"ดูจิต" เพื่อให้เข้าถึงอธิจิตที่ถูกต้อง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 22 พฤษภาคม 2013.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขออนุญาติ

    โดยรวมๆ การกล่าวธรรม กล่าวได้เป็นลำดับดี แม้นจะเห็นได้ว่า
    กล่าวมาตามคำสอนของครู แต่ถ้า นำมากล่าวโดยไม่ผิดลำดับ ก็จะ
    ถือว่า จิตมีต้นทุนในการภาวนาใช้ได้

    ถ้าการภาวนาไม่มี การนำคำครูมากล่าว จะขาดหาย หรือไม่ก็สลับไปมา

    แต่อย่างไรก็ดี..... ประโยคข้างบนนั่น กลับ " ด้วน " หายไป ตรงเรื่อง
    การรู้สภาพธรรมเหมือน " ดูหนัง " ตรงนี้ มีบางส่วนหายไป และ ส่วนที่
    หายไปเป็น ส่วนสำคัญที่จะชี้ได้ว่า " รู้ถึงฐาน " เป็นหรือไม่เป็น ถ้าขาด
    หายไปก็สามารถยกปรักปรำผู้ภาวนาได้ทันทีว่า " รู้ไม่ถึงฐาน "

    การที่เราภาวนา ยังหาฐานจิตไม่เจอ เวลาภาวนาไปแล้ว แม้นจะเห็นสภาพ
    ธรรมได้ละเอียด ปราณีต แต่มันจะขาดหายส่วนยสำคัญไปตลอด ท่อนนี้หาก
    ผู้เขียน สามารถเห็นตามนี้ได้จริง ให้ยกสภาพรวมๆ ทั้งวรรคนี้ขึ้นเป็น "สภาพ
    ธรรมอันเดียว " ให้ได้ แล้วจะเห็นว่า ยังรู้ไม่ถึงฐานจิต ส่วนที่ยังภาวนาเข้า
    มาไม่ได้

    ท่อนที่สามนี้ ก็อย่างที่กล่าวไปแต่ต้น หากรู้ไม่ถึงฐานของจิต จะเข้าใจ
    ผิด จะหยิบจับถ้อยคำผิด จะทรงคำสอนไว้ไม่ได้ คำสอนในท่อนนี้
    จึงเต็มไปด้วย ส่วนที่คาดเดาเอาเอง ส่วนที่ตบแต่งเป็นคำสอนขึ้นใหม่

    พอมันเป็น บทคำสอนที่เขียนขึ้นเอง ขาดการเห็น " รู้อยู่ที่ฐานจิต " เป็น
    อย่างไรกันแน่ คุณลองอ่านบทความคำสอนของคุณ มันจะ ขาขวิดกันเอง

    ยกตัวอย่าง ระบุว่าเห็นการเกิดดับของจิต ทั้งชีวิตเห็นได้แค่ 2-3 ครั้ง
    แต่ตอนท้ายกลับระบุเห็น " มีเกิดดับได้ตลอดเวลา "

    ********

    ดังนั้น จึงอยากฝาก ญาติธรรม นักภาวนา ครูคนเดียวกันว่า ให้ท่าน
    กลับไปพิจารณา สภาวะการรู้ ตาม ท่อนที่สอง ให้ยกตรงนี้ หากเห็น
    ได้แค่นี้ ให้รู้ลงไปซื่อๆก่อนว่า " รู้ยังไม่ถึงฐาน " รู้เข้ามาตรงๆ ตรงนี้
    ก่อน แล้วจะไม่เผลอไปหยิบ อาการอะไรมาเทียบว่าเห็น จิตเกิดดับ
    ทั้งๆที่ ยังไม่ถึง ภูมิ หรือ ฐาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2013
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แล้ว กรณีคำพูดย้อนแย้ง ของ สมาชิกชื่อ ธรรมภูติ หนึ่งใน " คณะถลกจีวรพระ "
    สมาชิกเว็บ ขัดขวางการหลุดพ้น ( antiwimuuti )

    อันนั้นขอให้ วีรวิทย์ เผิกเฉยไปก่อน อย่า เฝ้นหาถ้อยคำขึ้นถกเถียง

    และให้มั่นใจว่า การเห็น สภาวะ " จิตตั้งมั่น " เห็นความคิดเป็นสายน้ำ
    ที่ไหลผ่านการเห็น อันนั้น ถือว่า ใช้ได้ เพียงแต่ว่า " รู้ยังไม่ถึงฐานจิต "
    ยังส่วนกระแสเข้ามาเห็น "จิตผู้รู้" ยังไม่ได้ ยังส่งออกไปดู สายน้ำ สายความ
    คิดอยู่

    ตรงนี้ หากคุณ วีรวิทย์ อาจหาญไปถกเถียง พวกขัดขวางการหลุดพ้น คำพูดที่
    เราพยายามสร้างขึ้นมาเพื่อยืนยันภูมิ คำพูดเหล่านั้นจะเป็นเรื่องผิดศีล และทำ
    ให้เรา ก้าวล่วงความไม่มีสัจจ ทำให้ งานของพวกเขาสำเร็จ สามารถขัดขวาง
    การหลุดพ้นได้ โดยให้เรา เผลอเคลื่อนด้วยมานะ ออกจาก รัตน์บัลลังก์
     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ู^
    ^
    เฮ้อ!!!
    คนอะไร ที่หาความซื่อสัตย์ต่อตนเองยังไม่ได้แม้สักนิด แต่ชอบ...จริงๆ
    แถมยังชอบโชว์ภูมิ ที่ไม่มีในตนอีก ชอบเตือนคนอื่น แต่ไม่คิดเตือนตน

    "เตือนตน"
    "ตนเตือนตน ของตน ให้พ้นผิด ตนเตือนจิต ตนได้ ใครจะเหมือน
    ตนเตือนตน ไม่ได้ ใครจะเตือน ตนแชเชือน ใครจะเตือน ให้ป่วยการ"


    การเตือนตนนั้น เค้าเตือนกันที่จิตของตนใช่หรือไม่? เฮ้อ!!! ไม่คิดทำ

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน ที่ไม่มีงานทางจิตทำ ดีแต่ติดคิด55+
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ..เป็นไปอย่างท่านธรรมภูติว่า..ในท่อนแรก กับท่อนที่สอง จิตตั้งมั่นแล้วไม่มีเผลอ การอธิบายของคุณมันถูกต้อง..เพราะคุณไปเอาอาการคำอธิบายของจิตที่ตั้งมั่นในสมาธิมาธิบาย..แต่ตัวคุณกลับไม่มีสมาธิในขณะปฏิบัติจึงอธิบายสับสนไปหมด
    ..คุณอธิบายสับสนในการปฏิบัติของตนเองหรือสับสนในคำว่า "จิตตั้งมั่น"นี่คือสมาธิจิต ถ้าจิตตั้งมั่นจริงคุณเห็นแน่ จิตผู้รู้ไม่กระโดดเข้าไปปรุงแต่งกับเจตสิกที่จรมายังจิต..ไม่มีเผลอแล้วจิตกลับมาตั้งมั่นอีก..ตรงนี้คุณมั่ว ตรงนี้เจอนิวรณ์มันผสมสีให้อีกไปกันใหญ่เลยครับ...:cool:
    ..ท่อนที่สามนี่..เห็นชัดว่าเข้ามาชวนคนไปดูจิตแน่..เพราะมีั่วถึงขนาดเห็นเกิดดับได้ยังไง เมื่อจิตไม่มีสมาธิเลย คุณเห็นความคิดนะซิ อิอิ:boo:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2013
  5. newamazing

    newamazing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,704
    ค่าพลัง:
    +1,381
    การที่กล่าวว่าดูจิตนั้นก็น่าจะหมายความว่าดูจิตอย่างเดียวนั้น ประเภทที่ดูความคิดเกิดดับ ดูอารมณ์ที่เกิดดับทั้งสุขทุกข์ที่เกิดจากสัมผัสทั่วไปตามชีวิตประจำวันนั้น เป็นเพียงการพิจารณาจิตหรือดูจิตอย่างที่ท่านกล่าวมานั้นไม่สามารถเข้าถึงสภาวะกำจัดกิเลสที่แท้จริงได้ การที่จะพิจารณาจิตนั้น จะต้องพิจารณากายจนกายสังขารระงับเกิดปฐมฌานิวรณ์ดับไปถึงจะเกิดปัญญาที่มีพลัง ถามว่าแล้วการพิจารณาจิตหรือดูจิตเกิดดับในระหว่างอื่นทำได้มั้ย ทำได้แน่นอนครับแต่ผลที่ได้นั้นน้อยมากครับ ฉะนั้นแล้วการพิจารณากายจนกายสังขารระงับ แล้วพิจารณาเวทนาที่เกิดและดับ และพิจารณาจิตจนจิตสังขารดับไปน่าจะเป็นสิ่งที่ได้ผลจริงครับ ไม่น่าไปตามดูการเกิดดับของความคิด และอารมณ์ต่างๆ
     
  6. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    ขอโทษที่อธิบายไม่ละเอียด เป็นเพราะไม่ถนัดที่จะอธิบายสภาวะได้ตรงกับที่เห็นมา

    โดยจิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้แล้วเห็นอาการปรุงแต่งเกิดขึ้นโดยแยกตัวผู้รู้กับสังขารออกจากกัน อยู่ในขั้นอุปาจาระสมาธิความปรุงแต่งยังมีปกติ


    ส่วนที่พอระลึกรู้ความคิดที่เผลอแล้วจิตกลับมาตั้งมั่นมันเป็นขณิกกะสมาธิ

    ส่วนที่จิตเข้าณานแล้วเพ่งดูที่จิตตรงๆจนเห็นการเกิดดับของจิตเกิดดับแบบถี่ๆมันเป็นการดูจิตในขั้นอัปนาสมาธิ
     
  7. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    จากทีีคอมเม้นต์ก็ขอขอบคุณที่แสดงความเห็น โดยเป็นเพราะผมไม่ได้ศึกษาปริยัติเลยอาจจะมึนๆหรือใช้ศัพท์ได้ไม่ตรงกับที่ไปรู้สภาวะ แต่จากการได้ปฏิบัติก็ทำให้รู้ให้เห็นมาบ้าง โดยสภาวะที่ผมเห็นไม่ได้จำมาจากคำครูอาจาร์ยแต่เป็นสภาวะที่ได้ไปเห็นจริงๆ. โดยเจตนาที่ตอบไปในกระทู้เพราะอยากจะได้บอกกับหลายๆคนว่าการดูจิตถ้าดูได้ถูกต้องก็สามารถเข้าไปเห็นไตรลักษณืของรูปนามได้จริง
     
  8. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278

    ผมขอเห็นต่างตรงที่ ในสติปัฏฐานสูตรเองพระพุทธเจ้าทรงตรัสเพียง จิตมีราคะก็รู้ จิตไม่มีราคะก็รู้ จิตมีโทษะก็รู้จิตไม่ไมีโทษะก็รู้ฯลฯ ไม่ได้ตรัสว่าต้องเข้าฌานจนกายสังขารหรือจิตสังขารดับ ตย.ก็มีว่าสมัยพุทธการคนที่บรรลุธรรมจำนวนมากไม่ได้ณานมาก่อนเพียงมีสมาธิตั้งมั่น(ไม่ถึงณาน) พิจารณาธรรมตามคำสอนก็บรรลุธรรมได้
     
  9. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    คือผมไม่ถนัดในเรื่องอธิบาย แต่ขอยืนยันว่าถ้าจิตขั้นอุปจารแยกจิตผู้รู้ออกมาต่างหาก คุณสามรถเห็นจิตสังขารปรุงขึ้นได้เองโดยจิตสังขาร(ความคิดเรื่องราวต่างๆ)ที่ปรุงขึ้นตัวจิตเป็นผู้ปรุงเองโดยผมไม่เจตนาที่จะปรุงสักแต่ว่าดูมันทำงาน. โดยสังขารที่เกิดขึ้นจะตั้งได้ไม่นานก็ดับเหมือนกองไฟที่พอไม่เติมเชื้อฟืนมาเพิ่มมันก็ดับไปเอง
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ในฐานะลูกศิษย์ ครูคนเดียวกัน ขออนุญาติ เตือนอีกครั้ง

    คุณไม่ควรรีบร้อนออกมากล่าวธรรม เพราะ ทุกคำที่กล่าวจะทำให้
    คุณปักใจในทิฏฐิที่ผิด ทำให้ยิ่งเนิ่นช้า และอาจจะยิ่งห่างไกลคำสอน
    ที่ถูกต้องอย่างร้ายลึกไปเรื่อยๆ

    อย่างประโยคนี้ คุณไปหยิบคำว่า " เชื้อฟืน " ซึ่งเป็นเรื่องของ
    "อาสวขยญาณ" ซึ่งลักลั่นเพราะความรีบร้อนกล่าวธรรม ทำให้
    หยิบผิด

    ถ้าเอาผลการปฏิบัติ แล้วซื่อสัตย์ต่อตัวเอง จะพูดแค่ " เหตุดับ "


    การหยิบผิด แทนที่จะได้ นามรูปปริเฉทญาณ( ญาณตัวที่ 1 เอง) จะ
    ทำให้ผลิกไปสู่สัญญาวิปลาส โดยไม่ได้ตั้งใจ ( ถูกโน้มน้าวให้กระเดิด
    ออก จากพวกขัดขวางการหลุดพ้น - antiwimutti )

    " ไม่ควรรีบร้อนกล่าวธรรมะ กรรมฐานจะเสีย ถึงขั้น ล้มละลาย "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2013
  11. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ไอ้นี่ก็..จะหาพวก พาเข้าฝูง ไถปัจจัยไปเรื่อยกับคนมาใหม่ ไม่รู้ ไม่เข้าใจเสมอ รึปลอมตัวมาเล่นลิเกลคร กันแน่วะ อิอิ:boo:
     
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984

    ..คำโพสต์ของคุณดูดี..ไม่รู้ปริยัตแต่แยกได้กระทั่งสาธิขั้น อุปจารสมาธิ..มันขัดกันไหมน่าเชื่อถือไหมครับ..
    .. คุณรู้ถึงอยู่ในสภาวะอุปจาระ แล้วมานั่งดูสังขารจิต..แค่นี้คุณก็ผิดแล้ว อธิบายคนละเรื่องกับคนที่เขา ทรงสภาวะ อุปจาระแล้ว..คุณเป็นพระอยู่ใช่ไหมตอนนี้ อิอิ:cool:
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ถ้าจิตแยกออกมาแล้ว อะไรก็ปรุงแต่งไม่ได้ทั้งนั้น
    ที่ยังปรุงแต่งได้เพราะ จิตเองที่หยิบข้อธรรมในหมวดกาย เวทนา จิตมาพิจารณา
    ควรพูดว่า "อยู่ในขั้นอุปาจาระสมาธินั้น ยังถูกปรุงแต่งได้"

    ช่วยอธิบายคำว่า "ขณิกสมาธิ" (ขณะแห่งสมาธิ)หน่อย
    ไปดูที่ท่านพระอาจารย์หลวงตามหาบัว อธิบายไว้ชัดเจนที่สุด

    อย่าเพิ่งเชื่อ ที่ใครบอกว่า"ศิษย์ครูเดียวกัน" มันหลอกแด..มาเยอะแล้ว

    ******

    เอาธรรมะของพ่อแม่ครูบาอาจารย์มาให้ฟัง

    V
    V
    http://www.fungdham.com/sound/popupsound/sim/02/popup-04.html
    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร
    สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่

    แนวทางปฏิบัติ 14 มิ.ย 26 - ธรรมปฏิบัติ
    ^
    ^
    จงตั้งใจฟังธรรม พ่อแม่ครูบาอาจรย์ หลวงปู่มั่น ที่พระอาจารย์หลวงปู่กล่าวถึง
    นั่นหนะ"ดูจิต" ที่ถูกต้อง

    เจริญในการฟังธรรมทุกๆท่าน

     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่างถ้อยความนี้ ดูเผินๆ เหมือนจะไม่ผิดอะไร

    อย่างน้อยก็คงมีความมั่นใจในการปฏิบัติ มาพอสมควร และอาจจะ
    เห็นสภาพธรรมตามจริงมาแล้ว

    แต่ ในทางปฏิบัตนั้น เราจะยังไม่กล่าวว่า เห็นจริง เห็นตามความเป็นจริง
    จกกว่าจะเห็นได้ถึง " วงรอบการเห็นอริยสัจจ " ( ถ้าเห็น อริยสัจจ ญาณ
    จะขึ้น อุทัพญญาณ ...ซึ่งใหม่ๆ จะติด วิปัสนูกิเลสกันเล็กน้อย ถึง มาก จน
    หากไม่รีบร้อย เหยียบหัวใคร หรือ รีบร้อนไปโต้กับใคร สอนใคร ให้ ภาวนา
    ต่อไปอีกสักระยะ โดยไม่ต้องคุยกับใคร ก็จะ มีความมั่นคงในสิกขาบท มากขึ้น )


    ตราบใดที่ยังไม่เห็น อริยสัจจ การรีบร้อนกล่าวว่า " ตนปฏิบัติมาด้วย
    การเห็นโดยตัวเอง " จะเป็นอะไรที่ "ร้ายแรง" มาก

    ความร้ายแรงที่ พยามาร จะหยิบยื่นให้คือการ รีบร้อนพูดว่า ไม่ได้เห็น
    ตามคำครูบาอาจารย์ ( ซึ่ง จริงๆ มันเป็น เรื่องปรกติ ที่ สาวก จะต้อง
    เห็นไปตาม สุตตมัยปัญญา -- แต่ เราโดน มาร หรือ พวกขัดขวางการ
    หลุดพ้นมันหลอก ยั่วยวน ให้เรา เข้าใจผิดใน สุตตมัยปัญญา

    สุตตมัยยปัญญา ของ สาวก นั้น จะใช้ไปจนกระทั่งถึง อรหัตผล

    สาวกทุกคน จะไม่มี " จินตมัยปัญญา " จะพูดว่า ภาวนาด้วยตัวเองไม่ได้
    ( จินตมัยยปัญญา จะเป็น ปัญญาของ นิยตโพธิสัตว์ ไม่มีใน สัตว์ชนิดอื่น
    -- อรรถกถา ในพระไตรปิฏก , จินตมัยยปัญญา ที่ใช้ในปัจจุบัน ลบล้าง
    อรรถกถา )

    จะต้องเห็นตามปริยัติไปเรื่อยๆ ความที่เห็น อรรถ ตรงตามปริญัติ จะเรียก
    ว่า ปัญญา ความเข้าไปแจ้งในปัญญา จะเรียกว่า ญาณ การทำซ้ำจนมั่น
    ใจยกเป็น ญาณได้ จะเรียกว่า มรรคญาณ

    ตรงนี้ จึงขอเตือนซ้ำ

    หาก ยินดียินร้าย ปักใจเชื่อตำคำพูดที่ ตนกล่าวโดยถูกลวงให้กล่าวว่า

    รู้ด้วยตนเอง( ตรัสรู้ ) ไม่ได้รู้ตามคำครู (สุตมัยยปัญญา ) จะมีผลคือ

    " เสียสัตย์ เสียสัจจ " และ มีผลคือ " ปิดความเข้าถึงคำสอนของครู "
    และ อาจจะ " ปิดมรรคผลนิพพาน "

    ********************


    สุตตมัยยปัญญา และ จินตมัยยปัญญา จะต้องเป็น ปัญญาตามธรรม

    แต่ในปัจจุบัน นิยมใช้คำว่า จินตมัยยปัญญา เป็นเรื่อง " คาดเดาแล้วบังเอิญใช่ "
    ทำให้หยิบคำว่า จินตมัยยปัญญา มาใช้ แทนเรื่อง " การคาดเดา " หรือ " อาการ
    จิตแสดงธรรมให้ฟัง โดยผู้ภาวนาไม่ได้จงใจคิด -- จริงๆ ตัวนี้ เป็น อภิสังขารที่เกิด
    จาก บารมีคนสอนในกาลก่อน แล้ว จิตเกิดระลึกได้ แต่จะเห็นว่า ถึงระลึกได้ ก็ติด
    อยู่ที่เดิม ดีไม่ดี ยิ่งเข้าใจผิด เพราะ เป็นการ ติดแบบปักใจในการย่ำอยู่ที่เดิม "

    ************

    โพสนี้จะถือว่าเป็นการ เตือนครั้งที่ 3

    ตามธรรมเนียม

    หลังจากนี้ คุณก็จะมี อิสระ ไม่ต้องกังวลใดๆ กับ การเข้ามาเตือนอีก

    " รู้เล่นๆ " จะไปไว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤษภาคม 2013
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    นี่จะดึง..ปัจจัยโยมให้ได้รึมาเล่นลครวะ..อิอิ
    ถ้าเป็นเรื่องจริงนะ..คนข้างบนนี่เขาเกิดสมาธิจิตอยู่แล้ว..ดูกายไปเลยจิตจะเห็นเองทีหลัง
    .. ไปอ่าน ดูจิต..ของหลวงปู่ดุลย์นะ ของแท้นะ ไม่ใช่อลัชชีตัวไหนเอามาพิมพ์ใหม่หาเงินบริจาค จะรู้เอง:boo:
     
  16. innertruth

    innertruth Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    81
    ค่าพลัง:
    +64
    ผ่านมาหลายปี ไม่ค่อยได้เข้ามาคอมเมนต์ ที่แปลกใจคือ ยังเถียงกันเรื่องดูจิตอีกเหรอครับ!

    -_____-"
     
  17. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .............แน่นอน ครับ ก็ เรื่อง" กายใจ" ดูกายดูใจ นี่แหละครับ...:cool:
     
  18. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ไม่ถกเรื่อง"ดูจิต" ก็หนีไม่พ้นต้องถกเรื่อง"ดูกาย"

    ดูไปดูมา "ดูลึกเข้าไปถึงกายในกาย" ก็ไม่พ้นเรื่อง"ดูจิต"อีกนั่นแหละ

    สรุปง่ายๆว่า ศาสนาพุทธนั้นมีแต่เรื่อง "จิตกับอารมณ์(รูป)"เท่านั้น

    หรือมีมากกว่านั้น ก็ช่วยๆกันชี้แจงแถลงไขให้ชัดๆว่ามีอะไรเกินกว่านี้อีก

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  19. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    คำว่าเกิดตายหมายถึงร่างนะ เข้าไปสู่ร่างนั้นร่างนี้เรียกว่าเกิด ร่างนั้นสลายเรียกว่าตาย แต่จิตนั้นไม่ได้ตาย คือจิตมีอวิชชาเป็นเชื้อพาให้เกิดให้ตายอยู่ในจิตนี้ เข้าตรงนั้นออกตรงนี้เรื่อย ๆ ตามจิตอันนี้ต้องตามด้วยแบบพระพุทธเจ้าอย่างเดียว ใครจะเอาแบบไหนมาใช้สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีความหมาย แบบพุทธศาสนาแล้วจะตรงเป๋งเลยเทียว เข้าถึงจุด เหมือนอย่างเราตามรอยโค เราเอาโคไปปล่อยที่ไหน ถ้าเราไปดักตรงโน้นดักตรงนี้ ไม่แน่ใจว่าจะเจอตัวโคเมื่อไร ให้ติดตามรอยมันไปเช่นอย่างพวกชาวนาเขา เขาปล่อยโคไว้ที่ไหนเขาติดตามรอยไป ตามไปแล้วก็ไปถึงตัวโค
    ฯลฯ
    นี่เราหมายถึงเรื่องติดตามวัฏจิตวัฏจักรติดตามด้วยจิตตภาวนา ตามเข้าไป มันจะมีวงแคบเข้าไป สิ่งเกี่ยวข้องของมันจะถูกตัดออก ๆ มันยั้วเยี้ยไปหมดนะ จิตดวงเดียวนี้มันรู้รอบโลกธาตุ มันติดไปหมดเลย เวลาเข้าไปตรงนี้แล้วค่อยตัดทางโน้นทางนี้ ทางเหล่านั้นก็ค่อยหดเข้ามาย่นเข้ามา เพราะออกจากจิตอันเดียว เมื่อจิตหดเข้ามาสิ่งเหล่านั้นก็หดเข้ามาลงไปรวมอยู่ที่จิต ตัดออกไปเรื่อย ๆ ตัดเข้าไป สุดท้ายร่างกายที่เป็นอุปาทานยึดมั่นที่สุด ร่างกายนี่ยึดมั่นส่วนหยาบ ยึดมั่นส่วนละเอียดก็นามธรรม พวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เป็นกิ่งของอวิชชาทั้งนั้นนะ คือเป็นทางหากินของอวิชชา เหล่านี้เป็นทางเดินหากินของมันทั้งนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างออกกว้านหากินสร้างวัฏจักรเข้ามาหาวัฏจิต สร้างเข้ามา
    ฯลฯ
    คำว่าจิตบริสุทธิ์เต็มที่นี้เป็นธรรมทั้งดวงไปแล้วนะ หมายถึงว่าธรรมทั้งดวงกับจิตทั้งดวงเป็นอันเดียวกันแล้ว นั่นเรียกว่าจิตกับธรรมเป็นอันเดียวกัน ถึงจุดนี้แล้วขาดสะบั้นหมด เรื่องสมมุติทั้งมวลนี้ไม่มีอะไรมาเกี่ยวข้อง" เป็นอฐานะ" คือให้เป็นไปอย่างไรอีกไม่ได้แล้ว จะบังคับให้ติดก็ไม่ติดเมื่อถึงขั้นของมันแล้ว เมื่อยังไม่ถึงขั้นบังคับให้ถอนมันก็ไม่ยอมถอน มันยึดมั่นถือมั่นของมัน พอถึงขั้นของมันแล้วมันถอนของมันเอง เมื่อถอนเต็มส่วนแล้วทีนี้จะบังคับให้ติดก็ไม่ติด เป็นหลักธรรมชาติแล้ว เรียกว่าเป็น"อฐานะ" ให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แล้ว

    ทีนี้เวลาถึงขั้นนั้นแล้ว นั่นละท่านเรียกว่าขั้นอัศจรรย์ อัศจรรย์โลกสมมุติเรานี้เป็นอันหนึ่งนะ ที่ว่าอัศจรรย์ของธรรมแท้จิตแท้ เรียกว่าจิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต เรียกว่าธรรมธาตุก็ไม่ผิด ท่านให้ชื่อว่านิพพาน ธรรมธาตุ จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วพระพุทธเจ้าทรงให้ชื่อว่านิพพาน จะแยกเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ คำว่านิพพานเป็นคำเดียวเท่านั้น อันไหนไม่เหมือน อันไหนไม่ถูกฯลฯ

    http://palungjit.org/threads/นิพพานคือนิพพาน-อาจารย์พระมหาบัว-ญาณสัมปันโน.495951/

    เจริญในธรรมทุกๆท่าน
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    พี่ภูติ เข้าใจบริบท ที่หลวงตามหาบัว ท่านอธิบาย อย่างไรบ้าง


    " ทีนี้เราพึงทราบว่าการพิจารณาในสติปัฏฐาน ๔ นี้
    เราจะต้องพิจารณากายเสียก่อน
    แล้วก็ต่อไปเวทนา
    ต่อไปจิต
    และต่อไปธรรมนั้น เป็นการคาดผิดไป

    อันนี้เป็นชื่อของส่วนแห่งสภาพซึ่งมีอยู่ด้วยกันแล้ว
    ท่านแยกออกเป็น ๔ ประเภทเท่านั้น

    ในประเภททั้งหมดนี้
    มีอยู่กายอันเดียวนี้
    เวทนาก็อยู่กาย
    จิตก็อยู่ในกายอันนี้
    ธรรมก็อยู่ในกายอันนี้
    แต่ ท่านแยกประเภทออกไป

    ฉะนั้น ความเข้าใจของเราอาจจะมีความเห็นผิดไปว่า
    เมื่อท่านแยกออกเป็นกาย
    เป็นเวทนา
    เป็นจิต
    เป็นธรรมแล้ว

    ถ้าหากเราจะพิจารณาในเวทนา หรือในจิต ในธรรม
    ส่วนใดส่วนหนึ่งก่อนแล้วจะเป็นการผิดอย่างนี้
    นี่อาจเกิดขึ้นในความหลงผิด

    แต่แท้ที่จริงเวลาเราพิจารณากาย
    เวทนาก็แฝงอยู่ในกายนั้น
    ความทุกข์ไม่เลือกกาลใด
    จะเป็นกาลที่เรากำลังพิจารณากายอยู่ก็ตาม
    หรือออกจากกายนั้นแล้วก็ตาม
    เกิดขึ้นได้ทั้งสุขทั้งทุกข์ทั้งความเฉยๆ

    เช่น

    เป็นโอกาสหรือเป็นช่องที่เราจะควรพิจารณาในเวลาเวทนาเกิดขึ้นนั้น
    ให้ได้ทราบชัดว่า
    เวทนานี้เป็นอะไร
    นอกจากว่ากายนี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราแล้ว
    เราจะเห็นว่าเวทนาที่เกิดขึ้นนี้เป็นอะไรอีกในบรรดาเวทนาทั้งสามนี้ "


    อ่านต่อที่นี่ ʵԻѯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...