น่าเป็นห่วง หลักสูตรพุทธศาสนา จากบางอาจารย์ สอนตายแล้วสูญ ( หลักสูตร ม.1- ม.6)

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 24 มกราคม 2006.

?
  1. ไม่เห็นด้วย (คิดว่าสอนผิด)

    0 vote(s)
    0.0%
  2. เห็นด้วย (คิดว่าสอนถูก)

    0 vote(s)
    0.0%
  1. เด็กใหม่คับ

    เด็กใหม่คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    102
    ค่าพลัง:
    +152
    เวรกรรม ผมเรียนอยู่ชั้น ม 5 ไม่ได้มีการสอนแบบหลักสูตรดังกล่าว (โชคดีไป) เอาในเนื้อหา ม5 ก็มี ความแตกต่าง วิทยาศาสตร์ กับ พุทธศาสนา พุทธกิจ 5 ประการ ประชาธิปไตยในพุทธศาสนา ประวัติ คนแต่ จิตคหบดี แล้วก็ท่านอื่นๆ เนื้อหาก็ตามหนังสือ ซึ่งเขียนไว้ ดี ไม่มีเนื้อหามั่ว ก็โชคดีไปที่ได้เรียนจากหนังสือที่มาจากกระทรวง
     
  2. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    *** เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ควรหาข้อสรุป เพื่อหาความจริง***
    *** ถ้ามัวแต่ไปปฏิบัติตามความเห็นของตนเอง โดยยังหาข้อยุติไม่ได้***
    *** ก็ต้องมีไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่งที่ปฏิบัติผิด***
    ***หรืออาจปฏิบัติผิดทั้งสองฝ่ายก็ได้***<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    *** แล้วเมื่อปฏิบัติผิด ก็ย่อมที่จะทำให้เสียเวลาไปตลอดชีวิต***
    *** การที่ประเทศชาติและศาสนาไม่ยอมพัฒนาก็เพราะเราไม่สนใจแสวงหาความจริงกันนี่เอง***<o:p></o:p>
     
  3. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    "เมื่อมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็ควรหาข้อสรุป เพื่อหาความจริง"
    ---------------------------------------------------------------------------------
    ท่าน
    เตชปญฺโญ ภิกขุ ต้องการจะหาข้อสรุป เรื่องอะไรเหรอครับ ?
     
  4. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ท่านเตชปญฺโญ ภิกขุ ต้องการจะหาข้อสรุป เรื่องอะไรเหรอครับ ?

    ---------------------------------------
    *** ก็ข้อสรุปที่ถกเถียงกันมานาน อย่างเช่น***
    *** นิพพานหมายถึงสถานที่ หรือหมายถึงสภาวะจิตที่ไม่มีทุกข์***
    *** คนเราตายแล้วยังจะมีวิญญาณหรือสิ่งใดไปเกิดใหม่ได้อีกหรือไม่มี?***
    *** รวมถึงเรืองนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี สาง เทวดา นางฟ้า เป็นต้น ชนิดที่เป็นตัวตนบุคคล ว่ามีจริงหรือไม่ด้วย?***
    *** พระไตรปิฎกนั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงทั้งหมดใช่หรือไม่?***
    *** พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ใช้หลักกาลามสูตรในการตัดสินว่าคำสอนใดเป็นของพระองค์จริงหรือๆไม่?***
    *** นี่คือหลักใหญ่ๆที่เราควรหาข้อสรุป เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง***
    *** ถ้ายังหาข้อยุติไม่ได้ สังคมก็คงจะต้องมืดมัวกันอยู่ต่อไป***<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  5. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    *** นิพพานหมายถึงสถานที่ หรือหมายถึงสภาวะจิตที่ไม่มีทุกข์***
    ***คนเราตายแล้วยังจะมีวิญญาณหรือสิ่งใดไปเกิดใหม่ได้อีกหรือไม่มี?***
    *** รวมถึงเรืองนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี สาง เทวดา นางฟ้า เป็นต้น ชนิดที่เป็นตัวตนบุคคล ว่ามีจริงหรือไม่ด้วย?***
    ------------------------------------------------------------------------------------------------
    ผมขอสนทนาใน 3 ข้อนี้ก่อนละกันครับ
    3 ข้อนี้ ผมว่าเป็นคำถาม "ปัจจัตตัง" ครับ ไม่พบไม่เห็นเอง ย่อมไม่รู้ และไม่แปลกที่ท่านจะไม่เชื่อและปฏิเสธว่าไม่มีจริง
    ข้อ 1.
    คำว่า "สภาวะจิตที่ไม่มีทุกข์ " ตามที่ท่านเตชปัญโญบอกว่าหมายถึงพระนิพพาน ผมเกรงว่านั่นคืออารมณ์ส่วนหนึ่งเพื่อไปสู่พระนิพพานมากกว่าครับ

    ส่วนนิพพานผมก็ยังไม่เคยเห็นนะครับเพราะผมยังไม่ใช่อริยะบุคคล เพียงแต่ผมเชื่อและศรัทธาตามคำสอนของพระอริยะหลายท่าน ท่านบอกว่ามี และผมก็ลองวิเคราะห์ดูแล้ว ผมก็เชื่อว่านิพพานเป็นดินแดนแห่งอรหันต์ ผู้กำจัดแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง หยุดการเวียนว่ายตายเกิดโดยสิ้นเชิง


    ข้อ 2 และ 3 คำถามมันคล้ายกับ "ท่านเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณ หรือไม่"

    คนที่เคยเห็น ก็จะตอบว่า เชื่อและมีจริงเนื่องจากพบเห็นมาแล้ว

    คนที่ไม่เคยเห็น ก็จะตอบว่า ไม่เชื่อ ก็เนื่องจากตนไม่เคยพบเห็น

    (ผมเคยสัมผัสกับสิ่งนี่มาแล้วผมจึงเชื่อครับ ตายแล้วไม่สูญแน่นอน)

    ดังนั้นผมจึงอยากบอกว่า ถ้าท่านยังไม่เคยเห็น ท่านก็อย่าพึ่งปฏิเสธซะทีเดียว ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี เป็นการด่วนสรุปไปครับ

    คำถามเหล่านี้จึงเป็นคำถามที่ไม่มีบทสรุป เนื่องจากเป็นคำถามที่สนทนาระหว่าง

    "คนที่เคยพบเห็น กับคนที่ไม่เคยพบเห็น"





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2007
  6. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    *** พระไตรปิฎกนั้นเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงทั้งหมดใช่หรือไม่?***
    -----------------------------------------------------------------------------------------------------
    ใช่หรือไม่ อันนี้ผมไม่ทราบครับ เพราะแม้แต่เหล่าพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่างเช่น
    หลวงปู่มั่นหลวงพ่อโต หลวงปู่ดุลย์ อตุโล หลวงปู่โต๊ะ หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    ครูบาพรหมมา หรหมจักโก ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    หลวงปู่เกษม เขมโก หลวงปู่หลุย จันทสาโร หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่สิม พุทธจาโร ฯลฯ
    (พระอริยะเหล่านี้ไม่ธรรมดานะท่าน) ท่านยังไม่เคยกล่าววิจารณ์พระไตรปิฏก เลย
    เกิดผมไปบอกว่าไม่ใช่แล้วถ้าเกิดใช่ขึ้นมาบาปกรรมหนักตกอยู่ที่ตัวผมทันที ไม่กล้าจริงๆครับ
    ( ลองดูประวัติความเป็นมาของประไตรปิฏกย่อๆ จากที่นี่ครับ http://mahamakuta.inet.co.th/tipitaka/tipitaka2/tipi~222.html)
    แต่ผมมีหลักคิดดังนี้ครับ ตราบใดที่ยังมีพระอริยะอยู่ คำสอนในพระไตรปิฏกนั้นก็ยังคงถูกต้องอยู่แน่นอนครับ
    คำสอนในพระไตรปิฏกมีอยู่มากมาย อยู่ที่ตัวท่านแหละครับจะชอบคำสอนใด คำสอนไหนที่ไม่ถูกกับจริตของท่านก็ละเว้นไป เท่านั้นเองครับ อย่าไปปฏิเสธเลยครับว่า นี่ใช่นี่ไม่ใช่ .

     
  7. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    ***พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ใช้หลักกาลามสูตรในการตัดสินว่าคำสอนใดเป็นของพระองค์จริงหรือๆไม่?***
    -------------------------------------------------------------------------------------------------------
    คำถามนี้คงจะเกี่ยวเนื่องจากที่ท่าน เตชปัญโญ ยังเคลือบแคลงสงสัยในพระไตรปิฏกอยู่จึงเกิดคำถามนี้ขึ้นมา
    ตามที่ผมอ่าน
    "เกสปุตตสูตร (กาลามสูตร)" ผมว่าเจตนาของพระพุทธเจ้าที่แสดงหลักกาลามสูตร นี่ก็เพื่อ แสดงให้เหล่าชาวกาลามะทั้งหลายคลายความเชื่อที่มีมาแต่ดั้งเดิมของตนให้ลดน้อยลงก่อน
    แล้วพระองค์จึงทรงแทรกสอนธรรมะของพระองค์ เพิ่มลงไปเท่านั้นเอง หรือพูดอีกความหมายหนึ่งก็คือ เอาธรรมะไปสอนให้กับกลุ่มบุคคลผู้ยังไม่รู้จักธรรมะ ให้รู้จักธรรมะของพระองค์ นั้นเอง

    ผมเห็นมีหลายท่านชอบยกเอาหลักกาลามสูตรนี้ มาใช้แย้งในส่วนที่ตนเองไม่เห็นด้วย ในพระไตรปิฏกกันอย่างพร่ำเพรี่อกันซะเหลือเกิน ผมว่าไม่ถูกนะครับ เปรียบเหมือนกับท่านยกเอาธรรมะเพียง 1 % มาล้างธรรมะอีก 99%
    (หรือกี่เปอร์เซ็นต์ก็ไม่รู้ อยู่ที่ท่านจะยอมรับข้อไหนไม่ยอมรับข้อไหน)
    ถ้าท่านเอาหลักกาลามสูตรนี้ไปแย้งกับศาสนาอื่นหรือพวกลัทธิอื่น ผมจะอนุโมทนามากเลยครับ แต่นี่ดันหยิบเอาธรรมะมาล้างธรรมะด้วยกัน เลยจบครับ ไม่ต้องเชื่ออะไรแ้ล้วนอกจากตัวเอง.
    ีี่ที่อยากจะบอกถือ หลักกาลามสูตร นี้ดีนะครับ แต่ต้องใช้ให้ถูกที่ถูกจังหวะและเวลาด้วย เรื่องใดควรใช้เรื่องใดไม่ควรใช้ควรแยกแยะให้ออก

    ทีนี้ท่านต้องพิจารณาว่า ในสมัยพุทธกาล การเผยแพร่แสดงธรรมจะมีเพียงแค่
    องค์พระสัมมาสัมพุทธเ้จ้า กับพระสาวกเท่านั้น ยังไม่มีพระไตรปิฏก จนกระทั่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเ้จ้าท่านทรงปรินิพพาน เหล่าพระอริยะสาวกจึงรวมรวมจัดทำพระไตรปิฏกขึ้นมา ก็เพื่อให้พระธรรมคำสอนยังคงอยู่ ให้มนุษย์รุ่นหลังได้รู้จักพระธรรม

    แล้วเหตุใดชาวพุทธ(บางกลุ่ม) จึงตั้งหน้าตั้งตามาจับผิดพระไตรปิฏกกันอยู่ล่ะครับ ผมว่าน่าจะมาช่วยกันรักษาและปกป้องจะดีกว่ามั่ยครับ

    สรุป
    ก็อย่างที่ผมกล่าวไ้ว้นะครับ
    " คำสอนในพระไตรปิฏกมีอยู่มากมาย อยู่ที่ตัวท่านแหละครับจะชอบคำสอนใด คำสอนไหนที่ไม่ถูกกับจริตของท่านก็ละเว้นไป เท่านั้นเองครับ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2007
  8. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เจริญพรมายังคุณโยมmanson810<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ก็ขอขอบใจที่คุณโยมให้ความสนใจ และไม่ใช้อารมณ์<o:p></o:p>
    เพราะดูเหมือนคุณโยมจะใจเย็นพอสมควร
    แต่อย่างไรเสียอาตมาก็ยังชอบใจหลักกาลามสูตร<o:p></o:p>
    ที่อาตมาเปรียบว่าเป็นเพชรเม็ดเดียว <o:p></o:p>
    ที่มีค่ามากกว่าเศษแก้วตั้งร้อยตั้งพัน<o:p></o:p>
    หลักข้อนี้สามารถทำให้เราเป็นอิสระทางสติปัญญาได้<o:p></o:p>
    ทำให้เราเป็นพุทธะได้ <o:p></o:p>
    ด้วยการไม่เชื่อใครๆแม้แต่สามัญสำนึกของเราเอง<o:p></o:p>
    แต่เชื่อจากการที่เราได้ใช้เหตุผลที่สมเหตุสมผลมาพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว <o:p></o:p>
    และนำมาปฏิบัติจนได้รับผลจริงแล้วเท่านั้น<o:p></o:p>
    อีกอย่างเรารู้ได้อย่างไรว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอริยะจริง<o:p></o:p>
    นอกเสียจากเราได้เป็นจริงแล้วเราจึงจะรู้ว่าใครเป็นจริงหรือไม่?<o:p></o:p>
    การอ้างว่าคนนั้นคนนี้เป็นพระอริยะก็เท่ากับว่าเรายึดถือเขาไปแล้วโดยปริยาย<o:p></o:p>
    ซึ่งมันเป็นการยอมให้เขาครอบงำความคิดของเราแล้วโดยไม่รู้ตัว<o:p></o:p>
    ถ้าเขาสอนผิด เราก็จะพลอยเห็นผิดตามไปด้วยทันที<o:p></o:p>
    ถ้าพระพุทธเจ้าจะเชื่อตามคนอื่น ก็คงไม่มีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเป็นแน่<o:p></o:p>
    เราปรารถนาจะเป็นทาสทางสติปัญญาของผู้อื่นหรือปรารถนาจะเป็นอิสระก็เลือกเอา<o:p></o:p>
    อาตมาพยายามจะช่วยให้ทุกคนเป็นอิสระ <o:p></o:p>
    ไม่ใช่อยากจะได้คนมาเคารพนับถือ<o:p></o:p>
    แต่ถ้าใครไม่ต้องการ อาตมาก็จนปัญญา<o:p></o:p>
     
  9. Police

    Police สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +22
    ถ้าเป็นคดีทางโลกพุทธทาสติดคุกหัวโตไปแล้ว
     
  10. naf06

    naf06 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    577
    ค่าพลัง:
    +2,227
    ตายแล้วสูญ เป็นคำกล่าวที่ถูกต้อง คือสูญสิ้นจากโลกนี้ไปเลย ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลมไฟ กลับสู่ธรรมชาติ แต่เจติสิกตัวสุดท้ายยังคงวนเวียน รอที่จะเกิดเพื่อนับ 1 ใหม่ ตามแรงกรรมที่ได้กระทำไว้ ทำไว้ดี คิดดี ก็ไปกำเนิดเกิดก่อในภพภูมิที่ดี แต่ถ้าทำชั่ว คิดชั่ว ก็ไปกำเนิดเกิดก่อในอบายภูมิ4 เป็นแน่แท้....4444
     
  11. พูดอย่างทำอย่าง

    พูดอย่างทำอย่าง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +5
    มาเป็นพุทธทาสกันเถิด

    มีการเป็นทาสชนิดหนึ่ง เป็นทาสที่ไม่ต้องเลิก ยิ่งมีมาก ยิ่งดี
    ยิ่งเป็นทุกคนด้วยแล้ว โลกยิ่งมีสันติภาพ ไร้วิกฤตกาล
    นั้นคือ การเป็นทาสของพระพุทธองค์ เรียกว่า "พุทธทาส"

    พุทธทาส แปลว่า ผู้รับใช้พระพุทธองค์อย่างถวายชีวิต
    ในฐานะเป็นหนี้ในพระมหากรุณาธิคุณด้วย
    เพราะความกตัญญูด้วย และ
    เพราะเห็นประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ด้วย
    จึงสมัคร มอบกายถวายชีวิตหมดสิ้นทุกประการ
    เพื่อรับใช้พระพุทธองค์
    เพื่อกระทำสิ่งที่เชื่อว่าเป็นพระพุทธประสงค์


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">คัดจาก หนังสือ พุทธสาสนา ปีที่ ๖๗ เล่ม ๒ พุทธศํกราช ๒๕๔๒</TD></TR></TBODY></TABLE>
    พุทธทาส:-พระสูตรทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะ เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องโอปาติกะนั้น ท่านก็โกหกประชาชนและภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย เพราะท่านจำเป็นต้อง "เอออวย"...เรื่อง ทาน ศีล สมาธิ ฤทธิ์ อภิญญา ชาตินี้ ชาติหน้า ภพต่างๆ ภูมิต่างๆ และทางที่กระทำแล้วให้ผลไปสู่ภพภูมิต่างๆ เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย โลกนี้ โลกอื่น ผลของกรรมที่ไม่ให้ผลในชาตินี้ etc...เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้า ท่านโกหกโลก โกหกประชาชน เพราะต้อง "เอออวย" ไปตามสังคมทั้งนั้น ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ใครจะเชื่อพระไตรปิฏก ต้องคิดแบบท่านซะก่อน ถึงจะฉลาด....เพราะคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น ....เชื่อไม่ได้

    หนังสือ ธรรมานุกรมธรรมโฆษณ์
     
  12. GoonS

    GoonS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +2,682
    เเล้วสรุปเป็นยังไงกันเเน่หรอครับ ท่านพุทธทาสเป็นคนยังไงกันเเน่หรอ
    รบกวนบอกหน่อยนะครับ
     
  13. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ขอตอบคุณ GoonS สักนิด
    สงสัยเพิ่งมา เลยไม่เข้าใจ
    ที่ถามว่า...
    เเล้วสรุปเป็นยังไงกันเเน่หรอครับท่านพุทธทาสเป็นคนยังไงกันเเน่หรอ
    รบกวนบอกหน่อยนะครับ.........
    ****ก็ขอตอบว่า ท่านพุทธทาสสอนขัดแย้งกับความเชื่อของชาวพุทธในประเทศไทย รวมทั้งเกือบทั้งโลก****
    ****ท่านสอนว่า นิพพาน คือสภาวะจิตที่เสงบเย็น ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เมื่อเราทำจิตให้ว่างจากกิเลส****
    ****และเป็นสิ่งที่เราทุกคนสามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบัน คือเป็นปัจจัตตัง***
    ****แต่ชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ เพราะเขาเชื่อว่านิพพานคือ ตายแล้วสูญบ้าง หรือตายแล้วมีชีวิตเป็นอมตะบ้าง ****
    ****ตามความเชื่อจากครูอาจารย์ หรือจากตำรา*****
    ****ซึ่งไม่เป็น ปัจจัตตัง เลยสักนิด***
    ***ดังนั้นท่านจึงถูกโจมตีว่าทำลายศาสนา(ของใครก็ไม่รู้)***
    ***แล้วคุณGoonS เห็นว่าอย่างไร?****
    ***ระหว่าง ความจริงในปัจจุบัน กับความเพ้อฝันในอนาคต****<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 ธันวาคม 2007
  14. manson810

    manson810 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    410
    ค่าพลัง:
    +780
    **ก็ขอตอบว่า ท่านพุทธทาสสอนขัดแย้งกับความเชื่อของชาวพุทธในประเทศไทย รวมทั้งเกือบทั้งโลก**
    ---------------------------------------------------------------------------------------------------------
    อ่านแล้วท่าน
    GoonS ก็พิจารณาเอาเถิด
     
  15. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    ผมขอที่อยู่ของท่าน เตชปัญโญภิกขุ หน่อยได้มั้ยครับ
    จะได้ไปกราบนมัสการ สักครั้ง จะได้คุยภาษาธรรมด้วยกัน
    สุดยอดจริงๆ
     
  16. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    ผมขอที่อยู่ของท่าน เตชปัญโญภิกขุ หน่อยได้มั้ยครับ
    จะได้ไปกราบนมัสการ สักครั้ง จะได้คุยภาษาธรรมด้วยกัน
    สุดยอดจริงๆ



    *******ในโลกนี้คนโง่มีมาก หรือคนฉลาดมีมาก****
    ******* อาตมาก็อยู่ในใจของทุกคน ไม่ต้องไปหาที่ไหน****
    *******ความจริง และความถูกต้องในใจของทุกคนนั่นแหละคืออาตมา*****
    *******ค้นหาให้พบ แล้วจะพบอาตมา********
    *******ถ้าไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับเหตุผล ก็ไม่มีทางได้พบอาตมา******<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
     
  17. mali

    mali เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +2,326
    *******ในโลกนี้คนโง่มีมาก หรือคนฉลาดมีมาก****
    ******* อาตมาก็อยู่ในใจของทุกคน ไม่ต้องไปหาที่ไหน****

    *******ความจริง และความถูกต้องในใจของทุกคนนั่นแหละคืออาตมา*****
    *******ค้นหาให้พบ แล้วจะพบอาตมา********
    *******ถ้าไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับเหตุผล ก็ไม่มีทางได้พบอาตมา

    เฮ้อ! ในเมื่อท่านบอกว่าหลักกาลามสูตรเป็นเพชรเม็ดเดียวที่มีค่ามากกว่าเศษแก้วตั้งร้อยตั้งพัน อ่านมา 28 หน้า ดิฉันจึงต้องใช้หลักเดียวกัน(กาลามสูตร)กับคำสอนของท่าน จขกททั้งหมด โดยเฉพาะคำพูดที่ Quote ข้างบนค่ะ <!-- / message -->
     
  18. เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เตชปญฺโญ ภิกขุ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +117
    ตอบข้อข้องใจ โดย เตชปญฺโญ ภิกขุ

    เฮ้อ! ในเมื่อท่านบอกว่าหลักกาลามสูตรเป็นเพชรเม็ดเดียวที่มีค่ามากกว่าเศษแก้วตั้งร้อยตั้งพัน อ่านมา 28 หน้า ดิฉันจึงต้องใช้หลักเดียวกัน(กาลามสูตร)กับคำสอนของท่าน จขกททั้งหมด โดยเฉพาะคำพูดที่ Quote ข้างบนค่ะ
    ********************
    ***คุณ mali เห็นแล้วหนอ เห็นแล้วหนอ ***
    **** แต่..... เห็นทั่วหรือเปล่า? ******
    **** หรือเห็นแค่ตรงนี้*****
    ****แต่พอกลับไปมองครูอาจารย์ของตนเอง กลับมองไม่เห็นอีก ***
    **** อย่ากลับไปมืดบอดอีกก็แล้วกัน ****
    **** จะได้มีคนตาสว่างขึ้นมาบ้าง *****
     
  19. ขาโจ๋ข้าเอง

    ขาโจ๋ข้าเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +4,856
    อย่ามาอยู่ในใจผมเลยนะ
    ไม่อยากจะค้นหาให้เจอ
    แถมดีใจด้วยแฮะที่ไม่ได้พบเจอ
    ตาผมสว่างขึ้นละ
    ไม่อยากกลับไปมืดบอดอีก
    ขอลาละครับพุทธภูมิ
    เป็นสาวกภูมิละครับชาตินี้
     
  20. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านเลิศล้ำ (เสฐียรพงษ์ วรรณปก)
    <HR style="COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านเลิศล้ำ
    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=left bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD><IMG title=">>> การ์ตูน พระพุทธเจ้า ฝีมือคนไทยระดับอินเตอร์ <<<" alt=">>> การ์ตูน พระพุทธเจ้า ฝีมือคนไทยระดับอินเตอร์ <<<" src="http://fwmail.teenee.com/etc/img0/13570.jpg" align=left ?></TD></TR><TR><TD align=middle>>>> การ์ตูน "พระพุทธเจ้า" ฝีมือคนไทยระดับอินเตอร์ <<<</TD></TR></TBODY></TABLE>


    ได้อ่านพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก นานมาแล้ว สมัยยังทรงดำรงสมณศักดิ์ที่ พระสาสนโสภณ (ประมาณนั้น) ขออภัย จำไม่แม่น พระองค์ทรงนิพนธ์เป็นตอนๆ ตั้งชื่อว่า "พระพุทธเจ้าของเรานั้นท่านเลิศล้ำ" ไม่ทราบว่า สำนักพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ยังพิมพ์เผยแพร่อยู่หรือไม่ ถ้าไม่มี ก็น่าจะพิมพ์ เพราะเป็นหนังสือที่ดีมาก เล่าเรื่องพระพุทธเจ้าง่ายๆ เหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา

    วันมาฆบูชาปีนี้ ถือว่าเป็นวันพิเศษ

    พิเศษ เพราะเป็นวันสำคัญอันมีลักษณะพิเศษในทางพระพุทธศาสนา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ร่วมกับรัฐบาล มหาเถรสมาคม สถาบันพระปกเกล้า และกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตร ร่วมกันจัดสัปดาห์วันมาฆบูชา นอกเหนือจากถวายเป็นอามิสบูชาและปฏิบัติบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังมีโครงการไถ่ชีวิตโค-กระบือ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา ในปี พ.ศ.2550 นี้ นับเป็นอุดมมงคลยิ่ง

    พิเศษ เนื่องจากมาฆบูชาปีนี้ ตรงกับวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 4 เพราะเป็นปีอธิกมาส หลายท่านถามว่า ทำไมในบัตรที่แจกบอกว่า เพ็ญเดือน 3 แต่นี่มันเดือน 4 แล้ว พิมพ์ผิดหรือเปล่า ผมตอบว่าไม่ผิดดอก ปีนี้เป็นปีมีอธิกมาส วันมาฆบูชาจึงเลื่อนมาเป็นวันเพ็ญเดือน 4

    ตอบแค่นี้ นึกว่าจะหมดข้อสงสัย เธอก็ถามต่อว่า "อธิกมาส" คืออะไร อธิกมาส แปลตามตัวว่า "เกินมาหนึ่งเดือน" หรือ "เพิ่มมาหนึ่งเดือน" คือปีนี้นับกันจริงๆ มี 13 เดือน ต้องหาทางให้ลดลงมาเหลือ 12 เดือน จึงนับเดือน 8 สองครั้ง อย่างที่เรียกว่า "เดือนแปดสองหน"

    เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ขณะรอเฝ้าฯ รับเสด็จสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงเป็นประธานเปิดสัปดาห์วันมาฆบูชา พลเอก จรัล กุลละวณิชย์ รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปรารภว่า จาตุรงคสันนิบาตคืออะไร และโอวาทปาติโมกข์คืออะไร ต่างจากที่ทรงแสดงในวันวิสาขบูชาอย่างไร คนไทยก็ไม่ค่อยรู้ ผมก็เรียนท่านว่า คงเป็นธรรมดากระมัง เพราะคนไทยทั่วไปก็ไม่ค่อยรู้ ทั้งๆ ที่พระท่านก็เทศน์ให้ฟังเสมอๆ ท่านก็ว่า ต้องเทศน์ย้ำบ่อยๆ หน่อย จะได้จำกันได้

    ครับ ผมเห็นด้วย เพราะทราบว่า รัฐมนตรี (ในอดีต) บางท่านว่า นโม ไม่จบก็มี ท่านไปถวายผ้าพระกฐินที่พระรามหลวงแห่งหนึ่ง ตามปกติเขาจะติดคำถวายไว้ที่ผ้าไตร ประธานฯอ่านตามนั้น ก็ไม่เกิดเรื่อง แต่คราวนั้น เขาเขียน นโม เพียงจบเดียว เพื่อประหยัดกระดาษ

    ท่านรัฐมนตรีว่านโมหนึ่งจบ เจ้าอาวาสท่านก็บอกว่า เจริญพร ให้ว่านโมสามจบ ท่านอดีตรัฐมนตรีก็กระแอมเพื่อให้สุ้มเสียงชัดเจน แล้วก็กล่าวดังๆ ว่า

    "นโม นโม นโม"

    เล่นเอาตะลึงกันทั้งโบสถ์ นี่ถ้าอภิปรายในสภา ก็คงจะพูดตามธรรมเนียมว่า "อดีตรัฐมนตรีท่านนั้นคือ.....(ขออภัยที่เอ่ยนาม)" มีจริงๆ ครับ แต่เอ่ยนามไม่ได้

    วันนั้นผมเดินดูนิทรรศการพุทธประวัติตามซุ้มต่างๆ มีภาพพุทธประวัติวาดสวยงามหลายซุ้ม แต่ก็มาสะดุดตา สะดุดใจที่ซุ้มหนึ่ง ฉากพระนางสิริมหามายามีพระประสูติกาล แทนที่จะเป็นภาพพระนางสิริมหามายาทรงยืนเหนี่ยวกิ่งสาละ และพระราชกุมาร ผินพระพักตร์ไปทางทิศอุดร ทรงชี้พระดรรชนีขึ้นท้องฟ้า เสด็จดำเนินไป 7 ก้าว (ในพระไตรปิฎกไม่มีดอกบัวผุดขึ้นรองรับพระบาท พุทธประวัติเขียนยุคหลังเพิ่มเข้ามา) เปล่ง "อาสภิวาจา" (พระวาจาที่องอาจ) ตามหลักฐานพระไตรปิฎก ที่เราศึกษาเล่าเรียนกันมา

    ท่านผู้จัดทำภาพพุทธประวัติก็จงใจบิดเบือน ให้เจ้าชายสิทธัตถะประสูติอย่างทารกทั่วไป พระนางมิได้ทรงยืน เหนี่ยวกิ่งสาละแต่อย่างใด

    ภาพสวยดีครับ แต่ผิดข้อเท็จจริง และ "สาระ" สูญหายไปหมดสิ้น ต่อไปก็คงจะมีภาพพระนางทรงมีพระประสูติกาลพระราชโอรส ที่โรงพยาบาลชั้นดีแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นแน่แท้

    เมื่อนั้นเด็กๆ ก็จะตอบคำถามของครูได้ง่ายขึ้น

    ครู. "นักเรียน เจ้าชายสิทธัตถะ ประสูติที่ไหน"

    นักเรียน. "ที่สวนลุมพินี ครับ/ค่ะ"

    ครู. "ทำไม เจ้าชายจึงประสูติที่สวนลุมพินี"

    นักเรียน (แย่งกันตอบ) "เพราะใกล้โรงพยาบาลจุฬาฯครับ/ค่ะ"

    ถามว่า ทำไมภาพพุทธประวัติจึงกลายเป็นเช่นนี้ ตอบว่า เพราะครูอาจารย์ และพระสงฆ์องคเจ้าสมัยนี้ไม่ได้อ่านพระคัมภีร์พระไตรปิฎก และอรรถกถา จึงคิดเอาว่า เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

    ศิลปินก็คิดเช่นนี้ จึงวาดให้เหมือนทารกอื่นที่คลอดจากท้องแม่

    สมัยโบราณท่านอธิบายว่า ไม่ได้เดินไม่ได้พูดจริง หากเป็นสัญลักษณ์ว่า เดิน หมายถึงอย่างนั้นๆ พูด หมายถึงอย่างนั้นๆ เจ็ดก้าว หมายถึงอย่างนั้นๆ เป็นต้น ก็เพราะความไม่เชื่ออย่างที่ว่านั้นแหละ แต่ท่านก็ไม่กล้าเปลี่ยนภาพเขียนเหมือนคนปัจจุบันนี้

    ถ้าอ่านพระไตรปิฎกอย่างพินิจพิเคราะห์เสียหน่อยก็จะเห็นว่า ไม่จำต้องแปลเป็นภาษาสัญลักษณ์ดอก แปลตามตัวอักษรนั้นแหละ ถูกต้องแล้ว คือเจ้าชายเดินได้จริง พูดได้จริง

    ลองอ่านข้อความต่อไปนี้ดู

    "เป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ที่ไม่ทั่วไปแก่ชนเหล่าอื่นคือ.....พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะเสด็จจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อลงสู่พระครรภ์แสงสว่างหาประมาณมิได้ปรากฏขึ้นในโลกทั้งปวง หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์แล้ว เทวดา 4 องค์ทำหน้าที่อารักขาในทิศทั้ง 4 ไม่มีใครสามารถเบียดเบียนได้ พระโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์พระมารดา พระมารดาเป็นผู้มีศีล 5 สมบูรณ์ พระโพธิสัตว์อยู่ในครรภ์พระมารดา พระมารดามิได้ฝักใฝ่ในกามคุณในบุรุษ.....หลังจากเสด็จลงสู่พระครรภ์แล้ว พระมารดามิได้มีโรคเบียดเบียน มิได้ลำได้ลำบากพระวรกาย สามารถมองเห็นพระกุมารในพระอุทรมีอวัยวะน้อยใหญ่ครบ พระมารดาให้กำเนิดพระโพธิสัตว์ ต่อเมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ถ้วนทศมาส ผิดกับสามัญชนทั่วไปซึ่งอยู่ในครรภ์ 8-9 เดือน

    เมื่อพระมารดาจะมีพระประสูติกาล จะทรงยืน ไม่นั่งหรือนอนเหมือนหญิงทั่วไป.....พระโพธิสัตว์ไม่เปรอะเปื้อนด้วยมลทินครรภ์ ทรงบริสุทธิ์หมดจด ดุจแก้วมณีวางอยู่บนผ้ากาศิกพัสตร์.....ในบัดดลที่ประสูติ พระโพธิสัตว์ประทับพระยุคลบาทบนแผ่นดิน บ่ายพระพักตร์ไปทางทิศอุดร เสด็จดำเนินไป 7 ก้าว ทรงเหลียวดูทิศทั้งปวงแล้วทรงเปล่ง "อาสภิวาจา" ว่า "เราเป็นผู้เลิศในโลก เราเป็นผู้ประเสริฐสุดในโลก เราเป็นใหญ่ที่สุดในโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป"

    (พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ข้อ 24 หน้า 17)

    ปรากฏการณ์พิเศษต่างๆ เหล่านี้ ท่านว่า เป็น "ธรรมดา" ของพระโพธิสัตว์ มิใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ใดๆ ก็ต้องไล่ต่อไปว่า พระโพธิสัตว์คือใคร พระโพธิสัตว์คือบุคคลผู้บำเพ็ญบารมีจนเต็มเปี่ยมแล้ว พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจึงมีธรรมดาที่ไม่เหมือนคนอื่น เช่นเกิดมาแล้วพูดได้ เดินได้ทันที

    ไม่ใช่เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์แต่อย่างใด เหมือนธรรมดาของนกย่อมบินได้ ธรรมดาของปลาอยู่ในน้ำทั้งวัน นานๆ จะโผล่ขึ้นมาหายใจที ฉันใดฉันนั้น

    กินเนสบุ๊กบันทึกเกี่ยวกับเด็กชายสองคน ผมจำได้คนหนึ่งชื่อ คริสติน ไฮเนเกน เกิดมาสองชั่วโมงพูดได้ อายุสี่ขวบพูดได้เจ็ดภาษา เจ็ดขวบแสดงปาฐกถาเรื่องอภิปรัชญาแก่ประชุมนักปราชญ์โลก เป็นที่ทึ่งไปตามๆ กัน

    กินเนสบุ๊กคงไม่โกหกเรา อย่างน้อยสมัยนี้ สมัยที่เราสามารถสืบหลักฐานได้ เด็กเกิดมาแล้วสองชั่วโมง พูดได้ก็มีแล้ว เทียบกับสมัยโน้น เจ้าชายน้อยพระองค์หนึ่งเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว ทันทีที่ประสูติก็พูดได้ เดินได้ เวลาห่างกันเพียงสองชั่วโมง

    ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับบุคคลผู้มีบุญญาธิการ มีบารมีเต็มเปี่ยมอย่างพระโพธิสัตว์ ที่เกิดทันทีพูดได้ เดินได้

    อนึ่ง ที่พูดได้ เดินได้หลังประสูติ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นชั่วขณะเท่านั้น จากนั้นก็นอนแบเบาะให้เขาเลี้ยงเหมือนเด็กอื่นๆ ทั่วไป



    >>>>> จบ >>>>>



    หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
    คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
    วันที่ 04 มีนาคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10585
    ผมขอลงให้อ่านเรื่องนี้ในประเด็นที่ท่านว่าเตชปัญโญว่าศาสนาพุทธสอนให้งมงาย ท่านพุทธทาสปฏิเสธหมดแม้กระทั่งการดำเนินได้7ก้าวและการเปล่งวาจาอภิสวาจาผมว่าคนที่ปฏิเสธศาสดาตนเองเอาความเห็นตัวเองมายัดเยียดผุ้คนโดยไม่อ้างอิงพระไตรปิฏกคนอย่างนี้สมควรหรือที่จะเป็นทาสผู้ภักดีแห่งพระพุทธองค์หรือเป็นพุทธบุตร บทความนี้ท่านอาจารย์เสฐียรพงษ์นำมาจากสมเด็จพระสังฆราชซึ่งสมเด็จพระสังฆราชพระองค์นี้ทรงเป็นปราชญ์และทรงฝึกทั้งปริยัติและปฏิบัติอย่างช่ำชองหากท่านเตชปัญโญค้านก็คงต้องไปค้านท่านที่วัดบวรเสียกระมัง
     

แชร์หน้านี้

Loading...