หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ได้พบศิษย์ผู้พี่ที่ไม่เจอกันไปนานนับสิบปี จึงมีเรื่องเล่าสู่กันฟังพอสมควร เรื่องหนึ่งที่พี่ท่านนี้เล่าให้ฟังคือ เมื่อปี 2526 ครั้งแรกที่พี่ท่านนี้เข้าไปกราบหลวงพ่อที่วัดท่าซุง...
    หลวงพ่อพูดขึ้นว่า...
    "ขอเธอจงพิจารณาร่างกายนี้ ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกายนี้ ร่างกายนี้ไม่มีในเรา"
    ท่านกล่าวเพียงเท่านี้ เฉพาะเจาะจงสำหรับพี่ท่านนี้ แต่ว่าในตอนนั้น พี่ท่านนี้ยังไม่เข้าใจว่า สักกายะฑิฐิ คืออะไร..เพียงแต่จำเอาไว้ว่า หลวงพ่อสั่งไว้แบบนี้...

    จึงมีความเห็นตรงกันว่า นี่คือหัวใจหลักที่หลวงพ่อต้องการให้ลูกศิษย์ทุกคนนำไปปฏิบัติ แต่ส่วนมากไม่มีใครเอา จะเอาแต่เที่ยวไปเห็นโน่น เห็นนี่ ใครเป็นคู่กับใคร อะไรต่างๆ...
    เนื้อแท้ของธรรมะที่หลวงพ่อท่านต้องการจะสอน กลับไม่มีใครเอา...

    เวลานั้นก็ให้หวาดเสียวยิ่งนัก เพราะว่ายังมีลูกศิษย์อีกหลายคนเดินไป เดินมาแถวนั้น การเจรจาต้องบรรเทาลง เพราะเกรงว่าจะเป็นที่รังเกียจต่อท่านทั้งหลาย..

    พี่ท่านนี้สมัยที่ทำบุญกับหลวงพ่อ ได้พระคำข้าวมาก็แจกหมด มาถึงยามนี้ ก็เลยแทบไม่มี เกิดอยากได้ พระหางหมากบ้าง จึงได้ขอผมมา ก็จัดส่งไปให้...
    แล้วก็เกิดอยากรู้ว่าผมแขวนพระอะไร...
    องค์ในเสื้อเป็นหลวงพ่อปาน ขี่ครุฑ ใหญ่..
    องค์นอกเสื้อเป็นของหลวงพ่อฤษี...
    ได้บอกศิษย์พี่ท่านไปว่า พระท่านมาบอกว่า ให้แขวนองค์นี้ เพื่อป้องกันเจ้ากรรมนายเวรที่เข้ามากระทำ ช่วงนี้กำลังจะพ้นแล้ว หลังจากที่โดนกระหน่ำอย่างหนักมากว่า 5 ปี มีองค์นี้ที่จะช่วยได้ ปะทะไว้ได้ จึงได้แขวนเอาไว้ ซึ่งก็ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ...

    ตอนหน้าว่าจะเล่าให้ฟังว่า กับเจ้ากรรมนายเวรแล้วนั้น ไม่ต้องไปดราม่ามากนัก เจ้ากรรมนายเวรมีหลายประเภท และบางครั้งกับเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรก็มี และเจ้ากรรมนายเวรแบบไหน ชดใช้ได้ จะชดใช้อย่างไร จำพวกไหนชดใช้ไม่ได้เพราะเขาไม่รับ จะหลบจะเลี่ยง จะหนี จะชิ่ง ทำยังไง...
    ทำบุญหนีกรรมน่ะพอได้....แต่เรื่องจะไปแก้กรรมนั่น ถ้าใครแก้ได้ ผมว่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้า แล้วหากลองนึกถึงหลวงพ่อฤษี ท่านเก่งขนาดนั้น พระ เทพ พรหม มากมายคอยตามช่วยท่าน แต่ท่านก็ยังต้องเจ็บป่วยอย่างมาก ถ้าแก้กรรมได้จริงด้วยการถวายพระพุทธรูป บ้าง ปล่อยนกตกปลาบ้าง นี่ผมว่าหลวงพ่อฤษีท่านทำมามากกว่านั้นเยอะนะ...
    แล้วถ้าวิธีไหนได้ผล พระก็ตาม เทวดาก็ตาม ท่านต้องบอกหลวงพ่อหมดแล้ว ไม่ต้องปล่อยให้ท่านเจ็บป่วยขนาดนั้นนะ...เป็นอันว่าผมขอนั่งยันว่า กรรมน่ะแก้ไม่ได้ โดยดูจากหลวงพ่อเป็นตัวอย่าง...แต่จะหลบ จะเลี่ยง จะหนี มีวิธีอย่างไร...ไว้มาว่ากัน...
     
  2. bhumarin

    bhumarin สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +24
    ตามมาหาความรู้ ครับ
     
  3. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... สั้นง่าย และ แจ่มมากเจ้าคะท่านพี่ระมิงค์ที่เคารพ ..
     
  4. ยอดชา

    ยอดชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +136
    อยากฟังครับ หนีกรรม ขอฟังเป็นธรรมทานครับ
     
  5. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ตั้งท่าอยู่นาน...เพราะว่าเป็นเรื่องเล่าที่ค่อนข้างเสี่ยง...

    เจ้ากรรมนายเวร...

    ปกติธรรมดาแล้ว คนส่วนมากพูดถึงเจ้ากรรมนายเวร มักจะเกี่ยวข้องกับคนรอบๆข้าง ได้แก่ คนในครอบครัว และคนทั่วไปที่ต้องเจอะเจอกัน ซึ่งอยู่นอกครอบครัว...
    ซึ่งก็มักจะพูดถึงคนที่ทำให้เราได้รับความเสียหาย ทางด้านร่างกาย ทรัพย์สิน หรือจิตใจ...
    แต่ไม่ค่อยเคยได้ยินใครคิดว่า ตัวเองนั้นไปเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่นด้วย คือคนที่เราไปเบียดเบียนเขา ด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ตาม...คือ เวลาทำเขาไม่คิด คิดแต่เวลาที่ถูกเขาทำเท่านั้นเอง...

    บ่อยๆครั้งที่มีการกระทบกระทั่งกัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดา ในสังคม มันก็ไม่ใช่เรื่องเจ้ากรรมนายเวรอะไรเลย เป็นที่การไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเองบ้าง การไม่รู้จักหน้าที่บ้าง การไม่รู้จักความรับผิดชอบ และการไม่มีวินัย แต่หลายคนก็โบ้ยเอาว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร...

    ในข้อนี้ จะว่าไปก็มีประโยชน์เหมือนกัน เพราะมันทำให้เราอภัยผู้อื่นได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องคอยแก้แค้น แก้มือ กันไปๆมาๆ เหมือนอย่างบางชนชาติที่ไม่ได้นับถือศาสนา...
    ดังจะเห็นหลายๆครั้งที่เรามักอุทานคำว่า "เวรกรรม" นั่นคือ ปัดภาระ ความเจ็บปวดที่ได้รับในขณะนั้น ว่าเป็นที่เวรกรรมเก่า เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ก็อโหสิกรรม เลิกจองเวรในเรื่องนั้นๆกันไป...

    ที่แท้แล้วการจัดการกับปัญหาเจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต มีตัวตน สัมผัสได้ กระทบกระทั่งกันอยู่ในปัจจุบันนั้น แก้ไขง่ายกว่า โดยการปรับเปลี่ยนความคิดของเราเอง....จากคิดลบ ให้เปลี่ยนเป็นคิดบวก จากที่คิดว่าถูกเอาเปรียบเบียดเบียน เราต้องมาใช้กรรมให้กับเขาคนนั้น เปลี่ยนมาเป็นว่าเรานี่เกิดมาเพื่อสร้างบารมี นี่จาคะบารมี นี่ขันติบารมี นี่ปัญญาบารมี...พูดมันง่ายใช่ไหมล่ะ...ไม่มีตัวอย่างก็นึกลำบากเหมือนกัน...ใครเจอเรื่องราวที่กระทบกระทั่งกันอย่างผิดปกติวิสัย ก็ลองเอามาเล่าสู่กันฟัง ถึงสิ่งที่ถูกกระทำ และสิ่งที่เราโต้ตอบกลับไป...เอาตัวอย่างจากที่ผมเจอมาเล่าให้ฟัง...

    ผมมีวาสนาอยู่อย่างหนึ่งคือ ใครเขาทะเลาะกันที่ไหนก็ตาม เขาต้องมาโกรธ เกลียดผม ทำอย่างกับว่า ผมเป็นแกสโซฮอล์อย่างนั้นเลยครับ...ทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมเลยแม้แต่น้อย...อันนี้ผมทำใจได้ตั้งนานแล้วว่า ... ช่างมัน...ก็จบ...
    "ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
    ใครเชิด ใครแช่ง ช่างเขา
    ใครด่า ใครบ่น ทนเอา
    ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ"

    ยิ่งไปกว่านั้นคือ ข้าวของทรัพย์สินอะไรที่เป็นของผมนี่ ใครเห็นเข้าจะต้องขอ แต่ถ้าเป็นของคนอื่นเขาไม่ขอ ... กล้าขอ กระทั่งรถยนต์ที่ผมใช้ส่วนตัวของผม...แต่เมื่อให้ไปแล้ว กลับกลายเป็นว่า ผมติดค้างบุญคุณเขา เขามาทวงบุญคุณเอาว่า นี่ดีแค่ไหนแล้วที่เขามาเอาจากเราไป...นี่งงไหมครับ...บางรายมายืมรถยนต์ผมไปใช้ เอาไปใช้แล้วมาขอเบิกค่าน้ำมัน แล้วยังมาด่าว่าผมอีกว่า นี่เสือกให้เขายืมทำไม? แล้วเขายืมรถเราไปใช้นี่ก็ดีเท่าไรแล้วนะ ต้องขอบคุณเขา...นี่ผมเจอคนพวกนี้ มาแบบนี้ ตลอดชีวิต

    แก้ไขอย่างไรกับคนจำพวกนี้ ผมมีความรู้สึกว่าคนพวกนี้เป็นคนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ เห็นแก่ได้....แต่ถ้าไม่มีคนพวกนี้แล้ว เราจะไม่รู้ว่า จาคะบารมีเป็นอย่างไร ขันติคือความอดกลั้น เป็นอย่างไร ความเสียสละเป็นอย่างไร... ขนาดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิ์สัตว์ ยังต้องได้ ชูชก มาขอ ลูกในไส้ ทั้งสองไป ถึงจะได้บำเพ็ญบารมีขั้นสุด นี่ถ้าไม่มีคนอย่างชูชกแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจะสำเร็จบารมีข้อนี้ได้อย่างไร...คิดได้อย่างนี้แล้ว ก็สบายใจขึ้น ... แล้วก็พยายามอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ กับคนจำพวกนี้เอาไว้ ... จะเรียกว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรก็ได้ เพราะกับคนอื่นๆแล้ว พวกนี้เขาดีด้วย เป็นผู้มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่...แต่กับเรานี่ไม่ได้เลยทีเดียว....

    การต่อมาหากต้องอยู่ร่วมกัน นี่ผมก็จะหาโอกาส ชวนบุคคลเหล่านี้ไปทำบุญ คือเปลี่ยนจากกระแสกรรมชั่วในอดีต ที่เคยมีต่อกันมา กลายเป็นกระแสบุญ ไปทำบุญด้วยกันบ่อยๆ มันไม่ดีขึ้นก็ไม่เป็นไร ให้เขาได้มีโอกาสทำบุญ เราไม่รู้ว่าวันหน้าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา หรือกับเขา แต่บุญตรงนี้ที่ทำลงไป ไม่มีเสีย มีแต่ได้กับได้...ได้ตั้งแต่ตอนทำบุญแล้ว ว่าสบายใจดี...

    นี่เป็นยุทธวิธีที่ผมจัดการกับเจ้ากรรมนายเวรที่มีตัวตน...ซึ่งไม่ยากนัก...

    ที่น่าหนักใจเห็นจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่ไม่ใช่กายเนื้อ...
    ตรงนี้ ไว้อาทิตย์หน้าจะมาเล่าให้ฟัง...
     
  6. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    รอฟังอย่างใจจดใจจ่อนะคะ ท่านพี่ระมิงค์ ^___^

    ... หนูถือว่ายังโชคดีกว่าพี่อยู่มากที่เจ้ากรรมนายเวร หลัก คือ คนในครอบครัว กับ เนื้อคู่ตัวเองนี้แหละ .. แต่หากคิดได้แบบพี่ว่าชีวิตก็น่าจะมีความสุขแล้ว .. ทำให้หนูคิดว่าเรื่องอขงตนเองยังถือว่าดีกว่าพี่มาก ตอนแรกคิดว่าแย่แล้วนะคะ .. หนี้รักก็ใช้ให้เขามาเยอะแล้ว หนี้อย่างอื่นก็ไม่เท่าไหร่ถ้า .. มีแต่คนอื่นเอาเรื่องมาให้มากกว่า .. ทุกวันนี้หนูบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไรช่างมัน เขาอยากได้ก็ให้เขาไป ใครจะทำอะไรช่างเขา พยายามอยู่แบบส่วนตัว ไม่ทำใครเดือดร้อน และ ไม่เอาความเดือดร้อนของคนอื่นมาทำร้ายตนเอง เรื่องอะไรที่มันร้อน ๆ ก็วางลงไปคิด และ มองปัญหานั้นแบบรอบด้าน หรือ อาจเป็นเพราะโตขึ้นมากด้วยก็ได้ มีความสุขตามอัตถภาพแห่งตนคะ ...
     
  7. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    _/|\_ ...มาอ่านเหมือนกันครับ...^_^....
    _/|\_....ขอบคุณสำหรับธรรมมะดีๆครับ...
    _/|\_....หวังว่าคงไม่ย้ายไปเปิดกระทู้ใหม่อีกนะครับ...^_^
    _/|\_....ตอนเด็กๆก็เคยอ่านทำนองนี้แหละครับได้ธรรมมะไปโดยไม่รู้ตัว...
     
  8. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    ช่วงนี้หลงทางค่ะ
    หลงอยู่ในวังวนของการศึกษาและหน้าที่การงานทางโลก
    คิดถึงกระทู้นี้มาก.
     
  9. กูย

    กูย สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +20
    หลงทางไม่ต้องกลัว อย่าหลงตัวก็พอ
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เจ้ากรรมนายเวร ในส่วนที่มองไม่เห็นนั้น น่าหนักใจกว่า...เพราะคนส่วนมากมองไม่เห็น เมื่อไม่เห็นก็ไม่รู้...เมื่อไม่รู้ก็ไม่รู้ว่าจะเอายังไง จะทำบุญแบบไหน จะอุทิศให้กันอย่างไร...
    ผมมีความเชื่อส่วนตัวของผมจากที่ได้รับคำแนะนำของครูบาอาจารย์ว่า อานิสสงค์ของการเจริญกรรมฐานนั้น มีมากกว่า การทำบุญทำทาน คือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัส สรรเสริญ ปฏิบัติบูชา มากกว่า อามิสบูชา...

    ผมเคยมีความเชื่อว่าการที่ผมได้เจริญกรรมฐานมาตั้งกะ 4-5 ขวบนั้น คงจะมีบุญเก่าติดตัวมาบ้าง....
    แต่ความเชื่อนั้นก็ถูกทำลายลง หลังจากที่ได้รู้ความจริงว่า ที่ต้องฝึกตั้งแต่เด็กนั้น เกิดจากคำอธิษฐานของตัวเองก่อนจะลงมาเกิด เพื่อให้ล่วงรู้ถึงกรรมเก่าที่ทำเอาไว้ แล้ว...
    1. อย่าทำกรรมชั่วอีก
    2. หนีกรรมเก่า ให้ทัน ถ้าไม่ทัน ลงอเวจีมหานรก จนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ผ่านไป อีกหลายพระองค์ ยังไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เลย...

    สำหรับเจ้ากรรมนายเวร ที่ปรากฎขึ้นมาให้เห็น แล้วบอกให้ฟังว่า ในอดีตเคยทำอะไรกับเขาไว้บ้างนั้น... ท่านต้องการให้สำนึกผิด และก็พร้อมจะอโหสิกรรมให้ ไม่งั้นก็ไม่ปรากฎตัวขึ้นมาบอกหรอกนะ...ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้รอว่า เมื่อเจอเจ้ากรรมนายเวรแล้ว จะไปทำบุญอะไรให้บ้าง เพื่อขอให้เขาอโหสิกรรมให้ผม...ในยามปกติ ผมจะทำบุญทุกอย่าง เจริญกรรมฐาน ด้วย สวดมนต์ภาวนา เอาหมด...ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะผมไม่รู้ว่าจริงๆแล้วชีวิตผมจะอยู่ได้ถึงเมื่อไร...ถ้ามันตายเสียก่อนผมจะไม่ได้ทำบุญ ผมจึงเร่งทำเอาไว้ก่อน...

    ผลมันก็คือเวลามีเจ้ากรรมนายเวรที่ปรากฎขึ้นมาเหล่านี้ ก็ขออาศัยผลบุญที่เคยได้ทำมาแล้ว จะวิหารทานก็ดี สังฆทานก็ดี บวชพระ บวชเณร ธรรมทาน อภัยทาน อานิสสงค์จากการเจริญภาวนา ทั้งหมดทั้งปวง ตั้งแต่เมื่อครั้งเริ่มบำเพ็ญบารมีจะมีแต่เพียงใด...ก็อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้นไป เมื่อท่านทั้งหลายเหล่านั้นหยุดการจองเวรแล้ว นั่นคือ ในชาติภพอื่นๆ หากยังต้องเกิดกันอีก ก็ไม่ต้องมีเวรต่อกัน....

    แต่ว่ากฎของกรรมที่เคยทำเขาไว้มันต้องรับ ซึ่งตรงนี้จะต่างกันบ้างตรงที่ว่า เมื่อเวลาเขาจองเวรเราอยู่ ไม่อโหสิกรรมให้นั้น โรคที่เป็นอยู่ มันเจ็บปวดทรมานมาก รักษาอย่างไรไม่หาย จะไปหาใครให้ใครช่วยก็นึกไม่ออก...

    ต่อเมื่อเจ้ากรรมนายเวรได้อโหสิกรรมแล้ว กรรมจากโรคที่ต้องได้รับก็ยังคงรับอยู่ แต่มันมีช่วงเวลาผ่อนออกไป คืออาการกำเริบแต่ละครั้งจะห่างออกไป และที่คิดไม่ออกว่าจะรักษาอย่างไร ไปหาใคร ก็ให้บังเอิญคิดออก แล้วก็บังเอิญเจอท่านที่รักษาได้หรือเจอยาที่รักษาได้ผล ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ยาตัวเดียวกัน รักษาไม่ได้ผล แต่ว่าจะหายขาดไปเลยนั้น ก็ต่อเมื่อหมดกรรม คือหมดระยะเวลาที่ผลของกรรมตรงนั้นจะให้ผล อาการจึงหายขาดไป...นี่เป็นสิ่งที่เจอมาและเฝ้าสังเกตอยู่....

    ส่วนที่ต้องหนีบ้างหลบบ้าง คือ เจ้ากรรมนายเวรที่ ไม่ยอมอโหสิกรรมให้ ไม่ว่าจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลอย่างไร ข้าฯจะอาฆาตจองเวรไปตลอด...
    ที่ผมเจอนี่อาการหนักเข้าขั้นว่า ใครก็ตามที่เสนอตัวเข้ามาจะช่วย เขาจะฆ่าทิ้งทั้งหมด ไม่เว้นว่าเป็นพระอภิญญาหรือพระอริยะเจ้ามันฆ่าทิ้งหมด...
    แต่มาพิจารณาดูแล้วว่าที่มันฆ่าได้ก็ด้วยเคยมีบุพกรรมร่วมกันมา ไม่งั้นมันก็ลงมือทำร้ายไม่ได้...และด้วยบุพกรรมที่ทำร่วมกันมา พระผู้มีพระคุณแต่ละท่านที่ได้เมตตาช่วยผมไว้ จึงต้องมาเจอกับคนบาปอย่างผมจนมีอันสิ้นอายุขัย ด้วยความทุกข์ทรมาน...

    เรื่องวิธีการจะหลบจะเลี่ยงจากเจ้าพวกนี้ ซึ่งไม่ใช่ว่าผมจะกลัวอะไรมากมายนัก เพราะเจ้าพวกนี้ถ้ามันเก่งจริง ในชาติที่แล้วๆมาไม่โดนผมฆ่าได้หรอกนะ แล้วถ้าจะไม่อโหสิกรรมให้นั้นผมก็ไม่ได้ยี่หระสักเท่าไร ด้วยเพราะถ้าพวกนี้เกิดมาก่อกรรมทำชั่วอีก ผมเจอชาติไหนผมจะฆ่ามันอีก เพียงแต่เมื่อเวลาที่พวกนี้มันมีกำลังมาก เรากำลังตก ก็ต้องหลบไปก่อน ตามปรัชญาของพวกคอมมิวนิสต์...

    มาถึงตรงนี้ก็เริ่มจะลังเลว่าจะเล่าต่อไปดีไหม เนื่องจากครูบาอาจารย์ที่ท่านแอบๆช่วยผมอยู่ด้วย ตอนนี้ก็บอกเณรว่า ขอไปหลบกรรม ไปไหนไม่ทราบ ไปกับพระอุปฐากรูปหนึ่ง มีงานท่านก็มารับแขก เสร็จแล้วก็รีบหลบไปเจริญภาวนาเงียบๆ...สิ่งที่ท่านห้ามไว้คือ ห้ามพูดถึง....?????? และอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับ....??????.....ผมก็คงต้องขอหลบบ้างละกัน....ถ้ามีโอกาส เผลอๆ จะมาเล่าต่อให้ฟัง...
     
  11. แอ๊บแบ้ว

    แอ๊บแบ้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,335
    ค่าพลัง:
    +2,544
    ระพีพัฒน์
     
  12. กาลีนะ

    กาลีนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +4,297
    ... ก็คงทำนองเดียวกันแหละคะท่านพี่ระมิงคืที่เคารพ .. พระอาจารย์ต๋องท่านก็สอนมาแนว ๆนี้แหละคะ ให้รู้จักหลบหลีก พลิกแผลงสถานการณ์ ผ่อนหนักผ่อนเบา หาช่องว่างแม้เพียงน้อยนิดหลบเร้นไปให้ได้ อย่าปะทะตรง ๆ ถ้าพิจารณาแล้วว่าได้ไม่คุ้มเสีย เพราะวันพระไม่มีหนเดียว ... แต่ท่านจะเน้นที่สุดเรื่องการสร้างบารมีให้ตนเองมาก ๆ ทำทุกอย่างที่เป็นความดีแต่ให้เน้นในส่วนที่เราขาด เช่น หากเรามีกรรมข้อหนึ่งเยอะ ก็ให้พยายามลดเลิกและทำบุญเสริมจุดตรงนี้ให้มากเข้าไว้คะ จะได้เอามาหนุนกันได้เมื่อวาระกรรมนั้นมาถึง ... จำได้ประมาณนี้แหละคะ ...
     
  13. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ในกระทู้นี้ดิฉันเข้ามาขอความกระจ่างเรื่องนี้ค่ะ สีลัพพตปรามาส รู้สึกว่าสับสนพอสมควร (ปัญญาไม่มาก:':)'() เจ้าของกระทู้โปรดเมตตาด้วยค่ะ ขอแบบละเอียดด้วยก็ดีค่ะ ... และการที่เราจะผ่านข้อนี้ไปได้ แค่ตั้งมั่นในศีลนั้น จะพอช่วยให้ผ่านไปได้หรือเปล่าคะ (แต่ก็ดูเหมือนจะยังมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอีกเยอะเลย)
    สาธุค่ะ
     
  14. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    เมื่อท่านได้ท่องทัวร์สวรรค์และทัวร์นรกแล้ว เราก็ขออนุญาติ  ต่อวีซ่าเพื่อพา
    ท่านไปท่องแดนชั้นพรหมบ้าง เอาเป็นว่านี่คือที่มาของ หนู ลัดฟ้า ที่ตามเราลงมาจาก ชั้นพรหมโลก และลงมาจุติในโลกมนุษย์ เมื่อสิบหกปีที่แล้ว

    ย้อนหลังไปราวฯ  พศ. ๒๕๔๐ ราวฯเดือนปลายเดือนมีนาคม ช่วงพระจันหร์เต็มดวงขึ้น ๑๕ ค่ำบริบูรณ์ เราก็นั่งสมาธิภาวนาตามปกติเช่นเคย ที่ปฏิบัติมา
    เมื่อ จิตสงบนิ่งเป็นสมาธิดีแล้ว จนถึงฌาน ๔ และเลยผ่านมาถึงอรูปฌาน ๑
    คือ อากาสานัญจายตนะ จิตผ่านดินแดนที่มืดและสว่าง ๘ ครั้งสลับกัน
     อาการเหมือนลูกโป่งที่หลุดลอย ไปบนท้องฟ้า อย่างเป็นอิสระ
    และขึ้นมาสู่ถึงเขตพรหมโลก หรือที่เราเรียกกันว่าชั้นพรหม เป็นเขตดินแดนที่เงียบสงบ และกว้างมาก และมีแสงนวลพอประมาณที่จะสัมผัสรู้ ในดินแดนชั้นพรหมจะมีดวงจิตแต่ละดวง เต็มไปหมด ทั่วบริเวน ลักษณะจะคล้ายพระจันทร์
    เต็มดวง มีแสงนวลในตัวเองพอประมาณ อยู่ห่างกันอย่างเรียบฯ ในบนชั้นพรหมนี้จะมีไออุ่นให้เราสัมผัสอยู่ตลอดเวลา ไม่ร้อน ไม่หนาว แต่ละดวงจิตในชั้น
    พรหมอยู่กันอย่างสงบกับความเป็นทิพย์ แต่ละดวงจิตอยู่กันมาเป็นเวลานานมาก บางดวงอยู่นานถึงสี่หมื่นสองพันก้ลป์ เขาจะอยู่ห่างกันโดยทิ้งระยะ สักราวฯ สิบเมตร คงจะได้ เมื่อจิตของเราเข้ามาใกล้ เขาก็จะถอยห่างออกไปอีก 
    เมื่อจิตเราเข้าไปสัมผัสในแต่ละดวง ก็จะทราบทันทีว่าอยู่มานานเท่าไร
    และจะเหลือเวลาอีกเท่าไร มาจนถึงดวงหนึ่ง ซึ่งครบกำหนดพอดี ๔๒๐๐๐ กัลป์
    หลังจากสนทนากันทางภาษาจิตแล้ว เมื่อสมควรแก่เวลา จึงลากลับและเราก็เริ่มลดระดับอารมฌ์ของสมาธิจิตลง ในขณะนั้น ดวงจิต ๑ ที่เราสนทนาอยู่ด้วยนั้น ตามเราลงมาทันทีตรงกับถึงเวลาที่หมดอายุไขบนชั้นพรหม และมีดวงที่เป็นบริวารตามลงมาส่งอีก ๑ ดวง  จะมาจุติที่ในเมืองมนุษย์ ในระหว่างทางลงมานั้น เราก็สนทนากันมาตลอดทาง ดวงจิตที่ลงมาจากชั้นพรหมนั้นบอกเราว่า 
    เขาได้บำเพ็ญฌานบารมีมานานที่มาอยู่บนชั้นพรหม บัดนี้ถึงเวลาที่จะมาเกิดแล้ว เขาบอกว่าจะชื่อ บาบาร่า ชอบสีฟ้า มาก และก็ลงมาถึงโลกมนุษย์
    ดวงทั้งสองที่ลงมาจากชั้นพรหมก็มาลงที่ในท้องของ คุณ มาลี ทันที
    คุณมาลีเป็นญาติห่างฯของเรา  เมื่อเราออกจากสมาธิดูเวลาก็ตีสามกว่า
    ช่วงที่เรานั่งสมาธิราวฯ สี่ทุ่มตรง  ขอพักก่อน  ตอน ๑ ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06767.JPG
      DSC06767.JPG
      ขนาดไฟล์:
      613.9 KB
      เปิดดู:
      37
    • DSC04827.JPG
      DSC04827.JPG
      ขนาดไฟล์:
      407.2 KB
      เปิดดู:
      35
    • P7040805.JPG
      P7040805.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1,013.6 KB
      เปิดดู:
      33
    • PICT0541.JPG
      PICT0541.JPG
      ขนาดไฟล์:
      853.4 KB
      เปิดดู:
      26
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2013
  15. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,730
    เหมือนเห็นภาพจริงๆเลยค่ะท่านอาจารย์คมสันต์:cool:
     
  16. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    สีลัพพตปรามาส ในภูมิของ พระโสดาและสกิทาคานั้น ท่านถือเอาศีล 5 เป็นที่กำหนด แต่ความจริงแล้วท่านเอา กรรมบท 10 เข้าไปควบรวมด้วย กำลังใจที่วัด ในชั้นนี้คือ ยอมตายก็ไม่ยอมละเมิดศีลนั้น โดยเจตนา แม้แต่ในความฝันก็ไม่ยอมละเมิดศีลนั้น....ตอนปลายของสกิทาคามีนั้น จะไม่ยอมกราบไหว้เคารพสิ่งอื่นใดนอกจากพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไม่ถือมงคลตื่นข่าว....ตอนเข้าสู่เขตพระอนาคามีแล้ว ใจผูกพันธ์กับศีลแนบแน่นขึ้น เป็นศีล 8 ความรู้สึกถึงการรักษาศีลมันไม่หนัก เป็นของเบาใจ อาการทางใจจะรู้สึกในทางร้ายแทบไม่มี จะมีน้อยใจบ้างนิดหน่อยก็เพียงวูบผ่านไป ใจสงบเย็นไปในชั้นนี้เหมือนจะเลยศีลไปแล้ว ไปทรงพรหมวิหาร 4 แทน...พอเข้าเขตอรหัตผลนั้น คำว่ามีศีล ไม่ต้องใช้ ใช้คำว่า เป็นศีล คือศีลนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับจิต เป็นศีลที่มีการทรงตัวเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องระวังเรื่องศีล เหมือนเกลือที่ละลายในน้ำแล้ว จึงไม่มีจริยาใดที่ไม่ประกอบด้วยศีล และไม่มีจริยาใดที่จะละเมิดศีลได้...

    ความจริงทำไปได้แล้ว จนเห็นได้แล้ว แต่เข้าไม่ถึง เพราะความโง่ชั่วขณะ จึงทำให้ต้องโง่ต่อไปอีกนานแสนนาน...สมน้ำหน้าตัวเอง...ต้องกลับมานั่งนับหนึ่งใหม่...จนกว่าจะครบอีก 14 อสงขัย กำไรหรือขาดทุนดีนะ อีก เกือบๆ แสนกัปป์...
     
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรนี่ ผมเห็นไม่ค่อยเหมือนคนอื่นสักเท่าไร ผมเห็นเหมือนกับการขึ้นเวทีชกมวย เมื่อขึ้นเวทีแล้ว จะให้ผมยืนเฉยๆยื่นหน้าไปให้ชก แล้วบอกว่านั่นเป็นการชดใช้กรรม ชกเข้ามาๆ...แบบนี้ผมทำไม่ได้ มันเสียนิสัยชาตินักสู้ ถ้าชกมาผมต้องหลบ ถ้าหลบไม่ได้ ผมจะปัด ถ้าปัดไม่ได้ ผมจะป้อง ถ้าป้องไม่ได้จะต้องโดนผมจะหันเอาอวัยวะส่วนที่ไม่สำคัญไปโดน...คือ จู่ๆจะมาบอกว่า เชื่อมะเร็งมาแล้ว จะยัดมาให้ผมตายแบบนี้น่ะ ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ ไอ้ตายไม่ได้กลัว แต่จะตายทั้งทีขอบำเพ็ญบารมีให้สุดลิ่มทิ่มประตูก่อนดีไหมครับ...ไม่ใช้จะมาบอกว่า เมื่อ 10 ชาติที่แล้ว แกฆ่าพ่อแม่พี่น้องข้าฯหมด วันนี้ข้าฯจะฆ่าแก...ก็ต้องบอกไปตามตรงว่า จำไม่ได้จริงๆ ขนาดเมื่ออาทิตย์ที่แล้วกินข้าวกับอะไรยังจำไม่ได้เลย...เลยไม่รู้ว่าที่แกพูดมามันจะจริงหรือเปล่า แล้วหากเทียบกับอุปนิสัยส่วนตัว ถ้ามันไม่ถึงที่สุดของที่สุดแล้ว เรามันก็ไม่ทำใครก่อน ดังนั้นถ้าจะทำลงไปจริงๆ พวกแกมันต้องสมควรตายหมื่นครั้ง ดังนั้น...ไม่รับจ้า...

    แต่เวลานี้มาใคร่ครวญดูแล้ว..จะแนะนำวิธีการหลบ หลีก หนี ปัดป้อง เมื่อต้องผจญกับการรุกรานของเจ้ากรรมนายเวรที่มือระดับพระกาฬนั้น ... ไม่รู้จะทำยังไงให้ผู้อ่านได้รู้ถึงวิธีการโดยที่ไม่ต้องบอก...เพราะบอกไปตรงๆ ข้าพเจ้าก็คงโดนเล่นยับยุ่ยแน่ๆ...เรื่องแบบนี้ใครได้กรรมฐานพอประมาณฝึกไปแล้วมันจะรู้ได้ มีวิธีการเลี่ยงได้...หรือแม้แต่เวลาถามครูบาอาจารย์ก็มีวิธีถามเพียงว่า ที่ผมคิดไว้จะใช้ได้ไหมครับ...คือต่างฝ่ายต่างก็รู้กันดีว่าต้องทำยังไง...หลายวันก่อนครูบาไปหลบกรรม ผมเองก็แอบไปหลบมาบ้าง ถามว่าหลบอย่างไร เมื่อไม่รู้ก็กำหนดจิตไปไว้ที่ครูบา ท่านก็ทำความรู้ให้เกิดขึ้น เราก็เอามาทำบ้าง ทำเงียบๆ ไม่ต้องบอกใคร...

    แต่ทีนี้จะบอกคนอื่นให้รู้ถึงวิธีการต่างๆได้อย่างไร โดยที่ไม่ต้องบอกเป็นวาจาหรือลายลักษณ์อักษร...ยังนึกไม่ออกเลย...
     
  18. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ดิฉันขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ดิฉันเคยเข้าหาพระท่านถามในเรื่องนี้ ซึ่งคำตอบที่ได้ และด้วยภูมิธรรมที่ตัวเองตามท่านไม่ทัน กลับไปปรามาสท่านเข้า (ซึ่งดิฉันได้ขอขมาพระรัตนตรัยแล้ว)

    ส่วนในตัวหนังสือสีแดงนั้น ตอนที่เพิ่งเริ่ม ดิฉันก็ได้เจอบททดสอบ ซึ่งก็มาในรูปแบบต่างๆ และผลคือ ไม่ผ่าน .. ดิฉันเข้าใจแล้วว่าต้องทำยังไง และรู้ตัวดีว่ายังต้องพยายามอีกขนาดไหน


    เอ่อ . . ขอถามนอกเรื่อง(หรือเปล่า)นะคะ ดิฉันเคยสนทนาธรรมกับบุคคลผู้หนึ่ง มีอยู่ข้อความหนึ่งเขาว่า "ถ้าเธอไม่ได้หากินในความฝันก็ไม่เป็นไร"

    คำว่า "หากินในความฝัน" มันแปลว่าอะไรเหรอคะ
     
  19. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    แล้วอย่างพวกมดแมลงอย่างพวกดิฉันเนี่ย จะเหลือเหรอคะ ฟังแล้วกำลังใจแป้วไปเลยอ่ะ ดิฉันนึกว่าเราเริ่มกันได้ใหม่ตราบเท่าที่มีลมหายใจเสียอีก หรือว่าดิฉัน หลงทางเสียแล้วเนี่ย:':)'(
     
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ต่างคนต่างกรรม ต่างวาระ...
    พอเข้าไปศึกษาเรื่องกฎของกรรมเข้าแล้ว ใจแป๋วกว่าที่คิดว่าแป๋วเสียอีก...
    ที่ว่าซับซ้อน มันซับซ้อนกว่านั้นอีก...
    ยกตัวอย่างเช่น..

    ผู้ที่จะตรัสรู้มาเป็นพระพุทธเจ้านั้น ก็เป็นไปตามกฎของกรรมที่ได้กำหนดไว้ก่อนแล้ว...
    ผู้ที่ปรารถนาโพธิญาณแล้วต้องลาพุทธภูมิก่อนจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ก็ถูกกฎของกรรมกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ตั้งแต่เมื่อกำลังจะเริ่มอธิษฐานบำเพ็ญบารมี...

    ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน พระองค์ก็ยังทรงอยู่ในกฎของกรรม...
    พระอานนต์ อยู่กับพระพุทธเจ้ามากว่า 40 ปี บรรลุได้เพียงโสดาบัน และจะสำเร็จมรรคผลได้ต้องหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 3 เดือน ทุกอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว...

    ผมเคยหลงคิดว่าถ้าหากผมเจริญกรรมฐาน อย่างยิ่งแล้ว ย่อมเปลี่ยนชะตาชีวิต หรือพรหมลิขิตนั้นได้...
    ผมเคยคิดว่าด้วยใจสู้ที่สู้เกินคำว่าที่สุดไปแล้วนั้น มันจะพลิกชะตาชีวิตให้เราเปลี่ยนไป...ให้เหนือกฎของกรรมที่กำหนดเราไว้...
    อายุ 10 ขวบ ผมสาบาน ไม่ใช่อธิษฐานนะ ผมสาบานกับตัวผมเองว่า ผมจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของผมเอง...นี่ผมบ้าขนาดนั้น ...

    สิ่งที่เกินความสามารถที่ผมจะทำสำเร็จได้ ผมก็ทำจนสำเร็จ ...
    ถึงเวลาที่ต้องตาย เพราะผลของปาณาติบาท ผมก็หนีรอดมาได้...
    ผมเชื่อจริงๆว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงกฎของกรรมได้ด้วยการเจริญกรรมฐาน..
    เพราะผลของการเจริญกรรมฐาน ทำให้เบื้องต้นจิตใจเราเข้มแข็งขึ้น มีความมุมานะยิ่งขึ้น ขึ้นชื่อว่าต้องการจะทำอะไรแล้วจะมุ่งมั่นทำอย่างไม่ย่อท้อ มีจิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว...กาลต่อมาจึงเห็นว่า จิตใจเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวนี่ยังไม่พอ เพราะมันยังมีใจ...เราควรฝึกฝนจนกระทั่งสามารถต่อสู้ฟันฝ่าได้โดยจิตว่าง เพราะจิตที่ว่าง ย่อมเหนือกว่าจิตเข้มแข็ง...ต่อมาก็ต้องการฝึกฝนให้จิตในนั้นเหนือว่าง เหนือไม่ว่าง ให้พ้นขีดจำกัดของคำว่าจิตออกไปอีก...เพื่อเราจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรม...

    ทำมาถึงตรงนี้ถึงได้รู้ว่า ... กฎของกรรมนั่นเองที่บังคับให้เราต้องทำเช่นนี้ ความจริงผมถูกกำหนดมาแต่ต้นแล้วว่าให้ต้องมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมตัวเองในลักษณะนี้... ตอนนี้ถึงได้รู้แล้วว่า ผมไม่มีทางพ้นกฎของกรรมได้เลย ตราบใดที่ยังเข้าไม่ถึงซึ่งพระนิพพาน...ความหลงผิดคิดจะสู้เพื่อให้เป็นผู้ลิขิตกรรมได้ด้วยตัวเอง มันช่างเหมือนที่เขาเขียนให้เฮ้งเจียตีลังกาไปไกลแสนไกล แต่ก็ยังไม่พ้นนิ้วทั้ง 5 ของพระยูไล...นิ้วทั้ง 5 ของพระยูไลจะแทนด้วยธรรมะข้อใด???? ช่วยกันเดาที....

    เพราะชะตากรรมที่ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้น คือชะตากรรมที่กฎของกรรมกำหนดไว้ให้เราต้องไปเปลี่ยนแปลงใหม่ แม้ว่าทางโหราศาสตร์จะทำนายไม่ได้แล้ว แต่เมื่อล่วงรู้กฎของกรรมแล้ว ก็จะรู้ได้ว่า หลังชะตากรรมใหม่จะต้องเจอเข้ากับอะไรบ้าง...ใครอยากลองเปลี่ยนแปลงชะตากรรมดูบ้างก็ได้ มาลองบ้าด้วยกันไหม...แล้วดูว่าผลจากนั้นที่เกิดขึ้นกับชะตากรรมใหม่...จะเป็นยังไง..ไม่ใช่รับได้หรือไม่ มันต้องรับของมันไปต่างหาก...แต่นั่นแหละนะ ถ้าไม่บ้าอยากรู้ มันก็คงไม่ได้ลอง แล้วไม่ได้รู้เหมือนอย่างทุกวันนี้...


    ส่วนเรื่องหากินกับความฝันก็คือ..การฝันเอาว่าได้ไปมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เราหลงรักอยู่ ตรงนี้แม้ไม่ผิดศีล แต่สำหรับพระอนาคามีไปแล้วจะไม่มีตรงนี้อีก...ส่วนตัวผมเห็นว่า แม้ผู้ฝึกสติ ในหมวดมหาสติปัฎฐาน 4 นั้น ก็รู้เท่าทัน ไม่ละเมิดแม้ในฝัน แต่เนื่องจากศีล 5 ที่กำหนดนั้น ถือเอากายเป็นสำคัญ ดังนั้น หากินกับความฝันจึงไม่นับว่าผิดศีล เป็นวิธีการเลี่ยงแบบแถกๆไป..ผู้ชายบางคนก็ถือเอาการช่วยตัวเองว่าไม่ผิดศีลเช่นกัน เพราะยังไม่ได้บวชพระจึงไม่ผิดอีก...นี่เป็นความหมายทั่วๆไปที่เข้าใจกันน่ะครับ...(เล่าตรงไปฤป่าวเนี่ย)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มิถุนายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...