ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ ขอให้สมความปรารถนาค่ะ

    Numsai
     
  2. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วสัตยาธิษฐาน-แก้วสุขุมาลย์มณีฤทธิ์ ตอน ๑๔ วิบากกรรมส่งผล..

    _______0615.jpg


    แท้จริงพราหมณ์ ๘ นั้น หาใช่พราหมณ์ที่แท้จริงไม่ เป็นผู้ที่พระนางวสุนทรีย์ว่าจ้างมา เพื่อกลั่นแกล้งพระนางวิสุทธารา เมื่อมาอยู่ที่แคว้นกุสิกาละนี้ ต่างอยู่ดีกินดี พระนางวสุนทรีย์ได้เลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี ทำให้พราหมณ์(ปลอม) ทั้ง ๘ ต่างก็เกรงพระทัยพระนางอย่างยิ่ง

    เวลาผ่านไป ๑ ปี วันหนึ่งวิบากกรรมเก่าของพระนางวิสุทธาราส่งผล พระเจ้าอทิตตราชได้ทรงพระสุบินเห็นท้องฟ้าสีแดงดุจโลหิต และมีดวงแก้วมณีผุดขึ้นมาจากทางทิศตะวันออก ท้องฟ้าสว่างไสวไปทั่วแดน พระองค์ทรงตื่นจากบรรทม

    เมื่อทรงเรียกให้พราหมณ์(ปลอม)ทั้ง ๘ เข้าเฝ้า พระนางวสุนทรีย์ได้ช่องทางใส่ร้าย จึงติดสินบนพราหมณ์เหล่านั้น ให้ทำนายเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพระนางวิสุทธาราทันที ความว่า..

    “ท้องฟ้าสีแดงดุจโลหิต หมายถึงการนำสิ่งมีชีวิต ๗ อย่าง คือ ช้าง ม้า โค กระบือ แพะ แกะ ไก่ อย่างละ ๕๐๐ ตัว เพื่อพระนางวิสุทธารา เนื่องจากพระนางมาจากทางทิศตะวันออกของแคว้น พระองค์จะมีชัยชนะไปทั่วทุกแดน เปรียบเสมือนดวงแก้วมณีส่องสว่างไปทั่วแผ่นดิน”

    เมื่อพระนางวิสุทธารา ได้ทรงห้ามว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้นเป็นบาป และนิมิตนี้มิได้หมายถึงการนำสัตว์ทั้ง ๗ มาสังเวยแต่อย่างใด แต่ไม่มีใครเชื่อ และพระนางวสุนทรีย์ทรงตรัสสมทบว่า...

    “น้องหญิง น้องเป็นโหราจารย์แต่เมื่อใด จึงทราบนัยแห่งพระสุบินนี้ หรือน้องมิต้องการให้เสด็จพี่มีชื่อเสียงไปทั่ว อีกประการหนึ่ง ในนิมิตดวงแก้วนี้เสด็จทางทิศตะวันออก ย่อมหมายถึงการทำนี้เพื่อตัวน้องด้วย เจ้าจะขัดขวางไปไย”

    กาลนั้น มารได้แทรกในจิตพระเจ้าอทิตตราชเห็นผิดเป็นชอบ ลืมเรื่องการรักษาศีลไปหมดสิ้น นึกเพียงว่า หากเรามีชื่อเสียงไปทั่วแผ่นดิน จะส่งผลดีแก่เราและชาวเมืองทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นสละชีวิตเซ่นสังเวย เพื่อเราสมมุติเทพ ย่อมได้บุญเช่นกัน

    พระนางวิสุทธาราตรัสว่า... “ข้าฯแต่มหาบพิตร พระองค์ทรงตั้งใจรักษาศีลแล้ว การฆ่าสัตว์นี้เป็นบาป โดยเฉพาะสัตว์ใหญ่อย่างช้าง และม้า เป็นสัตว์มีคุณแก่ท่าน อย่าได้ฆ่าสัตว์เหล่านั้นเลยเพคะ”

    เมื่อพระเสื้อเมืองได้ยินพระนางวิสุทธาราตรัสเช่นนั้นทราบว่าการฆ่าสัตว์ใหญ่ย่อมเป็นบาปหนัก โดยเฉพาะสัตว์ที่มีคุณ คือช้าง และม้า ซึ่งทำให้พระองค์มีประเทศราชจำนวนมากมาย จึงได้ดลใจให้พระองค์ระลึกถึงคุณของช้าง และม้า ดุจเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของพระองค์ พระเจ้าอทิตตราชทรงตรัสว่า...

    “เราขอบวงสรวงเฉพาะวัว ควาย แพะ แกะ และไก่ ส่วนช้างม้า เป็นสัตว์มีคุณแก่เรา ช่วยเรารบเราจะเว้นเสีย”

    พราหมณ์(ปลอม)ทั้ง ๘ นั้น ทราบว่าคำทำนายทั้งหมดเป็นเท็จ หัวหน้าจึงแสร้งว่า...

    “พระราชาเป็นผู้มีเมตตานักสวรรค์ยอมรับในความเมตตาของพระองค์ ขอจงทรงพระเจริญยิ่ง ๆ ไปเถิด”

    พระเจ้าอทิตตราชนั้นจึงมีพระราชโองการให้จับสัตว์ทั้ง ๕ ชนิดมา ทำพิธีบูชายัญ โดยพระนางวสุนทรีย์ได้ส่งคนไปป่าวประกาศว่า พิธีบูชายัญเซ่นไหว้แก่เทวดา ทำเพื่อพระนางวิสุทธารา ทรงมีพระโอรส-ธิดาแก่พระเจ้าอทิตตราช ประกาศไปทั่ว โดยที่พระนางวิสุทธารามิทรงรู้เลย

    ประชาชนที่เดือดร้อนจากการถูกต้อนสัตว์เลี้ยงของตน เพื่อการบูชายัญนี้ ต่างก็โกรธแค้นพระนางวิสุทธารา ที่ทำให้ตนต้องเสียสัตว์เลี้ยงไป ต่างก็คร่ำครวญต่าง ๆ นานา จนเสียงระงมไปทั่ว

    ฝ่ายเศรษฐบุตรเพิ่งกลับมาจากชนบท ได้ทราบข่าวนี้จึงได้รีบไปบอกนางสาระสินีว่า...

    “ท่านพี่ ๆ เกิดเหตุใดจึงมีการนำสัตว์เลี้ยงมาบูชายัญ เพื่อพระนางวิสุทธาราเช่นนี้”

    นางสาระสินีนั้นได้ให้คนไปสืบข่าวจนทราบว่า ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องการใส่ร้าย แต่ไม่ทราบว่า มาจากใคร จึงได้นำความนี้มาบอกแก่พระนางวิสุทธารา พระนางวิสุทธารานั้นได้ทราบว่า ประชาชนแคว้นนี้ต่างเกลียดชังและโกรธแค้นพระองค์ จึงนึกถึงคำพระบิดาว่า...

    “หากเกิดเหตุเภทภัยใด ให้นึกถึงคำสอนของพ่อให้อดทนถึงที่สุด นึกถึงคุณความดีที่เราทำมา และแสดงความปรารถนาดีไปสู่คนเหล่านั้นให้มากที่สุด ถ้าหนักมากให้ตั้งใจรักษาอุโบสถศีล และหลับตานั่งสมาธิทำใจหยุดนิ่ง ตามวิธีที่พระอาจารย์ปู่เคยสอน แล้วความดีเหล่านั้นจะช่วยให้เจ้าปลอดภัย”

    พระนางวิสุทธารานั้น พระโอรส-ธิดายังเล็ก แม้ร่างกายจะมีความอ่อนแออยู่ แต่จิตใจของนางพยายามที่จะทำดี ทรงตั้งพระทัยว่า จะรักษาอุโบสถศีล แผ่เมตตาให้แก่สัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า ใน ๓ วันข้างหน้านี้

    เมื่อถึงวันกำหนดบูชายัญสัตว์ทั้ง ๕ ชนิดอย่างละ ๕๐๐ ตัว พระนางวิสุทธารา อดกลั้นพระสุชลไม่ไหว จิตใจบอบช้ำที่เห็นการฆ่าสัตว์อย่างเลือดเย็นของเจ้าหน้าที่ อีกทั้งมีเสียงสาปแช่งพระองค์ด้วยความเข้าใจผิด คิดว่าพระองค์เป็นต้นเหตุ น้ำพระสุชลรินไหลไม่ขาดสาย แต่ไม่อาจจะเอ่ยคำใด

    พระนางจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า...

    “ข้าฯแต่ปวงเทพยดาทั้งหลาย ด้วยผลบุญที่ข้าพเจ้าเคยกระทำมาแต่กาลก่อน ขอส่งผลให้พระเจ้าอทิตตราชทรงเห็นความจริงด้วยเถิด การที่ข้าพเจ้าถูกใส่ร้าย ถูกผู้คนเกลียดชังไม่เป็นไร ข้าพเจ้ายอมรับได้ แต่การที่ให้สัตว์ผู้บริสุทธิ์เหล่านี้มารับกรรม ไม่บังควรเลย ขอเทพยดาทั้งหลายได้โปรดตักเตือนผู้ที่เป็นเหตุแห่งการสร้างกรรมครั้งนี้ด้วยเถิด”

    จากนั้นพระนางได้เข้าสมาธิตามที่พระเชษฐาเคยสอน จนได้โสตทิพย์ได้ยินเสียงสัตว์เหล่านั้นโกรธแค้นที่ถูกฆ่าอย่างไม่เป็นธรรม พระนางจึงปิดความรู้สึกได้ยินนั้น และอธิษฐานอีกครั้ง

    ขณะสัตว์ที่ถูกฆ่าไป ๔๕๗ ตัว เป็นโค ๑๒๘ ตัว กระบือ ๖๕ ตัว แพะ ๑๑๙ ตัว แกะ ๖๙ ตัว และไก่ ๗๖ ตัว ปรากฏมีสายฟ้าผ่าลงมากลางลานพิธี พราหมณ์(ปลอม) ทั้ง ๘ ต่างตกใจจนเสียสติวิ่งออกจากลานพิธี

    พระเจ้าอทิตตราชนั้น จึงทราบทันทีว่า เรื่องนี้ต้องมีเลิศนัย จึงสั่งให้ยุติการฆ่าลงทันที จากนั้นให้ทหารตามจับตัวพราหมณ์ปลอมทั้ง ๘ เมื่อจับได้ชายทั้ง ๘ ต่างรับสารภาพว่า ตนไม่ใช่พราหมณ์แต่รับจ้างมาจากพระนางวสุนทรีย์อีกที

    ฝ่ายพระนางวสุนทรีย์นั้นทราบว่า เรื่องนี้อาจจะส่งผลถึงพระนางแน่ จึงได้หนีกลับเมืองทางน้ำ ด้วยกรรมหนักนี้ ทำให้เรือของพระนางล่มกลางคัน ตายไปตกนรกขุม ๔ ทันที

    หลังจากที่ชายทั้ง ๘ ยอมรับความผิด พระเจ้าอทิตตราชสั่งให้เดินประจานไปทั่วเมือง ประชาชนที่โกรธแค้นต่างนำก้อนหินมาขว้างปา จนชายทั้ง ๘ สิ้นใจในเวลาต่อมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2013
  3. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติแก้วสัตยาธิษฐาน-แก้วสุขุมาลย์ฯ ตอน ๑๕ ดวงแก้วอทิตยาธิษฐานปรากฏ(ยังไม่ขึ้นมา)..

    พระนางวิสุทธารานั้น ทรงเห็นว่า สัตว์ที่ถูกฆ่าโดยไม่มีความผิดเป็นบาปมหันต์ จึงขอให้พระเจ้าอทิตตราช นำทรัพย์ส่วนพระองค์ไปมอบแต่เจ้าของสัตว์ที่ถูกฆ่า ได้ขออโหสิกรรมจากเจ้าของสัตว์เหล่านั้น เชิญพราหมณ์ทั้ง ๘ มาทำพิธีส่งวิญญาณสัตว์เหล่านั้นให้ไปสู่สุคติ

    (หมายเหตุเพิ่มเติม ความจริงสัตว์ที่ถูกฆ่าเหล่านั้น ยังมีบาปหนัก เมื่อตายไปต้องไปใช้กรรมในนรกทันที สัตว์เหล่านั้นบางตัวได้อาฆาตผู้ที่เกี่ยวเนื่องกับพิธีบูชายัญนี้ โดยเฉพาะพระนางวิสุทธารา ด้วยก่อนที่จะถูกฆ่า เจ้าหน้าที่ได้พูดคุยกับเจ้าของสัตว์ และเอ่ยชื่อพระนางวิสุทธาราไว้ ทำให้เกิดการผูกโกรธอาฆาตไว้ก่อนตาย

    และสัตว์ที่ถูกฆ่าเหล่านั้น คืออดีตครุฑครั้งหลายที่เคยทำร้ายพระนางวิสุทธาราในอดีต ที่เคยเกิดเป็นนางนาคมาณวิกา นามว่า รักขมาณวิกานั่นเอง ซึ่งเป็นไปตามกฏแห่งกรรม)


    จากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้พระเจ้าอทิตตราชระลึกถึงความชั่วที่ตนเองเคยเบียดเบียนผู้อื่น คิดว่า ต่อไปพระองค์จะงดเว้นการเบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แล้วประกาศให้ชาวเมืองทราบข้อวัตรรักษาศีล ไม่เว้นแม้แต่เด็ก ๆ ที่รู้ความแล้ว หากใครฝ่าฝืนจะมีโทษอย่างหนัก

    เมื่อพระองค์ประกาศไปแล้ว ได้ทราบเรื่องพิธีการบวงสรวงเทวดาจากพระนางวิสุทธารา จึงสั่งให้มีการบวงสรวงเทวดาในวันรุ่งขึ้น เพื่อขอบคุณที่ดลบันดาลให้เกิดฟ้าผ่า เป็นการระงับไม่ให้มีการฆ่าสัตว์ และเป็นบาปหนัก

    การบวงสรวงครั้งนั้น พระนางวิสุทธารา เป็นผู้จัดการพิธีเอง เนื่องจากในเมืองนั้นไม่มีผู้รู้วิธีการ ขณะที่บวงสรวงเทวดานั้น เกิดมีฝนฟ้าเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จากนั้นมีฟ้าผ่าลงมา มีดวงแก้วมณีปรากฏขึ้น ๑ ดวง จากนั้นลมฟ้าเข้าสู่เหตุการณ์ปกติ สร้างความตื่นตะลึงแก่พระเจ้าอทิตตราช และประชาชนทั้งหลายที่อยู่ในพิธี

    พระนางวิสุทธารานั้นมีความปิติใจอย่างยิ่งที่การบวงสรวงครั้งนี้มีผล และได้ดวงแก้วมณีรัตนะ เป็นเครื่องระลึกในการบวงสรวง จึงกล่าวแก่พระเจ้าอทิตตราชว่า..

    “ข้าฯ แต่มหาบพิตร ดวงแก้วมณีนี้จะปรากฏแก่ผู้มีบุญญาธิการ แก้วมณีดวงนี้มาจากยักษาผู้เฝ้าไว้นับหลายอสงไขย เป็นดวงแก้วคู่บารมีของพระองค์มาแต่กาลก่อน

    การที่ท้าวสักกเทวราชสงเคราะห์แก่พระองค์นั้น เห็นแก่สัตยาธิษฐานที่พระองค์ตั้งจิตไว้ว่า จะทำแต่ความดี งดการเบียดเบียนสัตว์ และมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์จึงสงเคราะห์ให้ ขอพระองค์โปรดรักษาไว้ยิ่งชีวิต นับแต่นี้ไปแคว้นกุสิกาละจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง”


    เมื่อพระนางตรัสจบ ประชาชนต่างแซ่ซ่องสรรเสริญในบุญญาธิการของพระเจ้าอทิตตราช และพระนางวิสุทธาราว่าเกิดมาเพื่อเกื้อกูลกันโดยแท้

    พระนางวิสุทธาราได้ตรัสว่า พระองค์ควรจะมีที่ประดิษฐานดวงแก้วมณี เพื่อให้ประชาชนได้สักการะขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นเครื่องระลึกในการทำความดีของตน พระเจ้าอทิตตราชทรงเห็นด้วยทุกประการ สั่งการให้สร้างมณฑป ยอดเป็นรัตนชาติ ประดิษฐานดวงแก้วมณีไว้กลางเมือง เปิดให้ชาวเมืองสักการบูชานับแต่นั้นมา

    ต่อมาพระเจ้าอทิตตราชทรงนึกถึงพราหมณ์ทั้ง ๘ ที่เคยได้ลาออกจากราชการ สั่งให้อำมาตย์ไปติดตามพราหมณ์ทั้ง ๘ กลับมารับราชการตามเดิม เมื่อทราบความพราหมณ์เหล่านั้น จึงกล่าวถึงนิมิตของพระเจ้าอทิตตราชว่า..

    “ข้าฯ แต่มหาบพิตร ความจริงแล้ว พวกข้าฯพระองค์ทราบเรื่องมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ทุกอย่างเป็นไปตามพรหมลิขิต ทำให้ข้าฯพระองค์ จำต้องออกบำเพ็ญศีลที่บ้านเกิดของตน

    นิมิตที่พระองค์เห็นนั้น มีสีแดงดังโลหิต หมายความว่า จะเกิดการนองเลือดในแคว้นของพระองค์ หมายถึงการนำสัตว์มาบูชายัญนั่นเอง การที่ระงับเหตุได้ เกิดจากบุญญาธิการ และความเมตตาของพระมหาเทวี พระนางวิสุทธารา ทำให้ไม่เกิดการนองเลือดมากกว่า
    ส่วนดวงแก้วมณีนั้น ก็หมายถึงดวงแก้วมณีที่ปรากฏแล้วพระเจ้าข้า ฯ ต่อไป แคว้นของพระองค์จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง”


    เมื่อพระเจ้าอทิตตราชได้ทรงทราบยิ่งเกิดความปิติใจยิ่งนัก จึงกล่าวว่า..

    “น้องหญิง เจ้าเปรียบเสมือนนางแก้วของพี่ เบื้องบนประทานมาโดยแท้ เจ้าปรารถนาสิ่งใด พี่จะให้เจ้าทุกประการ”

    เมื่อพระนางวิสุทธาราได้ฟังดังนั้น จึงบอกความปรารถนาที่จะสร้างโรงทานในเมือง ๑ แห่ง เพื่อบริจาคทานทุกวันแก่คนยากจน และสร้างอาชีพแก่ขอทาน หรือผู้ที่ขาดทุนทรัพย์ พระเจ้าอทิตตราชสั่งการให้สร้างทันที

    พระนางวิสุทธารานั้น ทรงทราบความในใจของพระนางสุชาดาว่า ยิ่งพระเจ้าอทิตตราชให้ความสำคัญแก่พระนางมากเท่าใด ยิ่งทำให้พระนางสุชาดาเป็นทุกข์เท่านั้น จึงได้หาทางที่เป็นมิตรกับพระนางสุชาดา พระนางได้นำอัญมณีหายาก ที่นำมาจากเมืองสุขะปุระ นำไปถวายแด่พระนางสุชาดา ทำให้พระนางสุชาดารู้สึกประหลาดใจ พระนางวิสุทธารา ตรัสว่า..

    “ข้าฯ แต่พระพี่นาง ความจริงแล้วหม่อมฉันมีมายุน้อยกว่าพระองค์นัก ที่ผ่านมาต้องกราบประทานอภัยที่หม่อมฉันมิกล้ามากราบพระองค์โดยลำพัง เนื่องจากเกรงพระนางวสุนทรีย์ กาลนี้เหลือเพียงพระองค์และหม่อมฉันแล้ว เราควรจะคุยกันฉันพี่น้อง ไม่ควรหมางใจกัน

    หม่อมฉันจะขอเชิญพระองค์ เพื่อเป็นเกียรติในงานเปิดโรงทานแห่งแรกของแคว้น ขอพระองค์ได้โปรดเป็นที่ปรึกษาแก่หม่อมฉันด้วยเถิด”


    พระนางสุชาดานั้น รู้สึกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระนางวิสุทธารา และรู้สึกว่าพระองค์เองมีความสำคัญ และอยากจะมีส่วนร่วมในงานบุญนี้ จึงตรัสว่า...

    “น้องหญิง ความจริงแล้ว เราเองก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ เห็นเจ้ามีความตั้งใจเช่นนั้น เราจะขอเป็นประธานด้วยตนเอง”

    เมื่อได้ฟังเช่นนั้น พระนางวิสุทธาราก้มลงกราบพระนางอย่างจริงใจ จากนั้นพระนางสุชาดาได้พานางกำนัล เพื่อช่วยงานโรงทานจำนวนมาก พระนางวิสุทธาราขอประทานจากพระเจ้าอทิตตราชให้พระนางสุชาดา เป็นเจ้าของโรงทาน โดยตั้งให้ชื่อโรงทานว่า “สุชาดาปริจาคา” จากนั้นบ้านเมืองอยู่ด้วยความสงบสุข

    ____________________________________________

    หมายเหตุ ดวงแก้ววิสุทธิเศรษฐบรมบพิตร –ดวงแก้วอทิตตยาธิษฐาน เป็นดวงแก้วคู่บารมี เกิดก่อนสมัยสมเด็จพระตัณหังกรพุทธเจ้า

    โดยพระเกษรีฤาษี ขณะนั้นได้เป็นพระดาบสนามว่า “สุตตเวทย์ดาบส” อธิษฐานมอบให้ลูกศิษย์ของท่าน คือ พระอทิตตราช และพระนางวิสุทธาราในอดีต นั่นเอง
     
  4. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วสัตยาธิษฐาน-แก้วสุขุมาลย์มณีฤทธิ์ ตอน ๑๖ กลับสู่มาตุภูมิ..


    ต่อมา พระนางวิสุทธาราเห็นว่า เมืองของพระนางเป็นเมืองขึ้นของแคว้นกุสิกาละมานานถึง ๓ ปี พระนางจึงขอคืนเอกราชจากพระเจ้าอทิตตราช ซึ่งขณะนั้นได้เป็นสัมมาทิฐิแล้ว พระองค์จึงได้คืนเอกราชแก่ทุกเมือง โดยแต่ละเมืองไม่ต้องส่งส่วยมาที่แคว้นอีก

    ยกเว้นเมืองใดปรารถนาจะส่งเครื่องบรรณาการมาก็ขอรับไว้ เหล่าเมืองขึ้นต่าง ๆ ของแคว้นกุสิกาละ ต่างยินดียิ่งนัก จึงได้ส่งสาส์นมา พร้อมเครื่องบรรณาการมาเป็นจำนวนมาก

    พระนางวิสุทธารา เห็นว่า พระโอรส-ธิดามี พระชนมายุได้ ๔ ขวบเติบโตพอที่จะเดินทางไกลได้ จึงขออนุญาตพระเจ้าอทิตตราชเดินทางมาเยี่ยมเยียนพระบิดา-พระมารดา พระเจ้าอทิตตราชเห็นควรด้วยจึงจัดขบวน เพื่อเดินทางไปยังเมืองสุขะปุระในวันต่อมา

    ส่วนพระนางสุชาดานั้น หลังจากที่พระนางมีส่วนร่วมในการสร้างทานบารมี ทำให้พระนางมีใจคอกว้างขวาง ประชาชนต่างแซ่ซ้องสรรเสริญความดีของพระนาง พระนางจึงอยากไปกราบเยี่ยมเยียนพระเจ้าสัตยาธิราช-พระนางสุขุมาลย์เทวี เพื่อขอบคุณที่พระองค์มีพระธิดาที่มีจิตใจเมตตา จึงได้ขออนุญาตเดินทางไปพร้อมกันด้วย

    เมื่อถึงเมืองสุขะปุระ พระเจ้าสัตยาธิราช และพระนางสุขุมาลย์เทวี ต่างปิติยินดีที่ทราบว่า เรื่องร้ายต่าง ๆ กลายเป็นดี พระเจ้าอทิตตราช และพระนางสุชาดาได้ขอขมาทั้งสองพระองค์ที่สร้างความลำบากแก่พระธิดาของพระองค์แต่กาลก่อน พระเจ้าสัตยาธิราช และพระมเหสีนั้นทรงประทานอภัยทุกประการ

    พระเจ้าอทิตตราชนั้นได้ขอเรียนรู้เรื่อง การปกครองเมืองด้วยทศพิธราชธรรมจากพระเจ้าสัตยาธิราช ความจริงแล้วพระเจ้าอทิตตราช และพระนางสุชาดานั้น เป็นพระญาติกัน และพระบิดา-พระมารดาสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทำให้ขาดผู้อบรมเรื่องคุณธรรมต่าง ๆ

    เมื่อทั้งสองพระองค์เติบโตจึงเอาอารมณ์ตนเป็นใหญ่ ทั้งสองพระองค์ทรงขอร้องให้พระเจ้าสัตยาธิราช และพระมเหสีรับทั้งสองเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งพระเจ้าสัตยาธิราชมิได้รังเกียจ ทรงได้สั่งสอนเรื่องคุณธรรม และศีลธรรม เพื่อให้ชาวเมืองอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

    นอกจากนี้ยังส่งพราหมณ์ผู้รู้พิธีบวงสรวง ๓ คน ร่วมเดินทางกลับไปยังแคว้นกุสิกาละอีกด้วย พระเจ้าอทิตตราชนั้น ได้ซาบซึ้งในพระเมตตาของพระเจ้าสัตยาธิราช และตั้งสัจจะว่าจะดูแลพระนางวิสุทธาราเป็นอย่างดี

    จากนั้นทั้งหมดกลับสู่แคว้นกุสิกาละด้วยใจที่เป็นสุข พระเจ้าอทิตตราชได้ปกครองบ้านเมืองด้วยความสุขเรื่อยมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2013
  5. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วสัตยาธิษฐาน-แก้วสุขุมาลย์มณีฤทธิ์ ตอน ๑๖ เจ้าชายโมกขศักดิ์


    กล่าวถึงเจ้าชายสัจจธิราชไม่ได้ทราบเรื่องราวใด ๆ ที่เกิดในเมืองสุขะปุระ เมื่อทราบจากกำลังสมาธิว่า ท่านอินทร์ปัตต์ฤาษีอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง จึงเสด็จออกจากพระนครแล้วไปทางนั้นโดยควบม้าไป นับเป็นระยะทางกว่าสามสิบโยชน์ รอนแรมค่ำไหนนอนนั่น

    ระหว่างทางนั้นเอง พระองค์ได้ช่วยเหลือชายคนหนึ่ง ซึ่งนอนสลบไสลไม่ได้สติอยู่ริมแม่น้ำ พระองค์มีวิชาช่วยรักษาให้ชายผู้นั้นฟื้น จึงทราบว่า แท้จริงชายผู้นี้ที่แท้จริง มีนามว่า เจ้าชายโมกขศักดิ์ เป็นเจ้าชายจากเมืองสุเรนทรนครได้หนีศัตรูมาแล้วพลัดตกน้ำสิ้นสติ จนกระทั่งเจ้าชายสัจจธิราชได้ช่วยไว้

    เมื่อทราบเรื่องราวต่าง ๆ แล้ว เจ้าชายสัจจธิราชรู้สึกอย่างช่วยเหลือจึงได้พักอาศัยในถ้ำบริเวณใกล้เคียง จากนั้นได้สอนวิชารบให้แก่เจ้าชายโมกขศักดิ์ และวิชาอื่น ๆ จนมีความเชี่ยวชาญ ในระหว่างนั้นเจ้าชายโมกขศักดิ์ ได้พบทหารที่หนีจากข้าศึกมา

    จึงทราบว่า พระบิดาและพระมารดาของพระองค์ได้สิ้นพระชนม์เสียแล้ว ทรงเศร้าโศกไม่นาน จึงซุ่มฝึกวิชาการรบแก่ทหารเหล่านั้น เพื่อนำทัพไปรบกับข้าศึก เพื่อทวงเมืองคืน
    เจ้าชายโมกขศักดิ์ นั้น นับถือและให้ความเคารพเจ้าชายสัจจธิราช เป็นพระอาจารย์ แม้จะมีพระชนมายุต่างกันเพียง ๘ ปี ขณะนั้นเจ้าชายสัจจธิราชมีพระชนมายุ ๒๕ ชันษา เมื่อสำเร็จวิชาแล้ว เจ้าชายสัจจธิราชได้ขอเดินทางหาพระอาจารย์ต่อ โดยไม่ร่วมรบกับเจ้าชายโมกข์ศักดาแต่อย่างใด

    เนื่องจากทรงเห็นว่า เป็นเรื่องทางโลก ส่วนพระองค์ปรารถนาที่จะเรียนวิชากับพระอาจารย์ ผู้เป็นฤาษี จึงได้แยกทางกัน โดยเจ้าชายโมกขศักดิ์ นั้น กล่าวว่า..

    “ท่านอาจารย์ ต่อไปภายภาคหน้า กระหม่อมเป็นใหญ่ในแผ่นดินจะให้คนออกตามหาพระอาจารย์ เพื่อชื่นชมความสำเร็จของกระหม่อมฯ”

    พระองค์ทรงตรัสด้วยความห้าวหาญ มั่นใจว่า ตนจะทวงเมืองคืนได้ เจ้าชายสัจจธิราช ทรงนิ่งสักพัก และตรัสว่า...

    “โมกขศักดิ์ จำไว้นะ วิชานี้เพื่อปกป้องแผ่นดิน และทวงเมืองคืนเท่านั้น ห้ามนำวิชานี้ไปใช้ในการขยายอาณาเขต หากอาจารย์รู้ อาจารย์จะทวงวิชาคืน”


    เจ้าชายโมกขศักดิ์ รับปากเป็นอย่างดี จากนั้นต่างก็แยกย้ายกันออกไปตามทางของตน
     
  6. Prar

    Prar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +4,048
    ขอโมทนากับคุณพี่น้ำใสครับ ถ้าผมอยากร่วมบริจาคเข้าโครงการเว็บพลังจิตเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาบ้างได้ที่ ??? ครับหรือขอร่วมกับคุณพี่น้ำใสจะได้???ครับ
     
  7. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    สำหรับโครงการของเว็บพลังจิตเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รอทางคุณวีรชัย(websnow) แจ้งก่อนดีกว่าค่ะ ขณะนี้คงกำลังยุ่ง ๆ เรื่องเปลี่ยนนามสกุล(.org)

    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2013
  8. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ชาวเมืองโดนข้าศึกโจมตี หนีไปคนละทิศละทาง
    ป่านนี้หาทางกลับเมืองได้หรือยังหนอ? กลับมาได้แย้วนะคะ คิดถึง


    สาธุกับธรรมทานของพี่น้ำใสเจ้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2013
  9. NamfonBaanfa

    NamfonBaanfa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +7,086
    สวัสดีค่ะ .... เพิ่งหาทางกลับเข้าเมืองได้สำเร็จวันนี้เองค่ะ _/|\_
     
  10. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ยินดีต้อนรับกลับเมืองค่ะพี่น้ำฝนคนสวย
    ใครไปฝึกมโนมยิทธิวันอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้วมีประสบการณ์เด็ด ๆ เล่าให้ฟังหน่อยนะคะ
    ชาวบ้านตาดำ ๆ เรียกร้องค่ะ อิอิ
    คุณชายธรรมวิวัฒน์ เล่าก่อนเลยค่ะ อยากฟัง
     
  11. Paktawadee

    Paktawadee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2012
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,570
    สาธุ อนุโมทนาบุญในธรรมทานพี่น้ำใสค่ะ

    ขออนุญาตชมนางฟ้าพี่น้ำฝนนะคะ เพราะการฝึกที่วัดท่าซุงรูปหน้าของพี่สวยมาก
    จนหนูดีต้องหันหลังไปมองเลยค่ะ
    ;aa50

    หนูดี ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านอีกครั้งนะค่ะ_/\_
     
  12. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..การฝึกมโนมยิทธิครั้งที่ ๑ ..

    IMAG1370.jpg

    ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนาบุญทั้งท่านผู้ให้ (ผู้บริจาค) และผู้รับ(ผู้เดินทางฝึก) ต้องขออภัยที่ไม่มีภาพการฝึกมาให้ชม รอดูท่านอื่นอาจจะมีภาพมาให้ชมค่ะ

    การเดินทางวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ไม่ได้มีอุปสรรคแต่อย่างใด แม้มีฝนตกระหว่างทาง แต่พวกเราก็เดินทางโดยสวัสดิภาพ แต่มีบางท่านที่พลาดการเดินทางครั้งนี้ ขอให้คุณจันทรกาลมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งนะคะ

    ช่วงเช้า พวกเราไปถึงบ้านสบายใจก่อน ๙ โมงเช้าคุณ prapaanpong คุณแม่ และน้องหลิน นำน้ำปานะ และขนมเค้กไปถวายเป็นภัตตาหาร ขออนุโมทนาบุญอีกครั้งค่ะ

    ส่วนท่านอื่น ๆ ต่างก็นำปัจจัยถวายท่านจิตโต ได้มอบธงสีเขียว หรือธงพระอินทร์ ซึ่งสร้างครั้งสุดท้ายตั้งแต่สมัยพระเดชพระคุณพระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ยังมีชีวิตอยู่ ครั้งนี้ท่านจิตโต ท่านขออาราธนาบารมีพระสงเคราะห์ลูกหลาน

    มีคุณสมบัติด้านการป้องกันโรคระบาด และป้องกันภัยทุกชนิดไว้พกติดตัวค่ะ เมื่อพวกเราถวายสังฆทานเรียบร้อยแล้ว

    เวลา ๐๙.๐๐ น. ได้บูชาพระรัตนตรัย สมาทานศีล และรับศีล จากนั้น ท่านจิตโตได้พานั่งสมาธิ เป็นเรื่องแปลกที่ท่านเทศน์เกี่ยวกับการเคลียร์ใจ คล้ายจะทราบว่า พวกเราจะไปฝึกมโนฯ กัน ดิฉันรู้สึกว่า เป็นอีกวันที่นั่งสมาธิได้ดีมาก


    จากนั้นพวกเราไปรวมตัวกันที่วิหารแก้ว ๑๐๐ เมตร ก่อนเวลา ๑๑.๐๐ น. มีคุณธรรมวิวัฒน์ คุณภคทัศ และน้อง ID_Idea มาร่วมฝึกด้วยค่ะ

    IMAG1367.jpg

    หลังจากฝึกมโนมยิทธิ และอุทิศส่วนกุศลแล้ว พวกเราได้นำปัจจัยบูชาเครื่องสังฆทาน ชุดละ ๒๐๐๐ บาท พร้อมปัจจัยชำระหนี้สงฆ์ จำนวนกว่า ๑๐๐๐ บาท (ขออภัยที่ไม่ได้นับจำนวนปัจจัยแน่นอนค่ะ)

    หลวงพ่อที่รับสังฆทาน วันนั้น ท่านให้พรว่า...

    "ขอให้รวย ๆ ๆ กันทุกคนนะลูกนะ "ต่างปลื้มปิติใจเป็นอย่างยิ่งค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านมา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ

    Numsai


    ปล. ต้องขออภัยที่ไม่ได้เก็บภาพมากนัก เนื่องจากเวลาของเราจำกัดในการเดินทางไปทั้งสองแห่งค่ะ ___________________________________________หมายเหตุ ติดตามรายละเอียดบัญชีโครงการฝึกมโนฯได้ที่ ...กระทู้กองบุญแก้วบรมจักรพรรดิค่ะ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=283863&page=107
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2013
  13. goden

    goden เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    216
    ค่าพลัง:
    +1,322
    ขอไปด้วยคนครับ
     
  14. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    กรุณาแจ้งชื่อไว้ที่คุณ จันทรกาลค่ะ สำหรับเดินหน้าก่อนค่ะ ส่วนวันเวลา หากไม่ติดอะไร จะเป็นสัปดาห์หลังจากมีการฝึกมโน ฯ ประจำเดือนที่บ้านสายลม เพื่อให้ท่านที่ฝึกจากบ้านสายลม จะไปต่อที่วัดท่าซุงค่ะ

    สำหรับท่านที่ฝึกครั้งแรกที่วัดท่าซุง จะไปต่อคราวหน้าจะเป็นการฝึกท่องเที่ยว โดยครูฝึกจะเป็นพระอาจารย์ที่วัดท่าซุงค่ะ

    ขออนุโมทนาด้วยค่ะ

    Numsai


    _______________________________________________________

    หมายเหตุ แสดงบัญชีโครงการฝึกมโนฯ ในกระทู้แก้วบรมจักรพรรดิได้ที่..

    http://palungjit.org/showthread.php?t=283863&page=107
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2013
  15. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ขออนุโมทนาบุญกับคุณ sun2555 ,คุณ am12 และน้องขาลด้วยค่ะ..

    สำหรับประสบการณ์การฝึกมโนมยิทธินั้น ขอให้ท่านอื่น ๆ มาเล่าประสบการณ์ให้อ่านกันนะคะ เนื่องจากประสบการณ์สัมผัสแต่ละท่านไม่เหมือนกัน

    การฝึกครั้งแรกนี้ มีทั้งหมด ๒๑ ท่าน และทุกท่านผ่านทั้งหมด ส่วนอารมณ์สัมผัส และความชัดเจนของแต่ละท่านนั้น มีความแตกต่างกันออกไปตามกำลังฌาณสมาธิค่ะ


    เนื่องจากดิฉันได้เคยแจ้งผ่านกระทู้ว่า จะนำอุณาโลมที่ทุกท่านได้ฝากมาไปถวายแด่ท่านจิตโต บ้านสบายใจนั้น จากการสอบถามยังโรงหล่อพุทธปฐม ปรากฏว่า ท่านได้สร้างพระเรียบร้อยแล้ว

    โดยคุณ sun2555 และน้องขาล ได้แจ้งความประสงค์เพื่อประดับองค์พระ และคุณ am12 ได้จัดส่งเพชรพญานาค สัณฐานหยดน้ำจำนวนมากมาให้ประดับอุณาโลมพระ และนำมาให้เพื่อนสมาชิกบูชา ดังนี้



    IMAG1350.jpg IMAG1353.jpg

    อุณาโลมสีเหลือง และสีขาวของคุณ sun2555


    IMAG1357.jpg IMAG1358.jpg

    ของน้องขาล


    IMAG1363.jpg IMAG1360.jpg

    จากคุณ am12 จำนวน ๖ องค์ ส่วนที่เหลือจะนำให้เพื่อนสมาชิกบูชา เพื่อร่วมงานบุญอื่นต่อไปค่ะ

    IMAG1349.jpg

    ส่วนสีแดงในภาพเป็นของคุณ manasdome ที่ยังไม่ได้แจ้งที่อยู่การจัดส่งค่ะ


    จึงขออนุญาตนำอุณาโลมทั้งหมด ไปมอบให้ทางโรงหล่อพุทธปฐมแทนค่ะ โดยไม่กำหนดว่า เป็นวัดไหนค่ะ



    IMAG1373.jpg IMAG1387.jpg

    หากเทียบขนาดอุณาโลมที่คุณ sun2555 และน้องขาลประมูลไปค่ะ (สีเหลือง ขาว และสีม่วงอ่อน)

    ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน มา ณ.ที่นี้ด้วยค่ะ

    Numsai




    _____________________________________________
    ขอเชิญร่วมบุญในกองบุญแก้วบรมจักรพรรดิ..

    http://palungjit.org/showthread.php?t=283863&page=107
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2013
  16. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..บุญสำเร็จทันใจ..

    เมื่อพวกเราไปถึงโรงหล่อปรากฏว่า มีองค์พระที่รอติดอุณาโลม ถึง ๓ องค์ ตามขนาดของเพชรพญานาค สัณฐานหยดน้ำ ของท่านเจ้าภาพทั้ง ๓ คือ

    IMAG1350.jpg IMAG1378.jpg



    คุณ sun2555 นำอุณาโลมสีเหลือง ประดับพระนลาฏองค์พระพุทธรูป หน้าตัก ๔ ศอก ประดิษฐานที่วัดแห่งหนึ่งในจ.สุพรรณบุรี

    IMAG1357.jpg IMAG1381.jpg

    น้องขาลได้เป็นเจ้าภาพ สมเด็จองค์ปฐม ปางจักรพรรดิ หน้าตัก ๓๐ นิ้ว โดยนำเพชรพญานาคสีฟ้า ร่วมบุญเป็นองค์แรกค่ะ ประดิษฐานในวัดที่จ.อยุธยาค่ะ

    IMAG1383.jpg IMAG1363.jpg

    ส่วนคุณ am12 ได้เป็นเจ้าภาพติดพระอุณาโลม สมเด็จองค์ปฐม ขนาดหน้าตัก ๓๐ นิ้ว เป็นเพชรพญานาคสีม่วงเข้ม องค์เล็ก

    IMAG1377.jpg

    พวกเราเห็นดังนั้น คิดว่าไม่ร่วมบุญนี้ไม่ได้แล้ว คุณน้ำฝนได้นำเพชรพญานาค ติดเพชรมาให้ชม ปรากฏว่า สวยมาก ๆ จึงได้ร่วมปัจจัยเป็นเจ้าภาพล้อมเพชรทั้ง ๓ องค์ รวมปัจจัยได้ ๑๖๘๐ บาท ทางโรงหล่อรับเพียง ๑๐๐๐ บาท เหลือปัจจัยเข้าโครงการ จำนวน ๖๘๐ บาทค่ะ

    (ภาพที่ชัด ๆ ขอให้คุณ น้ำฝน หรือคุณ phuya นำมาให้ชมอีกครั้งค่ะ )

    สำหรับเพชรพญานาคทั้งหมดที่เหลือได้มอบแก่คุณพี่หลง เพื่อนำประดับองค์พระพุทธรูป ขนาดต่าง ๆ ตามแต่เห็นสมควรค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2013
  17. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติดวงแก้วสัตยาธิษฐาน-แก้วสุขุมาลย์ฯ ตอน ๑๗ พระเกษรีฤาษี –ผู้เลิศด้วยอภิญญา ๕

    เมื่อเจ้าชายสัจจธิราชได้เดินทาง พร้อมทหารคนสนิทมีนามว่า “สิริจันทะ –อัครราช” จนกระทั่งพบถ้ำในนิมิตที่เห็นในนิมิต ทราบว่า ปากทางเข้าถ้ำถูกปิด โดยผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย จึงได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่า...

    “ในชาตินี้ หากลูกมีบุญวาสนาที่จะมีพระอาจารย์สอนวิชาต่าง ๆ ให้ ขอให้ปากทางเข้าถ้ำจงเปิด”

    ขณะนั้นได้ปรากฏมีพระฤาษีตนหนึ่ง มีผมขาว หนวดเคราขาว แต่รูปร่างหน้าตายังหนุ่ม เหาะมาจากนภากาศมาลงต่อหน้าเจ้าชายสัจจธิราช และกล่าวว่า...

    “สัจจธิราชเอ๋ย เจ้ายังไม่มีบุญจะเข้าไปดินแดนนี้ได้หรอก เพราะเจ้ายังไม่ได้อยู่ในเพศนักบวช หากเจ้ายอมสละราชสมบัติต่าง ๆ เพื่อออกบวช และต้องบำเพ็ญเพียรจนถึงขั้นหนึ่ง จึงจะเข้าไปแดนนั้นได้”

    เจ้าชายสัจจธิราชรู้สึกศรัทธาพระฤาษีตนนี้ ตั้งแต่แรกพบ คิดว่า ผู้ที่ทราบนามเราได้ คงเป็นพระอาจารย์ปู่เป็นแน่ จึงได้พากันก้มกราบลงตรงพื้นดิน และตรัสว่า...

    “พระอาจารย์ปู่ใช่มั๊ยขอรับ จึงทราบนามกระผม”พระฤาษีจึงได้แย้มเล็กน้อย และตรัสว่า ...

    “เราคือ เกษรีฤาษี ผู้เป็นพระอาจารย์ของอัสดงฤาษี รอคอยการเกิดของเจ้ามานานแล้วนะ เจ้าเกิดมาชาตินี้ เพื่อศึกษาวิชาการทรงอิทธิบาท หากเจ้าจะเรียนวิชานี้ได้ต้องออกบวชเท่านั้น"

    เจ้าชายสัจจธิราชเองก็มีความรู้สึกเช่นนั้นตั้งแต่ยังเป็นพระกุมาร แต่มิกล่าเอ่ยปากแก่พระบิดา จึงเก็บซ่อนความในใจไว้ ทรงคิดอุบายออกเดินทางแสวงหาครูบาอาจารย์ เพื่อให้พระบิดาทรงอนุญาต จากนั้นก็จะทรงออกผนวช
    เมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ทรงปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ก้มกราบพระเกษรีฤาษี และตรัสว่า ..


    “ข้าฯแต่พระอาจารย์ปู่ ลูกจะออกบวช และตั้งใจศึกษาวิชาขอได้โปรดรับลูกเป็นศิษย์ด้วยเถิด”

    พระเกษรีฤาษีได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า..

    “ช้าก่อน เจ้ามีบิดามารดา การบวชจะต้องขออนุญาตบิดามารดาของเจ้าก่อน เจ้าทั้งหมดจงจูงม้า และหลับตา หากอาจารย์ปู่ไม่อนุญาตให้ลืมตา ห้ามลืมตาโดยเด็ดขาด ห้ามถาม ห้ามพูด ทำใจนิ่ง ๆ อย่างเดียว เมื่อบอกให้ลืมตาแล้ว ค่อยทำเข้าใจมั๊ย”

    เจ้าชาย และทหารคนสนิทต่างรับปากเป็นอย่างดี ครั้นแล้วพระเกษรีฤาษีทรงร่ายมนต์ใช้อภิญญาพาบุคคลทั้ง ๓ พร้อมม้า มาปรากฏยังอุทยานของพระเจ้าสัตยาธิราชในทันที...


    _____________________________________
    ปล. วันนี้วันที่ ๘ กค.๕๖ เวลา ๑๘.๑๓ น. ได้กราบหลวงปู่เกษรี ท่านบอกว่า..

    “ขณะนี้บรรดาหลวงปู่ฤาษีทั้งหลาย ท่านแผ่เมตตาให้แก่ลูกหลานทุกคน ใครสัมผัสกระแสเย็น ๆ ยะเยือก นั่นคือได้รับสัมผัสที่เหล่าพระฤาษีทั้งหลาย ท่านแผ่เมตตาให้ค่ะ”

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2013
  18. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,344
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,298
    ขอเล่าก่อนคนแรก ตามที่ ตาล ขอร้องมานะครับ

    วันนั้น ที่ไปนั่งมโน ตามที่นัดกับพี่น้ำใสไว้นะครับ ก็ประมาณว่า ตื่นสายตามที่เคยบอกทุกคนไว้นะครับ
    ตื่นมาก็ประมาณ 7 โมงกว่าแล้วนะครับ ซึ่งถือว่าสายมากนะครับ สำหรับการไปวัดท่าซุง
    ก็คิดว่าคงไปนั่งมโนไม่ทันแล้วนะครับ เพราะจำเป็นต้องไปนั่งรถตู้ที่อนุสาวรีย์ชัย ซึ่งรถติดมากนะครับ
    ใครเคยผ่านไปจะรู้ว่าติดจริงๆครับ ก่อนออกจากบ้านก็ขอบารมีพระท่านให้ช่วยสงเคราะห์ให้ไปนั่งมโนทันด้วยเถิด
    ก็ปรากฎว่าไปคิวรถตู้ไปอุทัย ก็ออกอนุสาวรีย์ประมาณ 8 โมงนะครับ ขณะนั่งรถตู้ก็สวดมนต์คาถาพระจักรพรรดินะครับ
    เพื่อไม่ให้ตื่นเต้นครับ เพราะบอกตามตรงว่าลุ้นมากๆนะครับ ก็สังเกตว่าวันนี้รถตู้จะซิ่งเป็นพิเศษครับ วิ่งเร็วมากๆนะครับ เท่าที่รู้นะครับ
    เพราะเคยออกประมาณนี้ก็ไม่เคยไปนั่งมโนที่ 100 เมตรทันสักที เป็นครั้งแรกจริงๆครับ ยังตื่นเต้นไม่หายเลยครับ

    ก็ไปเดินทางไปถึงวัดท่าซุงประมาณ 11 โมงนะครับ รู้สึกดีใจมากๆ คงเป็นพระท่านสงเคราะห์จริงๆนะครับ
    ในใจก็แทบจะกราบพระลงไปตรงนั้นอยู่แล้วนะครับ ดีใจว่าไปแล้วไม่เสียเที่ยวครับ ได้นั่งมโนสมใจครับ
    ก็ยังไม่ได้กินอะไรไปเลย เลยกินนมไปกล่องแล้วเขาไปนั่งมโนนะครับ พอตอนกลับก็หิวจับใจ พอดีพี่เอ๋ แวะปั๊มนึกในใจเรารอดแล้ว
    ไม่งั้นหิวไส้ขาดไปถึง กทม. แน่ๆเลยครับ แต่ขอบใจคุณ moom มากครับ ไม่กล้ากินไส้กรอกของคุณ เกรงใจครับ
    แต่คุณ moom เด็กมากนะครับ ผมยังตกใจเลยครับ นึกว่าน่าจะแก่กว่าผมซะอีก อันนี้จริงๆนะครับ
    ตอนนั่งมโนก็ปวดห้องน้ำแต่พอทนได้ แต่คันคอมากครับ ไม่กล้าไอแรงกลัวคนอื่นเสียสมาธิ

    ประสบการณ์ในการนั่งมโนในครั้งนี้ ไปได้ครับ แต่ไม่ค่อยชัดหรอกครับ แต่ก็พอสัมผัสคลำๆไปได้นะครับ
    ในสถานที่ต่างๆ เช่น พระจุฬามณี หรือ พระนิพพาน ไม่ชัดหรอก แต่รู้ว่าเออมันไปได้นะครับ
    หลังจากตอบก็ไม่ได้คิดอะไรนะครับ ไม่ตื่นเต้นเหมือนก่อน ครั้งนี้ก็เฉย นั่งตามไปเรื่อยๆ ครับ
    ต้องอย่างครูน้องบอกต้องทำบ่อยๆ ไม่งั้นเดี๋ยวไปเที่ยวในท้องงูครับ ครูน้องเขาพูดจนเห็นภาพเลยครับ สยองครับ
    แต่ชอบน้องแพร ผมจะหลุดหัวเราะหลายทีแล้ว เพิ่งเข้าใจว่าเด็กเขาไวกว่าผู้ใหญ่จริงๆ เพราะใจเขาบริสุทธิ์ นะครับ
    อีกอย่างก็เขินครับ เพราะบางทีตอนหลังจากฝึกครูน้องก็เล่าไปเรื่อยๆ บางทีเราก็กลายเป็นลูกคู่ ทั้งทีจริงๆน่าจะหันไปคุยกับพี่น้ำใส ซะมากกว่าครับ
    สุดท้ายก็ดีใจที่ได้เอาพระอัฐิธาตุของหลวงปู่ศุขไปให้พี่น้ำใสได้ตามที่ตั้งใจไว้ ก็ขอบคุณที่รับไว้นะครับ พี่น้ำใส รู้ัสึกดีใจมากๆครับ

    ถึงตอนนี้ต้องขอบคุณพี่น้ำใส พี่เอ๋ พี่หนูดี พี่น้ำฝน และกัลยาณมิตรทุกท่านมากครับ
    ที่ได้ร่วมเดินทางไปทำบุญ และนั่งมโนด้วยกันครับ
    ขอให้ทุกท่านมีความสุข และสมหวังทุกประการครับ

    อนุโมทนาบุญครับ

    ธรรมวิวัฒน์

    -----------------------------------------------
    ขอถวายเป็นบุญกุศลที่ได้กระทำมาทั้งหมด
    ขอถวายเป็นการบูชาแก่เหล่าหลวงปู่ฤาษีทั้งหลายที่ได้สงเคราะห์แผ่เมตตาให้ด้วยเถิด สาธุ สาธุ
    สัมผัสถึงกระแสความเย็นจริงๆครับ ตอนนี้ยังรู้สึกอยู่เลยครับ ขนาดใส่เสื้อกันหนาวยังเอาไม่อยู่เลยครับ เย็นจริงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กรกฎาคม 2013
  19. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ขออนุโมทนาบุญกับน้องธรรมวิวัฒน์ด้วยค่ะ เรื่องอัฐิธาตุหลวงปู่ศุข เป็นสิ่งที่พี่ปรารถนามานานมากค่ะ ในอนาคต จะแปรเปลี่ยนเป็นพระธาตุได้ค่ะ

    เมื่อก่อนที่ยังไม่ได้มโนฯแจ่ม ๆ เหมือนเดี๋ยวนี้ หลวงปู่ศุข ท่านมักสงเคราะห์พี่บ่อยครั้ง แม้แต่เมื่อไปอัญเชิญพระธาตุใหม่ ๆ แล้วหลงถ้ำ เป็นเรื่องแปลกว่า หาทางออกไม่พบวนกลับมาที่เดิม โชคดีที่สื่อหลวงปู่ได้ ท่านให้นึกถึงบารมีพระ แล้วอธิษฐาน อยู่ ๆ ก็มีแสงสว่างตรงหน้าแล้วก็พบทางออก

    ตอนนั้นน้องแพรเพิ่ง 2-3 ขวบ คิดว่า หากออกจากถ้ำไม่ได้จะทำไง สุดท้ายได้บารมีของพระพุทธเจ้า และหลวงปู่ศุข ช่วยให้ม่านบังตาหายไป

    มิฉะนั้น คงไม่มีน้ำใสในเว็บพลังจิตในวันนี้ค่ะ

    ขอขอบคุณน้องจริง ๆ ค่ะ

    ขอให้มีทิพยจักขุญานแจ่มใสยิ่งขึ้นค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2013
  20. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ประสบการณ์หลงถ้ำเจ้าพระยาพายเรือ จ.อุทัยธานี...

    37_20101229110157_.jpg

    ถ้ำเจ้าพระยาพายเรือ

    ขอเล่าประสบการณ์การอัญเชิญพระธาตุร่วมกับกลุ่มวัชรธาตุ ประมาณปี ๒๕๕๐ (ขณะนั้นเพิ่งก่อตั้งใหม่ มีเพียง ๗ คน ยังไม่เป็นชมรมเช่นทุกวันนี้ค่ะ)

    และช่วงนั้นเป็นช่วงที่เพิ่งเริ่มฝึกมโนมยิทธิใหม่ ๆ ยังไม่ชัดเจนนัก ดังเช่นทุกท่านที่เพิ่งเริ่มฝึกค่ะ

    การอัญเชิญพระธาตุครั้งนั้น เป็นครั้ง ๒ เราไปอัญเชิญแถบจ.อุทัยธานี ๑ ในถ้ำเป้าหมายที่ไป คือ ถ้ำเจ้าพระยาพายเรือ...

    ก่อนเดินทางคืนนั้น หลวงปู่ศุขได้มาในฝันว่า "หากมีอะไรเกิดขึ้นให้นึกถึงพ่อ และครูบาอาจารย์ไว้นะลูกจะพ้นภัย"

    ช่วงระหว่างเดินทางไปนั้น ไม่มีเหตุใดที่เกิดขึ้น จึงไม่ได้ระมัดระวังตัวแต่อย่างใด คิดอย่างประมา


    เมื่อไปถึงถ้ำพวกเราได้ตั้งเครื่องบวงสรวงตามพิธีการอัญเชิญพระธาตุแบบนิยม จากนั้นสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย จากนั้นต่อด้วยพระคาถาจักรพรรดิของหลวงปู่ดู่ แล้วนั่งสมาธิ ก่อนที่จะออกสำรวจพื้นที่

    ในถ้ำมืดมาก ต้องมีไฟฉาย เพื่อส่งทาง และมีไฟแช็คจุดสำรวจอากาศหายใจ พวกเรากระจายกันออกหาแหล่งพระธาตุ


    ขณะนั้นไม่ทราบว่า วิธีหาจุดที่มีพระธาตุทำกันอย่างไร หัวหน้าคณะที่พาไปก็ไม่เคยบอกก็หากันแบบมั่ว ๆ ได้บ้างไม่ได้บ้างตามอัตภาพ สำหรับดิฉัน ผู้มีหูดี เป็นพิเศษได้ยินเสียงว่า

    "มาทางนี้ มาทางนี้"

    ทางที่เข้าไปเป็นถ้ำคล้ายจะมีทางลงไปมีน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะนั้น ดิฉันเหมือนถูกชักจูงเข้าไปทางนั้น


    ดิฉันได้เดินตามเสียงนั้นไป ก็ได้ยินต่ออีกว่า มาทางนี้ มาทางนี้ เลี้ยวไปก็ยิ่งเห็นน้ำอีก อยู่ก็รู้สึกว่า อึดอัด หายใจไม่ออก จึงได้จุดไฟแช็ค ปรากฏว่า ไม่ติด จึงรีบสลัดความรู้สึกนั้นออกมา เมื่อออกมาจากซอกถ้ำนั้น ไม่พบใครอีกเลย

    พยายามเรียกชื่อทุกคน แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ดิฉันได้เดินไปตามทาง และพยายามหาทางออก ปรากฏว่า หาไม่พบ และพบว่า กลับมาอยู่ที่เดิม เป็นอย่างนี้ถึง ๔ รอบ


    จึงเริ่มดูเสบียงอาหารก่อนอันดับแรกว่า เรามีน้ำหรือมีอาหารพออยู่รอดได้กี่วัน หากไม่มีใครหาเราพบ คำนวณดูว่า หากดื่มน้ำน้อย ๆ ทานขนมแคร็คเกอร์ที่ติดตัวมา อยู่ได้ประมาณ ๔ วัน ขณะนั้นมิได้รู้สึกตื่นตะหนก แต่อย่างใด คิดอะไรไม่ออกก็สวดอิติปิโสฯ ในใจเรื่อย ๆ แล้วเริ่มเดินหาทางออกต่อไป

    อยู่ ๆ ก็นึกถึงคำหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ก่อนเดินทางว่า ....

    "จำไว้นะลูก หากมีอะไรเกิดขึ้นให้นึกถึงพ่อ และครูบาอาจารย์จะช่วยเจ้าให้พ้นภัย"

    จึงได้นั่งสมาธิกลางถ้ำ และระลึกถึงพระพุทธเจ้า หลวงปู่ศุข และครูบาอาจารย์ ขณะนั้นมีหลวงพ่อฤาษีลิงดำอีกองค์หนึ่ง และอธิษฐานว่า..

    "ขออาราธนาบารมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และครูบาอาจารย์ทั้งหลาย คราวนี้ลูกหมดหนทางแล้ว ขอท่านช่วยเปิดทางให้ลุกด้วยเถิดเจ้าข้าฯ "


    ปรากฏภาพหลวงปู่ศุข ลอยอยู่กลางอากาศสักพัก ภาพหลวงปู่หายไป เห็นเป็นแสงส่องจากปากทางออกจากถ้ำอยู่ตรงหน้า ซึ่งก่อนหน้านั้น เดินทางวนหายรอบ หาทางออกไม่พบ เสียงที่ได้ยินต่าง ๆ หายไป

    จากนั้น ได้เดินขึ้นไปข้างบน ไม่พบใคร ถามเจ้าหน้าที่ของวัดบอกว่า ยังไม่มีใครขึ้นมาเลย ยังอยู่ในถ้ำอยู่ ได้เดินลงไปในถ้ำอีกครั้ง พบว่า น้องผู้ชายท่านหนึ่ง ร้องเรียกชื่อ จึงขานรับ เขาบอกว่า..

    "พี่ครับ ผมเรียกพี่ตั้งนาน ทำไมพี่ไม่ตอบ"

    จึงบอกว่า "พี่ก็เรียกชื่อพวกเธอตั้งนาน ไม่มีใครขานรับ"น้องบอกว่า

    "อ้าวพี่ ผมก็อยู่ตรงนี้ตั้งนาน ทำไมไม่เห็นพี่ละครับ"

    จึงไม่ได้พูดอะไรมากนัก พากันลงไปในถ้ำอีกครั้ง ดิฉันไม่ได้เรื่องในรายละเอียดให้ใครฟัง

    น้องผู้ร่วมอัญเชิญอีกคน บอกว่า..

    "นิดแปลกใจว่า มีป้ายห้ามเข้า แต่พี่กลับเดินเข้าไปคนเดียว จะเรียกก็เรียกไม่ทัน ยังรู้สึกแปลกใจว่า พี่เข้าไปทำไม มันมืดมาก มีน้ำด้วย"


    ครั้งนี้ได้ยินเสียงผู้ชาย บอกว่า "ดูด้านซ้ายมือ จะเห็นพระธาตุสีคล้ำ ๆ เป็นพระธาตุของพระกกุสันโธ ให้เก็บไว้เป็นที่ระลึก"

    ดิฉันได้ไปตามทางที่ได้ยินเสียงก็พบพระธาตุนั้นจริง ๆ (พระธาตุนี้ดิฉันไม่ได้นำกลับ เก็บไว้ที่กลุ่มวัชรธาตุ)


    เย็น ๆ พวกเราก็กลับจากถ้ำเจ้าพระยาพายเรือ อยู่ ๆ ดิฉันก็มีความรู้สึกว่า อาลัยอาวรณ์ถ้ำแห่งนั้น รู้สึกอยากร้องไห้ ปนเศร้าอย่างไม่มีเหตุผล จากนั้นพวกเราจึงเดินทางไปพักในวนอุทยานห้วยขาแข้ง.. จึงลองฝึกญาณ ๘ อธิษฐานว่า..

    "ลูกขออาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้ลูกได้เห็นเหตุแห่งทุกข์ในครั้งนี้ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ"

    อยู่ ๆ ก็เกิดภาพซ้อนขึ้นระหว่างทาง ภาพถ้ำเจ้าพระยานั้น เป็นวัดเก่า และมีถ้ำอยู่ดังเช่นปัจจุบัน ต่างแต่เพียงผู้คนในภาพแต่งตัว เหมือนชาวอินเดียโบราณ

    มีภาพหญิงสาวคล้ายแขกขาว มีความงามมากและมีเสียงขึ้นมาว่า "นางมัลลิกา เป็นธิดาเศรษฐี ที่ได้อุปัฏฐากพระพุทธกกุสันโธ"


    เมื่อกลับถึงที่พัก มีการตั้งแคมป์ทำอะไรทานกัน ปกติดิฉันจะมีความสนุกสนานเฮฮา แต่คราวนั้นเหมือนอยากร้องไห้ ไม่พูดไม่จากับใคร ภาพที่เห็นจนผู้ร่วมอัญเชิญพระธาตุแปลกใจกัน ถามว่า..

    "คุณเป็นอะไรไป ผมไม่เห็นคุณพูดจาอะไร ตั้งแต่กลับมานี่ คุณแทบไม่พูดเลย"

    ดิฉันก็ตอบไม่ได้ เมื่อทานข้าวเสร็จแล้ว ความรู้สึกเศร้าก็ยังไม่จางหายไป รู้สึกอยากร้องไห้ ระคนเศร้าใจ จนเริ่มนึกหาคำตอบ แต่ก็ตอบไม่ได้ "ภาพที่เราเห็นมีเรื่องราวอย่างไร ทำไมเราจึงรู้สึกเศร้าอย่างนี้" คิดกลับไปมา ดิฉันจึงปลีกตัวเองมานั่งเงียบ ๆ คนเดียว

    __________________________________

    ยังมีต่อ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...