เออ!...ตามมาทำไม..ถ้าไม่รักยายผีป่า?!!

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย DevilBitch, 23 มีนาคม 2005.

  1. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,790
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ผมชอบแบบนี้จังเลย ... เดี๋ยวกลับไปย้อนอ่านอีกที

    ยายแก่ๆ ของผมนี่เก่ง....เหมือนกันเน๊อะ ว่ามั๊ย?
     
  2. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838

    แหม... ชมยายหรือว่าแดกดันย่ะ มีสิบสองเล่มค่ะ

    อนุโมทนากับกลุ่มที่จัดทำค่ะ...[b-wai]
     
  3. Des

    Des เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,264
    ค่าพลัง:
    +303
    ขยันพิมพ์จังเลย .....
     
  4. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    แหม... แดกดันยายทับถมยายกันเข้าไป๊ ก้อเดเคยบอกจะส่งมาให้ยายทางไปรษณีย์เดคงไม่ส่งเพราะมันเยอะและเชื่อบารมียายว่าต้องมีบุญได้อ่านแน่ๆ ใครๆก้อจะส่งไฟล์ผ่านจีเมลล์มาให้ ยายบอกไม่ต้องเพราะคอมยายอ่านไม่ออก เลยตั้งจิตถึงเบื้องบนและหลวงพี่ขอบารมีได้อ่านแบบไม่กระอกเลือดนะ นี่หล่ะคือที่มา จะเอามาลงอีกเรือยๆถ้าบอร์ดไม่รวนเสียก่อนเพราะเต็มแบนวิดแระในวันสองวันนี้ เตรียมใจนะช่วงเข้ามาแล้วอืดบ้างเข้าไมได้บ้างง่ะ!!![b-wai]
     
  5. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือน มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔

    ถาม : อยากทราบเกี่ยวกับเรื่องวิญญาณพเนจรเจ้าค่ะ ว่าเขาน่ะ สามารถสิงตามที่ต่าง ๆ ได้ไหม ?
    ตอบ : พวกวิญญาณพเนจรในความหมายของเรา ภาษาพระเรียกว่า
     
  6. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ถ้าเราไปช่วยเขาแล้ว กลัวว่าของนั้นจะเข้ามาที่ตัวเรา
    ตอบ : ตอนที่เราช่วยเขาไม่เข้าหรอก เพราะว่าบารมีพระ ถ้าเรายึดมั่นจริง ๆ ของนั้นจะสลายตัวไปเลย แต่พวกท่านทั้งหลายที่เล่นไสยศาสตร์ มักจะรู้ว่าใครเป็นคนช่วย บางทีเขาเลี้ยงผีไว้ด้วย ผีฟ้องเขาก็หันมาเล่นงานเราแทน เราเองน่ะโอกาสเผลอมันมี เหมือนคนจ้องขโมยกับคนระวังไม่ให้โดนขโมยของ ให้คนระวังระวังยังไง เดี๋ยวก็พลาดจนได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่กรรมอันเนื่องกันมาจริง ๆ ประเภทมาล้มพราด ๆ มาิ้ดิ้นอยู่ตรงหน้า อย่าไปยุ่งกับเขาเลย อันตรายเปล่า ๆ
    ถาม : ถ้าเราจำเป็นจริง ๆ ที่จะต้องช่วย มีวิธีที่จะป้องกันตัวเราในระยะยาวอย่างไร ?
    ตอบ : ทำตะกรุดหรือผ้ายันต์ด้วยพุทธมนต์ ถ้าอาราธนาพระสงเคราะห์ได้ก็วิเศษเลย ติดตัวไว้บอกให้อาราธนาทุกวันและอย่าเอาออกจากตัวจะป้องกันได้
    ถาม : ถ้าอาราธนายันต์เกราะเพชร...วัดท่าซุง...
    ตอบ : ได้...เพราะว่ายันต์เกราะเพชรของวัดท่าซุง นี่ ต่อต้านพวกไสยศาสตร์โดยตรงเลย ได้รุ่นเก่าไปแล้วยิ่งดี รุ่นที่ราคา ๓๒๐ นั่นน่ะ อันนั้นชัวร์ ๆ เพราะว่าพ่อทำ อย่างลูกเก่งแค่ไหนก็คงสู้พ่อไม่ได้หรอกนะ เอารุ่นเก่าดีกว่า เรื่องของยันต์เกราะเพชรหรือว่าธงแดงนะ ต่อต้านพวกไสยศาสตร์โดยตรงเลย เพราะว่ายันต์เกราะเพชรก็แตกลูกมาจากธงแดงนั่นแหละ ธงมหาพิชัยสงคราม ...ยันต์เกราะเพชรเป็นลูก ....ธงมหาพิชัยสงครามเป็นพ่อ (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วจริงหรือเปล่าคะที่ว่ามียันต์เกราะเพชรแล้ว ไสยศาสาตร์จะเข้าได้แค่ข้อมือ ?
    ตอบ : มันต้องดูด้วย ถ้าเรามีติดตัวไว้เฉย ๆ ไม่เคยนึกถึงไม่เคยอาราธนาก็เจ๊งเหมือนกัน มันไม่เข้าแค่ข้อมือหรอก
    ถาม : ถ้าให้เขาพกติดตัวด้วยยันต์เกราะเพชรแล้ว ...ต้องให้รักษาศีลด้วยไหมคะ ?
    ตอบ : จำเป็นต้องมี ถ้าสามารถรักษาศีล เจริญภาวนาได้ ปลอดภัยแน่นอน เหมือนกับใส่เกราะไว้แต่หากว่า ไม่มีการรักษาศีล ไม่มีการเจริญภาวนา สักแต่่ว่าติดตัวอยู่ บางทีก็ช่วยอะไรไม่ได้ ที่บอกว่า "เข้าได้แค่ ข้อมือ" ถ้ากำลังใจเราทรงตัวจริงเข้าใกล้ไม่ได้ซะด้วยซ้ำไป แต่ถ้าหากว่ามีเคราะห์กรรมอะไรบางอย่าง ก็เข้ามาได้แค่ข้อมือ แค่ข้อศอก ถ้าเราอาราธนากำลังใจมั่นคงจริง ๆ ไม่เกินข้อศอก
    ถาม : ในกรณีที่เราได้ฌานหรืออะไรพิเศษขึ้นมา แล้วเรากลัวว่ามันจะสูญไป หายไป จะทำอย่างไรให้คงอยู่กับเรา ?
    ตอบ : ซ้อม....ต้องใช้ให้บ่อย ๆ นะ ต่อให้เป็นฌานสมาบัติ หรือทิพจักขุญาณ หรือวิชชา ๓ อภิญญา ๕ อภิญญา ๖ สมาบัติ ๘ อะไรก็ตาม ก็ต้องซ้อมบ่อย ๆ กำลังใจเหล่านี้เป็นกำลังของฌานสมาบัติเสียส่วนใหญ่ กำลังฌานสมาบัติ ถ้าร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย เหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ ส่วนใหญ่มักจะเสื่อมของมันเอง ต้องทำให้ทรงตัว ชนิดที่ต้องการเมื่อไหร่ เข้าได้ทันทีหรือว่าพิจารณาจนช่ำใจจริง ๆ ว่าธรรมะกองนี้เรารู้ตลอดแน่แล้ว อย่างนั้นถึงจะอาศัยได้ ถ้าหากทำทำ ทิ้งทิ้ง ไม่ต่อเนื่องกัน โอกาสที่จะเสื่อมมีสูงมาก เพราะงั้นต้องทำให้ต่อเนื่อง แล้วก็ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งขึ้นใจจริง ๆ
    ถาม : ต้องภาวนาอะไรก่อนไหมคะ ?
    ตอบ : ภาวนาอะไร ? กรรมฐานกองไหนใช้คำภาวนาตามนั้น ถ้ามีเวลามากก่อนทำกรรมฐา นสวดมนต์ไหว้พระอะไรของเราก่อนก็ได้ แต่ถ้าหากว่าไม่มีเวลาของเราเอง ก็เริ่มต้นด้วยบทภาวนาไปเลยก็ได้
    ถาม : ถามเรื่องการสิงของวิญญาณเมื่อกี้นี้เจ้าค่ะ พอดีไปที่บ้านหลังหนึ่งค่ะ มีกอไผ่อยู่หน้าบ้าน เป็นกอใหญ่พอสมควร พอไป เราก็เห็นวิญญาณสิงอยู่ในกอไผ่...เราก็บอกว่า เดี๋ยวทำบุญส่งไปให้นะ พอทำเสร็จวิญญาณตัวนั้นไป อีกไม่นานวิญญาณตัวใหม่ก็มาอยู่ตรงนั้นอีก อันนี้เพราะอะไรเจ้าคะ ?
    ตอบ : บางทีมันเป็นที่อาศัยของเขานะ วิญญาณบางประเภทอาศัยจอมปลวก วิญญาณบางประเภทอาศัยอยู่ในกอไผ่ หรือร่มเงาไม้ใหญ่อยู่อาศัยก็มี คนนั้นได้บุญของเราแล้วไปจากสถานที่นั้น ...มันเท่ากับบ้านว่าง พอบ้านว่างคนใหม่มาเจอ เขาอยู่ต่อ ให้เขาอีก เดี๋ยวก็ไปอีกแหละ
    ถาม : อย่างนี้ก็แสดงว่าเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวของบรรดาผีสิงทั้งหลายสิเจ้าคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเขาไม่ได้บุญอาจพักถาวรก็ได้ (หัวเราะ) ถ้าหากว่าเราให้บุญเขา ก็พักชั่วคราว ถึงเวลาเขาก็ไป
    ถาม : เพราะว่าเจ้าของบ้านได้ยินเสียงกระซิกกระซี้ แบบร้องไห้ ได้ยินชัดมาก แล้วก็เกิดอาการกลัวเราจะเอากอไผ่นั้นออกไหม ? หรือว่าเราจะทำอย่างไร ?
    ตอบ : ถ้าสงสารเขา ก็อย่าไปยุ่งกับกอไผ่ ถ้าสงสารตัวเองมากกว่า ก็เอาให้ราบไปเลย (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วเขาแค่อาศัยร่มเงาไม้เท่านั้น
    ถาม : เขาจะไม่มาทำร้ายใช่ไหมคะ หรือแค่มาดู ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าช่วงอกุศลกรรมเข้า แบบที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า "ดวงตก" บางทีเขาอาจฉวยโอกาสได้ แต่ถ้าในเขตบ้านของเรามีพระภูมิเจ้าที่ได้รับการบูชาถูกต้อง ให้ความเคารพท่าน สิ่งเหล่านี้เข้ามาข้างในไม่ได้
    ถาม : แล้วมีไหมคะ แบบไม่ดูแลเจ้าที่ เจ้าที่ปล่อยให้เข้าเลย ?
    ตอบ : ไม่มีจ๊ะ ยกเว้นว่า เราไม่สนใจเจ้าที่เลย ไม่เคยขอให้ท่านช่วยเลย ไม่เคยให้ความเคารพท่านเลย ไม่รู้จะช่วยทำไม ?
    ถาม : อ๋อ... ก็มีเจ้าที่แบบ มองเฉย ๆ
    ตอบ : เทวดาท่านถืออุเบกขามากกว่าเราเยอะ ถ้าหากว่าไม่ให้ความเคารพท่าน ไม่เรียกให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมอง มันเก่งเองนี่หว่า ไม่เรียกให้ท่านช่วย ดูซิว่ามันจะทำยังไง ระวังเอาไว้นะ เจอมาเองแล้ว พกพระอยู่กับตัวเต็มที่ผีมันบีบคอเสียแทบตาย ก็สงสัยว่าพระทำไมไม่ช่วย หลวงพ่อถามว่า "แกอาราธนาบ้างหรือเปล่า บอกเปล่าครับ เออ... สมน้ำหน้ามัน ถ้าเอ็งไม่เรียกให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมอง ดูซิว่ามันจะเก่งแค่ไหน" (หัวเราะ)
    ถาม : อย่างนี้ท่านมีการมองด้วยหรือคะ นึกว่าท่านมีการทำงานแบบอัตโนมัติ ?
    ตอบ : เราเองยอมทำโอทีไหมล่ะ โดยไม่ได้สตางค์น่ะ
    ถาม : อาราธนาที่ว่านี้ ต้องทำยังไงบ้างคะ ?
    ตอบ : ตั้งใจนึกด้วยความเคารพ คาถาอาราธนาก็มี ของหลวงพ่อท่านใช้ "อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด" นั่นแหละคำอาราธนา คำอัญเชิญคุณพระเขามีอยู่
     
  7. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : มีคนเขาบอกว่า เวลาจะต่ออายุหรือต่อชีวิตให้ยืนยาวให้ไปทำบุญโลงศพ ช่วยได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ ?
    ตอบ : ช่วยได้ มันช่วยได้ตรงที่เป็นมรณานุสติ อย่าลืมว่ามรณานุสติเป็นกรรมฐานใหญ่ หนึ่งในอนุสติ ๑๐ กอง ถ้าทำเป็นเข้าถึงนิพพานได้เลยเสีียด้วยซ้ำไป เราไปซื้อโลงศพก็รู้อยู่แล้ว ซื้อไปใส่คนตาย ถ้าเฉลียวใจสักนิดนึง เราเองก็จะตายอยู่แล้ว ถึงต้องมาซื้อโลงศพต่ออายุ การต่ออายุก็ใช่ว่าจะอยู่ได้ตลอดไป
    ดังนั้น เราเร่งทำความดีในวันนี้ดีกว่า ลักษณะอย่างนี้แหละ เรียกว่า มรณานุสติ การนึกความตายเพื่อให้เกิดความไม่ประมาท มันเป็นบุญใหญ่มาก บุญใหญ่ตัวนี้จะทำให้เราห่างกรรมอันนั้นออกมา ทำให้เหมือนกับการต่ออายุได้ แล้วลักษณะของการสะเดาะเคราะห์ต่ออายุ อย่างบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น อันนั้นก็นึกถึงความตาย ไปวัดก็นึกถึงพระพุทธรูป ได้กราบพระ ได้ไหว้พระ ได้ทำบุญ ได้นึกถึงความตาย ใจเกาะนิพพาน เหล่านี้จะเป็นกรรมฐานใหญ่ บุญใหญ่ ทำให้เราห่างจากเคราะห์กรรมอันนั้นออกมา แต่เขายังตามอยู่ มีโอกาสเขายังทีจะสนองได้อยู่
    ดังนั้นว่า เราต้องทำความดีให้ต่อเนื่อง เพื่อที่จะได้ไม่พลาดให้แก่เขาอีก ทำอย่างอื่นได้ไม่จำเป็นต้องซื้อโลงศพอย่างเดียว ปล่อยสัตว์ใหญ่ อย่างวัว ควาย อะไรก็ได้ แต่ว่าให้เป็นสัตว์ที่เขาจะฆ่า จะได้มีผลในการต่ออายุ ถ้าไม่ใช่สัตว์ที่เขาจะฆ่าก็ได้แต่เมตตาเฉย ๆ
    ถาม : ต้องไปที่โรงฆ่าสัตว์ แล้วตัวที่จะถูกฆ่าในนั้นเลย หรือเจ้าคะ ?
    ตอบ : จ้า...
    ถาม : ได้เจอคน ๆ นึง ขอต่ออายุพ่อเขาด้วยการตั้งจิตอธิษฐานรวบรวมกุศลผลบุญตั้งแต่อดีตชาติ เพื่อต่ออายุพ่อ คุณหมอก็บอก ทำไมอยู่ดี ๆ อาการดีขึ้น ตอนแรกจะเสียอยู่แล้ว
    ตอบ : ตัวนั้นเป็นอธิษฐานบารมี บุคคลที่ใช้อธิษฐานบารมีเป็น ต้องสร้างบุญสร้างกุศลมาจนถึงระดับปรมัตถบารมีแล้วเท่านั้น บุคคลที่สร้างความดีมาจนถึงปรมัตถบารมีจะประกอบด้วยฤทธิ์ คือสิ่งที่อัศจรรย์เกินกว่าคนอื่นจะทำได้ ฤทธิ์ตัวนี้ เรียกว่า ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐาน ตั้งใจให้เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่สามารถฝืนกฎของกรรมได้นาน ถึงจะต่ออายุได้ อะไรได้
    แต่ถ้าหากว่าบุคคลนั้นไม่ได้ทำความดีต่อ จะไปในเวลาอันใกล้เหมือนกัน แต่ว่าตอนนั้นสามารถช่วยเขาได้ ถ้ากำลังสูงเท่าไหร่ก็สามารถช่วยได้มากเท่านั้น ตัวอย่างคือ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ ท่านใช้คาถาต่ออายุ ท่านต่อได้ ๒ ปี อาตมาใช้วิธีเดียวกันหมดเลย ต่อได้ ๒ วัน ต่างกันลิบโลกเลย
    เพราะงั้นมันอยู่ที่กำลังบารมีของคนที่ตั้งใจอธิษฐานด้วย อธิษฐานนี่เป็นฤทธิ์ ๑ ใน ๑๐ อย่างนะ ฤทธิ์ที่เราหมายถึงส่วนใหญ่ เราคิดว่าเป็น "วิกุพนาฤทธิ์" คือ สามารถผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ได้พิลึกพิลั่นต่าง ๆ นา ๆ แต่ความจริงมันมีตั้ง ๑๐ อย่าง มันมีทั้งฌานฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ อธิษฐานฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากความตั้งใจมั่นของเรา ฐานาฐานะฤทธิ์....ฤทธิ์ที่เกิดจากฐานะอันสูง อย่างพระเจ้าแผ่นดิน เจ้าพระยามหากษัตริย์ สั่งให้เป็นก็เป็น สั่งให้ตายก็ตาย วิชชามัยฤทธิ์...ฤทธิ์ที่เกิดจากวิชาการ อย่างเช่นว่า รถไฟทั้งคัน ทำไมเอาไปลอยอยู่ข้างบนได้ เหล็กน้ำหนักหลายร้อยตัน ทำไมลอยน้ำได้ ลอยอยู่บนฟ้าได้ อย่างนี้เป็นต้น มีทั้งหมด ๑๐ อย่างด้วยกัน
    พระพุทธเจ้าบอกไว้ละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์ ถือว่าเป็นฤทธิ์โดยอธิษฐานอย่างหนึ่ง แสดงว่า คน ๆ นั้น กำลังเขาสูงมาก สร้างบารมีมาเยอะมากและอธิษฐานด้วยความตั้งใจจริงก็สำเร็จสมกับที่เขาต้องการ
    ถาม : แล้วคนที่จะมีฤทิธิ์ได้ทำยังไงถึงจะมีฤทธิ์ได้เจ้าคะ ?
    ตอบ : ต้องดูว่าฤทธิ์แบบไหน มันมีอยู่ตัว เรียกว่า "กัมมวิปากชาฤทธิ์" ฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรม เราลองไปเดินตามพวกชาวเขาดูซิ มันไป ๓ ลูกเขาแล้ว ลูกแรกเรายังตะกายข้ามไปไม่ได้เลย (หัวเราะ) นั่นเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรมอย่างหนึ่งนะ
    อย่างเช่นว่า นกเกิดมาบินได้ เราฝึกวาโยกสิณแทบตายกว่าจะเหาะได้แบบมัน ปลาทำไมอยู่ในน้ำได้ ทำไมไส้เดือนมุดดินดำดินได้ เป็นฤทธิ์ที่เกิดโดยวิบากกรรมของเขา เรียกว่า "กัมมวิปากชาฤทธิ์" ถ้าอยากจะมีต้องฝึกกสิณ ๑๐ อย่า่ง เอาให้คล่องตัว แล้วคราวนี้เราก็จะเริ่มตั้งแต่ วิกุพนาฤทธิ์ คือจะแสดงอะไรก็ได้ตามใจชอบ
    ถาม : แต่ถ้าเล่นจะติดฤทธิ์หรือเปล่า ?
    ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าเรามีสติรู้อยู่เสมอก็ไม่ติด แต่ถ้าเผลอ หลงไปตามลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่ได้มาจากการที่เราีมีฤทธิ์ ก็เรียบร้อยในเวลาอันสั้น
    ถาม : แล้วพวกที่เล่นกสิณ เพ่งกสิณนี่เจ้าคะ จะทำให้มีฤทธิ์หรือเปล่า ?
    ตอบ : บอกแล้วไง ว่าให้ฝึกกสิณ ๑๐ พวกเล่นกสิณ เพ่งกสิณนั่นแหละ มันอยากมีฤทธิ์กันล่ะ (หัวเราะ)
    ถาม : เวลาที่เราทำบุญแล้วอธิษฐานจิตว่าขออย่างนั้น ขออย่างนี้ กับการไม่อธิษฐานเลย การทำบุญแบบไหนดีกว่ากันคะ ?
    ตอบ : แบบอธิษฐานดีและถูกต้อง แบบไม่อธิษฐานเลยอาจพลาดจากประโยชน์ใหญ่ไปได้ การทำบุญโดยอธิษฐานขอให้เป็นนั่นเป็นนี่ เราจะขอหรือไม่ขอก็ตาม สิ่งที่เราทำทั้งดีและชั่วจะส่งผลกลับคืนมาอยู่แล้ว ถึงคุณต้องการหรือไม่ต้องการผลที่คุณกระทำคุณได้แน่ มันก็จำเป็นต้องกำหนดเจาะจงไปเลยว่าผลที่เราทำนั้นเราต้องการให้เป็นแบบไหน เป็นเมื่อไหร่ ถ้าเราตั้งใจแบบนี้เหมือนกับยิงปืนเล็งเป้า มันก็ถูกต้องสามารถยิงได้แม่นยำ แต่ถ้าหากไม่มีการเล็งเลยไม่ได้กำหนดเลย เราหิวข้าวตอนนี้ แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยจะมาถึง เป็นไง...ไส้กิ่วเลยดีไม่ดีอดตาย
    แบบอานันทเศรษฐี อานันทเศรษฐีตอนเป็นเศรษฐี ถ้าฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระอนาคามี แต่ถ้าหากทรัพย์สินลดน้อยลงมาเป็นคหบดี ฟังพระพุทธเจ้าเทศน์จะได้เป็นพระโสดาบัน บังเอิญถ้าเขารักษาทรัพย์สินไม่ได้ ทำให้ยากจนกลายเป็นขอทาน พระพุทธเจ้าบอกว่าเทศน์แล้วจะไม่มีผล เพราะจิตของเขากังวลอยู่ด้ัวยการทำมาหากิน ก็เลยเสื่อมจากมรรคผลไปอย่างน่าเสียดาย
    พระอานนท์ถามว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดมีวิสัยจะได้มรรคผลจะไม่เสื่อมจากวิสัยอันนั้น แล้วทำไมอานันทเศรษฐีถึงได้เสื่อม พระพุทธเจ้าตรัสว่า อานันทเศรษฐีขาดอธิษฐานบารมี เพราะฉะนั้นที่บอกว่าทำบุญแล้วอธิษฐานเป็นการโลภนะ อย่าไปฟัง เราต้องการหรือไม่ต้องการ ผลนั้นเกิดกับเราแน่ จะโลภหรือไม่โลภเกิดแน่ แต่เราอธิษฐานนั่นเป็นการเจาะจงว่าให้เกิดอย่างไร เกิดเมื่อไหร่ ตัวนั้นเป็นตัวกันเอาไว้ก่อน เพื่อว่าในเวลาที่เราต้องการแล้วได้จริง ๆ ไม่ใช่ว่าตอนเราต้องการไม่ได้ มาตอนเราไม่ต้องการ
    บางทีถ้าเป็นอย่างอานันทเศรษฐีก็พลาดประโยชน์ใหญ่ในชีวิตไปเลย เป็นพระนาคามีอย่างไรก็ไม่ต้องไปเกิดใหม่มาทุกข์แล้ว นี่กลายเป็นขอทานไม่ทราบว่าจะเวียนตาย เวียนเกิดอีกกี่หมื่นกี่แสนกัปป์ ต่อไปอธิษฐานให้เยอะ ๆ (หัวเราะ) จริง ๆ แล้ว แค่อธิษฐานขอไปนิพพานอย่างเดียว กว่าจะไปถึงยอดเขาตลอดทางมีอะไรมันกวาดไปหมดอยู่แล้ว
     
  8. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ถ้าเราอธิษฐานไปแล้วสมมติว่าเราเคยอธิษฐานในอดีตชาติ แล้วพอมาในชาติปัจจุบัน เรายังไม่รู้ว่า ณ ผลกรรมที่เราได้รับในปัจจุบันนี้ อาจเป็นเพราะว่าเราอธิษฐานไว้แล้วก็ตาม ถ้าเราขอยกเลิกการอธิษฐานของเรา...
    ตอบ : ได้ ... อธิษฐาน ก็คือ การตั้งใจมั่น เราสามารถเปลี่ยนใจได้ มีสิทธิเปลี่ยนใจได้ทุกเวลา
    ถาม : แล้วอย่างที่เราทำบุญแล้วนี่นะคะ เราจะอุทิศส่วนกุศล ลำดับที่เราอุทิศส่วนกุศลมีผลไหมคะ ว่าเราจะต้องอุทิศให้ผู้ใดก่อน ?
    ตอบ : เรียกว่ามีก็ได้ มันขึ้นอยู่กับผู้รับ ถ้าผู้รับกำลังบารมีเขาสูงกว่า อยู่ในสถานที่ ๆ สมบูรณ์พร้อม จะให้ก่อนให้หลัง ท่านได้แน่นอน แต่ขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าเป็นพวกเปรต อสุรกาย สัมภเวสี เหล่านี้ ถ้าให้ท่านก่อน ท่านก็จะได้เต็ม ๆ ถ้าไม่ได้ให้ท่านก่อน แต่บอกให้เป็นการทั่วไป บางทีพวกที่กำลังใจสูงกว่ามันแทรกเข้ามา มันเอาไปหมด คนที่กำลังน้อยกว่าก็อาจเข้าไม่ถึง เคยเวลาโปรยอาหารแล้วสัตว์มันแย่งกันไหมล่ะ ? ตัวที่แข็งแรงกว่าเท่านั้นที่จะได้ ลักษณะเดียวกันเขาต้องการก็ต้องกันไม่ให้คนนี้เข้ามา
    ถาม : ถ้าอย่างนี้ เวลาเราจะทำบุญให้ใคร เราระบุ....
    ตอบ : เจาะจง...ระบุชื่อให้เขาไปก่อนเลย แล้วค่อยอธิษฐานอย่างอื่น
    ถาม : แล้วต้องจัดไหมคะ ว่าต้องให้ใครต่อ ?
    ตอบ : ก็แล้วแต่เราชอบใจ เอาตามแบบหลวงพ่อ ท่านก็ให้เจ้ากรรมนายเวรก่อน ถัดจากเจ้ากรรมนายเวร ก็เป็นเทวดาที่รักษาตัวเอง เทวดาทั้งหมดทั่วสากลพิภพ จนถึงพระยายม แล้วค่อยให้ญาติโยมที่ตายไปแล้ว จะใช่ญาติหรือไม่ใช่ญาติให้ทั้งนั้น
    ถาม : แล้วอุทิศให้ตัวเองได้ไหมคะ ?
    ตอบ : ได้จ้ะ แต่อุทิศให้ตัวเอง อุทิศหรือไม่อุทิศตัวเองได้อยู่แล้ว ได้ตั้งแต่ตอนทำแล้ว
    ถาม : แล้วการกรวดน้ำ กรวดน้ำยังไงเขาจะได้ ?
    ตอบ : แค่เราตั้งใจ ว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำในครั้งนี้ขอให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่่าไร ขอให้เขาได้รับด้วย แค่นี้เขาก็ได้รับแล้วไม่ต้องไปเสียเวลาเอาน้ำรดมือนะ ไอ้น้ำรดมือนั้นรูปแบบของพราหมณ์รดมือตัวท่านเอง เลยเป็นรูปแบบยึดต่อ ๆ มา
    ถาม : วันก่อนได้อ่านหนังสือหลวงพ่อ ถาม-ตอบ ที่บอกว่าเมื่อเสียชีวิตปรากฏว่าได้เข้าไปในนรก ผ่านมาตลอดทางก็เจอมีอาหารมีอะไรคล้ายกับตัวเองใส่บาตร อะไรทุกอย่างของเขาเอง แล้วน้ำมีแค่ครึ่งขวด แล้วคนที่พาไปบอกว่าเลาทำบุญตักบารตร เขาต้องใส่น้ำให้ด้วยเป็นลักษณะกรวดน้ำก็ต้องใช้น้ำ
    ตอบ : จริง ๆ แล้วให้เป็นอาหารก็สมบูรณ์แล้ว บรรดาผู้ที่ตายใหม่ ๆ อันนี้ฟังให้ดีนะ ถ้าไม่เคยฟังจากที่อื่น ๆ อาจกลายเป็นสิ่งไม่ตรงกับเค้า บรรดาผู้ที่ตายใหม่ ๆ อุปาทาน ทำให้เขารู้สึกว่าเขาต้องกิน ต้องใช้อะไรต่าง ๆ เหมือนกับคนอยู่ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็จะมาปรากฏรอให้เขา
    แต่ถ้าหากว่าบุคคลที่ทำความดีสูง ๆ ผลบุญจะส่งให้เขามีกายทิพย์ อิ่มทิพย์ไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปกิน ถ้าใหม่ ๆ อาจต้องไปนั่งเคี้ยวอยู่หลายมื้อ ลำบากจะแย่ พอรู้ตัว เฮ้ย !?กูเป็นเทวดานี่หว่า จะเสียเวลากินทำไม ก็หายโง่ไปหน่อย ถ้าใหม่ ๆ เป็นเหมือนกันนะ พวกยังติดอุปาทานอยู่
    มันมีอยู่สถานที่หนึ่งใครเคยไปหรือยังไม่รู้ มันมีพวกบรรดาตลาดใ้ห้จับจ่ายใช้สอยกัน มีเดินเข้าเดิินออกกัน ช็อปกันให้มั่วเลย !มีเหมือนกัน พวกที่ไปใหม่ ๆ ละนิสัยมนุษย์ไม่ได้ก็ไปอยู่แถวนั้นแหละ พอรู้ตัวว่าเป็นเทวดาสบายกว่ากันตั้งเยอะ มาเดินกันให้เมื่อยำไม เขาก็เลิก...
    ถาม : แล้วที่เวลาเขาเผา กระดาษเงินกระดาษทองไป เขาก็ได้สิคะ ?
    ตอบ : ได้ขี้เถ้าจ๊ะ...(หัวเราะ)
    ถาม : ยังไม่ถามเลย ทำไมขนลุกซู่เลยเจ้าคะ ?
    ตอบ : มันอยากลุก ขนลุกมันมีหลายอาการนะ อาการที่ร่างกายกระทบหนาวก็ขนลุก อาการกลัวก็ขนลุก อาการปีติก็ขนลุก ตัวปีติมันจะเป็นปีติเพราะตัวเองได้ทำความดี มันมีอยู่ตัวหนึ่งเขาเรียกว่า ขณิกาปิติ ขนมันลุกเหมือนกัน แล้วอีกอย่างหนึ่ง ก็คือ ผีจะมา อันนี้ไม่ได้พูดเล่น ถ้าเขาอยู่ในบริเวณนั้นแล้วเรารับสัมผัสได้ ช่วงนั้นขนจะลุกเกรียว เกรียว เป็นระยะ ๆ น่าตื่นเต้นไหม
    ถาม : ตื่นเต้นเจ้าค่ะ เคยมีผีตามมาเจ้าค่ะ คือไปบ้านคนนึง แล้วเขาเสียชีวิต เราก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่ตรงที่เรายืนอยู่ เขาตายอยู่ พอยืนนักพัก กลิ่นมาแล้วเจ้าค่ะ พอกลิ่นมาไม่นาน ก็เริ่มีอาการจะเข้ามาที่ตัวเรา เราก็วิ่งหนีออกจากจุดนั้น เหมือนแบบมีลมเหม็น ๆ วิ่งตามเข้ามา จะเข้าปากน่ะเจ้าค่ะ
    ตอบ : รอดมาได้ ....ไม่น่าเลย อยากจะดูอีตอนโดนสิง ออกอาการยังไง (หัวเราะ)
    ถาม : ตอนนั้นคิดว่าถ้าไม่ได้นึกถึงคุณพระคงแย่เหมือนกัน...
    ตอบ : แย่เหมือนกัน แต่จำเอาไว้ว่า ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมาแล้วเราผู้เป็นเจ้าร่างไม่อนุญาต เขาทำยังไงก็สิงไม่ได้
    ถาม : แต่คุณแม่รีบเอาน้ำมนต์เจ้าแม่กวนอิมใส่ แล้อาเจียนออกมาเจ้าค่ะ เขาจะเข้าทางปากได้หรือเปล่าเจ้าคะ ?
    ตอบ : รอบตัว ทุกขุมขนก็ได้ ไม่เป็นไร...แก้ได้แล้ว
     
  9. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : มีพลังแรง ได้กลิ่นออกมาด้วย
    ตอบ : มันก็ไม่ได้แรงอะไรนักหนาหรอก ถ้าหากว่าพลังของเขาสมบูรณ์จริง ๆ เขาสามารถปรากฏกายตอนกลางวันแสก ๆ ให้คนหมู่มากเห็นได้พร้อมกันด้วย ของเขามาได้แค่กลิ่นเท่านั้น ยังถือว่าโน่นอยู่สุดปลายตะโกนเลย
    รายที่กำลังเขาสูงสามารถปรากฏกายออกมาพูดคุยแจ้งความประสงค์ของเขากับเราได้ รายที่กำลังต่ำหน่อย เห็นได้แต่รูปไม่ได้ยินเสียง รายที่กำลังต่ำลงไป รูปไม่เห็นแต่ได้ยินแต่เสียงเท่านั้น ที่ต่ำที่สุดก็คือ รูปก็ไม่เห็นเสียงก็ไม่ได้ยิน ได้กลิ่นอย่างเดียวเท่านั้น นับว่าแย่มาก ๆ เพราะฉะนั้นไอ้ที่เราเห็นหน้าตาเละเทะดูไม่ได้ ไอ้นั่นของมันเต็มที่แล้วนะ ได้สวยแค่นั้นะ นั่นสวยที่สุดของเขาแล้ว
    เพราะฉะนั้นต่อไปเจอผี อย่าไปกลัว เขาน่าสงสารมาก เป็นผู้ที่ขาดแคลนหาความสวยงามก็ไม่ได้ เปลี่ยนโกลทัศน์เสียใหม่ ผีไม่ได้น่ากลัว น่าเกลีียด แต่น่าเวทนาที่สุด พยายามเร่งตัวเองจนเต็มที่แล้ว ปั้นหน้าได้สวยแค่นั้น เพื่อมาพบกับเรา แทนที่เราจะอุทิศส่วนกุศลให้เขา วิ่งหนีไม่พอ ด่ามันอีก นั่งร้องไห้ไปหลายตลบแล้วล่ะ
    ถาม : อย่างนั้นคนที่ตายไปแล้วยังอยู่ในสภาพนั้น คือไม่มีบุญที่เปลี่ยนสภาพเขาได้เลยหรือเจ้าคะ ?
    ตอบ : ก็บางทีเขาพบที่มีบุญกุศลมากก็ต้องการบุญกุศลอันนั้น อย่างเช่น ว่าเราอาจะได้ทำบุญใหญ่โดยการถวายสังฆทานหรือวิหารทานมา เขาไปในบริวเณนั้น เขาอยากได้ส่วนกุศลนั้น พยายามติดต่อกับเรา แต่ไอ้เราก็หูหนวก ตาบอดขาดทิพจุญาณขึ้นมา พยายามเต็มที่แล้วก็ได้แค่กลิ่น ไม่รู็ทำไงเข้าสิงมันซะเลย ให้มันร้องบอกคนอื่นเป็นภาษามนุษย์ดีกว่า ถ้าหากว่าเขาสามารถที่จะใช้กำลังข่มเราลงได้ เราก็จะพูดตามที่เขาต้องการ
    ถาม : แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ เพิ่งจะถวายสังฆทานพระประธานมา อยู่ดี ๆ คนขับรถเนี่ยะ ...ก็ขับรถเข้าไปในป่าช้า ไม่ทราบว่าเขาทำยัง ถึงได้ดึงสภาวะของคนขับรถเข้าไปในป่าช้า ?
    ตอบ : แสดงอยู่ ๒ อย่าง อย่างแรก ก็คือ กำลังเขาสูงมาก อย่างที่สอง คนขับของเรานี่แย่ที่สุดเลย จิตอ่อนมากจนเขาสามารถครอบงำได้ง่าย แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นด้วยกรรมเนื่องกันมาทำให้เขาเห็นเราว่า เฮ้ย ! เพื่อเราหรือเปล่าหว่า ทำบุญมาขอแบ่งหน่อย จะต้องมีอะไรบางอย่างที่เนื่องกันมาด้วย
    ถาม : ถ้าอย่างนั้น ระหว่างศพที่เผากับศพที่ฝัง พลังความรุนแรงของวิญญาณ....?
    ตอบ : ไอ้นั่นมันศพ มันอยู่ที่ตัวเขาเลย ที่จิตเขาเลย ถ้าหากว่าจิตของเขาประกอบด้วยกำลังบุญที่ทำมามาก หรือว่าความโกรธ เกลียด อาฆาตแค้น อย่างฝังใจรุนแรงมาก อันนันกำลังเขาจะสูง อีกฝ่ายหนึ่งสูงด้วยความดี ฝ่ายหนึ่งสูงด้วยความชั่ว ไอ้ศพก็คือศพ ทำยังไงก็เรื่องของมัน เผาก็กลายเป็นขี้เถ้า ฝังก็เปื่อยจมดินไป แต่ดวงจิตที่ประกอบด้วยบุญด้วยบาปต่างหากล่ะว่ทำมากน้อยแค่ไหน ถ้าทำมามากกำลังสูงก็แรงมากอย่างที่ว่า
    ถาม : แล้วอย่างนี้ถ้าเขาเผาศพแล้วอัฐิยังเก็บไว้ในบ้านจะมีสื่ออะไรกับผู้เสียชีวิตไปแล้ว ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าเขายังไม่ไปเกิดนะ ยังประเภทติดตามอยู่ สามารถที่จะเข้าไปในบ้านกับเราได้ด้วย เท่ากับว่าเราเชิญเข้ามาเอง แหม ! อุ้มเข้ามาเลยใช่ไหม ไม่ต้องพูดถึงเจ้าที่แล้ว อุ้มเข้ามาเอง เขาก็ตามต้อย ๆ
    ถาม : เห็นทางบ้านเขาเอากระดูกไปไว้กับโต๊ะหมู่บูชา
    ตอบ : ถ้าไว้ต่ำกว่าพระไม่เป็นไร ถ้าไว้สูงกว่าพระก็เตือนเขาด้วยแล้วกัน บอกว่ากระดูกผีไว้ต่ำกว่าพระหน่อยก็ดีจ้า แยกออกต่างหากจะดีกว่า
    ถาม : ทีนี้ ...แบบมีความอิจฉาเล็ก ๆ น่ะเจ้าค่ะ บางคนถูกรางวัลที่ ๑ ได้ลาภลอยกันใหญ่ ทำบุญยังไงมาคะถึงได้ตรงนี้
    ตอบ : บุคคลที่มีลาภทางการพนัน ทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนามาก่อน อย่างเช่นว่าเดิม ๆ เจอเขากำลังทำบุญก็ควักกระเป๋าร่วมกับเขาไปเลย อย่างนี้จะได้ลาภการพนัน เล็ก ใหญ่ ตามผลบุญที่ตัวเองทำ บางรายถูกรางวัลที่ ๑ อาจได้สร้างพระพุทธรูปหรือถวายสังฆทานโดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจมาก่อน ไปเจอปุ๊บปั๊บก็ทำเลย แต่บุคคลที่ตั้งใจทำจะเกิดเป็นเศรษฐีเลย ไม่ต้องเสียเวลารอลาภลอย อันนั้นก็เลือกเอาว่า เราจะเอาแบบไหน แล้วก็ไปตั้งใจเกิดใหม่เดี๋ยวได้แน่ (หัวเราะ) อยากเกิดไหม ถ้ายังอยากก็เอา
    ถาม : แล้วการทำบุญแบบไหนบ้างที่จะส่งเสริมในแต่ละด้าน ๆ เช่น บางคนมีสติปัญญา บางคนมีรูปทรัพย์ดี แล้วมีคนรัก อย่างนี้เขาต้องทำยังไงบ้าง ?
    ตอบ : สติปัญญา ต้องให้ด้านธรรมทาน สั่งสอนเขาในธรรม หรือว่าุถวายพระไตรปิฎกเป็นต้น ทางด้านรูปสวยจะต้องเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยศีล ศีล ๕ ต้องบริสุทธิ์ มีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจ รูปสวยหรือถ้าหากต้องการสวยเป็นพิเศษ ให้ซ่อมพระพุทธรูปเก่าที่ปรักหักพัง ให้มีสภาพตามเดิมอันนี้จะสวยเป็นพิเศษ
    แต่ถ้าอยากรวยก็ต้องให้ทานโดยเฉพาะสังฆทาน นี่เป็นมหาเศรษฐีแน่นอน ผลพิเศษเหล่านี้เลือกเอา้แล้วกันว่า เราจะเอาอันไหน แต่ถ้าหากว่าเราให้ทานใช่ไหม รวยแต่รูปไม่สวยปัญญาไม่มี ก็ลำบากนะ แต่ถ้าหากว่าเราเป็นผู้มีศีล เราเกิดมารูปสวยแต่ปัญญาไม่มีก็แย่ หรือไม่ก็เราก็มาฉลาดแต่หน้าตาห่วยแตก ก็ไม่เอาไหนอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทำให้ครบทุกอย่างดีกว่า
    ถาม : แล้วทำอย่างไรไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ?
    ตอบ : อย่าฆ่าสัตว์ แม้แต่มดแดงแมงน้อย ตัวเดียวก็ห้าม ถ้าเกิดชาติใหม่จะเป็นผู้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก นอกจากอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัว ตัวร้อน เล็ก ๆ น้อย ๆ หรือว่าอาการปวดเมื่อยตามสภาพร่างกายที่ใช้งานแล้ว การเจ็บป่วยด้วยโรคภัยอื่น ๆ ไม่มี
    อีกอย่างก็ทำอย่งท่าน พระพากุละเถระ พระพากุละเถระท่านสร้างส้วมถวายวัด ช่วยปลดทุกข์ใหญ่ให้กับผู้คน โดยเฉพาะพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เกิดมาในชาติปัจจุบันที่ท่านเป็นพระพากุละเถระท่านไม่เคยเจ็บป่วยกับใครเลย ท่านเป็นพระที่พระพุทธเจ้ายกให้เป็นเอตทัคคะทางเป็นผู้มีโรคน้อย คือ นอกจากอาการปกติอย่าง หิว เจ็บ หนาว ร้อน หิวกระหาย เหล่านี้ เรื่องอื่นเช่น เจ็บหนัก ๆ ท่านไม่เคยเป็นกับใคร สร้างส้วมอย่างหนึ่ง แล้วก็อย่าฆ่าสัตว์อย่างหนึ่ง ทำมันสองอย่างเลยก็ได้
    ถาม : อย่างนี้พวกที่เข้าผ่าตัดตลอดต้องไปทำเขามาแน่เลย ?
    ตอบ : อย่างนั้นเศษกรรมจากปาณาติบาตแน่นอนจ้ะ
     
  10. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ต้องทำอย่างไร ถึงจะได้กลัยาณมิตรที่ดี ?
    ตอบ : เราชักชวนเขาทำในสิ่งที่ดี ๆ ด้วย อย่างเช่น ชวนคนให้ทำในทาน ในศีล ในภาวนา ผลที่เกิดขึ้นกับเขาส่งผลให้ชาติใหม่ถ้าเขาเกิดมาก็เป็นเพื่อนที่ดีของเราต่อไป การทำบุญชักชวนเขามีผลพิเศษ ก็คือว่า เกิดใหม่จะมีบริวารมาก มีคนมาพึ่งพาอาศัยเยอะ ได้เพื่อนก็ได้เพื่อนที่ดี
    ถาม : ที่เป็นคู่กัน ทำยังไงถึงเป็นคู่กันได้ ?
    ตอบ : ประกอบด้วย ๒ อย่า่ง อย่างหนึ่งเรียกว่า ปุพเพสันนิวาส คือ เคยเกื้อกูลกันมาในชาติปางก่อน ปุพพะ...ปุพเพ แปลว่า แต่ปางก่อน สันนิวาส คือการอยู่ร่วมกันมา พวกนี้ถ้าเห็นหน้ารักเลย ประเภทหนีตามกันง่าย ๆ เลย ไม่ต้องเสียเวลาจีบนาน อีกประเภทหนึ่งเกื้อกูลในชาติปัจจุบัน เห็นอกเห็นใจกัน สองประการที่จะเป็นเนื้อคู่กันได้
    ถาม : แล้วประเภทอยู่กันไป แล้วทะเลากัน ...เขาทำกรรมอะไรกันมา ?
    ตอบ : พระพุทธเจ้าบอกว่า ครอบครัวที่จะอยู่กันอย่า่งมีความสุข สามีภรรยา ต้องมีทานเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ถ้าหากว่านอกเหนือจากนี้ อันไหนขาด อันไหนพร่อง เดี๋ยวก็ทะเลาะเบาะแว้งกันไป ถ้าใช้ง่าย ๆ ก็คือ บารมีเสมอกัน บางคู่เราเห็นว่าไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้
    ปรากฏว่าบารมีเขาเสมอกัน ที่เขาเปรียบคู่ว่า ยักษ์อยู่กับยักษ์ เทวดาอยู่กับเทวดา มนุษย์อยู่กับมนุษย์ ถ้าอย่างนี้จะอยู่อย่างมีความสุขใช่ไหม ถ้าเกิดว่าเทวดาไปอยู่กับยักษ์หรือมนุษย์ไปอยู่กับยักษ์ อย่างนี้ก็อาจโดนขย้ำสักฝ่ายหนึ่ง โบราณท่านเปรียบไว้เยอะ
    ถาม : ถ้าในชาติปัจจุบันเราเป็นผู้็หญิง แล้วชาติหน้าเราอยากเกิดเป็นผู้ชายต้องทำยังไงบ้างคะ ?
    ตอบ : ๒ อย่าง ประการแรก ถ้าแต่งงานก็ต้องเคารพสามีเหมือนพ่อ ชาติต่อไปจะเกิดเป็นผู้ชายใหม่ ประการที่สองสร้างบุญใหญ่ อย่างเช่น ว่าสร้างโบสถ์คนเดียวหลังหนึ่งเลย หรือเป็นเจ้าภาพพระประธานหน้าตัก ๔ ศอก ๘ ศอก แล้วตั้งความปรารถนาว่าผลบุญที่เราทำในชาตินี้ ชาติใหม่ขอให้เกิดเป็นผู้ชาย แล้วจะไปเกิดให้มันทุกข์ทำไม ? (หัวเราะ)
    ถาม : เพราะคิดว่าชาตินี้คงไม่ทัน ขอชาติหน้าอีกชาติหนึ่ง แล้วนิสัยผู้ัหญิงจะติดไปอีกชาติไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : การที่เราเกิดเป็นผู้หญิง เพราะเราสร้างบารมีมาน้อยหรือไม่ก็ตั้งใจจะเกิดไปเป็นเืนื้อคู่ของบุคคลอื่น ที่อธิษฐานเอาไว้ จะเกิดเป็นผู้หญิงแต่ถ้าสร้างบารมีมาถึงอุปบารมีขั้นปลาย จะเกิดเป็นผู้ชายไปเรื่อย ยกเว้นว่าผู้ชายคนนั้นเจ้าชู้มากเมียก็จะถูกบังคับไปเกิดเป็นผู้หญิงเพื่อชดใช้กรรมเหมือนกัน
    เพราะฉะนั้น อย่ามาเรียกร้องสิทธิสตรี ผู้หญิงยังสร้างบารมีมาน้อยกว่า แต่ผู้หญิงบางคนที่สร้างบารมีมามหาศาลแล้วยังเป็นผู้หญิงอยู่ เพราะว่าตั้งใจมาเป็นเนื้อคู่เขา อย่างเช่นตั้งใจเกิดเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์องค์นั้น...องค์นี้ ก็จะเกิดเป็นผู้หญิงต่อไป แต่อันนั้นบารมีท่วมหัว เขามากกว่าเราหลายเท่าเลย
    ถาม : แล้วอย่างพวกกะเทย ?
    ตอบ : อันนั้นว่าเขาไม่ได้ เพราะเขาอยู่ในจุดระหว่างกึ่งกลางพอดี อย่างเช่นว่า บุคคลที่เริ่มจากหญิงจะเป็นชาย.....นิสัยความเป็นชายจะมาก่อน เราไปว่าเขาเป็นทอม ที่เพิ่งเริ่มเป็นชาย แต่ว่ามาจากผู้หญิงใหม่ ๆ นิสัยผู้หญิงกระตุ้งกระติ้งจะติดมาเราก็ไปเรียกว่าพวกตุ๊ด แต่ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องกฏของกรรมที่ปกติ ถ้าเรามองเห็นตรงจุดนี้ได้ไม่ต้องไปนำหนิใคร เพียงแต่ว่าพวกอุปบารมีช่วงนี้มันเกิดเยอะไปหน่อย ใช่ไหม ?... มันก็อาจมีผู้ชายใส่เกาะอกอะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) เห็นมารึยัง มีจริง ๆ นะ บังเอิญอาตมาตาไวเห็นเข้า แหม ! แล้วเขาเองก็อยากให้เรามอง พอเรามองเนี่ยะ เชิดเชียว (หัวเราะ) น่ารักเนอะ
    ถาม : แสดงว่าเราก็เคยเป็นเหมือนเขามาก่อน ?
    ตอบ : เคยเป็นเหมือนเขามาก่อน ใช่ ....กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เหล่านั้นเราเคยทำมาก่อน เขาเองน่ะ ลูกหลานเราทั้งนั้น แล้วเราจะต้องไปเกลียดลูกเกลียดหลานทำไมเล่า ก็รักเขาเสมอตัวเรา ต่างคนต่างก็เกิดมาร่วมทุกข์เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกัน
    ถาม : แต่ละสัตว์ที่เกิดมา วิญญาณที่มีชีวิตอย่างมดปลวก พวกแมลง ต้นไม้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิต ?
    ตอบ : ต้นไม้มีชีวิต แต่ว่ามีแค่วิญญาณ คือ ประสาทบังคับได้ แต่ว่าไม่มีจิต เพราะฉะนั้นต้นไม้เป็นชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับชีวิตที่เราได้ฆ่าเขาแล้วจะเป็นบาปเป็นกรรม ชีวิตที่ฆ่าแล้วเป็นบาปเป็นกรรม ต้องเป็นชีวิตที่มีจิตประกอบอยู่
    ถาม : ชีวิตที่มีจิตประกอบ ...อย่างพวก มด ปลวก ?
    ตอบ : อันนี้รับรองได้เลย จิตภายในของเขา ก็คือคนดี ๆ นี่เอง เพียงแต่สภาพกรรมบังคับ สภาพกรรมบังคับเขาทำให้เขาอยู่ในสภาพที่มืดบอด ไม่สามารถที่จะแสดงความต้องการอะไรมากกว่า การกินการสืบพันธุ์ การต่อสู้กันการหนีภัย แต่เขาก็เป็นชีวิตหนึ่ง ถ้าฆ่าเขาเมื่อไหร่ก็ระวังไว้ ถ้าเผลอไปรับโทษด้านอบายภูมิเมื่อไหร่ เกิดเ็ป็นเขาเท่ากับจำนวนที่เราฆ่า (หัวเราะ) ใครเคยฉีดมดทั้งรังบ้าง ? อย่าเผลอเกิดใหม่
    ถาม : พวกแบคทีเรีย ?
    ตอบ : ทำไม ? พวกเหล่านั้นกรณีเดียวกับต้นไม้ คือเป็นแค่ประสาท รับความรู้สึกของมันได้ เท่านั้นเอง มันไม่ใช่จิต
    ถาม : ที่บอกว่าเราฆ่ามด แล้วจะทำยังไงคะ ที่บ้านมดเยอะมาก ทำไงไม่ให้อยู่ในบ้านเรา ?
    ตอบ : สารพัดวิธีทีจะกัน ชอล์กกันแมลงนันก็มี ขีดเส้นไว้เสีย
    ถาม : เคยทำแล้ว เห็นจะจะเลยค่ะ ว่ามันผ่านระหว่างรอยต่อ ระหว่างชอล์กนั่นแหละค่ะ
    ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเสี่ยงตัวเองเข้าไปด้วย คือฉีดยา แต่การฉีดยานี่อย่าไปฉีดให้ใส่เขา อย่างเช่นฉีดใส่ผนังห้องให้กลิ่นมันออก เดี๋ยวเขาก็ไป เราฉีดให้ทั่ว แล้วก็ฉีดบ่อย ๆ คราวนี้เราเองเราจะตายก่อนมดหรือเปล่า ? เพราะสมัยนี้มันแรงจังเลย
     
  11. phuang

    phuang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,033
    ค่าพลัง:
    +10,043
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=tcat colSpan=2>Currently Active Users Viewing This Thread: 5 (4 members and 1 guests) </TD></TR><TR><TD class=alt1 colSpan=2>puang, DevilBitch, artty, ดวงแก้ว </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : แต่ถ้าเราฉีดแล้วบังเอิญโดนมันตายล่ะคะ ?
    ตอบ : ไอ้นั่นถ้าไม่มีเจตนากรรมมันน้อยลง โทษมีเหมือนกัน แต่น้อย การฆ่าสัตว์โทษ ๑๐๐% ก็ต่อเมื่อ
    ๑) สัตว์นั่นมีชีวิตอยู่
    ๒) เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่
    ๓) เราตั้งใจฆ่า
    ๔) เราลงมือฆ่า
    ๕) เราฆ่าสำเร็จ
    ถ้าประกอบด้วย ๕ ส่วนนี้ โทษ ๑๐๐% ส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่องโทษลงไปตามส่วน เจตนาไม่มี นี่ปกติแล้วถ้าหากว่าเป็นคนทั่วไปเขาไม่ปรับซะด้วยซ้ำ ยกเว้นบรรดาผู้มีจิตละเอียดมาก ๆ นั่น ไม่มีเจตนาก็เอาซะหน่อย
    ถาม : ถ้าเราเจตนาฆ่าสัตว์ แต่ว่าในระหว่างทำร้ายนี่มีการทรมานสัตว์อย่างไหนจะ ....?
    ตอบ : ก็เหี้ยมกว่าเดิม โทษหนักขึ้น หนักกว่าเดิมจ้ะ
    ถาม : แล้วเวลาเราไปทานอาหารเราไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรกับเจ้าตัวที่เรามองไม่เห็น เหมือนว่าเราจะสั่ง จะกินปลาตัวนี้ อย่างนี้ เราไม่รู้ว่าเขาไปจัดการมันมา แล้วเรามารู้ทีหลังว่าทำยังไง ?
    ตอบ : อันนั้นไม่ต้องจ้ะ สำหรับคนทั่ว ๆ ไป เขาไม่ปรับ สำหรับพระถ้าไม่รู้ว่า เขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าไม่รังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ฉันได้ แต่ถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ประเภทที่เรียกว่า เดินเข้าไปหลังครัว เสียงทุบโป้ง โป้ง ดิ้น ปั๊บ ปั๊บ เลยล่ะัชัวร์แน่เลย เขาทำให้เราแน่เลยใช่ไหม ! เห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา เลือดสาดกระจายอยู่ตรงหน้าหรือรังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเรา คือ เขาเอามา เอ...นี่เขาทำให้เรากินนี่หว่า มันทำให้สัตว์ตายลง ถ้ากินเข้าไปท่านปรับอาบัติทุกคำกลืนน่ะ นี่ของพระ แต่ถ้าของฆราวาสนี่ ถ้าไม่ได้สั่งเขาฆ่า ไม่ได้ลงมือฆ่าเอง กินไปเหอะ ไม่เป็นไรหรอก ยังไงมันก็ตายอยู่แล้ว
    ถาม : แล้วมันไม่ติดตามเรา ทวงหนี้กรรมเหรอคะ ?
    ตอบ : เรื่องของธรรมะ ตรงไป ตรงมา ใครทำ คนนั้นรับไป คนฆ่ารับไป คนสั่งรับไป ถ้าเราไม่ได้สั่งให้เขาฆ่า เขาทำให้เรียบร้อยแล้วก็กินไปเหอะ
    ถาม : ก็มีอยู่ ตอนนั้นไปเจอค่ะ เจ้าของเนื้อ เวลาที่ตายเขามาทวงเนื้อเขาอยู่น่ะค่ะ อย่างนี้เขาตามมาได้ไงเจ้าคะ ?
    ตอบ : เขาทวงเราหรือทวงคนฆ่า ?
    ถาม : ตามทวงหมดเลยเจ้าค่ะ ทำได้ไง ?
    ตอบ : อันนั้นเขายังยึดอยู่กับอุปาทานมาก ไอ้อันนั้นเป็นตัวเขาของเขา ดวงจิตที่มุ่งมั่นมาก ก็ไปตามตัวเขาคืน คือ ส่วนที่แยกเป็นชิ้นส่วนไปแล้ว มันมีอยู่รายหนึ่งในประวัติหลวงปู่มั่น มันมี ...หมูมันโดนฆ่าตาย เสร็จแล้วเขาวิ่งมาบอกแม่ชีล่วงหน้าเลย บอกว่าพรุ่งนี้จะมีคนเอาเนื้อผมมาถวายช่วยกินหน่อยนะครับ ผมอยากจะได้บุญแล้วอันนั้น เขารู้ว่ามาถวายผู้มีศีลแน่ ก็เลยขอให้ช่วยซะหน่อย คือ อย่างน้อย ๆ ไม่รู้ว่าเป็นยังไง ตายแล้วก็ขอให้ได้บุญด้วยเนื้อตัวเองครั้งสุดท้ายก็ยังดี แบบนั้นก็มี
    แต่ไอ้ที่มันตามทวงอยา่งนั้นมันยึดติดตัวเองมากไปน่ะ ต้องเกิดแบบนั้นอีกเยอะเลย คือว่า ยึดในความสมมุติว่าเป็นวัว ยึดในความเป็นวัว ก็ต้องเกิดเป็นวัวต่อไป
    ถาม : แล้วอย่างนี้สภาพดวงจิต ถ้าเราตายไปแล้ว จากสภาวะที่เราเป็นมนุษย์ เป็นดวงจิตที่ต้องการไปเกิดในภพชาติใหม่
    ตอบ : ต้องเป็นไปตามบุญตามบาปที่ตัวเองทำ ดวงจิตอันนั้น ถ้าหากว่าตัวเองสร้างบุญบารมีไว้พอดี ปรากฏออกไปก็เป็นกายเทวดา ของพรหม หรือว่าของพระนิพพานในนิพพานไปเลย จะเปลี่ยนสภาพไปเลย แต่ถ้าหากว่าทำชั่วไว้มากลงนรกตรงเลย ก็เป็นกายของสัตว์นรก ก็เป็นกายของเปรต เป็นกายของอสุรกาย เป็นกายของสัมภเวสี หรือไม่ก็เป็นกายของสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเห็นเป็นกายของสัตว์เดรัจฉาน ก็เกิดเป็นสัตว์แน่นอน เห็นเป็นกายอะไรก็เป็นนั้นแน่นอน
    ถาม : ช่วงเวลา อย่างสมมุติว่า คนเริ่มที่จะเกิดเนี่ยะ สภาวะจิตเริ่มที่จะมาจับเป็นร่าง ...?
    ตอบ : อย่างนั้น มันแล้วแต่บุญแต่กรรมของเขา บางอย่างทันทีที่เชื้อของพ่อกับไข่ของแม่ผสมกันปุ๊บ จิตจับเลยก็มี แต่ขณะเดียวกันไปจับช่วง ๓ เดือน ๖ เดือนก็มี ไปจับตอนกำลังคลอดก็มี คลอดออกไปแล้วตาย แล้วค่อยไปจับเอาจิตนั้นเข้าแทนก็มี อย่างนี้มันมีตัวอย่าง คือท่านเจ้าคุณเล็ง ท่านตายแล้วคิดถึงน้องสาว ไปเยี่ยมน้องสาว อีคราวนี้น้องสาวคลอดลูกอยู่ น้องสาวตาดีเห็นพี่มา ก็บอกพี่ว่า อย่ามารบกวนหนูเลย อย่ามารบกวนหลานเลยพี่ตายแล้วไปตามทางของพี่เถิด ก็อายน้องสาวขึ้นมา ตั้งใจจะถอยออกไป สะดุดล้มขึ้นมา รู้สึกว่าหัวหมุนวูบ รู้ตัวอีกทีมาอยู่ในตัวหลานแล้ว...
    ถาม : แล้วจิตในหลานไม่มีอยู่ก่อน ?
    ตอบ : มีอยู่ก่อน แต่มันถึงวาระพอดี เขาทำกรรมหนักมา ถึงเวลาตอนนั้นเขาตายพอดี อันโน้นออกปุ๊บอันนี้เข้าเลย ในอภิธรรมบอกไว้ชัดเลย ปุเรชาตะ ปัจจะโย ปัจฉาชาตะ ปัจจะโย ปัจจัยของการเกิดก่อนเกิดหลัง อันเกิดก่อนปุ๊บ อันเกิดหลังนี่แทรกเข้าไปเลย ก็เลยกลายเป็นลูกของน้องสาวตัวเอง แต่ไม่ยอมเรียกแม่ เรียกน้องอยู่ตลอด เด็กตัวกะเปี๊ยกเรียกแม่ว่าน้อง (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ไหมคะ ?
    ตอบ : มรณภาพไปแล้ว ท่านบวชพระ จนกระทั่งเป็นเจ้าคุณ ใครเคยได้ยินมั่ง เขาเรียกเจ้าคุณเล็ง
    ถาม : จะอธิบายอย่างไงว่าการแสวงหาความเป็นตัวของตัวเองในเยาวชนธิปไตย และแสวงหาประสิทธิภาพบนความทุกข์ตรงนี้ หลวงพี่เป็นพระจะอธิบายหน่อยได้ไหมคะ ?
    ตอบ : พยายามบอกกับเขาว่าให้อยู่อย่างมีสติ เราจำเป็นต้องรู้เท่าทันโลก
    ถาม : เห็นด้วยกับการสอนในลักษณะที่บอกกับคนอื่นว่า
     
  13. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ทีนี้พูดถึงสติ พูดถึงสัมปชัญญะกับคำว่าคนรุ่นใหม่ แม้แต่บทบาทหน้าที่ ก็ไม่ได้เถียงพวกคนรุ่นใหม่อีกด้านหนึ่ง ยังตีตัวเองด้วยว่า บางทีแม้แต่บทบาท แม้แต่หน้าที่ของตัวเราเองเรายังรักเลย จะไปถ่ายทอดหรือว่าสติ หรือว่าสัมปชัญญะนี่ ได้หรือ เขาก็อาจจะเข้าใจในลักษณะของคำพูด แต่ใจทางปฏิบัติจริง ๆ แล้ว เขาจะเข้าใจหรือคะ ?
    ตอบ : ตัวเราเองต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ถ้าตัวเราเป็นตัวอย่างที่ดีแล้วเขาเห็น โดยเฉพาะเขาเห็นแล้วเห็นด้วย เขาก็จะคล้อยตามมาครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วหลังจากนันเราให้อะไรเขาก็จะรับได้ง่าย เพราะว่าตัวเราน่าเชื่อถือ เพราะฉะนั้นตรงนี้มันจะสำคัญตรงที่ว่า ตัวเราเองมีความน่าเชื่อถือสำหรับเขาเท่าไร
    ถาม : ถ้าเป็นการพูด แน่อนว่าความน่าเชื่อถือจะมีนะคะ
    ตอบ : ไม่แน่ ข่าวคราวต่าง ๆ ในปัจจุบันนี้มันอาจทำให้ความน่าเชื่อถือหมดไปเลยก็ได้
    ถาม : แต่ถ้าอย่างพระนี่ ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในระดับหนึ่ง ความน่าเชื่อถือจะมี แต่ถ้าในลักษณะของครูบาอาจารย์ธรรมดา เป็นปุถุชนคนธรรมดา วิธีการเหล่านี้มันได้ผลไหมคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากตัวเราสามารถเป็นตัวอย่างได้ เราพูดอย่างไร เราทำอย่างนั้น ความน่าเชื่อถือมันจะมีเอง คราวนี้มันสำคัญอยู่ตรงเรานี่ ว่าเราเองนี่แหละ เราจะบอกให้เขาทำโดยที่เราเองไม่ทำให้เห็นผลก่อนนี่ ตัวอย่างมันไม่มี ในเมื่อตัวอย่างมันไม่มี ถ้าปัญหาเกิดขึ้นหรือว่าเกิดการซักถามขึ้นมาเราจะไปตอบเขาอย่างไร มันก็เลยต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน
    ถาม : เพราะว่าคำถามในลักษณะแบบนี้ คือ ไม่ได้เห็นด้วยโดยเฉพาะมาพูดถึงว่า คนรุ่นใหม่กับสภาพแวดล้อม แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่าสิ่งที่เขาบอกคือมันถูก แต่วิธีการที่จะมานำเสนอ มันเป็นของ ...ตรงนี้แหละ รู้สึกว่าถ้าเป็นคนรุ่นใหม่แล้ว การใช้วิะีการที่เหมือนแบบเดิม
    ตอบ : มันไม่ได้ มันจะต้องปรับให้เข้ากับยุคสมัย อย่างที่ไปบรรยาย ๆ ให้พวกนักเรียนนักศึกษาฟัง เราเองต้องทำตัวเป็นคนรุ่นใหม่ ต้องพูดภาษาเดียวกับเขาเลย คนรุ่นใหม่เขามีภาษาเฉพาะของเขาอยู่ เราเองเราก็ต้องเข้าไปกับเขาให้ได้ เท่าที่บรรยายมา ส่วนใหญ่เขาถามว่า
     
  14. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : เมื่อคำถามมันมีมาที่จะพูดจะเล่นโต้กันในระดับของตัวบัญญัติ เพราะฉะนั้นการที่เขาพูดมาถึงสิ่งที่เป็นอนัตตา โดยความข้องใจที่เขาพยายามอธิบาย คือ กำลังจิตในลักษณะที่เป็นดินแดน แต่โดยความเข้าใจของตัวเองคือไม่เคยไป ไม่เคยเห็น ไม่เคยอะไรทั้งสิ้น แต่ถ้าเกิดว่า...มันน่าจะมีจุดนั้นทีรองรับบุคคลที่มีธาตุ รู้ตัวเนี่ย...เขาขึ้นแก่ตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าสถานที่จะเรียกว่าอะไร แต่ก็ข้อสอบไปอีกเหมือนกันว่า สิ่งเหล่านี้มันไม่ถูกพูดโดยบัญญัติ ตราบใดที่บัญญัติพูดได้ นั่นก็หมายวามว่า เป็นเรื่องของสมมติสัจจะ เพื่อให้เหตุผลเขาไปอีกแบบนั้น ไม่มียกใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าไม่รู้ว่าในคัมภีร์เนี่ย บาลีท่านว่ายังไง
    ตอบ : (หัวเราะ) พระพุทธเจ้ากล่าวว่า อัตถิ ภิขเว ตทายตนัง ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นย่อมมีอยู่ อายตนะ แปลตรง ๆ ว่า สถานที่เลยก็ได้ แปลว่าเครื่องรับรู้ก็ได้ เพราะว่าถ้าไม่มีอายตนตัวรับรู้ได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า นิพพานนัง ปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ใช่ไหมล่ะ แต่เพียงแต่ว่าเราจะเสียเวลาไปยกคัมภีร์ไปทะเลาะกันอะไร ลักษณะที่ว่าต่อให้เป็นการโต้คารมเพื่อความรู้ก็ตาม ถ้าเราไม่รู้จริงไม่สามารถสัมผัสได้จริงพูดเมื่อไหร่ก็ผิดเมื่อนั้น
    ถาม : ปัญหาก็คือว่าเอาสิ่งที่หลาย ๆ คนไม่รู้มา...
    ตอบ : คือ ตัวอาจารย์เองก็ไม่รู้จริง แล้วก็มานั่งเพื่อเปิดเวทีโต้วาทะกับลูกศิษย์ว่ามันเป็นอยา่งไร
    ถาม : คือ...เหมือนกับคนที่ไม่รู้สองคนกำลังทำอะไรก็ไม่รู้และสิ่งที่พูดกันออกมาก็ไม่รู้ แต่บางทีผลตรงที่ว่ามันถูกจารึกไว้เป็นตัวอักษรลงไป ทั้ง ๆ ที่เห็นว่ามันมีความจำเป็นหรือเปล่าที่จะต้องมานั่งบอกว่าเรียนเรื่องศาสนาเรื่องของปรัชญา ก็เลยเอาสิ่งที่ทุกคนได้ยอมรับว่ามันเหนือสมมุติ มันเป็นปรปักษ์อะไรสักอย่างหนึ่ง ทำข้อสอบก็ปฏิเสธไป แต่ว่าจากความรู้สึกซึ่ี่งมันก็ตอบว่าไม่ใช่ ตอนนั้นสถานการณ์ผู้ที่เรียนปรัชญาและศาสนาก็ผิดแต่อยู่ในความเป็นบุญ
    ตอบ : คือมันผิดตั้งแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะศาสนาพุทธไม่ใช่ปรัชญา ปรัชญามันเป็นแค่การเทียบเคียงเท่านั้น แต่ศาสนาพุทธเป็นอริยสัจคือความเป็นจริง เป็นความเป็นจริงที่ทุกคนสามารถค้นพบได้ไม่ใช่ลักษณะพรรณาโวหารกัน อย่าลืมว่าอริยสัจคือความเป็นจริงของเรามันอะไรล่ะ ทุกข์ใช่มั้ย เหตุของการเกิดทุกข์ แล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร สอนปฏิปทาของความดับทุกข์ เมื่อเข้าถึงทุกข์ดับแล้วก็คือนิโรธ ใช่มั้ย
    สิ่งที่ท่านค้นพบเรียกว่า อริยสัจ คือ ความเป็นจริง เป็นจริงอย่างประเสริฐ คือ เถียงไม่ได้ด้วย สภาพที่แท้จริงของของทุกสิ่งทุกอย่างจัดอยู่ในไตรลักษณ์ คือถือว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนให้ยึดถือมั่น หมายถึง เวลาตายก็พังไปหมด เพราะฉะนั้นไอ้หลักวิชานี้มันเริ่มต้นขึ้นชื่อวิชามันก็ผิดแล้ว มันผิดตรงที่ว่ามันเป็นปรัชญาแล้ว มันไม่ใช่ปรัชญาแต่เป็นความจริงเลย
    ถาม : ก็อยากจะถามอาจารย์ด้วยเหมือนกันว่าทำไมต้องนั่งเถียง แต่ว่าในฐานะของผู้สอนต้องทำไปตามนั้น แล้วก็โชว์สิ่งที่ไม่รู้ได้เต็มที่เลย
    ตอบ : จริง ๆ แล้วเราทำถูกนะ เราไม่รู้ก็บอกไม่รู้ แต่ว่าผู้ที่สอนน่ะ ในเมื่อมาถึงระดับนี้แล้วน่าจะมีความรู้ที่แท้จริงของตัวเอง ไม่ใช่ศึกษาจากตำราแล้วเชื่อตาม การศึกษาจากตำราแล้วเชื่อตาม พระพุทธเจ้าท่านว่า ในกลามสูตรแล้วใช่มั้ยว่า อย่าเชื่อมันต้องทำให้ได้เห็นผลจริง ๆ แล้วค่อยเชื่อ เราจะเชื่อโดยสมณะนี้เป็นครูของเราก็ไม่ได้ โดยมีอ้างไว้ในตำราก็ไม่ได้ โดยเชื่อเพราะตรองแล้วว่าเข้ากับทิฏฐิ คือ ความเห็นของเราก็ไม่ได้ ท่านให้เชื่อก็ต่อเมื่อพิสูจน์แล้วด้วยตนเอง
    ถาม : ถ้าพูดถึงเรื่องของการเกิด เวลาที่ผู้หญิงได้ตั้งครรภ์โดยสภาพการณ์หรือว่าคำว่าชีวิตนี่เกิดขึ้นเมื่อไหร่คะ ?
    ตอบ : เมื่อจิตคือตัวรู้เข้าจับในสังขารที่เริ่มก่อเกิดนั้นซึ่งไม่เท่ากัน บางคนทันทีที่เชื้อของพ่อผสมกับไข่ของแม่ปุ๊บตัวจิตนี้ก็เข้าไปจับเลย แต่บางคนอาจจะรอถึง ๓ เดือน ๖ เดือน ถึงเข้าไปจับ บางคนอาจจะรอจนกระทั่งใกล้คลอดแล้วค่อยไปจับ บางคนนี่คลอดออกมาแล้วค่อยเข้าไปจับก็มี
    ถาม : ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นคะ ?
    ตอบ : ก็มันแล้วแต่ตัวกรรมที่ชักนำให้จิตนั้นเข้ามา ถ้าหากว่าของเขาเองจำเป็นต้องทรมานมากนห่อยก็เริ่มมันตั้งแต่วันแรกเลย ถ้าหากว่าน้อยหน่อยก็รอจนวาระสุดท้ายก็ได้ แต่ขณะเดียวกันว่าตัวบุญของเขาก็มีอยู่
    อย่างเช่น พระโพธิสัตว์เนี่ย ถ้าหากว่าตั้งแต่วันแรกเลยตัวจิตเข้าไปจับปุ๊บ ด้วยตัวบุญของเขาไม่ทำให้เขารู้สึกเลยว่าทุกข์ แล้วขณะเดียวกัน จิตรู้ก็สามารถรับรู้อาการทั้งภายในและภายนอกพร้อมกันด้วย แต่ขณะเดียวกันก็มีบางรายที่ออกมาข้างนอกแล้ว อาจจะ ๓ เดือน ๖ เดือนแล้วตายแล้วจิตถึงเข้าไปจับก็ได้ จิตเดิมพออกไปจิตใหม่มาแทรกปุ๊บเลย ก็ทำให้ชีวิตนั้นอยู่ต่อไปแต่จิตเป็นคนละดวง
    ถาม : เหมือนกับว่ามันคงจะจ้องเข้าบ้าน เดินเข้ามาจังหวะของเขาจะเข้าบ้านนี้ ตัวรู้เนี่ย ฟังดูเหมือนไม่ได้ทิ้งไม่ได้ขาดเนื่องเลย คืออยู่นอกบ้านปุ๊บก็เข้ามาถึงบ้านแล้ว แล้วทำไมเราถึงลืมสิ่งที่มันเคยเป็นมา ?
    ตอบ : มันผ่านประสบการณ์อื่นที่เข้ามาขัดจังหวะอยู่ช่วงหนึ่ง ต้องใช้คำว่า กฎของกรรมก็ได้ อย่างเช่น ถ้าว่าเราตายปุ๊บ เราลงนรกใช่ไหม...เราอาจจะต้องพ้นจากนรกมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว ค่อยมาเกิดเป็นมนุษย์เนี่ย...มันจะทำให้ลืมชาติเก่าที่เป็นมนุษย์ เนื่องจากผ่านระยะเวลาที่นานมาก แต่ถ้าเราตายจากมนุษย์คือตายตอนนี้ปั๊บ แล้วเกิดใหม่เป็นมนุษย์เลย เราจะจำได้เหมือนกับหลับแล้วตื่น เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าสังเกตดูแต่ละคนที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการระลึกชาติได้ ส่วนใหญ่ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนทันที
    ลองไปอ่าน ๆ ดู พวกที่ว่าระลึกชาติได้ ตายจากคนแล้วเกิดเป็นคนเลย ทำให้เขาสามารถระลึกได้ เพราะมันเหมือนกับว่าหลับแล้วตื่น แต่ถ้ามีประสบการณ์อื่น อยา่งเช่นว่า เป็นเทวดาคั่นอยู่หรือว่าตกนรกคั่นอยู่อะไรนี่วาระของบุญของกรรม ที่มันเป็นตัวควบคุมนี่ก็จะตัดความรู้อันนั้นขาดเนื่องลงไป
    ถาม : ฟังดูแล้วเนี่ย มันก็คือไม่ว่าจะไปโดยสภาวะหรือสภาพใดก็ตาม มันก็ยังน่า...ตัวสัญญา...
    ตอบ : ตัวสัญญามันยังบันทึกความจำอันนั้นอยู่ จนกว่าเราจะไปฟื้นมันขึ้นมาใหม่ วิธีการฟื้นก็คือ ฝึกพวกทิพจักขุญาณ แล้วก็ไประลึกชาติย้อนหลังได้
     
  15. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : อย่างว่า ...เราหมดจากชาตินี้แล้ว พอเราตายไปตัวสัญญามันก็ยังคงอยู่
    ตอบ : มันคงอยู่ มันไม่ไปไหน
    ถาม : ทีนี้ ถ้ามันคงอยู่ แล้วทำไมมันเกิดลืม ในเมื่อตัวสัญญาก็ทำงานของมันไป
    ตอบ : สมมติว่าเราตายปุ๊บจากชาตินี้นะ เราขึ้นไปเป็นเทวดาจริง ๆ แล้วมันยังจำได้ ใครเป็นญาติเป็นโยม เป็นพี่เป็นน้องของเรา แต่ว่าความสุขเฉพาะหน้าที่มันปราณีตยิ่ิงกว่าทำให้เขาเพลินอยู่กับตรงจุดนั้น แล้วก็หลงลืมอันนี้ไป ขณะเดียวกันถ้าเขาลงนรก ทุกข์โทษที่เขาได้รับมันก็สาหัสสากรรจ์ จนกระทั่งความคิดที่จะมาจดจำไอ้เรื่องเก่ามันไม่มี นอกจากภาวะเฉพาะหน้าของตน ก็เลยทำให้สิ่งนั้นเลือนไป
    เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่ามันมีการที่คั่นด้วยสุขหรือทุกข์ของชาิติที่ต้องรับแล้ว โดยไม่ได้เกิดมาเป็นคนทีเดียวส่วนใหญ่จะจำไม่ได้ แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านันมันจะไปบันทึกอยู่ในสภาพของจิตเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าเราสามารถจะทำทิพจักขุญาณให้เกิดได้ เราย้อนกลับไปดู เราสามรถที่จะย้อนกลับไปดูทุกชาติที่เราต้องการ
    ถาม : หมายความว่า ความจำในที่นี้ คือสิ่งที่เราจำไมได้ ไม่ได้หมายความว่ามันถูกเลือนไป ?
    ตอบ : มันไม่ได้ถูกเลือนไป เพียงแต่เราจำมันไม่ได้ เพราะมันอาจจะนานเกินไป ถามตอนเด็ก ๆ เราทำอะไรมาบ้าง เราจำไม่ได้ ใช่ไหม...แต่ถ้าหากว่าเราฝึกทิพจักขุญาณได้ เราย้อนไปดู ความจำนั้นก็จะคืนกลับมา มันก็มีเครืองมือที่จะย้อนกลับไปค้นคว้าข้อมูลอันนันขึ้นมาใหม่ เพียงแต่ว่าอันนี้พอพระพุทธเจ้าท่านสอนแล้ว คนส่วนใหญ่เห็นว่ายาก พอยากแล้วก็ปฏิเสธหรือไม่ก็ไม่มีความสามารถที่จะทำให้ถึงได้ ก็จะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนทุกอย่างท่านท้าพิสูจน์เอาไว้เลย
    ในเมื่อท่านต้องการให้เราพิสูจน์แต่เราเองไม่พิสูจน์ แล้วเราก็ปฏิเสธหรือว่าเชื่อโดยตรงเลย มันก็จะทำให้เรากลายไป ๒ สถานก็คือว่าถ้าเชื่อถูกก็เป็นอันว่ากำไร แต่ถ้าเชื่อโดยงมงาย โดยที่ผิดพลาดไป เราก็ขาดทุน เมื่อกี้เข้าใจถูกแล้ว ความจำนั้นยังจำอยู่ มันไม่ได้หายไปไหน แต่ว่าระยะเวลาที่ยาวนานทำให้ความจำนั้นมันเลือนไป เราก็ต้องฟื้นความรู้สภาพจิตเราให้แจ่มใสเหมือนเดิม แล้วเร็จแล้วก็ย้อนกลับไปดูใหม่ ไม่อย่างนั้นแล้ว แต่ละชาติแต่ละภพที่ผ่านมาจิตมันโดนพอกด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ทำให้ความแจ่มใสของมันมัวหมองลงไป ไอ้ตัวจำมันก็พลอยเลือนไปด้วย
    ถาม : เมื่อกี้นี้พูดถึงประเด็นที่ว่า การรับรู้ของแต่ละบุคคลในการที่อยู่ในครรภ์ของมารดาจะต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าจิตของใครจะเข้าไปในช่วงนั้น ถ้ากรณีไปอยู่ประมาณ ๕-๖ เดือนแล้ว จิตก็ยังไม่เข้า แล้วสภาพ สภาวะ ของชีวิตตรงนั้นมันำไม่มีตัวจิตเข้าไปอยู่
    ตอบ : เขามีชีวิตเป็นปกติ เพราะว่าตัววิญญาณคือตัวประสาทความรู้สึกอะไรต่าง ๆ ของมันหมุนทำหน้าที่ปกติหมด ขาดตัวจิตตัวเดียว อย่าลืมว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เขาครบ เพียงแต่ว่ามันครบในลักษณะแบบเดียวกับพืชน่ะ ใช่ไหม...กินอาหารได้ เจิรญเติบโตได้ทุกอย่าง แต่ตัวรู้ไม่มี
    ถาม : บางที เวลาที่หมอหรือแม่... จิ้ม ๆ ไปถูกตัวเด็ก เขาจะมีการหนี มีการหลบ
    ตอบ : นั่นแหละ คืออาการของประสาทร่างกายมันรับรู้ แบบเดียวกับพืชกินแมลง หรือไม่ก็ไมยราพน่ะ เราไปจิ้มมันปุ๊บทำไมมันหุบได้หลบได้ล่ะ นั่นเป็นประสาทรับรู้ของมันเฉย ๆ ภาษาพระ ตัวประสาทรับรู้นั้นเรียกว่า วิญญาณ ไอ้วิญญาณในความหมายของคนทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่ เข้าใจว่าเป็นจิต คือตัวรู้ แต่ไม่ใช่ ... วิญญาณคือประสาทร่งกายเท่านั้น
    ถาม : ก็อยู่อย่างนี้ไปเรื่อย แล้วออกมาไม่มีจิตเข้าไปก็คือตาย ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มีตัวจิตที่จะเข้าไปอยู่ การที่จะกระทำที่เรียกว่า กรรม มันก็ยังไม่มีน่ะ สามารถเลี้ยงดูไปเรื่อยนะ แต่ว่าตัวรับรู้อื่น ๆ ไม่มี บางทีเขาก็โตมาลักษณะเหมือนตุ๊กตาไขลาน ถ้ามันเป็นไปได้
    แต่เนื่องจากว่า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าตัวจิตวิญญาณคือตัวรู้ที่พร้อมปฏิสนธิ มันมีมากมหาศาลเหลือเกิน แต่ว่าจุดที่จะเข้าได้มันมีอยู่แค่หนึ่งเดียว เพราะฉะนั้น มันแย่งกันหัวทิ่มหัวตำ แล้วแต่ว่าบุญบาปของใครจะได้เกิดก่อน ยิ่งโบราณบางทีเขาว่าแสบ ๆ ว่าชิงหมาเกิด บางทีก็จริงเหมือนกัน (หัวเราะ) เขาแย่งกันอยู่เพราะฉะนั้น ตัวอย่างที่มันจะโตโดยปราศจากจิตคือตัวรู้มันก็เลยยังไม่มี
    ถาม : แต่มันมีหรือคะ ถ้าพูดถึงว่าถ้ามันยังไม่มี แสดงว่ามันยังมีหรือคะ ?
    ตอบ : มันสามารถมีได้
    ถาม : มันไม่น่าเชื่อนะคะว่ามันจะมีได้ ?
    ตอบ : ทำไมล่ะ ก็ต้นไม้มันไม่มีจิตทำไมมันโตได้ล่ะ
    ถาม : เป็นการอยู่โดยไม่มีจิตเนี่ยนะคะ ?
    ตอบ : เออ...แล้วเขามีอะไรนั่นน่ะ มันไม่รับรู้อะไรหรอก นอกจากสัญชาติญาณในการหากินของมัน รู้ว่าแสงแดดอยู่ด้านไหน ถ้าเอนเข้าไปหาเพราะประสาทสัมผัสของมันมี
    ถาม : ถ้าอย่างนั้นกรรมของคนไม่มีบุญ ไม่มีบาป ไม่มีการกระทำใด ๆ ก็ไม่มีผล ?
    ตอบ : ก็ไอ้ตัวนั้นของเขาจริง ๆ มันยังไม่เรียกว่า คน มันยังไม่มีตัวจิตเป็นตัวควบคุม เพราะฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำมันก็เลยไม่จัดเป็นกรรม ในเมื่อไม่จัดเป็นกรรม มันจะเป็นบุญก็ไม่ใช่ เป็นบาปก็ไม่ใช่
     
  16. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ถ้าเกิดสมมุติว่าเขามีฆ่าคนล่ะคะ ?
    ตอบ : มันจะไปฆ่าอีท่าไหนล่ะ คือเขายังไม่รับรู้อะไรไอ้ตัวอารมณ์ที่คิดจะไปทำอย่างอื่นมันไม่มี
    ถาม : อย่างถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจล่ะคะ ?
    ตอบ : เอ้า...สมมุติว่าเหมือนอย่างกับต้นไม้แล้วกันนะ ถ้าหากว่าคนไปอยู่ใต้ต้นไม้ เผอิญกิ่งมันหักลงมาทับคนตาย เอาในลักษณะนี้ใช่ไหม...โทษไม่มีแต่ว่าคน ๆ นั้นเขามีกรรมอยู่ ทำให้ถึงวาระนั้นถึงเวลานั้น คน ๆ นั้นจำเป็นที่จะต้องสิ้นชีวิตลงไปด้วยสภาพใดสภาพหนึ่ง ก็ทำให้ต้องสิ้นชีวิตในลักษณะนั้น คือต้นไม้ทับตาย คน ๆ นั้นน่ะ เขาสร้างกรรมเอาไว้ แต่ต้นไม้นั้นไม่มีกรรมที่ต่อเนื่องไป เพราะว่าตัวจิตเจตนาที่จะฆ่าของเขานั้นไม่มี ตัวจิตที่มุ่งร้ายต่อผู้อื่นนั้นเขาไม่มี
    ถาม : แต่ว่ามันไม่น่าเชื่อที่ว่า เจอ...
    ตอบ : คือว่ามันมีโอกาสที่จะเป็นไปได้ แต่โอกาสนั้นมันยังไม่เกิดขึ้น ก็เลยไม่มีตัวอย่างที่ให้เห็นชัด ๆ เพราะฉะนั้น ที่เรากลัว ๆ กันว่าเออ... ถ้าหากว่าโคลนนิ่งคนขึ้นมาใช่ไหม...
    สมมุติว่าโคลนนิ่งคนขึ้นมาแล้วเสร็จแล้วมันจะเหมือนอย่างกับต้นแบบทุกอย่างน่ะ มันเหมือนได้แค่หน้าตาเท่านั้น แต่จิตมันไปคนละดวงกัน ต่อให้โคลนนิ่งขึ้นมาสัก ๑๐๐ คน มันก็กลายเป็น ๑๐๐ ดวงจิต คือ ๑๐๐ ตัวรับรู้ที่เข้าไปอาศัยอยู่ มันสักแต่ว่าหน้าตาเหมือนกัน แต่การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างมันจะไม่เหมือนกัน มันอาจจะมีใกล้เคียงกันบ้าง เพราะว่าทำบุญทำบาปมาเสมอกัน ถึงต้องมาเกิดในวาระนั้น ในเวลานั้นที่ใกล้เคียงกัน มันอาจจะมีการกระทำอะไรบางอย่างที่คล้ายคลึงกันได้ แต่ว่าสภาพจิตตัวรับรู้ ไอ้ตัวชอบ ตัวชัง มันคนละเรื่องกันเลย มันเป็นม้วนบันทึกเทปคนละม้วนกัน
    ถาม : แล้วอย่างในกรณีของเด็กที่ปัญญาอ่อน ถ้าเขาไม่ได้เจตนาจะมีโทษไหมคะ ?
    ตอบ : โทษมีแต่น้อย เจตนาอย่างเช่นว่าการฆ่าคนตาย มันต้องประกอบไปด้วย
    ๑. คนนั้นมีชีวิตอยู่ คือถ้าไม่มีชีวิตอยู่เขาเรียกว่าผีจ้ะ (หัวเราะ)
    ๒. เรารู้ว่าคนนั้นมีชีวิตอยู่
    ๓. เราตั้งใจฆ่า
    ๔. เราลงมือฆ่า
    ๕. เราฆ่าสำเร็จ
    ถ้าประกอบไปด้วย ๕ อย่างนี้โทษปาณาติบาตเต็ม ๑๐๐% ถ้าขาดตัวใดตัวหนึ่งก็ลดไปตามส่วน คราวนี้ของเขาไม่มีเจตนาอะไรเลย อย่างเก่งก็โดนข้อสุดท้ายคือ ฆ่าสำเร็จ มันก็กลายเป็นว่ามีโทษแค่ประมาณ ๑ ใน ๕ เท่านั้น
    ถาม : ไม่ทราบว่าเด็กที่ปัญญาอ่อนทำเหตุอะไรมา ?
    ตอบ : ก็เยอะต่อเยอะด้วยกัน สมมุติว่า เราคุยกันเรื่องธรรมะ รู้ก็ทำเป็นไม่รู้ ไขหูไม่ฟังมันอะไรอย่างนี้ แกล้งโง่บ้าง อะไรบ้าง มันมีสารพัด แบบเดียวกับฟังพระทำเป็นไม่ได้ยิน เกิดชาติใหม่ก็เลยหูหนวก เห็นเขาทำบุญกลัวจะเสียสตางทำเป็นไม่เห็น เกิดมาชิตใหม่ก็เลยกลายเป็นคนตาบอด พวกกรรมมันปรุงแต่งได้วิจิตรพิสดารกว่าที่เราคิด เมื่อ ๒-๓ วันที่ผ่านมามันมีเด็กตัวติดกัน พวกนี้อธิษฐานว่าจะไม่พรากจากกันนะ เกิดมาตัวติดกันเพลินไปเลย เหลือเชื่อเลย...
    เรื่องการปรุงแต่งของกรรมบางทีมันเป็นไปตามเจตนาของเราเหมือนกัน เจตนาของเขาก็คือรักกันมาก ไม่อยากจะจากกันนะ ในเมื่อรักกันมากไม่อยากจะจากกันก็เลยอธิษฐานอยา่งนั้น เลยกลายเป็นว่าไม่พรากจากกันจริง ๆ ตัวติดกัน (หัวเราะ)
    ถาม : เวลาเกิดเนี่ย สิ่งที่สุขกับสิ่งที่ทุกข์มันไม่มีสัญญาจิตมามั่งหรือคะ ?
    ตอบ : จริง ๆ แล้วมันมีติดมา แต่เราเองสามารถจะฟื้นกลับไปได้มั้ย ถ้าหากว่าเราทำความดีไม่เพียงพอในระดับหนึ่ง เราก็ไม่สามารถจะฟื้นมันกลับคืนมาได้ เพราะถ้าหากว่าฟื้นมันกลับมาได้ เราก็กลายเป็นคนดีหมดล่ะสิ มันจะกลายเป็นดีเพราะถูกบังคับ ไม่ใช่ดีโดยธรรมชาติที่จิตต้องการ
    ถาม : แล้วตัววาสนาที่ติดอยู่ติดตัวมาตั้งแต่ชาติที่แล้วล่ะคะ ?
    ตอบ : นั่นมันเป็นอาการหนึ่ง มันฝังรากลึกอยู่ในใจถึงเวลาถึงวาระมันแสดงออกโดยที่บางทีตัวเองก็ไม่รู้ตัว
    ถาม : มันจะไปถูกนิสัยใจคอด้วยไหมคะ ?
    ตอบ : นั่นแหละ ตัวนั้นเลยล่ะ
    ถาม : ลักษณะบุคลิก ดุ๊กดิ๊ก ๆ
    ตอบ : พูดชัด ๆ เลยว่า สันดาน (หัวเราะ) สันตติ แปลว่า สืบเนื่อง ภาษาไทยเขาเรียกง่าย ๆ ว่า สันดาน ในเมื่อมันต่อเนื่องกันมาเรื่อย ๆ มันก็ฝังรากลึกอยู่จนกลายเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของเรา อย่างเช่นว่า ทั้ง ๆ ที่เรามีความรู้ แต่เราไม่มั่นใจในความรู้ของเราอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ความรู้ของเรามี แต่ก็ไม่ค่อยที่จะกล้าเอ่ยปากกับใคร รู้มากกว่าเขา บางทีเขาสอนมาผิดก็ไม่กล้าบอกเขา ไม่กล้าเถียงเขา ก็ยุ่งกันใหญ่ มันปล่อยให้รายการของไตรภพเฉลยไปได้ยังไงว่า ศีลของภิกษุณีมี ๓๑๓ ข้อ มันมีแค่ ๓๑๑ ข้อ เถียงมันเข้าไปสิ บอกเขาว่าเปิดตำราแล้ว ๓๑๑ ข้อเนี่ย แจ๊คพอทแตกเลยมั้ย (หัวเราะ) ถ้าหากว่าแตกเลยก็นั่งเถียงไป (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วทำไม ทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงละวาสนาได้ ?
    ตอบ : ก็ของท่านเอง ทำไว้เยอะกว่าคนอื่นเขากำลังสูงกว่าอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป สาวกปกติแค่หนึ่งเดียว ท่านทำมากกว่า ๔ เท่า ในเมื่อทำมากกว่าตั้ง ๔ เท่า กำลังของท่านมากกว่านี่ สติสมบูรณ์พร้อมในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะตัว สัพพัญญุตญาน ในเมื่อรู้รอบขนาดนั้นก็เลยระวังทัน ระวังทันก็เลยเท่ากับว่าละได้ เพราะว่ายังไง ๆ มันก็ไม่มีโอกาสเกิด ระวังอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ของเราเองเอาอย่างนั้นมั้ยล่ะ พระปัจเจกพุทธเจ้ายังไม่มีสัพพัญญุตญาณเลย (หัวเราะ) สัพพัญญู แปลว่า รู้รอบ รู้ทั่ว รู้ทุกเรื่อง
     
  17. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : ถ้าอย่างนั้นเกิดมาแล้วได้รับกรอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูในสิ่งแวดล้อมไหนก็ไม่เกี่ยวกับตัววาสนาสิคะ ?
    ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกันจ้ะ
    ถาม : เพียงแต่ว่านักวิชาการเขาดึงมาปรุง ๆ กันให้เป็นทฤษฎี
    ตอบ : ก็ดูชินจังสิ แม่ของเจ้าเนเน่จังน่ะ โดนชินจังยั่วหน่อย ทั้งที่ผู้ดี๊ผู้ดี ตบะแตกคว้าตุ๊กตามาอัดใหญ่ นั่นน่ะสันดานเดิม
    ถาม : คือมองอย่างนี้นะ บางทีว่าใช่ ยอมรับว่า ไม่ได้ปฏิเสธว่า เราทุกคนมีสิ่งที่อยู่ในใจพร้อมที่จะแสดงออกมา แต่ว่าในลักษณะของสภาพแวดล้อมของแต่ละคนที่เป็นอยู่มันก็มีส่วนที่จะขัดเกลา
    ตอบ : มันขัดเกลาและเปลี่ยนไปได้ แต่ว่่านั่นไม่ใช่จริตนิสัยที่แท้จริงของเรา ให้นั่งนิ่งอย่างนี้ทั้งวันเลยได้ไหมล่ะ ประสาทกลับ
    ถาม : คือมันต่างกันไงคะ คือการนั่งอย่างนี้ โอเค มันเป็นเรื่องของกริยา เรื่องของความเป็นภูมิ
    ตอบ : ก็เนี่ยแหละ ตัวอย่างนี้ สมมุติว่าเราได้รับการอบรม เพราะว่าต้องนั่งเรียบร้อย ๆ ท่านี้แล้วก็ให้เรานั่งอย่างนี้ทั้งวันน่ะ ประสาทกลับ มันไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงของเรา เราเองถ้าเราหกคะเมนตีลังกาได้จะมีความสุขมาก เราก็ทำอย่างนั้น แต่เรารู้ว่ากริยานี้สังคมไม่ยอมรับเราเอง เราก็ต้องพยายามปรับปรุงดัดแปลงของเราไปตามที่รับอบรมมา ตามที่สังคมภายนอกเขาต้องการกันอย่างนั้น แต่ใจจริง ๆ ของเรา ๆ ต้องการไหม
    ถาม : แต่ว่าการที่เราถูกฝึกมาในลักษณะอย่างนี้ ในวันนี้นั่งไม่ได้ แต่วันหน้าก็ต้องนั่งได้
    ตอบ : ใช่...แต่มันจะค่อย ๆ ไปไง ค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมันกลายเป็นตัวของตนเองไป
    ถาม : แต่...เพราะฉะนั้นตรงนี้นี่ มันก็น่าจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ฝึกที่ขัดสิ่งเดิม ๆ สันดานเดิม ๆ
    ตอบ : สามารถทำได้ก็บอกแล้วว่ามันไม่หมด อันนี้กล้ายืนยันว่ามันไม่หมด เพราะกระทั่งพระอรหันต์ก็ไม่หมด ยังเหลืออะไรบางอย่างอยู่ความเคยชินเก่า ๆ อยู่ แต่เพียงความเคยชินเก่าของท่านนั้นมันจะไม่เป็นโทษของคนอื่นเขา
    อย่างเช่นว่า พระสารีบุตรชอบเล่นกับเด็ก ก็เล่นกับเด็กเหมือนเดิมล่ะ (หัวเราะ) ใช่ไหมล่ะ คือมันไม่เป็นโทษต่อคนอื่นเขา เรียกว่ามันไม่ล่วงศีลของความเป็นพระของท่านมันช่วยได้ แต่มันช่วยยังไงก็ไม่หมด เพราะที่ผ่านมานับชาติไม่ถ้วน แต่ขณะเดียวกันว่าชาติที่เราทำความดีนี้เต็ม ๆ ก็คงประมาณ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป หรืออาจจะมากน้อยกว่านั้นตามแต่ความขยันเกิดมากกว่ากัน ความจริงมันไม่ใช่ขยันเกิด ถ้าสร้างกันมากมันก็เกิดนานหน่อย
    ถาม : ก็ยังเห็นว่า คิดว่าเรื่องของสิ่งแวดล้อมปัจจัยภายนอกนี่ ยังมีผลที่จะช่วยได้ โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นเด็กเล็ก คือเข้าใจว่าเขาเป็นมายังไง ตอนนั้นเราเปลี่ยนไม่ได้ แต่การอบรมการค่อย ๆ พูด เหมือนกับว่าเอามีดผ่าภายนอกมันบ้าง
    ตอบ : แต่แก่นแท้มันยังอยู่้ เราก็บอกแล้วว่าภายนอกไง (หัวเราะ)
    ถาม : ไม่ได้เถียงนี่คะ แต่ว่ามันมีส่วนที่ช่วย
    ตอบ : มีส่วนจ้ะ ช่วยได้เยอะมาก ก็ตัวอย่างในธรรมบท ก็มีนกแขกเต้า ๒ ตัว โดนพายุพัดตกจากรังไป ตัวหนึ่งก็ตกไปในชุมโจรพอดี อีกตัวหนึ่งก็ตกไปอยู่อาศรมฤาษีเข้า แล้วเสร็จแล้ว พระราชาบังเอิญได้ไปทั้ง ๒ ตัว ตัวหนึ่งก็สวดมนต์ไหว้พระว่าตามพระฤาษีไปเรื่อยอีกตัวหนึ่งก็ กูจะฆ่า กูจะปล้น ท่าเดียวตามแบบโจรที่เขาว่านั่นน่ะ ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่นกเท่านั้น แต่ว่าซึมซับภายนอกเข้าไปยังทำให้กริยาวาจาของมันต่างกันขนาดนั้น
    แต่ว่าพระราชาท่านฉลาด ในเมื่อต้องการรู้ก็ถามผู้รู้ วิธีถามง่ายที่สุดก็คือถามพระพุทธเจ้า (หัวเราะ) พระพุทธเจ้าก็เลยบอกให้ฟังว่า ตัวหนึ่งมันไปตกอยู่ในชุมโจร อีกตัวหนึ่งไปตกอยู่ในอาศรมฤาษีพอดี เลยกลายเป็นเข้าวัดเข้วาไปตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งเป็นโจรไปเลย (หัวเราะ) มันมีส่วนเยอะ แล้วก็จำเป็น ทุกชาิติที่เราเกิดมาจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ใช้กรรมเฉย ๆ แต่เราพยายามขัดเกลาสภาพจิตของเราให้มันดีขึ้น ๆ ไป เรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดก็หลุดพ้นได้ แต่ว่ากระทั่งว่า หลุดพ้นแล้วถ้าหากว่ายังดำรงขันธ์ คือยังมีชีวิตอยู่ ถึงสภาพจิตสะอาดถึงที่สุดแล้วก็ตาม จริตนิสัยที่แท้จริงแต่ดั้งเดิมของตนเองมันก็ยังไม่ได้ที่จะขัดเกลาให้มัน ๑๐๐% เต็มในลักษณะนั้น มีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะละตัว...
    ท่านใช้คำว่า วาสนา ก็คือสิ่งที่มันสืบเนื่องกันมายาวนานจนประมาณไม่ได้ นี่มีพระพุทธเจ้าท่านละได้องค์เดียว องค์อื่นยังความสามารถไม่ถึงขนาดนั้น แต่ว่าสิ่งที่เป็นวาสนาสืบเนื่องของท่านเมื่อถึงวาระนั้นแล้วมันไม่เป็นโทษกับคนอื่น ท่านก็เออ...ช่างมันเหอะ ไม่ต้องเสียเวลาไปทำมันหรอก
    ถาม : ความเข้าใจของคนจะเข้าใจว่าวาสนาลักษณะดี
    ตอบ : บุญเก่าส่ง ใช่ไหม...แต่จริง ๆ แล้วตัวนี้ก็คือว่าสิ่งต่าง ๆ ที่มันสืบเนื่องฝังใจมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมันส่งผลมาให้น่ะ ทั้งส่วนบุญส่วนบาปเลยไม่ใช่เฉพาะบุญอย่างเดียว เพราะฉะนั้นเขาถึงใช้คำว่า วาสนาดี วาสนาไม่ดี มันเหมือนกับตัวกรรมแต่ถ้าเป็นอกุศลกรรมก็คือชั่ว กุศลกรรมก็คือดี ตัววาสนาก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันเป็นทั้ ง๒ สิ่งรวมกันส่งผลให้มาอยู่ปัจจุบันในนี้
     
  18. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : อาการดีใจแล้วมันขาดสติ แล้วกระโดดกอดท่านอย่างนี้ถือว่าผิดไหมคะ ?
    ตอบ : ข้างบนน่ะไม่ผิดหรอก จะกอดท่านกี่ครั้งก็เชิญเถอะจ้ะ แล้วเป็นไงกอดไปกี่ครั้งแล้วล่ะ (หัวเราะ) มันเป็นความคุ้นเคยเก่า ๆ เป็นวาสนาเก่า ๆ ที่ตัดไม่ขาดไม่มีอะไรหรอก มันอยู่ในสภาพของความเป็นทิพย์นะ ยังไง ๆ พระท่านก็ศีลไม่ขาดหรอก แต่ถ้าในสภาพความเป็นมนุษย์อย่าเผลอก็แล้วกัน ดีใจกระโดดกอดคอพระเลย (หัวเราะ)
    ถาม : เกี่ยวกับความฝัน
    ตอบ : จำไว้นะ ไม่ต้องไปกังวลมัน เขาบอกจะไม่ให้ตื่นเลย แต่มันก็ตื่นมาจนป่านี้ ตื่นซะจนแก่ป่านนี้แล้วไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก ฝันมันต่อไปฝันอย่างมีความสุขเลยล่ะ พอตื่นขึ้นมาไชโยเราชนะอีกวันหนึ่งแล้ว เดี๋ยวคะแนนต่อไปดูซิเราจะได้อีกรึเปล่า นี่ตกลงเราชนะมันมาทุกวันเลย ไม่เคยแพ้มันเลย มันยังไม่เก่งจริงหรอก
    ถ้าหากว่าเขาทำให้เราไม่ตื่นได้ก็ดีสิจะได้นอนพักยาว ๆ อะไรที่มันฝันมันก็คือฝัน อาจจะเป็นจิตใต้สำนึกอะไรบางอย่าง เพราะว่าฝันไม่ได้มีแบบเดียว มีตั้งแต่ธาตุวิปริต ท้องไส้ไม่ดีแล้วก็ไปฝันเละเทะ กรรมนิมิต กรรมแสดงเหตุให้รู้ จิตนิวรณ์ เอาความฟุ้งซ่านตอนกลางวันไปฝันตอนกลางคืน เทพสังหรณ์ เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ให้อย่างนี้
    เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอะไรกับมันหรอก อาตมาเคยฝันลักษณะนี้เหมือนกันติดต่อกันเป็นสิบ ๆ ปีเลยนะ ฝันเห็นสถานที่หนึ่ง ถ้าหากว่าสู้ใครไม่ได้จะหนีไปตรงนั้นแล้วไม่มีใครไล่ตามได้ เพราะเราชำนาญพื้นที่มาก ฝันถึง ๓๐-๔๐ ปี กว่าจะไปเจอเข้าตอนแรกไปก็ไม่รู็ว่ามันเป็นพื้นที่นั้น คือ ตอนที่เราเห็นน่ะเป็นน้ำตก เราต้องปีนสวนน้ำตกขึ้นไป แล้วก็หลบไปข้างหลัง ในสภาพความเป็นจริง ป่ามันหมด น้ำตกมันแห้ง พอจะกลับปวดปัสสาวะ ก็เลยหลบไปข้างหลัง พอจะฉี่ เอ๊ะ ! ที่มันคุ้น ๆ ตาว่่ะ มองไปมองมาอ้าว...ใช่เลย ก็ฝันอยู่แทบทุกวันน่ะ ฝันอยู่เป็นสิบ ๆ ปีทีเดียว ก็เลยจำได้ ออกมาถามเขาว่า นี่เคยมีน้ำตกมั้ย เขาบอกว่ามีพอหน้าฝนมันเป็นน้ำตก หน้าแล้งน้ำหมดก็เลยกลายเป็นหน้าผาเฉย ๆ
    บางอย่างเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเรา อาจจะเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่อะไรก็ตาม ของเราเองหนีมันมาไกลขนาดนี้ไม่ต้องไปกลัว จะบอกว่าถ้ามีปัญญาก็ตามมาเลย เราก็ควบของเราต่อไป ทำบุญให้สม่ำเสมอไว้ กรรมจะห่างอยู่ตามไม่ทัน ถ้ากระแสบุญขาดลงมันอาจจะตามทันได้ เพราะฉะนั้น อย่าประมาทอย่าสร้างกรรมใหม่ ขณะเดียวกันก็อย่าทิ้งบุญใหม่
    ถาม : แล้วจะแยกได้อย่างไรคะ ว่าเป็นฝันใดใน ๔ ตัว ?
    ถาม : นอกจากขยันฝันแล้วต้องช่างสังเกตด้วย คือถ้าหากว่าธาตุวิปริต กับจิตนิวรณ์น่ะ ไม่ต้องไปสนใจนะ แต่ถ้าหากว่าเป็นกรรมนิมิต เขาแสดงเหตุนี่ พอถึงเวลา วาระนั้นเราจะรู้ว่าสิ่งนี้เราเคยรู้มาแล้ว แต่ว่าคิดไปคิดมา อ๋อ...เกิดจากฝันเราอาจจะรู้เห็นอย่างชัดเจนเลยอยู่ในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เหตุการณ์นั้นมันยังไม่เกิดขึ้น เราก็ยังไม่รู้จนกว่ามันจะเกิดขึ้น คราวนี้ถ้าหากว่าเราเป็นนักฝันจริง ๆ ขยันฝันบ่อย ๆ เดี๋ยวเราจับจุดได้เองว่า เป็นตัวไหน ถ้ายิ่งเป้นเทพสังหรณ์ บอกหวยก็ครบเลยล่ะ
    ถาม : บางคนนี่ฝันแล้วพอตื่นมาบางทีเนี่ย...จิตมันสับสน จะรู้สึกว่ากังวลกับวามฝัน เพราะฉะนั้นตรงนี้นี่แนวทางที่ดี คือเราไม่รู้แหละว่ามันจะจริงหรือไม่จริง
    ถาม : ตัดอารมณ์ให้เป็นนะ ปัจจุบันนี้ที่ใช้ความฝันให้เป็นประโยชน์ จะใช้อยู่ ๒ ทาง ทางแรกก็คือ ถ้าฝันดีเก็บไว้เป็นกำลังใจตัวเอง ถ้าฝันไม่ดีก็ลืมมันซะเดี๋ยวนั้นเลย ขี้เกียจเก็บไว้จะทำให้ใจเศร้าหมองจะตัดขาดไปเลย
    อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า การฝันจะใช้วัดกำลังใจ วัดกำลังใจตรงที่ว่า ในฝันของเราถ้ามีโอกาสละเมิดศีลได้ แล้วเรารู้ตัวว่าเราเป็นผู้มีศีล เราไม่ยอมละเมิดถือว่ากำลังใจของเราดี หรือว่าในฝันเกิดอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา เรายึดเกาะในคุณพระรัตนตรัย หรือว่ายึดเกาะความดีได้ อันนี้ก็ถือว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดี แต่ถ้าเรายึดเกาะไม่ได้ หรือว่าเราล่วงละเมิดในศีลของเรา แปลว่ากำลังใจของเรายังแย่มากอยู่ เพราะฉะนั้นก็เก็บหลัก ๆ อันนี้ไว้ใช้ก็แล้วกันนะ อันดับแรกถ้าฝันดี เก็บไว้เป็นกำลังใจตัวเอง ฝันไม่ดีลืมมันซะ อันดับที่สองใ้ช้ความฝันเป็นตัววัดกำลังใจของเรา
    ถาม : นี่อยู่ในข้อหนึ่ง ฝันว่าเหตุของกรรม ที่ฝันเพราะเหตุของแรงกรรม
    ถาม : กรรมนิมิต จะดีหรือชั่วก็ตาม
    ถาม : กรรมในที่นี้ก็คือ...
    ถาม : ก็ทั้งดีทั้งชั่วนั่นแหละ แต่ว่าเขามีพื้นฐานทิพจักขญาณเก่ามา เจ้าตัวทิพจักขุญาณนี้ ถ้าจิตมันสงบถึงระดับของมันก็จะเกิดขึ้นใหม่ ลักษณะนี้เราไม่สามารถไปบังคับมันได้ เพราะว่าไม่ได้ผ่านการฝึกเข้มมาอย่างจริงจัง แต่ว่าเป็นตัวของเก่าที่ต้องรอให้ถึงวาระ รอเวลาที่กำลังใจจะถึงระดับนั้นพอดี ก็เลยทำให้ไม่มั่นคงพอที่เราจะรู้ได้ตลอด ยกเว้นว่าที่มันจะรู้ขึ้นมาเป็นพัก ๆ โบราณเรียกว่า ลางสังหรณ์
    ถาม : คือ...วัดตรงข้ามค่ะ เขาจะเล่นไสยศาสตร์
    ถาม : ก็ให้เขาเล่นไปสิ
    ถาม : ส่งของมาหาเรา พอเรานั่งกรรมฐาน แล้วเขาก็เห็นแล้วเขาก็จะ...เราจะไปหยิบมันก็ไม่ลงมา ผ้ายันต์ รูปภาพ แล้วเขาก็ไม่สบาย
    ถาม : เราเองไม่เป็นอะไร แล้วเราจะไปเดือดร้อนทำไมล่ะ ก็เรื่องของเขาสิ จำไว้ว่าบุคคลถ้ามั่นคงอยู่ในทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะตัวภาวนานะ เรื่องอันตรายจากไสยศาสตร์มันจะทำได้น้อยเต็มที โอกาสจะโดนแทบไม่มีเลย ที่เราเล่ามาก็คือว่า มันมีแต่เขาทำแล้วเขาก็เดือดร้อนคนเดียว เราไม่เป็นอะไรเลย แล้วจะไปกลัวเขาทำไม
    ถาม : เราทำแบบไม่ให้กลัวเขา แต่เราก็กลัวเขา
    ตอบ : กลัวไปทำไมล่ะ เขาเรียกว่าเหลวไหลอีกคนแล้วจ้ะ
    ถาม : ไม่ชอบให้เขามาทำอะไรเสียงดัง ๆ เราจะพลอยสะดุ้งค่ะ
    ตอบ : อ๋อ ... นั่นแสดงว่ากำลังใจของเรามันไม่มั่นคง
     
  19. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : แม่เขาสอนให้มีสติ ให้เดินจงกรม
    ตอบ : แล้วทำได้ไหม
    ถาม : ทำได้
    ตอบ : ถ้าทำได้มันไม่สะดุ้งหรอก อาตมานั่งนี่ ถึงโยนระเบิดมาตรงหน้า ก็ยังไม่สะดุ้งเลย จำไว้ว่าถ้าหากว่าเราสะดุ้ง แสดงว่าเราส่งจิตไปเรื่องอื่น คุยกันอยู่ตรงนี้แต่ทะลึ่งไปคิดเรื่องอื่น พอคนเขาทำอะไรอยู่ข้างตัวปุ๊บ เราก็ดึงจิตเข้าไปรับรู้นี่ จิตมันเข้ามาเร็วไป มันก็เกิดอาการสะดุ้ัง
    ถาม : ผิดไหมคะ ?
    ตอบ : มันจะผิดตรงไหนล่ะ มันเป็นเรื่องปกติจะตายไป
    ถาม : เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคูณอะไรอย่างนี้ค่ะ
    ตอบ : ก็เรื่องของเขา
    ถาม : แต่เรามองได้ไม่เป็นไร ?
    ตอบ : ก็มองไปสิ อย่าไปแอบดูตอนเขาแก้ผ้าอาบน้ำก็แล้วกัน เรื่องอื่นจะรู้ไปก็รู้ไป จำไว้ให้แม่น ๆ ว่า เรื่องที่เรารู้เราเห็นจริง ๆ แต่สิ่งที่เราเห็นไม่แน่ที่จะจริง ตอนนั้นอย่าเพิ่งไปเชื่อ กำหนดใจสักแต่ว่่ารู้ไว้เฉย ๆ พอ
    อะไรที่จะเกิดขึ้นแล้วเป็นไปตามนั้นก็ขอบคุณมาก ที่อุตส่าห์มาบอกให้รู้ ถ้าไม่เกิดขึ้นแล้วไม่เป็นไปตามนั้นก็เรื่องของมัน เพราะเราไม่สนใจอยู่แล้ว ทำใจให้ได้อย่างนี้จ้ะ สิ่งที่เราฝึกได้แล้วอย่าทิ้งนะ พยายามทำให้กำลังใจมันมั่นคงขึ้นไปเรื่อย ๆ การรู้เห็นไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เพียงแต่ว่ารู้เห็นแล้วอย่าไปบ้าตามเท่านั้นพอ รู้เห็นต้องมีสติสัมปชัญญะประกอบด้วย ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะประกอบจะลำบากมาก
    ถาม : หนูถามเรื่องฝันต่อค่ะ ถ้าฝันว่าเราเจอ คู่แข่ง อุปสรรค แล้วเราพลาดพลั้งไว้ แต่ว่าเราเจอมันมาก่อน แล้วผ่องใสดี
    ตอบ : แสดงว่าจิตใจของเรามันไม่ผ่องใสจริง ๆ ก็เร่งการภาวนาให้มันมากกว่าเดิมหน่อยอย่าไปอ้างว่าไม่มีเวลา
    ถาม : ถ้าเร่งในฝัน มันจะได้มั้ย ?
    ตอบ : มันก็ได้แต่ไม่ผ่องใส (หัวเราะ) เพราะอันนั้นมันเป็นผลแล้ว เราไปใช้ผลของมัน เราต้องสร้างเหตุแล้วสร้างเหตุ เราสร้างในฝัน มันไม่มีเวลาสร้างหรอก ต้องสร้างในความเป็นจริง บอกแล้วว่า ฝันมันเป็นตัวกำลังใจของเรา ถ้ากำลังใจของเรามันไม่ผ่องใสจริง ๆ ก็คือว่าในสภาพความเป็นจริงของเราเป็นอย่างนั้น ต้องเร่งสร้างในสภาพความเป็นจริงของเราให้กำลังใจมันทรงตัวมากกว่านั้น มันจะได้ใสมั่ง
    ถาม : โดยปกติแล้วคนทั่ว ๆ ไปมีศีลบ้าง ไม่มีศีลบ้าง มีโอกาสมั้ยคะที่จะได้ยินเสียง เสียงที่ดีของ ...(ฟังไม่ชัด) ที่จะบอกเราว่าเรายินดีหรือเราพร้อมจะช่วย
    ตอบ : มีโอกาสเป็นเกินร้อยเปอร์เซนต์ เพราะว่าถึงจะมีศีลบ้างไม่มีศีลบ้างก็ตาม แต่วาระและเวลาที่กำลังใจของเราเปิด ต้องใช้คำว่าสมาธิ บังเอิญมันตรงร่องนั้นพอดี ซึ่งมันไม่ใช่กำลังสูงอะไรเลยเป็นแค่อุปจารสมาธิก็สามารถรับได้แล้ว ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน คือว่าบังเอิญว่าคลื่นมันตรงช่องพอดี เปิดช่องสามปุ๊บ ก็พอดีคลื่นตรง ก็รับภาพรับเสียงได้ เพราะฉะนั้นโอกาสมีเกินร้อยเปอร์เซนต์ที่จะรู้ได้ ที่จะรับได้ แต่ท่านพร้อมที่จะช่วยนะซิ แล้วเราจะทำยังไงท่านถึงจะเต็มใจช่วย
    ถาม : ไม่ได้ชอบใครลองถามดู...(หัวเราะ)
    ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือว่าเรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุกับผลที่สมดุลกัน ถ้าเราสร้างเหตุ สมควรแล้ว ผลก็จะเกิด พระหรือว่าเทวดาที่ท่านจะช่วยท่านจะช่วยต่อเมื่อว่า เหตุนั้นมันพร่องอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็อาจบอกวิธีว่าทำอย่างไรมันจะเต็มเร็วอย่างหนึ่ง หรือถ้าหากว่าเราสัญญลักษณะนี้ต้องเรียกว่าบน ใช่มั้ย ?
    สัญญาว่าจะทำความดีอันนั้น อันนี้ซึ่งท่านเห็นถ้าทำความดีอันนั้นแล้ว เหตุมันจะพอดีว่าทำให้ผลนั้นเกิดได้ ท่านก็จะเพิ่มตรงส่วนที่มันขาดให้ก่อน แล้วหลังจากนั้นพอเราทำความดีส่วนนั้นลงไป เหตุมันเต็มผลมันก็เกิดได้เอง เพราะงั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องของเหตุกับผล ถ้าเราทำไม่พอผลก็ไม่เกิด คราวนี้ท่านจะช่วย ก็อยู่ที่เราว่าเราจะสร้างเหตุที่ดีพร้อมพอที่ท่านจะช่วยเราได้มั้ย
    ถาม : นอกจากเหตุปัจจัย ๔ อย่างแล้ว จะไม่พูดถึงอาหารหรือว่าฟุ้งซ่านสภาพวะของผู้ที่จะฝัน สภาพจิตนั้นจะต้องเป็นยังไงคะ ถึงฝันได้ ?
    ตอบ : ตัดพวกธาตุวิปริต ความฟุ้งซ่านออกไปมั้ย กำลังใจอย่างน้อยจะต้องเป็นปฐมฌานขั้นหยาบ สภาพจิตจะเกิดอาการนิ่ง พอนิ่งแล้วจะค่อย ๆ คลายตัวของมันออกมาถึงจุดที่เรียกว่า อุปจารสมาธิเมื่อไหร่ก็สามารถรับรู้ได้เมื่อนั้น จะเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ
    ถาม : เวลาคนที่นอนหลับแล้วถอดฌานได้เพราะว่าหลับ เหมือนว่าเรา จิต...
    ตอบ : ปฐมฌานมันมีสามระดับ ...หยาบ กลาง ละเอียด ของคนหลับ มนหยากมาก แต่ว่าเป็นฤทธิ์ที่เป็นไปโดยวิบากกรรมอย่างหนึ่ง คือว่า ร่างกายของเราจำเป็นต้องพักเลยทำให้ทุกคนเข้าถึงตรงจุดนั้นได้ แม้จะไม่ได้รับการฝึกมา ให้สังเกตุว่าถ้าวันไหนเราคิด จิตเราฟุ้งซ่านอยู่จะไม่สามารถหลับได้ ที่หลับไม่้ได้ เพราะว่าใจมันไม่สงบพอ ไม่ถึงตรงจุดปฐมฌานหยาบก็ไม่สามารถจะตัดหลับไปได้ แต่ว่าคนทั่ว ๆ ไป ถึงจะมีตรงจุดนี้ก็ตาม มันเป็นตัววิบากกรรมที่พาให้เป็นไป เพราะว่าเขาต้องการพักผ่อน ไม่ใช่เกิดจากการสร้างสมขึ้นมา
    เพราะฉะนั้น ผลอันนี้จะไม่ส่งผลว่าคุณได้ปฐมฌานหยาบ คุณจะเกิดตรงพรหมชั้นที่หนึ่งได้ ผลตัวนี้จะไม่เกิด เพราะไม่ใช่สิ่งที่สร้างสมมาด้วยความสามารถตัวเอง แต่เป็นวิบากกรรมชักนำให้เป็น เมื่อขึ้นถึงตรงจุดนั้นปั๊บ จิต...เมื่อพักผ่อนของมันเต็มที่แล้วจะค่อย ๆ คลายออกมา ลักษณะที่พร้อมที่จะตื่น แต่คราวนี้พอยังไม่ถึงจุดนั้น มันอยู่ตรงจุดที่เท่ากับอุปจารสมาธิพอดี มันจะเป็นตัวรับรู้ พอตัวนี้เกิดปั๊บ ก็เป็นอันว่าเริ่มฝันแล้ว
     
  20. DevilBitch

    DevilBitch เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    9,776
    ค่าพลัง:
    +36,838
    ถาม : มีอีกกรณีที่ชอบสัปหงกแล้วลักษณะจิตจะรู้ตัวเวลาที่สัปหงก เหมือนกับมันรู้หมดเลย
    ตอบ : ร่างกายมันหลับ แต่จิตมันไม่ได้หลับหรอก ร่างกายเพลียมาก ๆ มันหลับของมัน นักปฏิบัติต้องทำให้ถึงตรงนั้นนะ ถ้าทำถึงตรงนั้นแล้ว หลับกับตื่นสภาพจิตจะรับรู้ได้เท่ากัน ถ้าไม่ทำถึงตรงนั้น ยังอาศัยตัวเองได้ยาก
    ถาม : มันควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ ก็ต้องคว่ำ ?
    ตอบ : ประจำแหละ พยายามอีกนิดนึง คือตัวนั้นน่ะ ดีแล้ว
    ถาม : ยังไม่ทำอะไรเลย ก็หลับ แล้วก็เป็น...
    ตอบ : มันเป็น เรายืนยันได้ว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ว่าก่อนหน้านี้กับชาติก่อนนี้เคยทำมั้ย ?...ไม่กล้ายืนยันใช่มั้ย มันก็แค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นที่ไม่ทำแล้วจะเป็น มันเป็นไปไม่ได้....เพราะเหตุไม่มีแล้วผลมันจะเกิดได้อย่างไร คราวนี้ของเราประเภทสร้างสมให้มันเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม ต่อไปมันก็จะบังคับได้เอง ตัวนี้จะเป็นตัวที่อัศจรรรย์ที่สุดเพราะว่าในชีวิตนี้ก็เพิ่งได้ยินอยู่ ก็คือ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย ที่จังหวัดลำพูน ท่านเข้านิโรธสมาบัติ นิโรธสมาบัตินี้จะเป็นตัวดับเวทนา คือ ความสุข ความทุกข์ แล้วก็ตัวสัญญาก็คือประสาทร่างกายโดยสิ้นเชิงเลย
    ปกติแล้วที่เข้านิโรธสมาบัติไม่อิริยาบทนอน ก็เป็นนั่ง แต่หลวงปู่ชุ่มท่านเข้านิโรธสมาบัติสี่อิริยาบท มันเป็นเรื่องที่เกินความสามารถที่จะอธิบายว่าท่านทำได้อย่างไร เพราะว่าการดับตัวสัญญาและเวทนาไปแล้ว ท่านจะเอาอะไรไปคุมร่างกายให้มันเดิน อันนี้บอกไม่ได้ มันอาจเป็นตัวอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐานหรือการใช้อภิญญาสมาบัติ บังคับให้ร่างกายมันเดิน ทั้ง ๆ ที่จิตไม่อยู่กับร่างกายแล้ว อันนี้บอกมไ่ได้แต่ว่าท่านทำของท่านได้ คราวนี้ของท่าน ท่านทำได้ขนาดนั้นแล้ว ของเรามันไม่ยากหรอก ง่ายกว่านั้นเยอะ ของเราสภาพจิตมันยังอยู่กับร่างกายแท้ ๆ เลย ถ้างั้นเดี๋ยวก็เลิกโขกเองแหละ ตอนนี้ก็หัวปูดไปก่อน (หัวเราะ)
    ถาม : .............(เสียงไม่ชัด)..................
    ตอบ : ก็บอกแล้วว่า บางทีก็ไม่จริง เขาให้เรารู้ไว้ เพื่อทดสอบอารมณ์ใจของเราว่ากลังมั้ย ? ......หรือว่าจะไปกังวลกับมันจนเสียการปฏิบัติมั้ย ? อะไรเหล่านี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นต้องมีสติสัมปชัญญะมาก ๆ อะไรที่เกินการปฏิบัติของเรา ก็อย่าไปสนใจมัน รับรู้ไว้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไร เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา
    ถาม : พระต้องคุ้มครองเราเองใช่มั้ยคะ ...?
    ตอบ : จ้า ...ถ้าเราอยู่ในการปฏิบัติ ต่อให้พระไม่คุ้มครอง กำลังใจเราทรงตัว เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าให้อาราธนาพระคุ้มครองไว้เสมอ ๆ เพื่อความไม่ประมาท
    ถาม : หลวงพี่สมชายบอกว่าให้เอาพระมาครอบเรา แล้วก็เราไปไหน ก็เอาท่านมาครอบ แล้วท่านร้าวล่ะคะ ก็เป็นจริง ๆ
    ตอบ : ก็เอาองค์ใหม่ซิ
    ถาม : หลวงพี่สมชายบอกว่า ให้เอาพระมาครอบตัวเรา หรือว่าที่ร้านเรา แล้วให้เราทำจิตไปดูว่ามีอะไรที่เป็นสิ่งไม่ดีอยู่ในตัวเราหรือว่าในร้านเราที่เรามองเห็น
    ตอบ : จ้า....
    ถาม : ตอนนั้นอยู่ที่น้ำหนาว แต่พอกลับมาที่บ้านเรา พระที่เราเอามาครอบเป็นพระสังกัจจายน์ (ฟังไม่ชัด) ท่านร้าวเลยค่ะ
    ตอบ : หาองค์ใหม่
    ถาม : แล้วองค์ที่ร้าง ต้องเอาไปไว้....
    ตอบ : ไม่ต้องหรอก เก็บไว้บูชาตามเดิม ทำงานมาเยอะแล้ว
    ถาม : ฝันเห็นเสด็จพ่อ ร. ๕ ดำเป็นตอตะโกเลยค่ะ ก็ถอดจิตถามว่า อะไร ทำอะไรมั้ย ก็คนตะโกนว่า ...(ฟังไม่ชัด).....
    ตอบ : จ้า ...ก็บอกแล้วว่ารับรู้ไว้เฉย ๆ เขาอาจลงรักโดยไม่ปิดทองก็เลยดำ ไปกังวลมากเราเองน่ะจะเสียเอง ของทุกอย่างมันเชื่อทีเดียวไม่ได้ ค่อยเป็นค่อยไป นักปฏิบัติที่มันเพี้ยนเพราะอย่างงี้แหละ ไปเชื่อ ๒๐ ครั้งแรก พอครั้งที่ ๒๑ ผิด ก็เลยพลอยเชื่อไปด้วย มันยังมีเวลาถูกได้ถึงครั้งที่ ๙๙ แล้วครั้งที่ ๑๐๐ อาจผิด ลีลาของเขาที่หลอกเรานี่ ไม่ต้องห่วงหรอก เด็ดขาดมากเลย เพราะฉะนั้นถ้าเชือ่เลยว่าใช่ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องใช่อย่างนั้น โอกาสจะโดนเขาหลอกมีเยอะมาก
    ถาม : เราเห็นเอง
    ตอบ : ใช่..เพราะว่าเราเห็นเองนี่แหละ ทำให้เราเชื่อหัวปักหัวปำไปเลยใครว่าก็จะไม่ฟังเขาแล้ว ก็เห็นเอง อยู่ ๆ เห็นเขาไล่ยิงกันมา ใช่มั้ย...เราก็เรียกตำรวจ หรือไม่ก็วิ่งเข้าไปขวางเขาไว้ โดนเขาด่าเช็ดซิ เขากำลังเล่นหนังกันอยู่แล้วเราเห็นเค้ายิงกันจริงมั้ยล่ะ แล้วเรื่องที่เราเห็นมันจริงมั้ย มันเป็นหนังใช่มั้ย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้สติสัมปชัญญะให้มาก ๆ โดยเฉพาะการปฏิบัติ ยิ่งเป็นตัวที่ได้ทิพจักขุญาณหรือได้อภิญญาสมาบัติ ยิ่งชัดเจนแจ่มใส่เท่าไรโอกาสโดนหลอกมากเท่านั้น ใครเคยอ่านสามก๊กบ้าง ? เขาบอกว่าขงเบ้งหลอกได้แต่คนฉลาด ถ้าคนโง่ขงเบ้งหลอกไม่ได้หรอก
    เพราะฉะนั้นตัวทิพจักขญาณก็เหมือนกัน ทิพจักขุญานยิ่งชัดเจนเท่าไร โอกาสเขาหลอกเรายิ่งสูงเท่านั้นก็มันรู้เห็นน่ะ ถ้าไม่รู้ซะอย่างอย่างเก่งก็แหย่เราได้ รัก โลภ โกรธ หลง ธรรมดา ๆ อย่างอื่นไม่สามารถมาทำอะไรเราได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปทึกทัก อย่าไปเชื่อมั่น เราตั้งใจว่า เราทำเพื่อพระนิพพาน อะไรก็ตามที่นอกเหนือจากพระนิพพานไม่ต้องไปสนใจ เรามีหน้าที่ละสังโยชน์สามข้อ เราก็ละของเราไป มีหน้าที่รักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์ก็รักษาไป ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่เราจะไปนิพพาน อันอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น รู้สักแต่ว่ารู้ไว้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทุกอย่างกรรมดีกรรมชั่วเป็นเครื่องตัวสินอยู่แล้วเราอย่าไปมีส่วนร่วมในกรรมนั้นก็แล้วกัน ฟังดูแล้วเหนื่อยใจมั้ย
    ถาม : .......(เสียงไม่ชัด)...........
    ตอบ : ตอนอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อสั่งให้ไปสร้างบ้านให้หมาอยู่ เพราะสงสารหมาตากแดดตากฝน ก็ไป ทำกัน มีเสาเก่าที่สูง ๕ เมตรอยู่ เสาจะเป็นเสาหล่อสำเร็จ เสาหล่อคอนกรีต สูง ๕ เมตร พวกเราก็ไม่มีใครสักคน ที่คิดว่าตัดมันได้ เพราะคิดอยู่อย่างเดียวว่าขุดหลุมฝังมันลงไปให้เหลือ ๒ เมตรครึ่ง ก็คือต้องขุดหลุม ๒ เมตรครึ่ง ก็ตั้งหน้าตั้งตาขุด ขุดลงไปได้เมตรกว่านี่เป็นทรายเลยทองอร่ามเลย เห็นแล้วก็นั่งเซ่อ.....อึ้งไปหมด พักหนึ่งแล้วก็พร้อมใจกันกลบ
    คราวนี้ตัดเสาได้หายโง่แล้ว (หัวเราะ) มันเหมือนกับเขาเจตนาจะให้เราได้เห็นจะได้ยืนยันได้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง ๆ แต่อันนั้นเป็นทองธรรมชาติ เป็นแบบเม็ดทรายตักขึ้นมาเป็นขอบ ๆ ได้เลย เหมือนยังกับเขาต้องการยืนยันคำหลวงพ่อบอกว่า เทวดาเขาย้ายทองมาที่วัดท่าซุงเป็นจำนวนมาก ในที่ ๑๐๐ ไร่นี้ไม่มีที่ว่างแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เขาเอามาไว้เต็มเลย ท่านถึงต้องได้รีบสร้างกำแพง ท่านพูดอย่างนั้น คนที่ได้มโนถึงจะรู้เห็นได้ แต่บางทีก็ไม่มั่นใจว่สิ่งที่รู้เห็นนั้นถูกมั้ย เขาเลยให้พิสูจน์ชัด ๆ ด้วยลูกกะตาเนื้อ ๆ เลย ไปจับไปคลำกันเอาเอง
    ปรากฏว่าเราก็ปากเสีย มอง ๆ เสร็จแล้วบอกว่า นี่ถ้าเป็นฆราวาส ผมเอานะ....เพื่อนพระด้วยกัน ท่านก็แหะ ๆ ไม่มีใครกล้าพูด ....ขึ้นเสามันก็ต้องมีไม้ค้ำ เราก็ขึ้นไปวางคานหัวเสา ไม่น่าเชื่อว่าเหยียบ ๆ อยู่เฉย ๆ ไม้ค้ำสามตัวมันหลุดพร้อมกัน หัวทิ่มลงไปเลย เจ็บตัวอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่เป็นอะไร ข้างใต้ฝ่าเท้าของเราหนังมันหลุดไปแผ่นใหญ่เบ้อเร่อเลย ต้องตะแคงเท้าเดินอยู่เป็นอาทิตย์ ๆ แล้วตะแคงเท้าตอนบิณฑบาตนี่ตะคริวมันจะกินน่ะ ลงโทษซะ โทษฐานปากเสีย....
     

แชร์หน้านี้

Loading...