สงสัยเรื่องพระอนาคามี ครับ ใครเชี่ยวชาญช่วยตอบทีครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย bankzar, 21 มิถุนายน 2013.

  1. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    การปฏิบัตินั้นย่อมหลงทางได้เสมอ
    เนื่องจาก บารมีของพวกเราไม่มากเท่าพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่จะสามารถตรัสรู้อย่างถูกต้องด้วยตนเอง

    และบารมีตอนนี้ของเราก็ยังไม่มากพอที่จะเป็นอัครสาวกในพุทธกาลนี้
    จึงจำเป็นที่จะต้องเชื่อคำสอนของผู้รู้คือ พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวก ดังที่บันทึกในพระไตรปิฎกเป็นเครื่องตรวจสอบไปก่อน

    การที่คิดเอาเองว่า ภพภูมิ เป็นแบบนั่นแบบนี้ โดยไม่อิงตำรา มีโอกาสสูงมากที่จะผิด เพราะถึงแม้เราเห็นจริง แต่เราเห็นไม่ทั้งหมดเหมือนพระพุทธเจ้า เช่น เราไม่เห็นภูมิของอรูปพรหม เช่น อากาสาฯ ก็ไปสรุปว่าไม่มี ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าท่านรู้เห็นและสอนว่ามี เป็นต้น

    หรือ คิดเอาเองว่า พระอนาคามีกลับมาเกิดบนโลกเพื่อบำเพ็ญบารมีในฐานะพระโพธิสัตว์และจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่ความจริงแล้วพระอนาคามีนั้น จะนิพพานในฐานะสาวก แต่สำหรับครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ที่เชื่อกันว่าเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้านั้น
    เราเองก็ไม่สามารถที่จะรู้ภูมิธรรมของท่านเหล่านั้นได้ ความจริงแล้วที่คุณ tjs เชื่อว่าบางท่านเป็นอริยะ คุณ tjs ก็อาจจะถูกก็ได้ เพราะก่อนหน้านั้นท่านอาจจะเป็นพระโพธิสัตว์ก็จริง แต่ท่านอาจจะลาพุทธภูมิในบั้นปลายชีวิตของท่าน แล้วก็ได้ (ถ้าเป็นอนิยตโพธิสัตว์) แต่ตามหลักฐานในพระไตรปิฎกนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นพระโพธิสัตว์และพระอริยะ พร้อมกัน

    จึงจำเป็นที่เราจะต้องรักษาธรรมแท้ของพระพุทธเจ้าไว้ไม่ให้เสื่อม
    ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ในเรื่อง อปริหานิยธรรม 7 ประการ ตอนหนึ่งว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้แล้ว จักไม่ถอนสิ่งที่ได้บัญญัติไว้แล้ว จักสมาทานประพฤติอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ตามที่ได้บัญญัติไว้แล้ว อยู่เพียงใด พึงหวังได้ซึ่งความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ฯ
     
  2. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    อย่าว่าแต่พวกเราเลย ขนาดเจ้าชายสิตธัตถะโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้ว พร้อมที่จะตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า และเกิดเป็นชาติสุดท้ายแล้ว
    ท่านยังหลงทางอยู่ร่วม 6 ปี เลย กว่าจะได้ธรรมะมาสอนให้เราได้ปฏิบัติตามได้โดยไม่ต้องลำบากไปค้นหาด้วยตัวเองเหมือนท่าน แค่เชื่อและลองทำตามดู แต่ถึงแม้จะรู้ร่องรอยแล้วก็ยังยากเลยที่จะเดินได้ตรงทางเป๊ะๆ เพราะทางสายนี้มันฝืนความเชื่อความรู้สึกที่เราคิดเอาตามกิเลส ว่าน่าจะเป็นหรือน่าจะใช่แบบนี้
     
  3. rstuwp

    rstuwp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +20
    ผมอดไม่ได้ ต้องสมัครมาเลยนะครับ แหะๆ
    ขอยืนยันว่าคุณรณจักร และคุณ◎สุริunร์ กล่าวถูกต้องแล้วนะครับคุณtjs
    ถ้าถามว่ารู้ได้อย่างไรก็มาจากการยืนยันข้อมูลจากหลายๆ ที่หลายๆ ภาษาครับ ทั้งไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น ที่กล่าวตรงกันไว้ ถ้าเราไม่รู้ว่าอะไรถูกไม่ถูกวิธีที่ดีที่สุดที่เราทำได้คือเอาแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือมาดูควบกัน เอาที่เหมือนกันออกมาก่อน ต่างกันก็พิจารณาไปตามน้ำหนัก แต่กรณีเนื้อหาข้างต้นนั้นตรงกันเลย
    ตำราบางเล่มต้องระวังนะครับ บางทีเราศรัทธาใครไปอิงเล่มใดเล่มหนึ่งที่เขาเขียนก็ไม่ได้ บางเล่มเป็นพระแต่เขียนออกมาจากหัวเขาเองเลยมีเยอะทำให้ไม่ตรงกับของทั่วไป จะบอกว่าพระองค์นั้นถูกตำราอื่นทั้งหมดที่ตรงกันสิผิดมันก็ไม่ถูก จริงหรือเปล่าครับ

    บางทีทิฐิเกินก็ไม่ดีนะ เช่นคำถามที่คุณถามคุณรณจักรเรื่องว่าคุณรณจักร คุณไปเอาจากไหนว่าอนาคามีไม่เกิดอีก ถ้าทำใจเป็นกลาง แค่หาข้อมูลเล็กน้อยคุณก็จะรู้ได้แล้วว่า
    อนาคามี แปลว่า ผู้ไม่มาเกิดอีก
    ตามภาษาตรงๆ เลยครับ เทียบบาลีสันสกฤตก็ตรง เพราะฉะนั้นไม่ได้เกิดจากการแปลงคำผิดของคนไทยแน่ เพราะการแปลตรงจากภาษาพวกนั้นไปเป็นภาษาอื่น (ที่ไม่ใช้ภาษาไทยเป็นตัวกลาง) เขาก็แปลความหมายตรงกัน

    จริงๆ ที่จะกล่าวต่อไปต้องขอโทษด้วยหากขัดความเชื่อคนบางกลุ่ม
    - เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าในไทยมีสิ่งที่แปลกกว่าที่อื่นคือ มีการเรียกคนทางศาสนา(ที่มีชีวิตยุคนี้ เช่น พระหรือแม้แต่ฤๅษี ไม่ใช่หมายถึงที่ทราบดีอยู่แล้วเช่นพระพุทธเจ้า พระอานนท์) ว่าสำเร็จอรหันต์หรือเป็นพระโพธิสัตว์ (เบาลงมาหน่อย ดูน่าเชื่อถือขึ้น) ซึ่งมีที่มาจากสาวกธรรมกาย
    ไม่ได้กล่าวว่าถูกหรือผิดนะครับ เพราะฉะนั้นไม่ได้กลัวโกรธเคืองแง่นี้ แต่ที่กลัวเป็นปัญหาและขอโทษไว้ก่อนคือ บอกว่าแปลกแตกต่างจากทั่วไป (ซึ่งอันนี้เป็นความจริง)

    ดังที่กล่าว ว่าผมจะไม่มาพูดว่าถูกผิดแง่นี้ ใครเชื่อเชื่อไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ เชื่อคนไหนไม่เชื่อคนไทยตามแต่ใจท่านเลย
    แต่ถ้าพระโพธิสัตว์หมายถึงบุคคลตามข้างบน กล่าวได้ว่าพระโพธิสัตว์ไม่ใช่พระอนาคามีไปด้วยแต่ เพราะขัดกัน (หลักเหตุผลธรรมดาเลยนะครับ)

    เรื่องภูมิต่างๆ สามารถหาเพิ่มเติมได้ด้วยคำว่า วัฏสงสาร (En. samsara Ja. rinne) บางแหล่งเช่นทางญี่ปุ่นจะมีข้อมูลที่หาง่ายแค่พวกโลกภูมิ 6 rokudou rinne
    - โลกภูมิ (กามาวจรภพ,กามโลก,กามภูมิ แล้วแต่เรียกแล้วกัน แหะๆ)
    1. นรกภูมิ
    2. ดิรัจฉานภูมิ
    3. เปตวิสัยภูมิ
    4. อสูรกายภูมิ
    5. มนุสสภูมิ - มนุษย์
    6. ฉกามาพจรภูมิ (เทวภูมิ) - สวรรค์ แต่อย่างที่ทราบ ในพุทธศาสนานี่ก็เป็นแค่หนึ่งในโลกภูมิ ไม่ใช่สวรรค์ในความหมายของบางคนถ้ากล่าวคำลอยๆ
    อันนี้คงไม่ขัดใจใคร ขัดตำราใคร เพราะมันแพร่หลายมาก (อย่างที่ต้องยกเคสข้างต้นถึงภาษาที่สามเพื่อจุดนี้แหละครับ ว่ามันแพร่หลายมาก)
    ภูมิข้างต้นอาจจะจับกลุ่มแบบอื่นก็ได้เช่นจับ1-4 เป็นอบายภูมิ4 เพราะฉะนั้นขออย่าเปิดประเด็นถูกผิดตรงนั้นนะครับ ฉกามาพจรภูมิ ก็แบ่งย่อยเป็น6 ครับ (เช่น ดาวดึงส์ ที่คนทั่วไปคุ้นหูกัน)
    - พรหมภูมิ 20 ภูมิ ตามที่ท่านผู้รู้ข้างบนเขียนเอาไว้นั่นแหละครับ โดยมี
    อรูปภูมิมี 4 ชั้นคือชั้นที่ 17-20 ของพรหมภูมิ
    พรหมภูมิชั้นบนๆ ปกติก็จะอยู่นานตามลำดับ
    - ภูมิพ้นโลก มีสี่ชั้น คือ ของ โสดาบัน,สกทาคามี,อนาคามีและอรหันต์ นั่นเอง
    โสดาบัน มีชื่อเรียกย่อยหลายแบบตามชาติที่ต้องเกิดอีก (เกิดในที่นี้กามภูมิได้(โลกมนุษย์และสวรรค์)) แต่สูงสุดคือไม่เกิน 7 ชาติ
    สกทาคามี เกิดอีกชาติมี5แบบ จำง่าย ถึงภูมิใน(โลก/เทวโลก)บรรลุใน(โลก/เทวโลก) คู่กันสี่แบบ อีกแบบคือ ถึงภูมิในโลกไปเทวโลกแล้วมาบรรลุในโลก
    อนาคามี (ผู้ไม่มาเกิดอีก) จะเกิดอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น ใน "พรหมภูมิ"
    อรหันต์
    ถ้าแบบภาษาอังกฤษจะเข้าใจอีกด้านได้ง่ายกว่า
    โสดาบัน stream-enterer
    สกทาคามี once-returner
    อนาคามี non-returner ***อันนี้เป็นการยืนยันอีกครั้งครับ ไม่กลับอีก (ไม่เกิดในกามภูมิอีกแน่นอน) แล้วไหนข้างบนว่าเกิด? เกิดในพรหมภูมินั่นเอง
    อรหันต์ arahant (arahantship ทับศัพท์นั่นเอง)

    อันนี้ก็คือแปลตามความหมายนะครับ ข้อเสียของคนไทยคือใกล้ชิดคำพวกนี้มากเกินไป บางทีเลยเอาแต่ท่อง ไม่เข้าใจ ไม่ต้องขนาดเนื้อหา ความหมายของหัวข้อก็พอ
    เช่น สกทาคามี/สกิทาคามี แปลว่า ผู้กลับมาเพียงครั้งเดียว

    เพิ่มเติมเพื่อต่อว่า พรหมภูมิ จะไปเกิดที่ไหนล่ะ ในพรหมภูมิ
    พรหมภูมิสามารถแบ่งตามชั้นๆ (ที่อยู่)เป็น ปฐมฌานภูมิ 3 ทุติยฌานภูมิ 3 ตติยฌานภูมิ 3 (นับไปตามลำดับครับ) และ พรหมภูมิตั้งแต่ชั้นที่ 10 – 20 (แต่ละชั้นห่างกันประมาณ 5,508,000 โยชน์) • อสงไขย=10^140
    ซึ่งข้างบนอาจจะช่างมันไปก็ได้
    เรามาที่พวกสุทธาวาสภูมิทั้งหลาย 12-16 ชั้นเหล่านี้เองที่อนาคามี จะมาหนึ่งครั้งทำให้แบ่งอนาคามีได้สี่แบบ แบ่งเป็น นิพพานในอายุครึ่งแรก/ครึ่งหลัง นิพพานโดยสะดวก นิพพานโดยต้องพยายามมาก
    และมีอีกแบบคือไล่จากต่ำสุดขึ้นไปตามลำดับเลย (เริ่ม 12 ไปจบที่ 16)
    เพื่อให้ไม่เกิดความขัดข้อง สับสนเพิ่มเติม ระบุไปเลยละกัน
    1. อันตราปรินิพพายี (อันตรา - ระหว่าง = นิพพานในอายุครึ่งแรก)
    2. อุปหัจจปรินิพพายี (อุปหัจจ - จวนถึง = นิพพานในอายุครึ่งหลัง)
    3. อสังขารปรินิพพายี (อสังขาร - ไม่ต้องใช้สังขาร = ไม่ต้องใช้แรงชักจูง)
    4. สสังขารปรินิพพายี (สสังขาร - ต้องใช้สังขาร = ต้องใช้แรงชักจูง)
    5. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี (อุทธังโสโต - ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่ (โสโต=กระแส+อกนิฏฐภพ))
    *คำแปลของ 1,3,4 ก็ตรงภาษาไทยพื้นฐานเลย
    เกณฑ์นั่นแบ่งตามอินทรีย์ที่ต่างกัน (ศรัทธาเป็นต้น) ที่ยิ่งหย่อนกว่ากัน


    *ขอกล่าวเข้าไปเรื่องพรหมภูมินิดนึง แม้จะมีผู้กล่าวไว้ดีแล้วเลยกะข้ามไปหมด
    อรูปภูมิไม่ได้หมายถึงการสูงกว่าแต่ประการใด (อยู่ชั้นที่สูงและอยู่นานกว่าเท่านั้น) ถ้าใกล้หมดอายุจะอยู่ก็ต้องภาวนาเพื่อไปอยู่ในขั้นสูงต่อไป
    "อรูปพรหม หรือ อรูปาวจรภูมิ สมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนา บรรดาโยคี ฤๅษี ชีไพรดาบส ที่บำเพ็ญตบะเดชะภาวนา รำพึงว่าอันว่าตัวตน กล่าวคืออัตภาพร่างกายนี้ไม่ดีเป็นนักหนา กอปรไปด้วย ทุกข์โทษหาประมาณมิได้ ควรที่ตูจะปรารถนากระทำตัว ให้หายไปเสียเถิด แล้วก็เกิดความพอใจเป็นนักหนา ในภาวะที่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปกาย ปรารถนาอยู่แต่ในความไม่มีรูป"
    ข้างต้นนี่ขออิงวิกิเผื่อเจอประเด็นถามที่มาเมื่อข้างบนเขาเล่นกันจะต้องเวียนไปมา อิๆ (แต่ลองเปิดตำราที่อื่นด้วยแล้วเห็นตรงกัน)
    อรูปภูมิ4 นี่"มีจริงเท่าๆกับอีกสิบหกชั้น" (ไม่ยืนยันมีไม่มี แหะๆ ขึ้นกับคุณเชื่อพุทธศาสนาขนาดไหนในแง่ไหน แต่ถ้าอีกสิบหกมีสี่นี่เขาก็ว่ามี ก็มันมาด้วยกัน)
    และอย่าสับสนกับ "ภูมิพ้นโลก" ครับ (อาจจะเข้าใจว่าอันนี้เปล่า เลยคิดว่ามันคนละกลุ่มกัน) อรูปภูมิ4 มีไว้ให้กลุ่มที่ใช้วิธีอิงความว่างนั่นเอง
    ในมุมมองของผม (ของผมนะ) พุทธศาสนาเล่นประเด็นว่า "ยึดติดความมี" (พวกโลกภูมิ) กลาง (รูปพรหม) ยึดติดกับความไม่มี (อรูปพรหม) เห็นว่าความมีอยู่ทุกข์ทรมาน
    ถ้าอยากพูดตามพุทธศาสนา ต้องเป็น "แต่สักวันผมจะต้องไปให้ถึงที่สุดแห่งภูมิพ้นโลก" คนละอย่างกับ "อรูปพรหม" (เป็นแนวโยคี ฤๅษี ชีไพรดาบส ที่บำเพ็ญตบะเดชะภาวนา)
    จริงๆ การมีอยู่เป็นประเด็นอยู่ พระพุทธเจ้าก็มีเคยมีอาจารย์เป็นโยคี ฤๅษีบางคน (ก่อนท่านตรัสรู้) และบุคคลเหล่านั้นก็ขึ้นชื่อว่าบรรลุ จึงต้องมีชั้นเหล่านี้ไว้ เป็นประเด็นตามที่ท่านจะมอง

    จริงๆ ข้อมูลทั้งหมดเปิดตำราไหนดูก็ได้ครับ (ยกเว้นตำราที่บอกไม่ตรงในตอนแรกนั้น ขอให้ขึ้นชั้นไปก่อน) เปิดใจให้ตำราอื่น อันไหนก็ได้ครับ ลองดูส่วนมากตรงๆ กันหมดครับ ถ้าจะมีผิดพลาดก็อาจจะเล็กๆ น้อยๆ มาก ไม่ต่างกันขนาดนั้นแน่ เพราะผมหาหลายที่มากจะรวบรวมข้อมูลไปใช้อย่างอื่นให้เป็นระเบียบ มันก็ตรงกัน (เป็นสาเหตุที่มาเห็นอันนี้นี่แหละ)

    แอบแว้บดูข้างบนเผื่อมีประเด็นอะไรเพิ่ม บางอันคุณ tjs พูดแรงจนน่ากลัวนะ ทั้งๆที่ผมเห็นว่าเขาไม่ใช้คำรุนแรงแม้แต่น้อยเลย
    คนเราจะพัฒนาอะไรสักอย่างต้องมีสิ่งต่างๆ ตามลำดับดังนี้ครับ ขอยกประเด็นเช่นลดความอ้วน
    รู้ - ถ้าไม่รู้ว่าอ้วน ก็คงไม่ลด ไม่ผอมอยู่แล้ว อาจจะมีคนมาบอกอะไรก็ว่าไป
    ยอมรับ - คนบอกว่าอ้วน แต่ฉันมองว่าฉันผอม ก็ไม่ทำอะไร ก็จะจบในขั้นนี้
    อยากปรับปรุง - อ้วน รู้ว่าตัวเองอ้วน. ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ เสียหายตรงไหน (ก็ไม่ทำอะไร จะจบในขั้นนี้)
    กระทำเพื่อปรับปรุง - อะไรก็ว่าไป กินยาลดความอ้วน ออกกำลังกาย ถูกผิดแต่มันก็จะสามารถเกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราอาจจะไปศึกษาวิธีก่อนซึ่งเป็นอีกประเด็นหนึ่ง

    ถ้าเรามีคนชี้แต่เราไม่ทำใจยอมรับในข้อสองมันก็จบแค่นั้น
    ไม่ต้องไปคิดว่ามันเสียหายเลยไม่ยอมรับ เช่นการแบ่งแยก
    สมมติ A ได้อันตราปรินิพพายี (บรรลุครึ่งแรก) แต่ B ได้อุปหัจจปรินิพพายี (บรรลุครึ่งหลัง) จะมารู้สึกแย่ว่า B แย่กว่าเหรอ ไม่ต้องหรอกครับ สุดท้าย B ก็คือบรรลุเหมือนกัน
    ถ้าถามพระพุทธเจ้าว่า กล่าวได้ว่า A เก่งกว่า B ใช่หรือไม่ พระพุทธเจ้าก็คงตอบว่า "กล่าวไม่ได้เช่นนั้น" หรอกครับ

    ถ้าเราคุยกันเรื่องหลักธรรมทางพุทธศาสนา และมันเป็นอย่างนี้ (และไม่ได้เสียหายอะไร) เราก็เรียนรู้ว่าเป็นแบบนี้นั่นแหละ ก็จบครับ (แต่ลองปฏิบัติอะไรก็ว่าไป)
    เหมือนถ้าพ่อแม่สอนลูกให้ขยันเรียน ลูกย้อนพ่อแม่ว่าพ่อแม่ขยันเรียนแล้วเหรอ ไปเรียนแทนฉันสิ
    หรือครูสอนนักเรียนว่ากินเหล้าไม่ดีนะ เพราะเห็นนักเรียนอายุไม่ถึง (ที่บ้านครูกินเหล้า นักเรียนรู้) นักเรียนแย้งไปครูก็กิน
    จริงๆ ควรอนุโมทนาคำสอนครู สอนถูกแล้ว พ่อแม่จะไปด่าครูไหมว่าแกก็กินมาสอนลูกผมไม่ให้กินเหล้าทำไม
    แต่ถามว่าครูเขาเทพไหม ก็ไม่ใช่ (ย้อนกลับไปข้างบน ครูรู้ ครูยอมรับ เพราะงั้นเขาคงอยู่ขั้นสามหรือสี่ ขึ้นอยู่กับว่าไม่อยากปรับปรุงหรืออยากแต่ไม่ทำเพราะทำไม่ได้ด้วยเหตุอะไรก็ตาม)

    ผมก็เลยมองว่าคุณรณจักรกับคุณ◎สุริunร์ คงไม่ต้องเคยปรินิพพาน (เพราะคงไม่มาตอบอยู่ตรงนี้ได้) ถ้าเขารู้หรือหามาได้ถูกต้องเราก็เรียนรู้จากเขาได้ ครูเรียนรู้จากนักเรียนยังได้ เจ้านายยังเรียนรู้จากคนใช้ได้ นับประสาอะไรกะแค่เรียนรู้กับใครไม่รู้ ซึ่งเขาอาจจะเก่งกว่าเรามากๆก็ได้(คุณอาจจะเก่งกว่าก็ได้ นี่แค่ตัวอย่าง) ยังไงก็ตามนี่เป็นแค่เรื่องๆเดียวเอง ถูกผิดก็ยืนยันได้ชัดเจน มันไม่ใช่การยึดติดหรือตัณหาว่า "ทำไมไม่ปล่อยให้ฉันถูกๆ ไปล่ะ มาเถียงฉันอยู่ได้ ยึดติดแต่ตำรา" เขาแค่หวังดีอยากให้รับเนื้อหาที่ถูกต้อง การได้เนื้อหาที่ถูกต้องก็ทำให้ปฏิบัติง่ายขึ้น เช่น ถ้าคุณจะลดความอ้วนเขาก็บอกว่าถ้ากินยายี่ห้อนี้จะโยโย่เอฟเฟคนะ มันก็ดีกับคุณ
    ลองพูดกลับกันสิครับ ไม่ใช่เขา "ทำไมไม่ปล่อยวาง ยึดติดกับตำรา" แต่เป็น "ทำไมเราไม่ปล่อยวาง ยึดติดกับความไม่รู้ที่ผิด"
    คนเราสามารถกลับคำพูดให้ดีกับตนได้เสมอ แต่ถ้าเรากลับมองใจเขาใจเรา แล้วเทียบสองอย่าง เราก็จะรู้เองว่าอันไหนถูก
     
  4. rstuwp

    rstuwp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +20
    หากพรุ่งนี้ ใครเขียนหนังสือทำงานใดๆและผิดพลาด หากท่าน
    ใช้ดินสอ แนะนำให้ลบด้วย ยางลบ
    ใช้ปากกา แนะนำให้ลบด้วย ลิขวิด
    พิมพ์ในคอมผิดตัวสองตัว แนะนำให้กด Backspace หรือ Del หากมันอยู่ข้างหลัง
    แทนที่จะละจากคีย์บอร์ดไปจับเมาส์ลากแล้วพิมพ์ทับหรือใช้ลิขวิดบนจอ

    แน่นอนท่านจะ
    ใช้ดินสอ เอาลิขวิดลบ
    ใช้ปากกา เอายางลบลบดินสอลบ
    ก็ไม่ว่ากัน

    ปล. แต่อย่าเอาลิขวิดป้ายจอละกันนะครับ
    แต่แน่นอนถ้าท่านจะทำอยู่ดีใครก็ว่าอะไรไม่ได้ คุณรณจักรก็คงบังคับไม่ได้
     
  5. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    คงจะแก้ยากหน่อยนะคุณrstuwp ต้องให้คนที่เขาศรัทธานั่นล่ะ

    คนที่เขาคิดว่ามีภูมิธรรมสูงกว่าเขา จึงจะแก้ทิฏฐิได้

    คุณtjs เขาเชื่อในนิมิต ว่ามีครูบาอาจารย์ต่างๆ ทั้งเทพพรหมภพภูมิมาสอน

    เขาจึงเชื่อว่าตนมีสัมมาทิฏฐิดีพร้อมแล้วทุกอย่าง

    แต่ทว่าความเป็นจริงภูมิรู้ระดับพื้นๆ ยังเห็นผิดไปเยอะ

    ถามว่าเขาเป็นคนดีไหม ก็ต้องตอบว่าเป็นคนดี

    แต่หากจะเสียไป ก็เพราะหลงนิมิต ว่าข้ารู้ข้าเห็น เข้าใจว่าตนปล่อยวางได้หมด

    ก็จะเข้าตำรา ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์ อรูปtjs

    ถ้าเป็นอย่างนี้ มักจะไม่รู้ตัวหรอกว่า ไม่อยู่กับร่องกับรอย

    เจอมารมันหลอกก็ไม่ว่า ทั้งอภิสังขารมารอีกเป็นกอง

    นี่ถ้าหากเป็นคนอื่น มีเพื่อนๆหลายคนมาทักท้วง ก็ต้องพิจารณารำพึงตนแล้วล่ะว่า เอ้..เราคงเห็นผิดไปหรือป่าวน้อ

    ดีกว่าที่จะตะพึดตะพือ กระหยิ่มลำพองในใจบอกว่า "พวกคุณยังไปไม่ถึง ไว้ให้ถึงแล้วจะรู้เอง ในสิ่งที่บอก"

    ซึ่งจะต้องมาสำรวจตนเองแล้วล่ะว่า อะไรกันทางสายกลาง นี่ถ้าหากเป็นพระ ก็คงจะโดน พศ. สำรวจ

    ว่างๆ ว่างๆ แต่อะไรลอยน้ำ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2013
  6. rstuwp

    rstuwp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +20
    แหะๆ ผมมองว่าถ้าเราอธิบายง่ายมากๆ แล้วคนฟังน่าจะเข้าใจเองนะครับคุณ◎สุริunร์
    ถ้าความเชื่อยังยืนอยู่บนพุทธศาสนานะ ผมไม่โม้ขนาดว่าไปชักชวนให้คนความเชื่ออื่นมาเชื่อ ถ้าออกไปแนวพราหมณ์ฮินดู หรือคริสต์อิสลาม ก็คงยาก
    แต่ก็ยังมองในแง่ว่าถ้าเราอธิบายกับคนอื่นๆ เช่น คริสต์ ว่าศาสนาเรามีบัญญัติเรื่องนี้ 7 ข้อนะ ไม่ใช่ 8 เพราะจริงๆ มัน 7 แล้วเขาเข้าใจผิด ผมว่าปกติเขาก็ยังเชื่อเรานะ เราไม่ได้บอกให้เขาเชื่อใน 7 ข้อนี้ แต่บอกความจริงของศาสนานี้ มี7ข้อ แม้กระทั่งเราเป็นชาวพุทธคุยกับชาวคริสต์แล้วเรารู้ว่าเรื่องนึงของอิสลามมี5ข้อ ไม่ใช่6แบบที่คนนั้นฟังผิดมา ถ้าเราบอกเขา มีแหล่งที่มาและความหมายชัดเจนให้เขาทราบแล้ว เขาก็น่าจะเข้าใจได้ ว่ามันจริงๆ ไม่ใช่ว่าเราต้องไปนับถืออิสลามหรือให้คริสต์คนนั้นไปนับถืออิสลาม แต่เป็นการแก้ความเข้าใจผิดหรือการฟังมาผิดของเขา แค่นั้นเอง
    ผมก็เลยไม่มองว่ามันจะบังคับจิตใจขนาดนั้นหรือเขาจะไม่เชื่อถึงที่สุด
    ผมเลยเขียนความหมายลงไปด้วยครับ น่าจะเข้าใจได้ชัดเจนเลยทีเดียว แน่นอนว่าเนื่องจากคิดว่าเคลียร์ก็คงแค่นี้ ยกเว้นมีคนสงสัยกันเรื่องอื่นแล้วเรารู้ และอยากตอบ

    แต่ถ้าเอาเฉพาะหัวข้อนะ คำตอบแรกของคุณรณจักรน่ะครบแล้ว ถูกตั้งแต่คุณtokyoo2 (คำตอบแรก) แล้วด้วยซ้ำ แต่ขาดว่าสวรรค์ก็ถือเป็นกามภูมิ ทำให้คุณรณจักรมาตอบครบสมบูรณ์

    กลับหัวกระทู้ดีกว่า
    ถ้าคนจะกล่าวอ้าง (ชี้โพลงให้กระรอก 55) ว่าท่านสูงกว่าคนทั่วไป
    ให้ท่านบอกว่า
    "เป็น สกทาคามี โดยถึงภูมิในเทวโลก กำลังจะบรรลุในโลกภพนี้"
    อันนี้สูงสุดไม่ขัดพุทธศาสนาครับ
    แต่แน่นอนว่าคนอื่นก็เป็นได้ แต่ไม่ต้องกลัวหรอกครับมันไม่เยอะหรอก
    -อาจจะเยอะก็ได้แห๊ะในประเทศไทยกล่าวลอยๆได้ แต่เชื่อเถอะว่าดีสุดแล้วครับ จะไม่มีใครเอากฎมาเถียงคุณตรงๆ ได้ชัดเจน

    ถ้าอนาคามีนี่มันไม่ได้แน่นอน ตามศาสนาพุทธ
    ถ้าจะบอกว่าไม่มีอะไรแน่นอน สวรรค์นรกก็อาจจะไม่มี หลักธรรมพุทธก็อาจจะผิดบางส่วน หรือผิดหมดเลย (ก็ไม่มีอะไรแน่นอน ผิดหมดก็เป็นไปได้)
    ที่ผมบอกแบบนี้ไม่ใช่บอกว่าเป็นแบบนี้นะครับ สื่อว่าอยู่ที่จะยกอะไรมาพูดมันก็ไปได้ทั้งนั้นเห็นไหม

    สุดถ้ายมันอยู่ที่ว่าเราจะคุยในขั้นไหน ถ้าจะคุยเป็นปรัชญาแทน อาจจะว่า อนาคามีอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ ภพภูมิอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ แบบนี้
    แต่ถ้าจะกล่าวเรื่องภพภูมิของศาสนาพุทธ มีอะไรเท่าไหร่ มันก็ตามที่บอก
    เหมือนบางคนเขาว่ามนุษย์อาจจะไม่มีตัวตนจริงๆ เป็นจิตความคิด แน่นอนคุณจะคุยในแง่นั้นก็ได้
    แต่ถ้าคุยกันว่าคืนนี้คุณกินอะไรมา คุณกินไก่ก็คือกินไก่มา ไม่ใช่ว่ามามองว่าจริงๆ คุณอาจจะไม่มีตัวตน ความรู้สึกว่ากินไก่อาจจะเป็นกระแสคลื่น พูดกันแบบนี้คงไปไหนต่อไหนน่าดู
     
  7. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    คุณ rstuwp

    ข้อเท็จจริงที่ผมยกมานั้น ก็เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น
    ซึ่งเป็น โลกวิทู คือรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งมีภูมิธรรมเหนือกว่ามนุษย์ เทพ พรหม ใดๆทั้งปวง ไม่ได้คิดเดาเอาเองจึง มั่นใจได้ว่า เชื่อถือได้ระดับหนึ่ง

    ส่วนความเห็นล่าสุดของคุณนั้น ตรงกับเรื่องเล่าของเซนเรื่องหนึ่งที่เล่ากันว่า

    ก่อนปฏิบัติธรรม จะเห็น ภูเขาก็เป็นภูเขา ต้นไม้ก็เปนต้นไม้
    ระหว่างปฏิบัติธรรม จะเห็นภูเขาไม่ใช่ภูเขา ต้นไม้ไม่ใช่ต้นไม้
    หลังบรรลุธรรมแล้ว จะเห็น ภูเขาก็เป็นภูเขา ต้นไม้ก็เปนต้นไม้ ตามเดิม

    คือท่านสอนว่า อะไรเป็นสมมุติบัญญัติก็ให้รู้เท่าทัน และทำตามสมมุติไม่ขวางโลก
    แต่ก็รู้แจ้งถึงปรมัตถ์ด้วยว่า ไอ้ที่เห็นนั้นมันไม่ใช่ความจริง เป็นปัจจัยต่างๆมาประกอบกัน
    พอหมดปัจจัยประกอบนั้น มันก็สลายตัวไปสู่ความไม่มีอะไร

    คุณอสุรินทร์
    คุณ tjs นั้นก็ใช่ว่าจะไม่รับฟังซะทีเดียว
    ครั้งก่อน เขานิมิตเห็นปาริไลยกะเทพบุตรมาเล่าประวัติให้ฟัง
    แต่ประวัตินั้นมีจุดที่ไม่ตรงกับตำรานิดหน่อย ผมยกหลักฐาน
    จากอรรถกถา เขาก็รับฟังดีอยู่ในครั้งนั้น

    แต่ในครั้งนี้ไม่รู้เป็นอะไร จึงค่อนข้างเชื่อมั่น ในทิฏฐิของตนมาก จึงไม่รับฟังแม้กระทั่งหลักฐานจากพระพุทธพจน์ (แต่ถ้าคุณ tjs เปลี่ยนความเข้าใจแล้วผมก็ขออนุโมทนา และขออภัยที่ผมเข้าใจผิดว่าคุณยังถือทิฏฐิมานะอยู่นะครับ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 กรกฎาคม 2013
  8. ริมฝั่งของ

    ริมฝั่งของ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +310
    ปกติช่วงหลังๆผมจะไม่ค่อยออกมายุ่งเกี่ยวกับใครเท่าไหร่นัก
    สู้ปฏิบัติไปเงียบๆของเราดีกว่า...แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้
    ทุกท่านในที่นี้ ก็มิใช่ธรรมดากันเลย อยู่ในขั้นขุนพลกันทั้งนั้น
    และจะเป็นกำลังของพระศาสนา เป็นครูบาอาจารย์ชี้แนะผู้คนกันต่อไป

    ดังนั้นต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง ยึดพระไตรปิฏกเป็นหลัก
    คำสอนพระพุทธเจ้าไม่มีผิด เป็นหนึ่งไม่มีสอง ไม่มีใครจะมาแย้ง
    คำสอนของพระพุทธองค์ได้...คำสอนหรือความรู้ใดที่ไม่ปรากฏ
    ในพระไตรปิฏก(ซึ่งมีอยู่เยอะมากมาย) อาจจะถูกหรือผิดก็ได้
    ต้องพิจารณาให้รอบคอบ..ละทิฏฐิในตน สอบถามกัลญานมิตร
    หรือครูบาอาจารย์ที่ผ่านมา สอบทานกับครูบาอาจารย์อีกครั้ง
    (สิ่งที่กัลญานมิตรแต่ละท่านแนะนำมีประโยชน์ทั้งนั้น)

    น้ำที่เต็มแก้วแล้วจะเติมน้ำลงไปไม่ได้อีก..เป็นคำกล่าวโบราณ
    ที่ยังใช้ใด้ทุกยุคทุกสมัย

    ปัจจุบันนี้ศาสนาเราเสื่อมไปจากศรัทธาของผู้คน ทั้งจากข่าวคราวต่างๆ
    ในทางที่เสียหาย ก็ขอให้ทุกๆท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป เพื่อเป็น
    กำลังของพระพุทธศาสนาต่อไปในอนาคต

    โมทนาสาธุครับ..


    โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา.
    ดูกรอานนท์ ธรรมแลวินัยใด ที่เราได้แสดงแล้ว และบัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย
    ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงลับไป..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2013
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    น้ำในแก้วของเราไม่เคยเต็มและว่างอยู่อย่างนั้นเสมอ เพราะเราไม่ยึดติดในธรรม ไม่ยึดติดในน้ำที่มีอยู่ในแก้ว แม้น้ำใหม่ที่เติมเข้าไปก็ไม่ยึดติด

    เป็นผู้ปฏิบัติธรรม ธรรมย่อมคุ้มครองจิตเราให้เป็นกลางไม่รับหรือสั่นไหว ใครเล่าจะรู้จิตตนได้ดีกว่าตนเอง ที่ฝึกมาเอง รู้ทันจิตตน

    เคยมีพระท่านหนึ่งทดสอบอารมณ์ ของกระผม ท่านพูดจารุนแรงหนักหน่วง แต่เพราะเราฝึกจิตมาดีแล้วจึงรู้ทัน จิตเราไม่มีอารมณ์โกรธหรือเกลียด มีแต่เพียงฟัง พิจารณาและวางเฉย ไม่ก้าวร้าวทางวาจาหรือหรือการกระทำเพราะใจไม่มีเรื่องเหล่านั้น แต่ทุกครั้งผมก็พูดในทางธรรมด้วยความหนักแน่นเช่นกันเพราะ จริตเป็นอย่างนี้ เมื่อเจรจากันจนสุดท้ายก็เข้าใจกันและยอมรับกัน ก็แค่นั้น


    ความรู้ใดๆความจริงมันก็ไม่สำคัญไปกว่า กิเลส คือโลภ โกรธ หลง ในจิตเราเป็นอย่างไรมันลดลงไหม๊ แล้วการมีสติปัญญารู้ทันต่อโลกธรรม8ของเรามันดีหรือยังมันทำได้แค่ไหนแล้ว หากเรารู้ภายในจิตของเรา ใครจะพูดอย่างไรมันก็ไม่สามารถทำให้จิตหมองเศร้าลงได้
    ส่วนเรื่องการศึกษาและเรียนรู้พระธรรม ก็ต้องยอมรับและทำกันไปไม่จบสิ้นจนกว่าจะสำเร็จบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านนั้นจึงจบกิจกันไป มันก็มีแค่นี้ครับ
    เจริญในธรรมครับ สาธุ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ตำรามีไว้ให้ยึด แต่อย่าไปติดตำรา แต่ให้ติดการปฏิบัติให้มาก นะครับ สาธุ
     
  11. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    เช่นกันครับ ต้องมีทั้งปริยัติและปฏิบัติควบคู่กันไปไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง
     
  12. rstuwp

    rstuwp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +20
    กินข้าวเพื่อเอาแรงไปทำงานครับ อย่าเอาแต่กินนอนๆนั่งๆ ไม่ทำงาน
    ไม่กินข้าวเอาแต่ทำงาน ก็ทำผิดๆถูกๆ อ่อนเพลีย หมดแรง
    จะทำงานมากขึ้นก็ต้องกินมากขึ้นศึกษางานมากขึ้นตามลำดับ ฉะนี้แล
     
  13. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    สำนวนแบบนี้ คือ ไทยเดิม เมื่อครั้งโบราณจารย์ เชื่อว่าทุกคนในที่นี้เข้าใจดี

    แต่ทว่าติดการปฏิบัติ หากยึดถือการปฏิบัติที่ผิดทาง แต่เข้าใจว่าถูก

    พอปัจจัตตังค์ มันเกิด จึงเป็นไปตามเหตุ และปัจจัย(ที่ให้) มีให้เห็นทั่วไป

    ยินดีการไม่มีโทสะ ราคะ แต่เพียงข่มไว้ว่าดับได้แล้ว ก็เลยหลอกตนเป็นอนาคา

    แล้วเป็นปัจจัตตังแบบไหน ? ที่ว่าให้ติดการปฏิบัติ มีเมตตาม๊ากก เมตตากลับกลาย กำเริบ

    คนที่หลุดโลกไปเลย อย่างไม่มีแบบแผนก็มีนะ เสร็จแล้วหาทางกลับไม่เจอ

    ทีนี้ล่ะ เหตุปัจจัยโดยแท้จริง กัมมุนา วัตตีโลโก

    พ.ศ.นี้
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    จะว่าข่มก็ใช่ใน กาม ตัณหา และราคะ เพราะอาศัยสมาธิฌาณ แต่สำหรับกระผม
    ผมฝึกฝนในด้านวิปัสสนาเข้มข้นเช่นกัน จึงมีปัญญามากพอ ที่ไม่จำเป็นต้องข่มบังคับอะไรอีก เพราะมีปัญญาใน มหาสติปัฏฐาน4มากพอ ปัญญาในสมาธิ คือสิ่งที่ควรทำให้เกิดให้มาก และมีค่ายิ่งกว่า ปัญญาจากตำรา หรือปัญญาอื่นๆใดๆ

    ไม่มีใครทำร้ายจิตเราได้ ไม่มีอะไรทำร้ายจิตเราได้ เพราะรู้ทันและปล่อยวาง เพราะจิตเราไม่รับอารมณ์ใดๆ แม้ความเห็นที่ต่างกันในทางธรรมเราก็เข้าใจว่าเป็นธรรมดา เมื่อเป็นกฏธรรมดา ท่านจะกล่าวมาอย่างไรก็ไม่ทำให้เราทุกข์หรือวิตก มีแค่เพียงปัญญาที่เกิดขึ้นกับเราเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น จิตเราย่อมรู้ในจิตเราดีและขออนุโมทนา

    ส่วนจิตผู้อื่นเราไม่ขอรู้และไม่อยากรู้ เพราะเป็นเรื่องของเขา เป็นจิตของเขาไม่ใช่จิตเราก็เท่านั้นเองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2013
  15. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เป็นที่แน่ชัด คุณtjs จะบอกว่าตนคือ อนาคามี ใช่หรือไม่

    ระยะทางพิสูจน์ม้า ผู้รู้จะพิสูจน์ตนเอง

    แน่นอนไม่มีใครทำร้ายคุณหรอก เพราะมีแต่เพียงทำให้คุณมีปัญญาเพิ่มมากขึ้น

    แต่ระวังมารเฟค...จะเป็นหนามยอกอกเอาน๊า
     
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ขอบคุณครับที่เตือนครับ

    ตัวผมเป็นอะไรไม่สำคัญเท่าการ รักษาจิตใจให้ดีงาม ให้ขาวสะอาดบริสุทธิ์ครับ ซึ่งก็จะไม่ประมาทในกิเลสที่ตกตะตอนอยู่ เพราะสักวันมันต้องลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับเราแน่นอนครับ ไม่ง่ายเพราะกิเลสนั้นมีมากมาย ทั้งหยาบ ปานกลาง ละเอียด ตื้น ลึก หนา บาง ขอให้เราไม่ประมาทครับ
     
  17. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    อ้าว..ตกลงข่มบังคับขู่ หรือรู้เท่าทันกันแน่กับปัญญาในสติปัฏฐานเข้มข้น

    ก็ไหนเพิ่งกล่าวอยู่ตะกี้ อยู่หยกๆ ว่า
    "แต่สำหรับกระผม ผมฝึกฝนในด้านวิปัสสนาเข้มข้นเช่นกัน จึงมีปัญญามากพอ
    ที่ไม่จำเป็นต้องข่มบังคับอะไรอีก เพราะมีปัญญาใน มหาสติปัฏฐาน4มากพอ"


    ชักไม่แน่ใจแล้วสิ ในการปหาน (วิขัมภนปหาน หรือ สมุจเฉทปหาน)

    แล้วอย่างนี้จะเป็น สามีจิปฏิปันโน ได้อย่างไร กลับไปกลับมา ผู้มีธรรมกำเริบกลับ

    ถ้าหากยังไม่ชัดในตนเอง มีพวกกองปร๊าบ อยู่ในห้องอภิญญานะ

    ลองไปสนทนาดู ในสิ่งที่ตนเองตกตะกอน ซ่อนเงื่อน งึมงำ ไหลลึก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2013
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    เพราะความไม่ประมาท ก็เท่านั้น อย่าสนใจหรือสงสัยในสิ่งที่ผู้อื่นเป็น
    แต่ควรสนใจในสิ่งที่ตนเองเป็นให้มาก ครับ สาธุ
     
  19. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    อย่าไปน้ำขุ่นๆน่า

    สมมุติหากคุณมีความปรารถนาบวชไม่สึก หากบวชแล้วสอนญาติโยมด้วยสำบักสำนวน ชวนไหลหลง

    ใครๆก็ต้องคล้อยตาม เข้าใจว่าคุณเป็นอริยะขั้นใดขั้นหนึ่ง ทีนี้ลาภสักการะ จะมาเป็นกองโลกธรรม

    แต่ลึกๆแล้ว ยังตกตะกอนซ่อนเงื่อน ไม่มีความแน่ชัดตรงไปตรงมาในธรรมจริงต่อสาธารณชน

    เพราะเมื่อขี่หลังเสือแล้ว มันจะลงได้ยาก คราวนั้นคุณจะทุกข์หลาย

    ตกลงคงจะพอเข้าใจคำว่า ทรงอารมณ์ กับ ละสังโยชน์

    เคยเกริ่นไว้ในโพสแรก ที่เข้ามาในในกระทู้นี้ ที่หน้าสอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2013
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    เข้าใจครับ ทรงอารมณ์กับ ละอารมณ์มันต่างกัน

    ถ้าผมเป็นเขาเหล่านั้น ผมไม่รู้ว่าท่านเหล่านั้นจะเป็นเหมือนผมหรือไม่คือ
    จะโง่ทรงอารมณ์ไปอีกนานทำไม ทำไมไม่ละอารมณ์เสียจะดีกว่าหรือ เมื่อละแล้วมันก็จบกันไป และตั้งใจไว้ดีแล้วว่า อารมณ์ทั้งหลายละหมด ยกเว้นสัญญาโพธิญาณ ข้อนี้เคยละแล้ว แต่มันทำได้มากแค่ไหนก็ต้องมาดูกันอีกที ละได้จริงหรือเปล่า แล้วถ้าละได้จริงมันก็จบกิจ

    แต่ถ้ามันละไม่ได้ มันจะเรียกว่าอะไร ครับ คือละกิเลสได้หมดยกเว้นสัญญาโพธิญาณ อย่างนี้จะเรียกว่าอะไรครับ ตอบผมได้ไหม๊ครับ สาธุ[/COLO
    R]
     

แชร์หน้านี้

Loading...