ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,372
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,378
    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=8nD7krnTmZ8"]??????????????????????? 0001 - YouTube[/ame]

    เอาเพลงนี้มาให้ทุกคนฟังครับ เพลงนี้เพราะมากครับ อยากให้ฟังกันครับ

    และขออนุโมทนาบุญกับท่านวิทยาด้วยอีกครั้งครับ

    กลับไปอ่านในเรื่องพร 8 ประการ ที่สมเด็จพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ท่านได้ทรงประทานพรให้ ท่านวิดยา ไว้แต่ในอดีต อ่านไปยิ้มไป ปลื้มปิติแทนท่านวิดยาจริงๆนะครับ

    ชาตินี้ท่านก็ได้เกิดมาสงเคราะห์ พวกเราชาวเมืองอีกครั้ง ตามที่ได้เคยร่วมบุญตามๆกันมาแต่ในอดีต นับหลายพุทธันดร
    อนุโมทนาสาธุในบุญทุกประการกับท่านวิดยาด้วยครับ สาธุ มหาสาธุ มหาสาธุ

    สุดท้ายขอให้ ท่านวิดยา สำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแบบพิเศษได้โดยง่ายครับ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2013
  2. Paktawadee

    Paktawadee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2012
    โพสต์:
    170
    ค่าพลัง:
    +2,570
    สาธุ หนูดีขอกราบอนุโมทนาบุญกับท่าน Widya เจ้าค่ะ
    ท่านสำเร็จพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าแบบพิเศษได้โดยง่ายเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

    คุณธรรมวิวัฒน์เพลงเพราะมากค่ะ ความหมายก็ดี ขอบคุณค่ะที่นำมาให้ฟัง

    หนูดี ดีใจมากค่ะที่ได้รู้จักกระทู้และกลัยาณมิตร ได้อ่านประวัติต่างๆ
    มีความปลื้มปิติใจบอกไม่ถูกที่เปิดอ่านทุกครั้ง
    ขออนุโมทนาบุญกับทุุกท่านอีกครั้งค่ะ
    หนูดี
     
  3. NamfonBaanfa

    NamfonBaanfa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    510
    ค่าพลัง:
    +7,086
    ด้วยความยินดีอย่างยิ่งค่ะคุณหม่อน และขอเชิญเพื่อนๆ ทุกท่านมานั่งรอฟังคุณน้ำใสด้วยกัน เดี๋ยวจะไปหยิบพัดลมมาเปิดให้ จะได้ช่วยคลายร้อนให้น้องตาลที่กำลังนั่งกินส้มตำแซ่บๆอยู่ catt3

     
  4. ขาล

    ขาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +4,466
    ตอบรับคำเชิญพี่น้ำฝนด้วยความยินดีค่ะ มานั่งใกล้ๆกันอบอุ่นดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2013
  5. เอ๋ปากน้ำ

    เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    ช่วงที่รอพี่น้ำใส มาเล่าประวัติต่อ..... พอดีไปอ่านเจอ เรื่องราวดีๆ มาแบ่งปันกันอ่านค่ะ พอดีผ่านวันแม่ มา มาดๆจ้า


    ขออนุญาตนำเรื่อง พระคุณแม่..........โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

    ค่อยๆอ่านเอาความเข้าใจเป็นหลักนะครับ หากช่วยแชร์เป็นธรรมทานจักเป็นกุศลอย่างยิ่งครับ

    ท่านโปรดจำไว้วันเกิดของลูกคือวันตายของแม่ เพราะวันที่ลูกเกิดนั้น แม่อาจต้องเสียชีวิต การออกศึกสงครามเป็นการเสี่ยงชีวิตสำหรับคนเป็นพ่อฉันใด การคลอดลูกก็เป็นการเสี่ยงตายสำหรับคนเป็นแม่ฉันนั้น ในสมัยโบราณที่วิทยาการต่างๆ ยังไม่เจริญก้าวหน้าเหมือนสมัยนี้ อัตราการตายเพราะคลอดลูกมีสูงมาก คนโบราณเขาจึงกล่าวว่า วันเกิดของลูกคือวันตายของแม่ เมื่อคลอดลูกแล้ว "แม่" ก็ยังต้องประคบประหงมเลี้ยงดู ให้ดื่มเลือด ในอกเป็นอาหาร ยามที่ลูกเจ็บป่วยก็อมยาพ่น ฝนยาทา รักษากันไปตามมีตามเกิด แม่เฝ้ากล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ กระทั่งลูกแต่งงานมีเหย้ามีเรือนไปแล้ว แม่ก็ยังเฝ้าห่วงใยรักใคร่ไม่จืดจาง

    ตั้งแต่อาตมาคอหัก หายใจทางสะดือ ได้พองหนอยุบหนอคิดถึงแม่ทุกลมหายใจ อาตมาเห็นความทุกข์อย่างแสนสาหัสของคนเป็นแม่ ก็ตอนที่เป็นหมอตำแยทำคลอดให้ผู้หญิงคนหนึ่ง แม้ว่าเรื่องราวจะผ่านพ้นมาห้าสิบกว่าปีแล้ว ก็ยังจำภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ติดตาติดใจมากระทั่งทุกวันนี้

    สมัยนั้นอาตมาอายุสิบหก แต่ยังไม่ประสีประสาอะไร ยังเปลือยกายกระโดดน้ำตูมๆ กับเพื่อนอย่างสนุกสนาน แต่เด็กสมัยนี้อายุสิบหกเป็นหนุ่มกันแล้ว ตอนนั้นอาศัยอยู่กับยาย ลำบากลำบนมาก ต้องหาเงินเรียนเอง ตื่นตั้งแต่ตีสาม หาบของไปขายที่ตลาดบางขาม ห่างจากบ้านไป 14 กิโลเมตร ถึงตลาดตี 4 กว่า ก็นั่งขายของซึ่งเป็นพวกผักสวนครัวที่ช่วยกันปลูกกับยาย พอตีห้าก็ขายหมด บางวันขายไม่ค่อยดีก็ไปหมดเอา 7 โมง จากนั้นก็หาบกระจาดเปล่ากลับบ้าน หิวข้าวก็ต้องอดทน เพราะยายสั่งไม่ให้ซื้อเขากิน ให้กลับมากินบ้านเรา ยายว่าซื้อเขากินมันแพง จานละตั้งสามสตางค์ สู้กลับมากินข้าวที่บ้านไม่ได้ อาตมาก็จำเป็นต้องเชื่อยาย บางทีกว่าจะถึงบ้านหิวแทบลมจับ

    อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่อาตมาหาบกระจาดเปล่ากลับบ้าน ก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งกลางทาง เขากำลังท้องแก่ จะเดินทางไปคลอดลูกที่บ้านแม่ของเขา ที่ต้องเดินทางไปคลอดบ้านแม่ เพราะเขาอยู่กับพ่อผัวแม่ผัว ซึ่งรังเกียจว่าเขาจนและไม่ยอมช่วยเหลือเกื้อกูลแต่ประการใด เดินทางไปได้ครึ่งทางก็เกิดปวดท้องนอนร้องครวญครางอยู่ใต้ต้นไทร พอเห็นอาตมาเดินผ่านมาเขาก็ดีใจร้องบอกกับอาตมาให้ช่วยเขาด้วย เขาปวดท้องใจจะขาดอยู่แล้ว ช่วยเอาลูกออกให้ที อาตมาถึงจะอายุสิบหกแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเขาออกลูกกันอย่างไร ผู้ใหญ่เขาเคยพูดให้ฟังว่าเขาออกลูกทางปาก บางคนก็บอกออกทางสะดือ บางคนก็ว่าออกทางก้น อาตมาก็เชื่อนึกว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ที่แท้ก็ถูกผู้ใหญ่หลอก เพิ่งมารู้ความจริงตอนทำคลอดครั้งนี้นั่นแหละ

    ผู้หญิงคนนั้นเขาก็ร้องใหญ่บอกปวดมากแล้วก็เป็นลูกท้องแรก จึงยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องการคลอดลูกมาก่อน ได้ยินเขาร้องโอยๆ อาตมาก็ทำอะไรไม่ถูก เลยถามเขาว่าจะให้ช่วยอย่างไร เขาก็บอกช่วยดึงเด็กออกจากท้องให้เขาที มันกำลังจะออกแล้ว อาตมาก็ยังงงอยู่เลย นึกถึงเทวดา ก็นึกตามประสาเด็กๆ ไม่รู้ว่าเทวดามีจริงหรือเปล่า แต่ยายเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ก็คิดว่าคงจะมีมั้ง เลยประนมมือบอก รุกขเทวดาประจำต้นไทรให้ช่วย แล้วก็ร่ายคาถาชุมนุมเทวดาที่ยายเคยสอนจนจำได้ขึ้นใจ พอว่าคาถาจบ เทวดาเข้าสิงอาตมาเลย ที่รู้ว่าเทวดาเข้าสิงเพราะท่านมากระซิบข้างหูว่า "ดึงเด็กออกมา ดึงเด็กออกมา" อาตมาถาม "ดึงยังไง เด็กอยู่ที่ไหน" เทวดาบอก "อยู่ในท้อง เอามือล้วงเข้าไปในผ้านุ่งก็จะเจอหัวเด็ก" อาตมาก็ทำตามดึงพรวดสุดแรงเลย เสียงผู้หญิงร้องกรี๊ดและสลบเหมือดไป

    อาตมาก็ตกใจเพราะเห็นไส้ยาวๆ ติดตัวเด็กออกมา คิดว่าเราคงดึงไส้ผู้หญิงคนนั้นออกมาหมดท้องกระมัง เขาคงต้องตายแน่ๆ จะทำยังไงดีหนอ เสียงเทวดากระซิบข้างหูว่า "ไม่ตายหรอก แค่สลบไปเท่านั้น" ไปจัดการตัดสายรกให้เด็กก่อน ที่เธอเห็นนั้นแหละเรียกว่า สายรก ไม่ใช่ไส้เขาหรอก" อาตมาก็ถามว่า "เอาอะไรตัดล่ะ มีดพร้าก็ไม่มี" เทวดาบอก "เอาเล็บของเธอนั่นแหละ จิกแน่นๆ แล้วดึง มันจะขาดเอง" สมัยนั้นหนุ่มรุ่นๆ เขานิยมไว้เล็บยาวกันเรียกว่าเป็นแฟชั่น อาตมาก็ไว้กับเขา คือเขาจะไว้เล็บข้างละสองนิ้ว นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วก้อย อาตมาก็ทำตามที่เทวดาบอก พอรกขาดเลือดพุ่งเลย เด็กส่งเสียงร้องอุแว้ๆ ลั่นป่า เทวดาบอกอีกว่า "ไปเอาฝุ่นมาโรงตรงแผล" อาตมาก็กอบฝุ่นโรยลงไป ปรากฏว่าเลือดหยุดไหลแต่เด็กไม่หยุดร้อง เทวดาก็กระซิบข้างหูอีกว่า "ดูดเลือดที่คั่งในปากออกมา" อาตมาก็เอามือง้างปากเด็ก ดูดเลือดและเสมหะออก แล้วบ้วนทิ้ง ไม่ได้นึกรังเกียจ เพราะกลัวเด็กจะตาย

    เทวดาบอกอีกว่า "เอากระบอกไปตักน้ำมาหยอดปาก" พอดีมีกระบอกไม้อันหนึ่งแขวนอยู่ที่กิ่งไทร ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครนำไปแขวนไว้ ข้างๆ ต้นไทรมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง อาตมาจึงหยิบกระบอกเดินไปตักน้ำมาหยอดใส่ปากเด็ก เจ้าหนูหยุดร้องไห้เลย ดูดหยดน้ำจากนิ้วมืออาตมาเสียงดังจั๊บๆ เป็นภาพที่ซึ้งใจอาตมามาจนถึงทุกวันนี้ ได้เห็นสัญชาติญาณการดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของชีวิต ก็ตอนที่เจ้าหนูดูดน้ำจากนิ้วมือนี้แหละ พอได้น้ำเจ้าหนูก็หยุดร้อง ส่วนแม่นั้นสักพักเขาก็ฟื้นถามว่า "ลูกเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย" พอรู้ว่าได้ลูกชายก็ดีใจ อาตมาก็เลยช่วยพากลับบ้านทั้งแม่ทั้งลูก หญิงคนนั้นเป็นเจ้าของตลาดท่าแค ลพบุรี ร่ำรวยมาก นี่แหละที่ทำให้อาตมาเห็นใจคนเป็นแม่และรักแม่มาตั้งแต่บัดนั้น อาตมาสงสารลูกผู้หญิงมาก เห็นคนท้องเดินมาก็จะแผ่เมตตาขอให้เขาคลอดง่าย เพราะเราเห็นว่าการคลอดลูกนั้นเป็นการเสี่ยงชีวิตเหมือนการออกศึกสงครามทีเดียว

    เดี๋ยวนี้อาตมาไม่สอนคนแก่เพราะคนแก่ไม่มีพิษมีภัย อีกไม่นานก็ตายแล้ว สอนเด็กรุ่นใหม่แทนเพราะเมื่อคนรุ่นใหม่ดี รุ่นต่อๆ ไปก็จะดีไม่เป็นวายร้ายหรือภัยสังคม สอนเด็กว่าวันเกิดของเราอย่าพาเพื่อนมาให้พ่อแม่ทำครัวเลี้ยงนะ เธอจะบาป ทำมาหากินไม่ขึ้น เธอต้องเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ให้อิ่มก่อน แล้วจึงไปเลี้ยงเพื่อนทีหลังจึงจะถูกต้อง

    พ่อแม่เลี้ยงลูกเปรียบเสมือนปลูกต้นไม้ ปลูกอย่างมีระเบียบแบบแผน ต้นไม้ก็จะขึ้นอย่างมีระเบียบสวยงามตามแบบตามแผนที่วางไว้ ถ้าปลูกอย่างไม่มีระเบียบปลูกตรงโน้นต้นหนึ่ง ตรงนี้ต้นหนึ่ง นึกจะปลูกตรงไหนก็ปลูก เกะกะเต็มไปหมด มองดูรกรุงรัง หาความสวยงามไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้จะไปโทษต้นไม้ว่ามันขึ้นไม่เป็นระเบียบจะถูกหรือ จะต้องโทษคนปลูก เพราะคนปลูกไม่มีระเบียบ ต้นไม้จึงขึ้นอย่างไม่มีระเบียบ

    ความรักของแม่มีหลายรูปแบบ มีแม่คนหนึ่งมาบอก "หลวงพ่อเจ้าคะ ดิฉันเลี้ยงลูกมานี่ ลูกมันไม่เอาไหนเลย ขอมาฝากบวช 7 วัน" บอกเสร็จก็ออกไปสักครู่ก็กลับมาอีก กำชับอีกว่า "สอนลูกฉันให้ดีๆ นะ" ออกไปอีก กลับมาย้ำอีกทีว่า "ช่วยสอนลูกฉันให้ดีๆ นะ" อาตมาก็ต้องเรียกเข้ามานั่ง แล้วให้คติธรรม "นี่โยมน่ะเป็นแม่เขาใช่ไหม" "ใช่เจ้าค่ะ" "โยมสอนลูกมาตั้ง 20 ปี เอาดีไม่ได้ แล้วจะมาให้อาตมาสอน 7 วันจะดีหรือ" อย่างนี้ต้องเรียกว่าจะมากไป สอนลูกไม่เอาไหน ไม่ใช่ลูกไม่ดีนะ ตัวแม่ไม่ดี ไม่เคยสอนลูกสวดมนต์ไหว้พระเลย อยากให้ลูกดีต้องสอนให้ลูกสวดมนต์ ลูกจะมีระเบียบวินัย โตขึ้นไม่เถียงพ่อเถียงแม่ เมื่ออยู่ในวัยศึกษาก็รับผิดชอบสูง แม้ไปศึกษายังต่างประเทศลูกจะวางตัวดี พ่อไม่ไม่ต้องคอยติดตามทุกฝีก้าวทุกระยะ

    อีกรายเป็นแม่ปริญญาโท มาให้อาตมาช่วยเป่าหัวให้ลูกชายหน่อยจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย อาตมาบอก "ขอเจริญพร ขอตั้งสติสักนาที" คิดหนอ เห็นหนอ แม่คนนี้หนอ เป่าให้ไม่ได้หนอ เป่าแล้วเสียลมจากคอเราหนอ เมื่อคืนนี้แม่เอาหนังมาดูถึงตอนตี 2 นี่หรือจะให้เป่าหัว เป่าแทบตายก็ไม่ได้เรื่อง จึงบอกไปว่า "หนู หลวงพ่อเป่าไม่ได้ เมื่อคืนดูหนังอะไรกัน" ลูกชายบอก "จริงหลวงพ่อ ตี 2 ผมง่วง ยังดึงผมหยิกผมให้ลุกมาดูด้วย" แม่อย่างนี้จะให้สอบเข้าได้อย่างไร อย่างนี้พระเป่าหัวก็เป็นพระโง่ เพี้ยงดีๆ ยังไง เป่าแล้วดีเป่าแล้วรวย แต่ขี้เกียจสะบัดอย่างนี้ก็ช่วยไม่ได้ถ้าไม่ช่วยตัวเองก่อน

    ขอฝากไว้คนที่เป็น "แม่" นั้นต้องทำให้ถูกต้อง ถูกบทหมดจดเหมาะเจาะอยู่ที่ "แม่" ส่วนพ่อมีความสำคัญไม่เท่าแม่ พ่อเปรียบเสมือนพระอาทิตย์ที่ให้ความอบอุ่น ส่วนแม่เปรียบเสมือนพระจันทร์ หากพ่อเล่นการพนันไม่เอาไหนไม่เป็นไร แม่นั้นสำคัญมาก แม่จะต้องรักษาลูกไว้ แม่ที่ดีต้องเป็นแม่แบบแม่แผน แม่แปลน แม่บันได แม่บ้านแม่เรือน แม่เคหะศาสตร์ แม่แผนผัง แม่กุญแจอยู่ตรงนี้

    ลูกจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับแม่เป็นหลักให้ลูก ไม่ใช่พ่อ ถึงพ่อแสนดี แม่ฉุยแฉกแตกราน สุรุ่ยสุร่ายไม่เอาไหน ไม่รู้จักเก็บงำทำให้ดี ไม่เป็นแบบที่ดีของลูก รับรองบ้านนั้นเจ๊งแน่ๆ ถ้าพ่อดีแม่ดีเปรียบเสมือนอาคารแน่นลูกดีมีปัญญา เหมือนมีเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงประดับบ้าน ฉะนั้น พ่อแม่เท่านั้นที่ทำความดีให้กับลูก ทำถูกให้กับหลาน เป็นกฎแห่งกรรม จากการกระทำของพ่อแม่ ทำให้ลูกชอบ พูดให้ลูกเชื่อ ตามใจในสิ่งที่ถูก ทำตัวอย่างให้ลูกดู สร้างความดีให้ลูกเห็น โบราณท่านว่าไว้ อย่าอยู่ว่าง อย่าห่างผู้ใหญ่ ลูกจะหลงทางได้ง่าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 สิงหาคม 2013
  6. เอ๋ปากน้ำ

    เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    อีกเรื่องต้องเรียกว่า หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง เรื่องมีอยู่ว่า มีเด็กประถม 4 คนหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นดอกเตอร์อยู่สหรัฐอเมริกา พ่อกินเหล้า สูบกัญชายาฝิ่น ชอบเล่นการพนัน ตีไก่อยู่ที่บางระจัน สิงห์บุรี แม่ก็หาหวยตามวัด อาตมาดูหนูคนนี้แล้วบอกต้องเป็นใหญ่เป็นโตแน่ จดไว้เป็นกฎแห่งกรรม ติดตามดูแลโดยต่อเนื่อง อาตมาประสบมาเราก็ต้องจดต้องจำ จึงจะกำหนดจดจำ ก็จดชื่อไว้ บอกเด็กไปว่าหลวงพ่อจะสอน จะให้ตังค์ไป 100 บาท ถามว่า เขาเกิดวันอะไร เขาบอกเกิดวันอังคาร หลวงพ่อสอนเด็กคนนี้ครั้งเดียวจำได้
    บอกวันเกิด หนูซื้อขนม 2 ห่อ เรียกพ่อแม่มาคู่กันแล้วกราบนะลูกนะ พ่อก็เมา แม่ก็บอกเดี๋ยวจะรีบไปวัด ลูกก็บอกเดี๋ยว ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไปไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่ ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา 2 ห่อ ให้แม่ก่อน 1 ห่อ เพราะแม่อุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก 1 ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีต่อพ่อแม่แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง แล้วลูกจะเรียนหนังสือให้เก่งให้ก้าวหน้า พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วง สร่างเมาเลย ส่วนแม่ก็ร้องไห้ ลูกไปโรงเรียนแล้ว พ่อแม่ก็สำนึกได้บอกลูกมันปฏิญาณตนเป็นคนดีแล้ว เรายังทำตัวอย่างไม่ดีให้ลูกดูอีกหรือ ตกลงพ่อแม่ก็ปฏิญาณตนกัน พ่อก็บอกข้าจะเลิกสูบกัญชา เลิกกินเหล้า และข้างฝ่ายแม่ก็เลิกหาหวยตามวัด ลูกจบปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไปต่อดอกเตอร์ที่สหรัฐฯ ได้ดีแล้วเขาก็ไม่ลืมวัดอัมพวัน ไม่ลืมอาตมา ยังมาทำบุญถวายข้าวสารทีละ 50 กระสอบ

    อาตมาไม่สอนใครไปสู่สวรรค์นิพพาน แต่สอนกรรมฐานให้ระลึกชาติได้ ระลึกบุญคุณคนได้ นึกถึงพ่อแม่ นึกถึงตัวเองและสงสารตัวเอง จะได้ทำแต่สิ่งดีๆ แค่นี้พอก่อน บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่ ไม่งั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังเลยดำน้ำไม่โผล่

    หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่เหลือจะนับจะประมาณนั้น คือหนี้พระคุณของบิดามารดา คำพังเพยเปรียบเทียบสั่งสอนมาสองพันกว่าปีแล้ว ว่าจะเอาท้องฟ้าหรือแผ่นดินมาเป็นกระดาษ เอาเขาพระสุเมรุมาศมาเป็นปากกา จะเอาน้ำมหาสมุทรมาเป็นน้ำหมึก ก็ไม่สามารถจะจารึกพระคุณของบิดามารดาไว้ได้ เพราะน้ำในมหาสมุทรจะเหือดแห้งหมด ก่อนที่จะจารึกพระคุณบิดามารดาได้จบสิ้น คนอื่นที่เป็นเพื่อนที่รักหรือยอดหัวใจก็ยังมีโทษแก่ตัวเรา รักเราไม่จริงเหมือนบิดามารดา เขาพึ่งเราได้จึงมารักเรา

    นี่แหละท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึกรามบ้านช่องมาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้แล้ว เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว เรียนสำเร็จแล้วยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้างรับรองทำมาหากินไม่ขึ้น

    คนไม่ทำกิจวัตร ไม่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่รับผิดชอบ แปลว่า คนนั้นเกลียดตัวเอง กินเหล้าเมาสุรา เล่นการพนัน เที่ยวสรวลเสเฮฮา กินโต้รุ่ง พ่อแม่ก็เสียใจยังไปว่าพ่อแม่ ไปทวงหนี้ เอาทรัพย์สมบัติพ่อแม่มาฉุยแฉกแตกราน นี่คือลูกสะสมหนี้ ไม่ยอมใช้หนี้ เดี๋ยวนี้ตัวเราไม่สงสารแล้วกินเหล้าเข้าไป ทรัพย์สมบัติพ่อแม่ให้มาก็ขายแจกจ่ายให้หมด ไม่มีเหลือเลย ตัวเองก็จะขายตัวกิน ขายตัวเองเขาก็ไม่เอาอีก เพราะขี้เกียจเช่นนี้ ขอฝากท่านเป็นข้อคิด พ่อแม่นั้นมีบุญคุณต่อเรามากในมาตาปิตุคุณสูตร พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า ลูกจะให้แม่นั่งบนบ่าขวา ให้พ่อนั่งบนบ่าซ้าย ถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงไปบนบ่าลูก ลูกเป็นผู้เช็ดให้ หาอาหารมาป้อนให้ กระทั่งจนท่านตายหรือกระทั่งลูกตายไป ก็ไม่สามารถจะตอบแทนพระคุณค่าป้อนข้าวป้อนน้ำนมที่ท่านได้ถนอมกล่อมเกลี้ยงบำรุงเลี้ยงมาอย่างดีได้

    ทำอย่างไรให้ได้ชื่อว่า ได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างเลิศที่สุด สรุปคือ ถ้าพ่อแม่เป็นมิจฉาทิฏฐิแล้ว ลูกสามารถชักจูงพ่อแม่ให้กลับเป็นสัมมาทิฎฐิได้นั้น ถือว่าได้ทดแทนคุณอย่างเลิศ เช่น พ่อแม่มีความเห็นผิด เป็นต้นว่าไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ แล้วลูกสามารถชักจูงชี้แจงให้ท่านมีความเห็นที่ถูกต้อง เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บุญบาปมีจริง ถ้าทำอย่างนี้ได้ถือว่า ทดแทนบุญคุณอย่างเลิศที่สุด

    วิธีใช้หนี้พ่อแม่ไม่ยากเลยลูกทั้งหลายเอ๋ย จงสร้างความดีให้กับตัวเองและก็เป็นการใช้หนี้ตัวเองนี่เป็นเรื่องสำคัญ ตัวเราพ่อให้หัวใจแม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองแล้วอยู่ในตัวเรา จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหนอีกเล่า บางคนรังเกียจ "แม่" ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้วก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการมาเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ ถือว่าได้บุญมากที่สุดทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ

    ถ้าไม่มี "แม่" เราทุกคนก็ไม่ได้เกิด อันนี้เป็นความจริงที่ไม่ต้องพิสูจน์ ผู้ใดก็ตามที่คุณแม่ยังมีชีวิตก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอศีลขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่านก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรมล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ


    คัดลอกจาก :
     
  7. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ นอกจากเรื่องของท่าน widya แล้ว ยังมีเรื่องเกี่ยวกับการสร้างบารมีของคุณ am12 ด้วยค่ะ เรื่องนี้อาจจะคลายความสงสัยเรื่องบางอย่างที่เกิดในชาตินี้ด้วยค่ะ

    ขออนุโมทนาบุญทุก ๆ บุญของคุณam12 และหมู่คณะด้วยค่ะ

    Numsai
     
  8. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรสุทธิวงศา-ศศิมานรินทร์-วิสุทธิปราชญ์ ตอนที่ ๓ วรรณพราหมณ์..

    IMAG1656.jpg IMAG1660.jpg

    จักรวาสิษฐินาถ(สีชมพู)-คุณ sereenon เป็นเจ้าของปัจจุบัน ส่วนด้านขาว "จักรปราชญ์วิสุทธิ์"

    __________________________________________


    กล่าวถึงวรรณพราหมณ์ พระสหายของพระเจ้าปเสนทิศาทนั้น เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล เป็นบุตรของวาสกพราหมณ์ และวาสุณีพราหมณี ซึ่งอยู่เมืองตักศิลา

    เมื่อถึงอายุได้ ๗ ขวบ พราหมณ์ผู้เป็นบิดาได้ส่งไปเรียนกับกสิณพราหมณ์ผู้มีความรู้ และมีชื่อเสียงแห่งเมืองตักศิลา จึงได้พบกับเจ้าชายปเสนทิศาท วิมุตติกุมาร และอัฒจักรกุมาร ซึ่งขณะนั้นต่างมีอายุ ๗ ขวบ ทั้งสองเป็นบุตรมหาเศรษฐีจากเมืองสาเกตนครเช่นกัน ต่างเล่าเรียนจบจนการศึกษาเมื่ออายุได้ ๑๖ ปี

    เมื่อสำเร็จวิชาไตรเพทจากกสินพราหมณ์แล้ว บุตรเศรษฐีทั้งสองคือ วิมุตติมานพ และอัฒจักรมานพได้กลับเมืองสาเกตุนคร เนื่องจากต้องไปช่วยกิจการค้าของบิดา

    ส่วนเจ้าชายปเสนทิศาท ปรารถนาจะท่องเที่ยวไปในเมืองต่าง ๆ เพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ จึงชักชวนวรรณพราหมณ์ออกเดินทางเพื่อแสวงหาความรู้ จนกระทั่งได้มาพบกับพระอัสดงฤาษีในที่สุด ได้อยู่อุปัฏฐากพระอัสดงฤาษีเป็นเวลาหลายเดือน

    แต่เวลานั้นกำลังอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า พระอัสดงฤาษีจึงไม่สอนวิชาใด ๆ ให้ และกล่าวว่า..

    “ถึงเวลาที่จะต้องกลับเมืองไปรับภารกิจต่าง ๆ อีก ๕ ปี เจ้าทั้งสองจงมาที่ป่านี้มาพบอาจารย์ อาจารย์จะสอนวิชาทุกอย่างให้"

    หลังจากทั้งสองกลับยังเมืองของตนแล้ว ต่อมาอีก ๓ ปี เจ้าชายปเสนทิศาททรงมีพระชนมายุได้ ๑๙ ชันษาได้ทรงอภิเษกกับพระนางจันทมาลีเทวี พระบิดา และพระมารดาสวรรคตด้วยโรคปัจจุบัน ทรงขึ้นครองราชย์ในกาลต่อมา ด้วยความสงสารพระอนุชา จึงตกลงกับพระมเหสีว่า จะไม่มีโอรส-ธิดา

    ครั้นหลังครองราชย์ได้ ๒ ปี ครบเวลา ๕ ปีตามกำหนด พระองค์จึงมอบหมายงานให้แก่สันตสิทธิ์อำมาตย์ เป็นผู้รักษาการณ์แทน สันตสิทธิ์อำมาตย์นี้ เป็นพระอนุชาของพระบิดาของพระองค์ เป็นผู้มีความซื่อสัตย์มาก ท่านเป็นสหายกับบิดาของอัฒจักร


    ซึ่งภายหลังได้ถูกโจรปล้นระหว่างทางในการเดินทางไปค้าขาย อัฒจักรกุมารมีอายุได้ ๖ ขวบ ท่านจึงรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม เมื่ออัฒจักรกุมารอายุได้ ๗ ขวบ ท่านจึงได้ส่งไปเรียนพร้อมกับเจ้าชายปเสนทิศาท และวิมุตติกุมารดังกล่าว
    เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าปเสนทิศาทได้ออกเดินทางพร้อมกัณฑบุตร ทหารคู่ใจ ๑ คน เมื่อไปยังป่าที่นัดพบ ก็พบว่า วรรณพราหมณ์รออยู่ก่อนแล้ว จึงได้ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนวิชาจนสำเร็จ
    จากนั้นพระอัสดงฤาษีจึงได้พาไปกราบพระเกษรีฤาษี และท่านให้มอบจักรให้แก่พระเจ้าปเสนทิศาท ๒ องค์ดังที่กล่าวมาแล้ว

    ส่วนวรรณพราหมณ์นั้นได้รับจักร ๒ องค์จากพระเกษรีฤาษีนามว่า “จักรวาสิษฐินาถ-จักรปราชญ์วิสุทธิ์” โดยพระเกษรีฤาษีได้เล่าเรื่องราวของจักรทั้งสองว่า...

    “จักรสีชมพูมีนามว่า “วาสิษฐินาถ” นี้ อธิษฐานโดยวาสิษฐิมาณวิกา ซึ่งเป็นพระธิดาของพญาโภชังคนาคราช แห่งบุรสิทธิ์นคร สมัยก่อนยุคนี้ไป ๕๑ กัปจากนี้ไป และนางเพิ่งออกสมาบัติก่อนหน้านี้เพียง ๑๒๐๐๐ ปีเท่านั้นเอง ขณะนี้ นางอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต หลังจากนั้นนางจะจุติเป็นนาคมาณวิกาอีกครั้งเพื่อแก้คำอธิษฐานแต่กาลก่อน”

    ระหว่างที่พระเกษรีได้เล่าเรื่องราวนั้น ภาพต่าง ๆ ก็ปรากฏแก่เจ้าชายปเสนทิศาท และวรรณพราหมณ์ โดยเฉพาะวรรณพราหมณ์นั้น รู้สึกเจ็บปวดใจที่เห็นภาพนั้น พระเกษรีฤาษีจึงหันไปกล่าวแก่วรรณพราหมณ์ว่า...

    “วาสิษฐิมาณวิกานี้ เคยอธิษฐานเป็นคู่กับเจ้า มาแต่อดีตนับชาติไม่ถ้วน แต่ส่วนใหญ่เจ้าก็ปรารถนาที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ดังเช่นชาตินี้ ทำให้นางเกิดความน้อยใจไม่อยากจะบำเพ็ญบารมีร่วมกันต่อไป พบกันแต่ละชาติมีแต่ความไม่สมปรารถนาในความรัก นั้นเหตุจากกรรมแต่อดีตที่เคยพลัดพรากคนรักของผู้อื่น มาชาตินี้นางจึงไม่ลงมาเกิด

    วรรณพราหมณ์เอ๋ย เส้นทางแห่งการปรารถนาโพธิญาณนั้นยาวไกลนัก ต้องใช้ความอดทนต่อความที่ไม่เข้าใจกัน หากทนกันไหวก็ยังเดินทางกันต่อจนกว่าจะบรรลุความปรารถนานั้น หากทนทุกข์ไม่ได้ก็ต้องลาจากกันไปเป็นเรื่องธรรมดา


    เรื่องการบำเพ็ญบารมีนั้นขึ้นอยู่กับกำลังใจแต่ละคน กำลังใจที่ไม่ท้อแท้ แม้ประสบทุกข์เพียงใด หลวงปู่เองก็เคยพบกับปัญหาอย่างนี้มานับล้าน ๆ ชาติ แต่ต้องทน เพื่อรื้อขนสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากอบายภูมิอย่างถาวร

    เรื่องใจของสตรีนั้น ยากแท้หยั่งถึง แม้จะรักกันเพียงใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของนางผู้นั้นว่าจะอดทนได้หรือไม่ หากกำลังใจอ่อนแอ ก็ย่อมเดินทางไปไม่ถึงฝั่ง ทุกข์สุขอยู่ที่ใจทั้งนั้น เราจึงต้องฝึกใจให้ทนได้ แม้ความทุกข์จะโถมมามากเพียงใด มันก็เพียงเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ทุกอย่างไม่มีอะไรแท้แน่นอน”


    วรรณพราหมณ์นั้น รู้สึกเศร้าใจระคนทุกข์ใจ ปรารถนาที่จะให้นางผู้นั้นพ้นทุกข์ จึงได้ถามพระเกษรีฤาษีว่า..

    “ข้าฯแต่พระอาจารย์ปู่ กระผมควรทำอย่างไร จึงจะทำให้นางนั้นอภัยและอโหสิกรรมได้ขอรับ”


    พระเกษรีฤาษี กล่าวด้วยความเมตตาว่า..

    “ชาตินี้จงเร่งประพฤติธรรม และสร้างบารมีต่าง ๆ และอุทิศบุญนั้นแก่คู่บารมีในอดีต ความจริงแล้ว มีผู้ที่ปรารถนาเป็นคู่บารมีของเจ้า ถึง ๓ คน แต่ชาตินี้ยังไม่มีใครลงมาเกิด และวาสิษฐิมาณวิกานี้ จัดเป็นผู้ที่มีบารมีธรรมใกล้เคียงกันที่สุด

    เจ้าเองในอดีตเป็นคนเจ้าชู้มากรัก ต่างจากปเสนทิศาทที่มีความรักเดียวใจเดียว หนทางการสร้างบารมีจึงต้องพบกับบททดสอบที่ต่างกัน ต้องทนทุกข์ต่างกัน หากไม่ฝึกจิตให้มีความมั่นคงต่อความรักจะทำให้หนทางการสร้างบารมีจะยิ่งยากมากขึ้นไปอีก"


    เมื่อวรรณพราหมณ์ได้ฟังเช่นนั้น จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า..

    “ฟ้าดินโปรดเป็นพยาน แม้หนทางการสร้างบารมีจะยากเพียงใด จะต้องพบกับวิบากกรรมเพียงใด ลูกจะขอมีความมั่นคงในการสร้างบารมีจนกว่าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตเบื้องหน้าพระองค์หนึ่งอย่างไม่แปรเปลี่ยนใจ”



    เมื่อวรรณพราหมณ์อธิษฐานจบ ปรากฏมีเสียงฟ้าคำราม และมีฟ้าผ่าลงมา ๑ ครั้งบริเวณหน้าถ้ำ พระเกษรีฤาษีแย้มสรวล และกล่าวว่า..

    “ฟ้าเบื้องบนเป็นพยานแล้ว เจ้าต้องตั้งใจต่อไปนะอย่าได้ท้อ จักรทั้งสองนี้จะเป็นกำลังใจให้เจ้าบำเพ็ญบารมีได้ง่ายขึ้น จงตั้งใจรักษาไว้

    จักรนี้จะขึ้นมาเพื่อเตือนความจำในการสร้างบารมีของเจ้าทุกภพชาติไป แม้ผู้อื่นจะหาของศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ยาก แต่สำหรับผู้เจ้าของเดิมแล้ว มิได้ยากอย่างนั้น และอาจจะทำให้ผู้อื่นดูเป็นของไม่มีค่าไป

    จงจำไว้นะลูก ใจที่มั่นคงเท่านั้นจะทำให้เราสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา เอาถึงเวลาที่จะต้องกลับไปทำหน้าที่ของตนเองแล้ว ”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2013
  9. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรแก้วสุทธิวงศา- ศศิมานรินทร์ ตอนที่ ๔ กำเนิดจักรวิสุทธิปราชญ์..

    พระเกษรีฤาษีได้นั่งนิ่งสักพักกล่าวว่า..

    “สำหรับจักรปราชญ์วิสุทธิ์นั้น เป็นจักรที่เจ้า(วรรณพราหมณ์) เคยเกิดเป็นพญานาคนามว่า “วิสุทธินาคราช” ได้เข้าสมาบัติก่อนหน้านั้น ๖๑ กัป เมื่อออกสมาบัติมาตรงกับสมัยพระพุทธทีปังกรพุทธเจ้า(ปัจฉิมทีปังกร) แล้วได้อธิษฐานจักรนี้ หลังจากอธิษฐานจักรแล้วนำไปถวายแด่ท้าวสักกเทวราช ขอพร ๘ ประการดังนี้


    ๑. ขอให้เป็นผู้ที่มีคนให้ความช่วยเหลือในทุกภพชาติที่เกิดมาสร้างบารมี
    ๒. ขอให้เป็นผู้ที่เกิดมาในตระกูลดี มีสัมมาทิฐิ
    ๓. ขอให้เป็นผู้ที่ศัตรู และหมู่มารครอบงำมิได้
    ๔. ขอให้เป็นผู้ที่มีครูบาอาจารย์ที่ดี คอยน้อมนำไปในทางที่ดี
    ๕. ขอให้เป็นผู้ที่ทั้งมนุษย์ และเทวดาเมตตารักใคร่
    ๖. หากชาติใดที่ปรารถนาจะบำเพ็ญเนกขัมมบารมี คู่บารมีทั้งหลายอย่าได้ลงมาเกิดพร้อมกัน
    ๗. ขอให้เป็นผู้ที่มีศีลอันบริสุทธิ์ตามฐานะแห่งตนในทุกภพชาติที่เกิดมา
    ๘. ทุกภพชาติที่เกิดมา จักรนี้จะปรากฏมาเพื่อช่วยเหลือเจ้าของ


    นี้คือพร ๘ ประการที่ท้าวสักกเทวราชทรงมอบให้เจ้าในเวลานั้น และท้าวสักกเทวราชในเวลานั้น คือ สมเด็จพระอโนมาทัสสีพุทธเจ้าในกาลต่อมา จงฟังนะ ชาตินี้เจ้าต้องตั้งใจที่จะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีอย่างยิ่งยวดให้สมกับพระองค์เคยให้พรเอาไว้

    เกิดมาชาตินี้ให้พิจารณาความพร่องของตนเองตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมให้ดี แม้ชาตินี้มนุษย์จะมีอายุยืน ก็อย่าได้ประมาท เพราะความประมาทเป็นหนทางแห่งความเสื่อม ชีวิตในโลกมนุษย์นั้น เหมือนพยับแดด ดูสวยงามเมื่ออยู่ไกล เมื่อรู้เห็นตามความจริงแล้ว ล้วนไม่เที่ยงทั้งสิ้น จงตั้งใจพิจารณา


    ชาตินี้ กาลต่อไปจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลกนามว่า “สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้า”
    เมื่อพระองค์ปรากฏแล้ว จงอุปสมบทเป็นพระสาวกของพระองค์ เพื่อศึกษาวิปัสสนา ส่วนพระอาจารย์ปู่นั้น มีภารกิจต้องโปรดพวกนาคทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นเชื้อสายที่เกี่ยวข้องกันมา จึงมิอาจจะสู่พระศาสนาของพระองค์ได้

    ส่วนเจ้านั้น(พระเจ้าปเสนทิศาท) จะต้องดำรงในเพศฆราวาส เพื่อบำเพ็ญทานบารมี และจะได้รับพยากรณ์เบื้องต้นจากพระพุทธองค์ ขอให้รอฟังข่าวเถิด”


    ครั้นทั้งสองได้ฟังพระเกษรีกล่าวจบ ก็ก้มกราบอีกครั้ง พร้อมรับคำจะปฏิบัติตาม กาลต่อมาพระเกษรีฤาษีได้ให้พระอัสดงฤาษีพาทั้งสองกลับยังเมืองของตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2013
  10. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรสุทธิวงศา-ศศิมานรินทร์-วิสุทธิปราชญ์ ตอนที่ ๕ ศีลพราหมณ์

    เมื่อวรรณพราหมณ์กลับมายังเมืองของตนได้เล่าเรื่องนี้แก่บิดามารดาฟัง วรรณพราหมณ์นั้น มีน้องชายร่วมอุทรนามว่า “ศีลพราหมณ์” เป็นผู้จะสืบทอดเจตนารมณ์ของบิดาต่อ บิดามารดาของวรรณพราหมณ์ต่างก็โมทนาสาธุการ พร้อมกล่าวว่า

    “หากวันใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก พวกเราพร้อมจะถวายบุตรชายแรกให้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา”
    เมื่อพราหมณ์ และพราหมณีอธิษฐานจบ เกิดฟ้าร้องสนั่นหวั่นไหว ท่านทั้งสองต่างก็ปิติใจอย่างยิ่ง พร้อมกล่าวแก่วรรณพราหมณ์ว่า เจ้านั้นเป็นผู้มีวาสนา เรื่องการสืบทอดตระกูลเรามิต้องห่วง พ่อจะให้ศีลพราหมณ์เป็นผู้ดูแลต่อ

    ส่วนหญิงที่พ่อหมายหมั้นไว้ให้แต่งงานกับเจ้าก็ไม่ต้องห่วง พ่อจะบอกเหตุผลแก่พราหมณ์ เพื่อนของพ่อเอง


    เมื่อวาสกพราหมณ์กล่าวจบแล้ว วรรณพราหมณ์ได้ก้มกราบผู้เป็นบิดา กาลนั้นศีลพราหมณ์อยู่ระหว่างการไปศึกษากับสำนักของกสินพราหมณ์ ขณะนั้นท่านกสินพราหมณ์ได้ชราภาพมากแล้ว ผู้สอนคือ สิณกพราหมณ์ผู้เป็นศิษย์เอก

    สิณกพราหมณ์นั้น เป็นบุตรบุญธรรม และเป็นศิษย์เอกของกสินพราหมณ์ การมาจุติของสิณกพราหมณ์นั้น เป็นเรื่องแปลกว่า อยู่เกิดลมพายุ และฟ้าผ่าในคืนนั้น รุ่งเช้ามีผู้เป็นเด็กผู้ชาย นอนอยู่บนกอหญ้าใกล้สำนักตักศิลา จึงได้นำเด็กทารกนั้นมามอบให้ท่านกสินพราหมณ์ ท่านกสินพราหมณ์ตรวจดูดวงชะตานี้ต้องกับตน จึงใช้น้ำผึ้ง และนมแพะเลี้ยงสิณกพราหมณ์จนเติบใหญ่

    ขณะที่เจ้าชายปเสนทิศาท และวรรณพราหมณ์ไปเรียนวิชาไตรเพทนั้น สิณกพราหมณ์มีอายุได้เพียง ๒ ขวบ เมื่อเติบใหญ่ ท่านกสิณพราหมณ์ได้สอนวิชาทุกอย่างให้ และภายหลังได้แต่งตั้งให้เป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาต่อ ส่วนกสิณพราหมณ์เมื่อแก่ชราได้เก็บตัวบำเพียรอยู่ในถ้ำใกล้สำนักนั้น ไม่มีใครได้พบท่าน นอกจากสิณกพราหมณ์ เมื่อศีลพราหมณ์ไปศึกษาวิชา สิณกพราหมณ์จึงเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาให้ดังกล่าว

    หลังจากสำเร็จวิชาแล้ว ได้เดินทางกลับบ้าน ได้พบกับวรรณพราหมณ์ก็รู้สึกดีใจอย่างมาก แต่เมื่อทราบวรรณพราหมณ์จะออกบวช ศีลพราหมณ์นั้นรู้สึกใจหาย เนื่องจากตนเองก็มีความปรารถนาเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ไม่กล้าเอ่ยปาก ศีลพราหมณ์นั้นเป็นผู้มีความกตัญญูมากจึงได้แต่รับคำ และได้อธิษฐานในใจว่า..

    “ในชาติต่อไป ขอให้ข้าพเจ้าได้เกิดมาเป็นชาย และได้ออกบำเพ็ญธรรมดังเช่นท่านพี่วรรณพราหมณ์เช่นนี้ อย่าได้มีอุปสรรคในการออกบวชเลย”

    ศีลพราหมณ์นั้นเป็นผู้ที่มีชอบเรียนวิชาต่าง ๆ ในช่วงที่วรรณพราหมณ์ยังไม่ได้ออกบวช จึงได้ขออนุญาตบิดาออกเดินทางแสวงหาครูอาจารย์ต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  11. mooom

    mooom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +9,291
    ขออนุโมทนาบุญกับท่านวิทยาและคุณam12ด้วยครับ ขอให้สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณโดยเร็วนะครับ ผมขอจองที่นั่งเฝ้าดูการบำเพ็ญบารมีด้วยคนครับ ขออนุโมทนาบุญกับธรรมทานที่พี่น้ำใสและทุกๆท่านพิมพ์ให้อ่านอยู่เสมอๆด้วยครับ และขออนุโมทนาบุญกับการหมั่นทำความดีของกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยครับ
     
  12. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    สาธุ สาธุ สาธุ ขออนุโมทนาบุญกับคุณ mooom ด้วยค่ะ ในประวัติเรื่องนี้ คุณ mooom จัดเป็นผู้ที่ขยันเกิดอีกท่านหนึ่งค่ะ ในชาตินี้เกิดเป็นสิณกพราหมณ์ค่ะ ซึ่งกสิณพราหมณ์ในชาตินี้ คือ ท่านสัจจฤาษีในปัจจุบันค่ะ

    ขออนุญาตเฉลยไปเป็นตอน ๆ เลยจะได้เข้าใจเรื่องราวมากขึ้นค่ะ

    Numsai
     
  13. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรแก้วสุทธิวงศา(สีขาว)- ศศิมานรินทร์(สีชมพู) ตอนที่ ๖ อกุศลกรรมส่งผล..

    กล่าวถึงวรรณพราหมณ์นั้น หลังจากได้จักรแก้วทั้งสองมาแล้ว ปรารถนาจะพบกับเทพธิดาวาสิษฐินาถ เพื่อขออโหสิกรรม แต่ปรารถนาว่าเทพธิดานั้น ยังไม่ออกจากสมาบัติจึงไม่สามารถติดต่อได้ จึงอยากทราบเหตุการณ์ต่าง ๆ จึงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระอัสดงฤาษีผู้เป็นอาจารย์ให้ความกระจ่าง ด้วยยังไม่ถึงวาระทำให้วรรณพราหมณ์ไม่สามารถติดต่อพระอัสดงฤาษีได้ เนื่องจากท่านอยู่ในระหว่างการเข้าสมาบัติ

    วรรณพราหมณ์จึงคิดจะสร้างกุศลใหญ่ ขอวาสกพราหมณ์ผู้เป็นบิดา นำทรัพย์ในส่วนของตนแจกจ่ายแก่ผู้ยากไร้ และจัดสรรที่ดินที่เป็นส่วนของตนแก่ขอทาน เพื่อรอเวลาการมาบังเกิดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยใจจดจ่อ แม้มีความพยายามสร้างทานบารมีอย่างไร กลับยังไม่ทำให้วรรณพราหมณ์ร้อนใจในเรื่องของวาสิษฐินาถเทพธิดาแต่อย่างใด

    จึงคิดว่า หากตนยังดำรงอยู่เช่นนี้มีแต่จะทำให้จิตใจร้อนรุ่ม จึงขอบิดาเข้าสมาบัติเป็นเวลา ๓ เดือน ฝ่ายวาสกพราหมณ์นั้นได้อนุญาตให้วรรณพราหมณ์ได้ทำตามที่ขอทุกประการ


    สถานที่เข้าสมาบัติของวรรณพราหมณ์นั้น เป็นถ้ำที่อยู่ติดกับที่ดินของวาสกพราหมณ์ ซึ่งเป็นถ้ำที่ผู้คนในเมืองสามารถเข้าออกได้ ระหว่างที่วรรณพราหมณ์เดินทางไปนั้น

    มีหญิงสาวผู้หนึ่งได้ร้องขอความช่วยเหลือ เนื่องจากถูกโจรป่าจะทำร้าย วรรณพราหมณ์ได้เข้าไปช่วยเหลือจนพ้นภัย และพานางกลับยังเรือนของนาง ภายหลังทราบชื่อว่า “มาริกา”

    เป็นบุตรสาวของนายช่างไม้ผู้หนึ่งในเมืองตักศิลา ด้วยรูปร่างหน้าตาสง่างามของวรรณพราหมณ์ ประกอบกับกิริยาท่าทางนุ่มนวล ทำให้นางมาริกาถึงกับตกหลุมรักวรรณพราหมณ์ทันที

    ส่วนวรรณพราหมณ์นั้น มิได้ได้สนใจแต่อย่างใด เมื่อส่งนางมาริกาถึงเรือนแล้ว จึงเดินทางต่อไป ส่วนนางมาริกานั้น ได้จ้างเด็กเลี้ยงโคให้คอยติดตามวรรณพราหมณ์จนทราบว่า วรรณพราหมณ์บำเพียรอยู่ที่ใด นางจึงหาทางติดตาม เพื่อใกล้ชิดโดยที่วรรณพราหมณ์นั้นไม่รู้ตัว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  14. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ๑๖ สค.นี้ ๑๘.๐๐ น. -ขอเชิญประมูลดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ ขนาด ๑๐ กก.ค่ะ

    ดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ ปรากฏครั้งล่าสุดก่อนสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้า ขนาด ๑๐ กก. อัญเชิญจากถ้ำแห่งหนึ่งในเทือกเขาภูพาน

    แก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์.jpg

    ดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ อธิษฐานโดยพระเกษรีฤาษี มีกายสิทธิ์ ๓๒,๘๙๐,๐๐๐ องค์ มีพระโภคราชรัตนโพธิสัตว์ เป็นหัวหน้ากายสิทธิ์ ปัจจุบันอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต (ลำดับ ๖๔)


    เริ่มประมูลที่ ๑๗,๙๙๙ บาท

    กติกาในการประมูล


    ๑. เริ่มวันที่ ๑๕-๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ ภายใน ๑๘.๐๐ น. ตามฤกษ์พรหมสิทธิ์ และมหัทธโนฤกษ์ ตรงกับขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๙ ปีมะเส็ง
    ๒. รายการประมูลจะมอบแด่ท่านที่ประมูลราคาสูงสุดภายในเวลาที่กำหนด (ตามเวลาเว็บพลังจิต.org)
    ๓. หากที่มีผู้ประมูลราคาสูงสุด และเวลาเท่ากัน ๒ ท่าน จะตัดสินด้วยผู้ที่ทำการโพสต์ก่อนเป็นอันดับแรก
    ๔. หลังจากปิดการประมูล โอนปัจจัยภายใน ๒ วันหลังจากโอนปัจจัยแล้ว หากเลย ๒ วันจะมอบสิทธิ์แก่ผู้ที่ประมูลรายต่อไป
    ๕. หลังจากโอนปัจจัย กรุณาแจ้งชื่อ-ที่อยู่ใน PM-Numsai แล้วจะทำการส่งมอบดวงแก้วให้แก่ผู้เป็นเจ้าของต่อไปค่ะ



    กรุณาโอนปัจจัยไปที่......



    ชื่อบัญชี พุทธารา โรจนฤทธิกร
    เลขที่ 080-252647-2
    ธนาคาร ไทยพาณิชย์
    สาขา ถนนศรีนครินทร์ (กรุงเทพ – กรีฑา)
    ประเภท ออมทรัพย์-แบบสะสมทรัพย์



    ปัจจัยส่วนหนึ่งหลังหักค่าใช้จ่าย เพื่อนำไปร่วมบุญดังนี้

    ๑. ๑๐ % เข้ากองบุญสมเด็จพระพุทธวิปัสสีโภคมหาบพิตร
    ๒. ๑๐ % ร่วมบุญกฐินวัดภูเงิน จ.สระบุรี

    ๓. ๕ % ร่วมบุญวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

    ๔. ๕ % เข้าโครงการฝึกมโนมยิทธิ วัดท่าซุง


    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ
    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  15. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรแก้วสุทธิวงศา(สีขาว)- ศศิมานรินทร์(สีชมพู) ตอนที่ ๗ บุพกรรมแต่กาลก่อน

    ฝ่ายวรรณพราหมณ์นั้น เมื่อถึงถ้ำแล้ว ได้เดินทางสำรวจลำธาร เพื่อใช้สำหรับอาบน้ำ และดื่ม โดยตั้งใจว่า ช่วงแรกจะบำเพ็ญเพียร เพื่อพิจารณาธรรมก่อน จากนั้นค่อยเข้าสมาบัติเป็นเวลา จากถ้ำไปยังลำธารนั้น ห่างไกลกันพอสมควร โดยระหว่างทางนั้นเป็นป่า

    นางมาริกานั้นได้เด็กเลี้ยงโคสังเกตว่า มีที่ใดบ้างที่จะเหมาะเป็นที่นางจะได้พบกับวรรณพราหมณ์ พบว่า มีต้นไม้ใหญ่พอจะหลบหลังต้นไม้ได้ นางจึงวางแผนหาเหตุที่จะพบวรรณพราหมณ์อีกครั้ง

    หลังจากได้ทำความสะอาดสถานที่เรียบร้อยแล้ว วรรณพราหมณ์ได้ไปอาบน้ำยังลำธารนั้น ปรากฏว่า นางมาริกานั้นได้ออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ ทำให้วรรณพราหมณ์ถึงกับเก้อเขิน ได้เพียงแต่พูดว่า..

    “น้องหญิง มาได้อย่างไร สถานที่แห่งนี้มิควรที่สตรีจะมา ที่นี่เป็นป่าใหญ่ มีเพียงนักบวชบำเพ็ญธรรม และโจรป่าเท่านั้นที่จะผ่านมาทางนี้ ขอนางจงหลีกไปเถิด”

    นางมาริกานั้น ได้กล่าวว่า “ท่านพราหมณ์ ข้าฯรู้สึกมีวาสนาได้พบท่าน ท่านทำให้ข้าฯ รู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่า มีคนปกป้อง ข้าฯเพียงแต่ขอปรนนิบัติรับใช้ท่าน เพื่อเป็นการตอบแทน”

    วรรณพราหมณ์เมื่อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวว่า...

    “น้องหญิง เราช่วยนางมิหวังสิ่งใดตอบแทน เราจะมาบำเพ็ญเพียร เพื่อความสงบระงับจิตใจเท่านั้น นางมิต้องตอบแทนสิ่งใดแก่เราหรอก”ฝ่ายนางมาริกานั้น รู้สึกผิดหวังที่วรรณพราหมณ์กล่าวเช่นนั้น จึงได้เผชิญหน้ากับวรรณพราหมณ์ และกล่าวว่า...

    “ท่านผู้เจริญ ข้าฯ จะหาผลไม้ หรืออาหารมาให้ท่าน เพื่อต้องการตอบแทนน้ำใจท่านเท่านั้น”

    เมื่อวรรณพราหมณ์ได้สบตานางมาริกา รู้สึกคล้ายโดนกระชากใจ ดูจากแววตาของนางมาริกานั้น รักตนอย่างหมดใจ เมื่อรู้ว่า ตนกำลังจะมีภัยจากสตรี จึงนึกหาทางป้องกันภัยนั้น
    จึงกล่าวแก่นางว่า “เราขอบใจที่นางมีน้ำใจต่อเรา เอาเป็นว่า ผลไม้ที่เตรียมมาให้แก่เรา เราขอรับไว้”

    เมื่อได้ฟังเช่นนั้น นางมาริการู้สึกว่า วรรณพราหมณ์มีไมตรีแก่ตน จึงรู้สึกพอใจ นางกล่าวว่า..

    “ถ้าเช่นนั้น วันต่อไป ท่านอย่าปฏิเสธอาหาร และน้ำที่ข้าฯ นำมาให้แก่ท่าน”

    วรรณพราหมณ์นั้นได้เพียงพยักหน้า จากนั้นนางมาริกาได้กลับยังเรือนของตน ตั้งใจว่า วันรุ่งขึ้นจะนำทำอาหารด้วยฝีมือของนางเพื่อมัดใจวรรณพราหมณ์


    คืนนั้นวรรณพราหมณ์แทบนอนไม่หลับ ยิ่งบำเพ็ญเพียรยิ่งฟุ้งซ่าน นึกถึงแต่หน้านางมาริกา คิดว่า หากตนเองยังอยู่ที่นี่ เห็นจะบำเพ็ญเพียรต่อไปไม่ได้ นึกถึงสหายแห่งเมืองสาเกตนคร คืนนั้นวรรณพราหมณ์ตัดสินใจออกเดินทางไปยังเมืองสาเกตนครทันที

    ครั้นรุ่งเช้านางมาริกาได้หุงหาอาหารรสเลิศ หวังให้วรรณพราหมณ์ได้ลิ้มรสอาหารของตน เมื่อจัดเตรียมอาหารแก่บิดา และทำหน้าที่ในบ้านเรียบร้อยแล้ว นางได้บอกแก่บิดาว่า จะออกไปหาเพื่อนซึ่งอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง

    เมื่อถึงถ้ำที่วรรณพราหมณ์อาศัย เข้าไปไม่พบวรรณพราหมณ์แต่อย่างใด และข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็หายไปด้วย จึงทราบว่า วรรณพราหมณ์ได้จากตนไปแล้ว นางรู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง ได้แต่คร่ำครวญว่า...

    “ท่านวรรณพราหมณ์ ข้าฯมีสิ่งใดที่ท่านรังเกียจถึงกับหนีไปอย่างนี้ นับแต่ชาตินี้ไปขอให้ข้าฯได้เกิดเป็นคู่ครองของท่าน ไม่ว่าท่านมีหญิงใดอยู่ก็ตาม ขอให้ข้าฯได้ครอบครองตัวท่านทุกชาติไป”


    จากนั้น นางได้แต่ร่ำไห้เสียใจ นึกถึงบิดาของตน และกล่าวว่า..

    “ท่านบิดา ข้าฯคงไม่มีวาสนาได้ดูแลท่าน เกิดชาติหน้าหนใด ขอให้ข้าฯได้เกิดเป็นบุตรของท่านทุกชาติไป”

    ด้วยสุขภาพของนางไม่แข็งแรงตั้งแต่เด็ก นางจึงรู้สึกจุกที่หน้าออก จากนั้นก็หมดลมหายใจ ด้วยกุศลที่นางดูแลบิดาเป็นอย่างดี ส่งผลให้นางได้จุติบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เขตชนบท มีสภาพความเป็นทิพย์พอควร

    ฝ่ายบิดาของนางมาริกานั้นเกิดความเป็นห่วง คิดว่า บุตรสาวของตนมีลับลมคมใน จึงได้ออกติดตามนางไปห่าง ๆ เมื่อเห็นนางเข้าไปในป่าใหญ่ท้ายหมู่บ้าน ซึ่งมิใช่เป็นทางที่ไปบ้านเพื่อนของนางยิ่งมั่นใจว่า นางมีเรื่องปิดบังไว้แน่นอน เมื่อติดตามไปถึงถ้ำก็พบว่า นางได้สิ้นใจเสียแล้ว จึงโศกเศร้าเสียใจมาก ได้นำร่างของนางไปฝังในถ้ำแห่งนั้น จึงนั้นได้หาก้อนหินปิดปากถ้ำนั้นไว้ไม่ให้ใครเข้าไปในถ้ำอีกเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2013
  16. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรแก้วสุทธิวงศา(สีขาว)- ศศิมานรินทร์(สีชมพู) ตอนที่ ๘ สี่สหายพบกัน

    กล่าวถึงวรรณพราหมณ์นั้นได้ใช้เวลา ๗ วันจึงเดินทางมาถึงเมืองสาเกตนคร จึงได้ไปยังเรือนของวิมุตติเศรษฐี ขณะนั้นนางนารถลดาได้เข้ามาอยู่ในเรือนเศรษฐีแล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน

    วิมุตติเศรษฐีนั้นได้กับสหายเก่ารู้สึกดีใจอย่างยิ่ง ได้ให้คนใช้ไปตามอัฒจักรมานพ และให้นำอาหารมาเลี้ยงวรรณพราหมณ์เป็นอย่างดี

    วรรณพราหมณ์นั้นไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนางมาริกาแต่อย่างใด เพียงแต่บอกวิมุตติเศรษฐีว่า จะขอไปบำเพ็ญเพียรยังป่าท้ายพระราชวัง อันเป็นที่ของวิมุตติเศรษฐีนั่นเอง

    วิมุตติเศรษฐีนั้นได้สั่งคนรับใช้ให้ไปสถานที่บำเพ็ญเพียรแก่วรรณพราหมณ์ และสั่งให้นางนารถลดาจัดเตรียมอาหารส่งให้วรรณพราหมณ์ระหว่างที่บำเพ็ญเพียรจนกว่าจะเข้าสมาบัติ จากนั้นได้ให้คนส่งจดหมายไปแจ้งแก่ท่านวาสกพราหมณ์ว่า วรรณพราหมณ์นั้นได้เดินทางมาบำเพ็ญเพียรยังเมืองสาเกตนคร

    ในบรรดาสหายของวรรณพราหมณ์นั้น วิมุตติเศรษฐีจัดเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด และรอบคอบที่สุด เมื่อวรรณพราหมณ์ไปถึง วิมุตติเศรษฐีได้จัดการทุกอย่างให้อย่างเรียบร้อย จากนั้นได้ส่งคนให้ไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิศาทว่า วรรณพราหมณ์ได้ขอเข้าเฝ้าในวันรุ่งขึ้น สร้างความปิติแก่พระเจ้าปเสนทิศาทอย่างยิ่ง



    ___________________________

    ในวันรุ่งขึ้นวิมุตติเศรษฐี ท่าอัฒจักรมานพ และวรรณพราหมณ์ได้ไปเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิศาท ณ.ศาลาริมน้ำ วรรณพราหมณ์ได้แจ้งว่า ตนประสงค์จะมาบำเพ็ญเพียรเพื่อให้จิตสงบ จึงได้เล่าเรื่องราวเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้แก่สหายทั้ง ๓ ฟัง
    พระเจ้าปเสนทิศาทจึงกล่าวว่า..

    “เหตุใดท่านไม่ไปพบพระอาจารย์ เพื่อให้ท่านช่วยแก้ไขจิตล่ะ”

    อัฒจักรมานพกล่าวว่า “เท่าที่ทราบพระอาจารย์ของท่าน เข้าสมาบัติติดต่อไม่ได้พะยะค่ะ วิมุตติท่านจะให้วรรณพราหมณ์บำเพ็ญที่ใดเล่า”

    วิมุตติเศรษฐีนั้นกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีอุทยานที่ติดกับพระราชวังที่มีถ้ำ และน้ำตกอาจจะเป็นสัปปายะดีเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร ได้ให้คนรับใช้ไปจัดเตรียมเสนาสนะแก่ท่านเรียบร้อยแล้ว เสร็จจากเข้าเฝ้าพระองค์ เราจะไปที่แห่งนั้น”

    พระเจ้าปเสนทิศาทกล่าวว่า “วิมุตติเศรษฐี เราได้ยินข่าวว่า มีสตรีนางหนึ่งพำนักอยู่ที่บ้านของท่าน นางเป็นใครกัน”

    ท่านวิมุตติเศรษฐีได้กล่าวว่า “อัฒจักรท่านต่างหากต้องเป็นผู้เล่าเรื่องนี้”
    อัฒจักรมานพนั้น กล่าวว่า... “นางมีชื่อว่า “นารถลดา” นางเป็นคนน่าสงสาร บิดามารดาของนางถูกโจรฆ่าตาย ความจริงหม่อมฉันก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ได้พบนางนอนสลบ ขณะที่ไปเดินเล่นที่ลำธารจึงช่วยเหลือนางไว้

    จากนั้นได้ให้คนไปสืบเรื่องต่าง ๆ ปรากฏว่า เรื่องที่นารถลดาเล่าเป็นเรื่องจริง เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ได้ถูกญาติฝ่ายบิดายึดไปสิ้น นางจึงไม่มีที่พึ่งอื่น

    จะพาไปที่บ้าน ท่านแม่คงไม่ยอม เพราะหม่อมฉันมีคู่หมั้นแล้วจะนำสตรีอื่นเข้าเรือนมิได้ จึงได้อาศัยวิมุตติเศรษฐีสหายรักดูแลนางแทน”


    วิมุตติเศรษฐี กล่าวกับพระเจ้าปเสนทิศาทว่า... “หม่อมฉันรักเอ็นดูนางดุจน้องสาวพะยะค่ะ แต่เมื่อนางมาอยู่ที่เรือน นางเป็นคนสดใส มองโลกในแง่ดี แม้บางครั้งเอาแต่ใจบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร ที่อยู่เรือนช่วยงานได้มาก”

    พระเจ้าปเสนทิศาทกล่าวไปว่า “แล้วท่านไม่คิดจะเปลี่ยนจากน้องสาว มาเป็นเพื่อนคู่คิดหรอกหรือ นางก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่สักเท่าไรนะ”

    เมื่อกล่าวจบ วิมุตติเศรษฐีได้รู้สึกเขินเพียงเล็กน้อย กล่าวว่า “มิได้พะยะคะ ต้องขออนุญาตอัฒจักรก่อน”

    อัฒจักรมานพนั้น ได้กล่าวความในใจว่า “นับแต่พบนารถลดามา หม่อมฉันรู้สึกเติมเต็มในชีวิต อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางเป็นเพื่อนคู่คิดเรื่องการค้าต่าง ๆ ได้ดี เพียงแต่ติดที่หม่อมฉัน มีคู่หมั้น มิฉะนั้น คงขอนางแต่งงาน”

    ทุกคนที่อยู่ที่นั้น ถึงกับเงียบงันไปชั่วขณะ พระเจ้าปเสนทิศาทกล่าวว่า “ อืมม..เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะ”

    วรรณพราหมณ์จึงกล่าวว่า....

    “ต่างกรรมก็ต่างวาระ เรื่องของข้าฯ คิดว่า เป็นเรื่องใหญ่แล้ว เรื่องของท่านอัฒจักรยิ่งยากกว่าข้าฯ หลายเท่า พระอาจารย์ปู่ ทำนายไว้ว่า ข้าฯจะต้องออกบวช แต่ท่านรู้มั๊ยว่า เมื่อได้ทราบเรื่องคู่ครองในอดีต ข้าฯรู้สึกทุกข์ใจอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยทำผิดกับนางมาหลายชาติ

    แล้วมาพบเรื่องของมาริกาอีก ข้าฯทำให้สตรีต้องทุกข์ใจ ชาตินี้จึงต้องประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อแก้วิบากเก่านั้น มีรักแล้ว ไยต้องมีทุกข์

    อัฒจักร ท่านต้องสมรสกับสตรีที่ไม่ได้รัก ส่วนสตรีที่ท่านรักกลับไม่ได้ครองคู่ก็เป็นทุกข์อีกอย่างหนึ่ง พระอาจารย์ปู่กล่าวว่า ในอนาคตเบื้องหน้าจะมีพระพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้น ท่านจงถามเรื่องนี้กับพระองค์เถิด”


    อัฒจักรนั้นเห็นด้วยกับวรรณพราหมณ์ จึงกล่าวว่า “หากวันใดท่านทราบเรื่องการมาบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ขอให้ท่านส่งคนช่วยแจ้งข่าวแก่เราด้วยเถิด”

    วรรณพราหมณ์จึงรับคำไว้ และกล่าวว่า “พระพุทธเจ้าทรงมีพระปัญญาล้ำต้องตอบคำถามพวกเราได้แน่”

    จากนั้นวรรณพราหมณ์ วิมุตติเศรษฐี และอัฒจักรมานพต่างก็ทูลลาพระเจ้าปเสนทิศาท เพื่อไปส่งวรรณพราหมณ์ยังสถานที่เตรียมไว้ สำหรับบำเพ็ญเพียร ส่วนนางนารถลดานั้นได้ให้คนจัดเตรียมอาหารต่าง ๆ รวมระยะเวลาที่วรรณพราหมณ์พำนักอยู่ ณ.ถ้ำแห่งนั้น เป็นเวลา ๓ เดือนกว่า จนได้รับความสงบสุขในจิตใจ

    หลังจากนั้น วรรณพราหมณ์ได้เข้าเฝ้า และทูลลาพระเจ้าปเสนทิศาท และได้ไปลาวิมุตติเศรษฐี อัฒจักรมานพ วรรณพราหมณ์นั้นได้กล่าวแก่วิมุตติเศรษฐีว่า..

    “นารถลดานั้นเป็นสตรีที่มีบุญวาสนา หากท่านได้นางมาเป็นคู่ครอง จะทำให้ท่านได้พบแต่สิ่งที่ดี”


    จากนั้นวรรณพราหมณ์ได้ใช้กสินลมเหาะกลับยังเมืองของตนทันที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2013
  17. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรแก้วสุทธิวงศา(สีขาว)- ศศิมานรินทร์(สีชมพู) ตอนที่ ๙ อัฒจักรมานพออกบวช

    ฝ่ายวิมุตติเศรษฐีนั้นในใจทราบว่า อัฒจักรมานพ สหายรักของตนนั้นมีใจกับนางนารถลดา จึงไม่ได้คิดจะแย่งนางแต่อย่างใด จนกระทั่งวันหนึ่งอัฒจักรมานพได้ขอให้วิมุตติเศรษฐีแต่งงานกับนารถลดาแทนตน นางนารถลดานั้น ถึงมีใจกับอัฒจักรมานพเพียงใด แต่ความสมปรารถนาในความรักนั้นเป็นไปได้ยาก นางจึงยินยอมแต่งงานกับวิมุตติเศรษฐีโดยไม่ลังเล ก่อนจะแต่งงานอัฒจักรมานพนั้น ได้ขอให้มารดารับนางเป็นบุตรบุญธรรม

    หลังนารถลดาได้แต่งงานกับวิมุตติเศรษฐีแล้ว นางได้ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีอย่างครบถ้วน อีกได้ดูแลปรนนิบัตินางอัจฉมาเศรษฐีนี ผู้เป็นมารดาบุญธรรมเป็นอย่างดี แท้จริงนางอัจฉมานี้เคยเกิดเป็นมารดาของนางแต่กาลก่อน สมัยสมเด็จพระพุทธวิปัสสีพุทธเจ้านั่นเอง กาลนั้นนางได้ถูกยกให้เป็นบุตรของผู้อื่น นารถลดานั้น มีความปรารถนาจะตอบแทนบุญคุณของมารดา นางจึงได้อธิษฐานให้มีโอกาสได้ดูแลนางอัจฉมาในชาติต่อ ๆ ไป

    ส่วนอัฒจักรมานพนั้น หลังจากวิมุตติเศรษฐีได้แต่งงานแล้ว ยังตัดใจจากนางนารถลดาไม่ลง เฝ้าคิดถึงนางอยู่ในใจ แต่ไม่สามารถบอกใครได้ จึงตัดสินใจบอกแก่มารดาว่า..

    “ข้าฯแต่มารดา ทราบว่าแดนตะวันตกติดกับทะเลนั้น มีเมืองที่ข้ามทะเลไปมีสินค้าหลากหลายที่จะนำมาขายได้ ลูกปรารถนาจะออกไปค้าขายกับต่างแดน ขอมารดาโปรดอนุญาตเถิด..”

    นางอัจฉมานั้น รู้สึกว่า การจากไปของอัฒจักรมานพครั้งนี้จะต้องจากนางไปนาน จึงห้ามไว้ และกล่าวว่า...

    “ลูกเอ๋ย..ลูกมิต้องไปลำบากค้าขายหรอก ทรัพย์สินที่พ่อของเจ้าไว้ให้นั้น ชาตินี้ก็กินใช้ไม่หมด การค้าของเราเวลานี้ก็ยังคล่องตัวอยู่ จะต้องไปหาให้เหนื่อยทำไม อีกไม่นานลูกก็ต้องออกเรือนแล้ว ทรัพย์ของคู่หมั้นหมายของลูกก็มากมาย ไม่ต้องไปหรอก”

    อัฒจักรมานพนั้น หาเหตุผลเพื่อให้มารดาวางใจ จึงกล่าวว่า..

    “ข้าฯ แต่มารดาที่เคารพ ลูกเองเป็นชายชาตรีเกิดมายังไม่เคยออกจากเมืองนี้ไปไกล แค่ค้าขายกับชายแดนไกลสุดก็แค่เมืองตักศิลา

    หากลูกออกเรือนไปก็ยิ่งไม่มีเวลาจะไปไหนได้ไกล ๆ กาลนั้นหากลูกมีบุตร จะเอาอะไรมาสั่งสอนบุตรของตนให้ฉลาดได้เล่า เวลานี้เป็นโอกาสอันดีของลูกแล้ว ขอออกหาประสบการณ์สัก ๖ เดือนก่อนแล้วลูกจะกลับมา”



    เมื่ออัฒจักรมานพกล่าวเช่นนั้น นางอัจฉมานั้นก็เห็นด้วยกับเหตุผลที่บุตรของตนได้กล่าวมา จึงอนุญาตให้เดินทางไป แต่มีข้อแม้ว่า หากถึงเมืองใดให้ส่งข่าวให้นางทราบเป็นระยะ ๆ เพื่อมิให้นางเป็นห่วง

    จากนั้นอัฒจักรมานพก็ไปยังเรือนวิมุตติเศรษฐี เพื่อขอลาออกเดินทางไปค้าขาย อัฒจักรมานพนั้นลาเพียงวิมุตติเศรษฐี แต่ไม่ได้มีโอกาสได้พบนางนารถลดา ด้วยเกรงว่าตนจะทำใจไม่ได้ จากนั้นจึงได้ออกเดินทางผ่านเมืองตักศิลา แต่ไม่ได้แวะเยี่ยมวรรณพราหมณ์แต่อย่างใด ผ่านไปหลายเมือง ได้ส่งข่าวให้มารดาทราบเป็นระยะ ๆ จนกระทั่งไปยังเมืองสุรสินธุ์ปุระ ซึ่งเป็นเมืองติดกับทะเล มีภูเขาล้อมรอบหลายลูก

    อัฒจักรมานพนั้น ได้นำทรัพย์ส่วนหนึ่ง ซื้อที่ดิน และปลูกสร้างเรือน คิดว่า คราวหน้าจะพามารดาของตนมาท่องเที่ยวยังสถานที่แห่งนี้ ภูมิอากาศดีกว่าเมืองสาเกตุ เมื่อสร้างที่พักเสร็จได้ออกไปดูสินค้าที่ชายทะเล

    กาลนั้น อัฒจักรมานพได้ทราบข่าวนายมัณฑการ พ่อค้าเร่ว่า....

    ..มีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นในโลก มีพุทธานุภาพสูง เมื่อพระองค์เสด็จไปที่ใด บางแห่งจะมีฝนเพชร ๗ สี มณี ๗ แสง หล่นจากฟากฟ้า น่าอัศจรรย์แก่ผู้พบเห็น...

    ทำให้เขาลืมทุกข์เรื่องความรักชั่วคราว จึงได้เขียนสาส์นฝากกับนายมัณฑการ ซึ่งกำลังจะเดินทางไปค้าขายในเมืองสาเกต และให้นำสาส์นไปทูลแด่พระเจ้าปเสนทิศาท เมื่อไปถึงเมืองสาเกตทันที และกล่าวว่า..


    “ขอให้ท่านจงรักษาสาส์นนี้ด้วยชีวิต เมื่อไปถึงเมืองสาเกตให้เข้าพระราชาเมืองนั้นทันที พระองค์จะประทานทรัพย์แก่ท่าน ท่านจะมีทรัพย์มากมาย”


    นายมัณฑการนั้น รู้สึกแปลกใจที่อัฒจักรมานพไม่บอกข่าวนี้ด้วยตัวเอง แต่กลับฝากตนไป จึงถามว่า....

    “ท่านเศรษฐีฯ เหตุใดท่านมินำความดีความชอบนี้ หรือให้บริวารของท่านเป็นผู้แจ้งข่าวเล่า”


    _________________________________

    อัฒจักรมานพกล่าวว่า....

    “ขณะนี้ เราเองยังไม่มีโอกาสเดินทางกลับสาเกต เราปรารถนาจะไปเมืองกิสินารท เพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า”

    เมื่อนายมัณฑการได้ทราบ จากนั้นก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองสาเกตในกาลต่อมา จากนั้น อัฒจักรมานพได้ให้บริวารหาเครื่องบวงสรวงเทวดา เพื่อให้ตนเอง และบริวารได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระพุทธกัสสปพุทธเจ้า
    ครั้นได้ตั้งเครื่องบวงสรวงเทวดาแล้ว ปรากฏมีเทวบุตรองค์หนึ่งลอยอยู่กลางอากาศได้บอกกล่าวว่า..
    “อีก ๓ วันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวก ๒๐๐๐๐ รูป จะเสด็จมาเมืองสุรสินธุ์ปุระ ให้เตรียมของที่จะถวายทานแด่พระพุทธองค์”
    เมื่อเทวดาหายไปแล้ว อัฒจักรมานพจึงได้จัดเตรียมภัตตาหารต่าง ๆ และเครื่องทอง และเงินเพื่อจะถวายพระพุทธเจ้าและพระสาวกต่อไป ระหว่างการรอคอยนั้น ทำให้ลืมความทุกข์เรื่องความรักในใจไปหมดสิ้น จึงได้
    ครั้นถึงวันที่ ๓ อัฒจักรมานพ และบริวารอีก ๕๐๐ คน ก็พบว่า มีพระพุทธเจ้า พร้อมพระสาวก ๒๐๐๐๐ รูป เสด็จมายังเรือนของตนก็ปิติใจยิ่งนัก สั่งให้บริวารไปป่าวประกาศแก่เพื่อนบ้านที่อยู่เมืองนั้น สร้างความปิติใจแก่ชนทั้งหลาย
    คราวนั้นอัฒจักรมานพเป็นเจ้าภาพในการถวายทาน และได้กราบอาราธนาพระพุทธเจ้าให้อยู่รับภัตตาหารเป็นเวลา ๗ วัน พระพุทธเจ้าได้รับอาราธนานั้น จากนั้นอัฒจักรมานพได้ป่าวประกาศบอกบุญแก่ชาวเมืองสุรสินธุ์ปุระให้มาร่วมบุญครั้งนี้ด้วย
    กาลนั้นมีเทวดาองค์หนึ่งนามว่า “วิสุทธิโชติเทวบุตร” เกิดความศรัทธาปรารถนาจะร่วมบุญครั้งนั้น จึงได้แปลงกายเป็นอิทธิคหบดี พาบริวารมานำภัตตาหารเลิศรส ด้วยเทวานุภาพทำให้มีภัตตาหารเพียงพอแก่การถวายพระภิกษุ และพระสาวก ๒๐๐๐๐ รูป และเพียงพอต่อการแจกจ่ายชาวเมืองที่ยากจน
    ครั้นครบกำหนด ๗ วัน พระพุทธกัสสปพุทธเจ้าได้ตรัสว่า..
    “เราขออนุโมทนาแก่เธอทั้งหลายในการสร้างบุญกุศลครั้งนี้ การถวายทานเป็นให้ได้กลับสู่สรวงสวรรค์ และการถวายทานครั้งนี้เกิดจากอัฒจักร บุตรเศรษฐีแห่งเมืองสาเกตนครเป็นผู้ริเริ่ม
    และผู้สนับสนุนคือ วิสุทธิโชติเทวบุตร ขอจงแสดงกายที่แท้จริงเถิด”
    ครั้นสมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าตรัสจบ อิทธิคหบดี และบริวารก็กลับกลายเป็นกายเทวดาลอยอยู่กลางอากาศ สร้างความตื้นเต้นแก่ผู้พบเห็น
    สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า...

    “เราขอให้การพยากรณ์แก่อัฒจักร-บุตรเศรษฐีว่า กาลเบื้องหน้าไปเธอจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล หลังจากยุคของเรานี้ จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีก ๒ พระองค์พระนามว่า..
    “สมเด็จพระพุทธสมณโคดมพุทธเจ้า และสมเด็จพระศรีอารียเมตไตรยพุทธเจ้า”
    ในยุคพระศาสนาของสมเด็จพระศรีอารียเมตไตรยพุทธเจ้าจะเป็นผู้พยากรณ์ให้เป็นพระองค์สุดท้าย และนับพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑

    อัฒจักรมานพจะสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๗ มีพระนามว่า “พระพุทธศรีศากยบรมโลกนาทพุทธเจ้า” เกิดในตระกูลกษัตริย์มีพระมเหสีพระนามว่า “พระนางวิสุทธิตราเทวี” พระโอรสพระนามว่า "โมกขกุมาร"
    มีพระพุทธบิดาพระนามว่า “พระโชติธรรมราชา” และพระนางสุมิตราเทวีเป็นพระพุทธมารดา

    เมื่อพบเทวทูตทั้ง ๔ ออกบวชโดยอาศัยราชรถ และนายเสนะเป็นสารถี

    หลังจากออกผนวชแล้ว ๗ วันจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณใต้ต้นโพธิพฤกษ์

    มีพระอัครสาวกฝ่ายขวา นามว่า “อัฒสีห์เถระ” และพระอัตรสาวกฝ่ายซ้ายนามว่า “มัทนนารถเถระ”

    พระอัครสาวิกาฝ่ายขวานามว่า “สุมนาเถรี” พระอัครวิกาฝ่ายซ้ายนามว่า “ปารจันทิมาเถรี”

    อุบาสกผู้เลิศในการถวายทานนามว่า “โสรจนะอุบาสก และอาสวนะอุบาสก” อุบาสิกาผู้เลิศในการถวายทาน มีนามว่า “บุรพารีอุบาสิกา”

    เมื่อพระชนมายุ ๕๐,๐๐๐ ปีจึงจะปรินิพพาน พระศาสนาตั้งอยู่ ๕๐,๐๐๐ ปีจึงจะสิ้นพระศาสนา กัปนั้นมีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว เว้นไปนานจากนั้นจึงจะมีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นอีก ๒ พระองค์

    กาลนั้นวิสุทธิโชติเทวบุตรจะพลันไปเกิดในยุคนั้น และสำเร็จเป็นอุบาสกผู้เลิศด้วยการถวายทานนามว่า “โสรจนอุบาสก”

    แลขอให้ทั้งสองตั้งใจบำเพ็ญบารมีต่อไปจนกว่าจะสำเร็จตามความปรารถนานั้น”


    เมื่อสมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าตรัสจบ ทั้งมนุษย์และเทวดาต่างโมทนาสาธุการกับอัฒจักรมานพ จากนั้นวิสุทธิโชติเทวบุตรได้เหาะลงมาจากฟากฟ้า ก้มลงสักการะแด่อัฒจักรมานพ เพื่อแสดงความเคารพ และกล่าวว่า..


    “ข้าฯแต่ท่านผู้เจริญ กาลนี้มีบุญวาสนายของข้าพเจ้ายิ่งนักได้ร่วมบุญกับท่าน ไม่ว่าท่านต้องการสิ่งใด ขอให้ระลึกถึงข้าพเจ้า หากไม่เกินวิสัยจะทำความปรารถนานั้นให้สำเร็จจงได้ ขอท่านโปรดวางใจ”

    อัฒจักรมานพนั้น รู้สึกปิติใจและได้กล่าวว่า “ข้าฯแต่ทวยเทพผู้เจริญ เราเองมิควรแก่ท่านบูชาหรอก เรายังเป็นผู้มีกิเลสหนา ทั้งยังเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ท่านทั้งหลายมีฤทธานุภาพสูง เรามิอาจเรียกใช้ท่านได้หรอก”


    เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้อัฒจักรมานพ ได้มีความศรัทธาที่จะออกบวช จึงได้กล่าวแก่พระพุทธกัสสปพุทธเจ้าว่า

    “ข้าฯแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนที่จะมาพบพระองค์ ข้าฯพระพุทธเจ้า รู้สึกว่า เป็นทุกข์เรื่องของความรัก เมื่อได้พบพระพุทธองค์ พระองค์เปรียบเสมือนประทีปยังความสว่างแก่ใจข้าฯ พระพุทธเจ้า

    ข้าฯพระพุทธเจ้าขอออกบวช เพื่อติดตามพระพุทธองค์ ใช้ธรรมะเพื่อดับกิเลสในใจของข้าฯพระพุทธเจ้าให้คลายจากความทุกข์ร้อนด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้าฯ”


    เมื่ออัฒจักรมานพได้กล่าวแล้ว ทั้งมนุษย์และเทวดาต่างโมทนาสาธุการว่า สาธุ สาธุ สาธุ พระพุทธองค์ได้ยื่นพระหัตถ์ออกไปและกล่าวว่า..

    "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" ...

    ปรากฏมีจีวร และบาตรได้ลอยมาสวมแก่อัฒจักรมานพโดยทันที ด้วยพุทธานุภาพ ทำให้อัฒจักรภิกขุเรียกของเก่าคืนได้ สำเร็จอภิญญาสมาบัติ ๕ จากนั้นอัฒจักรภิกขุได้กล่าวว่า..

    “อาฬสวีเอ๋ย..(คนรับใช้คนสนิท)ที่ติดตามมา จงนำสินค้าครึ่งหนึ่งไปคืนแก่มารดาของเรา ส่วนครึ่งหนึ่ง จงนำสร้างอารามในสถานที่แห่งนี้ เพื่อถวายเป็นพุทธบุชา

    ส่วนท่านและผู้ติดตามเรา จงเป็นอิสระ ขอให้ไปส่งข่าวแก่มารดาของเรา และเก็บไว้เป็นความลับ อีกส่วนหนึ่งจงนำข่าวนี้ไปแจ้งแก่วรรณพราหมณ์สหายของเราว่า เราได้เข้าสู่ร่มพระศาสนาแล้ว"


    จากนั้นได้เหาะขึ้นไปกลางอากาศพร้อมกับสมเด็จพระพุทธเจ้า และพระสาวกอีก ๒๐๐๐๐ รูปทันที


    *******************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2013
  18. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรแก้วสุทธิวงศา(สีขาว)- ศศิมานรินทร์(สีชมพู) ตอน ๑๐ พุทธพยากรณ์แก่อาฬสวีมานพ

    อาฬสวีมานพนั้น เป็นชาวเมืองสาเกตโดยกำเนิด บิดามารดาของอาฬสวีมานพนั้น เดิมทีเป็นบริวารบิดาของพระอัฒจักรภิกษุ ภายหลังเมื่อค้าขายกำไรงาม บิดาของพระอัฒจักรได้มอบทรัพย์ เพื่อให้ค้าขาย แต่บิดาของอาฬสวีไม่ยอมแยก เพียงแต่อาศัยที่ดินของพระอัฒจักรปลูกเรือน และขอเป็นบริวารของบิดาพระอัฒจักรตามเดิม

    อาฬสวีมานพนั้นเป็นบุตรชายคนเดียว และมีน้องสาวอีก ๒ คน มีอายุน้อยกว่าพระอัฒจักรประมาณ ๗ ปี เนื่องจากพระอัฒจักรเป็นบุตรชายคนเดียว จึงเห็นอาฬสวีมานพเป็นเสมือนน้องชายของตน มักจะถ่ายทอดวิชาทำการค้าให้แก่อาฬสวีมานพเสมอ ๆ เมื่อเดินทางไปค้าขายต่างเมือง พระอัฒจักรได้พาอาฬสวีติดตามไปด้วยทุกครั้ง ทำให้ทั้งสองมีความสนิทสนมกันมาก


    ครั้นเมื่อพระอัฒจักรได้ออกบวช จึงได้มอบหมายงานทั้งหมดแก่อาฬสวีมานพ หลังจากได้รับมอบหมายงานแล้ว อาฬสวีมานพ ได้จัดการตามที่พระอัฒจักรได้บอกไว้ทุกประการ โดยให้บริวารไปบอกข่าวการออกบวชของอัฒจักรภิกขุแก่วรรณพราหมณ์

    ส่วนตนได้นำทรัพย์ที่ได้จากการค้าขายสินค้าครึ่งหนึ่งไปขาย เพื่อนำปัจจัยมาสร้างวัด และได้บอกบุญแก่ชาวเมืองสุรสินธุ์จนสร้างอาราม ซึ่งใช้เวลาในการสร้าง เพียง ๖ เดือนจึงสำเร็จ อารามนี้สามารถรองรับพระพุทธเจ้า และพระสาวกได้ถึง ๑๐๐,๐๐๐ รูป ซึ่งมีอาณาเขตกว้างไปถึงปรมัตถคีรี ซึ่งเป็นภูเขาสูงโอบล้อมด้วยเขาหลายลูก ซึ่งอาฬสวีมานพคิดว่า เหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรมของพระภิกษุทั้งหลาย

    เมื่อสร้างวัดสำเร็จ จึงได้ไปอาราธนาพระพุทธเจ้า และพระสาวก รวมทั้งพระอัฒจักรภิกขุ เพื่อรับการถวายอารามเป็นวิหารทาน สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าได้รับการถวายอารามแล้ว ได้กล่าวแก่อาฬสวีมานพว่า...

    “อาฬสวีมานพ ได้ปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณ จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น”


    ผู้ที่ได้ยินการตรัสพยากรณ์ต่างแซ่ซ้องโมทนาสาธุการกับอาฬสวีมานพด้วยเสียงอันดังว่า สาธุ สาธุ สาธุ... หลังจากรับการถวายอาราม พระพุทธองค์ทรงตั้งนามอารามนั้นว่า..

    “ปรมัตถวนาราม”

    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า .. “บริเวณปรมัตถคีรีนี้ เป็นสถานที่บำเพ็ญของพระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า มาตั้งแต่อดีตสมัยสมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลที่ ๓ เป็นต้นมา มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาในอดีตนับไม่ถ้วน

    สถานที่นี้มีผู้ดูแลหลายจำพวกตั้งแต่เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาขึ้นไปจนถึงพรหมชั้น ๑๑ เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าในอดีต เราขอโมทนาบุญกับพวกเธอทั้งหลาย ต่อไปสถานที่นี้จะเป็นที่บำเพ็ญเพียรของพระปัจเจกพุทธเจ้าถึง ๕๐๐ รูป

    ผู้ที่เป็นห้วหน้าปกครองพระปัจเจกพุทธเจ้านี้ เป็นผู้มีรัศมีกายสว่างไสวมาก เนื่องจากเดิมทีได้เป็นผู้ปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณและลาจากพุทธภูมินั้น”


    เมื่อทรงตรัสจบ ทรงมอบให้พระเถระพระนามว่า “พระมหาปารณะเถระ” ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของพระภารทวาชเถระ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายของพระพุทธกัสสปพุทธเจ้า เป็นผู้ปกครองอารามนั้น พร้อมทั้งพระสงฆ์อีก ๕๐๐ รูป โดยให้พระอัฒจักรได้อยู่อุปัฏฐากพระเถระ

    และได้รับคำสั่งสอน จากนั้นพระพุทธเจ้า และพระสาวกที่เหลือต่างเสด็จไปทางอากาศทันที


    โปรดติดตามต่อไปหน้า ๒๕๘ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2013
  19. sun2555

    sun2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +6,619
    ขอประมูลดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ 18200 บาท
    ขอโมทนาบุญครับ
     
  20. mooom

    mooom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กันยายน 2010
    โพสต์:
    860
    ค่าพลัง:
    +9,291
    ขอร่วมประมูลดวงแก้วศุภเรศวร์นวปกรณ์ 18300 บาทครับ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...