จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ.. โดยสังเขป

    สืบเนื่องมาจากมีผู้คนสงสัยในการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระกันมาก คือว่าเป็นของใหม่สำหรับท่านๆเหล่านั้น
    จึงมีการดำริขึ้นมาว่า ควรที่จะทำการรวบรวมข้อมูลอธิบายความการปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระ โดยสังเขป เพื่อเป็นธรรมทานแก่ผู้อ่านทั่วไปหรือผู้สนใจ
    จะปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง จะได้รับทราบโดยองค์รวมของการปฎิบัติ รวมถึงเป้าหมายปลายทางว่าเป็นเช่นไร


    ที่มา:สมเด็จพ่อองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทรงมีเมตตา แนะนำถ่ายทอดผ่าน ท่านพี่ภู (ภูทยานฌาน2)ลงมา โดยมีท่านพี่ภูเป็นผู้ปฎิบัติสำเร็จเป็นคนแรก แล้วก็ถ่ายทอดต่อมายังบุคคลท่านอื่นๆตามลำดับต่อมา แล้วในวันหนึ่ง กาลภายภาคหน้า การปฎิบัติธรรมจิตเกาะพระนี้จะเป็นที่แพร่หลายแก่พุทธศาสนิกชนสืบต่อไป ตั้งแต่ยุคกึ่งพุทธกาลนี้เป็นต้นไป..

    วัตถุประสงค์: เป็นการปฎิบัติธรรมซึ่งเจริญรอยตามอริยมรรควิธีของพุทธศาสนา (ศีล สมาธิ ปัญญา) เพื่อนำไปสู่ความหลุดพ้นมีดวงตาเห็นธรรมโดยใช้เวลาไม่นานนัก คือนอกจากจะเป็นทางสายตรงแล้วก็ยังเป็นทางลัดด้วย..(คำว่าทางลัดในที่นี้หมายถึง ผลแห่งการปฎิบัติจะเกิดประสิทธิผลด้านเวลาอยู่มาก)


    อานิสงค์:มีดวงตาเห็นธรรม สามารถตัดสิ้นอาสาวะกิเลสทั้งปวง ถึงมรรค ผล นิพพานในภพชาตินี้

    อรรธถาบรรยาย: ความจริงแล้วก็เป็นการปฎิบัติธรรมเฉกเช่นเดียวกับการปฎิบัติธรรมในรูปแบบอื่นๆ สายอื่นๆสำนักอื่นๆ
    แต่ที่มีความต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนคือ รูปแบบการปฎิบัติสามารถเข้ากับภาระกิจทางโลกได้ง่ายไม่ยุ่งยาก สามารถปฎิบัติได้ทุกที่ทุกเวลา มีความคล่องตัวในการปฎิบัติ ไม่มีเงื่อนไขมาก ทำแบบสบายๆ ทำไปเรื่อยๆ และที่สำคัญคือ ประสิทธิภาพประสิทธิผลแห่งการปฎิบัติเมื่อเทียบกับเวลาที่สูญเสียไปทุกวันๆ
    (ลองไปหาดูในกระทู้เก่าๆที่เขียนข้อเด่นเอาไว้แล้ว)


    Cr.จิตเกาะพระ เมื่อ 18 สิงหาคม 2012 เวลา21:38.By...ครูลูกพลัง


    ****************

    บทสรุปของ "จิตเกาะพระ"

    คือ การวิปัสสนาหรือการพิจารณาธรรมทั้งหลายทั้งปวง ในขณะลืมตา
    ในขณะที่ทำงานต่างๆ หรือแม้นกระทั่งเวลาที่กายนอนหลับก็ตามที
    ขอให้ลงกฎไตรลักษณ์ให้หมด โดยเฉพาะธรรมตัวสุดท้ายก็คือ อนัตตา
    อันนี้สำหรับคนที่ทำเก่งแล้ว แต่ถ้ายังหรือมีอินทรีย์ยังไม่ แก่กล้า ก็ให้เริ่มตัดลงที่อนิจจัง
    ก็คือ มองเห็นทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มียั่งยืน นอกจากความตาย
    เป็นความทุกข์ทั้งสิ้น โดยเฉพาะความสุขทางโลก เพราะเป็นความสุขแค่ชั่วคราว ไม่ยั่งยืน แต่สุขนิรันดรนั้น จะต้องปราศจากทั้งทุกข์และสุขทางโลก และถึงตามด้วยอนัตตานั้น ก็คือ ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา ไม่มีตัวตนอยู่จริง เพราะไม่มีสิ่งใดที่เราจะไปบังคับได้ แม้นกระทั่งร่างกายของเราเป็นได้แค่ให้ดวงจิตอาศัย ชั่วคราว ร่างกายเป็นสมบัติของโลก เพราะอีกไม่นานนักก็ต้องตายอย่างแน่นอน ไม่มีผู้ใดก้าวพ้นแห่งความตาย ไปได้สักคนเดียว


    *จิตเกาะพระ * ก็เป็นกรรมฐานกองหนึ่งที่มีอยู่ในกรรมฐานทั้งหมด 40 กองของพระพุทธองค์นั่นเอง ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ ทำให้จิตนิ่งสำหรับผู้ปฎิบัติ เท่านั้นเอง
    เพียงแต่การระลึกถึงพระนี้ทำให้จิตของผู้ปฎิบัติรวมไว อันเป็นเหตุทำให้จิตทรงฌานได้ไวขึ้น และทรงฌานได้อย่างต่อเนื่องด้วย
    และตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของการเจริญสติภาวนาในเวลานี้
    .....


    *จิตเกาะพระ * ซึ่งประกอบด้วย 2กรรมฐาน ก็คือ พุทธานุสสติ และกสิณ

    *จิตเกาะพระ*ไม่ต้องใช้คำภาวนาใดๆทั้งสิ้น เพราะการระลึกถึง/นึกถึงพระอยู่นั้น ก็เหมือนกับการเจริญสติภาวนา หรือกำลังภาวนา คำว่า พุท-โธ ยุบหนอ-พองหนอ นะมะพะทะ หรือตามดูลมหายใจตามแบบฉบับของอานาปานสติ นั่นเอง


    ที่มา : กระทู้ ...จิตพร้อม? รับภัยพิบัติหน้า 260 #5199 BY ภูทยานฌาน 2
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    เพิ่มขนาดเรือต่อ

    *******************************
    เรือครูเกษจะมีDouble deck แล้วในไม่ช้าสาธุๆๆ
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    พระผู้มีพระภาค..สอบอารมณ์
    พระผู้มีพระภาคสอบอารมณ์พระสารีบุตร

    [๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของปาวาริกเศรษฐี
    เขตเมืองนาลันทา ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูล
    พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาค
    อย่างนี้ว่า ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีสมณะหรือพราหมณ์อื่นที่จะมี
    ความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร เธอกล่าวอาสภิวาจานี้ประเสริฐแท้
    เธอบันลือสีหนาทซึ่งเธอถือเอาโดยเฉพาะว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์
    เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ทั้งอดีต อนาคต และปัจจุบัน ไม่มีสมณะ
    หรือพราหมณ์อื่นที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่าพระผู้มีพระภาคในทางพระสัมโพธิญาณ ฯ

    [๗๔] ดูกรสารีบุตร เธอกำหนดใจด้วยใจ แล้วรู้ซึ่งพระผู้มีพระภาค
    อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งได้มีแล้วในอดีต ว่าพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น
    ได้มีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีพระปัญญาอย่างนี้ มีวิหารธรรมอย่างนี้ มีวิมุตติ
    อย่างนี้ ได้ละหรือ ฯ


    http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=11&A=2130&Z=2536
     
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    แค่ลมปาก
    ได้รับคำนินทาจงอย่าสะเทือนใจ ถือว่าทุกคนในโลกไม่มีใครเลยที่จะพ้นการนินทา
    ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า นัตถิ โลเก อนินทิโต คนไม่ถูกนินทาเลยไม่มีในโลก
    แม้แต่พระพุทธเจ้าท่านมีชีวิตอยู่ท่านก็ถูกนินทา พระพุทธเจ้าท่านไม่แต่นินทานะ ด่าต่อหน้าเลยนะ
    เขาจ้างคนด่าต่อหน้าประชาชน แม้ท่านเองก็ถูกนินทา ท่านไปนิพพานแล้วสร้างพระพุทธรูปขึ้น
    พระพุทธรูปไม่ทำอะไรใครเลยยังถูกนินทา
    แหม...องค์นี้ยิ้มมากไปหน่อย องค์นี้ยิ้มน้อยไปนิด องค์นี้ปากเบี้ยวไป ในที่สุดไม่เป็นเรื่อง
    อันนี้เขาปั้นไว้ไปว่าอะไรท่านล่ะ
    รวมความว่านินทากับสรรเสริญทั้ง ๒ ประการ พระพุทธเจ้าทรงเตือนหนักว่าจงอย่าสนใจเสียเลย
    เขาสรรเสริญเราว่าดี เราต้องดูตัวเราว่าดีเท่าเขาสรรเสริญไหม
    เขานินทาว่าชั่ว เราดูตัวเราว่าชั่วตามที่เขานินทาไหม


    สรุปแล้ว การนินทาก็ดี สรรเสริญก็ดี ทั้ง ๒ ประการ ไม่สนใจเสียเลย
    ให้สนใจอย่างเดียว คือผลแห่งการปฏิบัติว่าการประพฤติปฏิบัติของเรานี่มันดีหรือมันเลว

    ถ้าเราทำดีเขานินทาขนาดไหนก็ตามเราก็ไม่เลวตามคำเขาพูด
    ถ้าเรามีความประพฤติเลว เขาสรรเสริญว่าเราดีขนาดไหนก็ตาม เราก็ไม่ดีตามคำเขาพูด
    มีความประพฤติเลวเขาสรรเสริญว่าเราดีขนาดไหนก็ตาม เราก็ไม่ดีไปตามเขาพูด

    ควรสนใจแต่การปฏิบัติ

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานเถระ วัดท่าซุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 พฤษภาคม 2013
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...ท่านผู้เทิดทูนรักษาศาสนา...

    ท่านผู้ที่จะสามารถรู้เห็นตามที่ทรงแสดงและเชื่อพระองค์ จนถึงขนาดที่ว่าเชื่อ

    อย่างถึงใจ เป็นตายยอมถวายพระพุทธเจ้าเลยก็มีจำนวนมากมาย เช่น พระอรหันต์เป็นอัน

    ดับหนึ่ง ที่มอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้า โดยไม่มีความเยื่อใยเสียดายในชีวิตของตน

    แม้แต่น้อยเลย...บูชาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยความเชื่ออย่างฝังใจอันลึก

    ซึ้ง ไม่มีอะไรซึ้งเกินความเชื่อของพระอรหันต์ท่าน ได้ฝังลึกในพระโอวาทคำสั่งสอนของ

    พระพุทธเจ้า...พร้อมกับสักขีพยานที่รู้ที่ภายในจิตใจของตน อันสืบเนื่องพระพุทธเจ้าทรง

    แสดงมาแล้ว...จึงรู้จึงเห็น นี่อันดับหนึ่ง...

    ...อันดับต่อไปก็พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา ท่านทั้งหลายเหล่านี้

    มอบได้ในเรื่องคำว่าบาป ว่าบุญ ว่านรก สวรรค์...มอบได้ตามกำลังความสามารถของตนที่

    หยั่งทราบ...พอที่จะเป็นเครื่องยืนยันได้มากน้อยเพียงไรมีความเชื่อความเคารพต่อพระ

    ศาสดาเต็มกำลังความสามารถของตนขั้นนั้นๆขนาดนั้นๆ...ส่วนพระอรหันต์แล้ว ร้อยทั้งร้อย

    พันทั้งพัน หมื่นทั้งหมื่น แสนทั้งแสนเปอร์เซนต์...ไม่มีอะไรหลุดไม้หลุดมือไปแม้แต่นิด

    หนึ่งเลย คือ ท่านเหล่านี้แลเป็นผู้เทิดทูน...เป็นผู้จะรักษาศาสนา คือความจริงของ

    พระพุทธเจ้าไว้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย...แม้ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ท่านเหล่านี้ฝึงลึกเต็ม

    ที่แล้ว...พระธรรมคำสั่งสอนของ พระอรหันต์ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.

    ...น้อมกราบพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เจ้าทุกๆพระองค์ดว้ยเศียรเก้ลากราบ กราบๆ ๆ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2013
  6. มณีตรี

    มณีตรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2013
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1,201
    แค่ลมปาก ของคน เหลือทนนัก
    รู้ประจักษ์ ใช่เหตุ ที่ควรถือ

    ยึดเอามา ปรุงเเต่ง แฝงคำลือ
    สุดจะยื้อ ยากแย่ง แรงรำพัน

    พร่ำว่า ปากมิบอก ดอกเจ้าเอ๋ย
    หากจะเคย คิดครวญ ควรถนอม

    มองเห็นภาพ คิดธรรม ตามครรลอง
    คงมิต้อง หมองมัว ในตัวเอง

    บางครั้งน๋อ ปากพูด ว่าตรงนี้
    แต่ที่มี เจ้าไม่เห็น ดังเช่นนั้น

    จึงปรากฏ ความคิด ผิดไปพลัน
    โถ่เจ้านั้น ช่างสับสน ทุกข์ทนไป


    หากนำจิต มาดู ให้รู้แน่
    ว่าที่แท้ ใจเรา เขลาไฉน

    ตามกิเลส ลืมสติ อยู่ร่ำไป
    มันถึงได้ พ้ายแพ้ แค่นี้เอง

    กลับมาตั้ง หลักจิต พินิจใหม่
    และอย่าได้ หนีห่าง กลางใจนี้

    สติ..ตั้ง ทิศทาง ให้ตรงที่
    เรื่องที่มี ก็หมดไป เพราะใจ..วาง

    ......อุลตร้า......
     
  7. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "คำถาม - ปัญหาธรรม"

    -ถาม - การรู้จักปล่อยวางทำให้ลดความเหน็ดเหนื่อยลงมาก แต่ก่อนโง่ยึดมั่นก็

    เหนื่อยแทบตาย เดี๋ยวนี้โง่คายลงก็สบายขึ้น ลูกค่อย ๆ คลายความโง่ออกนอกบ้านและ

    ที่ทำงาน ตั้งแต่ปลายเดือน พ. ค.ถึงขณะนี้ก็มีชีวิตวิ่งเข้าวิ่งออกโรงพยาบาลช่วยดูเพื่อนๆ

    ผู้ทำบุญมากับลูกเสมอ เดี๋ยวนี้พอป่วยมากยอมสวดมนต์และภาวนามากขึ้น.

    แต่ก่อนก็ทำบ้างไม่ทำบ้างตามเรื่องตามราว.

    - ตอบ - การปล่อยวางความยึดมั่นในวัตถุและอารมณ์ต่างๆ เป็นจุดมุ่งหมาย

    ของศาสนาธรรมโดยแท้ แม้ธาตุขันธ์ต้องอาศัยสิ่งเหล่านี้อยู่ก็ไม่จำต้องยึดถือแบกหามเสีย

    จนหนักอึ้งอยู่ตลอดเวลาจนหาความอิสระทางจิตใจไม่ได้ คนเราย่อมเป็นทุกข์กันตรงนี้

    มิได้เป็นทุกข์เพราะความไม่มีกินมีใช้...แต่เป็นทุกข์เพราะมีมากน้อยเท่าไรก็ยึดมันอย่าง

    เหนียวแน่นต่างหาก...ลูกศิษย์พระพุทธเจ้าต้องมีทางรู้และปล่อยวางภาระคือ ความยึดถือ

    เหล่านี้ได้โดยลำดับและได้โดยเด็จขาด...นอกนั้นแทบไม่มีและไม่มีทางปล่อยวางได้ นี่

    เป็นความจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า...

    ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม ท่านพระอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด...

    กราบขอบพระคุณองค์ท่านที่ - ตอบ ปัญหาข้องใจทิ้งให้ไว้ให้ลูกหลานได้รับความรู้

    ถึงแม้ว่าท่านจะไม่มีตัวตนอยู่แล้วแต่พระธรรมคำสอนของท่านยังอยู่กับเราให้ได้ศึกษา

    และปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนขององค์ท่าน.กราบองค์หลวงตามหาบัวด้วยเศียรเกล้าค่ะ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2013
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับน้องมณีตรี(น้องสาวคุณมณีเกษ) สบายดีนะครับ(หมายถึงจิตใจ)
    มีเหยี่ยวสาวสายเดี่ยวมารายงานข่าว บอกว่าจิตเธอดีขึ้นกว่าเดิมก็ยินดีด้วย
    ใครจะดีหรือเลวก็ช่างเขา แต่ขอให้เราดีในสายตาผู้อื่น มิใช่เรา
    คนที่หลงมาเกิดล้วนต่างย่อมมีดีมีชั่วปะปนกันไปถือเป็นเรื่องปกติ
    ย่อมลองผิดลองถูกดั่งพระพุทธเจ้า พระองค์เคยยอมอดอาหารเดินสายตึงบ่บรรลุธรรม
    แต่มาตรัสรู้หรือบรรลุธรรมก็ต่อเมื่อพบสายมัชฌิมาปฎิปทา(สายกลาง)
    ตราบใดเรายังมีขันธ์๕ ย่อมมีกายใจสกปรก ยังไม่บริสุทธิ์เฉกดั่งพระพุทธเจ้า ดั่งพระอรหันต์
    อย่าไปหวังผู้ใดต้องบรรลุธรรมแทนเรา แต่เราต้องเร่งความเพียรเพื่อบรรลุธรรมเอง
    เห็นธรรมด้วยตนเองก่อนค่อยไปแนะคนอื่นทำตาม มิฉะนั้น บรรลุธรรมก็จะกลายเป็นทะลุธรรม

    บทสรุปของนักปฎิบัติธรรม ก็คือ
    ๑.ควรทำตนให้รู้แจ้งแทงตลอด(ตาใน) ถ้ามีแต่ตานอก(ตาเนื้อ)เพียงอย่างเดียว
    เราย่อมมองไม่เห็นตนแน่ แต่จะเห็นเฉพาะผู้อื่นอยู่ร่ำไป
    ๒.อดีตที่ผ่านมาก็แค่สิ่งเตือนใจ บททดสอบจิตใจ อย่าให้ความสำคัญมากเพราะเป็นของปลอม
    ของจริงๆคือจิต โดยเฉพาะมรรคผลของตน มิใช่ไปดูจิตผู้อื่นว่าเขาคนนั้นคนนี้ปล่อยวางได้หรือยัง?
    ตัวของเราหรือจิตของเรานี้แลสำคัญยิ่ง! ว่า..ละปล่อยวางได้หรือยัง?

    ขอบใจมาก ลมอะไรไม่รุ๊ที่พัดเธอมาอีกครั้ง ข้องใจธรรมหรือข้องใจคนได้โปรดเรียนถาม
    ถามตรงย่อมตอบตรง มิมีแฝง มีจริงใจให้กันย่อมได้รับความจริงใจกลับแน่นอน
    ที่พร่ำมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อสอนสั่งตนเอง หรือเหล่าเวไนยสัตว์ที่พอจะสั่งสอนได้บ้าง
    แต่ถ้ามีผู้มาสอนสั่งผมบ้างก็ยินดีรับฟังเสมอ แต่จะเชื่อตามหรือไม่ก็แล้วแต่สติปัญญาของผมเอง

    พี่ภูก็เสมือนเป็นป้ายรถเมล์นั่นแหล่ะ เห็นมีแต่รถเมล์สายต่างๆที่คอยแวะเวียนกันมาจอด
    แต่ป้ายรถเมล์นี้ มิได้ไปวิ่งตามรถเมล์สายต่างๆหรอกนะ ใครนึกจะมาจอดก็จอด ไม่จอดก็ตามใจ


    ขอบใจมากที่แวะเวียนมาให้กลอนเป็นธรรมาทานกับพวกเรา แต่ก็ยังดีกว่าแอบอ่าน(log out)
    โชคดีและสวัสดี
    wel lcome_dog
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤษภาคม 2013
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ขอเชิญ..ผู้เจริญทุกๆท่าน
    มีผู้คนที่อยากจะออกจากทุกข์ของตนมากมายนัก
    ที่นี่..พร้อมแล้วครับ ขอเชิญผู้ที่อยากหลุดพ้นจริงๆ

    อาทิเช่น อยากนำจิตออกจากความทุกข์ของตนเอง แต่ถ้าออกได้แล้วหรือ
    แต่ถ้าบุคคลใดพอจะมีกำลังใจมากคือพระนิพพาน เดี๋ยวค่อยมาว่ากันหลังไมค์
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    การระลึกนึกถึงที่ควรมีในจิต ตลอดเวลา


    "คนที่นึกถึงพระพุทธเจ้า คุณความดีของพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ไม่ขาดในอารมณ์ของจิต อันนี้เป็นการเจริญพระกรรมฐานเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน

    ปรารภคุณความดีของพระธรรม ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปกติ ไม่ลืมความดีในพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้ว อันนี้เป็น ธัมมานุสติกรรมฐาน

    เรานึกถึงคุณความดีของพระอริยสงฆ์ ที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนได้บรรลุมรรคผล เราก็แสวงหาความดีตามนั้นตามท่าน ปฏิบัติตามท่าน นึกถึงท่านเข้าไว้ อย่างนี้เป็น สังฆานุสสติกรรมฐาน

    เรานึกถึงศีลที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงมอบให้แนะนำสั่งสอนเรา ระมัดระวังศีลทุกข้อ ทุกสิกขาบท ให้ปรากฏอยู่ครบถ้วนอยู่ด้วยดี
    อย่างนี้เป็น
    สีลานุสสติกรรมฐาน

    เรานึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ คิดว่าการปฏิบัติอย่างนี้ เรามีความมุ่งหมายอย่างเดียว คือพระนิพพาน อย่างนี้เป็น อุปสมานุสสติกรรมฐาน

    เรามีความรู้สึกอยู่เสมอว่า เราจะต้องตายแน่ จะตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายด้วยอาการปกติ หรือด้วยอุบัติเหตุก็ตาม
    ก็ขึ้นชื่อว่าจะต้องตาย อย่างนี้เป็น
    มรณานุสสติกรรมฐาน"

    พระราชพรหมยานมหาเถระ (หลวงพ่อฤาษี)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2013
  11. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745

    โมทนาสาธุครูเกษ พี่แนท
    โมทนาสาธุดับเบิลกับผู้ที่ให้ความเพียร ครูเกษ อาการนอนหลับๆตื่นๆเป็นอาการที่จิตตื่นค่ะ เป็นจิตตื่นอยู่ตลอด จะตื่นมากตื่นน้อยหากตื่นมากๆถึงมากที่สุดก็ไม่ต้องหลับเลยก็ได้ เป็นแบบเดียวกับการแยกรูปนามไปเลยค่ะ เช้ามาก็จะไม่มีอาการง่วงหวาวหาวนอน บางทีลุกขึ้นมาก็อาจจะเห็นตัวเองนอนอยู่ก็มี อย่าตกใจ ทำบ่อยเท่าไหร่จิตจะเริ่มบังเกิดตัวรู้เป็นออโต้ รู้เกิดดับอย่างเป็นอัตโนมัติ ปัญญาตาม ญาณไม่ต้องพูดถึงมันลื่นไหล รู้สิ่งต่างๆเช่น อดีตของตน รู้วิบากกรรม รู้นั่นนี่ รู้จิตใจคนอื่นทันจิตเขา(แต่อันนี้ต้องดึงจิตกลับห้าม เป็นกฎอันใหญ่หลวง นอกเสียจากจิตมันผุดรู้ขึ้นเอง ก็ช่วยไม่ได้ต้องปล่อยวางลง) จิตรู้บางทีก็มาในรูปของนิมิตตอนขันธ์ห้า พักผ่อน บางครั้งจิต(นาม) แยกหลุดออกมาจาก(รูป)ร่างกาย บินระหกระเหินไป หากจิตทำมากก็มีกำลังมาก ไปตามนั้น กำลังมากก็สามารถบังคับขับเคลื่อนการบินได้
    การเจริญสติแบบนี้เน้นที่ความรู้สึกตัวอย่างเดียวชนกิเลสล้วนๆ ง่วงก็รู้ รู้มันไปหมดคือรู้สึกตัว เป็นวิปัสสนาสายตรงเพราะไม่ให้หลับตาเข้ากรรมฐาน ฉะนั้นเมื่อเป็นสายตรง ก็ไม่ต้องไปหักเลี้ยวเอาตอนฌานสี่ไหลลงฌานสามเข้าสู่วิปัสสนาเหมือนเริ่มจากกรรมฐาน อันนี้พอรู้สึกตัวก็วิปัสสนาเลย หากจะนึกถึงพระก็นึกเลย ยิ่งง่ายขึ้นนึกบ่อยเท่าไหร่ก็ได้ เพราะ ..รู้...ว่าพระอยู่ในจิตเราแล้ว ประทับอยู่ตรงกลางจิตแล้ว ลพ.เทียน ท่านบอกว่า ผู้ที่ฝึกแบบนี้อย่างจริงจังจะเห็นผล หนึ่งวัน 3 วัน 7วัน หนึ่งปี เจ็ดปี ตามนั้นแล้วแต่บุญบารมีของใครของมันรวมถึงความเพียรของใครของมันด้วย อาการตื่น อาการรู้ ทำให้จิตเบิกบาน เบิกบานหาที่ประมาณมิได้ (จิตพุทธะ) ครูเกษทำอย่าหยุด ทำให้เป็นธรรมชาติ ผู้ที่ฝึกตัวนี้เราอาจไม่รู้เลยว่าจิตเค้าไปถึงไหนเพราะเค้าจะทำตนปกติมากๆแทบไม่รู้เลยว่าเป็นผู้ปฎิบัติธรรมก็มี คือจะกลมกลืนอยู่กับความเป็นปกติ และกิเลส ได้อย่างแนบเนียน ส่วนอาการไม่สบายที่เกิดคือขันธ์ห้ายังปรับไม่ทัน จิตวิ่งปรู๊ดๆชนเพดานบ้าน ขันธ์ยังงงๆอยู่เท่านั้นเอง
    โมทนาสาธุอีกครั้งค่ะ
     
  12. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ลูกขอกราบ ลพ.เทียน และ โมทนาสาธุค่ะครูดัช สำหรับคำแนะนำเพิ่มเติม จากที่เราทำตัวสีๆ หนาๆ ไว้มันตรงหมดเลยจ้า..สติตัวนี้มันยิ่งกว่าตอนที่ฝึกจิตเกาะพระ (แต่ต้องผ่านขั้นนี้มาก่อนน่ะจ๊ะ แล้วมันจะง่ายขึ้น) ตอนนี้เริ่มจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ แล้วกับคำว่า "งูกับพิษงู" อยู่ด้วยกันได้ฉันใด เราซึ่งอยู่ในแดนแห่งดงกิเลสมารทั้งหลาย ก็อยู่ด้วยกันได้ฉันนั้น...มาถึงขั้นนี้แล้ว เราหยุดบ่ได๋แล้วก่าครูดัช...555...ใส่เกียร์เดินหน้าลุยลูกเดียวจ้า...หุๆๆ:cool:
     
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    โมทนาสาธุ ในธรรมทานครั้งนี้ ค่ะ ...ครูน้องดัช... เมื่อมีคำถามเกิดขี้น พระท่านก็จัด ครูน้องดัช มาไขข้อข้องใจให้ค่ะ ... ขอบพระคุณมากๆค่ะ ...เข้ามาให้ธรรมทานที่นี่ บ่อยๆ นะคะ ...คิดถึงค่ะ
     
  14. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ...คำว่าพระอรหันต์ ไม่นิยมว่าเป็นหญิงเป็นชาย...

    เป็นอยู่ที่ดวงใจของผู้ที่สิ้นกิเลส...ด้วยอำนาจวาสนาบารมีของตนที่สร้างมา เมื่อเข้าถึงจุด

    เต็มที่แล้วก็เป็นอรหันต์ขึ้นมา...จิตของผู้หญิง จิตของผู้ชายไม่นิยม นิยมแต่จิตดวงนี้เป็น...

    จิตที่บริสุทธิ์หลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว...เป็นจิตพระอรหันต์.

    ...พระธรรมคำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน...

    ท่านได้กล่าวไว้ธรรมไว้เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๔๙ กราบน้อมรับพระธรรมคำสั่งสอน

    ขององค์ท่านด้วยเศียรเก้ลาเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบเจ้าค่ะ.
     
  15. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    (ความดีในความทุกข์)

    ...เวลาเกิดความทุกข์มันก็สามารถที่จะดึงความดีออกจากจิตใจมนุษย์ได้ ไม่ใช่

    ปล่อยความทุกข์ให้เป็นสิ่งที่ทำให้เราท้อใจเสียใจ...เกิดความท้อใจขึ้นมา ก็เป็นธรรมชาติ

    มันก็ต้องมีความลำบากก็มีสะดวกสบายก็มี...ธรรมชาติก็ไม่ได้ลำเอียง เช่นบางคนก็คิดว่า

    เวลาเราไปชมธรรมชาติ...เวลาเราไปเพลินๆ อยู่กับธรรมชาติ คิดว่าธรรมชาติมีแต่สิ่งที่ดีๆ

    มันก็ถูกอยู่ในแง่นั้น...แต่ว่าธรรมชาติมันไม่ลำเอียง เช่นธรรมชาติของงูเห่า มันก็มีอสรพิษ

    มันก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง...โทษของธรรมชาติก็มี น้ำท้วมก็มี เราก็ต้องอาศัยน้ำ น้ำมาก

    เกินไปก็เป็นทุกข์...เป็นลักษณะของธรรมชาติ มีทั้งคุณมีทั้งโทษเราจำเป็นต้องรู้จักใช้ให้

    เป็นคุณกับเรา...ให้เป็นประโยชน์รู้จักใช้ความสุขให้เป็นประโยชน์ เช่นเดียวกันบางทีเรา

    เกิดความทุกข์เราก็สามารถที่จะพลิกให้มันเป็นประโยชน์กับเราได้...ความสุขก็เช่นเดียวกัน

    ...บางครั้งเกิดความสุข...อย่างที่ใช้สำนวนภาษาไทยสุขสบาย บางทีสบายจนได้รับความ

    สุข ได้รับความสบาย...ได้เพลิดเพลินได้ลุ่มหลงในหน้าที่ของเจ้าของหรือสุขสบายจนเกิด

    ความประมาทก็มีความสุขความสุขก็มีโทษเช่นเดียวกัน...จึงเป็นสิ่งที่เราต้องระมัดระวัง...

    เราต้องรู้จักว่าโลกธรรม...ก็มีทั้งคุณทั้งโทษ จะเป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี เราก็ต้องเป็นผู้ใช้

    สติปัญญา...เพื่อดึงสิ่งที่ดีออกมาจากจิตใจและชีวิตของเราให้ได้ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า

    ปรารถนา...ให้เราอยู่ในโลกโดยไม่เป็นทาสของโลก และไม่ได้ปล่อยให้โลกครอบงำจิตใจ

    ของเราจนเรามีความมืดมน...เราต้องรู้จักอยู่ในโลกด้วยความแจ่มใส ด้วยสติปัญญา เราก็

    รู้จักใช้เหตุการที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์กับเรา...เป็นประโยชน์กับตน เป็นประโยชน์กับผู้

    อื่น ทำอย่างนั้นเราจะได้อยู่อย่างคนที่มีอิสระในชีวิต...จะได้รู้จักพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น.

    ...คัดจากหนังสือทางแก้ทุกข์. พระอาจารย์ ป สั น โ น.....วัดป่าอภัยคีรี แคริฟอร์เนีย.

    ...กราบนมัสการขอบพระคุณในธรรมะของท่านที่ท่านได้ให้เป็นธรรมทานกราบ กราบๆค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2013
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    แม่ชีแก้ว เสียงล้ำ (มรณภาพแล้วอัฐิแปรเป็นพระธาตุ)
    สำนักชีบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร​


    ติดตามหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

    ในปี พ.ศ. 2498 หลวงตาพระมหาบัว ได้ปรารภถึงโยมมารดาของท่าน หลวงตามีความประสงค์จะให้โยมมารดาของท่านบวช ก็ขอให้คุณแม่ชีแก้วเดินทางไปอุดรธานีพร้อมกับคณะพระสงฆ์ 4-5 รูป เช่น หลวงปู่สิงห์ทอง หลวงปู่เพียร หลวงปู่บุญเพ็ง หลวงปู่ลี เพราะเห็นว่า คุณแม่ชีแก้วเป็นผู้ที่เหมาะสมจะอบรมถ่ายทอดความรู้ธรรมะให้แก่มารดาของท่านได้ดี

    อีกทั้งเพราะเป็นหญิงด้วยกัน คุณแม่พร้อมคณะแม่ชี ได้แก่ แม่ชีน้อมและแม่ชีบุญ จึงได้เดินทางไปจังหวัดอุดรธานีตามความประสงค์ของท่านหลวงตาพระมหาบัว คุณแม่ได้แนะนำภาคปฏิบัติภาวนา จนโยมมารดาของหลวงตามีความเลื่อมใสศรัทธาและได้ออกบวชตาม

    หลวงตาพระมหาบัวได้ให้โยมมารดาของท่านบวชเป็นชีแล้ว ก็ได้พาคณะสงฆ์และแม่ชีไปจำพรรษาที่วัดสถานีทดลองเกษตร จ.จันทบุรี เป็นเวลา 1 พรรษา ซึ่งที่ดินที่สร้างวัดนี้ เป็นของพี่สาวของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ถวายให้

    ต่อมา โยมมารดาของท่านหลวงตาพระมหาบัวอยากกลับภูมิลำเนาเดิม เพราะความเป็นอยู่ที่จันทบุรีนั้นลำบากมาก ด้วยท่านไม่คุ้นเคยกับอาหารการกิน และท่านก็ชรามากแล้ว เห็นสมควรกลับภูมิลำเนาเดิม เพื่อให้ลูกหลานได้มีโอกาสดูแลพยาบาลในช่วงปัจฉิมวัยของท่าน หลวงตาพระมหาบัวจึงได้พาคณะกลับมาสร้างวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ในปี พ.ศ. 2499

    คุณแม่ชีแก้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดกับโยมมารดาของท่านหลวงตาพระมหาบัวจนถึงปี พ.ศ. 2510 คุณแม่ชีแก้วจึงได้กราบลาท่านหลวงตาพระมหาบัวกลับภูมิลำเนาบ้านห้วยทราย อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร และได้บำเพ็ญเพียรภาวนาอบรมสั่งสอนชาวบ้านตลอดมา มีสานุศิษย์ทั้งใกล้ และไกล มากราบคุณแม่ชีแก้วด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก


    บรรลุธรรม

    ในวันศุกร์ แรม 5 ค่ำ เดือน 11 ตรงกับวันที่ 1 พ.ย. 2495 ขณะนั้นคุณแม่ชีแก้วมีอายุ 51 ปี เป็นเวลาที่คุณแม่ท่านเดินจงกรมตลอดคืนจนรู้สึกเหนื่อยจึงได้นั่งพักที่แคร่ใต้ต้นพะยอมแล้วเอนตัวลงนอนคิดว่าจะพักสักครู่แล้วจงจะไปนึ่งข้าว ก็รู้สึกว่ามีเสียงครืนเหมือนฟ้าผ่าแคร่ที่นอนอยู่หักลง และมีเสียงผุดขึ้นมาเป็นคำกลอน พอจับใจความได้ว่า “สิ้นชาติแล้ว” คุณแม่น้ำตาไหลพรากด้วยความตื้นตันใจ

    ในเรื่องนี้หลวงตาได้เคยกล่าวว่า “ผู้เฒ่าแม่แก้วอัฐิเป็นพระธาตุแล้ว ผู้เฒ่านี้ถ้าพูดตามหลักความจริง ก็ผ่าน (สิ้นกิเลส) มาหลายปีแล้วนี่นะ ถ้าจำไม่ผิดเราว่าตั้งแต่ พ.ศ. 2495 โน่น นานเท่าไร”



    Cr..FB 26 พุทธศตวรรษ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2013
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,096
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,044
    ลพ.เทียน

    ***********************************
    กราบอนุโมทนาสาธุค่ะคุณครูดัช ดีใจจังค่ะที่กลับมา ท่านหายไปนานเลย "มีดอาบนํ้าผึ้ง"ของคุณครูดัช ใครโดนเข้าละก็ต้องยิ้มหวานไปตามๆกัน ได้ข่าวว่าท่านยังสอนอยู่ใช่ไหมค่ะ ชั้นหนึ่งเลย
    *******************************
    เคยฝึกสายหลวงพ่อเทียนค่ะ จิตนิ่งเร็วมากค่ะ กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อเทียนเจ้าค่ะ
     
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เรื่องโลกธรรม ๘
    นี่ก็เหมือนกัน อย่าสนใจนะลูก ปล่อยมันไป มันจะมีลาภก็มีไป ลาภหมดไปก็ธรรมดา เขาให้ยศก็รับ เขาเอายศกลับคืนไปก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เขานินทาก็เฉย ๆ ยิ้ม ๆ เขาสรรเสริญอย่าสนใจ ความสุขความทุกข์ ที่เกิดมาในโลกก็เหมือนกัน ความสุขใด ๆ ที่เกิดมาในโลกมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ เหมือบรรดาลูกที่ไม่เคยแต่งงานมาก่อน เกิดจะแต่งงานเข้า ก่อนแต่งก็คิดว่า การแต่งงานนี่มันสุขจริง ๆ นะ พอแต่งเข้าแล้วสิ ไอ้คู่แต่งกันเองก็อดนินทากันไม่ได้ อดทะเลาะกันไม่ได้ สร้างความทุกข์เพิ่มขึ้นมา เราคิดว่าของนี่มันจะดีมันก็ไม่ดี ของอะไรในโลกนี้ไม่มีอะไรจะดีเลยลูกรัก ทุกอย่างมันเป็นวัตถุธาตุไปหมด ไอ้วัตถุธาตุนี่หมายความว่ามันจะต้องพัง ถ้าเอาจิตเข้าไปยึดเหนี่ยวว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา มันก็เป็นทุกข์ ของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันเป็นเชื้อของไฟ คือ “ความทุกข์”

    ไฟมี ๓ กอง ราคัคคิ ไฟคือ ราคะ ได้แก่ ความกำหนัดยินดี อยากได้รูปสวย เสียง ไพเราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ

    โทสัคคิ ไฟคือ โทสะ อยากโกรธ อยากพิฆาตเข่นฆ่า อยากด่า อยากว่าเขา นี่มันเป็นความเร่าร้อน

    โมหัคคิ ไฟคือ โมหะ หลงว่าโลกนี้มันจะเป็นสุข หลงว่าชีวิตของเราจะทรงตัวอยู่มันไม่เป็นเรื่องทั้งนั้น ลูก

    เป็นอันว่า "ขอลูกทุกคน จงทำใจของตนต่ออาการต่าง ๆ ในโลกนี้ ให้มีสภาพเหมือนความรู้สึกของลมหายใจ บางครั้งรู้สึกว่ามันหายใจเราก็ไม่หนักใจ บางครั้งรู้สึกว่ามันไม่หายใจ เราก็ไม่หนักใจ ใจเราไม่เคยเข้าไปยุ่งกับลมหายใจฉันใด ขอลูกรักทุกคนจงทำใจของลูกไม่เข้าไปยุ่งกับโลกธรรม ๘ ประการฉันนั้น แล้วลูกจะมีความสุข ถือว่า พอ ตัวเดียว

    ►Oº°`´°ºO◄₪₪►Oº°`´°ºO◄₪₪
    อ้างอิง จากหนังสือเรื่องจริงอิงนิทาน (พิเศษ) โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  19. dutchanee

    dutchanee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1,127
    ค่าพลัง:
    +12,745
    โมทนาสาธุกับครูเกษ พี่แนท และคุณพี่ต้อยค่ะ
    ขอท่านเจริญในธรรมกันนะคะ ส่วนเรื่องการสอนก็เป็นไปตามจดหมายชี้แจงค่ะ มีเข้ามาก็สอน ไม่มีก็ไม่สอน เป็นลักษณะการแชร์ประสบการณ์ธรรมกันมากกว่าค่ะ เพราะช่วงหลังๆรื้อค้นความเลวของตัวเองออกมาเยอะโผล่ออกมายิ้มหรากันแยะเลยคิดว่าชั่วอย่างนี้อย่างดีก็เลวจะมีหน้าไปสอนใครอีก ก็เลยพยายามทำเป็นลักษณะการแชร์ประสบการณ์กันและกันมากกว่าค่ะ พระพุทธเจ้ายังอยู่ในใจเราค่ะ
    โมทนาสาธุค่ะ
     
  20. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    จิตตกเพราะใคร..
    คนส่วนใหญ่ที่จิตตก เป็นเพราะจิตอ่อนแอ จิตไม่มีพลัง(จิต) จิตไม่มีปัญญา
    เหตุมาจากชอบเผลอสติ ไม่หมั่นเจริญสติภาวนา อย่าไปโทษใคร โทษตัวเราเอง
    เพราะในเมื่อเราไม่มีปัญญาเป็นของตนเอง ถือเสียว่าจิตยังมีอวิชชาอยู่มาก
    เราเป็นทุกข์ก็เพราะว่าจิตไม่รู้ความจริงหรือความเป็นไปเป็นมาของขันธ์๕
    จิตเราก็เลยไม่ปล่อยวาง คือยังยึดติดอยู่กับขันธ์๕ เพราะ
    ตามที่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า..ร่างกายนี้เป็นเรา เป็นของเราตน
    จิตของพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ท่านรู้ความจริงของขันธ์๕นี้แล้ว
    จิตปล่อยวางขันธ์๕เด็ดขาด จิตไม่ไปยึดติดกับขันธ์๕ จิตท่านก็เลยไม่ทุกข์ แถมยังละสุขได้ด้วย
    จิตละรูป-นามสมมุติทั้งปวงให้ได้ก่อน จิตถึงจะเข้าความเป็นวิมุตติได้

    นี่แหล่ะน๋าคนเรา เมื่อยามปกติดีๆ ก็ไม่ยอมเจริญสติภาวนา พอทุกข์มาเยือนเท่านั้นแร๊ะ ร้องจ๊ากก!
    ทำเป็นอยากตาย ไม่อยากอยู่กับตนเองบ้าง ไม่อยากอยู่กับผู้อื่นบ้าง ไม่อยากอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
    เมื่อเผลอสติหรือขาดสติมากๆ ก็อาจจะทำร้ายร่างกายตนหรือผู้อื่นๆได้ด้วย(น่ากลัวไหม)

    ผู้ที่ไม่เห็นความสำคัญหรือไม่สนใจจิตตนเอง ผู้นั้นย่อมหาความสงบสุข..มิได้
    เมื่อเราหาจิตตนไม่พบ จึงเท่ากับเราหาความทุกข์ของตนไม่พบเจอเช่นเดียวกัน
    ทุกคนรู้นะ ว่า..ความสุขหรือความทุกข์นั้น มันเกิดขึ้นที่จิตใจของเรา
    แต่ทำไม๊ คนเราหาทางออกจากทุกข์ของตนเองไม่ได้ จะออกจากทุกข์ได้อย่างไรกันไรเล่า
    เพราะตราบใดเรายังตามหาจิตของตนยังไม่พบเลย

    ทั้งกิเลส ตัณหาและอุปาทาน หรือความทุกข์นั้นเป็นนามธรรม
    สำำหรับผู้ที่อยากออกจากทุกข์ตนเอง จะต้องรู้วิธีแยกจิตออกมาจากขันธ์๕ (รูป๑-นาม๔)
    หรือสิ่งสมมุติทั้งหลายทั้งปวงให้ได้ก่อน เพราะขันธ์๕(ร่างกาย) ก็คือตัวทุกข์ของเราดีๆนี่เอง
    ส่วนกิเลสตัณหาฯ มันก็อยู่ในขันธ์๕ นี่เอง
    ผู้ที่มีขันธ์๕ จึงไม่สามารถจะหลีกหนีพ้นตัวทุกข์ของตนเองได้ เพราะฉะนั้นก็อย่าไปหนี
    เพราะทุกข์ควรรู้ เหตุแห่งทุกข์ควรละ ความดับทุกข์ควรทำให้แจ้ง และ
    ทางแห่งความดับทุกข์ควรฝึกหัดให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป ดั่งอริยสัจจ์
    แต่ถ้าเรารู้ความจริง คือที่มาที่ไปของขันธ์๕ ก็จะไม่มีใครเป็นทุกข์
    เพราะสภาวะแห่งทุกข์ของคนเรา มันหนีไม่พ้นกฎไตรลักษณ์ มันก็แค่เกิด-ดับเป็นธรรมดา
    เป็นธรรมชาติของขันธ์๕ของมันปกติอยู่แล้ว แต่จิตเราไม่มีปัญญามากพอที่จะไปรู้เท่าทันมันเอง
    เราก็เลยเป็นทุกข์ เพราะจิตมันไปยึดติดหรือไปเกี่ยวข้องกับขันธ์๕(รูป๑นาม๔) นั่นเอง

    ผู้ที่ไม่ได้ฝึกจิตมาดีจึงไม่สามารถทำใจยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงของขันธ์๕(กาย+ใจ)
    เพราะฉะนั้น จิตปุถุชนหรือผู้ที่มิได้ฝึกจิตมาดี จึงหาทางออกจากทุกข์ของตนยังไม่ได้
    เพราะจิตยังไม่มีตัวปัญญา แต่กว่าจิตจะได้ตัวปัญญาก็ต้องตามหาจิตของตนให้พบเสียก่อน
    กว่าจะหาจิตตนเองพบก็ต้องเจริญสติภาวนาให้มาก
    เมื่อเราหมั่นเจริญสติมากๆ จิตจะนิ่งเป็นสมาธิ เมื่อนั้นเราจึงจะพบจิตของตนเอง

    เห็นไหม๊ คอยสังเกตกันให้ดี เราจะเห็นว่า..กว่านักภาวนาจะพบจิตเดิมแท้ตนเอง มิใช่เรื่องง่าย
    การปฎิบัติธรรมหรือรู้ธรรมนั้นไม่ยาก แต่ยากตรงที่จะทำอย่างไรจิตนิ่งเป็นสมาธิ
    สำหรับผู้ที่อยากจะออกจากทุกข์ของตนเอง ก็พอจะมองเห็นลู่ทางกันบ้างแล้วนะครับ

    นาม(๑)ตามไปดูนาม(๒) เมื่อพบนาม(๒)แล้ว ค่อยนำนาม(๒)ไปปล่อยวาง ทั้งรูปและนาม(๓)
    นาม๑=สติ นาม๒=จิต นาม๓=กิเลสตัณหาอุปาทาน หรือธรรมารมณ์ต่างๆ หรือเจตสิกต่างๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...