พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมคุยกับคุณเพชรไว้ ก็คือวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2550 แต่ผมไม่แน่ใจว่า ทางวิทยาลัยนาฎศิลป์ จะมีผู้นำเข้าไปชมและอธิบายหรือไม่ แต่ถ้าไม่ได้ในวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2550 ก็อาจจะเป็นในวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2550

    ถ้าเป็นวันที่ 4 ธันวาคม 2550 อาจจะชนงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง คุณเพชรจะลองติดต่อดูก่อน แล้วจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งนะครับ

    .
     
  2. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมรู้แล้วท่านปา-ทาน แก็งที่อยู่ในแดนศิวิไลซ์นี่ ต้องโพสทุกวันไม่งั้นเดี๋ยวท้องอืดลงแดงแย่เลยครับ(b-deejai)
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหตุเกิดขึ้นที่การทำบุญ
    <O:p</O:p
    คนเราทุกวันนี้ ดีแต่ส่องกระจกด้านหน้า แต่เพียงด้านเดียว ให้เอากระจกหกด้าน มาส่องเสียบ้าง แล้วจะเห็นเอง เป็นคำสอนของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ซึ่งผู้คนทุกวันนี้ ไม่เคยได้นำมาใช้ นำมาปฏิบัติกัน คิดว่าตนเองเป็นผู้ที่ถูกต้องเสมอ ทั้งๆที่ยังไม่รู้ว่าถูกต้องจริงหรือไม่ อย่างไร สิ่งที่ผู้คนรู้ในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของพระสงฆ์ เรื่องของการทำบุญ เรื่องของการทำความดี ในความเป็นจริงๆแล้ว เรียนท่านผู้อ่านได้แต่เพียงว่า รู้กันน้อยมาก ซึ่งรวมทั้งผมเอง ผู้ที่รู้หมดทุกๆเรื่อง มีเพียงแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ที่พระองค์ท่านเป็นผู้รู้ รู้ในทุกๆเรื่อง <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เรื่องของการทำบุญก็เช่นกัน การทำบุญนั้น <O:p</O:p
    ไม่ใช่เพียงแค่เดินทางไปทำบุญตามวัดโน้น วัดนี้ <O:p</O:p
    หรือนำคำสอนของพระสงฆ์มาเล่ามาสอนให้ผู้อื่นฟังแล้วยกตนข่มท่านเท่านี้ <O:p</O:p
    ไม่ใช่ว่าจะดูผู้อื่นว่าทำถูกต้องตรงกับความคิดเห็นของตนเองเท่านั้น <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เพียงแค่ศีล 5 ก็ยังไม่รู้ ก็ยังไม่เข้าใจ
    การให้สัจจะเป็นเรื่องข้อของศีลหรือไม่ ต่อให้การให้สัจจะนั้นผ่านมาเป็นปีๆหรือหลายๆปีก็ตาม
    ,การโพสเหน็บแนมเป็นข้อของศีลหรือไม่
    ,การโพสในสิ่งที่เมื่อก่อนตนเองเข้าใจว่าพระรุ่นนี้ไม่ทันหลวงพ่ออธิษฐานจิต แต่พอมีหนังสือออกมาว่า พระรุ่นดังกล่าวทันหลวงพ่ออธิษฐานจิต ในความที่เมื่อก่อนไม่รู้แล้วไปโพสว่าคนอื่น แต่พอความจริงปรากฏออกมา ไม่เห็นมีการไปขอโทษกัน
    [​IMG]
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p

    กรรมย่อมให้ผลกับผู้กระทำเสมอ ผู้ใดทำอะไรไว้ แม้ไม่มีใคร(มนุษย์หรือคน) รู้เลยสักคนเดียว แต่ทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างรู้และบันทึกไว้เสมอๆ ปลูกข้าวย่อมได้ข้าว ,ปลูกมันย่อมได้มัน ,เลี้ยงควายย่อมมีลูกควายให้เลี้ยง ไม่เคยมีใครสักคนเดียวที่ปลูกข้าวแล้วออกลูกมาเป็นมัน หรือเลี้ยงควายไว้แล้วออกลูกมาเป็นวัวหรือหมูหรือไก่เลยสักตัวเดียว<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เช่นกัน เรื่องของการอนุโมทนาหรือโมทนานั้น ถ้าเราไปโมทนาในสิ่งที่คนทำไม่ดี เราผู้ที่โมทนาก็เหมือนกับว่าเราได้ไปทำไม่ดีกับคนทำไม่ดีนั้นเช่นกัน

    ขออีกเรื่องคือ การให้องค์ความรู้ต่างๆ การให้ความรู้ที่ผิดไปจากความเป็นจริง(ที่เราเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าองค์ความรู้นั้นถูกต้องตรงกับองค์ความรู้จริงๆหรือไม่) เราก็จักได้รับผลของกรรมที่เป็นการให้องค์ความรู้ที่ผิด
    แต่ถ้าการให้องค์ความรู้ต่างๆนั้น ให้ความรู้ที่ถูกต้อง(ที่เราเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าองค์ความรู้นั้นถูกต้องตรงกับองค์ความรู้จริงๆหรือไม่) เราก็จักได้รับผลของบุญที่เป็นการให้องค์ความรู้ที่ถูกต้องเช่นเดียวกัน<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    โมทนาสาธุครับ

    [​IMG]<O:p</O:p
    .<O:p</O:p
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.budpage.com/ba35.shtml

    "ปรุงแต่งใจให้เป็นสุข"
    พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต)

    ใช้ความสามารถปรุงแต่งสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ภายนอกแล้วอย่าลืมใช้ความสามารถนั้น ปรุงแต่งสร้างสรรค์ความสุขภายในด้วย
    พระพุทธศาสนาเปิดเผยความจริงว่าความสุขมีมากมาย ความสุขมีหลายแบบ ความสุขมีหลายชั้นหลายระดับ ทั้งความสุขภายนอกภายใน ทั้งความสุขแบบแบ่งแยกและความสุขแบบประสาน ทั้งความสุขที่อาศัยวัตถุและไม่อาศัยวัตถุ ทั้งความสุขทางร่างกายและความสุขทางจิตใจ ทั้งความสุขระดับจิตและความสุขระดับปัญญา ทั้งความสุขแบบมัวเมาติดจม และความสุขแบบโปร่งโล่งผ่องใส
    ความสุขของมนุษย์อย่างหนึ่งคือ ความสามารถในการปรุงแต่งสร้างสรรค์คิดค้น ซึ่งสัตว์อื่นไม่มี การที่มนุษย์เจริญขึ้นมามีเทคโนโลยีมีสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ มากมาย ก็เกิดจากความสามารถของมนุษย์ในการปรุงแต่งสร้างสรรค์นี่แหละแต่กว่าจะออกมาเป็นวัตถุปรุงแต่งสร้างสรรค์ได้ ต้นเดิมมันมาจากไหน มันก็มาจากในใจของเรา คือ ใจที่มีสติปัญญาเริ่มด้วยใช้ปัญญาคิดปรุงแต่งข้างในแล้วจึงแสดงออกมาเป็นการปรุงแต่งประดิษฐ์วัตถุ สร้างสรรค์วัตถุข้างนอกได้จนกระทั้งเป็นคอมพิวเตอร์และดาวเทียม ก็เกิดจากความคิดในใจเป็นจุดเริ่ม
    ทีนี้ความคิดของเรานี่น่ะ นอกจากปรุงแต่งสร้างสรรค์วัตถุข้างนอกแล้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือปรุงแต่งสุขปรุงแต่งทุกข์ข้างใน เราไม่รู้ตัวหรอกว่าเราใช้ความสามารถนี้ตลอดเวลาด้วยการปรุงแต่งความสุข และปรุงแต่งความทุกข์ จริงไหมว่าที่เราทุกข์เราสุขกันนี้ ส่วนมากเป็นสุขและทุกข์ที่เราปรุงแต่งขึ้นเอง ไม่เหมือนกับสัตว์อื่น
    สัตว์อื่นนั้นไม่รู้จักความทุกข์ความสุขมากเหมือนมนุษย์ มันมีความสุขความทุกข์ที่เกิดจากทางกาย ได้กินอาหาร ได้หลับนอนพักผ่อนหรือต่อสู้หนีภัยอะไร ๆ ก็ตามประสา แต่ความสุขความทุกข์ทางใจที่เกิดจากการคิดปรุงแต่งมันไม่มี เราจะเห็นว่าสัตว์กลุ้มใจไม่เป็น สัตว์มันเครียดไม่เป็น เครียดได้แต่เรื่องที่สืบเนื่องจากทางกาย ไม่เหมือนมนุษย์
    มนุษย์นี้ปรุงแต่งสุขทุกข์ในใจกันมากมายพิสดารปรุงแต่งทุกข์ให้กลุ้มให้กังวลให้เครียดจนกระทั้งเสียจิตไปเลย สัตว์อื่นปรุงแต่งใจให้เป็นบ้าไม่ได้ แต่มนุษย์ปรุงแต่งจิตใจจนกระทั่งกลายเป็นบ้าไปก็มี มนุษย์มีความสามารถนี้อยู่มากมายนัก แต่น่าเสียดายที่มนุษย์ใช้ความสามารถนี้ไปในการปรุงแต่งทุกข์มากกว่าปรุงแต่งสุข มีอะไรมากระทบตากระทบหู ไม่สบายใจนิดหน่อย ก็เก็บเอามาปรุงแต่งต่อเสียยืดยาวใหญ่โต เวลาอยู่ว่าง ๆ แทนที่จะปรุงแต่งสุข ก็ปรุงแต่งทุกข์ เอาเรื่องที่ไม่ดีมาวาดเป็นภาพ ทำให้เกิดความรู้สึกกลุ้มใจกังวล มีความโกรธเคียดแค้นต่าง ๆ ทำให้มีความทุกข์มากมาย แสดงว่ามนุษย์ส่วนมากใช้ความสามารถไม่ถูกทางจึงเป็นโทษแก่ตนเองทีนี้ถ้ามนุษย์ฝึกตัวให้ใช้ความสามารถนั้นให้ถูก เขาก็จะปรุงแต่งความสุขได้มากมายมหาศาล
    ในทางพระพุทธศาสนาท่านแนะนำให้เราปรุงแต่งความสุข
    ท่านสอนวิธีทำใจหรือฝึกจิตฝึกใจ และบอกวิธีใช้ปัญญามากมาย อย่างเช่น การบำเพ็ญสมาธิต่าง ๆ ก็คือวิธีปรุงแต่งจิตใจนั่นเอง แต่เป็นการปรุงแต่งให้เป็นสุข ในการมองโลกแม้แต่สิงเดียวกัน ถ้าเรามองไม่เป็น ก็เป็นเรื่องร้ายเกิดทุกข์ แต่ถ้ามองเป็น ก็กลายเป็นดีเกิดสุขได้
    ขอเล่าเรื่องพระท่านหนึ่งที่เป็นเพื่อนกันตอนเรียนหนังสือที่มหาจุฬาฯ ในวัดมหาธาตุ ท่าพระจันทร์ เวลาชั่วโมงว่างไม่ได้เรียนหนังสือ ท่านจะมองไปที่ท่าพระจันทร์ซึ่งมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาขวักไขว่จำนวนมาก ท่านมองไปมองมาแล้วก็นั่งหัวเราะ อาตมาก็ถามว่าหัวเราะอะไร ไม่เห็นมีอะไร ท่านบอกว่ามองไปเห็นผู้คนเดินไปเดินมา ท่าทาง รูปร่างเครื่องแต่งกาย เสื้อผ้าสีสันต่าง ๆ กัน คนนั้นเดินอย่างนี้ คนนี้เดินอย่างนั้น ดูแล้วขำ ท่านก็เลยหัวเราะ นี่ก็เป็นวิธีมองโลกอย่างหนึ่ง
    บางคนมองอะไรก็น่าขำไปทั้งนั้น บางคนมองเห็นอะไรก็รู้สึกขัดหู ดูขัดตาไปทุกอย่าง บางคนไม่มีอะไรก็นั่งกังวลไม่สบายใจ ทุกข์ไปหมด นี้เป็นตัวอย่างง่าย ๆ ของการปรุงแต่งจิตใจ เราตั้งท่าทีของจิตใจอย่างไรก็สร้างจิตใจให้เป็นอย่างนั้น สุข-ทุกข์ก็เกิดตามมา
    ในชีวิตประจำวัน เมื่อทำงานทำการ เราก็มองโลก เราก็มองคนที่พบเห็นมาหาไปหา เช่นเป็นแพทย์เป็นพยาบาลก็มองคนไข้ไปด้วย เราต้องเกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป กับผู้ร่วมงาน เราจะต้องหัดมองให้เป็น อย่ามองในแง่ที่กระทบหูกระทบตา
    วิธีมองให้ไม่เกิดโทษมีหลายอย่าง อย่างน้อยก็ควรมองเห็นว่าเป็นประสบการณ์แปลก ๆ ในวันหนึ่ง ๆ เราพบเห็นผู้มีกิริยาอาการต่างๆ มากมาย คนนั้นลักษณะอย่างนั้น คนนี้ลักษณะอย่างนี้ เราก็มองในแง่ที่ว่า เป็นสิ่งที่ได้รู้ได้เห็น เป็นประสบการณ์ หลากหลาย เป็นข้อมูลความรู้ อย่าเก็บมาเป็นอารมณ์ เราอาจจะสบายใจหรือพอใจว่านี่เราได้รู้เห็นรู้จักโลกมากขึ้น โลกเป็นอย่างนี้ เมื่อเราทำใจอย่างนี้ สิ่งที่พบเห็นก็ไม่กระทบหูไม่กระทบตา ไม่กระทบใจ เราก็สบายใจ แต่ไม่แค่นั้น ยังดีกว่านั้นอีกคือเราได้ความรู้ด้วย.

    <SMALL>คัดตัดตอนมาจากหนังสือ "ทำอย่างไรจะให้งานประสานกับความสุข" โดย พระธรรมปิฏก (ป.อ. ปยุตโต)</SMALL>
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http://www.artitjawangso.org/index.php?option=com_content&task=view&id=91&Itemid=33

    ถ้ายังไม่ถึงฝั่ง


    พิจารณาธรรม วันจันทร์ที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๗​

    เวลา ๒๐.๑๓ น.​


    ก็จงนึกถึงตนเอง ก่อนก้าวไปไกล จงมองรอบกาย พิจารณาเสียก่อน ก่อนจะหายใจเข้าก็ลองหายใจออกก่อน เมื่อมีกำลังก็ยกของบางอย่างได้ เมื่อใจเป็นธรรมดาก็สู้หลับตาดีกว่า เมื่อใจไม่อยู่กับที่ก็ต้องทำเหมือนเอาวัวผูกพันหลักไว้ เมื่ออ่อนใจก็นอนเสีย ดีจริงๆ ก็เห็นยาก ภาษาธรรม (ทำ) ตามกับภาษาพูด อยู่หน้าไม่ได้ก็อยู่ข้างหลัง เมื่อไม่พบความจริงก็ต้องตามหลัก เมื่อจริงแล้วต้องถอนหลัก ว่านอนน้อยก็เพราะต้องการพักผ่อนให้มาก สิ้นสุดกั้นก็เพราะนอนประจำ ถ้ามีห่วงอยู่ก็กลับมาเอาห่วงอีก ถ้ามีแก่ใจก็ต้องทนไปก่อน ความสังวรณ์ระวังเป็นที่ตั้งแห่งความบริสุทธิ์ ความปราศจากสติ ขาดการพิจารณาใคร่ครวญให้ถ่องแท้ ทำให้ผิดหวัง เป็นบ่อเกิดความเศร้าหมอง การตั้งความพยายามไว้ แต่ไม่ปฏิบัติตนตามถูก ก็เหมือนพาตัวเองเข้าสู่อบาย ความตายมีอยู่ทุกขณะ ถ้าไม่มีสติก็ตายวันละหลายๆ หน ความรู้สึกที่เป็นธรรมารมณ์อยู่ ที่ติดใจอยู่นั่นแหละวิญญาณ ธรรมารมณ์ที่มาแล้วไม่ติดใจอยู่ได้ เรียกว่า ความสงบใจ เมื่อมีสติอยู่ก็รู้ความจริง รู้ตามเป็นจริง ถ้าเห็นธรรมดาก็สักว่าสังขาร ถ้าเลือกรสอาหารก็ชอบมีความอยาก ถ้าชอบมีมิตรก็ระวังตัวอย่าเป็นพาล ถ้าจะฝึกสติก็จงหัดสงบระงับใจไว้ ปิดปากตัวเองได้ ความโกรธก็ไม่ลุกลาม ความดีประทับใจเป็นตรา ไม่ต้องคิดหรือนึกถึง กุศลกรรมคือจักรผันไปสู่ความเจริญและความดี อกุศลกรรมคือจักรผันไปสู่ความอบายแห่งความเสื่อมและความเลว

    จะมองดูโลกก็จงมองดูตนเอง
    จะมองดูธรรมะก็จงมองดูความประพฤติตัวเอง
     
  6. MEA

    MEA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +660
    เรียน พี่พันวฤทธิ์

    ทราบว่า พี่พันวฤทธิ์ เมตตาแจก พระพิมพ์ให้สมาชิกไว้บูชา ไม่ทราบหมดหรือยัง ผมขอต่อแถวด้วยครับ ขอบคุณครับ.


    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์ [​IMG]
    ให้ทุกคนจริงๆ แต่การส่งทางไปรษณีย์ก็เป็นสิ่งที่ผมกลัวที่สุดเหมือนกัน เพราะไปรษณีย์ข้างที่ทำงานที่ ข้าง ธ.ทหารไทย สนญ.คนเยอะมักๆ ไม่ใช่เพราะส่งไปรษณีย์แต่ไปชำระเงิน ค่าบัตรเครดิต ฯ แถวเลยยาว รอทีละ 1 ชม. ไม่ไหวจริงๆ นอกจากจะส่งซอง bubble เปล่าพร้อมติดสแตมป์มาให้ หรือมารับเองละพอไหวครับ นี่คือปัญหาใหญ่ของผมจริงๆ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. MEA

    MEA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    150
    ค่าพลัง:
    +660
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เรียน พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่าน

    ผมขอให้ท่านที่สนใจจะไปเยี่ยมชมวัดบวรสถานสุทธาวาส (วังหน้า) ผมจะให้ลงชื่อกัน จะได้ให้คุณเพชร ทำหนังสือแจ้งความประสงค์ขอเข้าชมวัดบวรสถานสุทธาวาสกัน และจะได้เตรียมพานบายศรี ,ดอกไม้ พวงมาลัย หมากพลูไปด้วยครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผมคุยกับคุณเพชรไว้ ก็คือวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2550 แต่ผมไม่แน่ใจว่า ทางวิทยาลัยนาฎศิลป์ จะมีผู้นำเข้าไปชมและอธิบายหรือไม่ แต่ถ้าไม่ได้ในวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2550 ก็อาจจะเป็นในวันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม 2550

    ถ้าเป็นวันที่ 4 ธันวาคม 2550 อาจจะชนงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาของในหลวง คุณเพชรจะลองติดต่อดูก่อน แล้วจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งนะครับ


    ผมจอง2ที่กับพี่กุ้งมังกอนครับ เดี๋ยวจะรอติดตามต่อไปครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมได้ไปสมัครเว็บลานธรรมจักรมาอีกแล้วครับ

    http://www.dhammajak.net/board/index.php

    <TABLE class=forumline cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=cat colSpan=2>ผู้ที่กำลัง online</TD></TR><TR><TD class=row2 rowSpan=3>[​IMG] </TD><TD class=row2 width="100%">Post ทั้งหมด 39105 หัวข้อ
    สมาชิกทั้งหมด 4695 คน
    สมาชิกล่าสุดคือ sithiphong</TD></TR><TR><TD class=row2>ผู้ที่ online 35 คน :: สมาชิก 0 คน, ซ่อน 0 คน และ 35 ผู้เยี่ยมชม [ Administrator ] [ Moderator ]
    มีผู้ใช้ online พร้อมกันสูงสุด 162 คน เมื่อ 15 ส.ค.2006, 3:32 pm
    ผู้ใช้ที่ลงทะเบียน: (ไม่มี)</TD></TR><TR><TD class=row2 height=20>ข้อมูลนี้เป็นการทำงานล่าสุดเมื่อ 5 นาทีก่อน</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่มา Fwd mail ครับ

    แบงค์1000
    นักพูด..ที่เป็นที่รู้จักกันดีท่านหนึ่ง..
    ได้เริ่มหยุดการสัมมนาของเขา..
    โดยการหยิบแบงค์ 1,000 ขึ้นมา
    ในห้องที่มีผู้เข้าฟัง..ร่วม 200 ท่าน

    แล้วเขาก็พูดว่า..
    "ใครอยากได้แบงค์ 1,000 นี้บ้าง?"
    มีมือ..ได้ถูกยกขึ้นเป็นจำนวนมาก

    เขาก็พูดต่อว่า..
    "ฉันจะให้เงินแบงค์1,000 นี้..
    แก่หนึ่งในพวกท่าน..
    แต่ครั้งแรกนี้..ฉันจะทำอย่างนี้"

    เขาเริ่มที่จะขยำๆ เงินนั้น
    แล้วเขาก็ถามอีกว่า ..
    "ใครจะยังต้องการมันอีก?"

    ยังคงมีมือที่ยกขึ้นอีก
    "ดี" ..เขาตอบ

    "แล้วถ้าฉันทำอย่างนี้ล่ะ"
    และเขาก็ทิ้งมันลงที่พื้น..
    เริ่มที่เหยียบย่ำมัน..ด้วยรองเท้าของเขา
    แล้วเขาก็เก็บขึ้นมา
    ขณะนี้..มันทั้งยับยู่ยี่และสกปรก

    "ตอนนี้.. ใครยังต้องการมันอีก?"
    ก็ยังคงมีคนยกมืออีก..

    "เพื่อนๆ ..คุณได้เรียนรู้บทเรียน
    ที่มีคุณค่ามากที่สุดบทหนึ่งแล้วว่า..
    ไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเงิน ..
    คุณก็ยังต้องการมันอยู่
    เพราะว่า..
    มันไม่ได้ลดคุณค่าในตัวมันลงเลย
    มันก็ยังคงมีค่า1,000 บาทอยู่นั่นเอง

    เหมือนกับหลายๆครั้ง..ในชีวิตของเรา
    ที่ถูกทิ้ง.. ถูกเหยียบย่ำ ..
    และถูกทำให้สกปรก..
    โดยสิ่งที่เราตัดสินใจทำมัน
    และสภาพแวดล้อมที่เราเจอ
    ทำให้เรารู้สึกว่า..
    คุณค่าของเรา--ลดน้อยลง

    แต่ไม่ว่าอะไร..ที่ได้เกิดขึ้น
    หรืออะไร..ที่จะเกิดขึ้น
    คุณไม่เคยสูญเสีย--คุณค่าในตัวเอง

    คุณเป็นคนพิเศษ..
    อย่าลืมมันตลอดไป...

    อย่านำความผิดหวัง..ของเมื่อวาน
    มาบดบังความฝัน..ในวันพรุ่งนี้
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ พันวฤทธิ์ [​IMG]
    นับได้ขณะนี้มีคนขอมาแล้ว 9 องค์ หึๆ...ครูบาอาจารย์พี่ใหญ่นับถือและเกี่ยวพันกัน ลงมาทุกวันนับไม่ไหว พี่ใหญ่บอกท่านรู้ว่าทำอะไรเลยทยอยกันลงมา เออหนอ...9 องค์นี้ จะปิดทองด้านหลังให้ทุกองค์ เพื่อให้เป็นเครื่องหมายในการขอบารมีในครั้งนี้เอาให้แหล่มไปเลย (จะให้เป็นสมเด็จเจ้าคุณกรมท่าฯ ทุกองค์) ยังไม่รวมของ อ.ปุ๊ที่โทร.มาขอเพิ่มอีก 1 เป็น 10 สาธุ...
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ท่านที่มีความประสงค์ที่จะรับพระพิมพ์จากคุณพันวฤทธิ์ เมื่อสักพักนี้ผมคุยกับคุณพันวฤทธิ์แล้ว คุณพันวฤทธิ์แจ้งว่า ถ้าท่านใดที่มีความประสงค์จะรับ ต้องไปรับกับมือคุณพันวฤทธิ์เอง และรอให้เสร็จสิ้นเรื่องพิธีก่อน คุณพันวฤทธิ์จะมาแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ
    โมทนาสาธุครับ
    .
     
  11. drmetta

    drmetta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +752
    โปรดใส่ชื่อผมขอร่วมด้วยนะครับ ขอคุณครับ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. drmetta

    drmetta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    131
    ค่าพลัง:
    +752
    ขอบคูณมากครับ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใช้สติพิจารณาดูนะครับ

    ***********************************
    http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9500000124085
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ตะลึง! ภาพถ่ายม้าทรงที่ภูเก็ตหัวขาด</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>19 ตุลาคม 2550 11:23 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=bottom align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD><TD><TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center align=middle width=1 background=/images/linedot_vert.gif>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=right width=1 height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=middle background=/images/linedot_hori.gif height=1>[​IMG]</TD><TD vAlign=top align=left width=1 height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>ภาพถ่ายของม้าทรงที่ไม่มีศีรษะ (สวมเสื้อสีเหลืองมีผ้าสีดำพาดไว้บนบ่า)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=left height=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=7 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ศูนย์ข่าวภูเก็ต - หนุ่มวัย 25 ปี ตะลึงภาพถ่ายม้าทรงของศาลเจ้ากะทู้ ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดของภูเก็ต ไม่มีศีรษะ หลังใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายไว้ขณะร่วมในขบวนแห่พระรอบเมือง ยืนยันช่วงถ่ายโชว์ภาพมีครบทุกส่วนของร่างกาย เชื่อม้าทรงคนดังกล่าวชะตาขาด หรือดวงอาจถึงฆาต

    เมื่อเวลา 21.40 น.คืนที่ผ่านมา (18 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากนายประวัติ เซียงหวอง อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47/8 หมู่ 4 เยื้องมัสยิดกมลา ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต ว่า สามารถบันทึกภาพนิ่งที่เหลือเชื่อ และน่าหวาดกลัวในพิธีแห่พระรอบเมืองภูเก็ต หรือ “อิ้วเก้ง” ซึ่งเป็นหนึ่งในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของประเพณีถือศีลกินผักประจำปีของ จ.ภูเก็ต ด้วยกล้องโทรศัพท์มือถือได้

    โดยภาพดังกล่าวนายประวัติได้ถ่ายม้าทรงของศาลเจ้ากะทู้ ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุด และเป็นศาลเจ้าแห่งแรกของ จ.ภูเก็ต ที่เริ่มประกอบพิธีถือศีลกินผัก โดยม้าทรงคนดังกล่าวได้ทรมานร่างกาย ด้วยการใช้เหล็กแหลมนับสิบอันแทงทะลุแก้มทั้ง 2 ข้างอย่างน่าหวาดเสียว ขณะที่ม้าทรงคนดังกล่าวกำลังยืนอยู่บนรถยนต์กระบะที่กำลังจะเลี้ยวเข้าศาลเจ้ากะทู้

    หลังเสร็จสิ้นพิธีแห่พระรอบเมืองแล้ว โดยสวมเสื้อแขนยาวสีเหลืองที่คอมีผ้าสีดำพันไว้ ด้านหลังมีพี่เลี้ยงม้าทรงยืนประคองอยู่ ส่วนด้านหน้าม้าทรงเป็นองค์เทพที่อัญเชิญมาสถิตไว้ แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านพักได้เปิดภาพดูถึงกับตกตะลึง เนื่องจากภาพที่ถ่ายไว้ในโทรศัพท์มือถือ พบว่า ม้าทรงคนดังกล่าวกลับไม่มีศีรษะ

    ทั้งๆ ที่ตอนถ่ายนายประวัติยืนยันว่าม้าทรงคนดังกล่าวมีศีรษะเหมือนคนทั่วไป เพราะยังเห็นเหล็กแหลมนับสิบอัน เสียบทะลุแก้มของม้าทรงอยู่ จากนั้นจึงได้เรียกให้เพื่อนๆ มาดูภาพพร้อมกับขยายใหญ่ ปรากฏว่าเมื่อทุกคนที่เห็นภาพถึงกับออกปากว่าน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ซึ่งทุกคนที่เห็นภาพเชื่อว่าม้าทรงคนดังกล่าวชะตาขาดหรือดวงอาจถึงฆาต

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 4 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"></TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>sithiphong, aries2947+, ringside, จิตงาม </TD></TR></TBODY></TABLE>

    บุคคลทั่วไปเยอะครับ

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สติควบคุมจิต (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=90

    ผู้ตั้งกระทู้ admin
    บัวแก้ว

    สติควบคุมจิต
    โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

    แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง
    อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
    พ.ศ. ๒๕๑๗


    สติควบคุมจิต นั่นคือ รวบรวมจิตให้อยู่ในอำนาจของสติทุกอิริยาบถ ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน การเคลื่อนไหวไปมา แม้จะคิด จะพูด จะทำก็ให้มีสติปกครองจิตไว้ให้มันรู้เท่าต่อการกระทำของเราทุกอย่าง ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายได้รับสัมผัส จิตได้รับอารมณ์ ต้องให้มีสติรู้เท่าทันตลอดเวลา เมื่อผัสสะกระทบให้มีสติรู้เท่าทันอย่าให้มันซึมลงถึงจิตได้

    ถ้าเผลอสติเมื่อไรจะรู้สึกฟุ้งซ่านรำคาญหงุดหงิดส่งส่ายไปตามเรื่องที่มากระทบ เป็นกุศลบ้างอกุศลบ้าง โดยส่วนมากแล้วจิตของเรามันเอนเอียงไหลไปทางอกุศล เกิดเดือดร้อนเศร้าหมองขุ่นมัว บางทีก็หลงไหลเพลิดเพลินไปตามสิ่งภายนอกอยู่เรื่อย จิตมีแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง นาทีผ่านไป ชั่วโมงผ่านไป แล้วก็วันหนึ่ง คืนหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่งผ่านไปโดยไม่มีอะไรเป็นสาระที่ระลึกได้เลย จะระลึกอะไรมาเป็นที่พึ่งก็ไม่ได้ เพราะว่าจิตของเราไม่เคยฝึกอบรมให้ระลึกเช่นนั้น เคยแต่อยากได้อันนี้มากๆ เมื่อได้อันนี้แล้วแทนที่จะสบายมีพอแล้ว ก็ไม่พอ อยากได้อันอื่นอีก เลยไม่มีวันพอ ก็เลยตายก่อน

    ทีนี้พอถึงเวลาจะตาย เราไม่ให้จิตติดข้องได้อย่างไรเล่า ในเมื่อเราไม่ได้ฝึกฝนสติอบรมจิตไว้เสียก่อนแก่ ก่อนเจ็บ ก่อนตาย แล้วจะกะเกณฑ์ให้จิตที่มันติดข้องยุ่งอยู่กับเรื่องของกิเลสตัณหาอย่างหนาแน่นวางได้อย่างไร จิตเช่นนี้ถ้าตายแล้วก็ต้องจมอยู่ในกิเลสตัณหาอย่างแน่นอน เพราะว่ามันไม่ได้อบรมในทางกุศล มีแต่ส่งจิตไปตามความอยากได้ อยากดี อยากมั่ง อยากมี เลยเพลิดเพลินไปตามความอยากอยู่เรื่อยไป ไม่มีสติจะมองเข้ามาในตัวตนของเราสักที มีแต่เดือดร้อนวุ่นวายส่งส่ายไปตามความอยากจนลืมตัว ไม่รู้ตัวว่าแก่เท่าไรแล้ว ยิ่งแก่ก็ยิ่งมีความอยากมาก แบบนี้เรียกว่า แก่ไปทางกิเลสตัณหาอย่างไม่รู้ตัวว่าแก่

    ใครเล่าจะมาแก้กิเลสตัณหาให้เราได้ ถ้าเราไม่รู้ของเราเองใครจะมารู้ให้เรา เราต้องสำนึกเอาเอง เมื่อเรามีความขัดข้องหมองใจ เดือดร้อน ขุ่นมัว มันติดข้องอยู่ในจิตของเราหมดทุกอย่าง เราหามาถมจิตใจของเราเองทั้งนั้น มีเงินมีทอง มีที่ดิน มีบ้าน มีของเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ เรื่องของกิเลสตัณหานี้น่ากลัวมากที่สุด มันจะพาเราตายจมอยู่ในกิเลสตัณหา มันพาเราเดือดร้อนวุ่นวายอยู่ในกองทุกข์ทุกวันนี้ ก็เพราะว่าจิตของเรามันหลงใหลอยู่ในกาม หลงยึดหลงถือเอาไว้ว่าเป็นตัวเราตัวเขากันอยู่ทั้งโลก

    แย่งกัน ด่าว่ากัน ถกเถียงกันยังไม่พอ จิตที่ผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรไว้ตั้งแต่ครั้งก่อนโน้น เกิดมาในชาตินี้ก็มาหลงเอาของเก่า มาแย่งชิงกัน ด่าว่ากัน ฆ่าตีกันจนล้มตายมากมายเหลือหลายอยู่ในโลกอันนี้นับไม่ถ้วนเลย ฝ่ายอกุศลมันหมุนวนอยู่ในห้วงของกาม มันติดข้องผูกพันอยู่ หาวิธีแก้ได้ยาก มันเหนียวแน่นอย่างแกะได้ยากที่สุด เพราะมันเกี่ยงเนื่องอยู่ใน กามภพ รูปภพ และอรูปภพ จิตของเราติดอยู่ในภพทั้งสามนี้แหละ จึงออกจากทุกข์ได้ยาก

    ที่ว่าหาวิธีแก้ได้ยากเพราะว่าเราไม่รู้จักทุกข์อย่างจริงจัง ถ้าเราทำให้มันถึงทุกข์ ได้ต่อสู้กับทุกข์ ได้ชนะทุกข์มาแล้วจึงจะรู้วิธีออกจากทุกข์มาได้ หากเราไม่ทำให้มันถึงทุกข์ จะเห็นทุกข์ได้อย่างไร เพราะว่าเราไม่ทันพบทุกข์ก็ไม่รู้จักทุกข์อย่างแท้จริง ถ้าไม่ได้ต่อสู้กับทุกข์เสียก่อนแล้ว เราจะรู้วิธีออกจากทุกข์ได้อย่างไรหนอ เปรียบเหมือนเรายังเดินทางไม่ถึงที่หมายเราจะไปรู้จักได้อย่างไร ฉะนั้นเราผู้อยากจะพ้นทุกข์ ต้องทำให้มันถึงทุกข์ได้ต่อสู้กับทุกข์ ชนะทุกข์ได้แล้ว มันจึงพ้นทุกข์ เป็นปัจจัตตัง ผู้ประพฤติปฏิบัติในอรรถในธรรมรู้เองเห็นเอง ถ้าทำแท้ทำจริง ไม่เผลอสติ มีสติรู้เท่าทันต่อเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้นมานั้น มันค่อยผ่อนจากหนักเป็นเบา รู้เท่าทันดีขึ้น

    ขอให้มีศรัทธา ทำทานไปเรื่อย ทั้งทานภายนอกทานภายใน รักษาศีล คือ รักษากาย วาจา และใจให้มันเป็นปกติหรือรักษาจิตนั่นเอง คอยมีสติปกครองจิตใจ สิ่งใดไม่ควรคิดก็ไม่คิด สิ่งใดไม่ควรพูดก็ไม่พูด สิ่งใดไม่ควรทำก็ไม่ทำ เพราะเรามีสติรู้อยู่ว่าเราเป็นผู้มีศีล เราไม่ควรคิดไปทางอกุศล เช่น พูดเท็จ พูดคำหยาบ ด่าว่าเสียดสี พูดเพ้อเจ้อ พูดไม่มีเหตุผล ทางกายก็ไปฆ่าสัตว์ ลักขโมยของคนอื่นมาเป็นของตนเป็นต้น ล้วนแล้วแต่เป็นอกุศลผิดหลักของศีลทั้งนั้น

    หากว่าจิตของเรามันยังอยากจะคิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้อยู่แล้ว ก็แปลว่า เรายังอยากก่อกรรมก่อเวรใส่ตัวเราเองทั้งนั้น คนอื่นไม่ได้มาทำให้เราเลย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมที่มีอยู่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นของเราทำไว้เองทั้งหมด คนอื่นมาแบ่งมาปันให้เราได้เมื่อไรต่างคนต่างทำใส่ตัวเองมาทั้งนั้น กุศลและอกุศลมันเกิดขึ้นสัมผัสจิตของเราเอง ถ้าเรามีสติดีมันก็หมุนไปตามกุศลกรรม คิดแต่ทางดี ไม่คิดอิจฉาริษยาใครทั้งหมด มีแต่คิดเมตตาสงสารต่อเพื่อนมนุษย์ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากลำบากด้วยกัน คิดอยากเกื้อกูลอุดหนุนเขาไปตามสติกำลังของเราที่จะทำได้ จิตอันนี้คิดเป็นกุศล ถ้ามีผู้มาด่าว่าเบียดเบียนเสียดสี จิตดวงนั้นมันก็คิดได้ว่าเป็นกรรมเก่าของเรา

    มันก็ทำทานไปหมด ไม่ติดต่อกรรมเก่าไว้ต่อไปอีก ไม่มีเรื่องของกรรมเก่ากรรมใหม่ ตั้งหน้าสร้างแต่กรรมดี คิดแต่ทางดี พูดแต่ทางดี ทำแต่ทางดี มันดีมาจากจิตทั้งนั้น จิตดีพูดออกมาก็ดี การกระทำทางกายก็ดี ถ้ากายดี วาจาดี จิตดี แล้วเราจะไปหาดีจากที่ไหนอีกเล่า ความดีมันก็อยู่ที่จิตของเราเอง ความชั่วมันก็อยู่ที่จิตของเราเอง ถ้าเรารู้จักชั่วว่ามันจะพาเราชั่วเสียหาย ก็ให้เรามีสติละชั่ว ทำแต่ทางดี ก็เป็นบุญ ถ้าว่าบุญมีแล้ว ทำอันใดก็ได้ง่าย ไม่มีเวรไม่มีภัย เราเป็นผู้ไม่ก่อเวร เราก็ไม่มีเวร เราไม่ก่อภัย เราก็ไม่ภัย เราไม่ก่อกรรม เราก็ไม่มีกรรม เราทุกคนเกิดมารับผลของกรรมเก่าของเราที่ทำมาแล้วทั้งนั้น

    ฉะนั้น เราต้องตั้งสติให้มั่นคง เพื่อจะได้มองเข้ามาตรวจดูต้นสายปลายเหตุที่เป็นภัยของจิตที่มันติดข้องอยู่ พาให้เราเป็นทุกข์อยู่ในภพทั้งสามนี้เอง กามภพ คือ จิตมันหลงติดอยู่ในกามติดรูปของเราเอง จิตของเรามันหลงยึดถือว่าเป็นตัวตนอย่างจริงจัง แล้วรูปภพมันก็เกี่ยวเนื่องกันมา มีตามันเห็นก็ไปติดรูปที่มีวิญญาณและไม่มีวิญญาณ มันพันเกี่ยวเนื่องกันมาหมด ทุกอย่างเปรียบเหมือนมัดวัวไว้กับหลัก หลักก็ติดวัว วัวก็ติดหลักผูกพันอยู่เป็นคู่กันไป เรื่องของโลกมันเป็นอยู่อย่างนั้นไม่สิ้นไม่สุดลงได้ ยืดยาวแบบนี้ เดี๋ยวเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวก็เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวเย็น เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้สลับกันอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปน่าเบื่อหน่าย มีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายไม่มีความสงบระงับได้เลย ถ้าเราไม่พินิจพิจารณาเรื่องของโลกให้มันเห็นแจ้ง เห็นชัดแยบคายอย่างถี่ถ้วนแล้ว เรื่องต่างๆ มันก็เป็นพืชพันธุ์ผสมอยู่ในดวงจิตอย่างมองเห็นได้ยาก

    เปรียบเหมือนเราจะดับไฟ แทนที่จะดับด้วยน้ำ เราเผลอสติเอาขี้ขยะมาถมไฟ หรือขี้แกลบมาถมเพื่อให้เชื้อไฟมันดับ อย่าหวังว่ามันจะดับได้เลย เชื้อของไฟมันยิ่งเพิ่มพูนขึ้นฉันใด เรื่องของกิเลสตัณหาที่มันข้องอยู่ในจิตของเรามาแล้วนับภพนับชาติไม่ได้ เราจะมาประพฤติปฏิบัติเพียงนิดหน่อย จะให้มันพ้นไปได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าเป็นของง่าย และก็ไม่ใช่ว่าเป็นของยากจนเหลือวิสัย ขอแต่ให้เราทำแท้ทำจริงอบรมสติปัญญาของเราให้แก่กล้ายิ่งๆ ขึ้นไป พิจารณาสอดส่องให้รู้จริงเห็นแจ้งในสภาพเหล่านี้ จึงจะรู้จักของจริง

    ธาตุทั้งสี่มันก็แตกสลายเสื่อมโทรมลงไปทุกลมหายใจเข้าออกอยู่เป็นนิจ เราไม่ได้พิจารณาดูให้เห็นความเสื่อมก็เลยกลับเห็นว่าเป็นของสวยของงามไปหมด จึงมีความรักใคร่กำหนัดยินดีหลงยึดหลงถือว่าเป็นของจริงของเที่ยง ที่แท้แล้วมันเป็นของเท็จหลอกลวง ของไม่เที่ยงทั้งนั้นไม่มั่นคงถาวรอยู่ได้เลย เกิดมาแล้วมีแต่เสื่อมสิ้นไป สิ่งเหล่านี้มันเป็นเครื่องปิดกั้นให้อยู่ในกองทุกข์กองไฟทั้งนั้น ล่อให้เราหลงมัวเมา เสียเวลาไปพิจารณาแต่เรื่องภายนอก ไปดูแต่รูปอื่น ฟังเสียงอื่นอยู่เรื่อยไป เพลิดเพลินอยู่กับสิ่งภายนอกจนเฒ่าจนแก่จนตายมามากมายเหลือหลายในโลกนี้ ติดข้องวุ่นวายอยู่ด้วยกันทั้งหมดคนที่มัวเมาอยู่กับกิเลสตัณหานี้นับวันแต่จะมืดเข้าทุกที ไม่มีวันหายได้เลย แก่ไปเท่าใดยิ่งติดข้องมากขึ้น มีลูกก็ติดข้องอยู่กับลูก มีหลานก็ติดข้องอยู่กับหลาน มีเหลนก็ติดข้องอยู่กับเหลนไปไหนมาไหนก็ไม่ได้ แก่แล้วอยู่กับลูกกับหลานกับเหลนกับบ้านกับของ อยู่กับเงินกับทอง แล้วก็ตาย

    เราตายแล้วจะไปไหนกันแน่ เราต้องตรวจดูให้ละเอียด จึงจะรู้เห็นด้วยตนเองว่า เมื่อจิตมันติดข้องยึดถืออันใดไว้ เราก็รู้จิตของเราไม่ติดข้องไม่ยึดถือเราก็รู้ ถ้าว่าเรามีสติรู้เท่าอยู่ได้เสมอไป มันก็ค่อยปล่อยค่อยละวางไปทีละเล็กละน้อย จะค่อยเบาบางลงไป จะได้เห็นแจ้งชัดขึ้นมาว่า ในตัวตนของเราของเขานั้นมันไม่มีอันใดจะเที่ยงแท้แน่นอนสักอย่างเดียว เป็นแต่เพียงอาศัยกันสืบไปจนวันตายเท่านั้น แล้วก็เป็นของคนอื่นไป หมุนวนเกี่ยวเนื่องกันอยู่อย่างนั้นไม่สิ้นไม่สุด เรื่องของจิตมันติดข้องหลายสิ่งหลายอย่าง เพราะฉะนั้นเราต้องประพฤติปฏิบัติให้มันเคร่งครัด เพื่อให้กิเลสตัณหามันเบาบางลงไปในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ ต้องประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อดับทุกข์ดับกิเลส
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    [​IMG]
    เรื่องโรคของกายของจิตมันติดข้องผูกพันกันอยู่ โรคทางกายเราก็ต้องรักษาพยาบาลให้มันหายขาด ถ้ามันไม่หายตายไปก็เผาไฟหรือฝังดินมันก็หายขาดได้ แต่โรคของจิตไม่เป็นอย่างนั้น หาวิธีแก้ได้ยากที่สุด เรื่องของกิเลสมันมีอำนาจมาก ทั้งเกิดขึ้นได้ง่ายและว่องไวที่สุด เราต้องพิจารณาให้มันเห็นกองทุกข์ของกิเลส คือ ความเร่าร้อนเศร้าหมองขุ่นมัวที่มันเกิดขึ้นภายในจิตของเรา เมื่อเห็นแล้วก็ต้องตั้งสติปัญญาซักฟอกชำระสะสางให้จิตใจของเราบริสุทธิ์สะอาด จะได้มีความเยือกเย็นไม่มีความเดือดร้อนเศร้าหมองขุ่นมัว

    เป็นเรื่องที่จะต้องใช้สติปัญญาเป็นเครื่องรู้เครื่องวัดสติปัญญาของเราที่ทำมาแล้ว ถ้ามันมีความเห็นผิดอยู่มันก็หลอกเรา หลอกให้คิด ให้พูด ให้ทำไปตามเรื่องที่ผิดอยู่อย่างนั้น หากเราไม่แก้ความหลงด้วยสติปัญญาให้มันเบาบางลงไปแล้ว เราก็ตายเปล่า คือ จะได้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในห้วงของกามเรื่อยไป ถ้าเราเกิดมาอีกก็มาเอาของเก่า มาหลงยึดหลงถือเอาของเก่า มาเอาดิน, น้ำ, ไฟ, ลมมาเป็นตนตัวมายึดถือไว้จะไม่ให้มันแก่ มันเจ็บ มันตาย ก็เลยเกิดทุกข์ขึ้นกับตัว ประเดี๋ยวก็สุขเกิดขึ้น ประเดี๋ยวก็เฉยๆ ประเดี๋ยวก็ทำดีประเดี๋ยวก็ทำชั่ว เอามาปรุงมาแต่งนึกคิดอยู่อย่างนั้นเรื่อยไปไม่สิ้นปรุงไปทางอดีตและอนาคต เดินมันก็ปรุง ยืนมันก็ปรุง นั่งมันก็ปรุง นอนมันก็ปรุงแต่งอยู่อย่างนั้น มันไม่อยู่เป็นปกติได้เลย เรื่องของจิตนั้นเมื่อเราพิจารณาให้เห็นความเป็นจริงอย่างชัดเจน แล้วอารมณ์ต่างๆ จะดับสลายไปเอง เหลือแต่ความว่างแทนที่

    เราไม่ควรเสียเวลาไปพิจารณาแต่เรื่องภายนอก ควรกลับเข้ามาพิจารณาภายในตัวตนของเรานี้ มองเข้าไปดูจิตให้รู้แจ้งเห็นจริงให้ได้ สติปัญญาที่เกิดจากการฝึกฝนอบรมพิจารณาตัวเองนี้เปรียบเหมือนกับของที่มีคมสามารถตัดกิเลสตัณหาให้มันขาดไปได้เป็นชั้นๆ ถ้าเราไม่เผลอสติมีสมาธิมั่นคง มันก็ตัดได้ ขั้นแรกเราต้องมีสติฝึกฝนอบรมจิตให้สงบระงับ ให้มันเป็นเรือนที่อยู่ของจิต ให้จิตของเราอยู่ในอำนาจของสติ แล้วก็คอยมองแต่จิตของตัวเองอยู่ทุกอิริยาบท เมื่ออายตนะผัสสะสัมผัสกัน อะไรจะเกิดขึ้นมาก็เห็นว่ามันไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ดับไป จิตก็เป็นปกติรู้อยู่อย่างนั้น แล้วก็พิจารณาอยู่ทุกอิริยาบท

    ขณะไหนจิตมีความตั้งมั่นได้เป็นระยะนาน มีสติมั่นคงอยู่อารมณ์อันเดียวจะมีกำลังใหญ่ให้รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาได้ เราไม่ต้องคิดว่าไม่รู้ ไม่เห็นไม่เป็น ว่าแต่ทำให้มันแท้ให้มันจริง มันก็จะรู้จะเห็นของจริง มีความสุขความสบายเอิบอิ่ม เบากายเบาจิต เพราะจิตมันวางจากกิเลสตัณหาได้ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดีกว่ามาทำกรรมไว้ ไม่ปล่อย ไม่วาง ไม่สะสางให้สะอาด ดีแต่ปล่อยให้จิตของเราสกปรกเพลิดเพลินไปตามกิเลสตัณหาหลงมัวเมาลืมตัวจนวันตาย

    [​IMG]

    จิตไม่มีตัวเราของเรา กายก็เป็นธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่ประกอบเข้าเป็นตนเป็นตัวขึ้นมา แล้วไม่นานก็แตกสลายลงไปสู่สภาพเดิมของเขาหมดทุกอย่าง

    เมื่อเราได้ค้นคิดพิจารณาเห็นเป็นชิ้นเป็นอันไปหมดดังกล่าวแล้วก็เห็นว่าเป็นหน้าที่ของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาไม่เที่ยงจริงๆ มันหมุนอยู่เรื่อยไปจึงไม่ใช่ของใคร เพราะว่าจิตของเราไม่รู้จักว่าเป็นของไม่เที่ยงมันจึงหลงไปยึดถือเอาของไม่เที่ยงจะให้มันเที่ยงก็เป็นทุกข์อยูร่ำไป เกิดมาตายเปล่าไม่มีคุณความดีติดตัวเลย น่าเสียดายเกิดมาแล้วขาดทุน ปล่อยให้จิตเรรวนไปตามความชั่วความเสียหายอยู่เรื่อยๆ

    วันคืนเดือนปีผ่านไปไม่ได้อะไรเป็นที่พึ่ง ไม่ได้ทำความดีให้ตัวเลย มีแต่หลงมัวเมาอยู่กับสิ่งภายนอกแล้วก็ตายไปอย่างน่าเสียดาย ไม่มีทาน ศีล ภาวนาอันใดเลย เดือนหนึ่งมีวันพระอยู่ ๔ วันเท่านั้น จะสละมาวัดมารักษากาย วาจา จิต ให้มันว่างจากตัณหาสักวันหนึ่งคืนหนึ่งก็ไม่ได้ มีแต่ติดข้องอยู่กับลูก กับหลาน กับบ้าน กับของ อยู่กับเงินกับทอง ติดข้องอยู่อย่างนั้นตลอดไป นี่แหละเรื่องกิเลสตัณหานี้มันผูกรัดติดต่อกันไม่ให้มีโอกาสเวลาทำความดีได้ อยากได้อันนี้ เมื่อได้อันนี้มาแล้วยังอยากได้อันนั้น ได้อันนั้นมาแล้ว ยังอันโน้นอีกต่อๆ กันไป ไม่มีวันจะพอ มีแต่ความติดข้อง วุ่นวายส่งส่าย เผาร้อนอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน ถึงกายมันจะพักผ่อนอยู่ก็ตาม แต่จิตมันไม่ได้พัก คิดปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้หยุดพักผ่อนเหมือนกาย

    เมื่อเราตายแล้วเขาเอาไปเผาไฟ หรือฝังดินก็หมดเรื่องของกาย แต่จิตมันเป็นโรคติดต่อเรื้อรังสืบภพสืบชาติไว้เป็นที่น่ากลัวมากที่สุด เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจเรื่องที่อธิบายมานี้แล้ว เราควรหันกลับมาอบรมฝึกหัดดัดนิสัยจิตของเราที่แต่ก่อนมันเคยคิดไปตามความโลภ ความโกรธ ความหลง บัดนี้เรามาฝึกฝนอบรมจิตให้คิดแต่ทางดี

    ไม่คิดอิจฉาริษยาใครทั้งหมด เป็นผู้มีเมตตาอารีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไม่มีแม้แต่ด่าว่าเสียดสีใครทั้งนั้น มีศีลธรรมประจำจิต กายก็เป็นปกติ วาจาก็เป็นปกติ ไม่หาเรื่องเดือดร้อนวุ่นวายกับใคร ถ้ามีผู้มาด่าว่าเสียดสีก็ต้อง ให้มีสติกำหนดอยู่ในลมหายใจเข้าออก หรือจะเพ่งอยู่กับพุทโธก็ได้ เพื่อไม่ให้จิตของเราไปเก็บเอาอารมณ์ที่ไม่ดีนั้นมา ทำให้จิตของเราเศร้าหมอง ขุ่นมัว วุ่นวาย ต้องให้สติปกครองจิตไว้อย่างมั่งคง ไม่ให้จิตเคลื่อนไหวเอนเอียงไปตามดีและชั่ว เรื่องที่มันเกิดขึ้นนั้นมันก็ดับไปเอง เพราะว่าเราไม่ได้ติดต่อไว้ ก็ไม่มีอะไรจะมาเกี่ยวข้องกับเราได้เลย จิตจะได้ว่างจากเครื่องกระทบกระเทือน เพราะว่าเรามีหลักยึดได้แล้วสติก็ละเอียดเข้าไป สมาธิก็มั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไป มีปิติความเอิบอิ่มสบาย กายก็เบา จิตก็สะอาดเยือกเย็น อย่างนี้เรียกว่า ให้อาหารจิต

    จิตก็มีความแช่มชื่น เบิกบาน มีความอิ่มหนำสำราญ มีกำลัง ประพฤติเช่นนี้เป็นการ เลี้ยงชีวิตชอบ ปัญญาเห็นชอบ คือ เห็นอยู่ในตัวของเรานี้ ตัวของเราก็คือสมุทัย จิตมันหลงก็หลงอยู่ในตัวสมุทัยนี้ และทุกข์มันมาจากตัวตนของเรานี่แหละ หากว่าจิตมันยังหลงยึดถือว่าตัวตนของเราอยู่แล้ว จำเป็นต้องมีทุกข์อยู่เรื่อยไป เพราะฉะนั้นควรฝึกฝนสติปัญญาของเราให้แก่กล้าเพื่อจะทนต่ออารมณ์ สู้กับทุกขเวทนาที่มันเกิดขึ้นมาสัมผัสจิตของเราให้เศร้าหมองขุ่นมัว อบรมให้มี สติปกครองจิต ให้ชำนิชำนาญ

    เวลาตาเห็นรูปก็ให้รู้เพียงแค่ตา หูได้ยินเสียงให้รู้เพียงแค่หู จมูกได้กลิ่นให้รู้เพียงแค่กลิ่น ลิ้นได้รสให้รู้เพียงแค่ลิ้น กายสัมผัสก็ให้รู้เพียงแค่กาย อย่าให้มันซึมลงถึงจิต เพียงแต่รับรู้ว่าสัมผัสเกิดขึ้นแล้วก็ผ่านไป ไม่มีอันใดมารบกวนจิตของเราได้ เพระว่าสติ สมาธิมั่นคงดี ปัญญาได้ค้นคว้าเห็นเรื่องของกิเลสตัณหาที่มันพาเราเป็นทุกข์มาแต่ก่อนโน้น และได้ถูกสติปัญญาของเราทำลายลงไปเป็นเรื่องของโลกตามเดิมของเขา ปัญญาได้รื้อออกและคืนให้โลกตามเดิมหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องผูกพันอยู่ในจิตของเราต่อไป เพราะว่าสติปัญญาของเราได้ทำลายตัวตนของสมุทัยให้มันแตกออกไปเป็นธาตุสี่ ขยายธาตุสี่ออกไปเป็นอาการสามสิบสอง มันเป็นของไม่เที่ยงทั้งหมด ไม่ว่ากายนอกและกายในที่จิตของเรามาอาศัยแอบอิงอยู่ทุกวันนี้ ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น เพียงแต่อาศัยกันไป แล้วจะได้พลัดพรากจากกันไปไม่วันใดก็วันหนึ่ง ในข้างหน้าไม่นานเลย

    เราไม่ควรอ้างกาลเวลา เราต้องตั้งสติให้มันเคร่งครัดลงไป ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน ทุกอิริยาบถ ให้มันมีสติอยู่เสมอทุกลมหายใจเข้าออก เราแก่อยู่ เจ็บอยู่ ตายอยู่ทุกเวลานาที

    คนเราส่วนมากไม่เห็นความแก่ เจ็บ ตายอยู่ภายในตัวของเรา เห็นแต่คนอื่นแก่ คนอื่นเจ็บ คนอื่นตาย เราไม่ได้โน้มเข้ามาหาตัวเราว่า เราก็จะต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเหมือนกับเขา เราไม่ได้พิจารณาในตัวเราเห็นแล้วก็แล้วไป ผ่านไป ก็เลยเห็นแต่คนอื่นเท่านั้น อันนี้เรียกว่าเป็นผู้ที่ไม่มีปัญญา มีตาไปดูก็ไม่มีผลเกิดขึ้นกับจิต มีหูไปฟังก็ไม่มีผลเกิดขึ้นกับจิต ก็เลยเป็นตาเปล่าหูเปล่า จิตที่ไม่มีสติปัญญามันก็เป็นอยู่อย่างนั้นเรื่อยไป จิตคิดว่าเรายังไม่แก่ เรายังไม่เจ็บ เรายังไม่ตาย แล้วก็เพลิดเพลินอยู่กับกิเลสตัณหาอย่างไม่รู้ว่าแก่ เวลาแก่มาถึง เจ็บมาถึง ตายมาถึงตัวของเราแล้ว ทีนี้เราจะทำอย่างไรถึงจะได้หลักที่พึ่งของเราได้ คนเราเกิดมาแล้วต้องรักตนของตนเท่านั้น

    ถ้าเรารักตนของเราอย่างแท้จริงแล้ว ก็ให้มีสติปกครองจิตไว้ไม่ให้คิดชั่วพูดชั่ว ทำชั่วใส่ตัวเรา ก็เป็นคนดี ดีไปหมดทุกอย่าง มีทาน ศีล ภาวนา แสวงหาทางออกจากทุกข์ มันถึงจะเป็นคนผู้รักตนอย่างแท้จริง และไม่ใช่รักแต่คนเดียวยังรักบิดามารดา รักครูบาอาจารย์ด้วย เราเป็นคนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบฝึกฝนอบรมกาย วาจา จิตของเราดีแล้ว ก็แปลว่า ผู้นั้นเป็นผู้รักษาพระศาสนาของพระพุทธเจ้าไว้ให้มั่นคงถาวรอยู่ได้ ไม่ให้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสื่อมสูญไป

    เพราะว่าพระองค์ทรงบัญญัติพระธรรมไว้ให้เอามาประพฤติปฏิบัติกาย วาจา จิตของเรา ไม่ให้มัวเมาหลงใหลอยู่กับกิเลสตัณหานี้จนเกินไป ทรงสอนให้เรามีสติมองเข้ามาดูจิตมันติดข้องที่ไหน เราจะได้แก้ไขตรงที่มันติดข้องอยู่นั้น เพื่อให้มันล่วงลงถึงใจดวงเดิมได้

    ถ้าสติ สมาธิไม่มั่นคง มันก็หลงไปติดข้องอยู่ใน กามฉันทะ มีความรักใคร่ยินดีอยู่ในกาม ถ้าตาเห็นรูปที่ไม่ดี หูได้ยินเสียงที่ไม่เพราะ จิตของเราก็เศร้าหมองขุ่นมัว เรียกว่า พยาบาท เจ้าของเพราะว่าไม่มีสติปัญญาจะชำระจิตใจให้สะอาด ถ้าพิจารณาอันใดก็ไม่แจ้งไม่ชัด ตื้อไปหมดอันนี้เรียกว่า ถีนมิทธะ เมื่อพิจารณาไม่แจ้งไม่ชัดจึงไม่สิ้นความสงสัยได้รียกว่า วิจิกิจฉา ติดข้องอยู่เรื่อย ไปทำบ้างไม่ทำบ้างลูบๆ คลำๆ เรียกว่า สีลัพพตปรามาส เพราะว่าจิตมันเกี่ยวเนื่องอยู่ในกาม มันก็เป็นนิวรณ์ข้องอยู่ใน กามฉันทะ มีความรักใคร่ยินดีอยู่ในตนในตัว หลงถือเอาไว้ เดี๋ยวมันก็เกิดทุกข์ขึ้น เดี๋ยวมันก็เกิดสุขขึ้น เดี๋ยวมันก็เฉยๆ เดี๋ยวก็จำโน่นจำนี่ จำอดีตอนาคต จำผิดจำถูกเอามาปรุงมาแต่งว่าดีว่าชั่ว มันหมุนกันอยู่เกี่ยวข้องกันอยู่ในกาม จึงได้เรียกว่า นิวรณ์ห้า เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งห้าอย่าง มันจึงไม่โยกคลอน ถอนได้ยากที่สุด หากว่าจิตมันยังหลงยึดหลงถือว่าตัวกูของกูอยู่แล้ว ก็แปลว่าจิตของเรายังมีภพมีชาติอยู่ต่อไป เพราะว่าเราไม่ได้แก้ไขกันให้ทันเวลาไว้ก่อนตั้งแต่ยังไม่แก่ไม่เจ็บ

    เราต้องเตรียมตัวอบรมฝึกฝนให้มีสติปัญญาแก่กล้า มีความสามารถอาจหาญ ไม่ท้อแท้อ่อนแอ ไม่ถอยหลังได้เลย มีแต่ตั้งสติสมาธิให้มั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไป จะได้เกิดปัญญาเห็นแจ้งเห็นชัดขึ้นมาจากจิตของเราเองทั้งนั้น มีทั้งดีทั้งชั่วอยู่ที่ในตัวเรา ถ้าว่าสติสมาธิแก่กล้า มีความสามารถอาจหาญตัดรอนกำลังของกิเลสตัณหาลงได้ เรียกว่า เอกัคคตารมณ์ มีอารมณ์อันเดียว ไม่ปรุงแต่ง

    สิ่งใดเกิดขึ้นในขณะนั้นสติปัญญาทำลายลงสู่สภาพเดิมของโลก ไม่มีอะไรที่มาเกี่ยวข้องผูกพันกับใจ ที่มันเป็นอยู่เป็นปกติของใจ เปรียบเหมือนกับน้ำมันที่เข้ากันไม่ได้เป็น เอกัคตาจิต จิตเป็นเอก จิตสูงกว่าเหนือกว่ากิเลสตัณหา จิตดวงนั้นไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหาอีกต่อไป เรียกว่า จิตสูงกว่าโลก ความเป็นจริงนั้นอยู่กับโลก แต่ไม่เป็นไปกับโลก

    เรื่องของโลกมันก็เป็นเรื่องของโลกอยู่แล้ว แม้เราไม่เกิดมามันก็มีอยู่อย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าเรารู้รอบรู้ทั่วแล้วเราก็ปล่อยวางไว้กับโลกตามเดิม หรือคืนให้โลกเขาหมดทุกอย่าง เหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยกำลังของสติปัญญาแก่กล้า ตัดกระแสนิวรณ์ได้ถึงใจเดิม เรียกว่า จิตถึงศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ มันก็สิ้นความสงสัยหมดทุกอย่าง

    แม้ว่าทีหลังมันจะติดข้องในที่ไหนเราก็ต้องใช้สติปัญญาตรวจค้นดูให้มันละเอียดถี่ถ้วนเข้าไป ไม่ให้มันเศร้าหมองขุ่นมัวอยู่กับเรื่องโลกชำระสะสางให้มันสะอาดอยู่เรื่อยไป ถ้าว่าสมาธิมั่นคงเข้า ไปเท่าไร ยิ่งหนักแน่นมีแยบคายเบื่อหน่ายกับเรื่องของโลกเท่านั้น มันวุ่นวายเดือดร้อน มีทั้งคุณมีทั้งโทษ มีทั้งบุญทั้งบาป มีทั้งสุขทั้งทุกข์ มีผิดมีถูก วุ่นวายอยู่อย่างนั้น น่าเบื่อหน่ายไม่ควรยินดีอยู่กับโลกนี้ มีแต่ของไม่เที่ยงทั้งหมด............... เอวํ



    ......................... เอวัง .........................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • test.jpg
      test.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.3 KB
      เปิดดู:
      233
    • test1.jpg
      test1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      23 KB
      เปิดดู:
      217
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post758130 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">15-10-2007, 10:07 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10842 </TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>sithiphong<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_758130", true); </SCRIPT>
    สมาชิก ยอดนิยม
    สมาชิกยอดฮิต



    วันที่สมัคร: Dec 2005
    ข้อความ: 16,062 <!-- Start Post Thank You Hack -->
    ได้ให้อนุโมทนา 19,221 ครั้ง
    ได้รับอนุโมทนา 90,417 ครั้ง ใน 12,294 โพส <!-- End Post Thank You Hack -->
    พลังการให้คะแนน: 10677 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]




    </TD><TD class=alt1 id=td_post_758130 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- message -->ช่วงนี้ งานผมเองค่อนข้างเยอะมาก ทั้งงานหลวงและงานราษฎร์ ผมขอลาพักร้อน พักงานบุญไว้ก่อน

    หลังปีใหม่(2551)นี้ ผมจะมาแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งว่า ผมจะมอบพระพิมพ์ไหนให้กับท่านที่ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้งอีกนะครับ


    ขอขอบคุณเพื่อนๆ น้องๆ ทุกๆท่านที่ให้กำลังใจนะครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
    <!-- / message --><!-- sig -->
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE class=tborder id=post759237 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid">เมื่อวานนี้, 11:09 PM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right>#10855 </TD></TR></TBODY></TABLE>
    รายนามท่านผู้ร่วมทำบุญสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ที่ผมยังไม่ได้ส่งพระพิมพ์ให้ ผมรบกวนตรวจสอบให้ผมอีกครั้งนะครับ ตามรายละเอียดนี้ ผมเองพิมพ์ไว้หลายแผ่น ก็เลยสับสนว่าส่งให้แล้วหรือยัง รบกวนด้วยนะครับ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    1.คุณPichet-m <O:p</O:p
    1.1ชุดหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 1 ชุด ( 5องค์ )
    <O:p</O:p
    2.คุณdrmetta<O:p</O:p
    2.1ชุดพระสมเด็จเนื้อผงยาวาสนา 1 ชุด ( 8 องค์ )<O:p</O:p
    2.2พระพิมพ์ไตรโลกอุดร เนื้อกรมท่า 2 องค์<O:p</O:p
    2.3พระพิมพ์พุทธประวัติ เนื้อสีขาว 4 องค์<O:p</O:p
    2.4พระพิมพ์พุทธประวัติ เนื้อสีขาวแตกลายงา 4 องค์<O:p</O:p
    2.5ชุดไกเซอร์ 1 ชุด ( 4 องค์)
    <O:p</O:p
    3.คุณtg22070<O:p</O:p
    3.1พระพิมพ์ไตรโลกอุดร เนื้อกรมท่า 1 องค์
    <O:p</O:p
    4.คุณเทพารักษ์<O:p</O:p
    4.1ชุดไกเซอร์ 1 ชุด ( 4 องค์ )<O:p</O:p
    4.2ชุดหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน 1 ชุด ( 5 องค์)<O:p</O:p
    4.3ชุดสมเด็จวังหน้า (เนื้อสีเดียว) 1 ชุด (6 องค์ 6 สี)<O:p</O:p
    4.4ชุดพระสมเด็จเนื้อผงยาวาสนา 1 ชุด ( 8 องค์ )
    4.5พระพุทธประวัติ เนื้อขาว 1 องค์
    4.6พระพุทธประวัติ เนื้อขาวแตกลายงา 1 องค์
    <O:p</O:p
    5.คุณpunnarphut<O:p</O:p
    5.1พระจิตรลดา (เนื้อกรมท่า องค์ซ้าย) 1 องค์<O:p</O:p
    5.2พระสมเด็จเนื้อขาวลงชาด(สีแดง) ไม่ใช่เนื้อจูซาอั้ง 1 องค์<O:p</O:p
    5.3พระพิมพ์พุทธประวัติ เนื้อสีขาวแตกลายงา 1 องค์
    <O:p</O:p
    6.คุณVodka109<O:p</O:p
    6.1พระสมเด็จ เนื้อปัญจสิริ 1 องค์<O:p</O:p
    6.2พระพิมพ์ไตรโลกอุดร (เนื้อกรมท่า) 1 องค์
    <O:p</O:p
    7.คุณdragonlord<O:p</O:p
    7.1พระพิมพ์พุทธประวัติ เนื้อสีขาว 1 องค์<O:p</O:p
    7.2พระพิมพ์ไตรโลกอุดร (เนื้อกรมท่า) 1 องค์
    <O:p</O:p
    8.คุณteerachaik <O:p</O:p
    8.1พระพิมพ์ท่านท้าวมหาพรหมชินะปัญจะระ 1 องค์ (สีน้ำเงิน)
    <O:p</O:p
    9.คุณactive<O:p</O:p
    9.1ชุดสมเด็จวังหน้า (เนื้อสีเดียว) 1 ชุด (6 องค์ 6 สี)<O:p</O:p
    9.2พระนาคปรก 2 องค์
    <O:p</O:p
    10.คุณพุทธันดร<O:p</O:p
    10.1พระนาคปรก 2 องค์
    <O:p</O:p
    11คุณThanyaka<O:p</O:p
    11.1พระพิมพ์ท่านท้าวมหาพรหมชินะปัญจะระ 1 องค์ (สีน้ำเงิน)<O:p</O:p
    11.2พระนาคปรก 1 องค์
    <O:p</O:p
    12คุณตั้งจิต <O:p</O:p
    13.คุณaries2947<O:p</O:p
    14.คุณchaipat

    ส่วนถ้ามีท่านอื่นที่ผมตกหล่นแจ้งให้ทราบอีกครั้งนะครับ

    โมทนาสาธุครับ<!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig --><!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    6.คุณchaipat 2 ท่าน

    รวมทั้งหมด 9 ท่าน
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    มีเรื่องฝาก 2 เรื่องคือ

    1.เรื่องพระพิมพ์ข้างต้นคงต้องให้รอ แจกเมื่อใดขอคิดอีกทีว่าจะส่งให้ยังไง เพราะไม่รู้ว่าจะเสกครบไตรมาส สุดท้ายของปีหรือเปล่า เพิ่งคุยกับพี่ใหญ่ ๆ บอกว่าก็ทำไปเรื่อยๆ ท่านข้างบนก็ลงมาตลอด ส่วนเรื่องการแจกได้แจ้งปัญหาให้ทราบแล้วคงไม่บอกอีก
    2.เรื่องพระพิมพ์วัดระฆังที่ให้จองในราคาไม่เกิน 300.-บาท ค่อนข้างจะแน่ชัดว่า ส่วนใหญ่ที่พี่วุฒิหาให้จะเป็นสมเด็จปีระกาทั้งหมด (ได้ข่าวจาก เดลินิวส์ตีว่าเป็นของปลอม) แต่พระพิมพ์วัดระฆังยังคงมีอยู่ ดังนั้น หากใครสละสิทธิ์ผมขอรับไว้คนเดียวทั้งหมดโดยไม่ว่ากัน เพราะตั้งใจแล้ว ประเภทใครไม่เก็บเราเก็บเอง สาเหตุก็คือเราอยากให้ได้พิมพ์แปลกๆ เก็บเอาไว้ และหากไปรับที่บ้าน อ.ประถม ก็นัดกับ อ.ปุ๊ไว้แล้ว ว่าจะสอนให้ดูเนื้อดูพิมพ์ด้วยเลย
    อย่างที่บอก หากมันจะรวยด้วยเงิน 300.- โดยนำพระปลอมมาให้จอง10 องค์ ก็ 3000.- นับว่าเสียชาติมนุษย์แท้ๆ หรือหากใครยังอยากได้พิมพ์วัดระฆังต้องรีบยืนยันมาภายในวันเสาร์ที่ 20/10 นี้ เพราะพี่วุฒิจะนำพระทั้งหมดมาให้ในวันอาทิตย์ที่ 21/10 ครับ จะได้รีบแจ้งให้พี่วุฒิทราบก่อน รายชื่อที่จองเดี๋ยวจะสรุปอีกครั้งหนึ่งครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...