จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    "ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ก่อนนอนและตื่นนอน ขอให้มีจิตอยู่กับพระกันนะจ้ะ"

    [​IMG]
     
  2. philosophi

    philosophi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    883
    ค่าพลัง:
    +1,896
    อ่านจบแหล่่ะ.ถูกใจภาพนี้จ๊ะ.
    ปล.ขอบคุณทุกๆท่าน.จากใจ
     
  3. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    การดํารงค์ชีวิตของทุกๆสัพสัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกย่อมล้วนเป็นไปตามแต่ความเหมาะสมกับสภาพของสิ่งแวดล้อมอย่างเช่น คนที่เกิดมาก็ต้องเป็นไปตามแต่บุญทํากรรมแต่ง ไม่มีใครที่จะฝืนชะตาของตนไปได้ อย่างเช่นตัวอย่างของคนที่เกิดมาก็ล้วนมีความแตกต่างกัน เพราะมีให้เราเห็นอยู่เป็นประจําในชีวิตประจําวัน การเกิดจึงไม่มีใครกําหนดได้ว่าจะไปเกิดในที่ใด เพราะเราไม่สามารถที่จะเรียกได้ แต่คนเราเกิดมาแล้วก็เรียกที่จะเป็นได้ คือ เรียกการทําความดี ก็มีการรักษาศีล ภาวนา ทําให้ชีวิตไม่ประมาท เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราเกิดมาแล้ว จะมีสภาพอย่างนี้ได้ตลอดไปไหม? เพราะชีวิตของคนเปลี่ยนไปอย่างในพริบตาก็ได้...เพราะผู้เขียนได้เห็น ได้รู้มาก็เยอะ เพราะมีเพื่อน มีพี่-น้อง ที่เกิดมาก็มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป ร่วมทั้งชีวิตของตนเองด้วย คือได้เห็นสัจธรรมนั้นเอง เพราะอะไรๆมันก็ไม่แน่ แต่ที่แน่ๆนั้นที่ทุกคนหนีไม่พ้นก็คือ"ความตาย"ที่แน่นอน เพราะเรามากันแต่ตัว ที่เรามีได้ทุกๆอย่างก็เพราะเรามี"สติ ปัญญา ศรัทธา และความเพียร" ถ้าทุกๆคนขาดจุดนี้ก็จะเป็นชีวิตที่สมบูรณ์นั้นก็ยาก เพราะมีชีวิตก็สักแต่ว่า อยู่เพื่อรอความตายไปวันๆเท่านั้น และผู้ได้เข้าใจในธรรมะของพระพุทธเจ้า จะมีแต่รักและเคารพบูชากราบไหว้ใน "พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์" และเป็นเนื้อนาบุญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นั้นคือ ผู้เข้าถึงธรรม และคําว่า"ธรรม"อยู่กับผู้ใดแล้วผู้นั้นจะไม่มีวันเสื่อมคลายในพระพุทธเจ้าเลย ก็มีแต่ผู้ไม่เข้าถึงเท่านั้นที่เห็นธรรมเป็นของปลอม จึงขอให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้เห็นธรรมอย่างแท้จริง แล้วท่านจะไม่ไหวหวั่นในการทั้งปวงค่ะ สาธุค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2013
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]


    เทศน์หลวงตา ก่อนจังหันวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๘
    เรื่อง หลักของการภาวนาอยู่ที่สติ


    "พูดถึงเรื่องภาวนา พูดแต่เป็นเรื่องส่วนรวมๆ หลักที่จะยึดจะเกาะให้เป็นที่แน่ใจ เป็นแก่นของการภาวนาจริงๆ ไม่ค่อยมีใครพูด เพราะฉะนั้นจึงย้ำเสมอว่า สตินี่เป็นแก่นทีเดียวจำให้ดี สติเป็นแก่นเป็นหลักจุดศูนย์กลางของการภาวนา เราจะภาวนาวิธีใดก็ตาม สติต้องเป็นที่หนึ่งๆ เป็นแกนอยู่ภายใน ท่านผู้ปฏิบัติอยากได้หลักได้เกณฑ์เข้าสู่ใจตนเองแล้วอย่าปล่อยสติ ใครจะพิจารณาหรือภาวนาในธรรมบทใดอารมณ์ใดก็ตาม สติต้องติดแนบๆ นี่ละรากฐานแห่งการภาวนาจะเกิดที่นี่ ธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้นที่นี่ สติเป็นพื้นฐานตลอด ตั้งแต่สติล้มลุกคลุกคลาน จนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญา สติจำเป็นตลอด

    การภาวนาแล้วแต่อุบายวิธีการของผู้ใดที่จะนำมาภาวนา แต่ที่ขาดไม่ได้นั้นคือสติ จำให้ดี นี้คือหลักของการภาวนา ภาวนาไม่มีหลัก ไม่มีที่เน้นหนักไม่ได้หลักได้เกณฑ์นะ จุดสำคัญของการภาวนาคือสติ จำให้ดีทุกคน อยู่ไหนไม่เผลอสติแล้ว ไม่ว่าการงานภายนอกภายในต้องดีไปเรื่อยๆ ไม่ผิดไม่พลาด

    เรานี้อยากเห็นนักปฏิบัติของเราซึ่งเป็นแนวหน้าของบริษัททั้งหลายด้วยกัน คือภิกษุบริษัทสำคัญมากที่จะเป็นผู้นำของผู้ตามหลังทั้งหลายนั้น ด้วยความมีหลักมีเกณฑ์ เรื่องศีลไม่ต้องพูด ต่างคนต่างรักษาไว้แล้วโดยสมบูรณ์ คือหลักของการภาวนาตั้งแต่ศีล แล้วก็สมาธิ ปัญญา ท่านพูดย่อๆ สมาธินี่รวมไปเลยในความสงบทุกระดับเข้าสู่สมาธิ จากนั้นก็ออกปัญญา คำว่าปัญญาก็ตั้งแต่ ตรุณวิปัสสนา ปัญญาอ่อนๆ แล้วขึ้นไปๆ จนเป็นมหาปัญญาไม่พ้นจากสติ รวมแล้วอยู่ที่นี่ ขอให้ทุกๆ ท่านจับหลักนี้ไว้ให้ดีในการภาวนาทั้งหลาย

    ส่วนมากถามไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว คือหลักเกณฑ์ที่จะให้ตั้งเป็นรากเป็นฐานขึ้นภายในใจ ไม่มีใครที่จะจับจะยึด และไม่มีใครสอนกันอย่างเน้นหนัก ให้ยึดเป็นหลักจริงๆ คือสติ นี่เราแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบเสีย หลักของการภาวนาอยู่ที่สติ เอาให้ดี ประกอบหน้าที่การงานไม่เลือก ชาติชั้นวรรณะ หญิงชาย นักบวชฆราวาสอะไรไม่เลือก สติใช้ได้หมด งานทางโลกสติก็จำเป็น งานทางธรรมสติก็จำเป็น จึงขอให้นำสตินี้ออกไปใช้ หลักพุทธศาสนาขึ้นสติเป็นสำคัญ ในการที่จะกระจายออกแนะนำสั่งสอนโลกก็ดี เอาออกจากนี้ ขอให้พากันยึดให้ดี"


    Cr... FB Watpabantad Lungta
     
  5. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ความประเสริฐอยู่ที่ใด...เราจะเป็นผู้ประเสริฐกว่าผู้อื่น

    ...เป็นคนดีของคนอื่น ...เราต้องมองตัวเอง...

    ...ทำตัวเองให้ประเสริฐ ให้ดี...

    ...ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักวิปัสสนาในแนวสติปัฏฐาน ๔...

    ...แล้วก็จะได้ชื่อว่า...เป็นเป็นผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย...

    ...ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ"...

    ...คัดจากหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ หลวงปู่ทอง วัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่...

    ...กราบนมัสการหลวงปู่ทองเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ...
     
  6. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    ขอบพระคุณ คุณ kim uoonso ค่ะที่นำภาพวัดและพระพุทธรูปที่

    ...สวยๆมาให้ได้ชมพร้อมกับธรรมะธรรมทาน...ข่าวก็คือข่าวนะถ้าจิตใจ

    ...ของเรานั้นมั่นคงมีใจศรัทธาพระพุทธเจ้า และเชื่อมั่นในพระศาสนาจะไม่มี.

    .อะไรทำให้เราเศร้าหมองได้พระว่าเรานี้มีใจที่ศรัทธาอย่างเปรี่ยมล้น ศาสนา

    -นั้นไม่มีวันเสื่อม...แต่ผู้ที่กระทำนั้นแหละที่เสื่อม ผู้ใดกระทำความเสื่อม...

    ...ความเสื่อมนั้นๆก็แสดงผลถึงการกระทำของเขาเอง...ขออย่างเดียวตัว

    ของเรานั้นต่างหากที่จะต้องเพิ่มความเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้าและพระศาสนา...

    ...ของเรา ...ยิ่งมีคนทำให้ศาสนาเสื่อม เรายิ่งเพิ่มความศรัทธามากยิ่งขึ้น...

    ...ความเสื่อมนั้นเกิดขึ้นกับผู้ที่ทำ ซึ่งเสื่อมไปหมดเลยซึ่งเราก็เห็นอย่างทันตา

    ...ไม่เหลืออะไรอยู่ที่ไหนก็อยู่อย่างหลบๆชอ่นๆ หาความสงบสุขไม่ได้ แม้จะมี

    ...ทุกๆสิ่งทุกอย่างก็ช่วยไม่ได้เพราะตนเองทำเองจึงต้องรับเอง...ขออนุโมทนากับคุณคิมนะคะสาธุ...[/COLOR][/SIZE]



    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2013
  7. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    โอ้!!!. มีแขกเข้ามาเยี่ยมเยือน
    ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะท่านพี่
    ดื่มกระเจี๊ยบเย็นๆ ให้ชุ่มคอก่อนนะคะ


    [​IMG]


    ขอให้นอนหลับพักผ่อนสบายกายและจิตนะจ้ะ
    ขอพระคุ้มครองท่านพี่และครอบครัวเจ้าค่ะ


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2013
  8. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    หามิได้เจ้าค่ะแม่นี... เรียกซะหมูดูแก่เลยค่ะ ฮ่าๆ
    หมู ชื่อ ลูกหว้า จบ.๘ นะคะ
    (จำหนูได้ไหมน๊า?)


    อะไรไม่สำคัญเท่าจิตใจของคนเราค่ะ
    ต่อให้บ้านเมืองจะเสื่อมโทรมขนาดไหน
    แต่หากเราไม่สิ้นศรัทธา
    จิตใจเราก็ไม่มีทางเสื่อมจากพุทธศาสนาได้
    เชื่อมั่นในคุณความดี
    เชื่อมั่นในศีล ในธรรม
    เชื่อมั่นในพระรัตนตรัย
    ต่อให้ศาสนาจะหมดโลก แต่ก็ยังเหลือพระในใจเราเท่านั้นก็พอ
    เราจิตใจเรามีพระอยู่ เป็นผู้นำทางสว่างให้แก่เรา...
    ใช่ไหมเจ้าคะ... ท่านแม่นี?
    คิคิ​


    [​IMG]
     
  9. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]


    ...
    วันนี้มาเกือบเช้า เพราะมีงานเข้า คิคิ
    พอดีแฟนของเพื่อนมีจิตคู่กรณีในอดีตชาติตามมาห่วงหา
    เล่นเอาเจ้าตัวอยู่ไม่สุข ทุกข์มาก
    โดนจิตดวงนั้นรบกวนอยู่ตลอดเวลา

    แต่ทุกอย่างก็ล้วนเกิดแต่กรรม
    หากเราไม่มีกรรมต่อกัน ก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    แต่ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องทำ ต้องใช้ชีวิต
    มันก็อยู่ที่กรรมทั้งหมดทั้งสิ้น
    เพราะกรรม คือการกระทำ
    ถ้าเราไม่กระทำสิ่งหนึ่ง เราก็จะไม่ได้อีกสิ่งหนึ่ง
    และเราก็คงไม่ได้อยู่เฉยกันแน่ๆ
    เพราะเราต่างต้องกิน ฉี่ เดิน นอน ฯลฯ
    สาระพัดจะต้องทำหน้าที่ให้กายหยาบเราได้มีลมหายใจเดินต่อไปข้างหน้า


    กรรม ก็มีทั้งดี และไม่ดี
    ซึ่งในกรณีนี้เป็นกรรมไม่ดีถึงได้มาทำให้เจ้าตัวไม่มีความสุขเลย
    หากเราเชื่อว่ากรรมมีผลต่อเราจริง
    เราควรให้ความสำคัญกับทุกสิ่งที่เราได้กระทำลงไป แม้เรื่องเล็กน้อยก็ตาม
    ขอยกตัวอย่างที่หมูเคยรู้มาในจิตกับความมักง่ายของตน


    ชาตินึงเป็นผู้หญิงแม่บ้าน แม่เรือนปกติ
    ทำกับข้าว เหมือนชาวบ้านทั่วไป
    และไม่ระวังต่อการทำอาหาร
    เมื่อปรุงอาหารเสร็จแล้วจะเทน้ำร้อนทิ้ง
    ก็เทราดลงไปใต้ถุนบ้าง อย่างไม่สนใจ
    ไม่มองดูเลยว่าเทไปโดนอะไร
    ชาตินี้เกิดมาผิวเลยไม่สวย
    เพราะตอนนั้นราดน้ำร้อนไปโดนหมูป่าเข้าหนึ่งตัว
    ทรมานมาก
    เห็นแล้วก็ได้แต่สลดในการกระทำของตัวเอง
    บางทีเราอาจเห็นเป็นเรื่องธรรมดา
    แต่ก็ใจเขา ใจเรานะคะ


    ถ้าเราเป็นหมูตัวนั้น หากินอยู่ดีๆ แล้วโดนน้ำร้อนลวก..
    ใครจะไม่โกรธ?
    มันจึงไม่แปลกที่บางทีคนเราก็จะต้องได้ประสบพบเจอกับเจ้ากรรมนายเวรบ้าง
    เพราะเราก็ต่างไม่รู้เกิดมากี่ภพชาติ ไม่จบสิ้น



    สำหรับเรื่องเพื่อนหมูนั้นก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถจบได้
    หากเจ้าตัวไม่อยู่ในศีลในธรรม
    เพราะ... "ศีล" จะเป็นตัวคุ้มครอง และป้องกันเราจากสิ่งต่างๆ ในด่านแรก
    ถัดมาคือ "สติที่อยู่คู่กับจิต" สำคัญมาก,
    และที่สำคัญที่สุดคือจิตที่อยู่กับพระ
    เพราะถ้าเราไม่มีที่พึ่งทางจิต เราจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาหรือรู้ทันสิ่งต่างๆ
    ที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้ในปัจจุบัน


    ศีล จึงเปรียบเสมือนจุดเริ่มต้นของการทำความดี
    และเป็นเครื่องป้องกันจิตในระดับนึง
    เพราะถ้าศีลในตัวบุคคลไม่ดีแล้ว
    ต่อให้เราจะแขวนพระที่ปลุกเสกหลายคืน หรือศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน
    พระพุทธคุณก็มิอาจช่วยเราได้ หากเราไม่มีพุทธคุณในใจ หรือศีลในใจเรา


    ดังนั้นจึงอยากขอฝากท่านทั้งหลายเป็นเบื้องต้นก่อนเลยว่า
    ไม่ว่าเราจะปฏิบัติธรรมไปเพื่อสิ่งใดก็ตาม
    หรือแม้กระทั่งเพื่อพระนิพพาน
    ขอให้มีศีลธรรมนำใจเราก่อน
    มีศีลนำพาจิตใจเราให้เป็นปกติก่อน
    ไม่หลงใหลไปกับสิ่งภายนอก
    ก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในเส้นทางแห่งธรรม คือ
    "ศีล สมาธิ ปัญญา" ที่จะเป็นทางนำพาสู่พระนิพพานในเบื้องปลาย
    ...


    ปล. ธรรมทั้งหลายเป็นปัจจัตตัง ที่กล่าวมาเรื่องภพชาตินั้นเป็นที่รู้ได้เฉพาะตน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเจตนาที่จะเล่าเป็นธรรมทานเท่านั้น​
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย

    ความลังเลสงสัย เป็นนิวรณ์ที่มักเป็นอุปสรรคสำคัญของนักปฏิบัติ ที่มีการศึกษาในระดับสูง เพราะการศึกษาทางโลกทำให้คนคิดมากขึ้น รู้จักเปรียบเทียบ วิเคราะห์วิจัย ใช้เหตุผล ซึ่งมีประโยชน์มากในชีวิตประจำวัน แต่โทษที่อาจเกิดขึ้นก็คือ ผู้รู้มากมักสงสัยมาก นักปฏิบัติพวกนี้ตกเป็นเหยื่อของนิวรณ์ตัวนี้ จึงกลายเป็นนักภาวนาจับจด ไม่เอาจริงเอาจัง เพราะไม่แน่ใจว่าถูกหรือผิด แคลงใจว่าวิธีการหรือเทคนิคของตนไม่ถูกจริง สงสัยในอาจารย์ สงสัยในความสามารถของตน วิจิกิจฉาก็เหมือนไวรัสที่ทำให้การปฏิบัติหยุดชะงัก เมื่อลูกศิษย์ขี้สงสัยชอบมาถามปัญหากับหลวงพ่ออย่างไม่รู้จักอิ่ม ท่านไม่ตอบคำถาม แต่จะบอกว่า

    “ถ้าผมตอบปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกปัญหาของท่าน ท่านก็จะไม่มีทางรู้เท่าทันถึงการเกิดดับของความสงสัยในใจท่าน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านต้องเรียนรู้ที่จะสำรวจตัวท่านเอง สอบถามตัวท่านเอง” และหลวงพ่อเตือนสติว่า

    “ปัญหาไม่ได้จบด้วยคำพูดของคนอื่น แต่มันจบด้วยการกระทำของตัวเราเอง”

    “ถ้าเราสงสัยสิ่งทั้งหลายทั้งปวง มันก็ไม่เป็นอันอยู่อันกินหรอก เดี๋ยวก็วิ่งไปตามไอ้โน่นบ้าง ไอ้นี่บ้าง ให้เรารู้จักว่าคน ๆ นี้คือคนโกหก เราจับมันไว้ เรื่องอารมณ์มันเป็นอยู่อย่างนี้ เป็นของไม่แน่นอน อย่างยิ่งไปกับมันเลย รู้มันเฉย ๆ อยู่นั่นแหละ ถ้ารู้เช่นนี้ มันจะมีปัญหาอื่นเกิดขึ้นมาอีก เราก็รับรู้สิ่งที่มันเกิดขึ้นมานี้ มันถึงจะสบายใจ ถ้าเราไปวิ่งตามสิ่งที่เราสงสัย มันก็ไม่สบายใจ และมันจะเกิดมากกว่านี้ขึ้นไป ท่านจึงว่าอย่าไปยึดมั่นถือมั่น”

    นักปฏิบัติบางคนภาวนาไปแล้วก็สงสัยว่า ตนเองได้ทำไปถึงขั้นไหนแล้ว และบรรลุอะไรหรืออยู่ระหว่างไหน ในขณะทำสมาธิ เรื่องนี้หลวงพ่อชี้แจงว่า

    “มันไม่มีป้ายบอกเหมือนทางจะเข้าวัดป่าพงนี้หรอก” แล้วท่านอธิบายต่อว่า
    “อย่างผลไม้ผลหนึ่งนะ โยมเอามาถวายอาตมา รสผลไม้มันหวานอาตมาก็รู้จัก มันหอมก็รู้จัก รู้จักทุกอย่าง แต่ว่ามันขาดอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่รู้จักชื่อของผลไม้ว่าชื่ออะไร อันนี้ก็เหมือนกัน ไม่ใช่ของจำเป็นอะไรหรอก ถ้าเรารู้จักว่าชื่อนั้น ๆ มันก็ไม่เพิ่มความหวานขึ้นมาอีก มันก็อยู่แค่นั้นแหละ อันนั้นก็ให้เห็นว่า ถึงเหตุที่ควรจะรู้ก็ให้รู้ แต่ว่าไม่รู้ชื่อของมันก็ไม่เป็นไร รสของมันเรารู้มันแล้ว เช่นว่า เรากำขามันไว้ทั้งสองขา แล้วมันจะไปตรงไหนก็ให้มันไปเถอะ อย่างนั้นจะเป็นชื่อของแอปเปิ้ลหรืออะไรก็ช่าง รสมันเรารู้แล้ว เรื่องชื่อมัน ก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่ ถ้ามีใครมาบอกก็รับไว้ แต่ถ้าไม่มีใครมาบอกก็ไม่เดือดร้อน”

    อีกโอกาสหนึ่ง หลวงพ่อปลอบใจลูกศิษย์ชาวต่างประเทศซึ่งมักเป็นพวกช่างสงสัยดังนี้

    “ความสงสัยนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทุกคนเริ่มต้นด้วยความสงสัย ท่านอาจได้เรียนรู้อย่างมากมายจากความสงสัยนั้น ที่สำคัญคือ ท่านอย่าถือเอาความสงสัยนั้นเป็นตน นั่นคือ อย่าติดข้องอยู่กับมัน ซึ่งจะทำให้จิตใจของท่านหมุนวนเป็นวัฏฏะอันไม่มีที่สิ้นสุด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงเฝ้าดูความเกิดดับของความสงสัย ของความฉงนสนเท่ห์ ดูว่าใครคือผู้ที่สงสัย ดูว่าความสงสัยนั้นเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร แล้วท่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อของความสงสัยอีกต่อไป ท่านจะก้าวพ้นความสงสัยออกมาได้ และจิตของท่านก็จะสงบ

    ท่านจะเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นและดับไปอย่างไร จงปล่อยวางสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านยังยึดมั่นอยู่ สลัดทิ้งความสงสัยของท่าน และเพียงแต่เฝ้าดู นี้คือที่สิ้นสุดของความสงสัย


    Cr... FB พระธรรม คำสอน
     
  11. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    โมทนาสาธุในธรรมทานเจ้าค่ะ
    เมื่อตอนที่แนะนำเพื่อนให้ขอขมากรรม ตั้งจิตอธิษฐานต่างๆ ไปแล้ว
    เพื่อนก็สงสัยเหมือนกันว่าตั้งจิตไปแล้วเขารู้ไหม?
    บุญที่เราส่งไปนั้น เขาได้รับไหม?


    อันที่จริง เราก็เปรียบเสมือนเครื่องส่งสัญญาน
    เหมือนมือถือเครื่องหนึ่ง โทรไปหาอีกเครื่องหนึ่ง
    เราไม่รู้หรอกว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร
    แต่ทำสำคัญคือเราได้โทรไป หรือส่งบุญไปให้ก็พอแล้ว
    นั่นคือ เราเชื่อมั่นว่าเราได้ส่งบุญไป และเชื่อมั่นว่าบุญไปถึงผู้รับเท่านั้นก็จะสำเร็จได้ด้วยจิต
    แต่หากเราสงสัย ส่งไปหรือโทรไปแบบครึ่งๆ กลางๆ
    สัญญานหรือกำลังส่งก็จะลดลง ไม่เต็มที่นั่นเอง


    เพราะฉะนั้นเราต้องมั่นใจในสิ่งที่เราทำ คือ
    เราตั้งใจขอขมา และตั้งใจส่งบุญไปให้เจ้ากรรมนายเวรจริง
    เท่านั้นก็นับว่าสำเร็จตั้งแต่ตอนที่เรามีเจตนาเช่นนั้นแล้ว
    ส่วนเจ้าตัวจะรับหรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง
    อีกทั้งการขอขมากรรมนั้น แม้ผู้อื่นไม่ยอมจบนั้นไม่สำคัญ
    ขอให้จบไว้ที่จิตใจเราก็พอ...เท่านั้นก็พอ
    นั่นล่ะบุญถึงจะส่งผลเต็มที่


    ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับ "ความเชื่อมั่นและศรัทธา"
    และ "ศรัทธาจะนำพาทุกสิ่งให้สำเร็จ"​



    [​IMG]
     
  12. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ต๊ะเอ๋!!!
    เค้าสวยไหม?


    [​IMG]


    นี่ล่ะน๊าเขาว่า คนเราดูกันที่ภายนอกไม่ได้
    ภายนอกดูอย่างนึง ในใจอาจจะเป็นอย่างนึงก็ได้
    บางทีมิสเตอร์บีนสีหน้าแบบนี้ เขาอาจจะทุกข์อยู่ก็เป็นไรใครจะรู้?
    คนเราจึงต้องดูกันที่จิตใจกันจริงๆ
    ความสว่างจากจิตใจเราจะเป็นออร่า เป็นพลังบวกออกมาให้เราดูดี
    นั่นคือ ดูดีจากภายใน
    จิตใจเราเป็นเช่นไร หากดูไม่ออก ดูไม่ได้ ไม่รู้ตัว
    วันนี้เราลองไปส่องกระจกดูนะคะ ว่าหน้าตาเราเบิกบานไหม?
    มีพลังบวกหรือแสงสว่างในจิตขนาดไหน?
    อย่าปล่อยให้ชีวิตใหลไปตามกระแสโลกมาก
    หันมาดูแลจิตใจตนเองกันบ้างนะคะ
    หน้าตาจะได้สดชื่นแจ่มใส เบิกบานตลอดเวลาจ้ะ
     
  13. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=xzfz2in5Gow]ตีสิบ ดันดารา ไมค์อาร์มี่&ธรรมะ-ขัน! (ธรรมะ-ฮา...ไม่ธรรมดา) 2Jul2013 Full - YouTube[/ame]


    มาฟังธรรมะฮาๆ กันหน่อยนะคะ
    "ธรรมะ-ฮา...ไม่ธรรมดา" ฮ่าๆ..

    ขอบคุณรายการตีสิบและผู้อัพโหลดคลิปจ้า



    [​IMG]
     
  14. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    ฮากันเสร็จแล้ว ก็ขอตัวไปนอนก่อนนะจ้ะ
    ที่ไทยจะสว่างเลี้ยว ... คิคิ
    ท่านใดตื่นมาตักบาตรตอนเช้า หมูขอโมทนาด้วยเจ้าค่ะ
    ไม่เคยได้ตื่นทันเวลานี้เลย ฮ่าๆ

    ราตรีสวัสดิ์ และอรุณสวัสดิ์ค่ะทุกท่าน



    [​IMG]
     
  15. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ชีวิตจะก้าวหน้าด้วยการดับตัณหาและฉันทะ​

    ตัณหา คือความอยากโดยไม่มีความรู้ เพียงแต่จะสนองความรู้สึกเสพสม บํารุงบําเรอปรบเปรอประสาทสัมผัส คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของตนเอง ส่วนฉันทะ หรือความอยากประเภทที่สอง คือความอยากในคุณภาพชีวิตในสิ่งที่มีคุณค่า เป็นประโยชน์ ชึ่งสัมพันธ์กับความรู้ เริ่มตั้งแต่รู้จักแยกแยะว่าอะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษแก่ชีวิตอย่างแท้จริง...
    ในทางธรรมนั้น ท่านแยกวิธีปฏิบัติต่อความอยากสองประการนี้ ความอยากประเภทที่หนึ่ง คือตัณหาที่เกิดจากความไม่รู้หรือเป็นไปโดยความไม่รู้ ซึ่งเป็นไปเพื่อการบํารุงบําเรอปรนเปรอประสาทสัมผัสนั้น ท่านบอกว่ามันเกิดขึ้นมาแล้วเราต้องควบคุมให้ดี หรือแม้แต่ละเลิกให้ได้ หรือแทนที่ด้วยฉันทะ ถ้าเรายังไม่มีฉันทะไม่มีปัญญามาก ตัณหานี้จะต้องใช้ในลักษณะควบคุม ส่วนความอยากประเภทที่สอง ที่เรียกว่าฉันทะนั้น เกิดขึ้นแล้วให้ระงับด้วยการทําให้สําเร็จ เมื่อทําสําเร็จแล้ว ฉันทะนี้จะระงับไปเอง...อย่างที่หนึ่งระงับทันทีหรือควบคุมทันที ส่วนประเภทที่สองคือฉันทะ ไม่ว่าจะแบบมาจากตัณหาก็ตามหรือเกิดจากความรู้โดยตรงก็ตาม ให้ระงับด้วยการทําให้สําเร็จ เพราะฉะนั้น ฉันทะนั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่าต้องระงับเหมือนกัน แต่ระงับด้วยการทําให้สําเร็จ ไม่ใช่ปล่อยให้มันค้างอยู่ เมื่อมีฉันทะแล้วก็ต้องพยายามทําให้สําเร็จ นี่คือหลักสําคัญในการปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า
    ที่มาหนังสือ"การปฏิบัติให้ถูกทาง" โดยวัดญาณเวศกวัน คัดมาจากหนังสือ"แผนที่ชีวิต"เขียนโดยพระพรหมคุณากรณ์(ป.อ.ปยฺตฺโต)
     
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    *** การปฏิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์แบบย่อๆ ****

    ผู้ถาม หลวงพ่อเจ้าคะ อยากจะเรียนถามว่า การปฏิบัติตนเพื่อความพ้นทุกข์แบบย่อๆ มีบ้างไหมเจ้าคะ?...

    หลวงพ่อ ต้องการแบบย่อหรือ....ต้องไม่ยืนตรง

    ผู้ถาม อ้าว.... ทำไมละครับหลวงพ่อ....

    หลวงพ่อ งอเข่ามานิด....แล้วก็ย่อตัวลงมา
    ก็ความจริงอันดับแรกจับ
    พุทธานุสสติ ให้ทรงตัว หลังจากนั้นก็พิจารณา
    กายคตานุสสติ ร่างกายนี้ มันไม่ดีเต็มไปด้วยความสกปรก
    ร่างกาย เป็นชิ้นเป็นตอนเป็นท่อนใช่ไหม ...
    ไม่เป็นแท่งทึบมีอาการ ๓๒ คือ ผม...เล็บ...และฟัน เป็นต้น
    นี่เขาถือเป็น กายคตานุสสติ
    เห็นว่าทุกส่วนของร่างกายเต็มไปด้วยความสกปรกอันนี้เป็น
    อสุภกรรมฐาน เห็นว่ามันไม่ดีมันเป็นทุกข์
    แล้วก็สลายตัวไปในที่สุด หลังจากนั้นก็ตั้งจิตไว้เฉพาะ
    พระนิพพานเป็นอารมณ์ และก็ พยายามตั้งตนตั้งใจทำตามนี้ คือ
    ตัดโลภะ ความโลภ ด้วย จาคานุสสติกรรมฐาน ....ด้วยการให้ทาน
    ตัดโทสะ ความโกรธ ด้วยการรักษาศีล มี พรหมวิหาร ๔ เป็นเบื้องต้น
    ตัดโมหะ ความหลง ด้วยการเข้าใจตามความเป็นจริงว่า
    ร่างกายมันไม่ดี เราไม่ต้องการมัน ต้องการ นิพพาน แค่นี้ ง่ายๆ

    ผู้ถาม แค่นี้ไปได้แน่ๆ เลย....

    หลวงพ่อ จะไปก็ได้จะอยู่ก็ได้

    ผู้ถาม ไม่ขัดข้องเลย.....

    หลวงพ่อ ไม่ขัดข้อง คำว่าไป.....หมายถึงนิพพาน ยังไม่นิพพานก็ยังไม่ไป เนื้อแท้จริงๆ ต้องตัด โลภะ โทสะ โมหะ 3 ตัว เท่านั้น
    แต่ว่าถ้าเราไม่ยึดพระพุทธเจ้า เป็นอารมณ์ มันจะไม่มีการทรงตัวนะ

    ผู้ถาม ครับ

    หลวงพ่อ เอาง่ายๆ ดีกว่า ถือบันไดขั้นแรกไว้ก่อน ถืออารมณ์พระโสดาบันไว้ก่อน ง่ายดี อารมณ์พระโสดาบันนี้ ก็คือ

    ๑. เคารพพระพุทธเจ้า
    ๒.เคารพพระธรรม
    ๓. เคารพพระอริยสงฆ์
    ๔. มีศีล ๕ บริสุทธิ์
    ๕. ตั้งจิตไว้เฉพาะพระนิพพาน
    อันนี้ง่ายๆ ถ้าอันนี้ได้แล้ว ....ไอ้เรื่องมรรคผลก็กลายเป็นของไม่ยาก

    พระราชพรหมยาน (ฤๅษีลิงดำ) วัดท่าซุง
    (หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๕ หน้า ๑๒๐-๑๒๑
     
  17. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]




    ...ทุกวันนี้ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และสังคมเมืองต่างๆ
    ต่างก็เจริญไปข้างหน้า แต่จิตใจผู้คนนี่ก็มักจะถอยหลังลงคลองเข้าเรื่อยๆ
    จิตใจผู้คนเริ่มหากออกจากศาสนา หรือบางทีถึงขั้นแยกแยะไม่ออกว่าไหนพุทธะ ไหนผี
    เพราะด้วยสังคมไทยค่อนข้างเปิดกว้างสำหรับทุกศาสนาและทุกวัฒนธรรม
    จึงหล่อหลอมรวมกันอยู่ในสังคมได้อย่างลงตัวในแต่ละพื้นที่ที่มีความเชื่อในสิ่งต่างๆ




    "เรามาบวชใจกันเถอะ" ก็นับจะเป็นทางออกที่ดีสำหรับเราชาวพุทธยุคใหม่
    เพราะในชีวิตประจำวันค่อนข้างวุ่นวายกับโลกภายนอก ทั้งหน้าที่การงานและครอบครัว
    ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะรอโอกาสหรือเวลาว่างในการได้ปฏิบัติธรรม
    หรือแม้กระทั่งต้องการที่จะบวชก็ตามนั้น ก็เป็นเรื่องของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งก็ไม่ค่อยจะสะดวกกันสักเท่าไร




    สุดท้ายแล้วที่พึ่งทางใจก็อาจจะไม่มี
    เมื่อหันหน้าเข้าหาวัตถุ ก็อาจจะได้ความสุขชั่วคราวมาประโลมจิตใจอยู่บ้าง
    แต่เราสังเกตอะไรไหมว่า เมื่อเราได้ความสุขนั้นมา แต่ทำไมใจเรามันอ่อนล้าลงทุกวันๆ ?
    บางทีมันก็ห่อเหี่ยว ไม่รู้จะทำอย่างไรกับชีวิตดี
    ทั้งที่มีการงานให้ทำ มีครอบครัวให้ดูแลอยู่ทุกวัน




    เมื่อเราเป็นชาวพุทธ เราศรัทธาต่อพระรัตนตรัย เราควรจะใส่ใจจิตตนเองให้มากกว่านี้
    อย่างน้อยที่สุดนั่นคือการมีธรรมะในจิตใจ โดยไม่ต้องรอเวลาที่จะถือศีลบวช
    เราเคยลองตั้งใจอยู่ในศีล๕ ในชีวิตประจำวันรึยัง?
    เราเคยลองระลึกถึงพระรัตนตรัยเป็นอารมณ์ในระหว่างวันแล้วรึยัง?
    เมื่อ "กาย" เราไม่มีโอกาส จังหวะ หรือเวลาที่ปลีกวิเวกได้
    แต่ "จิต" เราก็สามารถปลีกวิเวก หรือสงบภายในได้ แม้กายจะยุ่งขนาดไหนก็ตาม
    นั่นคือ เราต้องแยกแยะให้ออกระหว่างหน้าที่ของกาย และจิต




    ร่างกายเรามีหน้าที่ทำงาน ดูแลครอบครัว ฯลฯ ก็ให้กายทำไปตามปกติ
    แต่จิตของเรานั้นควรมีที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว และหยุดพัก เพื่อไม่ให้จิตใจวิ่งไปตามกระแสโลกจนเหนื่อยล้า
    คือการระลึกถึงพระรัตนตรัย
    "ระลึก-ถึงพร้อม" ต่อพระรัตนตรัย "ในใจ" ของเราเอง
    นี่ก็ถือว่าเปรียบเสมือนการปฏิบัติธรรม ถือศีล หรือบวชจิตไปในชีวิตประจำวัน
    คือใจเราถึงพร้อมด้วยศีล และยึดพระรัตนตรัยเป็นสรณะ
    (ขอย้ำว่า "ใจของเรา" นะ ... ไม่ใช่กาย)




    การน้อมนำศีล และพระรัตนตรัยเข้าสู่จิต เปรียบเสมือนการบวชใจที่แท้จริง
    นี่คือใจเรานั้นเดินตามทางแห่งพระรัตนตรัย
    เดินตามทางที่พระพุทธเจ้าได้ชี้นำไว้
    โดยน้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์มาอยู่ในใจเรา ในตัวเราเป็นเบื้องต้น
    นี่จึงถือว่า "ไม่ยึดติดเวลา และกายเราที่จะรอคอยแต่จะหาโอกาส หรือวันว่างไปปฏิบัติธรรม"
    ซึ่งบางทีต่อให้ไปบวชเนกขัมมะ ๗ วัน แล้วออกมา บางทีจิตใจเรามันก็ยังมีกิเลส มีความหลงเหมือนเดิม
    (บางทีอาจมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเก็บกด... ฮ่าๆ)
    นั่นคือ เราไปแก้ที่กายเรา มันไม่ถูกต้อง
    ทุกอย่างต้องดูที่จิต ดูที่เจตนา ดูที่ใจเรา




    นั่นคือ ปฏิบัติธรรมที่ใจเราก่อนนั่นจึงจะถือว่าได้เข้าถึงการปฏิบัติอย่างแท้จริง
    เพราะต่อให้เรานุ่งขาว ห่มขาว แต่จิตใจไม่ได้ระลึกถึงศีล หรือมีสมาธิกับสิ่งที่ปฏิบัติ
    แถมยังไปคิดถึงคนรัก ไปห่วงคนที่บ้าน แบบนี้ก็คงไม่ต่างกันกับคนที่ไม่ได้นุ่งขาวห่มขาว
    เพราะฉะนั้นการที่เราบวชจิต หรือในจิตเรามีศีล มีพระรัตนตรัยในใจเป็นเบื้องต้นแล้ว
    ก็นับว่าจะประสบความสำเร็จในการปฏิบัติธรรม ในระดับหนึ่งซึ่งก็ไม่ต้องรอโอกาสและเวลาอย่างที่กล่าวมา






    แล้วทุกวันนี้เราเริ่มต้นที่น้อมนำศีลเข้าสู่ใจเราแล้วหรือยัง?
    น้อมนำพระรัตนตรัยเข้าสู่จิตใจเราแล้วหรือยัง?
    ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ - "ไตรสรณคมน์" ในจิตแล้วหรือยัง?
     
  18. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]



    ...พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่ที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก
    สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไท
    จัดเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย
    และได้รับการขนานนามว่าเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในโลกองค์หนึ่ง
    ถึงขั้นที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ทรงดำริให้ชลอมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
    แต่ทรงรับฟังคำทูลขอร้องของชาวพิษณุโลก ที่ว่าพระพุทธชินราชองค์นี้
    เป็นพระคู่บ้านคู่เมือง จึงทรงตัดสินพระทัยหล่อ พระพุทธชินราช (จำลอง) ขึ้นมาแทน...





    ..."พระพุทธชินราช" ภาพพระ ภาพแรกที่จิตข้าพเจ้าระลึกถึงตลอดเวลาในช่วงแรกๆ ของการฝึกจิตเกาะพระ
    เมื่อจิตใจของข้าพเจ้ามองทั่วองค์พระ ก็รับได้ถึงความร่มเย็นในจิตใจ
    ข้าพเจ้าระลึกถึงแล้วรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก



    ทุกครั้งที่เห็นภาพพระ ก็จะกำหนดจิตกราบแทบพระบาท และระลึกเสมอว่า
    "เมื่อเห็นองค์พระ ก็จะเห็นเรานั่งอยู่ใกล้ๆ และเมื่อเห็นตัวเราก็เห็นพระในใจเรา" เสมอ
    เราอยู่กับพระ พระกับเราไม่ห่างกัน ทำอะไรในชีวิตประจำวันจึงมีแต่ความสบายใจ
    แม้การงาน การเรียนจะวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม แต่ใจเราสงบลงได้ เบาลงได้ ทุกข์น้อยลงได้
    ในขณะที่เรานำจิตระลึกถึงพระอยู่ตลอดเวลา ก็นับว่านี่คือ "ร่มโพธิ์ที่แท้จริง"
    คือพระที่พึ่งทางใจที่แท้จริงของเรา



    นับจากนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไรเราไม่รู้ รู้แต่ว่าจิตของข้าพเจ้าจะอยู่กับพระไปจนวันสุดท้ายของชีวิต
    และไม่รู้ว่าบุญบารมีเราจะถึงพระนิพพานหรือไม่ อย่างไร
    ข้าพเจ้าคงได้แต่สร้างบุญบารมีต่อไปจนวันตายเท่านั้น
    ส่วนจิตของข้าพเจ้าขอระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัย และพระนิพพานเป็นอารมณ์ในปัจจุบันขณะจวบจนวันสุดท้ายของชีวิต
    เท่านี้ก็นับว่าคุ้มแล้วที่ข้าพเจ้าได้เกิดมาเป็นพุทธศาสนิกชนในพุทธศาสนา...​
     
  19. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    "การบวชจิต บวชใน" เนี่ย เป็นสูตรของหลวงปู่ดู่ท่านเลยนะ หลวงปู่ดู่ท่านบอกว่าการบวชทั้งในและนอกมันลำบากในยุคนี้เราบวชใน คนไม่รู้.... แต่ผีรู้ เทวดารู้การบวชในเป็นกรรมฐานอย่างหนึ่ง เวลาทำบุญให้นึกว่าตัวเองเป็นพระ ...จะได้ชิน ..ถ้าทำบ่อยๆ จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ

    เวลาทำความดีอะไรก็ตามให้นึกว่าตัวเองเป็นพระมันจะปรับออกมาข้างนอกเองเป็นการบวชจากข้างในไปหาข้างนอกข้างนอก คือด้วยรูปลักษณ์บวชในที่เป็นพระเนี่ยพอเราบวชแล้วเราจะไม่กล้าทำอะไรที่ไม่ดีเวลาเราแผ่บุญออกไป พลังงานก็ผ่านเราออกไปได้มากกว่าไม่ได้บวชเพราะข้างในเราเป็นพระ

    พลังงานเนี่ย จะผ่านพระได้มากกว่าฆราวาสนะลองคิดดูสิ เราเป็นพระนะ (กายใน) แค่เรานึกเนี่ย ก็เป็นแล้ว ทำไม่เกิน ๓ ปี จะรู้สึกว่าเราเป็นพระ เรื่องอะไรที่ไม่ดีเราจะไม่พูด ไม่ทำ แม้แต่ในฝัน ยังเป็นพระเลย

    บวชจิตแล้วต้องสึกไหม..ไม่ต้อง มันไม่เกี่ยวกัน เรื่องโลกกับเรื่องธรรมเป็นคนละเรื่อง เวลาอยู่ทางโลกก็อยู่ไป เมื่อไรอยู่ทางธรรมเราก็บวชใน

    ตื่นขึ้นมาก็ให้ทำแล้ว กราบพระ ๖ ครั้ง แล้วทำวัตรสั้นๆ อาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่องค์ปฐมถึงองค์ปัจจุบัน เวลากินข้าว อาบน้ำ เวลาว่าง เวลานอน ให้สวด ให้ภาวนา จนกว่าจะหลับ ๓ ปี จะรู้สึกว่าข้างนอกจะเปลี่ยน ทรงอารมณ์แบบนี้ อานิสงค์มหาศาล เป็นบุญทุกลมหายใจเข้าออก

    หลวงปู่ดู่ท่านได้เคยแนะเคล็ดในการบวชจิตไว้ว่า.....

    " ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น

    คำกล่าวว่า

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
    ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา

    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ...
    ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์

    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ...
    ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

    แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้
    ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช

    ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ
    หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี

    อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก
    จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว "

    . . .



    เรียบเรียงเนื้อหาจากคติธรรมคำสอนของ
    พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร (หลวงตาม้า)
    วัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ)
    ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่


    Cr.. วัดพุทธพรหมปัญโญ วัดถ้ำเมืองนะ
     
  20. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]



    อ่าโหลวววว... แวะมาบอกว่า หมูหมดสภาพค่ะวันนี้
    ไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืนแล้วเดินทางตอนเช้า จากกรุงเทพฯ สู่ขอนแก่น
    คืนนี้คงต้องแวะมาส่งทุกท่านเข้านอนพร้อมกัน
    ไว้ว่างๆ จะโพสท์ธรรมทานให้อ่านกันเพลินๆ นะคะ
    ราตรีสวัสดิ์จ้า





    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...