พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไว้รอหลังปีใหม่นะครับ

    ช่วงนี้ งานหลายๆเรื่องผมค่อนข้างยุ่ง ก็เลยตัดปัญหาไป 1 เรื่องก่อน หลังปีใหม่ผมจะมอบพระพิมพ์ให้กับท่านที่ร่วมทำบุญอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  2. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    พี่พันวฤทธิ์คะขอน้อมรับไปบูชาด้วย2องค์ด้วยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ
     
  3. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    คุณหนุ่มคะ..ยังไม่ได้รับพระนาคปรก2องค์นะคะ
    แล้วจะไปรับเองที่ทำงานคุณหนุ่ม
    ไม่ต้องส่งไปให้นะ เปลืองตัง
     
  4. จักรพันธ์2514

    จักรพันธ์2514 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +41
    ต้องการมีพระวังหน้าครับ

    ขอบคุณ คุณสิทธิพงษ์ที่ตอบกลับมาครับรู้สึกดีมาก๐ครับ นึกว่าจะไม่มีโอกาสจะได้พระไว้บูชาแล้ว ยังช่วยรบกวนส่งมาทางเมล อีกทางก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ jakk2514@hotmail.com
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01lad03131050&day=2007-10-13&sectionid=0115


    วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10808​

    หลอกได้หลอกไป


    คอลัมน์ ฎีกาชีวิต

    โดย รศ.พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช



    พี่น้องคู่หนึ่งภายหลังพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว ทิ้งมรดกเป็นที่ดินแปลงใหญ่ ตกลงกันว่าร่วมกันครอบครองทำมาหากินร่วมกันไปก่อนก็แล้วกัน อย่าเพิ่งแบ่งแยก รอให้รัฐออกเป็นโฉนดที่ดินเสียก่อน ภายหลังออกเป็นโฉนดแล้วพี่ชายตกลงกับน้อง และน้องให้ความยินยอมเพื่อแบ่งที่ดินกันคนละครึ่ง

    น้องชายถูกห้ามไม่ให้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้น เขารู้ทันทีว่าถูกพี่สะใภ้หลอกกลางวันเสียแล้ว หากเป็นท่านจะทำอย่างไรดี

    นายหล้า เป็นโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรของ นายหน และ นางรุ้ง ทั้งคู่เสียชีวิตไปแล้วหลายปี ทั้งคู่ทิ้งมรดกเป็นที่ดิน 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ อยู่ที่ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เขาตกลงกับพี่ชายชื่อ นายหลุ่น ว่าใช้เป็นที่ทำมาหากินกันก่อนก็แล้วกัน หากทางอำเภอออกโฉนดค่อยแบ่งปันกันไปตามสิทธิ กรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นของเราสองคนไม่เป็นของใครอื่นแน่

    ภายหลังที่ดินแปลงนั้นออกโฉนดแล้วราคาประมาณ 2 ล้านบาทอย่างต่ำ เขาและพี่ชายตกลงกันว่าจะแบ่งที่ดินกันคนละครึ่งตามเอกสารที่อ้างมา แต่พี่ชายบุญน้อยถึงแก่กรรมเสียก่อนระหว่างรอการรังวัดแบ่งแยกที่ดิน

    ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อจำเลยที่ 1 ถึง 3 คือ นางจี๊ด ภริยาของหลุ่น และบุตรชาย 2 คน ไปยื่นคำขอรับมรดกที่ดินทั้งแปลง แต่โจทก์คัดค้าน จำเลยทั้งสามจึงตกลงจะแบ่งที่ดินให้โจทก์ตามที่เคยตกลงกับพี่ชายไว้ โจทก์จึงถอนคำคัดค้านและยังครอบครองทำกินในที่ดินส่วนของโจทก์เรื่อยมา ตั้งแต่ปี 2530

    จนกระทั่งเมื่อปลายปี 2535 ฝ่ายจำเลยห้ามโจทก์ไม่ให้เข้าไปทำประโยชน์ โดยอ้างว่าโจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน โจทก์ไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินจึงทราบว่าถูกหลอกให้ถอนคำคัดค้าน และจำเลยทั้งสามขอรับโอนมรดกที่ดินตั้งแต่ปี 2532 โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ตามโฉนดเลขที่ 1265 ครึ่งหนึ่ง แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย

    จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

    ที่สุดศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาของจำเลย ที่ดินพิพาทเป็นของหลุ่นแต่ผู้เดียวหรือไม่ เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์สมเหตุสมผลมีน้ำหนักให้เชื่อว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกของบิดามารดาซึ่งตกได้แก่โจทก์และพี่ชาย แม้จะปรากฏภายหลังว่า โจทก์ยื่นคำขอถอนคำคัดค้านการขอรับมรดกที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสามตามเอกสารหมายเลข จ.3 ก็ระบุเพียงว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้แล้ว มิใช่ยอมรับว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดก จึงไม่มีผลให้ที่ดินพิพาทแปรสภาพเป็นมิใช่ทรัพย์มรดกแต่อย่างใด

    ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นของโจทก์และหลุ่นพี่ชายร่วมกัน มิใช่เป็นของหลุ่นแต่เพียงผู้เดียว ที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน โจทก์ครอบครองทรัพย์มรดกส่วนของตนตลอดมา โจทก์จึงมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้จะล่วงพ้นอายุความคดีมรดกตามที่กฎหมายกำหนด คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

    ปัญหาประการสุดท้ายเห็นว่า ตามคำฟ้องและคำให้การจำเลยทั้งสามไม่มีประเด็นเรื่องสัญญาประนีประนอมยอมความแต่อย่างใด จำเลยเพิ่งจะยื่นต่อศาลประกอบคำเบิกความพยานจำเลยทั้งสาม มิใช่กรณีคู่ความตกลงหรือประนีประนอมยอมความและให้ศาลพิพากษาตามยอมตามบท บัญญัติของกฎหมาย ศาลจึงไม่อาจจะ พิพากษาบังคับให้ได้ ที่ศาลชั้นต้นไม่หยิบยกขึ้นพิจารณาชอบแล้ว

    ดังนั้น อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามเกี่ยวกับสัญญาประนีประนอมยอมความจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น จึงต้องห้าม ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องสัญญาประนี ประนอมยอมความนั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล จำเลยทั้งสามจึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหานี้ต่อมา ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

    พิพากษายืนตามศาลล่างทั้งสอง

    ข้อมูล : เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 1452/2542
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์ [​IMG]
    วันนี้มีเรื่อง อัชฌาสัย ๔ : อัชฌาสัยปฏิสัมภิทัปปัตโต มาให้อ่าน

    โดยนำมาจาก http://www.praruttanatri.com/meditat...hi/samp204.htm

    ในเรื่องนี้มีเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อกบ หรือ หลวงปู่ใหญ่ องค์ที่ 4 พ่วงอยู่ด้วย สาเหตุก็คือเมื่อวานได้มีโอกาสคุยกับพี่ใหญ่เรื่องวัตถุมงคลที่ผมฝากให้พี่ใหญ่ขออาราธนาบารมีท่านข้างบนไว้ เป็นพระพิมพ์ต่างๆ เช่นพระพิมพ์เจ้าคุณกรมท่า พระปิดตา 2 หน้า ราว 400 องค์ พี่ใหญ่บอกว่า ช่วงนี้ท่านหลวงพ่อกบ ท่านลงมาเสกให้เกือบทุกวัน มาเป็นแสงสว่างจ้ามาก กะว่า วันที่สิ้นเดือนนี้จะไปรับคืน หรือไม่ก็ทิ้งไว้ให้ขอบารมีท่านองค์อื่นลงมาในพิธีใหญ่ด้วย นี่ขอบารมีกันมาเกือบเดือนแล้ว บอกตามตรงแจกฟรีให้กับใครก็ได้ที่ขอ ถือว่าทำมาให้ไม่คิดมูลค่า เอาท่านองค์ที่ 4 ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นนี่ฌาณบารมีท่านนี่ละเอาไปใช้กัน แต่เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าให้เมื่อไร และแจกยังไง เพราะสงสารคนไกลเหมือนกัน ส่งไปรณีย์ก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุัด เพราะคิวยาวมาก แต่เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าของฟรีต้องมีในโลกบ้าง จึงทำให้ต้องแจกฟรีๆ ให้คนเป็นๆ ไปใช้กัน เป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาของเราด้วย แถมได้บุญอีก..โอ้ว.


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านใดที่มีความประสงค์จะรับพระพิมพ์ อย่าลืมต้องไปทำบุญชำระหนี้สงฆ์และหนี้แผ่นดิน จึงจะเป็นการดีที่สุด ผมได้บอกแล้วนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ท่านใดที่ร่วมทำบุญแล้วยังไม่ได้รับพระพิมพ์ หรือรับไม่ครบ ขอความกรุณาช่วยแจ้งมาให้ผมทราบด้วยนะครับ เผื่อผมหลงลืมไป

    รบกวนส่งมาให้ผมอีกรอบนะครับ ก็มีคุณdrmetta ,คุณเทพารักษ์ ,คุณatha ส่วนของคุณactive ,คุณตั้งจิต ,น้องchaipat และน้องเอ ไว้เจอกันแล้วค่อยให้พระ ส่วนท่านอื่นๆ ขอให้แจ้งมาอีกครั้งนะครับ จะได้รีบจัดส่งให้ ขอบคุณมากครับ


    หลังจากนี้จนถึงปีใหม่ ผมยุติการมอบพระพิมพ์กับผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไปก่อน หลังปีใหม่แล้วผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    น้องchaipat บอกว่า ให้อัดเป็นรูป 8*10นิ้ว แล้วใส่กรอบรูป พร้อมที่ห้อยคอให้คุณnongnoooครับ

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมนำมาลงให้อ่านกันเป็นความรู้นะครับ

    ******************************************

    เหนือลิขิต?? ประกาศิตฟ้าดิน?? : 'ยาวาสนาจินดามณี'
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=44728&NewsType=2&Template=1

    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=messageblack vAlign=center align=middle height=20></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เรียน...ท่านผู้ “อ่านความจริง...อ่านเดลินิวส์” โดยเฉพาะเนื้อที่ “ครบเครื่องเรื่องลายคราม” ตรงนี้เนื่องจากผู้เขียน “อาจารย์ ภุชชงค์ จันทรวิช” มีภารกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศนานนับเดือนจึงสุดวิสัยที่จะส่ง “ต้นฉบับ” ได้ตามกำหนด ดังนั้นฉบับนี้และฉบับต่อไปประมาณ ๔ สัปดาห์เนื้อที่ของ “พระเครื่องวันเสาร์” จึงเว้นวรรคการนำเสนอ “ครบเครื่องเรื่องลายคราม” ไว้ “ชั่วครู่” จนกว่า “อาจารย์ภุชชงค์” จะกลับมาจึงจะนำเสนอต่อไป

    ส่วนวันนี้จึงนำเรื่องราวที่ต้องบอกว่า “บางเรื่อง” ออกจะ “ลึกลับซับซ้อน” และ “บางเรื่อง” ออกจะ “แปลก” และ “มหัศ จรรย์พันลึก” แต่ก็เป็นเรื่องราวที่ “คนยุคเก่า” มีการบันทึกที่ “เชื่อถือได้” และมีการ “บอกเล่าสืบต่อกัน” มานำเสนอไปพลาง ๆ โดย “ผู้เขียน” ก็เป็นผู้ที่คร่ำหวอดและรอบรู้ “เรื่องราวต่าง ๆ” ที่ลึกลับซับซ้อนดังกล่าวข้างต้นพร้อมทำการค้นคว้าสืบเสาะจน “แน่ชัด” ถึงเรื่องราวที่จะนำเสนอแล้วเป็นอย่างดีเพราะ “บางสิ่ง” ที่คิดว่า “ไม่น่าเป็นไปได้” แต่ “ก็เป็นไปแล้ว” ส่วนจะเป็นแบบใดบ้างต้อง “อย่าพลาด” ติดตามกัน
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อัน “ลำน้ำนครชัยศรี” เป็นลำน้ำที่ไหลมาจาก “จ.ชัยนาท” ผ่าน “จ.สุพรรณบุรี” ถึง “อ.นครชัยศรี” แล้วผ่านเลยไปลงปากอ่าวที่ “จ.สมุทรสาคร” ซึ่งบนฝั่งลำน้ำแห่งนี้ในเขต “อ.นครชัยศรี” มีอยู่วัดหนึ่งที่แต่เดิมมีนามว่า “วัดคงคาราม” ต่อมา “สมเด็จพระมหา สมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวรรษ วัดบวรนิเวศวิหาร” ซึ่งเป็น “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า” ในครั้งนั้นได้เสด็จมาพบ “เจ้าอาวาส” ของ “วัดคงคาราม” เพราะท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปถึง “พระนครกรุงเทพฯ” นามว่า “หลวงปู่บุญ” และหลังจากได้พบแล้ว “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า” ทรงพอใจในการปฏิบัติธรรมของ “หลวงปู่บุญ” มากจึงขอพระราชทานสมณ ศักดิ์ให้ในกาลต่อมาเป็น “พระพุทธวิถีนายก” ซึ่งแปลว่า “ผู้นำแห่งการเดินทางไปสู่ความเป็นพุทธ” และยังเปลี่ยนชื่อ “วัดคงคาราม” เสียใหม่เป็น “วัดกลางบางแก้ว” เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๕ พร้อมทั้งแต่งตั้งให้ “หลวงปู่บุญ” เป็น “เจ้าคณะมณฑลนครชัยศรี” ทำการปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่ “จ.สุพรรณบุรี นครปฐม สมุทรสาคร” ตลอดลำน้ำสายนครชัยศรี
    ทางด้านประวัติของ “หลวงปู่บุญ” เกิดในสมัย “รัชกาลที่ ๓” เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๑ และมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๗๘ มีอายุได้ ๘๗ ปี ท่านเป็นพระเถระที่เชี่ยวชาญด้าน “วิปัสสนา” และ “โหรา ศาสตร์” ตลอดจน “แพทย์แผนโบราณ” จึงเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในยามทุกข์ร้อนหรือเจ็บไข้ได้ป่วยที่มาให้ “หลวงปู่บุญ” ทำการรักษาซึ่งท่านก็ทำการรักษาให้ด้วยความเมตตาเพราะท่านมี “ตำรับยา” ที่รักษาผู้คนได้สารพัดโรคโดยเฉพาะตำรับ “ยาวาสนาจินดามณี” เป็นตำรับยาและชื่อยาขนานหนึ่งที่โด่งดังมีประสบการณ์การใช้ที่ “ยาวนาน” เนื่องจากสมัยที่ยังมีชีวิตท่านได้ปรุงยาขนานนี้ตามตำรับที่ตกทอดมาจาก “กรุงศรีอยุธยา” เพราะเป็นตำรับยาของ “สมเด็จพระพนรัตนวัดป่าแก้ว” หรือ “วัดใหญ่ชัยมงคล” และเป็นพระอาจารย์ของ “ยอดพระมหากษัตริย์นักรบไทย” คือ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” นั่นเอง เพราะ “คุณวิเศษ” ของยาขนานนี้ผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคภัยต่าง ๆ หาก “ไม่ถึงอายุขัย” ก็สามารถอธิษฐาน “ขอชีวิตได้” เพราะเป็นยาที่ปรุงด้วยสมุนไพรมากมายหลายชนิดอีกทั้ง “วิธีการปรุง” ก็สลับซับซ้อนนอกจากต้องได้ “ตัวยามาครบ” แล้วยังต้องทำการปรุงตรงตาม “ฤกษ์ยามที่กำหนด” คือต้องจัดพิธีปรุงยาที่แวดล้อมด้วย “อักขระเลขยันต์” ทั้งการ “ลงลูกหินแม่หิน” ที่ต้องบดละเอียดและคุลีการใน “พระอุโบสถ” เท่านั้นท่ามกลางการ “สวดมนต์สาธยาย มนต์” ตามตำรับจึงจะเป็นผลให้ “ยาวาสนาจินดามณี” มีคุณวิเศษปรากฏให้เห็น ซึ่งนอกจากใช้ “บำบัดโรคภัย” ต่าง ๆ ได้อย่างวิเศษแล้วผู้ใดก็ตามที่ “อาราธนานำติดตัว” ไว้ก็จะมีคุณวิเศษทางด้าน “เมตตามหานิยม” ที่คนเก่า ๆ ใน “อำเภอนครชัยศรี” และใกล้เคียงร่ำลือกันมาถึงปัจจุบัน
    และตำรับการปรุงยาวาสนาจินดามณีนี้ก็ได้ตกทอดมายังลูกศิษย์ของท่านคือ “หลวงปู่เพิ่ม” ที่ทำพิธีปรุงยาติด ต่อกันเรื่อยมากระทั่งท่านมรณภาพในปี พ.ศ. ๒๕๒๖ และเพราะ “ยาวาสนาจินดามณี” เป็นตำรับยาที่ซับซ้อนมากก่อนมรณภาพ “หลวงปู่เพิ่ม” ก็ได้ถ่ายทอดพร้อมมอบให้ “พระปลัดใบ คุณวีโร” ทำการปรุงต่อมาอีกโดยระหว่างนั้นผู้ที่ “ร่วมพิธี” และรู้จัก “สมุนไพร” ที่เป็นตัวยาและกรรมวิธีต่าง ๆ คือ “พระอาจารย์พีระ อภิวัฒโน” และ “คุณสมศักดิ์ เดชกำแหง” ดังนั้นเมื่อ “พระปลัดใบ” ถึงแก่มรณภาพลง “ความรอบรู้” ดังกล่าวจึง “มิได้สูญหาย” ได้ตกทอดมาถึงปัจจุบันดังนั้นการปรุงยาขนานนี้ของ “วัดกลางบางแก้ว” จึงมีสืบเนื่องต่อมา

    โดยการปรุงยา “ครั้งล่าสุด” ได้จัดทำขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ณ อุโบสถวัดกลางบางแก้ว โดย “พระเจ้าหลานเธอ พระ องค์เจ้าพัชรกิติยาภา” ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณเสด็จไปร่วมพิธีเป็น “ประธานฝ่ายฆราวาส” และ “หลวงปู่เจือ ปิยสีโล” เป็น “ประธานฝ่ายสงฆ์” การปรุงยาครั้งนั้นจึงนับเป็น “ครั้งสำคัญ” อีกครั้งหนึ่งที่ทาง “วัดกลางบางแก้ว” ทำการปรุงได้ครบถ้วนสมบูรณ์และนอกจากทำเป็น “เม็ดยา” แล้วยังได้สืบทอดเจตนารมณ์ของ “หลวงปู่บุญ” คือจัดทำเป็น “พระเครื่อง” พิมพ์ต่าง ๆ ทั้งหมด “๑๔ พิมพ์” ด้วยกัน แต่ “ทุกสิ่ง” ในแผ่นดินไทยอะไรก็ตามที่ได้รับ “ความนิยม” ก็มักจะมี “ผู้ไม่กลัวบาป” ทำการสร้าง “ของปลอม” ออกมาเพื่อหลอกขายแก่ “ผู้ไม่รู้” แอบอ้างทั้ง “ชื่อวัด” และชื่อ “หลวงปู่” ผู้ทำพิธีปรุงยาที่ชาวบ้านศรัทธาจึงจะขายได้จึงขอให้ “ทุกท่าน” ระวังให้มากเพราะ “ยาวาสนาจินดามณี” มี “คุณวิเศษ” ที่ไม่อาจนำมาสาธยายได้หมด “ผู้เขียน” จึงขอนำคำพรรณนาที่บันทึกไว้ใน “สมุดข่อยโบราณ” ของ “วัดกลางบางแก้ว” จารึกไว้ดังนี้
    “เป็นยาวาสนา เลิศล้ำตำราในโลกแผ่นดิน อุปเท่ห์กล่าวไว้ผู้ใดได้กิน จะสวัสดิโสภิณกว่าคนทั้งหลาย พัสดุเงินทองจักพูน กูลนอง กว่าโลกหญิงชาย นำมาบูชาอหิวาต์ก็มิวาย ระงับอันตรายทั้งสี่กิริยา โทษหนักเท่าหนัก มาตรแม้นประจักษ์ถึงกาลมรณา ถ้าแม้นใครกินซึ่งยาวาสนา กลับน้อยถอยคลา เคลื่อนคลายหายเอย”.
    “แฉ่ง บางกระเยา”

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘ตายไม่เน่า...เผาไม่ไหม้’
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เหนือลิขิต?? ประกาศิตฟ้าดิน?? : 'ยาวาสนาจินดามณี'
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">สังข์ของมงคลนับแต่เกิด
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">วอแหวนแสนรัก
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">ถมเงิน ถมทอง ถมตะทอง ประณีตศิลป์ที่เลือนหาย
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เสาชิงช้า-ประตูสู่สวรรค์
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">เรียนรู้ และเข้าใจ พระบรมธาตุ นครศรีธรรมราช
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘ในจานมีปลา ในนามีข้าว’
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘ตู้พระไตรปิฏกลายรดน้ำ’ หนึ่งในสยาม
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?ColumnId=46817&NewsType=2&Template=1

    ‘คนนอนไม่หลับ เชิญทางนี้’
    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>มีบ้างไหมที่ท่านสัปหงกขณะนั่งประชุม ผล็อยหลับขณะรถติด บ่อยครั้งที่หลับขณะนั่งดูตลกหรือเกมโชว์ ถ้าเคยแสดงว่า ท่านเสี่ยงต่อการเป็นโรคนอนไม่หลับหรือหลับไม่พอแล้ว

    ข้อแนะนำจาก ข่าวสารกรมสุขภาพจิต ISSN 0125-6475 ในเรื่องอาการนอนไม่หลับ พบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในทางจิตวิทยาอธิบายได้ว่า ผู้หญิงมีเรื่องคิดวิตกกังวลมากกว่าผู้ชาย โดยแบ่งอาการนอนไม่หลับออกเป็น 3 ลักษณะตามสาเหตุ ดังนี้

    1. นอนไม่หลับชั่วคราว (Transient insomnia) มักพบในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวัน หรือสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ เพราะร่างกายจะขาดสมดุลจากการปรับเปลี่ยนกะทันหัน

    2. นอนไม่หลับระยะนั้น (Short-term insomnia) มักเป็นแค่ 2-3 วัน จนถึง 3 สัปดาห์ พบในภาวะเครียด วิตกกังวล เช่น ผู้ป่วยก่อนผ่าตัด หรือคนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

    3. นอนไม่หลับเรื้อรัง เป็นเดือนหรือเป็นปี (Long-term insomnia) อาจเป็นผลจากการใช้ยานอนหลับ การเจ็บป่วยเรื้อรัง

    ผลการวิจัยเกี่ยวกับผลเสียของการนอนไม่หลับ จากมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุบนท้องถนนที่นอกเหนือจากการเมาแล้วพบว่า 20% เกิดจากการหลับใน การที่อดนอนมาก ๆ มีผลเท่ากับการดื่มเหล้าจนเมาเลยทีเดียว เพราะการนอนไม่พอทำให้สมองเบลอ ประสิทธิภาพในการคิด ตัดสินใจลดลง นอนไม่หลับมีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันมากกว่าที่คิดมาลองสำรวจสุขอนามัยการนอนกันดูซิว่า ท่านมีสุขอนามัย ด้านใดที่ต้องปรับปรุงบ้าง

    * ตื่นและนอนไม่เป็นเวลา

    * คืนวันศุกร์ ขอเที่ยวสนุกให้เต็มที่ แล้วควรชดเชยคืนวันเสาร์

    * งีบหลับในช่วงกลางวัน

    * ดื่มกาแฟ/สูบบุหรี่ หลังเที่ยงวันไปแล้ว

    * รับประทานอาหารมื้อใหญ่ ดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มมาก ๆ ก่อนเข้านอน 2 ชั่วโมง

    * นำปัญหาต่าง ๆ มาทบทวน ขบคิดก่อนเข้านอน

    * ซื้อยานอนหลับมารับประทานเป็นประจำ

    ผลการสำรวจ หากพบว่า ท่านมีพฤติกรรมข้อหนึ่งข้อใดในเจ็ดข้อแสดงว่า สุขอนามัยการนอนของท่านยังไม่ถูกต้อง รีบปรับปรุงด่วนเลย ก่อนที่จะเป็นสาเหตุของการเกิดโรคยอดฮิต “นอนไม่หลับ”

    ข้อแนะนำต่อไปนี้จะช่วยปรับสุขอนามัย การนอนได้เป็นอย่างดีให้ท่านลองพิจารณาเลือกข้อที่ได้ผลดีสำหรับท่าน อย่าลืมว่า แต่ละท่านจะมีการตอบสนองที่ต่างกัน ถ้าท่านปฏิบัติแล้วรู้สึกว่า เมื่อตื่นนอนไม่มีอาการเพลียหรือรู้สึกกระปรี้กระเปร่า นั้นแสดงว่า ท่านนอนหลับพักผ่อนได้เพียงพอแล้ว

    ข้อแนะนำจาก ข่าวสารกรมสุขภาพจิต ISSN 0125-6475 ในเรื่อง ข้อแนะนำ 8 ประการที่ผู้ที่นอนไม่หลับเสมอ ๆ ควรนำไปปฏิบัติ มีดังนี้

    1. ตรงเวลา ร่างกายของเรามีนาฬิกาชีวภาพ (Biological Clock) ที่เป็นตัวกำหนดให้ง่วงนอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา การทำอะไรให้ตรงเวลา เช่น การเข้านอน-ตื่นนอน จะทำให้ร่างกายไม่ต้องปรับตัวมากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุของการนอนหลับยาก

    2. นอนกลางคืน คนเราควรนอนกลางคืน (ถ้าไม่ติดเงื่อนไขในอาชีพ) ไม่ควรนอน กลางวันมากเกิน 1 ชั่วโมง โดยเฉพาะหลังการนอนกลางวันมาก ๆ จะทำให้กลางคืนนอนไม่ค่อยหลับ

    3. หลีกเลี่ยงกาเฟอีน-นิโคตินและแอลกอฮอล์ ควรงดการดื่มกาแฟ-สูบบุหรี่หลังเที่ยงวันไปแล้ว เนื่องจากกาเฟอีนนิโคตินมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท การดื่มแอลกอฮอล์ช่วยให้หลับง่ายขึ้นก็จริง แต่จะมีผลต่อสุขภาพของการนอน เนื่องจากคนที่หลับจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ช่องทางเดินหายใจจะหย่อน เกิดอาการกรน บางครั้งมีภาวะหยุดหายใจเป็นพัก ๆ (Sleep apnia) ทำให้หลับไม่สนิท

    4. อย่ารับประทานเยอะ การรับประทานอาหารในงานเลี้ยงสังสรรค์ ทำให้ต้องรับประทานอาหาร-ดื่มเครื่องดื่มมาก เมื่อกลับมานอนทันที จะมีผลต่อระบบย่อยอาหาร เพราะอาหารในกระเพาะจะขย้อนขึ้นสู่หลอดอาหาร ทำให้แน่นท้อง แน่นหน้าอก การดื่มเครื่องดื่มมาก ๆ ก็มีผลต่อการนอนเช่นกัน เพราะต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก
    ทางแก้ก็คือ ควรนอนหลับรับประทานอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง ปรับหัวเตียงให้สูงกว่าปลายเตียง นอนตะแคงขวา เพื่อให้อาหาร-น้ำ-ลมในกระเพาะอาหารไหลลงสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น

    5. ออกกำลังกาย เป็นวิธีที่จะทำให้หลับง่ายและหลับได้ลึก ทำให้หายเหนื่อยและกระปรี้กระเปร่า เวลาที่ดีที่สุดของการออกกำลังกาย คือตอนบ่าย ไม่ควรออกกำลังก่อนนอน เนื่องจากอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เป็นอุปสรรคต่อการนอนทำให้หลับยาก

    6. มืดและเงียบ ห้องนอนควรมืดและไม่มีเสียงรบกวน อุณหภูมิพอเหมาะ ไม่ร้อนและเย็นเกินไป หากท่านนอนไม่หลับ ภายใน 15 นาที อย่าพยายามข่มตา ให้ลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้ จนกว่าจะรู้สึกอ่อนเพลีย แล้วค่อยกลับไปนอนใหม่ อย่ากังวลว่า นอนไม่หลับเพราะความกังวลจะทำให้หลับยาก

    7. ผ่อนคลาย ก่อนนอนควรหากิจกรรมที่ช่วยให้ผ่อนคลาย เช่น อาบน้ำอุ่น นวดมือและเท้าด้วยโลชั่น สวมถุงเท้า เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นขณะนอน และไม่ควรนำปัญหาต่างๆ มาขบคิดขณะเข้านอน ควรทำจิตใจให้ว่างสบาย ๆ

    8. ยานอนหลับ ไม่ควรใช้ยานอนหลับเป็นอันขาด ยกเว้นมีความจำเป็นและการใช้ ต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ พึงระลึกไว้เสมอ ว่า การใช้ยานอนหลับเป็นครั้งคราวอาจเป็นประโยชน์ แต่ถ้าต้องติดต่อกันจะไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย

    หลังจากที่สำรวจสุขอนามัยการนอน และลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแล้ว เชื่อแน่ ว่าหลายท่านคงจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่มี อาการเพลีย เมื่อตื่นนอน นั่นแสดงว่า ท่านไม่มีปัญหาเรื่องการนอนอีกต่อไป เป็นผลดีต่อสุข ภาพกาย-จิตใจอีกด้วย แต่สำหรับคนที่ปฏิบัติแล้วยังนอนไม่หลับ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะการนอนไม่หลับต้องหาสาเหตุและรักษาให้ตรงจุด.
    นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="VERTICAL-ALIGN: top; TEXT-ALIGN: left"><TABLE id=Table1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=message-bold>คอลัมน์ย้อนหลัง</TD></TR><TR><TD><TABLE id=ctl00_ContentPlaceHolder1_ctl00_Popup_news_15_oldcolumn1_dlsOColumn style="WIDTH: 100%; BORDER-COLLAPSE: collapse" cellSpacing=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘คนนอนไม่หลับ เชิญทางนี้’
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ใช้ Microscope และ Endoscope ผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังแบบแผลเล็ก'
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ต่อมลูกหมากโต'
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">อาหารและการรักษาคนโรคเกาต์
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'สิ่งที่ควรรู้ใหม่ ๆ ในโรคเกาต์'
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'การตรวจกรองและดูแลรักษาไวรัสตับอักเสบ'
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">'ให้ความสำคัญกับไวรัสตับอักเสบอีกครั้ง'
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">"โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ตอน 2"
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">โรคข้อเสื่อมรูมาตอยด์ ตอน 1
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD><TABLE id=Table3 cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR vAlign=top align=left><TD style="WIDTH: 14px" vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=message-normal style="WIDTH: 100%">‘ชีวีมีสุขอย่างไร ถ้ามีโรคเอส แอล อี’
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องอันตรายที่จะบอกกันครับ



    สถิติคนไทยป่วยซื้อยากินเอง26%
    http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=142891&NewsType=1&Template=1
    <TABLE style="WIDTH: 480px"><TBODY><TR><TD vAlign=top></TD><TD vAlign=top>รายงานข่าวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจอนามัยและสวัสดิการ 50 ว่า ประชากรที่ป่วยระหว่าง 1 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์มี 11.4 ล้านคน ส่วนใหญ่นิยมซื้อยากินเองมากสุด 26.7% เนื่องจากอาการป่วยไม่หนัก และหาซื้อได้สะดวก รองลงมารักษาตัวในคลินิก เอกชน 21.7%, สถานีอนามัยและศูนย์สุขภาพชุมชน 16.2%, โรงพยาบาลชุมชน 16%, โรงพยาบาลทั่วไป 7.8%, โรงพยาบาลเอกชน 4.8%, โรงพยาบาลรัฐ 2.6%, ใช้ยาแผนโบราณ 1% และหมอพื้นบ้าน หรือหมอแผนโบราณ 0.3% เป็นต้น ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยรายละ 162.10 บาท เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 128.7 บาทในปี 47 จำนวน 144.1 บาท ในปี 48 และ 155.9 บาทในปี 49

    ทั้งนี้ค่ารักษาพยาบาล 162.10 บาท แบ่งเป็นไม่เสียค่าใช้จ่าย 45%, จ่ายตั้งแต่ 1-30 บาท สัดส่วน 14%, จ่าย 200-499 บาท 12.9%, จ่าย 31-99 บาท 10.4%, จ่าย 500-999 บาท 4.4%, จ่าย 1,000-1,999 บาท 1.9%, จ่าย 2,000-4,999 บาท 1.1% และ จ่าย 5,000 บาทขึ้นไป 0.3% ซึ่งเป็นที่น่าสักเกตว่าสัดส่วนการไม่เสียค่ารักษาและจ่ายเกิน 5,000 บาทมีสัดส่วนสูงขึ้นจากปี 49

    “เป็นที่น่าสังเกตว่าผลสำรวจมีประชากรซื้อยากินเองหรือไปคลินิกเอกชน มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 48 เป็นต้นมา ขณะที่การรักษาผ่านสถานีอนามัยและศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลชุมชน หาหมอบ้าน มีแนวโน้มที่ลดลง”

    ทั้งนี้หากพิจารณารายจ่ายของผู้ป่วยในที่รักษาในสถานพยาบาลระหว่าง 12 เดือนก่อนวันสัมภาษณ์พบว่ามี 3.9 ล้านคน หรือ 5.9% ของประชากรทั้งหมด มีค่าใช้ จ่ายการรักษาพยาบาลเฉลี่ยรายละ 1,945 บาท ซึ่งมีแนวโน้มที่ลดลงจากปี 48 ที่เฉลี่ย 2,536 บาท และปี 49 เฉลี่ย 2,346 บาท ส่วนใหญ่เข้ารักษาในโรงพยาบาลชุมชนมากสุด 51.7% รองลงมาโรงพยาบาลทั่วไปหรือโรงพยาบาลศูนย์, โรงพยาบาลเอกชน, โรงพยาบาลรัฐ, โรงพยาบาลของมหา วิทยาลัย, โพลีคลินิก เป็นต้น

    “ผู้ป่วยในที่เข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลพบว่า ไม่เสียค่ารักษามากสุด 62.6% รองลงมาต่ำกว่า 500 บาท สัดส่วน 16.1%, จ่าย 1,000-4,999 บาท 8.5%, จ่าย 10,000-49,999 บาท 5.7%, จ่าย 5,000-9,999 บาท 4.4%, จ่าย 500-999 บาท 2.2% และ 50,000 บาทขึ้นไป 0.5%”.
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE height=34 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD style="PADDING-LEFT: 30px">เทคนิค ชะลอเหี่ยว [13 ต.ค. 50 - 00:29]
    http://www.thairath.co.th/news.php?section=society&content=64382

    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle><TABLE class=text cellSpacing=0 cellPadding=0 width="85%" border=0><TBODY><TR><TD>เราหยุดแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ได้ แต่สามารถชะลอความเสื่อมของผิวให้ช้าลงได้ ด้วย 8 เทคนิคชะลอความเหี่ยวฉบับชาวบ้าน จากมืออาชีพตัวจริง พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ที่ได้รับรางวัลประกาศนียบัตร
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.homedd.com/HomeddWeb/homedd/home_magazine/frontweb/horo_fengsui_83.jsp

    ห้องพระอยู่ชั้นล่างได้หรือไม่


    [​IMG]

    <TABLE cellPadding=5 width="98%" align=center bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="18%">
    " ห้องพระจำเป็นต้องอยู่ชั้นบนเสมอไปหรือไม่คะ อยู่ชั้นล่างได้ไหม เพราะคุณ ยายขึ้นบันไดไม่ไหว จึงเอาห้องพระไว้ชั้นล่าง ถ้าไม่ดีจะแก้ไขอย่างไร "

    นี่เป็นคำถามจากผู้อ่านท่านหนึ่งที่โทรมาหาผม การเอาห้องพระไว้ชั้นล่าง ถ้ามีความจำเป็นจริงๆก็ทำได้ครับ เหตุผลที่จะต้องเอาห้องพระไว้ชั้นบน เพราะถือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นของสูง คนไม่ควรอยู่สูงกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การนำสิ่งศักดิ์สิทธิมาไว้ชั้นล่าง จะต้องระมัดระวังในการเลือกตำแหน่งห้องพระ เพราะจะหาตำแหน่งค่อนข้างจะยาก

    ห้องพระที่ดีควรอยู่ในมุมสงบ แต่บริเวณชั้นล่าง จะพลุกพล่าน มีการเดินเข้าเดินออก มีกิจกรรมมากมาย ดูทีวี ทำอาหาร พูดคุย หามุมสงบๆแทบจะไม่มี เพราะฉะนั้นบ้านมีขนาดใหญ่เท่านั้น ที่พอจะมีมุมสงบสามารถทำห้องพระไว้ชั้นล่างได้ ส่วนบ้านที่มีขนาดเล็กไม่แนะนำให้วางห้องพระไว้ชั้นล่าง

    การหาตำแหน่งบริเวณชั้นล่างในการทำห้องพระนั้น นอกจากพิจารณาเรื่องมุมที่ไม่พลุกพล่านแล้ว จะต้องพิจารณาบริเวณชั้นบนที่ตรงกับห้องพระด้วย ถ้าเป็นห้องส้วม หรือห้องนอน อยู่เหนือห้องพระ จะไม่อนุญาตให้ทำ เพราะถือเป็นการไม่สมควร จะต้องหาห้องที่ว่างหรือไม่มีคนอยู่จะดีที่สุด เช่น ตรงกับห้องโถง ระเบียงชั้นบนอย่างนี้อนุโลมให้ทำได้ครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    บริเวณชั้นบนส่วนใหญ่จะเป็นห้องนอน กับห้องส้วม ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ ถ้าชั้นบนเป็นห้องนอนที่ตรงกับห้องพระชั้นล่าง อย่าวางเตียงนอนให้ตรงกับตำแหน่งองค์พระ แต่ถ้าด้านบนเป็นห้องส้วม จะห้ามโดยเด็ดขาด ไม่ให้วางตรงกัน

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    การทำห้องพระไว้ชั้นล่าง สามารถทำได้อีกกรณีหนึ่งคือ การแยกส่วนของห้องพระออกจากตัวบ้าน ผลกระทบจากชั้นบนก็จะไม่มี

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ส่วนกรณีของการวางหิ้งพระชั้นล่าง โดยไม่ได้ทำเป็นห้องพระหลักเกณฑ์ก็เช่นเดียวกัน แต่การเลือกตำแหน่งจะง่ายกว่า เพราะพื้นที่ไม่มากเท่าห้องพระ จุดที่เหมาะในการวางหิ้งพระชั้นล่าง จะนิยมวางในห้องรับแขก บริเวณหน้าบ้านมากกว่าจะตั้งหิ้งไว้หลังบ้าน เพราะมีข้อบัญญัติข้อหนึ่งในตำราฮวงจุ้ยที่บอกว่า เวลาเดินเข้าบ้านจะต้องเห็นสิ่งที่เป็นมงคลก่อน การเดินเข้าบ้านแล้วมองเห็นพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ย่อมทำให้เจ้าของบ้านรู้สึกดีกว่ามองเห็นอย่างอื่น

    แต่คงต้องบอกก่อนว่า การวางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลักษณะที่ตรงกับทางเข้าบ้าน จะต้องไม่วางมากจนเกินไป เพราะจะเข้าข่ายที่ผิดฮวงจุ้ยได้ เพราะถ้าพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีมาก พลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพลังอิม (หยิน) จะมีมากด้วย ซึ่งจะสกัดโชคลาภไม่ให้เข้าบ้านได้ เพราะฉะนั้น อย่าวางพระมาก เพราะถ้ามีพระมากก็ควรทำเป็นห้องพระมากกว่า

    บ้านที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด ลองเอาหลักเกณฑ์ที่ผมบอกไปหาตำแหน่งในการวางพระกันดูนะครับ เพื่อความเป็นสิริมงคลกับบ้านและตัวท่านเอง....



    <CENTER>

    [​IMG]
    </CENTER>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นำมาลงอีกรอบ คุณเพชรเคยนำมาลงให้อ่านกันแล้วเรื่องการชำระหนี้สงฆ์ครับ


    http://www.pranippan.com/new/board/lofiversion/index.php/t58.html
    เตอร์
    Mar 31 2006, 10:53 PM

    ชำระหนี้สงฆ์
    โดย หลวงพ่อฤาษีฯ

    ต่อไปนี้ก็จะขอนำเรื่องการชำระหนี้สงฆ์พร้อมทั้งตัวอย่าง ซึ่งจัดว่าเป็นเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเองมาเล่าให้ฟัง เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเอง และผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่างๆที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก ทั้งนี้ก็เพราะว่า ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว จะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพละการหรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้นมาทดแทนให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย
    ในสมัยนี้ จะหาบุคคลที่เล่าเกี่ยวกับการชำระหนี้สงฆ์นี่ยากเต็มที พระขนาดไหนก็ตามไม่ค่อยจะมีใครพูดกัน เทศน์ก็ไม่เคยฟัง ได้ฟังอยู่สำนักเดียวคือสำนักของหลวงพ่อปานเท่านั้น หลวงพ่อปานนี่ท่านพูดถึงการชำระหนี้สงฆ์ทุกปี พอขึ้นปีใหม่หรือเข้าพรรษาใหม่ๆท่านก็ประกาศขอซื้อของสงฆ์ คำว่าซื้อของสงฆ์นี่ ท่านซื้อไม้ไผ่ ซื้อผลไม้ ซื้อดอกไม้ที่มีในวัดทั้งหมด ปีละ ๑๐๐ บาท ในสมัยนั้นค่าของเงินสูงมาก ท่านขอซื้อไว้ทั้งหมด
    ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่จะพึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในการก่อสร้าง หรือบำรุงสงฆ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านจะชวนพระชำระหนี้สงฆ์ ตัวท่านเองก็ชำระหนี้สงฆ์เหมือนกัน
    คราวนี้มาว่ากันถึงการซื้อของสงฆ์หรือชำระหนี้สงฆ์ก่อน ท่านทั้งหลายอาจสงสัยว่า ของต่างๆที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่างๆก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมดถ้าหากเรารื้อหรือนำเอาไปใช้แล้วเกิดชำรุดเสียหาย ทำไมเราจะต้องสร้างแทนของเดิม ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่างๆที่เขาสร้างไว้ในวัด เขาไม่สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า คำว่าของสงฆ์นี่นะ ต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครหรอกที่จะถือสิทธิว่าเป็นของฉัน จะมาชี้ว่า สมบัตินี่เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้นจะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี่เขาไม่เว้นใครหรอก
    หลวงพ่อปานซื้อของสงฆ์เพราะของเหล่านี้มันอยู่ในวัด ท่านเป็นประมุขของวัด ความจริงถ้าเราจะคิดกันอย่างเราๆก็คิดว่าท่านควรมีสิทธิ ท่านจะให้ใครก็ได้ ท่านจะกินจะใช้อย่างไรก็ได้ แต่ทว่าพระวินัยแล้วไม่มีสิทธิ ของในวัดถ้าพระองค์ไหนปลูกไว้ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ ถ้าหากเขายังบวชอยู่ เขามีอำนาจให้ใครก็ได้ กินเองก็ได้ ถ้าหากว่าเขาตายหรือสึกไปแล้ว พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาทกินเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นของสงฆ์เสียแล้ว เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ สงฆ์ทั้งหมดต้องประชุมอนุมัติว่าเราจะกินจะใช้ของประเภทนี้ด้วยวิธีการอย่างไร ถ้าหากว่าพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เด็กก็ตาม ฆราวาสก็ตาม กรรมการวัดก็เถอะไปถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ในวัด จะกินลูกไม้ลูกไหนก็ได้ จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนก็ได้ จะโค่นต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ไม้ลำไหนก็ได้ หน่อไม้หน่อไหนก็ได้ เอามากินมาใช้ส่วนตัวโดยที่สงฆ์ไม่ลงมติอนุมัติ อย่างนี้มีโทษไปอเวจีมหานรกแน่
    วิธีการของหลวงพ่อปานท่านซื้อของสงฆ์ ท่านซื้อแบบไหน ท่านบอกว่าต้นไม้ก็ดี ต้นเล็กๆไม่ใช่โค่นต้นใหญ่นะ ไม้ลำหรือไม้หน่อบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเพียงส่วนเล็กน้อย หรือว่าลูกไม้ก็ตาม ดอกไม้ก็ตาม ถ้าใครจะเด็ดเอาไปดมเอาไปบูชา ท่านบอกว่าส่วนเล็กน้อยประเภทนี้ ฉันขอซื้อของสงฆ์ด้วยจำนวนเงิน ๑๐๐ บาท เพื่อป้องกันโทษของบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระสงฆ์ก็สาธุ
    เป็นอันว่า เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ที่ได้กินมะม่วงบ้าง ฝรั่งบ้าง ผลไม้ที่มีอยู่ในวัดมีอยู่เยอะ ใครอยากกินอะไรก็เอามากินได้ตามชอบใจเพราะหลวงพ่อปานท่านซื้อแล้ว พอท่านซื้อท่านก็ให้สิทธิ์อนุญาต อย่างนี้เอาไปกิน เอาไปใช้ได้
    เรื่องชำระหนี้สงฆ์ พอถึงวันเข้าพรรษาคนทำบุญมาก ท่านก็ประกาศแก่คนทุกคนว่าใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ของสงฆ์ตกอยู่ที่ไหนเรียกว่า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อย่างวัดร้างที่ปรากฏเป็นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัดก็ดี หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงก็ตาม หรือที่มีพระก็ตาม เราจะไปนำสิ่งของอะไรมาก็ตามในเขตนั้น จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอันก็ตาม เขาถือว่า ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ ซวยขนาดหนัก แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานสงฆ์เคยตกนรกขุมที่ ๗ มาแล้ว
    ท่านก็บอกว่า คนเราทั้งหมดนี่นะจะรู้ได้อย่างไร ไม้ลอยน้ำมาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของ เอาเข้ามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมันมาจากวัดก็ถือว่าเป็นไม้ของวัด เป็นของสงฆ์ ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นไม้หญ้า ต้นฟาง ที่มันอยู่กลางทุ่ง สถานที่อย่างนั้น อาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในวัดนั้นทั้งหมด แม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็เป็นบาปแล้ว โทษของสงฆ์นี่หนักมาก
    แล้วท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ ว่าใครจะชำระหนี้บ้างด้วยเงินจำนวนเท่าไหร่ก็ตาม เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ว่า
    “ถ้าบังเอิญข้าพเจ้าได้เอาของสงฆ์มาจากวัดไหนก็ตาม วัดที่มีพระสงฆ์ก็ดี วัดร้างที่ไม่มีพระสงฆ์อยู่ก็ดี หรือสถานที่เป็นธรณีสงฆ์โดยไม่ปรากฏเป็นวัดก็ดี บังเอิญนำมาก็ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงินจำนวนเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควรก็ขอให้สาธุขึ้นพร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นไม่สมควรก็ขอให้นิ่งอยู่”
    ถ้าพระทั้งหมด “สาธุ” พร้อมกันเป็นอันว่าใช้ได้ ชำระกันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่าค่อยๆทำไป เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหนัก เพราะว่าเป็นของสงฆ์นะ ลำบากมาก
    ก็มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้ มีพระองค์หนึ่ง ชื่อ “อาจารย์ทิม” สำหรับอาจารย์ทิมนี่รุ่นเดียวกัน อยู่ที่สุพรรณ เป็นนักก่อสร้าง พระองค์นี้เป็นพระดีมาก ระเบียบวินัยก็ดี เจริญสมถภาวนาก็ดี แต่ว่าโทษมันมีอยู่อย่างหนึ่ง แกป่วยครั้งหลังสุดกำลังก่อสร้างโบสถ์ สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี มีปฏิปทาเหมือนๆกัน คำว่าเงินส่วนตัวไม่มี ได้มาก็จ่ายไป
    ทีนี้แกก็ป่วย ไอ้ป่วยนี่สตางค์ส่วนตัวแกไม่มี หมอเขาบอกว่าจะต้องต้มยาหม้อนี้และซื้อยาหม้อนี้ในราคา ๖๐ บาท ท่านก็เลยบอกพระ ถ้าอย่างนั้นขอยืมเงินที่เขาสร้างโบสถ์ก่อนนะ ฉันหายแล้วเวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้ให้ ๖๐ บาทเท่านั้นนะ สร้างโบสถ์หลังหนึ่งต่างกับตัวเยอะ ใครถวายสตางค์มาท่านเอาไปก่อสร้างหมด ไม่เคยเก็บ พอปี ๒๕๐๘ ดันตายเสียได้
    “ไอ้เงิน ๖๐ บาทดันเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋อที่สำนักพญายม”
    เวลาทุ่มเศษๆ กำลังนอนสบายๆเห็นเทวดาองค์หนึ่งเป็นพวกวชิระ มายืนปลายเท้า กราบ กราบ
    ถามว่า “มาทำไม”
    เขาบอกว่า “ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ”
    ก็เลยบอกว่า “แกไปข้างหน้า ฉันตามไป”
    ตามไปหน่อยเดียว แกบอกว่า “เดี๋ยวผมต้องไปตามอีก ๒ องค์” แกก็ไปตามอีก ๒ องค์ เราก็ตรงไป
    พอถึง ก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนักพญายม จึงถามว่า
    “ไง…มานั่งอยู่ที่นี่เล่า…”
    แกก็บอกว่า “เป็นหนี้สงฆ์อยู่ ๖๐ บาท”
    ถามว่า “คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ”
    แกบอก “เป็นหนี้ตอนใกล้จะตาย เพราะหมอที่สั่งยามาให้แต่ไม่มีเงิน ทุ่มเทเอาไปสร้างโบสถ์หมด ไอ้เงินส่วนตัวจริงๆนี่ เรียกว่าตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ ก็เอาเงินส่วนนี้เขาไปซื้อยา”
    จึงเข้าไปถามลุง (พญายม) ถามลุงว่า “ยังไงนี่…”
    ลุงบอกว่า “ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีกสององค์ก่อนยังไม่สอบสวน”
    ถ้าสอบสวนไม่ได้ ของสงฆ์นี่หนักมาก ปิดปากเลย ถ้ากรรมมีละก็หนัก ปิดปาก กระเบื้องอันเดียวมันปิดปากเลย เรื่องบุญนี่พูดไม่ได้เลย
    พออีกสององค์ไปถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า
    “ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้ ๖๐ บาทใช่ไหม”
    ท่านตอบว่า “ใช่”
    “ไปใช้เพื่ออะไร…”
    บอกว่า “มันป่วย หมอเขาสั่งยามา”
    “จิตคิดอย่างไร…”
    “จิตคิดว่า ถ้าใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะชำระหนี้สงฆ์”
    “แต่นี่ยังไม่ทันชำระใช่ไหม…”
    แกตอบว่า “ใช่”
    แล้วท่านถามว่า “จะว่าอย่างไร”
    บอกว่า “ไม่มีเรื่องจะว่า”
    ลุงพุฒิ ท่านก็หันมาถามพวกเราว่า “ท่าน ๓ องค์จะว่าอย่างไร”
    บอกว่า “ยังมีเรื่องว่าอยู่”
    “ว่ายังไงล่ะ…”
    “ทำอย่างไรพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมาบัติด้วย ควรจะไปเป็นพรหม”
    ท่านก็เลยบอกว่า “เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌาน”
    บอกว่า “นี่เขาได้สมาบัติ ๘ แต่อีตอนนั้นทำไมเข้า ฌาน ๒ พอจะตายจริงๆไม่ได้ตั้งอยู่ในฌาน ฌานยังตั้งไม่ได้”
    เลยถามว่า “ไอ้เรื่องนี้พอจะให้อภัยกันได้ไหม…”
    ท่านก็เลยบอกว่า “ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ มันต้องชำระหนี้สงฆ์”
    ก็บอกว่า “ตกลง ฉันช่วยชำระ ๖๐ บาทเรื่องเล็ก”
    ท่านบอกว่า “ไม่ได้ ชำระด้วยเงินไม่ได้”
    ถามว่า “แล้วจะเอาอะไร”
    ท่านบอกว่า “ต้องสร้างพระพุทธรูป ๑ องค์ หน้าตัก ๑๒ นิ้ว”
    เราเลยบอกว่า “เรื่องเล็ก เอาสัก ๑๐ องค์ก็ยังได้”
    ท่านบอกว่า “องค์เดียวพอ แล้วพระอีกสององค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็น ๓ องค์”
    เราบอกว่า “อย่างนี้ ฮ้อ…ตกลง”
    ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปได้ตามผลของความดี”
    ตอนนั้นเลยบอกกับท่านทิมว่า “อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน”
    ถามลุงว่า “การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม…”
    ท่านบอกว่า “ได้”
    เราก็เลยบอกท่านทิมว่า “จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม…”
    เขาถามว่า “อะไรล่ะ…”
    ก็เลยบอกว่า “เอกัคคตากับอุเบกขาน่ะ”
    บอก “จำได้”
    “จำได้ขอให้ไปตามนั้น”
    นั่นมันฌาน ๔ ท่านทิมเลยไปเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑ ถ้าไปตอนนั้นก็ไปด๊อกแด๊กอยู่แค่กามาวจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มันพ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ลุงพุฒิแกตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร ขนาดมาตามเลยนะ ที่ตามก็มีพระอีก ๒ องค์ อีกองค์หนึ่งเป็นพระอยุธยา หนุ่มเลยล่ะองค์นั้น ตอนนั้นฉันอายุซัก ๔๐ กว่าๆ องค์ที่อยู่อยุธยาก็อยู่ในเกณฑ์ ๓๐ เศษๆ แต่ว่าไม่รู้ว่าวัดไหน รูปร่างสูงๆดำๆ อีกองค์หนึ่งรูปร่างหน้าตาดีไม่รู้ว่าอยู่วัดไหน เวลาไปตามก็มี ๓ องค์ เลยเล่นกำไรเสียเลย พระพุทธรูป ๓ องค์เรื่องเล็ก พระ ๑๒ นิ้ว กับคนที่จะไปเป็นพรหมราคามันไม่เท่ากันใช่ไหม… เราสร้างพระ ๑๒ นิ้วเดี๋ยวเดียว ไอ้คนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหมมันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ
    คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า ทำไม ท่านถึงเจาะจงมาเอาฉันไปช่วย ถ้าลงได้เป็นแบบนี้ล่ะก้อ จะต้องเป็นเครือเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน เดินทางแนวเดียวกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานานตั้งแต่ตอนบวชอยู่ใหม่ๆ ส่วนอีก ๒ องค์ไม่รู้ว่า เขารู้จักกันมาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั้นต้องเป็นเชื้อสายเดียวกัน และปฏิปทาการปฏิบัติก็ต้องเหมือนกัน และแถม ๒ องค์นั่น บ้าๆบวมๆ เหมือนๆกัน เงินส่วนตัวไม่มี
    ฉันถามอีกองค์หนึ่งที่รูปร่างหน้าตาดีๆ บอกว่าอยู่สิงห์บุรี จากนั้นฉันก็ไม่ได้สนใจ ถามถึงปฏิปทา เขาก็บอกว่า ผมกับท่านบ้าๆบวมๆเหมือนกัน สตางค์ไม่เหลือ อาจารย์ทิมก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อน มันจะลงนรกเราให้ลงไม่ได้
    ทีนี้วิธีกระตุ้นๆนิดเดียว ถ้าบอกว่าอาจารย์ทิมเริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้ยังไง เขาต้องถามถึงอารมณ์เดิมนิดเดียว ถามว่าจำอารมณ์หนึ่งได้ไหม เอกัคคตากับอุเบกขา บอกจำได้เท่านี้ก็พอแล้ว จำได้ก็เป็นฌาน ๔ จิตก็ตั้งอยู่พอดี พอพูดปั๊บจิตก็ตั้งอยู่ฌาน ๔ พอตั้งอยู่ฌาน ๔ สภาพก็เป็นพรหม ตัวแกก็เป็นพรหม แจ๋ว เลยบอก ไปตามอัธยาศัย ข้าจะกลับวัด เดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย
    ที่เล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ไอ้พวกที่มีเจตนาโกงไม่มีทางช่วย เรี่ยไรมา ๑๐ บาท เอาของเขาใช้ไป ๙ บาท ๑๐ สตางค์ อีก ๑๐ สตางค์เอาเข้ากระเป๋า อย่างนี้ลงอเวจีมหานรก ของสงฆ์นี่แม้แต่กระเบื้องแตกๆก็เก็บไม่ได้ ของที่สงฆ์เขาไม่ใช้แล้วเห็นว่ามันดีนี่ เอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้เอวัง….ตกดังตูม…อเวจี.
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • th_00.gif
      th_00.gif
      ขนาดไฟล์:
      7.4 KB
      เปิดดู:
      586
    • th_02.gif
      th_02.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.3 KB
      เปิดดู:
      577
    • th_03.gif
      th_03.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.7 KB
      เปิดดู:
      563
    • th_04.gif
      th_04.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.4 KB
      เปิดดู:
      575
    • th_05.gif
      th_05.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.4 KB
      เปิดดู:
      568
    • th_06.gif
      th_06.gif
      ขนาดไฟล์:
      2.6 KB
      เปิดดู:
      556
    • th_07.gif
      th_07.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.5 KB
      เปิดดู:
      649
    • th_08.gif
      th_08.gif
      ขนาดไฟล์:
      3 KB
      เปิดดู:
      579
    • th_09.gif
      th_09.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.3 KB
      เปิดดู:
      588
    • th_10.gif
      th_10.gif
      ขนาดไฟล์:
      3.8 KB
      เปิดดู:
      588
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post754897 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10786 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_754897", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:57 PM
    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 15,923 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 19,114 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 89,485 ครั้ง ใน 12,169 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 10570 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </TD><TD class=alt1 id=td_post_754897 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ท่านใดที่ร่วมทำบุญแล้วยังไม่ได้รับพระพิมพ์ หรือรับไม่ครบ ขอความกรุณาช่วยแจ้งมาให้ผมทราบด้วยนะครับ เผื่อผมหลงลืมไป

    รบกวนส่งมาให้ผมอีกรอบนะครับ ก็มีคุณdrmetta ,คุณเทพารักษ์ ,คุณatha ส่วนของคุณactive ,คุณตั้งจิต ,น้องchaipat และน้องเอ ไว้เจอกันแล้วค่อยให้พระ ส่วนท่านอื่นๆ ขอให้แจ้งมาอีกครั้งนะครับ จะได้รีบจัดส่งให้ ขอบคุณมากครับ


    หลังจากนี้จนถึงปีใหม่ ผมยุติการมอบพระพิมพ์กับผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งไปก่อน หลังปีใหม่แล้วผมจะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post753604 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead id=currentPost style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 02:42 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10761 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>พันวฤทธิ์<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_753604", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    เข้ามาครั้งสุดท้ายเมื่อ: วันนี้ 02:26 PM
    วันที่สมัคร: Jul 2006
    ข้อความ: 231 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 148 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 2,185 ครั้ง ใน 222 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 257 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]



    </TD><TD class=alt1 id=td_post_753604 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->วันนี้มีเรื่อง อัชฌาสัย ๔ : อัชฌาสัยปฏิสัมภิทัปปัตโต มาให้อ่าน

    โดยนำมาจาก http://www.praruttanatri.com/meditat...hi/samp204.htm

    ในเรื่องนี้มีเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อกบ หรือ หลวงปู่ใหญ่ องค์ที่ 4 พ่วงอยู่ด้วย สาเหตุก็คือเมื่อวานได้มีโอกาสคุยกับพี่ใหญ่เรื่องวัตถุมงคลที่ผมฝากให้พี่ใหญ่ขออาราธนาบารมีท่านข้างบนไว้ เป็นพระพิมพ์ต่างๆ เช่นพระพิมพ์เจ้าคุณกรมท่า พระปิดตา 2 หน้า ราว 400 องค์ พี่ใหญ่บอกว่า ช่วงนี้ท่านหลวงพ่อกบ ท่านลงมาเสกให้เกือบทุกวัน มาเป็นแสงสว่างจ้ามาก กะว่า วันที่สิ้นเดือนนี้จะไปรับคืน หรือไม่ก็ทิ้งไว้ให้ขอบารมีท่านองค์อื่นลงมาในพิธีใหญ่ด้วย นี่ขอบารมีกันมาเกือบเดือนแล้ว บอกตามตรงแจกฟรีให้กับใครก็ได้ที่ขอ ถือว่าทำมาให้ไม่คิดมูลค่า เอาท่านองค์ที่ 4 ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นนี่ฌาณบารมีท่านนี่ละเอาไปใช้กัน แต่เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าให้เมื่อไร และแจกยังไง เพราะสงสารคนไกลเหมือนกัน ส่งไปรณีย์ก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุัด เพราะคิวยาวมาก แต่เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าของฟรีต้องมีในโลกบ้าง จึงทำให้ต้องแจกฟรีๆ ให้คนเป็นๆ ไปใช้กัน เป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาของเราด้วย แถมได้บุญอีก..โอ้ว.

    <!-- / message -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์ [​IMG]
    วันนี้มีเรื่อง อัชฌาสัย ๔ : อัชฌาสัยปฏิสัมภิทัปปัตโต มาให้อ่าน

    โดยนำมาจาก http://www.praruttanatri.com/meditat...hi/samp204.htm

    ในเรื่องนี้มีเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อกบ หรือ หลวงปู่ใหญ่ องค์ที่ 4 พ่วงอยู่ด้วย สาเหตุก็คือเมื่อวานได้มีโอกาสคุยกับพี่ใหญ่เรื่องวัตถุมงคลที่ผมฝากให้พี่ใหญ่ขออาราธนาบารมีท่านข้างบนไว้ เป็นพระพิมพ์ต่างๆ เช่นพระพิมพ์เจ้าคุณกรมท่า พระปิดตา 2 หน้า ราว 400 องค์ พี่ใหญ่บอกว่า ช่วงนี้ท่านหลวงพ่อกบ ท่านลงมาเสกให้เกือบทุกวัน มาเป็นแสงสว่างจ้ามาก กะว่า วันที่สิ้นเดือนนี้จะไปรับคืน หรือไม่ก็ทิ้งไว้ให้ขอบารมีท่านองค์อื่นลงมาในพิธีใหญ่ด้วย นี่ขอบารมีกันมาเกือบเดือนแล้ว บอกตามตรงแจกฟรีให้กับใครก็ได้ที่ขอ ถือว่าทำมาให้ไม่คิดมูลค่า เอาท่านองค์ที่ 4 ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นนี่ฌาณบารมีท่านนี่ละเอาไปใช้กัน แต่เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าให้เมื่อไร และแจกยังไง เพราะสงสารคนไกลเหมือนกัน ส่งไปรณีย์ก็เป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุัด เพราะคิวยาวมาก แต่เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าของฟรีต้องมีในโลกบ้าง จึงทำให้ต้องแจกฟรีๆ ให้คนเป็นๆ ไปใช้กัน เป็นการเผยแพร่พุทธศาสนาของเราด้วย แถมได้บุญอีก..โอ้ว.


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  19. wichitt

    wichitt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    898
    ค่าพลัง:
    +4,132
    โมทนาบุญกับคุณพันวฤทธิ์ด้วยครับ มีพรายมากระซิบว่าให้ผมมาเข้าคิวด้วยครับ ผมขออาราธนาด้วยนะครับ ขอบพระคุณมากครับ
     
  20. active

    active เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +278
    ผมขอบูชาด้วย 1 องค์ ครับ ขอบพระคุณมากครับ<!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...