พระอาจารย์ไพศาล วิสาโลแนะวิธีรักษาจิตยามป่วยหนัก(วาระสุดท้ายของชีวิต)

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย mahamettayai, 2 สิงหาคม 2013.

  1. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
    แนะวิธีรักษาจิตยามป่วยหนัก
    (วาระสุดท้ายของชีวิต)​


    ในยามเจ็บป่วย ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทุกข์ที่กายเท่านั้น หากใจก็พลอยทุกข์ด้วย ใจที่เป็นทุกข์ย่อมทำให้ร่างกายเสื่อมทรุดลง หายยาก

    หรือฟื้นตัวได้ช้าลง ตรงกันข้ามใจที่สงบหรือเบิกบานจะช่วยให้ร่างกายหายเร็วขึ้น และเจ็บปวดน้อยลง


    แม้ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือป่วยหนักจนมาถึงระยะสุดท้ายของชีวิต หมอ พยาบาล และเทคโนโลยีทั้งหลายอาจช่วยอะไรไม่ได้มากนัก

    แต่จิตใจของเราเองก็ยังสามารถเป็นที่พึ่งได้ ช่วยให้เป็นทุกข์น้อยลง และมีความสงบได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิต

    ด้วยเหตุนี้ในยามเจ็บป่วย การดูแลรักษาจิตใจจึงเป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่าการดูแลรักษาร่างกาย

    บางครั้งอาจสำคัญกว่าด้วยซ้ำโดยเฉพาะเมื่อร่างกายไม่สามารถเยียวยาได้อีกต่อไป


    เมื่อป่วยหนักหรือเมื่อรู้ตัวว่าวาระสุดท้ายของชีวิตใกล้จะมาถึง ควรใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อรักษาจิต

    และตระเตรียมใจให้พร้อมสำหรับช่วงสำคัญที่สุดของชีวิต ความตายนั้นเราไม่สามารถรู้ได้ว่าจะมาเมื่อไร

    และเลือกไม่ได้ว่าจะตายอย่างไร แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะเผชิญกับความตายอย่างไร

    เราต้องเตรียมใจเสียแต่วันนี้ ด้วยวิธีต่อไปนี้


    ๑.ยอมรับความจริง

    ความจริงอย่างหนึ่งคือเราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครที่จะหลีกหนีความตายได้ ไม่ช้าก็เร็ว จึงควรเตรียมใจ

    พร้อมรับความตายอยู่ทุกเวลา และจะมีเวลาใดเล่าที่การทำใจพร้อมรับความตายจะเป็นเรื่องเร่งด่วนเท่ากับตอนที่กำลังป่วยหนัก

    เมื่อเราพร้อมรับความตาย ความตายก็มิใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป

    ตรงกันข้ามการไม่ยอมรับความตายทั้ง ๆ ที่วาระสุดท้ายใกล้เข้ามาทุกขณะมีแต่จะซ้ำเติมตัวเองให้เป็นทุกข์มากขึ้น

    ยิ่งไม่ยอมรับความตาย ก็ยิ่งกลัวความตาย และยิ่งกลัวความตายมากเท่าไร ใจก็ยิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้น

    พึงระลึกว่า ไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับความกลัว แม้แต่ความตายก็ไม่น่ากลัวเท่ากับความกลัวตาย

    อย่างน้อยทุกคืนก่อนนอนควรทำใจให้สงบและนึกถึงความตายของตนว่าสักวันหนึ่งจะต้องมาถึง

    คืนนี้อาจเป็นคืนสุดท้ายของตนก็ได้ หรือไม่ก็พิจารณาดังนี้ว่า
    [/B]

    “ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง อีกไม่นานร่างกายนี้

    จักปราศจากวิญญาณถูกทอดทิ้งทับถมแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้อันหาประโยชน์มิได้”


    ๒.จิตใจจดจ่อกับสิ่งดีงาม

    ในภาวะที่ร่างกายของเรากำลังเจ็บปวดแปรปรวนอยู่นั้น ความทุกข์ทรมานสามารถบรรเทาลงได้

    หากมีการเหนี่ยวนำจิตใจให้เป็นสมาธิหรือจดจ่ออยู่กับสิ่งดีงาม มีหลายวิธีที่ช่วยให้จิตใจจดจ่อกับสิ่งดีงาม


    ก.ระลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือ อาจได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระโพธิสัตว์ หรือครูบาอาจารย์ผู้เป็นปูชนียบุคคล

    จะช่วยให้จิตใจสงบขึ้น หากมีพระพุทธรูปหรือรูปของพระโพธิสัตว์และครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือมาตั้งอยู่ในห้อง

    จะช่วยให้จิตใจมีสมาธิจดจ่อได้ดีขึ้น


    ข.สวดมนต์

    การสวดมนต์อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยเฉพาะบทที่ชวนให้รำลึกถึงองค์คุณหรืออานุภาพแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว

    ช่วยให้ศรัทธาในใจเพิ่มพูน ยิ่งมีศรัทธามากเท่าไร จิตก็ยิ่งเป็นสมาธิและสงบนิ่งได้เร็วมากเท่านั้น

    อีกทั้งยังช่วยให้เกิดกำลังใจในการเอาชนะความกลัวต่าง ๆ ที่รุมเร้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 สิงหาคม 2013
  2. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    ค.ฟังธรรม

    การฟังธรรม ไม่ว่าจากเทป รายการวิทยุโทรทัศน์ หรือจากผู้ที่เราเคารพนับถือโดยตรง (ซึ่งเป็นพระภิกษุหรือฆราวาสก็ได้)

    เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยน้อมจิตให้เป็นกุศล ได้ทั้งความสงบ กำลังใจ และเกิดปัญญา


    พึงระลึกว่าในยามเจ็บป่วย ไม่ใช่แต่ร่างกายของเราเท่านั้นที่ต้องการยา ใจก็ต้องการยาที่เรียกว่าธรรมโอสถด้วย

    ธรรมหรือความรู้ความเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิตเป็นเสมือนโอสถที่ไม่เพียงแต่เยียวยาจิตใจไม่ให้ทุกข์เท่านั้น

    หากยังเสริมสร้างจิตใจให้มีความเข้มแข็งสามารถเผชิญกับอุปสรรคต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะความผันผวนปรวนแปรต่าง ๆ ในเวลาใกล้ตาย


    สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับการอ่านหรือฟังธรรม การได้สนทนากับกัลยาณมิตรผู้มีประสบการณ์หรือความเข้าใจในชีวิต เป็นบันไดไปสู่การมีใจใฝ่สดับธรรมะ

    ง.ทำสมาธิ

    อย่างไรก็ตามเราไม่ควรลืมว่า วิธีการสร้างความสงบในจิตใจที่ดีที่สุดคือการทำสมาธิภาวนา

    มีสมาธิภาวนาหลายแบบที่เราสามารถทำได้แม้ในขณะที่นอนอยู่บนเตียง เช่น การกำหนดหรือจดจ่อกับลมหายใจเข้าและออก

    การจดจ่อกับท้องที่พองและยุบทุกครั้งที่หายใจเข้าและออก การกำหนดจิตอยู่กับอิริยาบถหรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย(เช่น การคลึงนิ้ว ขยับมือไปมา)

    มีสมาธิภาวนาอย่างหนึ่งที่ช่วยในการผ่อนคลายทั้งกายและใจ ได้แก่การกำหนดใจไปตามอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

    ตั้งแต่ปลายศีรษะจนถึงปลายเท้า โดยนอนและวางแขนไว้ข้างตัว เมื่อกำหนดใจที่ศีรษะก็ให้บริกรรม

    หรือนึกในใจไปด้วยว่า “ผ่อนคลาย” แล้วค่อย ๆ เคลื่อนลงไปที่หน้าผาก คิ้ว คาง ใบหน้า ท้ายทอย

    ไหล่ แขน ศอก นิ้ว หน้าอก หน้าท้อง หลัง สะโพก ต้นขา เข่า น่อง ไปจนถึงฝ่าเท้าและนิ้วเท้า

    ขณะที่บริกรรมนั้นก็ให้กล้ามเนื้อในแต่ละจุดผ่อนคลายไปด้วยอย่างเต็มที่ ไร้ซึ่งการเกร็งหรือหดงอ

    ส่วนไหนที่เจ็บปวดชัดเจน ก็ให้เวลานานหน่อย โดยอาจแผ่เมตตาหรือ “พูด” กับอวัยวะส่วนนั้นว่าขอให้หายเจ็บ กลับมาเป็นปกติไว ๆ

    อาจเสริมด้วยจินตนาการในทางบวก เช่น หากเป็นโรคหัวใจ ก็นึกภาพหัวใจว่ากำลังมีความเข้มแข็งกระชุ่มกระชวย

    หรือนึกภาพว่ามีเลือดและภูมิคุ้มกันต่าง ๆ หลั่งไหลเข้าไปคุ้มครองป้องกันอย่างเต็มที่ จะนึกภาพให้เป็นเหมือนเทพนิยาย

    เช่น มีเทวดา นางฟ้า หรืออัศวินม้าขาวกำลังขับไล่โรคร้ายออกไปจากหัวใจก็ได้

    วิธีนี้สำหรับผู้ยังไม่คุ้นเคย อาจต้องมีคนช่วยกล่าวนำเพื่อให้จิตกำหนดตาม แต่หากทำคุ้นเคยแล้ว ก็สามารถทำเองได้

    หากจิตสงบและกายผ่อนคลาย ความเจ็บปวดจะทุเลาไปได้มาก มีผู้ป่วยหลายคนที่หายใจเหนื่อยหอบ

    กระสับกระส่าย เมื่อพยาบาลได้นำสมาธิด้วยวิธีนี้ ปรากฏว่าหายใจช้าลง จิตใจสงบขึ้น


    จ.ระลึกถึงความดีที่ได้ทำ

    คุณงามความดีที่เราได้บำเพ็ญก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราควรระลึกถึงด้วยความภาคภูมิใจ

    ในชีวิตของเราย่อมมีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว แต่ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับความดีที่ทำด้วยเจตนาบริสุทธิ์

    ไม่ว่าความดีที่ทำกับลูก กับหลาน กับพ่อแม่ กับคนรัก กับเพื่อนร่วมงาน ตลอดจนความดีที่ทำให้แก่ศาสนาและประเทศชาติ

    ความดีอาทิ ความเสียสละ ความซื่อสัตย์สุจริต ความเอื้อเฟื้อ มีเมตตา เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ

    ความดีเหล่านี้คือ “บุญ” ที่ไม่เพียงมีอานิสงส์ในภพหน้าเท่านั้น หากยังช่วยเราได้เมื่อวาระสุดท้ายใกล้มาถึง

    นั่นคือทำให้ใจเป็นกุศล ไม่หวั่นต่อภพใหม่ที่จะมาถึง

    อย่างไรก็ตามพึงระลึกว่าความดีนั้นเราสามารถทำได้ตลอดเวลา แม้ในขณะที่นอนป่วย ก็ยังสามารถทำความดีได้

    ทั้งทางกาย วาจา และใจ นอกจากการทำใจให้เป็นกุศล รักษาวาจามิให้ไปเบียดเบียนใครแล้ว

    เรายังสามารถทำความดีทางกายได้ อาทิ การทำบุญแก่พระศาสนาสละทรัพย์เพื่อส่วนรวม หรือมอบเงินให้แก่คนที่ทุกข์ยาก

    อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยที่เราไม่ได้ทำความดีเพิ่มเติม ความดีที่เราทำจะไม่ไปไหน แต่จะกลับมาจัดสรรใจเราให้เป็นสุขและสงบในที่สุด
     
  3. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    ๓.ปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจ

    อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้จิตใจไม่เป็นสุขและทำให้อาการเจ็บป่วยทางกายกำเริบขึ้นก็คือ

    ความรู้สึกห่วงกังวลและความรู้สึกที่ยังค้างคาใจ ความรู้สึกดังกล่าวเมื่อเกิดขึ้นแล้วยังทำให้เรายอมรับความตายได้ยาก

    ไม่มีใครยินดีที่จะจากบ้านไป ตราบใดที่ยังห่วงกังวลผู้คนในบ้านฉันใด การจะจากโลกนี้ไปในขณะที่ยังมีสิ่งติดค้างใจอยู่

    ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดี ฉันนั้น แต่ในเมื่อเวลาจากพรากใกล้จะมาถึงแล้ว ไม่มีอะไรดีกว่า

    การละวางความห่วงใยและสะสางเรื่องค้างคาใจให้หมดสิ้น สิ่งที่เราควรปลดเปลื้องไม่ให้ค้างคาใจได้แก่


    ก.ภารกิจที่ยังไม่แล้วเสร็จ

    ภารกิจดังกล่าวอาจได้แก่งานการที่รับผิดชอบอยู่ หนี้สินที่ยังไม่ได้ชำระ รวมถึงทรัพย์สมบัติที่ยังไม่ได้แบ่งสรร

    ประการหลังนี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ที่เป็นพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ในครอบครัว ในขณะที่ยังมีความรู้สึกตัวอยู่

    ควรจัดการให้แล้วเสร็จ ข้อนี้อาจรวมถึงการกำหนดพิธีศพหรือวิธีการจัดการกับศพของตน

    เนื่องจากบางคนไม่ต้องการให้ลูกหลานจัดงานศพอย่างสิ้นเปลือง ขณะที่บางคนต้องการอุทิศร่างของตนให้แก่โรงเรียนแพทย์


    ข.ความรู้สึกผิด ความขุ่นเคืองโกรธแค้น ความน้อยเนื้อต่ำใจ

    ความรู้สึกดังกล่าวแม้จะเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่อาจฝังลึกและนอนเนื่อง ในยามใกล้ตายอาจผุดขึ้นมารบกวนจิตใจ

    และเป็นอุปสรรคต่อการไปสู่สุคติ ดังนั้นจึงควรปลดเปลื้องออกไปให้หมดสิ้นไปจากใจ

    เมื่อรู้สึกผิดกับผู้ใดควรหาโอกาสขอโทษ หากขุ่นเคืองโกรธแค้นใคร ควรให้อภัยหรือให้อโหสิ

    จะได้ไม่ต้องมีเวรกรรมสืบต่อไปในปรภพ หากน้อยเนื้อต่ำใจผู้ใด ควรหาทางปรับความเข้าใจกับผู้นั้น

    หรือเผยความในใจกับเขาพร้อมกับให้อภัยไปด้วย


    สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้สึกดังกล่าวต่อใครคนหนึ่งเป็นการเฉพาะ เพื่อให้แน่ใจ ก็ควรกล่าวคำขอขมา

    หรือขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เราอาจล่วงเกินหรือเบียดเบียนไปโดยไม่รู้ตัวหรือระลึกไม่ได้

    ขอให้อย่าได้มีเวรมีกรรมต่อกันอีกเลย ให้อยู่เป็นสุขด้วยกันทั้งสิ้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013
  4. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    ๔.ปล่อยวางทุกสิ่ง

    คนส่วนใหญ่แล้วจะมีความห่วงกังวลคอยรบกวนจิตใจอยู่ ได้แก่ความห่วงกังวลลูกหลาน พ่อแม่ คนรัก

    จนถึงความห่วงกังวลในทรัพย์สิน และชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นต้น ความห่วงกังวลดังกล่าวย่อมทำให้อยู่และตายอย่างเป็นทุกข์

    ผู้ที่ไม่ต้องการตายอย่างเป็นทุกข์จึงควรละความห่วงใยในสิ่งทั้งปวงให้ได้


    สำหรับผู้ที่ระลึกนึกถึงอนิจจังหรือความไม่เที่ยงอยู่เสมอ การละวางย่อมทำได้ง่าย ถึงแม้ไม่เคยนึกถึงเลย

    นี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะต้องเข้าใจและยอมรับความจริงของชีวิตว่า ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ ไม่มีอะไรที่จีรัง

    ความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ไม่ว่าจะรักและผูกพันแค่ไหน ในที่สุดก็ต้องมีวันพลัดพรากจากกัน


    ผู้ที่ห่วงกังวลลูกหลาน ควรพิจารณาว่า เราได้เลี้ยงดูเอาใจใส่เขามาตลอดชีวิตแล้ว

    ควรวางใจได้ว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว ขอให้มีความเชื่อมั่นว่าความรัก ความเอาใจใส่ และการศึกษา

    ที่เราได้มอบให้แก่เขา จะช่วยให้เขาอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุขและมั่นคงปลอดภัย


    ผู้ที่ห่วงกังวลพ่อแม่ ควรพิจารณาว่า เราได้บำเพ็ญตนเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่

    เคารพและเชื่อฟังพ่อแม่ ทำความดีตามที่พ่อแม่สั่งสอน และเลี้ยงดูพ่อแม่เมื่อมีโอกาส ขอให้ภูมิใจในความดีที่เราได้ทำกับพ่อแม่

    ขอให้มีความมั่นใจว่าท่านจะยังอยู่ต่อไปได้โดยไม่มีเรา เพียงแค่เราจากไปอย่างสงบ ก็ช่วยให้ท่านเป็นสุขอย่างยิ่งแล้ว


    กับคนรักและมิตรสหาย ก็ควรพิจารณาปล่อยวางในลักษณะเดียวกัน ให้ระลึกว่า

    เราได้มีบุญวาสนาอยู่กับเขานานพอสมควรแล้ว หน้าที่ที่สมควรทำเราก็ได้ทำมามากพอแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะต้องลาจากไป

    ที่จริงเราก็เคยลาเขาเหล่านี้มาก่อนแล้ว ครั้งนี้เพียงแต่ลาจากไปนานกว่าครั้งก่อน ๆ เท่านั้น หากชาติหน้ามีจริง ก็คงได้พบกันใหม่

    กับทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศ ก็ควรพิจารณาว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นของเราจริงหรือ ?

    เราเอามันไปด้วยได้หรือไม่ ? แท้จริงมันมาอยู่กับเราเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ก่อนมาอยู่กับเรา มันก็เคยเป็นของคนอื่นมาแล้ว

    บัดนี้ถึงเวลาที่เราจะมอบให้คนอื่นดูแลและใช้ประโยชน์ต่อไป

    ๕.ละความห่วงกังวลแม้กระทั่งในร่างกาย

    ขอให้พิจารณาว่าร่างกายนี้มิใช่ของเรา เราได้มาเปล่า ๆ

    จากธรรมชาติผ่านมาทางพ่อแม่ บัดนี้ถึงเวลาที่จะคืนให้แก่ธรรมชาติไป ร่างกายนี้รับใช้เรามานานโดยไม่รู้จักหยุดหย่อน

    ถึงเวลาที่เขาจะได้พักผ่อนเสียที ปล่อยให้เขาได้กลับคืนสู่ดิน น้ำ ลม ไฟ ในธรรมชาติ

    การปลดเปลื้องความกังวลและสิ่งค้างคาใจ มีความสำคัญอย่างมากในภาวะใกล้ตาย หากไม่ปลดเปลื้องให้หมดสิ้น

    มันจะผุดขึ้นมารบกวนจิตใจและยากที่จะจัดการได้ เนื่องจากผู้ใกล้ตายนั้นสติจะอ่อนมาก ความรู้สึกตัวจะเลือนราง

    ไม่มีแรงต้านทานความรู้สึกนึกคิดใด ๆ ที่เกิดขึ้น จึงอ่อนไหวและกระเพื่อมได้ง่าย

    เมื่อจิตใจไม่เป็นสุข ถูกรบกวนด้วยความรู้สึกที่เป็นอกุศล หากสิ้นลมในตอนนั้น ก็จะไปสู่ทุคติหรืออบายภูมิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013
  5. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    ๖. สร้างบรรยากาศที่สงบ

    ในทางพุทธศาสนาถือว่า สภาพของจิตก่อนตายนั้น เป็นตัวกำหนดว่าผู้ตายจะไปสู่สุคติหรือทุคติ

    อาการหรือพฤติกรรมของจิตก่อนตายนั้นจัดว่าเป็น “อาสันนกรรม” หรือกรรมใกล้ตายนั้น จะให้ผลก่อนกรรมใด ๆ

    ท่านเปรียบเหมือนโคที่ยัดเยียดอยู่ในคอก หากประตูคอกเปิดออก ตัวที่อยู่ใกล้ประตู ย่อมออกมาก่อน

    นั่นหมายความว่าหากต้องการไปสู่สุคติ กรรมสุดท้ายก่อนตายนั้นจะต้องเป็นกุศลกรรม กล่าวอีกนัยหนึ่ง

    ก่อนสิ้นลม เราควรระลึกถึงสิ่งที่เป็นกุศล หรือมีจิตที่เป็นกุศล

    ด้วยเหตุนี้บรรยากาศรอบตัวผู้ใกล้ตายจึงเป็นสิ่งสำคัญ จิตที่เป็นกุศลจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยบรรยากาศที่มีความสงบเงียบ

    ไม่อึกทึกครึกโครม นอกจากลูกหลานญาติมิตรจะไม่ร้องไห้ฟูมฟายหรือทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว

    ยังช่วยเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยและเหนี่ยวนำใจเขาให้จดจ่อกับสิ่งดีงาม โดยเฉพาะในยามใกล้สิ้นลม

    มีผู้มาเตือนสติให้ปล่อยวางความห่วงกังวลทั้งปวง ดังนั้นสมัยก่อนจึงมักนิมนต์พระมาบอก “อะระหัง”

    หรือพุทโธ ให้แก่ผู้ใกล้ตาย เพื่อให้ใจน้อมสู่ความพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง

    บรรยากาศดังกล่าวหากผู้ใกล้ตายต้องการให้เกิดขึ้น ควรเตรียมการเสียแต่เนิ่น ๆ เช่น ขอร้องให้ผู้มาเยี่ยมอดกลั้นต่อความเศร้าโศก

    ไม่ทำลายบรรยากาศที่สงบ มาร่วมกันทำสมาธิหรือสวดมนต์ข้างเตียงตามโอกาส

    เราไม่อาจเลือกเวลา สถานที่ และลักษณะการตายได้ แต่อย่างน้อยเราก็สามารถเลือกได้ว่า

    จะเผชิญกับความตายด้วยจิตใจอย่างไร ด้วยอาการนิ่งสงบหรือตื่นตระหนก ด้วยการปล่อยวางหรือดิ้นรนขัดขืน

    นี้คือสิทธิที่มนุษย์ทุกคนสามารถเลือกได้ไม่ว่าชะตากรรมในวาระสุดท้ายจะเป็นเช่นไร

    ไม่ว่าจะประสบกับสถานการณ์เช่นใด มันก็ไม่สามารถยัดเยียดความทุกข์ให้แก่เราได้

    เราทุกคนสามารถนำพาจิตใจให้เป็นอิสระจากความทุกข์ได้ แม้กายจะทุกข์ก็ตาม

    นี้คืออิสรภาพที่เราทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แม้ในวาระสุดท้ายของชีวิต


    ที่มา�����������������˹ѡ - �������� ������
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 สิงหาคม 2013
  6. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    พอดี ได้ไปอ่านกระทู้ของคุณอุรุเวลา (ไม่อยากตายอย่างทรมาน ) แล้วรู้สึกว่า ถ้าผู้ที่เป็นปุถุชนยังไม่ได้บรรลุพระอริยบุคคลจะวางจิต หรือเตรียมใจได้อย่างไร ตอนจะตาย

    จำได้ว่าเคยไปอ่านเจองานเขียนของพระอาจารย์ไพศาล ซึ่งท่านมีโครงการเกี่ยวกับการเผชิญหน้ากับความตายอย่างสงบ (อะไรประมาณนี้) ทั้งตัวผู้ป่วยเองและญาติที่ต้องดูแล ก็เลยเอามาแบ่งปัน

    เผื่อหลายๆท่านจะได้เตรียมใจไว้แต่เนิ่นๆ ค่ะ (รวมทั้งจขกท. ด้วย) เพราะไม่รู้ว่าความตายที่หลายๆคนกลัวจะมาเยือนเราหรือญาติพี่น้องของเราเมื่อไหร่
     
  7. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    แต่คนที่ถึงเวลาจริงๆมักยอมรับไม่ค่อยได้
     
  8. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    สำหรับผู้ที่กำลังจะสูญเสียบุคคลที่เป็นที่รัก (ด้วยภาวะความเจ็บป่วย) วิธีการพวกนี้คิดว่าสามารถช่วยสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมให้คนที่เรารักไปอย่างสงบไม่ต้องกังวลใจได้ค่ะ

    แล้วคนใกล้ชิดก็ต้องเตรียมใจ(ว่าจะต้องสูญเสีย) แต่เนิ่น ๆ ด้วยเช่นกัน ธรรมดา ค่ะ รักมากก็เสียใจมาก ทำใจยาก

    ส่วนบุคคล (ทุกคน) ที่จะถึงวาระนั้น คือเรารู้อยู่แล้วว่าซักวันต้องตาย ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจ(ของตนเอง) ไว้แต่เนิ่นๆ อย่าได้ประมาท ภาระอะไรที่คิดว่าสำคัญ ๆ ก็สะสาง ซะให้เรียร้อย

    เพราะถึงตอนนั้น ไม่มีใครสามารถช่วยใครได้ นอกจากตัวเราเอง ถึงแม้บุคคลที่รักรอบข้างจะช่วยสร้างบรรยากาศให้แค่ไหนก็ตาม แต่ถ้าตัวเราไม่เตรียมตัวแต่เนิ่นๆ ก็อาจพลาดพลั้งไปอบายภูมิได้ (ถ้ายังไม่บรรลุพระโสดาบัน)

    ดังนั้นพยายามรักษาจิตให้เป็นกุศลไว้ก่อนเป็นดีค่ะ (นี่ก็กำลังพยายามอยู่)เพราะไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะได้ตื่นรึป่าว ??? (ก่อนนอนจะสวดบูชาพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ และระลึกถึงพระพุทธคุณ 9 ประการ เผื่อไปตอนนอนหลับ)

    แล้วก็สั่งเสียพี่น้องไว้แล้วว่า ไม่ต้องจัดงานศพหลายวันให้สิ้นเปลือง (อย่างมาก 3วันพอแล้ว) เก็บเงินไว้บริจาคหรือทำบุญดีกว่า เพราะอวัยะและร่างกายก็บริจาคไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะไปตอนไหนก็ไปได้เลย

    คิดว่าเป็นบุญที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา
     
  9. pagorn

    pagorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    768
    ค่าพลัง:
    +2,848
    [​IMG]

    อนุโมทนาสาธุค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...