ขอคำแนะนำเรื่องพระสอนสมาธิครับ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ปลาแมว, 16 เมษายน 2013.

  1. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    คืออยากทราบว่า มีพระปฏิบัติท่านใดที่รู้วาระจิตว่าบุคคลใดควรสอนสมาธิแบบใดมั้ยครับ เพราะผมได้ทดลองปฏิบัติมาหลายรูปแบบแล้ว ทั้งแบบลมหายใจ แบบสวดมนต์เป็นร้อย ๆ จบ แต่ผมก็ยังไม่เคยได้สมาธิแบบเป็นเรื่องเป็นราว หรือเห็นอะไรเลยครับ เห็นแต่ความมืด ผมเลยอยากขอคำแนะนำจากพระปฏิบัติน่ะครับ เผื่อจะทราบว่าผมปฏิบัติทางไหนถึงจะไปได้เร็ว

    จะเป็นพระที่ดังหรือยังไม่ดังก็ได้นะครับ หากไม่ดังก็จะดีครับ เพราะพระที่ดังมาก ๆ ส่วนมากท่านจะมีลูกศิษย์เยอะ โอกาสเข้าหาเพื่อปรึกษาและขอคำแนะนำเป็นการส่วนตัวน่าจะยากถึงยากมากครับ

    ไอ้ความรู้ธรรมะที่ผมมี มันเป็นแนวอ่านหนังสือกับใช้สมองทำความเข้าใจเป็นหลัก รู้หมดว่าอะไรเป็นอะไรแต่ปฏิบัติสมาธิเอาแค่สมถะยังไม่ถึงไหนเลยครับ วิปัสสนายิ่งแล้วใหญ่ครับ ขอบคุณครับ
     
  2. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    อานุภาพของศีล

    ๑. หากศีลไม่บริสุทธิ์ ความหวังเรื่องสมาธิ หรือมรรคผล ย่อมไม่เกิด ถือเป็นกฎตายตัว พระองค์สอนหลักการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาไว้ ๓ ประการ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ซึ่งย่อมาจากอริยมรรค ๘ นั่นเอง
    ๒. “พระอินทร์ท่านว่า กลิ่นของศีลของพระพุทธเจ้านั้นหอมทวนลม หอมมาก จนกลบกลิ่นพระบังคนหนัก (ขี้หรืออุจจาระ) ของพระองค์หมด ท่านจึงไม่รังเกียจที่มาคอยเทพระบังคนหนัง (ขี้) และพระบังคนเบา (เยี่ยว) ให้พระพุทธเจ้า”
    ๓. “บุคคลใดที่มีศีลบริสุทธิ์ จึงเป็นที่รักของสัตว์-คน-เทวดา และพรหม”
    ๔. “ศีลเป็นด่านแรกของการปฏิบัติพระกรรมฐานในพุทธศาสนา”
    ๕. “ศีลเป็นด่านแรกของการป้องกันอบายภูมิ ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดียรัจฉาน”
    ๖. “ศีลจะบริสุทธิ์ได้ ต้องอาศัยมีสมาธิคุม
    สมาธิจะทรงตัวได้ ต้องอาศัยศีลบริสุทธิ์
    คนใดไร้ปัญญา คนนั้นหาศีลไม่ได้
    คนใดไร้ศีล คนนั้นมีสมาธิตั้งมั่นไม่ได้
    คนใดไร้สมาธิ คนนั้นไม่เกิดปัญญา”
    ดังนั้นศีล-สมาธิ-ปัญญา จึงสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน แยกจากกันหรือขาดตัวหนึ่งตัวใดไม่ได้ มิจฉาทิฎฐิจะเกิดกับจิตผู้นั้นได้ตลอดเวลา
    ๗. “ผู้ใดจิตทรงศีลเป็นปกติจนเกิดสมาธิเอง ชื่อว่าเป็นสีลานุสสติ เป็นผู้เข้าถึงไตรสรณคมณ์อย่างแท้จริง”
    ๘. ประโยชน์ของศีลหรือผลของศีลที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
    ก) สีเลนะ สุคติง ยันติ ปัจจุบันอยู่ก็เป็นสุข ตายไปก็เป็นสุข เกิดใหม่ก็เป็นสุข
    ข) สีเลนะ โภค สัมปทา ปัจจุบันจะไม่อดตาย, ตายไปก็มีอริยทรัพย์มาก, เกิดใหม่ก็มีทรัพย์
    ค). สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ศีลเป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพานได้ง่าย
    พระองค์ทรงรับรองถึงขนาดนี้ ผู้มีปัญญาเท่านั้นจึงจะเข้าถึงพระนิพพานได้
    ๙. ทรงตรัสไว้ว่า “คนที่ควรยกย่อง คือ ภิกษุที่ไม่ถูกตำหนิเรื่องศีล”
    ๑๐. ทรงตรัสว่า “ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์ ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์ ศีลมีในบุคคลใด ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น ศีลเป็นของบุคคลผู้มีปัญญา, ปัญญาของบุคคลผู้มีศีล, ศีลกับปัญญา เป็นยอดในโลก”
    ๑๑. พระสารีบุตรเทศน์ว่า “คนที่มีศีลแล้วทำบุญ หากตั้งใจจะไปเกิดที่ไหนก็มีผลตามนั้น เหตุเพราะความบริสุทธิ์ของศีล”
    ๑๒ “คุณสมบัติของพระโสดาบันในสังโยชน์ ๓ ข้อแรกนั้น ข้อที่เป็นหลักใหญ่ก็คือ การมีศีลบริสุทธิ์ตลอดเวลา”
    ๑๓. “ผู้ใดมีธรรม ๔ ประการในตน และรักษาไว้ได้ไม่เสื่อม ชื่อว่าประพฤติใกล้พระนิพพานแล้ว ธรรม ๔ ประการนั้นก็คือ ๔ ข้อในจรณะ ๑๕ ” (ศีลสังวร, อินทรีย์สังวร, โภชเนมัตตัญญุตา และชาคริยานุโยค ๒ ข้อแรก สำรวมเรื่องกาม ข้อที่ ๓ สำรวมเรื่องการกิน ข้อที่ ๔ สำรวมเรื่องการนอน)
    ๑๔. “ศีลไม่บริสุทธิ์ สัมมาสมาธิก็ไม่บริบูรณ์ สัมมาญาณก็ไม่เกิด สัมมาวิมุตติก็ไม่มี ดังนั้น ศีลจึงเป็นรากฐานใหญ่ของการปฏิบัติในมรรค ๘ (ศีล-สมาธิ-ปัญญา) มิจฉาทิฎฐิ หรือสัมมาทิฎฐิ จึงมีศีลเป็นเครื่องวัด”
    ๑๕. “พระพุทธองค์ตรัสแก่อนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า สมัยที่ท่านเป็นพราหมณ์ได้ทำทานมามาก แต่ผู้รับทานไม่ใช่ทักขิไณยบุคคล หมายถึงบุคคลที่ไม่มีศีล ไม่ใช่พระอริยเจ้า ทำให้อานิสงส์ของทานมีน้อย ถ้าผู้รับบริสุทธิ์มากเท่าใด ผลของทานจะคูณด้วย ๑๐๐ ตามลำดับ” (ต่ำที่สุดจนถึงสูงที่สุดที่ทรงตรัสไว้โดยย่อ ๆ ดังนี้ ทำบุญหรือทำทานกับสัตว์เดียรัจฉาน ๑๐๐ ครั้ง สู้ทำบุญกับคนไม่มีศีลหนึ่งครั้งไม่ได้ ตามลำดับขึ้นไป มีผลคูณด้วย ๑๐๐ เท่าตามลำดับ คือ ทำบุญกับคนมีศีล-กับพระอริยเจ้า ๘ ระดับ คือ พระโสดาปัตติมรรค-พระโสดาปัตติผล จึงถึงพระอรหันตผล ถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า-พระพุทธเจ้า-ถวายสังฆทาน-วิหารทาน-ธรรมทาน และสูงที่สุด คือ อภัยทาน ความจริงแล้วทรงตรัสไว้ละเอียดยิ่งกว่านี้ อีก แต่ขอเขียนไว้แต่พอประมาณเพื่อให้จำง่าย ๆ เท่านั้น ผู้มีปัญญาจึงเลือกทำบุญ เพื่อให้ได้บุญมาก ๆ ไว้ก่อน ส่วนใหญ่จึงมักถวายสังฆทานกันเป็นส่วนใหญ่ สรุปว่า บุคคลในโลกนี้จะหาคนที่มีศีลบริสุทธิ์เท่ากับพระพุทธเจ้านั้นไม่มี)
    ๑๖. “ศีลสร้างคนให้เป็นพระได้ หรือสร้างสมมติสงฆ์ (นักบวช) ให้เป็นพระอริยเจ้าได้”
    ๑๗. “ผู้มีศีลบริสุทธิ์ตลอดเวลา จึงเท่ากับพกพระไว้กับตัวตลอดเวลา” (หมายความว่าบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หรือเด็กตั้งแต่อายุ ๗ ขวบขึ้นไป หากรักษาศีลจนกระทั่งศีลรักษาจิตเขาไม่ให้กระทำผิดศีลอีก บุคคลนั้นไม่มีทางจะตกนรกอีก (อบายภูมิ ๔) ตลอดกาล เพราะจิตดวงนั้นได้เป็นพระเบื้องต้นในพระพุทธศาสนา คือ พระโสดาบัน จึงเท่ากับพกพระภายในไว้กับจิต เป็นวัตถุมงคลภายใน ในมงคล ๓๘ ซึ่งพระองค์ทรงตรัสสอนไว้อยู่อันดับที่ ๒๙ (การเห็นสมณะหรือพระภายใน จัดเป็นอุดมมงคล หรือเอาจิต เอาปัญญาของเราเห็นพระ ไม่ใช่เอาลูกตาเห็นพระ) ซึ่งไม่มีการเสื่อม หรือสลายตัว หรือถอยหลัง หรืออนัตตาตลอดไป ต่างกับการสร้างพระภายนอก ซึ่งพวกเราซึ่งมีศรัทธาเข้ามาในพุทธศาสนา ต่างก็สร้างพระภายนอกกันมาเป็นอสงไขยชาติ สร้างแล้วสร้างอีก พระภายนอกในที่สุดก็เสื่อม-แตก-พัง-สลายตัว หรืออนัตตาทุกครั้งไป จึงสู้สร้างพระภายในไม่ได้ ผู้มีปัญญาท่านเชื่อพระพุทธเจ้าจริงด้วยการปฏิบัติ โดยการตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกให้ได้ ซึ่งความสำคัญอยู่ที่ข้อ ๓ คือ รักษาศีลจนศีลรักษาเรา (จิต) ให้เป็นสีลานุสสติเท่านั้นเอง พระภายในก็เกิดขึ้นมั่นคงถาวรตลอดกาล รายละเอียดมีมาก ขอกล่าวไว้เพียงเท่านี้)
    ๑๘. “เมตตาเป็นอาหารของศีล หรือพรหมวิหาร ๔ เป็นอาหารของศีล-สมาธิและปัญญา”
    ๑๙. “ศีลนำไปสู่ความมีหิริ-โอตตัปปะ” (หมายความว่าศีลเปลี่ยนคนซึ่งแปลว่ายุ่ง ชอบสร้างแต่ปัญหา ขยันหาทุกข์ใส่ตัวให้มาเป็นมนุษย์ซึ่งแปลว่าประเสริฐ แต่มนุษย์ยังมีคุณธรรมต่ำกว่าเทวดา ซึ่งมีหิริและโอตตัปปะเป็นคุณธรรม จะเข้าใจดีให้ศึกษาเรื่องอนุปุพกถา ๕ ซึ่งพระองค์ทรงตรัสสอนบุคคลกลุ่มใหญ่บ่อย ๆ ให้มีดวงตาเห็นธรรมกันมากมาย) (อนุปุพกถา ๕ มีทานกถา, ศีลกถา, สักกะกถา, โทษของกาม หรือ กามกถา, และ เนกขัมมกถา หรือ คุณของการออกจากกาม)
    ๒๐. ทรงตรัสกล่าวถึง โทษแห่งศีลวิบัติของคนทุศีลไว้ ๕ อย่าง คือ
    ก) ย่อมเสื่อมโภคทรัพย์เพราะความประมาท
    ข) ย่อมเสียชื่อเสียงไปในทางไม่ดี
    ค) ย่อมเข้ากับใครไม่ได้สนิท
    ง) ย่อมหลงตาย
    จ) ตายแล้วย่อมไปสู่ทุคติ
    ส่วนคุณของศีลก็มี ๕ ข้อ มีผลตรงข้ามกับโทษของศีล
    ๒๑. ทรงตรัสไว้มีใจความว่า “การให้ทาน ๕ อย่าง หรือการให้ศีล ๕ นี้จัดเป็นมหาทาน อันบัณฑิตรู้ว่าเป็นเลิศของทาน ซึ่งมีมานานแล้ว จัดเป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะ”
    ๒๒. เป็นข้อสรุป “อานุภาพของศีล”
    ศีลเป็นกำลังอย่างไม่มีที่เปรียบ, ศีลเป็นอาวุธอันสูงสุด, ศีลเป็นเครื่องประดับอันประเสริฐ, ศีลเป็นเกราะอันอัศจรรย์, ศีลเป็นคุณ รวมกำลังเป็นเลิศ, ศีลเป็นเสบียงเดินทางอย่างสูงสุด, ศีลเป็นผู้นำทางอย่างประเสริฐ, ศีลเป็นเครื่องขจรไปทั่วทุกทิศ, ศีลเท่านั้นที่เป็นเลิศในโลก, ส่วนผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้มีศีล, ศีลเป็นผู้ชนะในหมู่มนุษย์และเทวดา เพราะศีลและปัญญาเป็นธรรมคู่กัน, ศีลเป็นรากฐานของการบำเพ็ญเพียรภาวนา
    - การภาวนาถ้าไม่มีฐาน คือ ไม่มีศีลรองรับ ก็ยากที่จะสำเร็จได้ หรือไม่มีทางสำเร็จ
    - ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
    - ศีลเป็นประมุขของธรรมทั่วไป จึงควรพากันชำระศีลให้บริสุทธิ์
    - ศีลเปรียบเสมือนรากแก้วของต้นไม้
    - ศีลเป็นคุณสมบัติของพระและฆราวาส คนจะเป็นพระได้อยู่ที่ศีล ฆราวาส ก็เช่น พระโยคาวจรและพระโสดาบัน เป็นต้น
    - ศีลรักษาง่าย ถ้าผู้นั้นเห็นโทษของการทำบาปจริง ๆ (คือเห็นและเข้าใจเรื่องกฎของกรรม)
    - ศีลเป็นเครื่องวัดความดีของหมู่สัตว์
    - ศีลเป็นทรัพย์อันประเสริฐ-ไม่อด-ไม่จน-มีอริยทรัพย์
    - ศีลส่งเสริมความดีให้กับผู้รักษาตั้งแต่ต้นจนอวสาน สร้างคนให้เป็นพระ
    - ศีลสร้างพระธรรมดา ให้เป็นพระอริยเจ้า และพาส่งให้เข้าถึงพระนิพพาน
    - ใครมีศีล เท่ากับพกพระไว้กับตัว ไปไหนก็มีพระไปด้วย มีวัตร (วัด) ไปกับตัว เป็นมงคล เป็นของประเสริฐ
    - เมตตาเป็นอาหารของศีล ผู้ใดเจริญเมตตา ศีลไม่มีขาด
    - ศีลนำไปสู่ความมีหิริ โอตตัปปะ
    ดังนั้นผู้ใดอ่านข้อที่ ๒๒ เพียงข้อเดียว และจำได้ แล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดมรรคเกิดผล ก็เท่ากับรู้เรื่องศีลตั้งแต่ข้อที่ ๑-๒๑ ได้ทั้งหมด
    พระพุทธองค์ทรงตรัสแก่พระอานนท์ว่า " ดูกรอานนท์ ศีลที่เป็นกุศล ย่อมถึงอรหันต์โดยลำดับด้วยประการดังนี้แล "
     
  3. wayokasin

    wayokasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +277
    การทำสมาธิทั้งหลาย วิธีการมีมากมาย ต่าง ๆกันไป สุดท้ายก็เพื่อดับทุกข์ คนเรานิสัยจริตไม่เหมือนกัน การปฏิบัติจึงต่างกัน เป็นไปตามบารมี บางท่านก็ อภิญญา 6 บ้าง ก็ อภิญญา 3

    ท่านจะเอาพุทโธ สัมมาอะระหัง ยุบหนอ พองหนอก็ได้ จะหายใจเข้าบอกว่าโต๊ะ หายใจออกเป็นเก้าอี้ ก็ได้ จะนั่งท่าไหน ก็ ตามใจ เพราะเราอยู่ในกุฏิ ในห้องส่วนตัว จะบริกรรม ในใจอะไร ก็ ได้ เอาที่เราถนัดที่สุด และสงบได้ไวที่สุด เราไม่ได้มานั่งเอาขั้น ว่าคนนี้ปฏิบัติได้สมาธิขั้นโน้น ขั้นนี้ เอาอุปจาระ หรือมาเอาฌาณ ทำฤทธิ์เดชอะไร มานั่งแข่งกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นมิจฉามาอวดกัน

    ผู้เขียน: หลวงพ่อครับทำไมมันไม่มีรูปแบบอะไรเลย

    พระอาจารย์ : พวกท่านปฏิบัติกันเพื่ออะไร เพื่อยึด หรือ เพื่อวาง ไปใส่ใจอะไรสงบ ก็ช่าง ไม่สงบ ก็ช่าง ขี้เกียจ ก็ทำ ขยัน ก็ทำ อยากก็ทำ ไม่อยาก็ทำ เรามีหน้าที่ปฏิบัติ ก็ทำไปจะไปใส่ใจอะไร... ก็ท่านไปอยากกับมัน ที่มันไม่สงบ ก็เพราะความอยาก.. อยากจะให้มันสงบ มันไม่ยอมสงบให้หรอก อยากได้ฤทธิ์ อยากเห็นไอ้นั่นไอ้นี่ ของอย่างนี้ยิ่งนิ่งยิ่งชัด จะเห็นอะไร-ไม่เห็นอะไรก็ปล่อยมัน ยิ่งอยากมากก็จะยิ่งไม่ได้ พุทโธจะหายไปก็ช่าง ให้มีสติอยู่กับตัว ไม่ต้องไปนั่งท่อง คอยดูมันไป พอท่านหยุดท่องสติก็จะขาดทันที ท่านจะปฏิบัติต่อได้มั้ย

    ผู้เขียน: แล้วการอ่านตำราแล้วไปปฏิบัติช่วยได้มั้ยครับ ?

    พระอาจารย์ : รู้จักคำว่า "เข้าใจแต่ไม่เข้าจิตมั้ย" มันรู้ทุกอย่างแต่รู้เข้าไปในสัญญา(ความจำ) หมด แต่จิตมัน ก็ยังโง่เป็นควายอยู่เหมือนเดิม รู้โดยสัญญาแต่จิตไม่รู้เรื่อง... มันรู้ไปหมดแต่ละ อะไรไม่ได้เลย ก็ พวกท่านไปอ่านตามตัวหนังสือที่เค้าปฏิบัติกันมา เค้าก็บอกมาว่ามันเป็นอารมณ์อย่างงั้น อย่างงี้ ถ้านั่งอ่านแล้วมันสำเร็จได้ เค้าไม่มานั่งปฏิบัติกันหรอก จะมานั่งอดตาหลับขับตานอนกันทำไม

    ผู้เขียน: ก็แปลว่าต้องไปทำดูเองใช่มั้ยครับ ก็ผมอยากรู้นี่ครับมันเป็นยังไง

    พระอาจารย์: น้ำแดงของผมเนี่ยมันอร่อยมั้ย

    ผู้เขียน : อร่อยครับ

    พระอาจารย์ : ท่านรู้ได้ไงว่ามันอร่อย

    ผู้เขียน : ก็ผมเคยกินมัน ก็ต้องอร่อย น้ำแดงที่ไหน ก็เหมือน ๆ กัน ครับ

    พระอาจารย์ : ไม่ใช่ ผมหมายถึงน้ำแดงแก้วนี้ ในมือผมเนี่ย ท่านเคยมากินน้ำแดงแก้ว เดียวกับผมหรือ ? ถ้าผมใส่เกลือ ใส่น้ำปลาลงไปล่ะ ยังอร่อยอยู่มั้ย

    ผู้เขียน: ไม่อร่อยแล้วครับใส่อย่างอื่นในแก้ว ผมกินไม่ไหว

    พระอาจารย์ : แต่ผมอร่อย ผมกินได้ ท่านไม่ชอบก็เรื่องของท่าน การปฏิบัติ ก็เหมือนน้ำแดงนี่แหละ ของใครของมัน แก้วใครแก้วมัน ท่านจะมาเอาอย่างผม หรือ พระรูปอื่นในวัดไม่ได้เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน คน ๆ นั้นต้องไปกินดูเอง ทำเอง ไปทำมาก่อนแล้วค่อยถาม ชอบมาถามแต่ไม่ยอมทำ ขี้เกียจปฏิบัติแต่อยากเก่ง ทำฤทธิ์ ทำเดช ท่านชอบ เล่นฤทธิ์ถ้าไม่ปฏิบัติเลี้ยงมันไว้ ทุกอย่างก็เสื่อมหมด ทำไมไม่เอาธรรมะ ได้ธรรมแล้วไม่เสื่อมนะเราเอา ธรรม ไม่ดีกว่าหรือ ?

    เราจะไปรู้หรือว่าจิตมันจะพิจารณา ธรรม ได้ได้ตอนไหนอาจวันนี้ พรุ่งนี้หรือเมื่อไร ไม่มีใครรู้ ท่านจะไปเอายอด แต่ฐานยังไม่แน่น เอาสมถะภาวนานี่แหละให้มันแข็งก่อน
    เดี่ยวพอทุกอย่างพร้อมสมาธิมันถึง จิตมันมีกำลัง มันก็จะพิจารณาของมันเอง จะปฏิบัติสำเร็จตอนไหน จิตจะพิจารณาได้ตอนไหน มันไม่บอกท่านหรอกที่ผมให้พวกท่านปฏิบัติเนี่ย ก็เพื่อรอมัน คือเราสร้างฐานมันเอาไว้าก่อน

    ผมยังจำคำสอนของพระอาจารย์ได้ดี สมัยตอนผมเป็นพระอยู่ป่าสนุกมาก ครับ​


    หวังว่าจะเป็นประโยชน์กันทุกท่านได้บ้าง ;aa10catt9
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 เมษายน 2013
  4. พงศ์ภูพาน

    พงศ์ภูพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มกราคม 2013
    โพสต์:
    570
    ค่าพลัง:
    +4,432
    "คุณ ปลาเเมว ผมตอบเรื่องจะไปกราบหลวงปู่ ขาวเเล้วนะครับ".......... ถ้าไม่ใด้รับข้อความ เเจ้งด้วยครับ....หากใดัรับ เเล้ว ก็ ลองโทรสอบถาม ...คุณ เอกชัย ....ท่านอีกทีนะครับ ....เพื่อ ถ้ามีความประสงค์ จะเดิน ทาง ...จะใด้ไปในวัน ที่..หลวงปู่ท่าน อยู่นะครับ........ขอให้โชคดีครับ.......(ใด้ทราบ ว่าเลี้ยง เเม่อยู่ ..."ขอ อภิโมทนา"..ในความกตัญญู..)
     
  5. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ปฏิบัติ เพื่อต้องการสิ่งใดครับ
     
  6. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ปฏิบัติเพื่อต้องการความสำเร็จในทางโลกครับ
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้าเพื่อความสำเร็จในทางโลก

    ก็ให้ศึกษาปัญญาในทางโลกเข้าไว้ และประยุกต์ใช้เยอะๆ
    ใช้ให้คล่อง ในศาสตร์ และ ศิลป์ ทั้งหลาย ในสมมติทั้งหลาย ที่ทางโลกเขานิยมกันครับ
     
  8. ปลาแมว

    ปลาแมว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +797
    ขอบคุณครับ แต่ผมได้ลองทุกวิถีทางในทางโลกที่พอจะนึกได้ เท่าที่ปัญญาจะทำได้แล้วครับ แล้วก็พบว่า มันเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ได้ผล และไม่จบสิ้นครับ
     
  9. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ถ้าอยากได้ผลดีในทางโลก มันก็ต้องเป็นเช่นนั้นแหละ มันต้องแก้ปัญหาไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น อันนั้นถูกต้องแล้ว เพราะมันเป็นเช่นนั้นเอง

    ดังนั้นแล้ว ถ้าเห็นว่าปัญหาทางโลก มันไม่มีวันจบสิ้น อันนั้นก็เป็นปัญญาทางธรรมแล้วหละครับ ถ้าจะแก้ปัญหาให้ทุกอย่างจบสิ้น ก็ต้องแก้ด้วยทางธรรม ครับ
     
  10. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    ถ้าเจอพระปฏิบัติชอบ พระท่านคงบอกว่า ขอให้โยมจงรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ครบทุกข้อก็พอโยม
     
  11. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    คนที่เขากำลังมาถึงชั้นของการปฏิบัติ

    จะบอกให้เขากลับไปรักษาศีล มันไม่ใช่เรื่องหรอก...

    เหมือนกับขึ้นชั้นมัธยมแล้ว บอกให้เขากลับไปเรียนประถม มันไม่ถูกหรอกนะ
     
  12. J47

    J47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    500
    ค่าพลัง:
    +3,405
    การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ คงจะไม่ใช่ความรู้ประถมหรอกครับ ลองรักษาดูนะครับ

    “ศีลไม่บริสุทธิ์ สัมมาสมาธิก็ไม่บริบูรณ์ สัมมาญาณก็ไม่เกิด สัมมาวิมุตติก็ไม่มี ดังนั้น ศีลจึงเป็นรากฐานใหญ่ของการปฏิบัติในมรรค ๘ (ศีล-สมาธิ-ปัญญา) มิจฉาทิฎฐิ หรือสัมมาทิฎฐิ จึงมีศีลเป็นเครื่องวัด”
    "หากศีลไม่บริสุทธิ์ ความหวังเรื่องสมาธิ หรือมรรคผล ย่อมไม่เกิด ถือเป็นกฎตายตัว พระพุทธองค์ทรงสอนหลักการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาไว้ ๓ ประการ คือ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ซึ่งย่อมาจากอริยมรรค ๘ นั่นเอง "
    "ศีลเป็นกำลังอย่างไม่มีที่เปรียบ, ศีลเป็นอาวุธอันสูงสุด, ศีลเป็นเครื่องประดับอันประเสริฐ, ศีลเป็นเกราะอันอัศจรรย์, ศีลเป็นคุณ รวมกำลังเป็นเลิศ, ศีลเป็นเสบียงเดินทางอย่างสูงสุด, ศีลเป็นผู้นำทางอย่างประเสริฐ, ศีลเป็นเครื่องขจรไปทั่วทุกทิศ, ศีลเท่านั้นที่เป็นเลิศในโลก, ส่วนผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้มีศีล, ศีลเป็นผู้ชนะในหมู่มนุษย์และเทวดา เพราะศีลและปัญญาเป็นธรรมคู่กัน, ศีลเป็นรากฐานของการบำเพ็ญเพียรภาวนา(การภาวนาถ้าไม่มีฐาน คือ ไม่มีศีลรองรับ ก็ยากที่จะสำเร็จได้ หรือไม่มีทางสำเร็จ) "
     
  13. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    ลองสายมัชฌิมาแบบลำดับดูครับ จะเริ่มจากพื้นฐานการกำหนดปีติก่อนเลย แน่นดีครับ แต่ถ้าไม่ได้ปรารถนาประโยชน์ทางธรรมอะไรมาก คุณฝึกสหจะโยคะก็ได้นะครับ สหจะโยคะอย่างเดียวถ้าคุณตั้งใจปฏิบัติซึ่งไม่ซับซ้อนและทำได้ง่าย คุณก็มีความสุขไปจนวันตายแล้วล่ะครับ
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คือ เรื่องแบบนี้ อยากจะบอกว่า.........

    ไปทำทาน รักษาศีล ครับ


    เรียกว่า ไปสร้าง ทานบารมี ศีลบารมี ให้เต็มครับ

    แล้วก็ เริ่ม ปฏิบัติ สมาธิ ภาวนา ต่อไปเรื่อยๆ ตามปรกติ ครับ

    เริ่มต้นจากตอนนี้ไปเลยครับ

    ถ้าดูจากคำตอบของ จขกท แล้ว เพื่อ ผลทางโลก ต้องการความสำเร็จทางโลก นี่ ....


    แนะนำว่า ให้ จขกท สร้าง บุญ กุศลกรรม ให้มากๆ ครับ

    กฏแห่งกรรม สร้างกรรมอะไรไว้ ก็ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ครับ



    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2013
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ทำทาน รักษาศีล ครับ

    บารมีทานไม่ถึง รักษาศีลไม่ได้

    บารมี ศีลไม่ถึง ทำสมาธิภาวนา ไม่ได้ครับ
     
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ลองปฏิบัติตามดูนะครับ
     
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    การจะฝึกอภิญญาสมาบัติหรือกรรมฐานใดๆ ก็ตาม ต้องมีพื้นฐานมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ถ้าใครจะเริ่มต้นชาตินี้ก็อีกประมาณสัก ๔ - ๕ แสนชาติ น่าจะเริ่มได้เห็นผลบ้าง..!
     
  18. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แนะนำ จขกท ว่า ถ้าอยากปฏิบัติ

    ให้ไปบวชพระ ที่วัดท่าขนุน นะครับ


    .
     
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    และ ขอบอกส่วนตัว เพิ่มเติม นะครับ

    เวลาทำทาน หมายถึง ให้ทำทาน ในขอบเขต เขตบุญ ของ ศาสนาพุทธ ครับ

    เวลาทำ ก็ต้องเลือก เนื้อนาบุญ ฉลาดในการทำบุญ ด้วยนะครับ

    สังฆฑาน วิหารทาน ธรรมมะทาน 3 อย่างนี้ ทานที่ให้ผลมาก อนิสงฆ์มาก

    เวลาทำทาน ตามตู้บริจาคตามที่ต่างๆ ก็ให้วางกำลังใจ ว่า ทำทานทุกอย่างในศาสนาพุทธ แล้วค่อย สละบริจาคทาน ครับ

    หลังจากบริจาคทาน สร้าง ทานบารมีเสร็จ

    แล้วก็อย่าลืม อธิษฐาน ขอให้ผลบุญที่ข้าพเจ้าได้สละทานในครั้งนี้ ขอให้ได้รับ อนิสงฆ์ ผลบุญ ส่งผลให้ในชาติ ปัจจุบัน นี้ด้วยนะครับ

    ถ้าไม่ อธิษฐาน ก็ช่วยไม่ได้นะ เพราะบางคน บารมีไม่ถึง ก็แล้วแต่กรรมใครกรรมมัน

    การที่ อธิษฐาน ขอให้ส่งผลในชาติ ปัจจุบัน ก็เพื่อที่ว่า ให้ผลบุญที่เราได้ทำไว้ส่งผล ครับ เมื่อถึงวาระ มันก็จะช่วยมาหนุนให้เอง

    ถ้าไม่ขอ ผลก็อาจจะไปส่งผลชาติหน้า ชาติต่อๆไป ถ้ารอได้ก็แล้วแต่ตัวบุคคลนะ อิอิ


    แล้วเวลา รักษาศีล ทำสมาธิ ภาวนา ก็อย่าลืม อุทิศบุญ ด้วยนะครับ แล้วก็อย่าลืม อธิษฐาน ผลบุญ จากการรักษาศีล ทำ สมาธิ ภาวนา ให้ส่งผลในชาติปัจจุบัน ด้วยนะครับ

    และที่สำคัญ เวลาทำทาน รักษาศีล ภาวนา นั้น ทำด้วยใจบริสุทธิ์ ครับ ไม่ใช่ ทำเพื่อหวังสิ่งตอบแทน ก่อนจะทำอะไร ควรวางกำลังใจให้ บริสุทธิ์ ครับ

    แล้วเวลาอธิษฐานนั้น ก็เพื่อให้ ผลของบุญ นั้น ส่งผลในชาติ ปัจจุบัน ครับ


    ส่วนที่บอกว่า เวลาทำทาน ทำไมให้ อฐิฐานว่า ทำทานทุกอย่างในศาสนาพุทธ นั้น ก็เพราะว่า เวลาเราได้รับผลบุญตอบแทน เวลาผลบุญส่งผลนั้น เราก็จะได้ทุกๆอย่างตามผลบุญที่ส่งผล ที่ได้สละทานไปครับ

    แต่ถ้า บริจาคทาน แบบ กำหนด เช่น วิหารทาน สังฆฑาน เวลาผลบุญส่งผล เราก็จะได้แค่ผลของบุญ วิหารทาน สังฆฑาน เท่านั้น นั้นเองครับ


    และอีกอย่างนะ ไม่ใช่ว่าฟังผมแล้ว ทำแต่บุญใหญ่ๆ นะครับ

    มีโอกาส สร้างบุญ ที่ไหน ไม่ว่าจะ บุญเล็ก บุญน้อย บุญใหญ่ ถ้าทำได้ เก็บบุญให้เต็มทุกเม็ด ครับ อย่าไปคิดว่า บุญเล็ก นิดๆหน่อย ไม่ทำดี ไม่ช่วย

    มีโอกาสเข้ามา ทำแล้วได้บุญ ไม่ว่าอะไรก็ทำ ตามเก็บให้หมดครับ


    และอย่าลืมนะครับ พระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าได้ เพราะ อธิษฐานบารมี

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2013
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ระหว่างที่ รอเขาบอกกล่าว ขนานนามชื่อพระ ผู้มีฤทธิ์ ผ่าน อนุปสัมปบัน

    หาก คุณ จขกท ทราบชื่อพระแล้ว งาน แรกเลย คือ คุณต้องไปบอก
    พระก่อนว่า

    กระผม ได้ยินมาจาก ปากลูกศิษย์ ว่า ท่านเป็น ผู้อุตตริมนุษยธรรม
    ชื่อวิชาทายใจ ทายกรรมฐาน ได้แม่นยำอย่างนี้ๆ ข้าพเจ้าจึงมาหา

    ทำไมต้อง รายงานพระ

    เพื่อจะได้พิจารณาดูก่อนว่า พระท่านจะบอกว่าอย่างไร

    เช่น

    อ๋อ ศิษยคนนั้นเหรอ อืมๆ ศิษยคนนั้น เราเป็นคนบอก หรือ ใช้ หรือไหว้
    วานให้ช่วยบอกอุตริมนุษยธรรมที่มีในเราเองแหละ

    คือ ถ้าพระกล่าวข้างต้น พระก็จะต้องไป ปลงอาบัติก่อน เพราะ ละเมิดศีล

    แต่ถ้า พระ ทำท่า งงๆ เอ้ยศิษยคนไหนหว่า เราหามิได้ ใช้ไหว้วานให้
    ไปกระจายข่าว ว่าเรา หรือ วัดนั้นวัดนี้มีพระมีอุตริมนุษยธรรมอย่างงั้นอย่าง
    งี้จักหน่อย

    อันนี้ คนผิดศีล และ ทำลาย ทรัพย์ของพระ ของวัด ก็คือ ศิษย์ คนนั้นๆ
    แต่เพียงลำพัง

    ********************************

    ก็นะ ระหว่างที่ รอใครต่อใคร มาบอกกล่าว

    หันมาสนใจ สิ่งที่มีอยู่แล้ว จะดีกว่า

    เวลาคนเราศึกษาธรรมะ ทะลุปรุโปร่ง แล้ว นมสิการ ไปปฏิบัติแล้วผล
    ปรากฏว่า มืด ยิ่งปฏิบัติยิ่งมืด ยิ่งศึกษาได้วิธีมา ก็ยิ่ง มืด แปดด้าน
    ไม่พบเจอ ทางสะดวก ทางสบาย พอสมควรแก่ธรรมสำหรับตน อันนี้
    จริงๆ มีสาเหตุเดียว

    คือ เวลาเราอ่านแล้ว เราทราบผลของการปฏิบัติ อย่างนั้นอย่างนี้แล้ว
    ใจเรามันแล่นพรวดพราด " อยากได้ผลนั้น เร็วๆ "

    ความ " อยากได้ผล ตามที่ได้ยินมาว่าเลิศ เร็วๆ แบบ บัดเดี๋ยวนี้ " มัน
    ก็ไม่ได้เกิดขึ้่นเพราะ เราศึกษาธรรมมามาก

    แต่มันมีเหตุมาจาก " เราศึกษาธรรมแบบไม่ให้ความเคารพ "

    เหมือนเรา เข้าไปเรียน แล้วก็รีบๆ เลคเชอร์ พอจบคาบเวลา
    ก็โน้น วิ่งไปโน้น วิ่งไปเล่นกับโลก ไปอยู่กับโลก เอาโลก
    เป็นใหญ่กว่า

    เรียกว่า เห็นคุณค่าของการให้เวลาและชีวิตกับธรรม น้อยกว่า
    การให้เวลาและชีวิตนั้นกับโลก อาการแบบนี้ เรียกว่า " ไม่เคารพธรรม "

    พอไม่เคารพธรรมะ ก็เสร็จเลย เวลามาปฏิบัติธรรม ก็จะ ทำแบบรีบๆ
    อยากให้เสร็จ หรือ ผ่านธรรม ไปไวๆ แล้วเวลาที่เหลือ อานิสงค์ที่
    ได้ก็เอาไปแสวงหาผลประโยชน์จากโลก

    เช่น มานั่งปฏิบัติ จนหน้าตา ค่อนข้างเฉย ก็เอา หน้าตาเฉย ไปใช้
    ประโยชน์ในทางโลก มีตั้งแต่ หยิบของเขามาโดยยังคงมีอาการเฉย
    ที่ได้จากการฝึกสมาธิ ....ไปจนถึง การเอาความรู้ที่ได้จากการฟัง
    ธรรม เอาชื่อวิชา เอาเรื่องราวการทายใจ ของครูที่เล่าต่อๆ กันมา ไป
    กล่าวว่า ข้ารู้ พระนั้นมีวิชา พระวัดนั้นมีวิชา ข้ารู้ ข้าเห็น ข้าร่ำเรียน
    อยู่กับพระชื่อนั้น พระวัดนี้ เรียกว่า แอบเอาวิชาของคนอื่นมากล่าว
    เพื่อการโฆษณา เป็นต้น

    คนที่ไม่เคารพธรรมะ ก็จะมี ปรกติฝึกแล้ว ก็มืด

    วิธีฝึก หรือ ศึกษาธรรมให้ได้ผล จึงต้อง เป็นการ " ฝึกธรรมเพื่อธรรม "

    ระวังการ ตั้งจิต " ฝึกธรรมเพื่อฉกฉวยประโยชน์ทางโลก "

    ลองพิจารณาเข้ามาตรงนี้ แล้ว ลองฝึกใหม่ ใช้ความรู้เดิมนั่นแหละ
    เพียงแต่ " ตั้งจิตไว้ตรง " ต่อธรรม ไว้ให้ได้บ่อยๆ เป็นพอ

    แรกๆ จะยากส์หน่อย

    ร้อยละร้อยแหละ ฝึกแล้วเราก็มักเอาไปสนองโลก สนองกิเลส ยิ่งปฏิบัติ
    ก็มีแนวโน้ม มืด

    แต่เราก็ คอยสอดส่องของเรา ค่อยๆบริหาร จัดการ ปฏิบัติธรรมเพื่อธรรม
    เข้ามาทีละน้อย แล้วจะพบเลยว่า " ผลหนะเกิดตั้งเยอะแล้ว ไม่ใช่ไม่เกิด "
     

แชร์หน้านี้

Loading...