ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    อดีตที่ผ่านพ้น : ตอนที่ ๓๔. พบพระองค์ที่ ๑๐

    พระองค์ที่ ๑๐ เป็นใคร...? มาจากไหน...? มีความสำคัญอย่างไร...? หลวงพ่อท่านเล่าให้พวกเราฟังว่า...


    ครั้งหนึ่ง...มีโยมนิมนต์ท่านไปงานทำบุญบ้านที่จังหวัดราชบุรี พระที่ได้รับนิมนต์มีอยู่ด้วยกัน ๙ องค์
    มีท่านเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน แต่พอไปถึงบ้านงาน ปรากฏว่ามีพระอีก ๑ องค์ ไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว...


    พระองค์นั้นเป็นพระหนุ่ม ดูแล้วอายุคงจะไม่เกิน ๓๐ ปี รูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวขาวอมเหลือง ดูผ่องใสอย่างประหลาด
    ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้พระองค์อื่นมากันครบแล้ว ท่านก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากที่
    ท่านเจ้าคณะจังหวัดจึงนั่งถัดมาเป็นคอสอง ตามลำดับไป จนถึงหลวงพ่อ ที่นั่งปิดท้ายอยู่...


    พอพระองค์นั้นให้ศีล หลวงพ่อเล่าว่า ได้ยินแล้วทึ่งมาก เสียงท่านแจ่มใสกังวาน ฟังไพเราะรื่นหู ชื่นใจจนบอกไม่ถูก
    อักขระทุกตัวถูกต้องชัดเจน เสียงอย่างนี้ในตำราเรียกว่า “โฆสัปปมาณิกา”
    คือ มีเสียงไพเราะเป็นที่ชอบใจ ของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย...


    เมื่อกำลังฉันอยู่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดถามว่า บวชมากี่พรรษาแล้ว...?
    พระองค์นั้นส่งหนังสือสุทธิให้ดู ปรากฏว่า ท่านบวชมากว่า ๓๐๐ ปีแล้ว...!
    ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีถึงกับพูดไม่ออก เรื่องอื่นที่คิดจะถามเลยไม่กล้าถามต่อ...!


    พอให้พรญาติโยมเสร็จท่านก็ลากลับ หลวงพ่อถามเจ้าของบ้านว่านิมนต์พระองค์นี้มาจากไหน...?
    เจ้าของบ้านตอบว่า ผมคิดว่ามาด้วยกันกับท่านซะอีก...!
    เอาละซี...มีเรื่องจนได้แล้วไหมล่ะ... หลวงพ่อบอกให้เจ้าของบ้าน วิ่งลงไปดูซิว่าท่านไปทางไหน...?


    เพิ่งคล้อยหลังลงบันไดไปแท้ ๆ บ้านก็อยู่กลางทุ่งโล่ง ไม่มีที่ให้หลบมุมซักหน่อย
    แต่พระองค์นั้นหายไปทางไหนไม่มีใครรู้ อย่างกับท่านเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าดำดินได้อย่างนั้นแหละ
    เนื่องจากเจ้าของบ้านนิมนต์พระ ๙ องค์ แล้วท่านมาเพิ่มเป็นองค์ที่ ๑๐
    หลวงพ่อจึงเรียกท่านว่า พระองค์ที่ ๑๐ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...


    หลวงพ่อเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังนานมากแล้ว จนชักจะลืม ๆ กันหมด
    อยู่ ๆ ก่อน งานประจำปีของวัดท่าซุง ปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อก็บอกกับลูก ๆ ทั้งหลายว่า
    งานนี้พระองค์ที่ ๑๐ จะมาโปรด พร้อมกับบรรยายรูปร่างลักษณะให้พวกเราได้ทราบเอาไว้
    อาตมาตื่นเต้นมาก ที่จะได้พบกับพระพิเศษอย่างนี้ ชวนพรรคพวกไปวัดก่อนงานตั้ง ๓ วันแน่ะ...!


    หลวงพ่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะมีพระดีมาเป็นจำนวนมาก
    “หลวงตาลา” กับ “หลวงตาบุตร” ก็มาด้วย หลวงตาลารูปร่างสูงใหญ่ผมหงอกประปราย หลวงตาบุตรผอมเล็ก ผิวดำ
    อาตมากับพรรคพวกยิ่งตื่นเต้นใหญ่...


    วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘ เวลาเช้ามืด...มาตมาตื่นตั้งแต่ตีสาม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า
    ตั้งใจเจริญกรรมฐานตามปกติ แต่วันนี้อารมณ์มันแกว่ง ๆ พิกล
    นั่งกรรมฐานไม่ได้เอาเลย จึงนั่งแกล้งพรรคพวกจนตื่นนอนไปตาม ๆ กัน พร้อมกับร้องเพลงงึมงำอยู่คนเดียว...


    ธรรมนูญ(อาจารย์ธรรมนูญ นาคส่องแสง) ร้องว่า “โอ้โฮพี่ร้องเพลงเชียวหรือ?”
    แมมมี (ร.ท.หญิงรมณีย์ พยุงเวช) ที่นอนอยู่ใกล้ ๆ หัวเราะคิก
    เพราะอาตมาถือศีล ๘ จนผอมกะหร่อง อยู่ ๆ ยอมศีลขาดร้องเพลงเล่น นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...!


    ทำอย่างไรใจก็ไม่ยอมสงบ อาตมาจึงทิ้งเพื่อน ๆ ให้นอนต่อ
    เปิดประตูออกไปเพื่อจะเดินเล่น ก็พบกับ สามเณรบุญชุ่ม ทาแกง ยืนจ้องเป๋งอยู่หน้าห้อง...
    อาตมาถามว่า “หลวงพี่เณรมีธุระอะไรกับผมหรือครับ...?” ท่านไม่ตอบ หันหลังเดินจากไปเฉย ๆ...


    สำหรับเณรองค์นี้ (ปัจจุบันคือ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร วัดพระธาตุดอนเรือง)
    อาตมาเลื่อมใสท่านมานานแล้ว ทราบว่าท่านเก่งแน่ แต่มาจ้องอยู่ที่หน้าห้องแต่เช้ามืดแบบนี้ ท่านมีอะไรจะบอกใบ้หรือเปล่าหนอ...?
    อาตมาคิดว่า “วันนี้ต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน”
    มันรู้สึกสังหรณ์ใจผิดปกติ ตั้งแต่ตอนที่นั่งกรรมฐานไม่ได้แล้ว...


    ประมาณ ๑๗.๓๐ น. เลิกจากการงานของวัดแล้ว พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยอาตมาก็ชวนพรรคพวก
    ประกอบด้วย ธรรมนูญ แมมมี ติ๋ว (ร.ท.หญิงสิริพร จอมผา ยศในขณะนั้น)
    ตุ้ม (จำชื่อจริงไม่ได้) นัน (นันฑิญา เหลือถาวรกุล) แข (ดวงแข คชภูมิ)
    นิพพา (นิพพา สืบสิงห์) คิ้ม (จงกล แจ่มแจ้ง) ออกลาดตระเวนกัน...


    จุดมุ่งหมายคือ ตามหาพระที่หลวงพ่อบอกไว้ ตอนนี้พระอาคันตุกะมาเป็นร้อยองค์แล้ว
    ลองสำรวจเผื่อจะโชคดี ได้พบองค์ที่เหมือนกับที่หลวงพ่อบอก จะได้ทำบุญกับท่านก่อนคนอื่น
    (ขนาดเรื่องทำความดีนะเนี่ย ยังไม่ยอมให้คืนอื่นเกินหน้าเล้ย...ตูละหน่าย...)


    จากพระจุฬามณี เดินลัดเลาะเรื่อยมา พบพระหลายองค์แต่ไม่เข้าเค้า
    บางองค์โดนหมากัดซะเหวอะ ต้องเข้าไปช่วยทำแผลให้กับท่าน (ติ๋วกับแมมมีเป็นพยาบาลทหารอากาศ)
    จนข้ามมาฝั่งวัดเก่า ซึ่งตอนนั้นยังเป็นป่าอยู่ (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งตึกรับแขกทั้งหมด)


    ขึ้นไปปฏิสันถารกับพระหลายองค์ ที่กางกลดอยู่บนศาลาไม้สัก (ปีถัดมาศาลาหลังนี้ถูกไฟเผาซะเรียบเลย)
    พอสมควรแก่เวลาก็กราบลาท่าน ลงจากศาลาเพื่อไปหาพระที่ตั้งใจไว้ พอเดินมาถึงหน้าโบสถ์เก่า อาตมาก็เห็น...


    พระหนุ่มองค์หนึ่ง ลักษณะท่าทางดีมาก อายุประมาณ ๓๐ ปี นั่งตัวตรงอยู่บนตอไม้
    ที่ซึ่งท่านนั่งอยู่เป็นที่เด่นมาก อยู่ห่างจากศาลาไม้สักไม่ถึง ๑๐ เมตร
    อาตมาเป็นคนสายตาดีเป็นพิเศษ (พวกมือปืนต้องสายตาดีกันทุกคน)
    แต่เชื่อหรือไม่...? อาตมาเดินมาจนเกือบถึงองค์ท่านแล้ว ถึงได้มองเห็นท่านนั่งอยู่กับลูกศิษย์ ๓ คน...!


    ในสายตาอาตมา พระที่จะขลังต้องแก่ ๆ หน่อย (แบบนี้มีหวังถูกต้มทั้งชาติ)
    เมื่อเห็นเป็นพระหนุ่ม อาตมาก็จะเดินหลีกไป แต่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น...
    คือ เท้ามันไม่ยอมเชื่อฟัง สั่งให้มันเดินหนี แต่มันกลับพาเลี้ยวเข้าไปหาท่าน โดยที่อาตมาฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่ได้...!


    อาตมานั่งลงกราบท่านอย่างเสียไม่ได้ ท่านก็โอภาปราศรัยด้วย
    ประโยคแรกซึ่งท่านถามอาตมาคือ “เธอมาจากไหน...?” พรรคพวกทุกคนฟังแล้ว สะดุ้งกันแปดตลบ
    เพราะไปเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสถามเปสการีธิดาเปี๊ยบเลย...!


    อาตมาตอนนั้นทั้งมืดทั้งบอดอย่างสนิท ไพล่ไปตอบท่านว่า “หลวงพี่ต้องการแบบไหนละครับ...?
    ถ้าจากวัดผมมาจากจุฬามณี ถ้าจากบ้านผมมาจากพระโขนง...”
    ท่านยิ้มน้อย ๆ พลางว่า “นี่เธอรวนฉันก่อนนะ ขอถามอีกที เธอจะไปไหน...?”


    เพื่อนพ้องทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก...แต่อาตมาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น
    ตอบท่านว่า “ผมมาหาพระดีครับ” “แล้วเจอไหมเล่า...?”
    อาตมาตอบเป็นเชิงกระทบกลาย ๆ ว่า “ยังครับ” ความหมายคือ พระดีที่ตามหา ไม่ใช่ท่านอย่างแน่นอน...!


    เพราะอะไรจึงมั่นใจอย่างนั้น...? ก็ทันทีที่กราบท่าน อาตมาใช้วิธีดูใจแบบที่หลวงพ่อสอนเอาไว้แล้ว มืดสนิทอย่างนี้เป็นพระดีก็เกินไปละ...
    (ภายหลังหลวงท่านชมว่าโง่ดีมาก คนที่เราจะดูใจได้ คือคนที่เสมอกันหรือต่ำกว่าเท่านั้น
    คนที่มีคุณธรรมสูงกว่าถ้าตั้งใจปกปิด เราจะไม่มีวันได้รู้กำลังใจที่แท้จริงของท่านเลย)


    เมื่ออาตมาประกาศสงคราม ท่านก็ลงสนามรบด้วย ลีลาของท่านแม้จะนุ่มนวล
    แต่ก็สง่างาม เหมือนราชันย์สู่สงคราม ถึงลูกถึงคน เปี่ยมไหวพริบปฏิภาณ มีทั้งลูกล่อลูกชน
    หากว่าอาตมาไม่มีไม้ตาย คือยามคับขันอ้างว่า “หลวงพ่อยังไม่ได้สอน” มีหวังจอดตั้งแต่ยกแรก ท่านต้อนจนฉิว บ่นว่า “ไอ้ลูกลิงนี่เหลือเกิน ติดมุมแล้วมุดดินหนีก็ยังเอา...!”


    ลูกเล่นลูกฮาของท่านก็เหลือเกิน พรรคพวกส่งเสียงเฮชอบอกชอบใจ
    นาน ๆ ถึงจะมีพระยอมเล่นด้วยซักที ความเกรงท่านแต่แรกหายไปหมด
    เหลือแต่ความปีติอิ่มเอิบใจ จึงนั่งเชียร์พระโต้ธรรมะกับฆราวาสอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน...


    จนเกือบสองทุ่ม ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะ ท่านก็ขอตัวไปพักผ่อน
    อาตมาพาพรรคพวกกลับที่พัก ทุกคนแจ่มใสเบิกบานโดยทั่วหน้ากัน
    อารมณ์ขุ่นมัวแต่เมื่อเช้า หายขาดเป็นปลิดทิ้ง ยังข้องใจกับคำพูดประหลาด ๆ บางประโยคของท่านที่ว่า...


    “ฉันมาจากวัดที่มีพระ” “ฉันมาที่นี่บ่อย แต่เธอไม่ได้เห็นฉันหรอก ฉันมาหาฤๅษีเขา”
    “ฉันเป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ ทุกวันนี้ก็ยังทำหน้าที่พระโพธิสัตว์อยู่”
    “ฉันคิดว่าคงจะช่วยใครให้พ้นนรกไม่ได้ ฉันมีหน้าที่บอกทางให้เท่านั้น”...ฯลฯ


    รุ่งเช้า... วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๘ เป็นวันงานประจำปี พระเถรานุเถระทยอยกันมาตั้งแต่เมื่อคืน
    บางองค์ เช่น พระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ ถึงกับลงไปฉันก๋วยเตี๋ยว ร่วมกับพระทุกองค์ในวัด อย่างไม่ถือองค์เลย...


    อาตมาทำหน้าที่ประเคนอาหารพระ พอครบถ้วนดีแล้ว นึกถึงหลวงพี่องค์เมื่อคืนขึ้นมา
    จึงบอกพี่ประทุม (แม่ครัวกองทุน) ว่ามีพระอาคันตุกะกับลูกศิษย์ อยู่ทางฝั่งวัดเก่า
    ไม่เห็นท่านมาฉันที่นี่ ขออาหารไปถวายท่าน และขอเผื่อลูกศิษย์ท่านด้วย...


    พี่ประทุม (เสียชีวิตไปประมาณ ๓-๔ ปีแล้ว) ก็แสนดี รีบจัดอาหารให้โดยเร็ว
    เป็นเกาเหลาแห้ง ๘ ชาม อาตมาก็ไม่ทราบว่า ขนไปได้เรียบร้อยในเที่ยวเดียวได้อย่างไร ?
    (แต่ก็เอาไปแล้วล่ะ) ไม่เห็นท่านบนศาลา จึงชะโงกไปดูข้างนอก แล้วก็ได้เห็น...


    ข้างศาลาที่อาตมาเพิ่งเดินผ่านมานั่นแหละ ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่...
    อะไรกันวะ? เมื่อกี้เดินมาเราไม่เห็นใครเลยนี่หว่า...
    รอบศาลาก็ว่างโล่งไม่มีอะไรบัง เราผ่านท่านมาโดยไม่เห็นเลยได้อย่างไรกัน ? ตาถั่วแล้วมั้งตู...?!?


    แต่ว่างานกำลังยุ่ง กระทั่งเวลาสงสัยยังไม่มี กราบเรียนท่านว่า “อาหารวางไว้บนอาสน์สงฆ์ จะฉันเมื่อไรหลวงพี่หาคนประเคนด้วยนะครับ”
    ท่านตอบยิ้ม ๆ ว่า “เดี๋ยวก็มีคนมาประเคนให้เองแหละ...” อาตมาจึงโกยแน่บไปช่วยงานที่ศาลา ๒ ไร่...


    บนศาลานั้น หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง
    หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม หลวงพ่อบุญรัตน์ วัดโขงขาว กำลังช่วยหลวงพ่อรับแขกอยู่
    อาตมากราบท่านทุกองค์ แล้วไปช่วยงานที่ข้างองค์หลวงพ่อ...


    หลวงพ่อกำลังคุยกับ พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ และพล.ท.เทียบ กรมสุริยศักดิ์ สองแม่ทัพภาคอยู่
    อาตมาแจกหนังสือของขวัญวันรับสมณศักดิ์ แก่ญาติโยมที่มาทำบุญกัน
    ผู้คนมากันแน่นขนัดไปทั้งวัด ศาลา ๒ ไร่เล็กเกินไปซะแล้ว...!


    พระเถรานุเถระมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธาน กำลังจะเริ่มเจริญพระพุทธมนต์
    พี่สุนันท์ (คุณสุนันท์ เจียรกูล) มากระตุกแขนเสื้อกระซิบว่า “พระองค์ที่ ๑๐ มาถึงแล้ว อยู่ที่ฝั่งวัดเก่าแน่ะ...!”


    อาตมาขนลุกด้วยความดีใจ รีบถามว่าท่านมีลักษณะอย่างไร ? อยู่ตรงไหน ?
    พอได้รับคำอธิบาย อาตมาก็งงเป็นกำลัง ลักษณะที่บอกมา มันตรงกับหลวงพี่องค์นั้นนี่นา...!
    ถามด้วยความไม่มั่นใจว่า “แน่ใจแล้วหรือพี่...?”


    “แน่ซิน่า...เมื่อคืนหลวงพี่วัชรชัย (พระวัชรชัย อินทวํโส) เห็นท่านเดินจงกรม เท้าลอยพ้นพื้นตั้งสูง...
    แล้วตาใหญ่ (คุณอรรถวุฒิ ภาณุพินทุ) ขอถ่ายรูปท่าน เห็นรัศมีออกมาเป็นประกายรุ้งเลย...!”
    พี่สุนันท์ยืนยันขันแข็ง ขณะที่อาตมายังลังเลใจอยู่...


    เรื่องของเรื่องก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย อาตมาลากพี่น้องฝาแฝดมาทำหน้าที่แทน
    เหลียวมองหาพรรคพวก เห็นแต่ติ๋วกับแมมมีสองคนเท่านั้น
    คว้าแขนได้ก็ลากวิ่งลิ่วไปเลย อธิบายให้ทราบคร่าว ๆ ว่า พระองค์ที่ ๑๐ มาแล้ว มีคนพบท่านที่ฝั่งวัดเก่า...




    ที่หอกลองข้างศาลาการเปรียญ ซึ่งอยู่ติดกับหอฉันหลังใหม่นั่นเอง “หลวงพี่” นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่
    มีญาติโยมเข้าแถวยาวเหยียด เพื่อเข้าไปทำบุญกับท่าน อาตมาขี้เกียจเข้าคิวจึงทิ้งเพื่อนทั้งสองเอาไว้ข้างล่าง
    ตัวเองปีนต้นมะม่วง ขึ้นไปนั่งแปะอยู่ข้างองค์ท่านเลย...


    ท่านเหลือบมาดูนิดเดียว แล้วกล่าวคำพูด ที่อาตมาเข้าใจคนเดียวว่า “มาแล้วรึ...?
    ตอนนี้ไม่เล่นด้วยแล้วนะ...!” อาตมากราบท่านแล้วมองไปรอบข้าง
    เห็นท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) พี่ปี๊ด (คุณกัลยาณี ไชยะโท) และใครต่อใครมากันจนแน่นหอกลอง
    ติ๋วกับแมมมีก็แสดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นมานั่งอยู่ข้าง ๆ เมื่อไรก็ไม่รู้...!


    ตรงหน้าท่านมีถุงใบใหญ่ ญาติโยมที่ทำบุญกับท่าน ต่างเอาปัจจัยหย่อนใส่ถุงจนแทบล้น
    อาตมาหมายมั่นปั้นมือว่า ถ้าท่านไม่เอาไปถวายหลวงพ่อ แบบหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่น ๆ ทำละก็ อาตมาจะ “อัด” ท่านให้หนัก
    ท่านหันมาพูดยิ้ม ๆ ว่า “ไม่มีทางหรอก...!”


    อาตมาถึงกับสะดุ้ง ท่านรู้วาระจิตผู้อื่นจริง ๆ หรือนี่...?
    เห็นพี่ปี๊ดถือกล้องถ่ายรูปอยู่ อาตมาเลยอาสาถ่ายรูปท่านให้ รับกล้องมาแล้ว อธิษฐานขออนุญาตในใจ
    ท่านหันมาบอกว่า “ขอให้คนอื่นเขาได้ยินด้วยซิ...!” อาตมาสะดุ้งกล้องแทบหลุดมือ...!


    พอถ่ายรูปท่านเรียบร้อย อาตมาก็กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระบรมครู ขอ “ดู” ท่านอีกวาระหนึ่ง
    คราวนี้เห็นแสงสีทองเป็นกรวยสามเหลี่ยม พุ่งจากข้างบนมายังศีรษะของท่าน
    มันชักจะยังไง ๆ ซะแล้ว ก็เมื่อคืนไม่เห็นแบบนี้นี่นา...


    อาตมามองเห็นใต้สังฆาฏิของท่าน มีลูกประคำโผล่ออกมาจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า
    “ถ้าท่านคือพระองค์ที่ ๑๐ จริง ๆ และวาสนาบารมีของลูกสามารถเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้จริง ๆ ขอให้ท่านแสดงออก ด้วยการมอบลูกประคำให้แก่ลูกด้วยเถิด...”


    ท่านยิ้มพลางกล่าวเบา ๆ พอได้ยินว่า “ได้ซิ...แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ...คนเยอะ...”
    ได้ยินแล้วอาตมาหัวใจพองคับอก เป็นท่านจริง ๆ ด้วย ไม่น่าเชื่อเลย...
    ท่านมาโปรดลูกหลาน ตามที่สัญญาไว้กับหลวงพ่อจริง ๆ อาตมานั่งดูท่านรับแขกอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีตอนท่านสั่งให้กันคนออกไปก่อน แล้วยกอาหารมาประเคนด้วย ท่านจะได้ฉันซะที...!


    อาตมารีบขอร้องทุกคน ให้ถอยออกไปชั่วคราว แล้วยกอาหารมาจะประเคนท่าน
    คนอื่นเห็นอาตมาได้ถวายอาหารท่าน ต่างก็เอาอาหารที่ตนมีอยู่ใส่ถาดร่วมถวายด้วย...
    ท่านดูถาดที่พะรุงพะรังด้วยอาหารแล้ว ถามยิ้ม ๆ ว่า “นั่นเธอจะเลี้ยงลิงหรือ...?!”


    อาตมาตีหน้าไม่ถูก ท่านรับประเคนแล้ว ไล่อาตมาไปเฝ้าทางขึ้นเอาไว้ อย่าให้ใครขึ้นมารบกวนตอนนี้
    อาตมา ติ๋ว แมมมี นั่งเรียงหน้ากระดาน ขวางอยู่ตรงทางขึ้น สับสนไปหมด
    เหมือนฝันไปทั้งกำลังตื่นอยู่ (ลองกัดลิ้นตัวเองซักทีซิ...จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2013
  2. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    อดีตที่ผ่านพ้น : ตอนที่ ๓๔. พบพระองค์ที่ ๑๐ (๒)

    กำลังคิดเพลินอยู่ ก็มีหลวงตาร่างผอมบางองค์หนึ่ง เดินหลีกคนขึ้นมาข้าง ๆ อาตมา
    แล้วกราบพระองค์ที่ ๑๐ อย่างนอบน้อม อาตมามีคำถาม ๑๐๘ อยู่เต็มสมอง
    แต่หลุดปากไปแบบโง่สุดขีดว่า “หลวงตาชื่ออะไรครับ...?”


    “อาตมาคือ โหรอรุณ เทศถมทรัพย์”
    อาตมาได้ยินแทบหงายผลึ่ง สุดยอดหมอดูของเมืองไทยท่านนี้ ที่แท้เป็นพระหรือนี่ หลงเข้าใจว่าเป็นฆราวาสมานาน
    อาตมาถามท่านด้วยปริศนาว่า “องค์นี้ท่าน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แน่นะครับ...”


    “ยิ่งกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ซะอีก” หลวงตาอรุณตอบอย่างหนักแน่น
    อาตมาเหงื่อแตกพลั่ก...นรกกินหัวแน่กู...! เมื่อคืนล่วงเกินท่านไว้ขนาดหนักเลย
    พอดีท่านฉันเสร็จ เตรียมให้พร อาตมาคิดว่า ถ้าให้พรไม่ถึงนิพพานละสวยแน่ (เป็นซะอย่างนี้แหละ ไอ้ควาย...!)


    ท่านให้พรเป็นภาษาไทย ไพเราะกลมกลืน รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เชื่อหรือไม่ อาตมาเองจัดเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศคนหนึ่ง
    ฟังอะไรครั้งแรกจะจำได้เกือบครึ่ง ถ้าสามครั้งแปลว่าชาตินี้ไม่มีวันลืม แต่จำคำให้พรของท่าน ไม่ได้แม้แต่คำเดียว...!


    ท่านบอกว่า “จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ถึงเวลาจะได้เอง”
    อาตมายกถาดอาหารออกมา ไม่ทราบว่าท่านฉันอย่างไร ไม่ยุบเลยแม้แต่น้อย
    ส่งแอ๊ปเปิ้ลให้ติ๋วกับแมมมีคนละ ๑ ลูก ตัวเองเก็บลูกที่ท่านฉันแหว่งไปลงกระเป๋า...
    (คอยคลำอยู่เรื่อย กลัวรอยแหว่งจะหาย...!)


    มีผลไม้ประหลาดลูกหนึ่ง ลักษณะคล้ายผลทับทิม แต่ดูเนื้อคล้ายสาลี่ คล้ายแอ๊ปเปิ้ล ผิวเป็นสีน้ำตาลอ่อน
    ไม่ทราบว่ามือลึกลับที่ไหนถวายมา...อาตมาตัดสินใจถวายหลวงตาอรุณไป ท่านรับได้ก็หันหลังไปแน่วเลย
    เหมือนกับตั้งใจมารอรับผลไม้ลูกนี้เพียงอย่างเดียว...!


    พอไม่มีหลวงตาขวางทาง มือน้อยร้อยก็ยื่นมาทุกทิศทุกทาง คนละหมุบคนละหมับพริบตาเดียวหมดเกลี้ยง
    แม้แต่ที่ตกลงบนพื้นก็กวาดเรียบ...อาตมายืนงง ดูถาดเปล่า ๆ ในมือซึ่งเมื่อกี้ยังมีอาหารเต็มถาด ตอนนี้หายวับไปกับตา ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ซะอีก...!


    ท่านบอกให้ทุกคนเปิดทาง ท่านจะไปนั่งที่ศาลาการเปรียญ เงินในถุงท่านให้รวบรวมเอาไปถวายหลวงพ่อ
    พวกรูป-เหรียญของหลวงพ่อที่ญาติโยมถวายท่าน ท่านสั่งให้อาตมาแจกแก่ญาติโยมจนหมด
    อาตมาขอผ้าขนหนูผืนเล็กจากท่าน ไว้เป็นที่ระลึก ๑ ผืน...


    พอท่านออกเดินก็มีคนปูผ้าเป็นทางตลอดแนว เพื่อเก็บรอยเท้าท่านไว้บูชา อาตมารีบปูผ้าขนหนูผืนเล็กลง
    ก้มกราบขณะที่ท่านเหยียบผ้าพอดี จึงได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อีกวาระหนึ่ง
    ผ้าผืนนั้นกว้าง ๑ ฟุต ยาว ๒ ฟุต เท้าของท่านโตเต็มผ้าพอดี...!


    มัวแต่ตกละลึงอยู่ จนท่านเรียกให้อาตมาปูอาสนะ ๒ วาระ จึงได้สติ ปูอาสนะที่มุมศาลา...
    คลื่นมนุษย์รายล้อมเข้ามา แย่งกันถวายปัจจัยท่าน พรรคพวกของอาตมาก็มากันครบ ธรรมนูญขึ้นมาช่วยอาตมานับเงินอีกคน...


    นับเงินไปฟังท่านให้พรญาติโยมไป ตาก็ชำเลืองคอยดู ไม่เห็นจะต่างกับคนทั่วไปเลย
    เสียงท่านบอกว่า “อย่าดูเลย...ไม่ได้เห็นหรอก” อาตมาหลบตามานับเงินต่อ ท่านพูดอีกว่า “ไม่เชื่อรึ...? ลองคลำดูก็ได้นะ...”
    ไม่ว่าจะคิดอะไร ท่านเป็นรู้ล่วงหน้าไปซะหมด...!


    พี่วิไล (คุณวิไลวรรณ ภูมิธเนศ) ติดเครื่องบันทึกเสียงมาพอดี อาตมาขอยืมมาเพื่อบันทึกเสียงของท่าน
    แต่กดปุ่มเรคคอร์ดไม่ลง ต้องอธิษฐานขอเสียงท่านไว้เป็นหลักฐาน
    ทีนี้กดลง แต่เทปเดินแค่ ๑๐ นาที แล้วหยุดเอง...!


    อาตมาต้องขอท่านว่าให้ได้หมดทั้งม้วน เทปก็เดินต่อเอง เอากับท่านซิ...
    เห็นผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดิน อาตมาห่วงงานที่ ๒ ไร่ก็ห่วง ห่วงลูกประคำที่ท่านจะให้ตามคำขอก็ห่วง
    จนท่านต้องหันมาบอกเองว่า “ร้อนตัวได้ แต่อย่าร้อนใจ”...


    อาตมาอายท่านแทบแย่ มีอะไรอยู่ในใจท่านขุดออกมาซะหมด จึงเอ่ยปากบอกท่านไปตรง ๆ ว่า “ขอลูกประคำของหลวงปู่เถิดครับ
    ผมจะได้นำญาติโยม กราบขอขมาหลวงปู่ซะทีเดียว”
    ท่านบอกให้ขอขมาก่อน อาตมาจึงนำญาติโยมกราบพระ และกล่าวคำขอขมาดังนี้

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ภันเต ภะคะวา ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า กรรมอันใดที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ล่วงเกินไปแล้ว
    ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ดี จะโดยต่อหน้าหรือลับหลัง รู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็น ทราบหรือไม่ทราบ เจตนาหรือไม่เจตนา จะโดยต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี...

    ลูกทั้งหลายขอกราบขอขมากรรมนั้น ต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
    โปรดเมตตาอดโทษนั้นแก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบท้าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า...

    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ
    สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ

    พอกราบพระเรียบร้อย ท่านก็กล่าวตอบว่า “ขอบใจ...ขอบใจ เทวดาลิงน้อย ๆ ทั้งหลาย ที่มีแก่ใจขอขมาต่อเรา...”
    ท่านยินดีอโหสิกรรมทุกประการ ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานของตนเถิด...


    ตลอดเวลาที่ปฏิสันถารกับญาติโยม เสียงของท่านแจ่มใสกังวาน ลีลานุ่มนวลชวนมอง แต่แฝงด้วยธรรมะอันลึกซึ้ง...
    ใครกราบขอพรท่านก็ให้ ใครจะ “ดูใจ” ท่านก็ปราม ทุกคนต่างอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าว ที่ท่านรู้วาระจิตไปเสียทุกอย่าง...


    “พรใดในหล้าว่าประเสริฐ จงบังเกิดแก่เธอทั้งหลาย”...
    “รักษาศีลให้ประเสริฐ ทำสมาธิให้เลิศ ทำปัญญาให้บริสุทธิ์”...
    “คำว่าบารมีแปลว่ากำลังใจ จะมาขอบารมีฉันทำไม? ทำให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวเองซิ ถ้าบารมีขอกันได้ ฉันก็กลายเป็นบารจนเท่านั้นเอง...”

    “นิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน เป็นภาษาใจ ถ้าอยากไปนิพพานให้เร่งปฏิบัติ เร่งขวนขวาย เร่งหาธรรม ใครทำใครได้ไม่มีใครทำแทนกันได้”...
    “พวกที่คิดว่าตัวเอง “แว่นตา” ดีน่ะ อย่าพยายามดูเลย เดี๋ยว “แว่นแตก” แบบเมื่อคืนนี้อีก...”

    “เธอกับฉันมีธรรมเสมอกัน คือมีความตายเหมือนกัน มันต่างกันตรงไหนล่ะ...?”
    ที่ได้ยินทุก ๓-๕ นาทีคือท่านบอกว่า ปัจจัยทั้งหมดที่ถวายมา ท่านจะมอบให้หลวงพ่อไปทำอะไรบ้าง
    ขอให้ทุกคนโมทนา ท่านเน้นเรื่อง ปัตตานุโมทนามัย มาก...


    ผู้ที่ขอถ่ายรูป ท่านถามว่า “ถ่ายไปทำไม...? ถ่ายไปแล้วเธอไม่ตายรึ...?” เลยไม่มีผู้ใดกล้าขออีก
    จนกระทั่งถึงน้องเพิร์ล (สรัญญา แสงหิรัญ) อาตมาจึงตอบแทนว่า “ขอไว้เพื่อเป็นอนุสติครับ...”
    นั่นแหละ...ท่านจึงยอมให้ถ่ายได้...



    จนเวลาใกล้เที่ยงเต็มที ท่านจึงมอบหมายให้อาตมากับธรรมนูญนำปัจจัยและสิ่งของทั้งหมดไปถวายหลวงพ่อ
    ขึ้นไปบนศาลา ๒ ไร่ งานเขาเลิกกันแล้ว แต่หลวงพ่อยังนั่งรออยู่ พอเห็นหน้าท่านก็ถามว่า “ไอ้หนูเอ๊ย...เอามาจากไหนหว่า...?”


    “หลวงปู่ที่ฝั่งวัดเก่าริมน้ำ ให้นำมาถวายหลวงพ่อครับ...” “เออ..ใช่... ใช่...องค์นั้นแหละ...”
    หลวงพ่อตอบเหมือนรับรอง ว่าเป็นท่านแน่นอน อาตมากราบลาออกมาหาอาหารรองท้อง มันหิวจนไส้กิ่ว
    พรรคพวกก็แยกย้ายกันไป ตอนนี้เล่นบทตัวใครตัวมัน...


    ว่าจะพักผ่อนแต่ใจหนึ่งก็ห่วง เลยกลับไปฝั่งวัดเก่าอีก พบพระองค์ที่ ๑๐ ท่านย้ายไปนั่งที่โคนโพธิ์ มีญาติโยมล้อมแน่นเช่นเดิม
    อาตมาสังเกตท่าทีอยู่ห่าง ๆ ดูท่านแปลกไปมาก บางทีก็ดูเป็นองค์ท่าน บางทีก็ไม่ใช่ท่าน ไม่ทราบว่าอุปาทานไปหรือเปล่า...?!


    จนประมาณบ่ายสามโมง ท่านไล่ทุกคนให้หลีกไป แล้วไปนั่งพักที่ริมศาลาการเปรียญด้านติดกับแม่น้ำ
    อาตมาตามไปทวงประคำ ท่านล้วงพวงลูกประคำออกมา พลางกล่าวว่า
    “นี่เป็นของโบราณ ฉันทำด้วยมือของฉันเอง ฉันจะให้เม็ดที่ ๑๐๙ แก่เธอ...”


    ท่านดึงลูกประคำเม็ดที่ ๑๐๙ ออกจากสาย แต่ดึงไม่ออก นายตี๋แว่น (ปัจจุบันนี้ท่านคือ พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร)
    ใช้กรรไกรตัดฉับเข้าให้ ลูกประคำทั้งสายเลยขาดกระจาย หล่นลงเกลื่อนพื้น
    ผู้คนกรูกันเข้ามาเก็บ ธรรมนูญร้องห้าม แต่ท่านบอกว่า...


    “ช่างเขาเถอะ...ใครมีบุญเขาก็ได้ไปเอง...”
    ไม่น่าเชื่อที่ลูกประคำมากมายปานนั้น มีน้องเป้ (รังสิมา แสงหิรัญ) เก็บได้ ๒ เม็ด
    หลวงพี่ชัยวัฒน์ (พระชัยวัฒน์ อชิโต) เก็บได้ ๑ เม็ด นอกนั้นอัตรธานไปไหนหมดก็ไม่รู้...!


    พอส่งเม็ดประคำให้อาตมาแล้ว ท่านก็ออกเดินตรงไปยังโบสถ์ใหม่ อิริยาบถการเดินดูแผ่วพริ้วนุ่มนวล
    เหมือนกับท่านลอยไปอย่างนั้นแหละ ผู้คนปูผ้าให้ท่านเหยียบเป็นทาง บางคนหาผ้าไม่ทัน ถึงกับถอดเสื้อลงปูให้ท่านก็มี...!


    ท่านไว้พระประธานที่หน้าโบสถ์ แล้วหันหน้าไปทั้งสี่ทิศ ยืนสงบนิ่งอยู่ทิศละอึดใจหนึ่ง
    ก่อนจะหันมาถามอาตมาว่า “เธอรู้ไหม ฉันทำอย่างนี้เพื่ออะไร...?”
    “ขอความกรุณาอธิบายเพื่อความกระจ่างด้วยครับ...” ท่านตอบว่า...


    “ฉันทำอย่างนี้เพราะปรารถนาให้สัตว์โลกในทิศทั้งสี่ มีความสุขเสมอหน้ากัน”
    อาตมาถามว่า “ทิศสุดท้ายหมายถึงองค์หลวงปู่ใช่ไหมครับ...?” ทิศเหนือคือทิศอุดร
    อาตมาหมายความว่า ท่านคือ หลวงปู่ใหญ่โลกอุดร ท่านตอบว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว...”


    อาจารย์ประเสริฐ เกษตรเอี่ยม ขออนุญาตไปส่งท่าน ท่านถามว่า “เธอแน่ใจแล้วหรือว่า จะไปส่งฉันได้ตลอด...?”
    “ผมส่งหลวงปู่ยันนิพพานเลยครับ...!” ตอบได้เด็ดขาดมาก
    น่าเสียดาย ที่ไปแค่กลางทาง ท่านก็เล่นกล หายไปต่อหน้าต่อตาซะอย่างนั้นแหละ...!


    หลวงพ่อเมตตาให้ความกระจ่างว่า “ฉันยืนยันองค์เดียวนะ องค์ที่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ คือพระองค์ที่ ๑๐ องค์อื่นฉันไม่รับรอง”
    อาตมาเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ตอนนี้เอง แต่ท่านไปถึงฟากฟ้าป่าหิมพานต์ไหนแล้วก็ไม่รู้ ...?
    อีกนานไหมหนอ...กว่าจะได้พบท่านอีก...!?


    ภายหลังหลวงพ่อได้สร้างศาลาประดิษฐานรูปปั้นของท่าน ไว้ที่โคนโพธิ์ริมน้ำเพื่อให้ญาติโยมได้กราบไหว้บูชา
    เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้าง มณฑปแก้ว เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของท่าน และพระองค์ที่ ๑๑ อีกหลังหนึ่ง
    งานหล่อรูปของท่าน ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน บริจาคทองคำช่วยหล่อรูปของท่านได้ถึง ๒๒ กิโลกรัม...!


    ผ้าพิมพ์รอยเท้าของท่าน อาตมามอบให้น้องแสงชัย (แสงชัย เพชรชื่นสกุล) ไปบูชา เมื่อคราวเดินทางไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย
    ส่วนลูกประคำนั้น อาตมามอบให้กับ ติ๋ว (ปัจจุบันคือ น.ต.หญิง อิศรา กิติธีระกุล) เป็นของขวัญแก่ลูกในท้องของเธอ...


    หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่สุวิทย์ (คุณสุวิทย์ สวรรค์กสิกร) ไปพบพระองค์หนึ่ง ที่รูปร่างหน้าตา คล้ายพระองค์ที่ ๑๐ มาก
    พระองค์นั้นท่านก็รับสมอ้างด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ใช่ แต่อาตมาชอบพิสูจน์ทราบ จึงเดินทางไปดูด้วยตาตนเอง...


    เห็นปุ๊บก็รู้ว่าไม่ใช่ เพราะลีลาไปกันคนละโลกเลย แต่การพิสูจน์ครั้งนั้นเป็นเหตุให้อาตมาถูกเข้าใจผิด
    หาว่าสมรู้ร่วมคิดกับพระองค์นั้นหลอกเอาทรัพย์สินเงินทองจากลูกศิษย์หลวงพ่อ
    ทั้งที่พวกเขาไปทำบุญกันเอง อาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่นิดเดียว...!


    สู้ทนให้เขาเข้าใจผิดไป เพราะจำลีลาหลวงพ่อได้ “ใครว่าร้ายท่านไม่เคยโต้ตอบ ไม่แก้ข่าว ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์”
    ในที่สุด บรรดาผู้ที่ด่วนลงความเห็น ต่างพากันยิ้มแหย ๆ เวลาเห็นหน้าอาตมา แต่ยังไว้ท่า จะขอโทษสักคำก็ไม่มี นี่แหละมนุษย์...!




    ลูกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดช่วยสงเคราะห์ให้ทุกท่านที่ได้พบกับพระองค์ที่ ๑๐ ก็ดี
    หรือ อ่านพบและเลื่อมใสในองค์ท่านก็ดี จงเป็นผู้มีจิตอันเข้าถึงธรรมโดยถ้วนหน้ากัน
    ธรรมอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรรลุแล้ว ขอทุกท่านจงเป็นผู้มีส่วนเห็นธรรมนั้นในชาติปัจจุบันนี้เทอญ...


    องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
    ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว
    หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
    ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร
    องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
    โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
    ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานติ์
    ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย....ฯ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทฺโธ เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ ธมฺโม เม สรณํ วรํ
    นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ
    เอเตน สจฺจ วชฺเชน โหตุ เม ชยมงฺคลํ...ฯ


    ๖ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ



    บันทึกเพิ่มเติม ภายหลังพระรูปที่รับสมอ้างว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ ไปสร้างวัดอ้อน้อยธรรมอิสระ ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
    แล้วหลวงพี่ชัยวัฒน์ยังไปรับรองกับบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ “องค์นั้นแหละ พระองค์ที่ ๑๐...”


    เมื่อเป็นดังนั้นจึงมีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อจำนวนมากแห่กันไปหา ท่านเองก็พลอยรับสมอ้างกันใหญ่โต
    จนท้ายสุด ท่านสะดุดคำพูดตัวเอง เลยต้องลาสิกขาบท แล้วบวชใหม่เพื่อให้พ้นจากข้อหาโกงพรรษา
    ปัจจุบันนี้ท่านมีชื่อเสียงมากทีเดียว แต่ผู้ที่ไปหาต้องทำใจกับจริยาบางอย่างที่เป็นเฉพาะตัวของท่าน ถ้าคิดจะหาประสบการณ์ก็ทดลองไปดูได้

    ที่มา : ʹյ�����ҹ��� �͹��� ��-��
     
  3. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ภาพที่เห็นต้นไม้สองข้างทางจะเข้าวัด เป็นไปตามนิมิตที่เห็นทุกประการค่ะ ได้ไปสำรวจพื้นที่ล่วงหน้าก่อนเดินทาง รอลุ้นว่าจะเป็นจริงตามที่เห็นหรือไม่

    เมื่อไปถึง หลังจากถวายเทียนพรรษาแล้ว ท่านพระมหา(รักษาการเจ้าอาวาสวัด) ท่านทักว่า..

    "โยมเคยมาวัดนี้ใช่มั๊ย"

    ท่าน widya บอกว่า.. "เปล่า..คณะนี้เพิ่งมาครั้งนี้เป็นครั้งแรก "

    ท่านฟังเช่นนั้น นั่งหลับตาสักพัก ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ จากนั้นพวกเราได้นำเครื่องบวงสรวงสักการะบูชาตั้งเพื่อเป็นการขอขมา และบูชาครู



    เมื่อได้เดินสำรวจบริเวณนี้ ในอดีตเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรของเหล่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ พระองค์ โดยมีพระเกษรีฤาษีเป็นผู้อุปัฏฐาก ก่อนบังเกิดยุคพุทธกาลของสมเด็จพระสมณโคดมพุทธเจ้า นานนับหลายแสนปี

    นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายพระองค์เคยเสด็จมาบำเพ็ญสมณธรรมที่นี่ เป็นเหตุให้ช่วงที่สร้างเจดีย์มีพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุเสด็จจำนวนมาก เมื่อทราบแล้วก็รู้สึกปิติใจเป็นอย่างยิ่ง


    สถานที่นี้มีความเกี่ยวเนื่องกับประวัติจักรแก้วทั้ง ๖ (ชุดวาสิทธิจักรฯ) และดวงแก้วจุลจักรพรรดิทั้ง ๑๐ ดวง ที่ได้เคยนำมาประมูลก่อนหน้านี้ค่ะ ซึ่งจะได้นำเสนอในตอนต่อไปค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
  4. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรทั้ง ๔ (สรรพญาณบรมบพิตร-สิริวรินทรา-วาสิทธิจักร-ศุภลักษณ์มณีกานต์) ตอน ๑ ..

    ย้อนไปหลังสมัยของพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าปรินิพพานนานแล้ว มีเมืองหนึ่งมีชื่อว่า ทัสสธัมมปุระนคร หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ธัมมปุระ เป็นนครเล็ก ๆ ที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขาหลายลูก การเดินทางในสมัยนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบาก

    พระเจ้าสุธรรมราชา เป็นผู้ครองนคร มีพระมเหสีพระนามว่า พระนางสุนันทาเทวี มีพระธิดา ๓ พระองค์ มีนามว่า “สุชาดา สุมิตรา และสุวัจนา” พระธิดาทั้งสามมีความงามมาก แต่มีนิสัยแตกต่างกัน

    เจ้าหญิงสุชาดา มีนิสัยตรงไปตรงมา ห้าวหาญคล้ายบุรุษ ชอบฝึกอาวุธตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ส่วนเจ้าหญิงสุมิตรานั้น มีความสุภาพอ่อนโยน นิสัยร่าเริง มีน้ำใจ

    ส่วนเจ้าหญิงสุวัจนานั้น เป็นผู้ที่มีความงามที่สุด มีนิสัยซุกซน ร่าเริงแจ่มใส เจ้าหญิงทั้ง ๓ มีนิสัยคล้ายกันอยู่อย่างคือ การชอบให้ทานแก่ผู้ยากไร้

    พระเจ้าสุธรรมราชา ทรงปกครองด้วยความสุขสงบเรื่อยมา จนกระทั่งมีพระสหายต่างเมืองมาเยี่ยมเยียน

    พระสหายนี้มีพระนามว่า พระเจ้าทิสวงศา จากเมืองสาเกตนคร พระองค์มีพระโอรส ๒ พระองค์ มีพระนามว่า เจ้าชายสุทธิวงศ์ และเจ้าชายสุทธาวาส
    พระเจ้าทิสวงศา จึงได้ทาบทามเจ้าหญิงสุชาดา เพื่ออภิเษกสมรสกับเจ้าชายสุทธิวงศ์ จึงได้นำสร้อยมรกตล้อมเพชรของพระองค์ และเครื่องบรรณาการส่วนหนึ่งฝากไว้ให้กับเจ้าหญิงสุชาดา เพื่อเป็นการหมั้นหมาย พระเจ้าสุธรรมราชาได้รับการหมั้นหมายไว้

    ส่วนเจ้าหญิงสุชาดานั้นมิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เนื่องจากทรงมีความกตัญญูไม่อยากให้พระบิดาลำบากพระทัย

    หลังจากนั้นอีก ๗ เดือนต่อมา ก็ได้มีพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าหญิงสุชาดา และเจ้าชายสุทธิวงศ์ สร้างความปิติใจแก่ชาวเมืองทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง กาลต่อมาเจ้าหญิงสุชาดาได้ย้ายไปอยู่เมืองสาเกต เพื่อครองคู่กับเจ้าชายสุทธิวงศ์อย่างถาวร


    ____________________________________

    ยังมีต่อ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2013
  5. ขาล

    ขาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +4,466
    รูปถวายดวงแก้ว พานธูปเทียนขอขมา พวงมาลัย น้ำดื่ม ผลไม้ ปัจจัยใส่ซอง ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2556 ณ วัดถ้ำขุนกระทิง จังหวัดชุมพร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  6. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,344
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,298
    นิทานธรรม บุญไม่ช่วย

    บุญไม่ช่วย


    คุณเคยคิดหรือไม่ว่า เมื่อคุณมีความทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ อกหัก รักคุด ถูกโกง ลัมเหลวทางธุรกิจ ถูกไล่ออก ตกงาน ฯลฯ ทำไมเรื่องนี้เกิดขึ้นกับเราทั้งๆที่ชาตินี้ เราก็ไม่เคยทำความชั่วใดๆ บุญที่เราเคยทำเหมือนไม่ส่งผลดีให้เราบ้างเลย หากท่านคิดเช่นนั้น เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้อาจทำให้ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างก็ได้

    ในประเทศจีนสมัยโบราณ มีชายคนหนึ่งมีจิตใจดีงาม ชอบทำบุญทำกุศล เป็นชีวิตจิตใจ เมื่อสมัยหนุ่มๆเคยร่ำรวยถึงขั้นเป็นเศรษฐี แต่ด้วยความศรัทธาในการทำบุญ ทำทาน ถ้าทราบว่า มีงานบุญ งานกุศลใดที่เป็นงานที่ดีมีประโยชน์แก่ชุมชนและพระศาสนา เมื่อเขาได้รู้เข้าด้วยใจที่เมตตาต่อทุกสรรพชีวิตเสมอกัน ก็มักจะมีจิตศรัทธาเลื่อมใส จึงมักเข้าร่วมเป็นเจ้าภาพในงานบุญนั้นๆเสมอ ทำโดยไม่หวังแก่หน้าแก่ตาของตนเองหรือประโยชน์อื่นใดแอบแฝง แถมทำบุญทีละมากๆ ทำอย่างเต็มที่ ทำเป็นประจำและสม่ำเสมอ

    ไม่ช้า เงินทองทรัพย์สินที่หาไว้มากมาย ก็มีอันร่อยหลอลงไป มิหนำซ้ำสุดท้ายก็ยังนำทรัพย์สินออกขายเพื่อไปทำบุญอีก ไม่ช้าไม่นานเขาก็ยากจนลงจนไม่มีบ้านอยู่ แถมยังมีหนี้สินติดตัวมากมาย สุดท้ายจึงจำเป็นต้องนำภรรยาสุดที่รักไปใช้หนี้ โดยขายให้เป็นคนรับใช้ของเศรษฐีท่านหนึ่ง ก่อนจากกันด้วยความรักที่ภรรยามีต่อสามี นางจึงได้บอกแก่สามีว่า

    “ อย่าเสียใจไปเลย ท่านพี่ น้องเต็มใจและยินดีที่จะช่วยเหลือความเดือดร้อนของท่านพี่ ไม่ว่าอย่างไร ท่านพี่ ก็ดีต่อน้องเสมอมา น้องไม่เคยนึกเสียใจเลย การจากกันครั้งนี้เป็นเพราะความจำเป็นจริงๆ น้องเข้าใจ

    แต่น้องอยากจะเตือนพี่ว่า เงินที่เหลือจากการใช้หนี้สินครั้งนี้ น้องอยากให้พี่เก็บไว้ใช้ซื้ออาหารและสิ่งจำเป็น อย่านำไปทำบุญอีก เพราะว่าเป็นเงินก้อนสุดท้าย ซึ่งมีจำนวนเงินเหลืออยู่ไม่มาก ถ้าเงินหมดก็จะทำให้พี่ลำบากถึงที่สุด เพราะทรัพย์สินของท่านพี่ไม่มีเหลือแล้ว ญาตพี่น้องที่จะช่วยเหลือก็ไม่เห็นมี เชื่อน้องนะท่านพี่ น้องเตือนด้วยความหวังดีจริงๆ”


    นางกล่าวทั้งน้ำตา ก้มหน้าแล้วเดินตามคนของเศรษฐีไป

    ชายคนนั้นยืนร้องไห้ ดูภรรยาเดินจากไปเป็นคนรับใช้ของเศรษฐีด้วยความเศร้าใจ

    แต่แล้วไม่นานชายคนนั้นก็นำเงินที่มีอยู่ไม่มากไปทำบุญอีก ตอนนี้จึงกลายสภาพเป็นขอทานหากินเร่ร่อนไปตามตลาด แหล่งชุมชน บ้านเรือน เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็นทั่วไป และผู้รู้ถึงที่มาที่ไปของชายคนนั้น ต่างก็ร่ำลือกันไปว่าทำดีแล้วไม่เห็นจะมีความดีมาสนอง ซ้ำต้องกลับกลายเป็นยาจกเข็ญใจเสื้อผ้าขาดเก่ามอซอ ต้องอดมื้อกินมื้อเยี่ยงนี้ ต่อแต่นี้ไปคงไม่มีคนคิดทำความดีกันอีกแล้ว

    เรื่องนี้ร้อนไปถึงสวรรค์เบื้องบน บรรดาเทวดาที่ได้ยินคำร่ำลือ และ ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชายคนนั้นก็มาร่วมประชุมกันหาทางที่จะช่วย เหลือ

    “ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว ชายคนนี้ในอดีตชาติได้ทำกรรมหนักมากเอาไว้ สุดที่จะแก้ไขได้ในชาตินี้และจะต้องทนทุกข์เวทนาแบบนี้ต่อไปทั้งหมดสามชาติ คือ ชาตินี้จะต้องอดตาย ชาติต่อมาจะถูกฟ้าผ่าตาย ชาติสุดท้ายก็จะถูกเสือกัดตาย น่าเวทนาจริงๆ”

    เหล่าเทวดาจึงลงมติกันว่า จะช่วยให้ชายผู้นี้ใช้กรรมให้หมดกันในชาตินี้เพียงชาติเดียว

    เนื่องจากช่วงนั้นเกิดความแห้งแล้ง มิหนำซ้ำยังมีฝูงแมลงลงกัดกินพืชไร่ให้ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จึงเกิดภาวะขาดแคลนอาหารอำเภอและหมู่บ้านใกล้เคียง ชาวบ้านต่างกระเสือกกระสนเอาตัวรอดไปวันๆ ชายผู้นั้นจึงไม่สามารถขออาหารมากินได้อยู่หลายวัน ร่างกายซูบผอม จนแทบไร้เรี่ยวต้องนอนหมดแรงในที่พัก เขาตัดสินยังไงวันนี้ก็ต้องหาอาหารให้ได้ จึงรวมแรงทั้งหมดตัดสินใจเดินโซซัดโซเซ ออกจากที่พักเพื่อเดินไปสู่หมู่บ้านเพื่อขออาหารกินประทังชีวิต ทันใดก็เกิดพายุเมฆฝนหอบเอาทั้งฟ้าทั้งฝนมาแบบไม่ตั้งตัว แล้วก็เกิดฟ้าร้องดังสนั่น พร้อมทั้งเกิดฟ้าผ่ามาถูกชายคนนั้นพอดี ร่างกายที่เสื้อผ้าขาดวิ่น ดำไหม้จากแรงฟ้าผ่า เขานอนสลบแน่นิ่งไปไม่ไหวติง เผอิญมีเสือตัวใหญ่ออกมาจากป่าข้างทางได้กลิ่นเนื้ออันหอมหวานและเห็นเหยื่อ นอนนิ่งไร้ทางสู้ คิดแล้วจึงเห็นเป็นโอกาศดี จึงได้ตรงเข้าตะครุบและกัดลำคอจนชายผู้นั้นหมดลมหายใจ มันกัดกินร่างไร้ชีวิตอย่างเพลิดเพลิน จนร่างกระจุยกระจายดุจเป็นซากสัตว์เป็นภาพที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็นยิ่งนัก

    ภรรยาของชายคนนั้นเมื่อได้มาอยู่บ้านเศรษฐีก็ทำหน้าที่แม่บ้าน มิได้มีลำบากอย่างที่คิดเอาไว้ แถมยังสุขสบายกว่าตอนที่ต้องเป็นหนี้สินอยู่กับชายคนนั้นเสียอีก แต่เมื่อครั้นได้ข่าวว่าสามีของตนเสียชีวิตแล้ว ก็มีความสงสาร จึงขออนุญาตเศรษฐีเพื่อเดินทางมาจัดงานศพให้สามีเป็นครั้งสุดท้าย

    ในงานศพวันสุดท้าย ด้วยความเสียใจและสงสารสามี ก่อนจะนำศพลงฝังในหลุม นางได้เอ่ยขึ้นว่า

    “เวรกรรมอะไรกันหนอทำให้ท่านต้องเผชิญเคราะห์กรรมถึงเพียงนี้ บุญที่ท่านทำไว้ ไม่ได้ช่วยท่านเลย ๆ” พูดพลางน้ำตานางก็ไหลเป็นทาง สะอึกสะอื้นด้วยความเวทนาอย่างสุดจะหักห้ามใจได้

    นางตัดสินใจกัดนิ้วตัวเอง แล้วใช้เลือดที่ไหลออกมาเขียนที่หน้าผากสามีไว้ว่า “บุญ ไม่ ช่วย” แล้วจึงทำการฝังศพ และ นางได้อยู่จนจัดงานพิธีเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วจึงกลับไปหาท่านเศรษฐีดังเดิม

    ต่อมาไม่นาน ฮ่องเต้ของแผ่นดินจีนท่านทรงดีพระทัยมาก ที่พระมเหสีได้ให้กำเนิดพระราชโอรสองค์แรก อันเป็นความหวังว่าจะได้สืบทอดราชบรรลังค์ของกษัตริย์สืบต่อไป แต่ไม่นานก็ทรงกังวลพระทัยเพราะทารกน้อยที่เกิดมา ทรงร้องไห้ตลอดเวลา ปลอบอย่างไรก็ไม่ยอมหยุด มิหนำซ้ำบนหน้าผากก็มีอักษรเขียนไว้ด้วยว่า “บุญ ไม่ ช่วย” ไว้ด้วย

    ฮ่องเต้ได้ทรงปรึกษาโหรหลวง ๆ ก็ได้แนะนำให้ป่าวประกาศว่าผู้สามารถทำให้พระราชโอรสหยุดร้องไห้ได้ จะมอบรางวัลให้แล้วแต่จะขอ และ ยังได้บรรยายไว้ว่าบนหน้าผากทารกมีลักษณะพิเศษคือมีคำสามคำ คือ บุญ ไม่ ช่วย อยู่ด้วย

    ไม่นาน ข่าวก็มาถึงภรรยาของชายคนนั้น นางจึงได้เข้าเฝ้าและขอดูทารกเพื่อให้แน่ใจ เมื่อนางได้ดูตัวอักษรที่อยู่บนหน้าผากเป็นลายมือของตน จึงแน่ใจว่าชายผู้เป็นสามีได้มาเกิดเป็นพระราชโอรสของกษัตริย์แล้ว จากการทำความดีชนิดหาคนเทียบไม่ได้เลย นางจึงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

    “หยุดร้องไห้เสียทีเถอะ ข้ารู้แล้วๆ บัดนี้บุญที่ท่านพี่ทำไว้ได้ส่งผลดีให้กับท่านแล้ว เงียบเสียทีเถิด”

    ว่าพลางนางใช้มือลูบไปที่หน้าผาก พลันตัวอักษรก็หายไปในทันที ทารกก็หยุดร้องไห้ทันที เป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้ที่ยืนดูอยู่ยิ่งนัก

    ฮ่องเต้มีสีหน้าพอพระทัยยิ่งนัก จึงเอ่ยถามว่า

    “เจ้าทำได้ดีมาก ท่านต้องการอะไร ข้าจะประทานให้ทุกอย่าง”

    “ข้าไม่ต้องการเงินทองทรัพย์สินสิ่งใด เพียงขอให้ได้ดูแลปรนนิบัติ เจ้าชายน้อย ข้าก็พอใจมากแล้ว” นางตอบ

    “ถ้าอย่างนั้นข้าขอแต่งตั้งเจ้าดำรงตำแหน่งเป็นพี่เลี้ยงของพระโอรสของข้า เจ้ามีอิสระสามารถจะเข้าออกส่วนต่างๆในวังได้ตลอดโดยไม่มีข้อห้ามแต่ประการใด”

    ตั้งแต่นั้นมาภรรยาของชายคนนั้นก็อยู่อย่างมีความสุข จากการเป็นอยู่ที่สุขสบายและได้ดูแลพระโอรสจนเติบใหญ่ขึ้นมา

    เมื่อ กรรมชั่วที่ทำไว้ได้หมดสิ้นไปแล้ว ทุกคนล้วนต่างได้รับความสุขจากผลกรรมดีทีสร้างไว้ อันเป็นกรรมที่รอแต่เพียงเวลาที่จะให้ผลเท่านั้นเอง

    การทำกรรมชั่วซ้ำเติมตัวเอง ในขณะที่มีความทุกข์โดยคิดว่า "บุญไม่ช่วย" นั้นเป็นการทำร้ายตัวเองอย่างร้ายกาจ เพราะเรากำลังทำกรรมใหม่ที่จะให้ผลเสริมกรรมเก่า เหมือนสาดน้ำมันเข้าไปในกอง ไฟที่กำลังไหม้อยู่อย่างนั้น แทนที่ไฟกำลังใกล้มอดลงเพราะหมดเชื้อแห่งกรรมเก่า กลับลุกโชนขึ้นใหม่เพราะกรรมชั่วในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการทำความดีควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัญญาและความเหมาะสมด้วย จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเองและผู้อื่น


    ไม่ว่าตอนนี้ท่านจะได้ รับเคราะห์กรรมหนักหนาสักเพียงใด ขอให้ใช้ความอดทน ใช้สติปัญญาแก้ไขไปตามความเหมาะสม ความทุกข์เป็นบทเรียนที่ดีที่สุดเท่าที่เราจะหาได้ ถ้าเรารู้จักที่จะเรียนรู้จากมัน จงมีความหวังไว้เสมอ มีศีลห้าเป็นอย่างน้อย เร่งทำในสิ่งที่ถูกที่ควร และอย่าท้อแท้ในการทำความดีนะครับ ผลกรรมดีอาจรอท่านอีกไม่นานก็ได้ หลังฝนซาฟ้าย่อมสดใสเสมอครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2013
  7. Phuya

    Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
    อนุโมทนาบุญกับน้องตาลนะจ๊ะที่สรุปพุทธวจน มาให้เข้าใจง่ายๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับเรื่องราวของของคุณธรรมวิวัฒน์​

    " จะทำบาปทำกรรมอะไรมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จงหยุดอยู่เพียงแค่นี้ และจงเร่งสร้างบุญ บารมี เพื่อหนีให้พ้นบาปนั้น
    อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้รับผลบุญในชาตินี้ก็ตาม "

     
  8. Phuya

    Phuya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    608
    ค่าพลัง:
    +10,966
    ขอเชิญ...ร่วมอนุโมทนาบุญ " บุญโคมไฟช่อใหญ่ "
    ณ. ภายในโบถส์วัดโพธิญาณรังสี จ. สุรินทร์




    [​IMG]



    วันนี้ได้ร่วมบุญเป็นเจ้าภาพ โคมไฟช่อใหญ่ บนเพดานที่อยู่เหนือ พระเกศของพระพุทธรูป ขอเป็นเจ้าภาพกับหลวงพ่อ เมื่อครั้งที่ไปทอดผ้าป่ากองน้อยๆ ของพวกเราค่ะ

    เมื่อไปถึงที่วัด วันแรกหลวงพ่อก็พาเข้าไปชมความงามของโบถส์ ซึ่งสวยงามมากๆค่ะ พี่น้ำใสถามหลวงพ่อว่า " โคมไฟแต่ละช่อในโบถส์มีเจ้าภาพหรือยังเจ้าคะ " หลวงพ่อตอบว่า เรายังไม่ได้บอกบุญกับใครเลย โคมแรกที่มองก็คือช่อใหญ่นี่แหละ พี่น้ำใสก็มองเหมือนกัน แต่เราต้องรีบชิงเอ่ยปากตัดหน้าก่อน ก็เลยเสร็จเรา อิอิ (ขอบคุณนะคะ คุณพี่ที่เสียสละให้ น้อง ตาดำๆ )

    วันนี้ฤกษ์งาม ยามสะดวก ได้โอนเงินเป็นเจ้าภาพเป็นที่เรียบร้อยในนาม บริษัท โปรดักส์ ไอเดีย...จึงขอเชิญทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญ พร้อมกับรับอานิสงค์ที่หลั่งไหลเข้ามาแบบเต็มๆ สาธุ สาธุ สาธุ




    [​IMG]

    ภาพโคมไฟชุดที่พี่น้ำใสได้โอนเงิน ร่วมบุญไปเมื่อวันที่ 24/6/2013​



    ขออนุโมทนาบุญ ทั้งหมดทั้งมวล กับทุกๆท่านด้วยค่ะ
     
  9. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,344
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,298
    pig_balletpig_ballet
    [​IMG]

    อิอิ....ถ้าจะจริง ขอบคุณมากๆสำหรับคนทำป้ายครับผม

    สรุปว่า เราหนีความทุกข์ในโลก ไปพระนิพพานชาตินี้กันเถอะครับ ทุกคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2013
  10. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,344
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,298
    (ฝากประชาสัมพันธ์ด้วยครับ) ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธเจ้าจักรพรรดิ์ หินจุยเจีย
    ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว ประดับทรงเครื่องทองคำแท้ เพื่อนำไปประดิษฐาน
    ณ พระมหาธาตุเจดีย์สมเด็จ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ถวายเป็นพุทธบูชา

    สาธุชนท่านใดที่มีจิตศรัทธา สามารถร่วมทำบุญได้ที่

    บัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขามหาวิทยาลัยรังสิต

    ชื่อบัญชี นายณัฐภัทร บุญยารุณ เลขที่บัญชี 020-0166-072

    สามารถร่วมทำบุญได้ถึง วันที่ 9 กันยายน 2556


    ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม คุณปรีชา โทร 085-949-9099


    (เมื่อโอนปัจจัยแล้วสามารถแจ้งมาได้ในโพสนี้ได้เลยครับ)
    (ขอกราบขอบพระคุณน้อง Roseapple Apple ที่เมตตาบอกบุญมาในวาระนี้ด้วยครับ)

    ขอเชิญเพื่อนๆมาร่วมอนุโมทนาบุญนี้ด้วยกัน ประดุจทำด้วยตนเองเถิด สาธุๆๆ นิพพานะ ปัจจโย โหตุ

    ที่มา
    https://www.facebook.com/roseapple.a...ocation=stream
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    สาธุ ขอโมทนาบุญกับคุณพี่ภูญ่าค่ะ สำหรับบุญโคมไฟช่อใหญ่ภายในอุโบสถวัดโพธิญาณรังสี
    ทิพจักขุญาณแจ่มใสแล้ว น้องขอเกาะด้วยคนนะคะพี่หญิง อิอิ...ตอนนี้เป็นชาวเกาะเต็มรูปแบบ
    และขอโมทนาบุญกับคุณชายธรรมวิวัฒน์ที่นำบุญมาแจ้งชาวเมืองอย่างสม่ำเสมอค่ะ



    ระหว่างที่รออ่านประวัติจักรท่านวาฯ สุดเฮี๊ยบของพี่หม่อนและประวัติจักรองค์อื่น ๆ
    วันนี้ไปอ่านเจอธรรมะของหลวงปู่ไดโนเสาร์มาค่ะ (เป็นกระทู้แนะนำหน้าแรกเลย)
    อ่านแล้วน่าสนใจมากค่ะ ขอนำมาลงไว้พอชุ่มปากชุ่มคอ ถ้าอยากอ่านเพิ่มก็ไปอ่านได้ตามกระทู้แนะนำค่ะ
     
  12. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376


    [​IMG]

    พระญาณวิสาลเถร (หา สุภโร)
    เจ้าอาวาสวัดสักกะวัน (ภูกุ้มข้าว)
    ต.โนนบุรี อ.สหัสขันธุ์ จ.กาฬสินธุ์

    ท่านเคยได้นิมิตร เห็นไดโนเสาร์ใต้พื้นดิน(ท่านอยู่จังหวัดกาฬสินธุ์) จึงได้บอกกับญาติโยม
    ภายหลังมีผู้มาขุดค้นพบว่ามีกระดูกไดโนเสาร์จริง ชาวบ้านแถวนั้นจึงเรียกท่านว่า "หลวงปู่ไดโนเสาร์"

    --------------------------------------------------------------------------

    วิธีการบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด


    โยม ; หลวงปู่ครับผมทำอย่างไรจะบรรลุธรรมได้เร็วที่สุด

    หลวงปู่ ; ก็ละความอยากบรรลุธรรมของคุณสิ ได้เร็วที่สุด คุณละได้เร็วเท่าไหร่คุณก็จะบรรลุธรรมได้เร็วเท่านั้น

    โยม ; ไม่ใช่ครับผมหลวงปู่ ผมหมายถึงว่า ในการปฏิบัติธรรม วิธีการปฏิบัติของสายใดเป็นวิธีลัดให้เราบรรลุธรรมได้ง่ายๆและเร็วที่สุด

    หลวงปู่ ; เออ ก็อย่างนั้น แล้วคุณจะรีบไปไหนหล่ะ หรือทุกวันนี้คุณรีบไม่พอ เดินทางก็รีบ ทำมาหากินก็รีบ รีบไปหมด การปฏิบัติธรรมก็รีบ คุณดูนี่ (แล้วท่านก็ยกมือข้างซ้ายท่านขึ้นมา กางนิ้วมือทั้ง ห้าน้ิวออก แล้วก็เริ่มโบกเร็วๆ) คุณว่าตอนนี้มีกี่นิ้ว

    โยม ; เห็นไม่ชัดครับผม หลวงปู่ต้องโบกข้าๆครับผม ผมถึงจะเห็น

    หลวงปู่ ; นั้นๆ นี่ไงหล่ะ ขนาดคุณยังอยากให้หลวงปู่โบกมือช้าๆเลย โบกมือเร็วๆไม่เห็นนิ้วมือใช่ไหม โบกช้าๆมันจึงจะเห็นชัด การปฏิบัติธรรมหน่ะคุณเอ้ย มันไม่มีอะไรเร็วได้ดอก รีบทำ รีบทำ มันไม่เห็นปัญญานะ ถึงเห็นมันก็ไม่แจ้ง ต้องค่อยๆทำ ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่อย่าหยุด เดินทุกวัน ทำทุกวัน ภาวนาทุกวัน ขี้เกียจขี้คร้านก็ทำ ขยันหมั่นเพียรก็ต้องทำ อย่าหยุด ค่อยเป็นค่อยไป พวกคุณใช้ชีวิตแบบเร่งๆรีบๆจนเคยตัว เลยคิดว่าการพ้นทุกข์นั้นก็รีบได้ ยิ่งพวกคุณอยาก พวกคุณรีบ ยิ่งพวกคุณปฏิบัติสุกเอาเผากิน ธรรมมะก็ยิ่งจะหนีห่างพวกคุณออกไปไกลเรื่อยๆ ค่อยๆคิด ค่อยๆทำ สังเกตุไปทุกระยะ ตั้งสติอย่าขาด อย่าวาดอนาคต อย่าผูกอดีต อย่าอยาก การปฏิบัติธรรมให้เหมือนการเอามือกำนกตัวน้อยๆ กำแรงนกก็ตาย กำเบานกก็บินหนี กำให้มันพอดี อย่าเบาอย่าแรง อย่าเร่งอย่ารีบ อย่าอยากมุงหลังคาทั้งๆที่ยังไม่ตั้งเสายังไม่เทพื้นเทคาน ทานเป็นเหตุชำระกิเลสอย่างหยาบมีศีลเป็นผล ศีลเป็นเหตุชำระกิเลสอย่างกลางมีสมาธิเป็นผล สมาธิเป็นเหตุชำระกิเลสอย่างละเอียดมีปัญญาเป็นผล ปัญญาเป็นเหตุรู้รอบในกองสังขารทั้งปวงมีวิมุติความหลุดพ้นเป็นผล ทำไปตามขั้นตามตอน อย่าอยากอย่าเร่งอย่ารีบ ถ้ามันบ่มให้สุกได้อย่างกล้วย อย่างมะม่วง มันก็ดีหน่ะสิแต่ในความเป็นจริงมันทำไม่ได้ ไม่มีใครลัดได้ดอก ดูความยากของการปฏิบัตินะ มันจะได้ละอยาก ละความห่วงในโลก อันนั้นหล่ะคุณจะได้ไวไว เข้าใจนะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  13. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677

    ขออนุโมทนาในธรรมทานของน้องธรรมวิวัฒน์ด้วยค่ะ เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ได้เป็นอย่างดี พี่เคยได้ยินหลายท่านที่ตั้งใจทำบุญบ่อย ๆ เมื่อประสบทุกข์ หรือเกิดปัญหาชีวิตก็พูดว่า..

    "บุญไม่ช่วยบ้าง ทำดีแล้วไม่ได้ดีบ้าง หรือทำบุญแล้วไม่เห็นจะรวยเลย ยังลำบาก ไม่อยากทำบุญแล้ว ทำไปก็ไม่ได้อะไร"


    พี่ก็มักกล่าวแก่ท่านเหล่านั้นเสมอว่า..

    "อย่าพูดอย่างนั้นเลย จะกลายเป็นปรามาสพระพุทธเจ้าไป เพราะพระพุทธองค์ตรัสว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าเราไม่เชื่อคำสอนของพระองค์ แล้วนำมากล่าวโทษจะยิ่งเพิ่มกรรมนั้นให้หนักมากขึ้น โดยที่ไม่รู้ตัว คนเราจะรวยชาตินี้หรือไม่ อยู่ที่ทานบารมีเก่ามาดี จึงจะรวย หากจะพิจารณาแล้ว ถึงแม้จะไม่รวย แต่ก็ไม่อดอยาก ไม่ลำบากอย่างคนที่ไม่ทำบุญ

    ส่วนความทุกข์เรื่องต่าง ๆ นั้น เกิดจากการผิดศีล ๕ มาแต่อดีต เช่น หากเราเคยผิดศีลข้อ ๓ เคยเจ้าชู้มาแต่อดีตจะไม่สมหวังในความรัก หรือมีบริวารที่ดื้อด้านไม่เชื่อฟัง

    ผู้ที่เจ็บป่วยเป็นโรคร้าย เกิดจากกรรมผิดศีล ๑ การฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์ หรือชอบทรมานสัตว์ ไม่ว่าในชาตินี้หรืออดีตชาติ ล้วนแต่เป็นผลของกรรมในอดีต

    หากเรามีความทุกข์เรื่องหาเงินมาได้แต่เก็บเงินไม่อยู่ หรือโดนผู้อื่นโกงเงินไป ยืมเงินแล้วไม่คืน นั้นก็เกิดจากการผิดศีลข้อ ๒ มาแต่อดีตเช่นกัน

    ครอบครัวใดที่เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่สามัคคีกัน นั้นเป็นผลจากการผิดศีลข้อ ๔ ยุยงผู้อื่นให้แตกแยกกัน หรือพูดอะไรไปไม่มีใครยอบรับนับถือนั้นก็เกิดจากการชอบพูดโกหก พูดไม่จริง หรือพูดจาเพ้อเจ้อ ก็ทำให้ไม่มีใครเชื่อถือในคำพูดของเรา

    หรือครอบครัวใดที่ต้องเลี้ยงดูคนโรคจิต บ้า หรือปัญญาอ่อน หรือเด็กออทิสติก นั้นเป็นผลจากกรรมที่สนับสนุนให้ผู้อื่นดื่มสุรา เมรัย หากดื่มเองก็จะเป็นผู้มีไร้สติ หรือเป็นโรคความจำเสื่อม เมื่อแก่ชราไป

    ความทุกข์เหล่านี้ล้วนเกิดจากการผิดศีล ๕ ทั้งสิ้น ในนิทานเรื่องที่ยกมากล่าวนี้ไม่ได้กล่าวถึงอดีตชาติของบุรุษผู้นี้ว่า ทำกรรมอะไรมาจึงไม่ทราบรายละเอียดมากนัก


    พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "ทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล"

    หากเราทำเหตุดี(คือการรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์) ย่อมได้รับผลดี (คือความสุขสงบในชีวิตปัจจุบัน)

    การทำบุญให้ทาน ส่งผลในเรื่องของความร่ำรวย ความฐานะการเงินที่มั่นคง

    หากไม่มีวิบากกรรมเรื่องอทินนาทาฯ(ผิดศีลข้อ ๒)ในอดีตนั้น จะส่งผลให้ร่ำรวยได้ในชาตินี้ แต่หากมีกรรมข้ออทินนาทาฯ จะทำให้ชาตินี้พอมีอยู่มีกินไม่ลำบาก แต่ยังไม่ร่ำรวยนัก

    แต่ถ้าผู้ใด นอกจากจะทำทานแล้ว ยังตั้งใจรักษาศีล ๕ บริสุทธิ์ จะส่งผลให้ชีวิตพบแต่ความเจริญ และมีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    สุดท้าย สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ การสวดมนต์นั่งสมาธิ และเจริญกรรมฐาน นั้นจะส่งผลให้เกิดกุศลมหาศาล ทำให้วิบากกรรมเก่าติดตามไม่ทัน

    และทำให้บุญกุศลเรื่องทานบารมี(การทำบุญสร้างทานต่าง ๆ ) ส่งผลได้ง่าย อาจจะทำให้มีฐานะร่ำรวยในชาตินี้โดยฉับพลัน หรือปลายชีวิตมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายไม่เดือดร้อน


    ขออนุโมทนาบุญกับน้องธรรมวิวัฒน์ และทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
  14. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    สาธุ สาธุ สาธุ...ขออนุโมทนาบุญกับน้องนกด้วยค่ะ


    เห็นภาพแล้ว ก็ปลื้มใจ ดวงแก้วนั้นใสตามผู้เป็นเจ้าของจริง ๆ ค่ะ ดวงแก้วใสกว่าก่อนที่จะไปถวายหลวงปู่อีกนะคะ สำหรับประวัตินั้นไม่นานเกินรอค่ะ

    ขอให้น้องมีดวงตาเห็นธรรม เข้าถึงธรรมได้ง่าย ธรรมใด หรือคุณสมบัติที่หลวงปู่ท่านบรรลุแล้ว ขอให้ธรรมนั้น และคุณสมบัตินั้นบังเกิดแก่น้องนกด้วยเถิด สาธุ..

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปค่ะ

    Numsai


    __________________________________________________

    หมายเหตุ ดวงแก้วนี้อยู่ในชุด ๔ ดวง ขึ้นมาหลังวันวิสาขบูชา ๒ ดวงแรก เป็นของหลวงปู่ ๒ รูป

    ดวงที่ ๓ เป็นของน้องขาล ซึ่งเป็นดวงแก้วประจำตัวสมัยที่เกิดเป็นนาคมาณวิกา(นางนาคชั้นสูง) คือ เจ้าหญิงสุรินทรมณี เป็นพระธิดาของพญาสุตตศีลนาคราช และพระนางอรชรมินตราเทวี แห่งเมืองจามปุนคร (ปัจจุบันอยู่ในเขตน่านน้ำทะเลเขตประเทศกัมพูชา)

    พญาสุตตศีลนาคราชนั้น เป็น ๑ ในกษัตริย์นาคราชทั้ง ๙ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของท่านอินทรปัตต์ฤาษีนั่นเอง

    ส่วนอีกดวง เป็นของคุณ Naraksa สมัยที่เป็นเจ้าหญิงสิริวิมลมาลา พระธิดาของพญาศุภราชนาคราช(คุณ sun2555) ในประวัติพระขรรค์ตอน ๒ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  15. ขาล

    ขาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +4,466
    ดวงแก้วเช้าวันนี้ตอนถวายสวยและใสมากๆ ตอนดวงแก้วอยู่ที่บ้าน นกหยิบมาดูวันละหลายรอบ ยังไม่ใสเท่านี้เลย และดวงแก้วอีกดวงจะนำไปถวาย วันที่ 31 กรกฎาคม ตอนแรกดูปฏิทินผิดเป็นวันที่ 2 ได้ไงไม่รู้ ดีนะที่พ่อมาบอก

    วันนี้เวลา 10.45น. ร่วมบุญสร้างพระพุทธเจ้าหน้าตัก 5 นิ้ว และทรงเครื่องทองคำ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จำนวน 100 บาท ผ่านตู้ ATM อนุโมทนาบุญกับคุณธรรมวิวัฒน์ด้วยนะค่ะ สาธ สาธุ สาธุ แล้วก็โอนเงินเข้าบัญชีทหารไทย 50 บาท ร่วมบุญกับหลวงปู่ที่คุณ moom นำมาบอกบุญ ขอบคุณนะค่ะ อยู่ชุมพรไม่ค่อยได้ไหน อาศัยร่วมบุญเทวดา นางฟ้าในนี้แหละ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2013
  16. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ความใสของดวงแก้วนั้น เป็นไปตามสภาพจิตของท่านผู้เป็นเจ้าของค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญกับน้องด้วยค่ะ

    Numsai
     
  17. sereenon

    sereenon เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    1,724
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +7,931
    ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธเจ้าจักรพรรดิ์ หินจุยเจีย ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว ประดับทรงเครื่องทองคำแท้ เพื่อนำไปประดิษฐาน ณ พระมหาธาตุเจดีย์สมเด็จ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ถวายเป็นพุทธบูชา ๗๙ บาทและขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยค่ะ
     
  18. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,344
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,298
    อนุโมทนาบุญกับ คุณ sereenon ด้วยนะครับ

    ได้แจ้งให้ทางคุณ Roseapple ทราบทางเฟสบุ๊คแล้วนะครับ

    ขอให้มีทิพยจักขุญาณที่แจ่มใส และคล่องตัวในทุกเรื่องครับ สาธุ สาธุ
     
  19. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ขอเชิญร่วมประมูลแก้วนวสิทธิ์อมรเทพ-แก้วนวเกศศุภมงคลค่ะ..

    ขอเชิญประมูลดวงแก้วนวสิทธิ์อมรเทพ-แก้วนวเกศศุภมงคล อัญเชิญจากถ้ำแห่งหนึ่งแถบเทือกเขาภูพานจ.สกลนคร ก่อนเข้าพรรษาที่ผ่านมา

    ภาพถ่าย0634-1.jpg


    ดวงแก้วทั้งสองนี้เกิดก่อนสมัยพระสุมังคลพุทธเจ้า อธิษฐานโดยพระดาบส ๒ องค์ เป็นพี่น้องกัน

    _______0628-1.jpg

    ดวงแก้วนวสิทธิ์อมรเทพ อธิษฐานโดย พระนวสิทธิ์ดาบส มีกายสิทธิ์ ๒๓,๕๘๐,๐๐๐ องค์ โดยพระฤทธิไกรนวบดินทร์โพธิสัตว์ เป็นหัวหน้ากายสิทธิ์ ปัจจุบันอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต

    เริ่มประมูลทึ่ ๑๕,๙๙๙ บาท


    ภาพถ่าย0631-1.jpg


    ดวงแก้วนวเกศศุภมงคล อธิษฐานโดยพระนวเกศดาบส มีกายสิทธิ์ ๒๒,๙๘๐,๐๐๐ องค์ มีพระโชติปุญญบวรโพธิสัตว์ เป็นหัวหน้ากายสิทธิ์ ปัจจุบันอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต


    เริ่มประมูลที่ ๑๕,๙๙๙ บาท

    กติกาในการประมูล

    ๑. เริ่มวันที่ ๒๖-๒๗ กรกฏาคม ๒๕๕๖ ภายใน ๑๙.๕๙ น. ตามฤกษ์พรหมสิทธิ์ ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง

    ๒. รายการประมูลจะมอบแด่ท่านที่ประมูลราคาสูงสุดภายในเวลาที่กำหนด (ตามเวลาเว็บพลังจิต.org)

    ๓. หากที่มีผู้ประมูลราคาสูงสุด และเวลาเท่ากัน ๒ ท่าน จะตัดสินด้วยผู้ที่ทำการโพสต์ก่อนเป็นอันดับแรก

    ๔. หลังจากปิดการประมูล โอนปัจจัยภายใน ๒ วันหลังจากโอนปัจจัยแล้ว หากเลย ๒ วันจะมอบสิทธิ์แก่ผู้ที่ประมูลรายต่อไป

    ๕. หลังจากโอนปัจจัย กรุณาแจ้งชื่อ-ที่อยู่ใน PM-Numsai แล้วจะทำการส่งมอบดวงแก้วให้แก่ผู้เป็นเจ้าของต่อไปค่ะ

    กรุณาโอนปัจจัยไปที่......

    ชื่อบัญชี พุทธารา โรจนฤทธิกร
    เลขที่ 080-252647-2
    ธนาคาร ไทยพาณิชย์
    สาขา ถนนศรีนครินทร์ (กรุงเทพ – กรีฑา)
    ประเภท ออมทรัพย์-แบบสะสมทรัพย์


    ปัจจัยส่วนหนึ่งนำไปร่วมบุญดังนี้

    ๑. ๑๐% เข้ากองบุญสมเด็จพระพุทธวิปัสสีโภคมหาบพิตร
    ๒. ๕% เพื่อร่วมโครงการฝึกมโนยิทธิ วัดท่าซุงค่ะ
    ๓. ๕% เพื่อร่วมบุญกับเว็บพลังจิตค่ะ


    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
  20. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    สำหรับประวัติดวงแก้วทั้งคู่นี้จะเสนอหลังประวัติจักรทั้ง ๖ และดวงแก้ววัชรพุทธางกูร-อภิบูรณ์อมรฤทธิ์ จะอยู่ในประวัติของจักรทั้ง ๖ เช่นกันค่ะ

    ต้องขออภัยที่จำเป็นจะต้องย้อนไปก่อนสมัยพระพุทธกัสสปพุทธเจ้า เนื่องจากมีความเกี่ยวเนื่องกับเจ้าของจักรทั้ง ๖ และมีเหตุที่เนื่องกับปัจจุบัน เป็นลำดับไป จะทราบว่า เหตุใดเราต้องมาสร้างบุญร่วมกันในชาตินี้

    ภพชาตินั้น ไม่ทราบเบื้องต้น และที่สิ้นสุด ตราบใดที่เราไม่ปรารถนาจะเข้าสู่พระนิพพาน ย่อมมีการเกิดไม่รู้จบสิ้น

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านที่ติดตามกระทู้นี้ด้วยค่ะ

    Numsai
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...