันเขตร์แดนได้สดวก และเพื่อที่จะมิให้เกิดมีข้อขัดข้องขึ้นได้ ในการบันทึกเขตร์แดนนั้น รัฐบาลสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยาม กับรัฐบาลริปับลิกฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกันตามความที่เกล่าวนี้

    ข้อ ๑

    เขตร์ แดนในระหว่างกรุงสยามกับอินโดจชินฝรั่งเศสนั้น ตั้งแต่ชายทะเลที่ตรงข้ามกับยอดเขาสูงที่สุดของเกาะกูดเปนหลักแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไปทางตะวันออกเฉียงเหนือถึงสันเขาพนมกระวาน แลเปฯที่เข้าใจกันชัดเจนด้วยว่า แม้จะมีเหตุการณ์อย่างไรๆ ก็ดี ฟากไหล่เขาเหล่านี้ข้างทิศตวันออกรวมทั้งลุ่มน้ำคลองเกาะปอด้วยนั้น ต้องคงเปนดินแดนฝ่ายอินโดชินของฝรั่งเศส แล้วแนวเขตร์แดนต่อไปตามสันเขาพนมกระวานทางทิศเหนือ จนถึงเขาพนมทม ซึ่งเปนเขาใหญ่ปันน้ำทั้งหลายระหว่างลำน้ำที่ไหลไปตกอ่าวสยามฝ่ายหนึ่ง กับลำน้ำที่ไหลไปตกทะเลสาปอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งแต่เขาพนมทมนี้เขตแดนไปตามทิศพายัพก่อนแล้ว จึงไปทางทิศเหนือตามเขตร์แดน ซึ่งเปนอยู่ในปัจจุบันนี้ระหว่างเมืองพระตะบองฝ่ายหนึ่ง กับเมืองจันทบุรีแลเมืองตราดอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ต่อไปจนถึงที่เขตร์แดนนี้ข้ามลำน้ำใส ตั้งแต่นี้ต่อไปตามลำน้ำนี้จนถึงปากที่ต่อกับลำน้ำศรีโสภณ แลตามลำน้ำศรีโสภณต่อไปจนถึงที่แห่งหนึ่งในลำน้ำนี้ ประมาณสิบกิโลเมตร์หรือสองร้อยห้าสิบเส้นใต้เมืองอารัญ ตั้งแต่นั้นตีเส้นตรงไปจนถึงเขาแดนแรก ตรงระหว่างกลางทางช่องเขาทั้ง # ที่เรียกว่าช่องตะโกกับช่องเสม็ด แต่ได้เป็นที่เข้าใจกันว่า เส้นเขตร์แดนที่กล่าวมาที่สุดนี้ จะต้องปักปันกันให้มีทางเดินตรงในระหว่างเมืองอารัญกับช่องตะโกคงไว้ในเขตร์ กรุงสยาม ตั้งแต่ที่เขาแดงแรกที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เขตร์แดนต่อไปตามเขาปันน้ำที่ตกทะเลสาปและแม่น้ำโขงฝ่ายหนึ่ง กับที่ตกน้ำมูนอีกฝ่ายหนึ่งแล้วต่อไปจนตกลำแม่น้ำโขงใต้ปากมูน ตรงปากห้วยดอนตามเส้นเขตร์แดน ที่กรรมการปักปันแดนครั้งก่อนได้ตกลงกันแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๕ คฤสตศักราช ๑๙๐๗
    ได้เขียนเส้นพรมแดนประเมินไว้อย่างหนึ่ง ในแผนที่ตามที่กล่าวในข้อนี้ติดเนื่องไว้ท้ายสัญญานี้ด้วย

    ข้อ ๒

    เขตร์ แดนเมืองหลวงพระบางนั้น ตั้งแต่ข้างทิศใต้แม่น้ำโขงที่ปากน้ำเหืองแล้ว ต่อไปตามกลางลำน้ำเหืองนี้ จนถึงที่แรกเกิดน้ำนี้เรียกว่าภูเขาเมี่ยง ต่อนี้เขตร์แดนไปตามสันปันน้ำตกแม่น้ำโขงฝ่ายหนึ่ง กับตกแม่น้ำเจ้าพระยาฝ่ายหนึ่ง จนถึงที่ในลำแม่น้ำโขงที่เรียกว่าแกงผาได ตามเส้นพรมแดนที่กรรมการปักปันแดนได้ตกลงกันไว้แต่ ณ วันที่ ๑๖ มกราคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๔ คฤสตศักราช ๑๙๐๖

    ข้อ ๓

    กรรมการปักปันเขตร์ แดนที่กล่าวไว้ในข้อ ๔ ของหนังสือสัญญาลงวันนี้ จะต้องทำการปักปันหมายเขตร์ลงไว้ในพื้นที่ตามเขตร์แดนที่ว่าไว้ในข้อ ๑ นี้ ถ้า ในเวลาที่กำลังไปทำการปักปันเขตร์แดนกันอยู่นั้น รัฐบาลฝรั่งเศสจะมีประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงเส้นพรมแดนที่ได้ตกลงยินยอมกัน ไว้นี้แล้ว การที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงกันนี้ ถึงโดยว่าจะเกิดมีเหตุการณ์อย่างไรๆ ก็ดี จะต้องทำให้ไม่เป็นที่ล่วงล้ำเสียประโยชน์ของรัฐบาลสยามด้วย

    สัญญา นี้ผู้มีอำนาจเต็มทั้งสองฝ่ายได้ลงชื่อแลประทัยตราไว้เปนสำคัญอย่างละ ๒ ฉบับ ณ กรุงเทพมหานคร วันที่ ๒๓ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๕ คฤสตศักราช ๑๙๐๗

    (ลงพระนามและประทัยตรา) เทวะวงศ์วโรปการ
    (ลงนามแลประทัยตรา) วี คอลแลง ( เดอ ปลังชี )



    --------------------------------------------------------------------------------
    อ้างอิง

    1. ศูนย์สถานการณ์พื้นที่เขาพระวิหารและชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อแสดงความคิดเห็นในการปักปันเขตแดนไทยกับกัมพูชา กระทรวงการต่างประเทศ, "ข้อมูลที่ประชาชนไทยควรทราบ เกี่ยวกับกรณีปราสาทพระวิหารและการเจรจาเขตแดนไทย-กัมพูชา", http://www.mfa.go.th/190/index1.php
     
  20. foleman

    foleman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    571
    ค่าพลัง:
    +505
    ตรวจเข้มแรงงานกัมพูชา หลังพบส่งสปายเข้ามาถ่ายภาพค่ายทหาร

    เมื่อเช้าวันนี้ (21 ก.พ. 56) ตั้งแต่เวลา 09.00 น. พ.อ.ศรีศักดิ์ พูนประสิทธิ์ รองผู้บัญชาการกองกำลังบูรพา ได้สั่งการให้ จนท.ทหารชุดปฏิบัติการด่านตรวจบ้านหนองกุง หน้ากองบัญชาการกองกำลังบูรพา ต.ห้วยโจด อ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว ทำการตรวจค้นแรงงานชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยผ่านด่านตรวจบ้านหนองกุง อย่างละเอียด โดยประสานความร่วมมือกับ พ.อ.มล.ประวีร์ จักรพันธ์ ผบ.ฉก.กรม.ทพ.12 กกล.บูรพา จัดส่ง จนท.อส.ทพ.หญิงมาร่วมในการตรวจค้นแรงงานสตรีชาวกัมพูชา

    นอกจากนี้ยังสั่งการให้ ร.อ.อภินันท์ สงครามชัย ผบ.ร้อย ทพ.1206 ฉก.กรม.ทพ.12 กกล.บูรพา ซึ่งดูแลรับผิดชอบพื้นที่หน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว นำกำลัง เจ้าหน้าที่ทหารพรานตรวจค้นแรงงานชาวกัมพูชา ที่จะเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทยอย่างเข้มงวดและเพื่อความมั่นคงของประเทศ

    สืบเนื่องจาก กกล.บูรพา และ หน่วย ฉ.ทพ.ที่ 12 กกล.บูรพา ได้รับการประสานจาก เจ้าหน้าที่ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ กองบัญชาการทหารสูงสุด ว่า ได้ตรวจพบแรงงานหญิงชาวกัมพูชาที่เดินทางไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรม ที่ จ.ลพบุรี และระหว่างจะเดินทางกลับประเทศ ได้มีตรวจพบว่ามีการซุกซ่อนซิมการ์ดของกล้องถ่ายรูปดิจิทัล และซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือไว้ในยกทรง และในกางเกงใน

    ทั้งนี้เมื่อเจ้าหน้าที่นำมาตรวจสอบพบว่า ภายในซิมการ์ดมีภาพถ่ายที่ตั้งทางทหารของไทย และที่ตั้งหน่วยงานความมั่นคงใน จ.ลพบุรี ซึ่งจากการสอบสวนแรงงานชาวกัมพูชาอ้างว่า เดินทางจากกัมพูชาเข้ามาทำงานใน จ.ลพบุรี โดยเดินทางผ่านมาทางด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว และอ้างว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ได้เดินถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยวใน จ.ลพบุรี ไม่ได้ตั้งใจถ่ายภาพที่ตั้งทางทหาร

    ด้านเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อเนื่องจากมีการซุกซ่อนซิมการ์ดมาในหน้าอก และภายในเป้ากางเกงใน หวั่นเป็นสายลับทางทหารของกัมพูชาจะลักลอบนำภาพถ่ายที่ตั้งทางทหารซึ่งเป็นความลับทางทหารของไทยออกไปให้กัมพูชา จึงควบคุมตัวไว้สอบสวน และได้ประสาน กกล.บูรพา และ ฉก.กรม.ทพ.12 กกล.บูรพา ทำการเข้มงวดกวดขันในการตรวจค้นแรงงานชาวเขมรเดินทางผ่านเข้า-ออกประเทศ



    ผู้สื่อข่าว : ทีมข่าวท้องถิ่น

    ข่าวจริง สปริงนิวส์ ทันเหตุการณ์ เห็นอนาคต


    ที่มา: ตรวจเข้มแรงงานกัมพูชา หลังพบส่งสปายเข้ามาถ่ายภาพค่ายทหาร | Spring News ... 2%E0%B8%A3
     

แชร์หน้านี้

Loading...