ผู้บำเพ็ญท่านใดเคยมีภาษาบาลีผุดขึ้นมาเองในจิตบ้างครับ!

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Norlnorrakuln, 21 เมษายน 2013.

  1. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ตั้งกระทู้เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ครับ :cool:

    เพราะเคยมีอยู่หลายครั้งเหมือนกัน เวลาที่เราเจออุปสรรคหรือเวลาที่เรากำลังทำความดี มักจะมีภาษาบาลีหรือบทธรรมะผุดขึ้นมาในจิตเราเอง โดยที่เรามิได้ตั้งใจคิดหรือจงใจปรุงแต่งขึ้นมา ซึ่งคำบางคำเราก็สามารถแปลและตีความหมายได้ แต่บางคำเราก็ต้องไปค้นหาความหมายเอง!
     
  2. silverraion

    silverraion Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +49
    ก้อ...ภาษากลางคือภาษาจิตบางที อาจเป็นวิธีที่ควรทำตอนนั้น เมื่อมีภาษาใดปรากฎไม่ต้องไปหาที่มา แต่ให้ลองเอาความรู้สึกของใจวัดดู แล้วจะรู้อะไรที่กายเนื้อสัมผัสไม่ได้อีกเยอะ
    ปล.ลองเองนะครับผมแค่ผ่านมา
     
  3. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ยกตัวอย่างคนรู้จักท่านหนึ่ง แกเป็นคนดีมากชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ส่วนมากจะถนัดใช้แรงกายของตนช่วยเหลืองานพระศาสนา อย่างงานทาสีองค์พระธาตุเจดีย์ที่ต้องเสี่ยงอันตราย แกก็เต็มใจปีนป่ายขึ้นไปทาสีกลางแดดที่ร้อนระอุเพียงลำพังคนเดียว!

    เขาสนทนากับข้าพเจ้าในขณะขับรถกลับจากงานบุญที่วัดแห่งหนึ่ง...

    "อิสสะมะมุมุ"มันคือคาถาอะไร? ดีหรือเปล่า?
    มีคนเขาบอกมาในขณะหลับ ให้ภาวนาในยามคับขัน!และระลึกถึงอยู่เสมอๆ

    ด้วยความรู้อันน้อยนิดของข้าพเจ้า เลยตอบออกไปตามความรู้สึกว่า อืม...น่าจะเป็นพระนามของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งนะ! หมายถึงผู้มีความเป็นอิสระจากบาปอกุศลมูล อะไรทำนองนั้น
    (จริงหรือไม่อย่างไรรบกวนท่านผู้รู้ช่วยเข้ามาร่วมอธิบายด้วยครับ):cool:
     
  4. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เยี่ยมไปเลยครับ :cool:

    ว่าแต่ จะไม่เล่าประสบการณ์ให้ฟังบ้างหรือครับ? :cool:
     
  5. silverraion

    silverraion Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +49
    พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เคยเหมือนกันค่ะ แต่นานหลายปีแล้วและเข้าใจซะด้วยค่ะ ผุดขึ้นมาในขณะที่จิตสงบและว่าง ว่างจริงๆ ไม่มีจิต ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวรู้ เป็นบาลียาวและเร็วมาก

    สอนเราเป็นภาษาบาลี อธิบายได้ว่า โลกนี้ไม่มีอะไรเลย ไม่มีขันธ์ห้า มีเพียงธาตุทั้งสี่ สุดท้ายธาตุทั้งสี่ก็ไม่มี มีเพียงว่าง

    เหตุที่มี ตัวตน บุคคล เราเขา เพราะความหลงเข้าไปยึดไว้ ว่ามี ว่าเป็น เกิดจากอายตนะหกรับสิ่งเร้าแล้วปรุงแต่งจากจินตนาการและมายา ให้เป็นโน่น นี่ นั่น ซึ่งก็คืออวิชชา (ความไม่รู้)

    ความจริงโลกนี้มีเพียงธรรมชาติ ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีผู้ใดเป็นผู้สร้าง มันเกิดขึ้นเอง ตั้งอยู่เอง และดับไปเอง หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น ในที่สุดก็ไม่มีอะไรเลย
    ทำให้ได้เห็นจริงในเรื่องของอนัตตา ณ ขณะจิตนั้นค่ะ

    ความรู้ที่ปรากฏขึ้นมานี้ มันละเอียดลึกซึ้งกว่านี้ค่ะ ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจเหมือนที่ตนเองเข้าใจได้

    เมื่อพิจารณาย้อนไปทำให้รู้ว่า ภาษาบาลีที่เกิดขึ้นนั้น คือความรู้ของจิตที่เคยได้รู้มาก่อนแล้วในอดีต และจิตได้บันทึกมันไว้ เมื่อปฏิบัติจนจิตละเอียดมากพอ ความรู้ต่างๆ ที่เคยเป็นเครื่องรู้ของจิตก็ผุดขึ้นมาเองค่ะ หากเราสามารถขัดเกลากิเลสสั่งสมในปัจจุบันชาติออกจากจิตได้มากกว่านี้ เราคงได้เห็นธรรมนั้นๆ เพิ่มขึ้นค่ะ

    แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ อยู่ในธรรมชาติทั้งหมดค่ะ ไม่ต้องไปแสวงหาจากที่อื่นเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2013
  7. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เยี่ยมไปเลย :cool:

    เคยได้อ่านหนังสือการปฏิบัติของสายพระปสุปฎิปัณโณมาเหมือนกับครับ ท่านให้คำจำกัดความไว้ว่า...

    เป็นลัษณะของ"พระธรรมมาสั่งสอน" เกิดเฉพาะผู้ปฎิบัติที่มุ่งความหลุดพ้นจากทุกข์จริงเท่านั้น... แต่คงมีข้อแตกต่างเฉพาะสำหรับท่านผู้ที่มุ่งสั่งสมทศบารมี คือ พระธรรมท่านจะมาสั่งสอนให้เหล่าโพธิสัตว์เกิดกำลังใจในการบำเพ็ญบารมีของตนในขณะนั้นๆ!
     
  8. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,717
    ...ออกมาจากจิต ออกมาจากศูนย์กลางกาย
    ...คำภาวนา "พุทโธ" ที่หลวงปู่หลวงพ่อสอนกันสืบๆมา แท้จริงก็ออกมาจากจิต ออกมาจากศูนย์กลางกาย
    .. พระธรรมทั้งหลาย คำภาวนาทั้งหลาย หลั่งไหลออกมาจากภายใน
    ...แม้การรู้เห็นโลก ภพภูมิทั้งหลาย และสภาวะทั้งหลาย ก็อยู่ภายในนี้เอง
     
  9. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool:มันไม่แน่นอนหรอกครับมีทั้ง ของแท้และของจริงเท็จๆจริงๆจริงๆเท็จๆ ของใครของมันครับ โดนหรอกก็เยอะ ได้จริงๆก้เยอะแยะไป ผมน่ะโดนหรอกมากกว่าของจริงๆ เมื่อก่อนบ่อยๆครั้งครับ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจออะไรๆเท่านไหร่ มีแต่ มารในใจ มากกว่าอย่างอื่นอีกครับ ตัวนี้น่ากลัวที่สุดจริงๆ มันผุดขึ้นมาสอนเราสารพัด เหมือนคล้ายเป็นกรรมของเรา ไปถาม ผู้รู้ เราบ้าไปหรือเปล่า ท่านบอกคนบ้ามันไม่รู้ตัวหรอกครับ


    บางครั้ง จะของจริงของปลอม ก็ไม่สน มาให้สอนให้ สวด ที่เราไม่รู้จัก ภาษา ในจิตผุดขึ้นมาบอก ภาษาเทพ บางครั้งบอก ภาษา คูโบ๊ตๆเบิดอะไรไม่รู้จัก ให้สวดก็สวด ไม่เสียหายอะไร ไม่ผิดอะไร บางครั้ง บอก เป็นภาษา สันตกฤษ ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่ บางครั้ง ถ้าไม่ยาว แปลออกมา เข้าในในขณะนั้น พอเลิก จำไม่ได้สักตัว ไปนอนเกราะสีชัง ผีเสื้อสมุทร ให้พระคาถา สวดไพรเราะเพราะพลิ้ง พอเลิก จำไม่ได้สักตัว เขาบอก เขาเป็นผีเสื้อสมุทร มันคือใคร มันผุดขึ้นมา ก้พวก เทวดา หรือนาง ฟ้าที่ดูแลทะเลน่ะครับจบครับ
     
  10. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool:เรื่องนี้มันเรื่องละเอียดอ่อนครับ ที่คุณว่ามา ผมก็เป็นและแบบนั้นจริงๆ ถ้าจิตเราเป็นสมาธิเมื่อก่อนครับ :cool:มันพลั่งพลูมาแบบ สายฟ้าแลบ เมื่อผ่านไป จำบ่อได้ ได้มาจำแค่ ตัวสองตัวเองอ่ะครับ:cool:
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไม่ทราบเหมือนกันค่ะว่าเรียกว่าอะไร เมื่อก่อนจะเน้นเรื่องปฏิบัติทุกลมหายใจ พุทโธแนบแน่นกับลมหายใจเข้าออก ทั้งหลับและตื่น อายตนะหกกระทบอะไรจะน้อมเข้ามาพิจารณาให้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นวัฏฏจักรไม่สิ้นสุดของสรรพสิ่ง

    ได้เคยอธิษฐานจิตไว้ค่ะ ชาตินี้คงไม่สามารถปฏิบัติได้ถึงที่สุดคือนิพพาน แต่ขอชิมลางนิพพานก่อนแล้วกัน ว่ามีสภาพเป็นเช่นไร

    จากนั้นก็เจริญวิปัสสนามาเรื่อยๆ คือกระทบอะไรทางไหน ก็น้อมพิจารณาค่ะ ปัญญาขณะนั้นมันยังไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง เพราะว่าน้อมไปตามตำราไม่ได้เห็นจริงด้วยใจ เีรียกว่าได้แต่ทฤษฎี

    จนกระทั่งได้ไปงานศพของเพื่อนที่เราคิดว่าเราประทับใจในทุกสิ่งที่เค้ามี ได้พิจารณาสภาพศพ ได้พิจารณาคนที่มาร่วมงานศพ เป็นเวลาติดต่อกัน 3 วัน โดยจิตไม่ได้ละออกจากพุทโธ ได้เจริญอสุำภะติดต่อกันอย่างนั้น ตั้งแต่ร่างกายที่ไม่มีลมหายใจ เหมือนท่อนไม้ เป็นซากเนื้อที่กำลังพุพองฯ ขอข้ามไปแล้วกันนะคะ เชื่อว่านักปฏิบัติทุกท่านที่เคยเจริญอสุภะกรรมฐาน คงจะเข้าใจดี

    พิจารณาจนเห็นด้วยใจแล้ว ก็ถามตัวเองว่า ความสวยความงามนั้นอยู่ที่ไหน ความโชคดีนั้นอยู่ที่ไหน ความรักของบุคคลอันเป็นที่รักอยู่ที่ไหน สิ่งที่เรายินดีอยู่ที่ไหน สิ่งที่เราเศร้าเสียใจอยู่ที่ไหน และทุกข์อยู่ที่ไหน....สุดท้ายว่างเปล่า มีเพียงกองขี้เถ้าซึ่งเป็นเพียงธาตุทั้งสี่ กลับคืนสู่ความเป็นต้นธาตุของมัน เช่นนั้นเอง

    จิตเข้าสู่ฌานไปจนถึงไม่มีพุทโธ ไม่มีกาย ไม่มีลม สภาพรอบๆ กายก็ไม่มี มีเพียงว่างๆ ไร้ซึ่งตัวตน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ ไร้ซึ่งแสงสี ไร้ซึ่งดวงจิต เพราะว่ามองไม่เห็นดวงอะไรทั้งสิ้นเลย มีเพียงตัวรู้ ก็คือปัญญา ปรากฏขึ้นมาโท่งๆ มันไม่ได้ปรากฏขึ้นมาในจิต หรือในอายตนะใดๆ สิ่งที่ปรากฏขึ้นนั้น เรียกว่า ปัจจัตตัง รู้เฉพาะตน ไม่สามารถอธิบายให้ใครเข้าใจเหมือนตนได้ แล้วภาษาบาลีก็ปรากฏขึ้นมาเป็นแถวๅ ยาวๆ ต่อเนื่องกันหลายบท สามารถเข้าใจไ้ด้ตามที่ได้กล่าวไว้ด้านบนแล้ว

    ที่นำมาเล่ามิได้มีเจตนาโอ้อวดใดๆ เพียงต้องการยืนยันผลของการปฏิบัติของนักปฏิบัติที่ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเท่านั้นเองค่ะ

    หลังจากที่ปัญญาเกิดแล้ว มันไม่เสื่อมค่่ะ มันจะแสดงขึ้นมาทุกครั้งเมื่อเราพิจารณาธรรม มันจะอบรมจิต ทำให้เราได้เห็นธรรมในธรรม

    เราก็ไม่รู้หรอกนะว่าชาวโลกเค้าเรียกว่าอะไร เรารู้แค่เพียงว่าเส้้นทางโพธิสัตว์กับพุทธภูมิคือเส้นทางเดียวกันเท่านั้นเอง พุทธภูมิก็ต้องผ่านความเป็นโพธิสัตว์ก่อน เพื่อสั่งสมบารมี 30 ทัศน์จนเป็นนปรมัตถ์ จึงจะบรรลุพระโพธิญาณ
     
  12. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    เคยแต่มีความคิดดีกับความคิดเลว เกิดขึ้นมาหักล้างกันให้เกิดความคิดเป็นกลาง ได้เห็นบาปที่มากกว่าบาป ได้เห็นบุญที่มากกว่าบุญ เช่นการเพิกเฉยต่อสิ่งทั้งหลาย เช่น เพิกเฉยต่อคนใกล้ชิดและสิ่งรอบตัว การไม่ทำหน้าที่ของตนให้เหมาะสมหรือการทำเกินหน้าที่ บาปทั้งหลายสามารถเจือจางลงได้ด้วยการยอมรับและปรับปรุงตน มิใช่ปฏิเสธ เรื่องบางเรื่องทำก็บาป ไม่ทำก็บาป เพียงแต่ว่าทำแล้วก็รู้แต่ยังไม่เคยทำก็ไม่รู้จริง
     
  13. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    ครับ ได้รับฟังหลากหลายเรื่องราวจากคุณนุ๊ก,คุณลุงบุญฯ และเพื่อนสมาชิก
    หลายท่านได้รับทัศนคติธรรมที่ดีมีสาระประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว :cool:
     
  14. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    การเจอการพบก็ของใครของมันครับ มันมี ๒ เส้นขนาด กันอยู่ ใครจะเจอแบบไหน นั่น อีกเรื่องหนึ่งต่างหาก เส้นทางของพวก พุทธภูมิ หรือพระโพธิสัตว์ มันอันเดียวกัน มันแตกต่าง ตอนชั้นตอน ขั้นตอน อายุการ ว่าอันไหน ขึ้นหน้าก่อน เพราะมันมี ๓ แบบ ปัญญา ศรัทธา และวิริยา ว่าใครจะทำมาแบบไหน ถึงสุดท้าย มันไปที่เดียวกัน ไปก่อนไปหลัง ใครไปก่อนถึงก่อนก็สบายก่อนครับใรคไปทีหลัง ก็สบายทีหลัง


    หรือผู้ใดหักมุม หรือยกเลิก มันก็มีมากมาย ไอ้ไปถึงมันยาก ส่วนใหญ่หักมุม มาเป็นสาวกมากกว่า ส่วนใหญ่ แล้ว ที่ได้กัน เรื่องของสมาธินี่ มัน เสื่อมมาก กว่า ทรงอยู่ครับ ที่เล่าที่นี่ ใช้เวลาเป็นวัน การได้ธรรมะ มันมีทั้ง โลกีย กับโลกุตร มันมี ๒ แบบ ย่อ โลกีย เสื่อมได้ ถอยหลังลงคลองได้ ถ้าเข้า ถึงโลกุตร ไม่มีการเสื่อม มีแต่ ทรง กับเจริญ ขึ้นไปตามลำดับครับ อ่านแล้ว ที่ทุกคนเล่ามา ก็เป็นประสบการณ์ ต่างๆกันไป คนที่ต้องประสบ การณ์ และต้องผ่านให้ หมด คือ พวก พระโพธิสัตว์ ที่จะไปให้ถึง พระโพธิญาณ เท่านั้น ถ้าลา มันก็ผ่านไม่หมดหรอกครับ เหมือนหลวงปู่ หลวงพ่อ ต่างๆที่ลามาเป็นสาวกครับ
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    บารมีก็คือกำลังใจ กำลังใจนั่นแหละบารมี ไม่ต้องเอ่ยอ้างเรื่องลาหรือไม่ลา กำลังใจเต็ม บารมีเต็ม ถึงแน่นอน เพราะว่าอ่อนกำลังใจจึงลาไปก่อน

    กาลข้างหน้าเ็ป็นเช่นใดไม่มีใครล่วงรู้ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดพอแล้ว ใครจะเป็นอย่างไร คิดอย่างไร บำเพ็ญอุกฤษณ์หรือว่าอ่อนแค่ไหน ไม่เกี่ยวกับกำลังใจของตน เพราะตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน เมื่อพึ่งตนเองได้ย่อมเป็นที่พึ่งให้แก่สัตว์ผู้ทุกข์ยากได้แน่นอน
     
  16. leehonza

    leehonza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +78
    ผมขอความคิดเห็นหน่อยนะครับ

    มีประตูสามบาน 1 2 3 1กับ3เข้าได้แต่2เข้าไม่ได้พอจะเข้ามีใครไม่รู้พูดขึ้นมาว่าคิดดีแล้ว
    หรือถ้าไปแล้วคนอื่นล่ะ
    ปริศนานี้ผมต้องแก้เองหรือว่ายังไงครับเพราะเจอแต่ปริศนา
    แล้วจริงไหมครับที่ว่าทำไมคนสมัยนี้ถึงบรรลุธรรมได้ช้าเพราะ
    1 ไม่ยอมรับความจริง
    2ไม่มีเหตุผล
    3หลงวัตถุนิยม
    ช่วนชี้แน่ะผมหน่อยครับขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ
     
  17. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool: ในใจที่คุณได้ยินนั้นก็อาจ ที่คุณจะไปนิพพานคนเดียว ไม่สงสาร คนอื่น คุณมันเห็นแก่ตัวนั่นเอง มันก็อยู่ทีคุณนั่นแหละ ต้องแก้เอง ทั้งนั้นไม่ว่าใคร ผู้อื่นได้แต่ชี้แนะ การทำนั้น เป็นเรื่องของคุณ ต้องเดินเองครับ และคุณนั้นแหละ จะไปคนเดียวหรือ เอา สัพสัตว์ทั้งหลายไปด้วยกับคุณ


    ข้อ ๑ คนที่ เกิดมาทีหลังพระพุทธเจ้า เพราะบุญบารมี และการเกี่ยวเนื่องกันด้วย คนในยุคพุทธกาล บารมีเขาล้นแล้ว และการเกี่ยวเนื่อง กับองค์ สมเด็จ ที่จะได้ฟังธรรมตรง สมัยนี้ บารมีหย่อนลงมา เขาย่อมมีอยู่แล้ว

    ข้อ ๒ คนชั่วมีมากกว่าคนดี คนมีเหตุผลนั้นเขามีอยู่ ก็เหมือนสมันครั้งพุทธกาลนั่นแหละ มาเกิดครั้งนี้ กรรม และทำความปราถนา มันเรื่อง ที่พูดนี่ ไม่เกี่ยวกับ บัวที่ ๔ ของสี่เหล่านะครับ


    ข้อ ๓ หลงวัตถุ นิยม คนทำถึง ก็หมดหลง คนทำไม่ถึงต่างหาก ยังหลงวัตถุนิยม แบบคุณว่า มันหลงด้วยกันทุกคนแหละครับ แต่ว่าใครจะหลงมากน้อยกว่ากันครับ คำสอนของพุทธองค์ยังอยู่ ครบผม ก็ยังเป็นผู้ ศึกอยู่ ก็ทำอยู่ เป็นปรกติครับ
     
  18. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814


    :cool: ทุกอย่างถูกต้องที่คุณว่ามาไม่เถียงครับ แต่ มันไม่ใช่ภาษาพูด หรือภาษาเรียน มันภาษาปฏิบัติครับ ถ้ากระทบตัดได้ทันที นั่นแหละ ถึงจะจริง ยิ่งกว่าจริงอีกครับ อนุโนทนาสาธุครับ:cool:
     
  19. center-in-center

    center-in-center เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,717
    สาเหตุที่จำนวนผู้บรรลุอรหันต์ในปัจจุบันน้อยกว่าในครั้งพุทธกาล
    สาเหตุที่จำนวนผู้บรรลุอรหันต์ในปัจจุบันน้อยกว่าในครั้งพุทธกาลนั้น มีหลักฐานปรากฏใน “สัทธัมมัปปฏิรูปกสูตร” พระสุตตันตปิฏก สังยุตนิกาย นิทานวรรค (สํ.นิ.(ไทย) 16/156/262) มีความโดยย่อว่า ครั้งนั้นพระมหากัสสปเถระเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง กราบทูลถามว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย คือ เมื่อก่อนสิกขาบทมีน้อย แต่มีภิกษุบรรลุพระอรหัตตผลมาก แต่ทำไมเดี๋ยวนี้สิกขาบทมีมาก แต่ภิกษุกลับบรรลุพระอรหันตตผลน้อย” พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า

    1) เพราะหมู่สัตว์เลวลง
    2) พระสัทธรรมเลือนหาย
    3)สิกขาบทจึงมีมาก
    4) ภิกษุที่บรรลุพระอรหันตตผลจึงมีน้อย
    “สัทธรรมปฏิรูป ยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นพระสัทธรรมก็ยังไม่เลือนหายไป หากสัทธรรมปฏิรูปเกิดขึ้นในโลกเมื่อใด เมื่อนั้น พระสัทธรรมจึงเลือนหายไป ทองเทียมยังไม่เกิดขึ้นในโลกตราบใด ตราบนั้นทองคำธรรมชาติก็ยังไม่หายไป แต่เมื่อทองเทียมเกิดขึ้น ทองคำธรรมชาติจึงหายไป ฉันใด พระสัทธรรมก็ฉันนั้น...”
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,377
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    เป็นบาลียาวและเร็วมาก

    *************************************
    เหมือนเหตุบังเอิญ กําลังหาคําตอบอยู่พอดีเลยค่ะ ขอบพระคุณและอนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...