ปิดประมูลวัชระบัว ๒ องค์ หน้า ๖๖๑ ,ธรรมะจากพระอาทิพุทธะ หน้า ๖๕๙ ค่ะ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Numsai, 21 สิงหาคม 2012.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. widya

    widya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,095
    ค่าพลัง:
    +13,214
    ขอแสดงความยินดีและขออนุโมทนาบุญกับคุณanantapats ด้วยนะครับ

    ที่ได้เป็นเจ้าของดวงแก้วอภิบวรสุริยโชติ
     
  2. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรแก้วสุทธิวงศา- ศศิมานรินทร์ ตอน ๑๓ พระอัสรินทร์ฤาษีปรากฏ

    ปรากฏในคืนนั้นพระฤาษีตนหนึ่งได้ปรากฏในกุฏิของอัฒจักรภิกขุ รัศมีกายสว่างเรืองๆ พอมองเห็นหน้า อัฒจักรภิกษุตกใจตื่น แต่ไม่สามารถออกเสียงใด ๆ ได้

    พระฤาษีตนนั้นได้กล่าวว่า..

    “หากปรารถนาจะเรียนวิชากับเราจงขึ้นไปบนเขาปรมัตถ์ เราจะรออยู่ที่ยอดเขา หากขึ้นไปไม่ได้ เราจะไม่รับเป็นศิษย์”

    จากนั้นภาพพระฤาษีตนนั้นก็หายไป อัฒจักรภิกษุได้รู้สึกว่า ตกใจตื่นอีกครั้ง นั่งสมาธิทบทวนความฝันต่าง ๆ ของตนคิดว่า...

    “ฝันนี้ไม่ใช่อุปทานเป็นแน่ เราจะลองขอพระอาจารย์เข้าป่าแสวงหาธรรมดูสักครั้ง”


    ครั้นรุ่งขึ้นจึงได้เข้าไปขออนุญาตพระเถระ เพื่อออกธุดงค์ขึ้นไปยังเขาปรมัตถ์ พระมหาปารณะเถระได้ตรวจดูบุพกรรมแล้ว จึงได้อนุญาตให้ออกธุดงค์ แต่ให้กลับมาในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหน้า ส่วนวรรณภิกษุไม่ได้ติดตามไป เนื่องจากต้องการอุปัฏฐากพระเถระ

    จากนั้นได้ออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น เนื่องจากเป็นการสร้างบารมี อัฒจักรภิกขุจึงไม่ได้ใช้ฤทธิ์ในการเดินทางแต่อย่างใด การเดินทางใช้เวลาครึ่งวันก็ถึงยอดเขาปรมัตถ์ พบว่า สถานที่แห่งนั้นเป็นลักษณะคล้ายลานกว้าง มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นรอบ ๆ มีถ้ำเล็กถ้ำน้อยอยู่หลายถ้ำ จึงได้เข้าไปในถ้ำเลือกถ้ำที่ดูสะอาด

    พบว่า ถ้ำนั้นมีความสะอาดสะอ้าน ได้ยินเสียงเรียกให้เข้าไปพบว่า มีพระฤาษีตนหนึ่งนั่งภาวนาอยู่ อัฒจักรภิกษุนั้นรู้สึกว่า พระฤาษีตนนี้มีความน่าเคารพเลื่อมใส ไม่เหมือนพระฤาษีที่เคยเห็นทั่วไป จึงเข้าไปก้มกราบ


    พระฤาษีได้ลืมตาและกล่าวว่า “มาแล้วหรอ..อาจารย์คอยอยู่ตั้งนาน ความจริงแล้วอาจารย์ไม่ได้เป็นฤาษีหรอกนะ เป็นพระ บวชมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระกกุสันโธ พระพุทธเจ้าองค์แรกของกัปนี้”

    อัฒจักรภิกขุรู้สึกแปลกใจ จึงได้ถามว่า..

    “พระอาจารย์ บอกว่า บวชมาแต่สมัยต้นกัปหรือขอรับ กระผมดูอย่างไร ก็ยังเหมือนท่านอายุเพียง ๖๐ ปี”


    ท่านก็หัวเราะเบา ๆ กล่าวว่า... “มันมีวิชา..เจ้าบวชในพระพุทธศาสนาจะมาศึกษากับพระฤาษิคิดดีแล้วหรอ พระเถระว่าอย่างไร”

    อัฒจักรภิกขุตอบว่า... “ท่านหลับตาสักพักก็อนุญาตขอรับ”

    ท่านก็ถามต่อว่า... “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร อยากเรียนอะไรหรอ”

    อัฒจักรภิกษุ กล่าวว่า ..“หากพระอาจารย์สอนอย่างไร กระผมก็เรียนเช่นนั้นขอรับ”

    พระฤาษีจึงกล่าวว่า..

    “เราคืออัสรินทร์ฤาษี เป็นฝาแฝดของท่านอัศดงฤาษีครูอาจารย์ของวรรณภิกษุ ในอดีตเจ้ามีความเกี่ยวเนื่องกับเรา และท่านอัศดงฤาษี แต่วาระนี้วิชาต่าง ๆ จะต้องเรียนจากเรา เราจะถ่ายทอดวิชาให้”

    อัฒจักรภิกษุได้ก้มลงกราบ จากนั้นพระฤาษีจึงสั่งให้ไปพักผ่อนในวันรุ่งขึ้นจะเรียนวิชากัน ครั้นถึงวันรุ่งขึ้นพระฤาษีได้ถ่ายทอดเกี่ยวกับวิชาธาตุทั้งหมดแก่อัฒจักรภิกษุ ใช้เวลาเพียง ๑๕ วันก็สามารถสำเร็จวิชาจากพระอัสรินทร์ฤาษี
    เมื่อสำเร็จวิชาแล้ว จึงได้มอบพระขรรค์สีเขียวมรกตแก่อัฒจักรภิกษุ และกล่าวว่า...

    “มีกษัตริย์จากเมืองบาดาล ฝากมาให้”

    อัฒจักรภิกขุได้ก้มลงกราบอีกครั้ง จากนั้นได้อยู่อุปัฏฐากพระฤาษีอีก ๓ วัน ถึงเวลานัดหมายของพระมหาปารณะเถระ จึงได้ขออนุญาตกราบลาพระฤาษี ก่อนจะเดินธุดงค์กลับพระอัสรินทร์ฤาษีกล่าวว่า..

    “ในอนาคตกาล หากเจ้าปรารถนาธาตุกายสิทธิ์ใด จงกำหนดถึงพระอาจารย์ พระอาจารย์จะนำไปให้นะ”

    อัฒจักรภิกขุได้รับคำ จากนั้นได้กราบลาพระฤาษีกลับวัดของตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2013
  3. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ประวัติจักรแก้วสุทธิวงศา-ศศิมานรินทร ตอนจบ ถวายทานแก่พระพุทธเจ้า..

    กล่าวถึงนายมัณฑการ พ่อค้าต่างเมืองได้เดินทางมาถึงเมืองสาเกตุ และได้ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าปเสนทิศาท เจ้าผู้ครองนครและกล่าวว่า...

    “ข้าฯแต่มหาบพิตร กระหม่อมมีนามว่า...

    “มัณฑการ” ได้รับมอบหมายจากท่านอัฒจักรเศรษฐีให้นำสาส์นมามอบให้แก่พระองค์ และให้แจ้งว่า ได้มีพระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วในโลกแล้ว พระนามว่า สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้า ขณะนี้อยู่เมืองกิสินารท ซึ่งไม่ไกลจากเมืองของพระองค์เท่าใดนัก หากพระองค์จะประสงค์อาราธนาพระพุทธเจ้า ข้าฯพระองค์ยินดีที่จะนำทางไปพระเจ้าข้าฯ”


    พระเจ้าปเสนทิศาท ทรงปิติยินดียิ่งนักได้มอบทรัพย์แก่นายมัณฑการมากมายตามที่อัฒจักรมานพบอกไว้ทุกประการ และพรรณนาว่า..

    “โอหนอ คำกล่าวของพระอาจารย์บัดนี้เป็นจริงแล้ว..เราได้ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าแล้ว”


    นายมัณฑการได้ฟังดังนั้นได้กล่าวว่า...
    “ข้าฯแต่มหาบพิตร หม่อมฉันเคยได้ถวายทานแก่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น แล้ววันที่พระพุทธองค์เสด็จครั้งแรกที่เมืองอาฬวี ช่างอัศจรรย์ยิ่งนัก ก่อนพระพุทธองค์เสด็จมา ก็มีฝน ๗ สีมณี ๗ แสงหล่นจากฟากฟ้า ฝนนี้ใครใคร่ให้ตกก็ตก ใครมิใคร่มิให้ตก ก็จะไม่มี อัศจรรย์ยิ่งนัก

    กาลนั้นหม่อมฉันเป็นเพียงพ่อค้าเร่เล็ก ๆ ได้เห็นก็เป็นบุญตา เสียดายที่คราวนั้นได้ถวายเพียงน้ำอ้อยหีบเดียวแก่พระพุทธองค์ ด้วยผลบุญคราวนั้นเกิดอัศจรรย์ต่อมาทำให้กระหม่อมได้พบช่องทางการค้า และค่อย ๆ ร่ำรวยมาจากเดิม และคงเป็นพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ เพียงนำข่าวนี้มาบอก พระองค์ก็ประทานทรัพย์สินแก่กระหม่อมมากมาย”


    พระองค์ตั้งความปรารถนาจะถวายทานแก่พระพุทธเจ้าและพระสาวก ส่งเสนาอำมาตย์ไปยังนครกิสินารท เพื่ออาราธนาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อถวายทานเป็นเวลา ๑๕ วัน

    เมื่อสมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้ารับอาราธนาแล้ว พระเจ้าปเสนทิศาททรงประกาศให้ชาวเมืองทั้งหลาย เพื่อให้มาร่วมในการถวายทานครั้งนี้ โดยให้เจ้าหน้าที่จัดแบ่งว่า แต่ละวันผู้ใดจะเป็นเจ้าภาพถวายทานในแต่ละวัน


    ท่านวิมุตติเศรษฐีได้ยินก็ปลื้มปิติใจมาก จึงได้รับเป็นเจ้าภาพ ๒ วัน คือวันที่ ๓ และวันที่ ๕ ส่วนที่เหลือพระเจ้าปเสนทิศาท และเศรษฐคนอี่น ๆ เป็นเจ้าภาพ เมื่อนางนารทลดาทราบข่าวก็ปิติใจยิ่งนัก จึงรีบให้คนรับใช้ไปหาเครื่องปรุงอาหารรสเลิศมา เพื่อปรุงภัตตาหารถวายพระพุทธเจ้า และพระสาวกอีก ๒๐,๐๐๐ รูป


    นางนารทลดานั้น เป็นคนฉลาดคิดว่า หากนางเป็นเจ้าภาพแต่เพียงผู้เดียวในการถวายภัตตาหารนั้น ผลแห่งทานบารมีนั้นย่อมเกิดแก่ผู้ให้ นางจึงได้ออกไปชักชวนชาวเมืองแถบละแวกบ้านของนาง เพื่อได้ถวายทานร่วมกัน โดยมีการปรึกษากันว่าอาหารที่นำมาต้องไม่ช้ำกัน

    กาลนั้นมีชาวป่าคนหนึ่งได้นำรากไม้ที่เป็นยาได้มาจากป่านอกเมืองมามอบให้เพื่อให้ต้มเป็นยาถวายพระพุทธเจ้า เดิมทีเขาต้องการจะนำมาขายในตลาด นางนารทลดาได้รับไว้ และชักชวนชาวป่าผู้นั้นให้พาครอบครัวมาร่วมบุญด้วย ชาวป่านั้นมีความเก้อเขินที่ตนเป็นตนยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่

    นางนารถลดานั้นจึงได้นำเสื้อผ้าของตน และท่านวิมุตติเศรษฐีให้แก่ชาวป่าผู้นั้น เพียงพอแก่ครอบครัวของเขามีภรรยา และบุตรอีก ๒ คน เขาได้กล่าวว่า ก่อนวันงานจะหารากไม้ที่เป็นยา และผลไม้ป่า เพื่อนำมาถวายทานในวันนั้นด้วย

    เมื่อถึงเวลาพระเจ้าปเสนทิศาทส่งราชรถไปรับพระพุทธองค์ พระองค์ตรัสว่า “ไม่เป็นไร เราจะมาเอง”

    เวลานั้นทุกคนต่างตั้งแถวเตรียมรับเสด็จสมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้า รอคอยว่า พระองค์จะเสด็จมาทางใด ปรากฏว่า มีเสียงอื้ออึงว่า..

    “พระพุทธเจ้าเสด็จแล้ว พระพุทธเจ้าเสด็จแล้ว”

    แล้วชี้ไปที่ท้องฟ้า พระพุทธเจ้าเสด็จมากลางนภากาศ พร้อมพระอัครสาวกทั้ง ๒ พระสาวกรวมทั้งสิ้น ๒๐๐๐๐ รูป บางคนถึงกับร้องไห้โฮที่ได้พบ ปรากฏพระพุทธองค์ได้เสด็จมาตรงหน้านางนารทลดา ขณะนั้นได้ตั้งครรภ์ได้ ๕ เดือน นางรู้สึกปิติยินดีอย่างยิ่ง

    สมเด็จพระพุทธกัสสป ทรงตรัสว่า.. “ทารกน้อยนี้ ดูแลให้ดีนะ ต่อไปจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน”

    เมื่อวิมุตติเศรษฐี และนางนารทลดาได้ฟังเช่นนั้นต่างก้มกราบพระบาทพระพุทธองค์ด้วยความปิติใจ จากนั้นทุกคนต่างได้ถวายทานด้วยความปิติใจ ต่อมานางนารทลดาได้มองเห็นพระภิกษุองค์สุดท้าย นางก็ตกใจ เมื่อพบว่า พระภิกษุรูปนั้น คือ อดีตอัฒจักรมานพนั่นเอง

    นางร่ำไห้และกล่าวว่า.. “พระคุณเจ้าเหตุใด พระคุณเจ้าไม่บอกกล่าวแก่มารดาของท่าน เข้าใจว่า พระคุณเจ้าไปทำการค้า เหตุใดท่านไม่ขออนุญาตมารดาของท่านก่อน”

    อัฒจักรภิกษุนั้นมิได้มองหน้านางนารทลดา ได้กล่าวว่า..

    “ภคินี เรานั้นพบหนทางแห่งความสงบแล้ว เราได้สดับรับฟังพระธรรมของพระองค์ จึงมีจิตศรัทธาออกบวช บัดนี้เราเป็นบุตรพระตถาคตแล้ว จิตเราเบิกบานแจ่มใส
    ขอน้องหญิงจงช่วยดูแลมารดาแทนเราด้วยเถิด ก่อนหน้านี้เราเป็นทุกข์เพราะรัก ทุกข์เพราะความพลัดพราก บัดนี้จิตเราคลายทุกข์แล้ว เราจะตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนพระตถาคต ขอช่วยบอกมารดาของเราด้วยเถิด”


    นางนารทลดานั้นได้รับคำ พร้อมโมทนาสาธุการกับพระอัฒจักร และกล่าวว่า..

    “ข้าฯแต่พระคุณเจ้า ข้าฯขอโมทนากับท่าน เรื่องของมารดาเป็นหน้าที่ของข้าฯเอง มิต้องเป็นห่วง หากท่านยังอยู่ที่นี่ ข้าฯจะพามารดามากราบ เพื่อโมทนาบุญกับท่าน”


    จากนั้นพระภิกษุใหม่ได้เดินทางไปอย่างสำรวม นางนารทลดาได้นำความไปเล่าสู่วิมุตติเศรษฐีทันที

    ในช่วงระหว่างการอาราธนาพระพุทธเจ้า พร้อมพระสาวก เพื่อถวายทานนั้น นางนารทลดาได้สังเกตว่า สถานที่รองรับพระพุทธเจ้า และพระสาวก แม้อยู่ในพระราชวัง แต่ไม่สะดวก และสมควรแก่สมณเพศ นางจึงได้นำความปรึกษากับท่านวิมุตติเศรษฐีว่า ..

    “ท่านพี่ ที่ดินฝั่งทิศเหนือของพระราชวังนั้น เป็นที่ดินของท่านพี่ขณะนี้ยังไม่ได้ทำอะไร เราควรจะนำที่ดินนี้ สร้างเป็นสถานที่รองรับพระศาสดา และพระสาวกให้เหมาะสมกับสมณะดีหรือไม่คะ”


    ท่านวิมุตติเศรษฐีนั้นเห็นด้วยกับภรรยาทุกประการ จึงได้นำความนี้ไปปรึกษากับพระอัฒจักร พระอัฒจักรจึงได้ให้มารดาของท่านนำทรัพย์ส่วนของท่าน มาให้ ๔๐ โกฏิ เพื่อการสร้างวัด นางอัจฉมานั้นเกิดความปิติใจปรารถนาจะสร้างบุญใหญ่ด้วย จึงได้นำทรัพย์นี้มาสร้างวัด จำนวน ๑๐ โกฏิ

    ส่วนวิมุตติเศรษฐี จึงได้นำความกราบทูลพระเจ้าปเสนทิศาท เรื่องการสร้างวัด เพื่อถวายพระพุทธเจ้า พระเจ้าปเสนทิศาท มีความปิติยินดียิ่ง จึงสละทรัพย์ส่วนพระองค์ร่วมสร้างเช่นกัน และตรัสว่าจะปรึกษากันเรื่องนี้หลังจากสมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าเสด็จไปแล้ว

    เมื่อครบวันที่ ๑๕ พระพุทธกัสสปพุทธเจ้าทรงได้โมทนาสาธุการ จากนั้นทรงเทศนาเรื่องผลของการถวายทานส่งผลให้เข้าสู่พระนิพพานได้ ทำให้มีผู้บรรลธรรมเป็นพระโสดาบันทันทีนับแสนคน รวมทั้งท่านวิมุตติเศรษฐีด้วย
    ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิศาทนั้นเข้าถึงไตรสรณคมน์ สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าทรงตรัสว่า..

    “พระเจ้าปเสนทิศาทนั้น ได้ปรารถนาพระสัมมาพุทธเจ้าประเภทพิเศษพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล”

    มนุษย์และเทวดาทั้งหลายต่างโมทนาสาธุการกับพระเจ้าปเสนทิศาท ฝ่ายพระเจ้าปเสนทิศาทนั้นเกิดความปิติอย่างแรงกล้า ทรงกล่าวคำสรรเสริญพระพุทธเจ้า และทรงใช้พระขรรค์บั่นพระศอ สิ้นพระชนม์ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิตทันที

    ส่วนอัฒจักรภิกษุนั้น ภายหลังได้กลับไปยังปรมัตถวนาราม บำเพ็ญเพียรจนสิ้นอายุขัย ฝ่ายวรรณภิกษุนั้น ได้เดินทางกลับไปยังเมืองตักศิลา และได้สร้างวัดเล็ก ๆ ขึ้นมาวัดหนึ่งนามว่า “อุปบาลีสังฆาราม” ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดแห่งนั้น สั่งสอนพุทธศาสนิกชนจนสิ้นอายุขัย เมื่อละโลกไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต


    ส่วนสิณกภิกษุนั้นต่อมาได้ขออนุญาตพระอาจารย์ออกธุดงค์ไปในป่าได้พบกับพระอัศดงฤาษีได้สั่งสอนวิชาต่าง ๆ ให้ จากนั้นได้บำเพ็ญเพียรในป่า สำเร็จอภิญญา ๕ เมื่อละโลกไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต ทั้งวรรณภิกษุ และสิณกภิกษุนั้นได้พบกับพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าเพียง ๑ ครั้งในชีวิต


    ขอจบประวัติจักรสุทธิวงศา –ศศิมานรินทร-วิสุทธิปราชญ์ แต่เพียงเท่านี้



    สำหรับประวัติจากนั้นไป ขอยกยอดไปต่อในประวัติดวงแก้วสุขุมาลย์มารศรี (Miss Brown) และดวงแก้วสหัสสบดีมณีรัตนะ(คุณ phuya)เป็นเจ้าภาพในงานกฐิน วัดโพธิญาณรังสีค่ะ


    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
  4. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ผู้ที่เกี่ยวข้องในประวัติจักรสุทธิวงศา ฯ ..

    พระเกษรีฤาษี พระอัศดงฤาษี พระอัสรินทร์ฤาษี

    กสินพราหมณ์ – ท่านสัจจฤาษี

    พระเจ้าปศันทราช –ท่านสิทธิสัตตะ ชั้นดุสิต

    ชายชาวป่า และภรรยา - ท่านนรสีห์ และท่านเปธกา อยู่สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

    พระเจ้าปเสนทิศาท- ท่าน widya

    วรรณภิกษุ/วรรณพราหมณ์ (คุณ am12)

    สิณกภิกษุ/สิณกพราหมณ์ – คุณ mooom

    อาฬสวีมานพ-น้องธรรมวิวัฒน์

    วิสุทธิโชติเทวบุตร- คุณวาสุเทพ

    นารทลดา- Numsai

    วาสิษฐีเทพธิดา-น้อง sereenon

    นางอัจฉมา - คนนอกเว็บ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2013
  5. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,344
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,298
    ขอบคุณพี่น้ำใสมากนะครับ ที่กลับมาเล่าประวัติเพิ่มเติมให้ทราบนะครับ

    เป็นสิ่งที่ทำให้มีกำลังใจเพิ่มขึ้นในการทำความดีต่อไปครับ

    และเป็นสิ่งที่ช่วยในการคลายข้อสงสัยในการที่ต้องเกิดมาร่วมกัน
    เพื่อสร้างบารมีร่วมกันในชาตินี้ครับ พี่น้ำใสครับ

    ขอบคุณจากใจอีกครั้งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2013
  6. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ว้าว...ต่อไปเป็นประวัติดวงแก้วสุขุมาลย์มารศรี-สหัสสบดีมณีรัตนะหรือเจ้าคะท่านพี่น้ำใส ฮี่ ๆๆๆ
    งั้นรออ่านแบบใจจดจ่อค่ะ ถ้าจะรอให้หนูไปดูเอง สงสัยอาจจะยังอีกนานแสนนาน...นานจนแก่ก็ได้นะคะ ฮิฮิ


    และขอโมทนาสาธุบุญกับการสร้างบารมีของพระเจ้าปเสนทิศาท ท่านวรรณพราหมณ์ ท่านอาฬสวี
    ท่านสิณกพราหมณ์ ท่านวิสุทธิโชติเทวบุตร ท่านนารถลดา ท่านวาสิษฐีเทพธิดา ฯลฯ ด้วยนะคะ
    หนทางการสร้างบารมีนั้นต้องใช้ความอดทนอดกลั้นและใช้ระยะเวลายาวนาน
    ต้องใช้ความเพียรพยายามเป็นอย่างยิ่ง จึงจะสำเร็จดังตั้งใจหมาย
    แม้หนทางจะยากลำบาก แต่ก็รู้สึกดีใจที่มีเพื่อนร่วมทางดี ๆ ค่ะ
    ขอโมทนากับทุก ๆ ท่านอีกครั้งนะคะ
     
  7. am12

    am12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +7,701
    ขอแสดงยินดีและขออนุโมทนาบุญกับ คุณ anantapats ที่ได้เป็นผู้ดูแลดวงแก้วอภิบวรสุริยโชติครับ
     
  8. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,344
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,298
    ร่วมบุญบวงสรวงที่วัดพระพุทธบาทห้วยทรายขาว
    จำนวน 200 บาท โอนเข้า ธ.กสิกรไทย วันที่ 27 ส.ค.56

    ถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา

    อนุโมทนาบุญกับพี่น้ำใสและทุกท่านด้วยนะครับ สาธุ สาธุ
     
  9. ป.คุณูปการ

    ป.คุณูปการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +1,838
    วันนี้ 27/08/13 เวลา 11:50 ผมร่วมบุญบวงสรวงที่วัดพระพุทธบาทห้วยทรายขาว จำนวน 100 บ. ขอโมทนาบุญทั้งหมดทั้งมวลด้วยครับ สาธุ
     
  10. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ดวงแก้วสุขุมาลย์มารศรี และดวงแก้วสหัสสบดีมณีรัตนะ ตอน ๑ พระเจ้าปศันทราชอภิเษกสมรส

    กล่าวถึงเมืองสาเกต จากพระเจ้าปเสนทิศาททรงสิ้นพระชมน์ สมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าได้ทรงร่วมงานถวายพระเพลิง

    จากนั้นได้มีผู้โต้เถียงกันว่า พระเจ้าปเสนทิศาททรงสิ้นพระชมน์แล้วไปเกิดยังที่ใด บางพวกก็ว่า การบูชาพระพุทธเจ้า โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ย่อมไปสวรรค์ ส่วนบางพวกคิดว่า น่าจะไปนรก เพราะเสมือนเป็นการฆ่าตัวตาย เสียงเหล่านี้ไปสู่พระกรรณของสมเด็จพระพุมธเจ้า


    จากนั้นสมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้าทรงตรัสว่า..

    “ขณะนี้พระเจ้าปเสนทิศาทได้จุติบนวิมานเดิมบนสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงปรารถนาพระสัมมาสัมโพธิญาณนานแล้ว ชาติเป็นอีกชาติที่ได้พุทธพยากรณ์จากเรา”

    กาลต่อมา ท่านวิมุตติเศรษฐีได้กราบทูลว่า...

    “ข้าฯแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าฯพระองค์ขอน้อมถวายที่ดินที่ติดกับพระราชวังนี้ สร้างเป็นเสนาสนะ เพื่ออาราธนาพระพุทธเจ้า และพระสาวกมาเพื่อโปรดชาวเมืองนี้ ก่อนที่พระเจ้าปเสนทิศาทจะทรงสวรรคต ข้าฯพระองค์ได้กราบทูลพระองค์เรียบร้อยแล้วพระพุทธเจ้าข้าฯ”

    พระพุทธองค์ทรงนิ่ง เป็นการรับถวาย จากนั้นพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้ง ๒๐๐๐๐ รูป (รวมทั้งอัฒจักรภิกขุ)ก็เหาะขึ้นกลางอากาศไปยังเขตพุทธาวาส จากนั้นได้อธิษฐานให้บริเวณนั้นมีวิมานแก้วล้อมรอบ สิ่งที่ไม่เป็นมงคลทั้งหลายสลาย และออกจากสถานที่นั้นไป

    ทำให้เป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์ถือเป็นขอบเขตในพระศาสนาของพระองค์ จากนั้นได้เสด็จไปยังวัดปรมัตถวนาราม ซึ่งอัฒจักรภิกษุเป็นผู้ดำริสร้าง เพื่อโปรดชาวเมืองสุรสินธุ์ปุระต่อไป

    ต่อมา ๓ เดือน เหล่าเสนาอำมาตย์ทั้งหลายได้อัญเชิญเจ้าชายปศันทราช ขณะนั้นทรงมีพระชนมายุได้ ๑๗ ชันษาได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ปกครองเมืองสาเกตต่อไป หลังจากเรื่องนี้ทราบไปยังเมืองข้างเคียงได้ส่งสาส์นมาเพื่อยกพระธิดาของตนให้

    โดยสาส์นจากต่างเมืองนั้นจะผ่านสันตสิทธิ์อำมาตย์ก่อน ซึ่งมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์ มิได้นำถวายแก่พระเจ้าปศันทราชแต่อย่างใด เนื่องจากคิดจะยกธิดาของตน มีนามว่า “จันทริมา” ให้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าปศันทราชแทน


    ในยุคนั้น ผู้ที่อยู่ในเขตวังจะต้องเป็นผู้ที่เป็นข้าทาสบริพารเท่านั้น ส่วนเชื้อพระวงศ์จะไม่ได้อยู่ในเขตพระราชฐานแต่อย่างใด เนื่องจากเกรงเรื่องการก่อบขถ ดังนั้นพระเจ้าปศันทราชยังไม่เคยพบหน้าจันทริมากุลธิดาแต่อย่างใด

    กล่าวจันทริมากุลธิดานั้น เป็นธิดาสันตสิทธิ์อำมาตย์ มีอายุได้ ๑๖ ปี มีนิสัยร่าเริง ชอบแอบฝึกวิชาทหาร ไม่สนใจเรื่องการบ้านเรือนเช่นสตรีทั่วไป มักชอบหนีจากเรือนไปเที่ยวน้ำตกท้ายพระราชวัง เป็นเขตที่ดินของวิมุตติเศรษฐี โดยสันตสิทธิ์อำมาตย์ และภรรยานั้นไม่เคยทราบมาก่อน ผู้ที่ทราบเรื่องนี้คือ นางทภัสสร พี่เลี้ยงของจันทริมานั่นเอง

    นางทภัสสรนั้นมีอายุ ๒๑ ปี เป็นธิดาของผู้ที่เป็นญาติห่าง ๆ ของนางจันทราศี มารดาของจันทริมา นางได้ถูกสั่งให้เป็นเพื่อนเล่น และเป็นพี่เลี้ยงของจันทริมาตั้งแต่อายุได้ ๗ ขวบ ทำให้ทั้งสองสนิทสนมกันมาก มีหลายเรื่องที่นางปกปิดสันตสิทธิ์อำมาตย์ และภรรยาเอาไว้โดยไม่มีใครทราบ โดยติดสินบนอาจารย์ที่มาสอนการเรียนของจันทริมากุมารี แล้วพากันไปเที่ยวน้ำตก พร้อมคนรับใช้อีก ๓ คน เป็นประจำ


    _____________________________________

    สำหรับจันทราศี ผู้เป็นมารดานั้น ภายหลังแม้เริ่มทราบเรื่องจันทริมากุลธิดาแอบออกจากบ้านไปเที่ยวบ้าง แต่คิดว่า เขตดังกล่าวเป็นเขตของท่านวิมุตติเศรษฐี ธรรมดาจะมีผู้เฝ้าเขตแห่งนั้น คนต่างถิ่นมิอาจจะเข้าไปได้ยกเว้น ผู้ที่ได้รับอนุญาตจากท่านวิมุตติเศรษฐี แม้ห้ามธิดาไม่ให้ไปเล่น นางคงต้องแอบไปอยู่ดี จึงคิดว่า ทางเดียวที่จะทำให้ธิดาของนางหยุดซุกซนได้คือ ให้ออกเรือน(แต่งงาน)

    คิดว่าจะนำเรื่องการหาคู่ครองมาปรึกษากับสันตสิทธิ์อำมาตย์ ผู้เป็นสามี ครั้นสันตสิทธิ์อำมาตย์กลับจากทำงาน เมื่ออาบน้ำทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกับสันตสิทธิ์อำมาตย์ว่า...


    “ท่านพี่เจ้าคะ ลูกของเรานั้นก็โตเป็นสาว หน้าตางดงามไม่แพ้หญิงใดในเมืองนี้ วิชาการบ้านการเรือนนางก็ได้เรียนสำเร็จแล้ว (อิอิ..หารู้ไม่) น้องคิดว่า นางสมควรจะออกเรือนได้แล้ว
    น้องมีญาติที่อยู่เมืองมิถิลานคร บ้านเกิดของน้อง มีหลายคนที่มีบุตรชาย เป็นเศรษฐีตระกูลใหญ่หลายตระกูล หากได้ท่านเหล่านั้นมาเป็นคู่ครอง เราจะได้มีทรัพย์มากขึ้นเป็นเท่าตัว”


    สันตสิทธิ์อำมาตย์ฟังแล้วนิ่งสักพัก และได้กล่าวว่า..

    “น้องหญิงเอ๋ย อันพี่เกิดในตระกูลกษัตริย์ พี่ก็อยากให้ลูกของเราได้ต่อเชื้อตระกูลกษัตริย์สืบไป ทรัพย์ของเราขณะนี้ต่อให้เรามีลูกอีก ๑๐ คนก็ใช้ไม่หมด เวลานี้เรามีเพียงลูกหญิงคนเดียวใช้อย่างไรก็ไม่หมด เจ้ารู้มั๊ย เรื่องนี้เป็นความลับ
    (แอบกระซิบ) มีผู้ครองนครหลายเมืองส่งสาส์น และเครื่องบรรณาการมาให้กษัตริย์ของเรามากมาย พี่ก็ถวายเฉพาะเครื่องบรรณาการ ส่วนสาส์นที่เขาจะยกพระธิดาให้กษัตริย์ของเรา พี่ไม่ได้ให้พระองค์ทรงทราบ”


    นางจันทราศีทำหน้าตาตกใจ สันตสิทธิ์อำมาตย์ได้กล่าวต่อไปว่า..


    “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องตกใจขอให้เก็บเป็นความลับอย่าแพร่งพรายออกไป พี่รู้สึกว่า พระเจ้าปศันทราชกับลูกสาวองเรานั้น สมกันดังกิ่งทองใบหยก พี่มีแผนต้องทำให้แนบเนียน”



    สันตสิทธิ์อำมาตย์ได้เล่าแผนการณ์ต่าง ๆ ให้ผู้เป็นภรรยาฟัง จากนั้นได้เรียกจันทริมากุลธิดามา และบอกว่า..

    “ลูกหญิงเจ้าอยากไปเที่ยวที่สวย ๆ มั๊ย ที่นั่นนะ มีน้ำตก มีภูเขาสวยงามมาก นั่งม้าไปอึดใจเดียวก็ถึงแล้ว อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเรามากนัก”

    จันทริมากุลธิดาแสร้งทำเป็นตื่นเต้น (ทั้ง ๆ ที่ตนเองเคยไปนับครั้งไม่ถ้วน) พร้อมบอกว่า “อยากไปเจ้าค่ะ ท่านพ่อ ลูกอยากไป”

    สันตสิทธิ์อำมาตย์กล่าวว่า .. “ดีแล้วในวันหยุดราชการที่จะถึงนี้ พ่อกับแม่จะพาลูกไป”

    จันทริมากุลธิดายินดียิ่งนัก เพราะเป็นชอบเล่นน้ำตกอยู่แล้ว คราวนี้ไม่ต้องให้สินบนแก่นายประตู อีกทั้งได้ไปเที่ยวกับบิดามารดา นางยิ่งมีความสุขมาก ต่อมาสันตสิทธิ์อำมาตย์ก็ได้ไปทูลแก่พระเจ้าปศันทราชว่า....

    “ข้าฯแต่มหาบพิตร ที่ผ่านมาพระองค์เหน็ดเหนื่อยมามาก หม่อมฉันมีสถานที่แห่งหนึ่งให้พระองค์ได้ผ่อนคลาย เป็นสถานที่ที่พระราชาองค์ก่อนทรงโปรดปราน เป็นที่ของท่านวิมุตติเศรษฐีพะยะค่ะ

    แต่สถานที่นี้มิได้เปิดให้คนทั่วไปได้เข้าไป เฉพาะญาติและบริวาร หรือแขกคนสำคัญของท่านวิมุตติเศรษฐีเท่านั้นจึงจะไปได้”



    พระเจ้าปศันทราชนั้น ด้วยยังทรงพระเยาว์ปรารถนาจะประพาสป่าเป็นทุนอยู่แล้ว จึงได้ตรัสตกลงตามที่สันตสิทธิ์อำมาตย์ทูลเชิญ หลังจากที่ได้นัดหมายวันแล้ว พระเจ้าปศันทราชจึงได้ไปทูลเชิญพระนางจันทมาลีเทวี อดีตพระมเหสีของพระราชาองค์ก่อน

    พระนางจันทมาลีเทวีนั้น ยังมีความเศร้าที่พระสวามีจากไปทั้งที่มีพระชนมายุยังน้อย จึงได้ตอบปฏิเสธ และปรารถนาจะที่อยู่เงียบ ๆ พระเจ้าปศันทราชรู้สึกเป็นห่วง จึงได้ให้ทหารคนสนิทเชิญท่านวิมุตติเศรษฐี และนางนารถลดา ผู้เป็นภรรยา เพื่อปรึกษา ครั้นทั้งสองมาถึงทรงตรัสว่า..


    “ท่านพี่ทั้งสอง เวลานี้ข้าฯ เองก็ไม่มีใครจะพอเป็นที่ปรึกษาได้ พระเชษฐาก็ไม่อยู่ พระพี่นางอยู่ด้วยความเศร้าโศกมิคลาย ข้าฯเองรู้สึกเป็นทุกข์ใจยิ่งนัก ท่านสันตสิทธิ์อำมาตย์ ก็หวังดีจะพาไปเที่ยวป่า ข้าฯก็อยากให้พระพี่นางฯ ร่วมเดินทางไปด้วย ข้าฯ ควรทำอย่างไรดี”


    ท่านวิมุตติเศรษฐีได้กล่าวว่า...

    “ข้าฯแต่มหาบพิตร เรื่องของสตรี ควรให้สตรีได้ปลอบโยนกันจะดีกว่า ขณะนี้นารถลดาเพิ่งตั้งครรภ์อ่อน ๆ ยังพอเดินทางไปมาได้ หากพระองค์อนุญาต หม่อมฉันจะให้นางมาอยู่เป็นเพื่อนพระนางจันทมาลีเทวีพระเจ้าข้าฯ”

    พระเจ้าปศันทราชรู้สึกยินดียิ่งนักที่มีผู้ที่คอยช่วยดูแลพระนางจันทมาลีเทวี.. นางนารถลดาได้กล่าวว่า..

    “ท่านผู้เป็นใหญ่เหนือแผ่นดิน เมื่อครั้งถูกโจรปล้นเรือสินค้า หม่อมฉันสูญเสียบิดามารดาดีที่หม่อมฉันรอดมาได้ หากมิได้บุรุษ ๒ ท่านคอยช่วยเหลือ หม่อมฉันคงไม่มีชีวิตอยู่มาถึงบัดนี้

    พระอัฒจักร ถือว่าเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่แก่หม่อมฉัน ด้วยท่านเสี่ยงชีวิตช่วยหม่อมฉันจากการถูกน้ำพัดไป ส่วนท่านวิมุตติเศรษฐี ถือว่า เป็นผู้เลี้ยงดู

    เมื่อรอดชีวิตมาได้ช่วงแรก และทราบว่า บิดามารดาเสียชีวิต แทบจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่ท่านวิมุตติก็คอยให้กำลังใจให้เสมอมา

    ข้าฯแต่พระองค์ ในโลกนี้ไม่มีใครเลยจะไม่เคยสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เราเกิดมาแล้ว ย่อมพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจเสมอ..เรื่องของพระนางจันทมาลี ขอให้หม่อมฉันเป็นผู้ดูแลพระนางเองเพคะ”


    พระเจ้าปศันทราชมีความพึงพอพระทัย จึงได้พาวิมุตติเศรษฐีและภรรยาเข้าเฝ้าพระนางจันทมาลีเทวี และตรัสว่า..

    “หม่อมฉันได้พาท่านวิมุตติเศรษฐีมาเยี่ยมพระพี่นางพะยะค่ะ”

    พระนางจันทมาลีเทวี ปกติเป็นสตรีที่มีจิตใจอ่อนโยน มีเมตตาเป็นที่สุด แต่เมื่อพระเจ้าปเสนทิศาทสิ้นพระชนม์ พระนางรู้สึกเป็นทุกข์ พระหฤทัยบอบช้ำ แม้ผู้อื่นจะสรรเสริญพระสวามีว่าได้สร้างบุญใหญ่ หาผู้อื่นเปรียบมิได้ แต่พระนางกลับไม่เข้าใจในการกระทำของพระสวามีแต่อย่างใด

    กลับทรงดำริว่า พระสวามีหมดรักพระนางแล้ว ทอดทิ้งพระนางไป ไม่ใยดี ดังนั้นจึงพาลโกรธพระเจ้าปศันทราช ซึ่งเป็นพระอนุชา เมื่อพระองค์ทำสิ่งใดให้จึงมิมีความยินดีประการใด อีกทั้งคิดว่า พระอนุชาผู้นี้ เป็นเหตุไม่ให้พระนางมีพระโอรส-ธิดา พระนางจึงแอบอธิษฐานในพระทัยเสมอว่า..

    “แม้พระอนุชาผู้นี้จะอภิเษกสมรสกับใครก็ตาม หากมีบุญได้มีทารกมาเกิด ก็ขอให้อย่าได้มีพระโอรส ขอให้มีเพียงพระธิดาเท่านั้น เป็นเหตุให้ไม่สามารถครองราชย์ได้”


    ___________________________

    เมื่อพระนางจันทมาลีเทวีได้เห็นนางนารถลดา ภรรยาของวิมุตติเศรษฐีมาเยี่ยมเยียนก็รู้สึกยินดียิ่งนัก เมื่อครั้งพระเจ้าปเสนทิศาทยังมีพระชนม์อยู่ พระนางเคยได้พบนางนารถลดาบ้าง เพียงรู้สึกถูกชะตา เนื่องจากทุกครั้งเป็นการเชิญมาร่วมเสวยภักกระยาหาร แต่ไม่ได้พูดคุยกันมากนัก เมื่อได้พบนางนารถลดาอีกครั้ง พระนางรู้สึกยินดี จึงได้กล่าวแก่พระเจ้าปศันทราชว่า..
    “ขอบพระทัยมากเพคะ..ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้นางมาพบหม่อมฉันบ่อย ๆ เถิด..”

    พระเจ้าปศันทราชจึงกล่าวว่า..

    “หากพระพี่นางพอพระทัย หม่อมฉันก็ยินดีพะยะคะ”


    จากนั้นทรงให้นางนารถลดาอยู่สนทนากับพระนางจันทมาลีเทวี เพื่อทำความรู้จักกันเพียงลำพัง
    ส่วนท่านวิมุตติเศรษฐีได้ขอตัวกลับเรือนของตน พระเจ้าปศันทราชจึงกล่าวว่า..

    “ท่านพี่ ข้าฯ รักและเคารพท่านพี่เสมือนหนึ่งพระเชษฐา ข้าฯ มิปรารถนาที่จะครองราชย์ ข้าฯรู้ที่พระพี่นางมีอาการอย่างนี้มาจากพระเชษฐาขอร้องมิให้พระนางมีพระโอรส-ธิดา หากมีสิ่งใดที่ข้าฯทำแก่พระนางได้ ข้าฯก็ยินดีจะทำ ขอท่านพี่ช่วยโปรดชี้นำข้าฯ ด้วยเถิด..”

    ท่านวิมุตติเศรษฐี กล่าวว่า.. “มหาบพิตร อย่าเกรงใจเลย มีสิ่งใดที่กระหม่อมถวายแด่พระองค์ได้ ก็ยินดีพะยะค่ะ กระหม่อมเชื่อว่า นารถลดาสามารถทำให้อดีตพระมเหสีพอพระทัยได้พะยะค่ะ

    พระองค์อาจจะทรงทราบว่า เมื่อบิดามารดาของกระหม่อมเสียชีวิต กระหม่อมก็เหมือนตัวคนเดียว ภาระอันหนักอึ้งถูกวางไว้ให้ เสมือนพระองค์ในเวลานี้ เมื่อนารถลดาเข้ามาในชีวิต นางทำให้ทุกอย่างในชีวิตเปลี่ยนไป ถึงแม้ความสัมพันธ์ครั้งแรก มิใช่เรื่องคู่ครอง นางทำให้ทุกคนในบ้านมีความสุขสงบ

    พระองค์เองก็ควรมีพระมเหสีคู่พระทัยได้แล้ว พะยะค่ะ ในแคว้นนี้มีพระราชาปกครองแคว้นที่มีพระธิดาสิริโฉมงดงามมากมาย อาจจะมีพระองค์ใดเป็นที่พอพระทัยนะพะยะค่ะ ”


    พระเจ้าปศันทราชรู้สึกเขินอาย และกล่าวว่า..

    “หม่อมฉันอายุยังน้อย ยังไม่คิดเรื่องนี้หรอก อีกอย่างมิใช่บุรุษรูปงามอย่างท่านหรือพระเชษฐา สตรีที่ไหนจะมารัก”

    ท่านวิมุตติเศรษฐีกล่าวว่า.... “พระองค์ ทรงฉลาดหลักแหลม สมเป็นชายชาตรี และมีความสง่างามเช่นนี้ สตรีผู้นั้นไม่สนใจก็ถือว่า นางด้อยปัญญา...”

    ด้วยความเขินอายพระเจ้าปศันทราชได้ตัดบทไป และกล่าวว่า..

    “วันนี้ ข้าฯ ขอนำเรื่องงานบุญที่เราจะสร้างวัดมาปรึกษากันก่อนดีมั๊ยพะยะค่ะ”

    จากนั้นทั้งสองได้วางแผนเรื่องการระดมทรัพย์ เพื่อสร้างวัดไว้คร่าว ๆ แต่ยังไม่มีการเรียกประชุมกับเสนาอำมาตย์ทั้งหลายแต่อย่างใด


    *************************************************

    ครั้นเมื่อถึงเวลานัดหมายกับสันตสิทธิ์อำมาตย์ ซึ่งสันตสิทธิ์อำมาตย์นั้นได้ให้ทหารคนสนิทของพระเจ้าปศันทราชเป็นผู้พาไป ส่วนตนเองได้พาภรรยา และจันทริมาไปรอที่น้ำตกอยู่ก่อนแล้ว

    เมื่อพระเจ้าปศันทราชนั้น ไปถึงน้ำตก ก็พบว่า มีสตรีสาวสวยนั่งอยู่เคียงข้างสันตสิทธิ์อำมาตย์ พระองค์ถึงกับตะลึง เพราะย้อนไปเมื่อครั้งพระองค์เป็นเจ้าชาย และได้ออกประภาสป่าบริเวณนี้เพียงลำพัง ทรงเคยหลงป่ามายังน้ำตกแห่งนี้ ได้พบเห็นหญิงสาวกำลังเล่นน้ำ พักตร์ของนางลอยเด่น พระองค์คิดว่า นางอาจจะเป็นพรายน้ำ หรือนางไม้หลอกลวงให้ลงน้ำไป แล้วฆ่ากินเนื้อตามความเชื่อของโบราณที่เล่าสืบกันมา จึงรีบหนีไป มิกล้ากลับมายังบริเวณแห่งนี้อีก

    เมื่อได้พบหน้าจันทริมากุลธิดา ทั้งปิติดีใจที่นางเป็นมนุษย์ มิได้เป็นนางไม้อย่างที่เข้าใจ ส่วนนางจันทริมา เห็นพระเจ้าปศันทราชจ้องหน้าก็รู้สึกเขินอาย คิดว่า...

    “คนผู้นี้เป็นใคร อยู่ ๆ มาจ้องหน้าเรา”

    จึงได้สะกิดมารดาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นางจันทราศีจึงได้กล่าวว่า..

    “จันทริมา.. ถวายบังคมต่อพระเจ้าปศันทราช ผู้ครองนครของเราซิลูก”

    จันทริมากุลธิดานั้น เมื่อรู้ว่า เป็นกษัตริย์จึงรู้สึกตกใจที่เพิ่งทำหน้าบึ้งตึง และเชิดใส่ รีบคุกเข่าและกล่าวว่า..

    “ถวายบังคมเพคะ ขอประทานอภัยเพคะ..”

    ทุกคนที่มาพร้อมกับสันตสิทธิ์อำมาตย์ต่างก็ถวายบังคม พระเจ้าปศันทราชทรงแย้มสรวลกับอาการของจันทริมากุลธิดาอย่างขบขัน ทำให้สันตสิทธิ์อำมาตย์รู้สึกพอใจอยู่เงียบ ๆ คิดว่า แผนการณ์ที่ตนวางไว้ง่ายกว่าที่คิด จึงได้กราบบังคมทูลว่า..



    “ข้าฯ แต่มหาบพิตร กระหม่อมประสงค์เพียงพาภรรยา และบุตรสาวมาเปิดหูเปิดตาบ้าง ธรรมดาสตรีของเมืองเรา หากยังไม่ออกเรือน จะไม่ค่อยได้ออกไปไหน ขอพระองค์โปรดประทานอภัยด้วยพะยะค่ะ”


    พระเจ้าปศันทราชนั้น ได้กล่าวว่า.. “ท่านอำมาตย์ ท่านมิได้ทำอะไรผิดหรอก ดีเสียอีก จะได้เที่ยวกันหลาย ๆ คนสนุกดี เราเองนับแต่พระเชษฐสวรรคตก็ไม่ได้ออกมาเที่ยวเลย ขอบใจท่านมากนะที่ชวนเรา”

    สันตสิทธิ์อำมาตย์ก็ได้พาเยี่ยมชมถ้ำต่าง ๆ บริเวณนั้น พระเจ้าปศันทราชทรงพอพระทัย

    จากนั้นต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับที่พักของตน เหตุที่สันตสิทธิ์อำมาตย์นั้นมิได้อยู่ในเขตพระราชฐาน เนื่องจากสันตสิทธิ์อำมาตย์เป็นพระโอรสที่เกิดจากสนมในวัง แม้จะมีศักดิ์เป็นพระปิตุลาของพระราชาทั้งสองพระองค์ โดยสายเลือดนับว่า ยังไม่บริสุทธิ์ที่จะครองราชย์ได้

    ภายหลังพระเจ้าปเสนทิศาทได้แก้กฏมณเฑียรบาลนี้ เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัย โดยพระราชาสามารถอภิเษกสมรสกับสามัญชนได้ โดยปรารถนาจะให้บุตรสาวของสันตสิทธิ์อำมาตย์ได้มีโอกาสอภิเษกสมรสกับพระอนุชาของพระองค์นั่นเอง


    ครั้นกลับจากประพาสป่า พระเจ้าปศันทราชเฝ้าแต่คิดถึงจันทริมากุลธิดา จึงนึกถึงคำพูดของวิมุตติเศรษฐีหาผู้ที่มาเติมเต็มในชีวิตให้สมบูรณ์ขึ้น จากนั้นจึงได้เผลอบรรทมหลับไป

    ส่วนจันทริมากุลธิดา เมื่อพบพระพักตร์ของพระเจ้าปศันทราช รู้สึกใจเต้น จนนอนไม่หลับ และไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น นางคิดว่า ตนเองคงทานอาหารมากไป

    รุ่งเช้าพระเจ้าปศันทราชจึงได้เรียกสันตสิทธิ์อำมาตย์ให้เข้าพบ และขอธิดาสันตสิทธิ์อำมาตย์ เพื่ออภิเษกสมรสกับพระองค์ สันตสิทธิ์อำมาตย์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ให้โหราจารย์หาฤกษ์ยามเพื่องานอภิเษกสมรส จากนั้นอีก ๓ เดือน จึงมีงานอภิเษกสมรสของพระเจ้าปศันทราชขึ้น ชาวเมืองต่างปิติยินดีที่ได้มีแม่เมืององค์ใหม่

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2013
  11. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ดวงแก้วสุขุมาลย์มารศรี และดวงแก้วสหัสสบดีมณีรัตนะ ตอน ๒ พระนางจันทรมาลีสวรรคต..

    กล่าวถึงพระนางจันทมาลีเทวีนั้น ได้บรรเทาความเศร้าโศกเสียใจไปมาก เนื่องจากนารถลดาได้คอยดูแลปลอบโยน

    ภายหลังครรภ์ของนางโตขึ้นมาก และคลอดบุตรเป็นชายนามว่า กัณฑกะ การเดินทางไม่สะดวกเหมือนเดิม พระนางจันทมาลีเทวีจึงได้เสด็จมายังเรือนของพระนางเอง ทั้งสองมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ

    กัณฑกะกุมารนั้น มีความน่ารัก น่าเอ็นดู เป็นที่โปรดปรานของพระนางจันทมาลีเทวีเป็นอย่างยิ่ง ถึงขนาดประทานหยกอย่างดีที่พระบิดาของพระนางส่งมาให้เมื่อครั้งอภิเษกสมรส เป็นของขวัญครบรอบ ๑ ขวบของกัณฑกะกุมาร

    ฝ่ายพระเจ้าปศันทราชนั้นได้รู้จักสนิทสนมกับจันทริมากุลธิดาความรักเบ่งบาน ปรารถนาจะอภิเษกสมรสกับจันทริมากุลธิดา จึงได้ปรึกษากับพระนางจันทมาลี และวิมุตติเศรษฐี

    ต่อมาพระนางจันทมาลีเทวี ท่านวิมุตติเศรษฐี-นางนารถลดาได้เป็นผู้ใหญ่สู่ขอจันทริมา การอภิเษกสมรสจึงเปี่ยมไปด้วยความสุข หลังจากอภิเษกสมรสของพระเจ้าปศันทราชไม่ถึงเดือน พระนางจันทมาลีเทวีได้ก็สวรรคตด้วยโรคปัจจุบันทันด่วนด้วยสิริมายุได้ ๓๑ ชันษา สร้างความโศกเศร้าแก่พระเจ้าปศันทราช และชาวเมืองทั้งหลาย เมื่อสวรรคตแล้ว ไปจุติบนสวรรค์ชั้นดุสิต


    จากนั้นต่อมาพระนางจันทริมาทรงพระครรภ์ และประสูติพระธิดาพระนามว่า เจ้าหญิงปศันทริมา และพระเจ้าปศันทราชได้ให้พระนามพระมเหสีใหม่ว่า “พระนางจันทมาลย์” หมายถึงพระนางจันทร์ ผู้เป็นยอดดวงใจ ต่อมาพระนางก็ไม่มีพระโอรส-ธิดาอีกเลย


    _______________________________


    ดวงแก้วสุขุมาลย์มารศรี และดวงแก้วสหัสสบดีมณีรัตนะ ตอน ๓ ปัทมรานีอธิษฐาน



    กาลต่อมาพระเจ้าปศันทราชจึงได้เชิญบรรดาเศรษฐีใหญ่ในเมืองนี้ ประชุมกัน เพื่อสร้างวัด ถวายสมเด็จพระพุทธกัสสปพุทธเจ้า เพื่อพุทธบูชา

    มหาเศรษฐีในเมืองนี้มีตระกูลใหญ่อยู่ ๘ ตระกูล เมืองนี้มหาเศรษฐีถึง ๘ ตระกูลใหญ่ล้วนแต่เป็นผู้มีทรัพย์มาก มีท่านบูรณเศรษฐี สิทธิกะเศรษฐี-(สัตตบดินทร์เทวบุตร) อมรติโยคเศรษฐี บริจาคเศรษฐี วิณฑกเศรษฐี นางอัจฉิมาเศรษฐีนี และท่านวิมุตติเศรษฐี เมื่อประชุมเรียบร้อยแล้ว วางแผนในการบอกบุญแก่ชาวเมืองทั้งหลายให้มาช่วยกันสร้างวัดนี้ให้สำเร็จโดยเร็ว

    ตระกูลเศรษฐีแห่งเมืองสาเกตที่มีทรัพย์นับ ๔๖๐ โกฏิหลายตระกูล ในจำนวนนั้นคือตระกูลของท่านวิมุตติเศรษฐี และนางอัจฉมาเศรษฐีนี มารดาของอัฒจักรภิกษุนั่นเอง เหตุที่อัฒจักรภิกษุได้นำทรัพย์จำนวนหนึ่งไปสร้างวัดปรมัตถวนารามแล้ว

    ท่านจึงได้ให้มารดานำทรัพย์ส่วนของท่านอีก ๔๐ โกฏิ เพื่อร่วมบุญสร้างวันครั้งนี้ ส่วนนางอัจฉมานั้นเกิดความปรารถนาจะสร้างบุญใหญ่ด้วย แต่ด้วยเกรงว่า ทรัพย์จะตนจะหมด จึงได้นำทรัพย์ของนางมาร่วมบุญครั้งนี้เพียง ๑๐ โกฏิ

    แต่นางได้นำข่าวบุญนี้ไปบอกแก่นางมัลลินาถ ผู้เป็นมารดาของปัทมรานีกุลธิดา คู่หมั้นหมายของอัฒจักรภิกษุ ซึ่งอยู่เมืองมัทราช ห่างจากเมืองสาเกตุไปทางทิศเหนือ ๑๒ โยชน์ แม้บุตรของนางจะไม่ได้แต่งงานกับอัฒจักรมานพ นางมัลลินาถนั้นมิได้โกรธเคืองกับนางอัจฉมาแต่อย่างใด และยังร่วมบุญอนุโมทนาบุญโดยให้ปัทมรานีกุลธิดานำทรัพย์มาร่วมบุญ ๑๐ โกฏิ มาร่วมบุญกับท่านวิมุตติเศรษฐี

    ฝ่ายปัทมรานี-บุตรสาวนั้น มิได้คิดเหมือนกับมารดา นางมีความน้อยใจพระอัฒจักรภิกษุ ก่อนที่นางจะมอบทรัพย์นี้แก่ท่านวิมุตติเศรษฐี จึงอธิษฐานว่า..


    “แม้ไม่ได้ร่วมครองเรือนกันในชาตินี้ ขอให้ข้าฯ ได้สมความปรารถนาครองคู่กับท่านพี่อัฒจักรในชาติต่อไป ขออย่าได้พบกับนางนารถลดา ผู้ขวางความสุขของข้าฯอีกเลย”


    ฝ่ายนางนารถลดานั้น แม้ทราบในใจว่า ปัทมรานีกุลธิดานั้นไม่ค่อยชอบตนเท่าใดนัก นางก็ได้ต้อนรับขับสู้อาศัยความจริงใจเข้าหา เมื่อมีโอกาสนางจึงได้เอ่ยกับปัทมรานีว่า..

    “น้องหญิง เรื่องราวต่าง ๆ นั้นอาจจะเกิดจากกรรมลิขิต หาได้เกิดจากความตั้งใจของท่านอัฒจักร หรือพี่ไม่ ในอดีตเราเคยครองคู่กันมาก่อน จึงทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น

    พี่เองก็ไม่คิดปรารถนาจะแย่งชิงตัวท่านมาจากน้อง และพี่ก็มีท่านวิมุตติเศรษฐี ซึ่งเป็นสามีที่ดีมาก พี่มิอาจจะปันใจให้ชายใดได้ พี่เคารพท่านในฐานะของพระภิกษุ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนา หาได้คิดอย่างอื่นไม่

    เหตุเพียงเพราะท่านมีความเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ท่านมีดวงตาเห็นธรรม ปรารถนาจะเดินตามรอยพระตถาคตเจ้า น้องหญิงควรจะอนุโมทนายินดีในธรรมของท่าน

    การที่น้องปรารถนาเพียงครองคู่กับท่านนั้น หากชาติต่อไป ท่านออกบวชอีก ท่านมิต้องขาดจากการเป็นพระภิกษุหรอกหรือ การที่เราจะรักใครนั้น เราต้องประกอบด้วยพรหมวิหารธรรมแก่ท่านผู้นั้นด้วย หากท่านปรารถนาจะออกบวช ก็ควรมิมุทิตาจิตแก่ท่านผู้นั้นได้จึงจะขึ้นชื่อว่า รักแท้”

    ความจริงแล้วนางนารถลดานั้นได้เรียนรู้การฝึกจิตจากอัฒจักรภิกษุในช่วงที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาครั้งก่อน แม้พระอัฒจักรสอนนางเพียงไม่นาน ด้วยความรักและศรัทธาในตัวอัฒจักรภิกษุ ทำให้นางได้ตั้งใจปฏิบัติ จนธรรมก้าวหน้าขึ้น จิตละเอียดจนทราบวารจิตของผู้คน เหตุนี้นางจึงช่วยให้พระนางจันทมาลีพ้นจากมิจฉาทิฐิได้

    ฝ่ายปัทมรานีกุลธิดานั้น รู้สึกตกใจที่นางนารถลดา ภรรยาวิมุตติเศรษฐีล่วงรู้ความในใจของตน จึงได้กล่าวว่า..
    “ท่านพี่ ท่านทราบคำอธิษฐานของข้าฯหรือ”
    นางนารถลดาได้ยิ้มด้วยความเมตตา และกล่าวว่า..

    “น้องหญิง พี่ทราบ”ปัทมรานีนั้น ยังถือทิฐิของตน และกล่าวว่า..


    “ทราบก็ดีแล้วในชาติหน้า ขอท่านอย่าไปเกิดร่วมชาติ และแย่งชิงท่านอัฒจักรจากข้าฯไปอีก”

    นางนารถลดา จึงกล่าวว่า..

    “อนาคตกาลเป็นอย่างไรในเบื้องหน้าพี่ไม่รู้ พี่ขออยู่ในปัจจุบัน ขอทำปัจจุบันให้ดีที่สุด และมิอาจจะรักษาสัญญาแก่น้องหญิงได้”ปัทมรานีกุลธิดา ได้กล่าวด้วยความไม่พอใจว่า..

    “ท่านก็แค่มือถือสากปากถือศีล ไม่จริงใจกับเรา แค่สัญญาแค่นี้ก็ทำไม่ได้”


    นางนารถลดากล่าวไปว่า..


    “น้องหญิง อนาคตเบื้องหน้า เรามิรู้หรอกว่าจะเราเกิดมาพบกันหรือไม่ หากกรรมใดที่พี่เคยทำให้น้องหญิงขุ่นข้องหมองใจ ไม่สบายใจ คับแค้นใจ พี่ขออโหสิกรรมด้วยเถิด และกรรมใดที่เธอได้ล่วงเกินพี่มาแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พี่ขอถวายเป็นอภัยทาน แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”


    จากนั้นนางก็นั่งคุกเข่าลง ทำให้ปัทมรานีกุลธิดารู้สึกตกใจ และกล่าวว่า..

    “ท่านไม่ต้องทำเช่นนั้นก็ได้ เอาละ ๆ เราไม่ถือโทษท่านก็ได้ อย่างนั้นเรากลับเรือนท่านแม่อัจฉมาก่อนละกัน”

    ปัทมรานีกุลธิดานั้น ได้กล่าวอย่างขอไปที ไม่ได้จริงใจที่จะอโหสิกรรมแก่นารถลดาแต่อย่างใด


    (ผลกรรมที่ปัทมรานีได้ทำบุญด้วยความโกรธทำให้ตายจากชาตินั้นได้ไปเกิดเป็นพระชายาของพระวาฬหยักษ์ในเชิงเขาคันธมาท เสวยวิบากเป็นยักษ์อยู่ ๕๐๐ ชาติ จากนั้นได้จุติเป็นพระนางวสุนทรีย์ พระมเหสีองที่ ๒ ของพระเจ้าอทิตตราช ในประวัติดวงแก้วสุขุมาลย์มณีรัตนะ ฯ นั่นเอง พระเจ้าอทิตตราชในชาตินั้นไม่ใช่ดวงจิตดวงเดียวกับอัฒจักรภิกษุแต่อย่างใด)

    _______________________________
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  12. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ดวงแก้วสุขุมาลย์มารศรี และดวงแก้วสหัสสบดีมณีรัตนะ ตอน ๔ เรื่องของมิณฑิกะมานพ

    ขออธิบายเพิ่มเติมเรื่องระยะเวลาในการสร้างวัดปรมัตถวนาราม กับการสร้างวัดพุทธารามนั้น มีระยะเวลาห่างกันเป็นสิบปี (เทียบกับอายุมนุษย์ปัจจุบัน เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ เนื่องจากอายุขัยของมนุษย์ในยุคนั้น นับเป็นหมื่นปี สมเด็จพระพุทธกัสสปนั้นมีพระชนมายุ ๒๐๐๐๐ ปี พระศาสนาดำรงอยู่ ๒๐๐๐๐ ปี)

    ***********************************************

    หลังจากพระเจ้าปเสนทิศาทสวรรคตนั้น ในยุคนั้น หากกษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์สวรรคต จะต้องงดงาน รื่นเริงงานบุญต่าง ๆ เพื่อไว้ทุกข์ ๓ ปี จากนั้นนานนับปี จึงได้มีพิธีอภิเษกสมรสแก่พระเจ้าปศันทราช และพระนางจันทมาลย์ หลังงานอภิเษกสมรสไม่นานพระนางจันทมาลีเทวีสวรรคต

    ต่อมาเมืองใกล้เคียง เมื่อพระธิดาของตนไม่ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าปศันทราชแล้ว คิดว่า พระราชาเมืองนี้ยังเยาว์วัย คิดจะตีเป็นเมืองขึ้น พระเจ้าปศันทราชใช้เวลาแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเวลา ๓ ปี บ้านเมืองจึงสงบลง
    เมื่อการเมืองการปกครองเรียบร้อยแล้ว จากนั้นพระเจ้าปศันทราชคิดว่า ควรจะสร้างวัดตามเจตนารมย์ของพระเจ้าปเสนทิศาท จึงได้ประชุมเหล่าเศรษฐีเรื่องเกี่ยวกับการสร้างวัด
    _______________________________

    ขอย้อนกล่าวถึงสิณกภิกษุ (ต่อเนื่องจากประวัติจักรสุทธิวงศา ฯ) ซึ่งบวชได้ที่วัดปรมัตถวนารามแล้ว ได้บำเพ็ญเพียรในถ้ำ จากนั้นได้ขอออกธุดงค์ ได้พบกับพระอัสดงฤาษีสำเร็จอภิญญา ท่านอัสดงฤาษีได้พาไปยังนาคพิภพ พบกับพระเกษรีฤาษี และท่านสีหบดินทร์ฤาษีได้เรียนวิชายังไม่สำเร็จดี จากนั้นด้วยวิบากกรรมเก่า ได้ถูกงูกัดถึงแก่มรณภาพ ไปจุติบนสวรรค์ชั้นดุสิต

    (งูนี้ เดิมทีเคยเกิดเป็นพญานาคตระกูลสีดำ และเคยเป็นคู่อริกับสิณกภิกษุในอดีต ปัจจุบันยังอยู่ในนรก เนื่องจากได้ทำร้าย พระผู้ทรงอภิญญาจนมรณภาพ)

    จากนั้นท้าวสักกเทวราชได้ให้มหัทธกเทวบุตร ไปแจ้งเรื่องการลงไปจุติ เพื่อสร้างบารมีต่อ สิณกภิกษุนั้นจึงได้เกิดมาในตระกูลบริจาคเศรษฐีนามว่า มิณฑิกะ จากนั้นมหัทธกเทวบุตรได้ขออนุญาตท้าวสักกเทวราช จุติมาเพื่อสร้างบารมีร่วมกันกับสิณกภิกษุ

    สิณกภิกษุได้จุติมาเป็นมนุษย์อีกครั้งในตระกูลของบริจาคเศรษฐี เดิมทีบริจาคเศรษฐีมีนามว่า อทิตดามานพ ได้อพยพมาจากเมืองสันตนคร ทางทิศใต้ของเมืองสาเกต มีทรัพย์ไม่มากนัก ได้ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้าเร่

    ต่อมาได้พบพระฤาษีตนหนึ่ง เกิดความเลื่อมใสศรัทธา นำอาหารที่มีเพียงเล็กน้อยของตน ถวายแด่พระฤาษีนั้น ท่านจึงได้มอบคาถารวมทรัพย์แก่ท่านเศรษฐี และบอกว่า...

    “หากอนาคต ท่านค้าขายร่ำรวยให้ตั้งโรงทานในเมืองนั้น ๑ โรง เพื่อให้ทานแก่คนยากจน พร้อมกับสวดคาถารวมทรัพย์นี้ ท่านจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีในที่สุด”


    พระฤาษีกล่าวจบก็หายตัวไป

    อทิตดามานพนั้น โดยคิดว่า เราจะไม่รอให้ร่ำรวยถึงขั้นเศรษฐีหรอก เราจะค่อย ๆ ทำโรงทาน และบอกบุญแก่ผู้ที่เราพบเห็น จากนั้น จึงได้ไปบอกแก่นางมัทนาเภรี ผู้เป็นภรรยา

    นางมัทนาเภรีนั้น ได้นำเครื่องประดับเพียงเล็กน้อยที่ได้จากเมืองอื่น จัดแต่งใหม่ให้สวยงาม และนำมาวางขายในตลาด เครื่องประดับของนางนั้น สวยงามมากแปลกตา วันนั้นนางนารถลดาได้ออกมาเดินตลาด ขณะนั้นนางท้องได้ ๗ เดือน

    นางพบเห็นสร้อยมุกเครื่องประดับ และของใช้อื่น ๆ นางจึงได้อุดหนุน และให้ราคามากกว่าที่นางมัทนาเภรีตั้งราคาไว้ นางมัทนาเภรีจึงคิดว่า..

    “เศรษฐีนีผู้นี้ มีจิตเป็นกุศล เราจะบอกเรื่องการสร้างโรงทานแก่นาง”

    มัทนาเภรีกล่าวว่า..

    “ข้าฯ แต่นายหญิง สามีข้าฯได้พบกับพระฤาษีตนหนึ่ง กล่าวว่า การสร้างโรงทานแก่คนยากจนนั้น มีกุศลมากนัก สามีของข้า ฯเป็นเพียงพ่อค้าเร่ธรรมดา ปรารถนาจะทำโรงทาน เกรงว่ากำลังเพียงคนเดียวอาจจะไม่สำเร็จโดยง่าย นายหญิง ท่านเป็นผู้มีทรัพย์มาก เราอาจจะได้สร้างบุญด้วยกัน”

    นางนารถลดานั้น รู้สึกปิติใจ คิดว่า ..

    “ก่อนหน้านี้เราปรารถนาจะสร้างวัด แต่ติดต้องรอพระราชากำหนดเวลา หากเราทำโรงทานแก่คนยากจนไปก่อน ก็ดีไม่น้อย”

    นางจึงกล่าวกับนางมัทนาเภรีว่า ..

    “น้องหญิง เราปรารถนาจะสร้างบุญกับนาง แต่เราจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษาสามีของเราก่อนนะ เย็นวันนี้ ขอนางจงพาสามีไปยังเรือนวิมุตติเศรษฐี เพื่อเล่ารายละเอียดแก่สามีของเรา”

    นางมัทนาเภรีนั้น ยินดียิ่งนัก เหตุที่นางและสามีจะบอกบุญแก่ผู้อื่นด้วยเหตุที่ทั้งสอง เคยได้ฟังธรรมจาก พระพุทธกัสสปพุทธเจ้าตรัสสอนว่า..

    “การสร้างบุญ และบอกกล่าวบุญนั้นแก่ผู้อื่น ทั้งชาตินี้ และชาติหน้า ส่งผลให้ร่ำรวย และได้พบกับกัลยาณมิตรที่ดี”

    เย็นวันนั้นทั้งสองจึงได้พบกับท่านวิมุตติเศรษฐี และเล่าเรื่องการสร้างโรงทานแก่คนยากจน และนักเดินทาง ท่านวิมุตติเศรษฐีเห็นชอบด้วย จึงได้มอบทรัพย์จำนวนมากแก่อทิตดาเศรษฐี จากนั้นจึงได้สร้างศาลาโรงทาน ใช้เวลา ๑ เดือนจึงสำเร็จ

    จากนั้นได้ตั้งโรงทานนี้ว่า “บริจาคทานศาลา” ชาวเมืองต่างก็เรียกอมิตดามานพว่า “บริจาคมานพ” นับแต่นั้นมา

    ผลบุญจากการตั้งโรงทาน ส่งผลให้วิมุตติเศรษฐีได้มอบทรัพย์จำนวนหนึ่งแก่บริจาคมานพ และมอบเรือสินค้า เพื่อไปค้าขายให้แก่บริจาคมานพ เพื่อเป็นทุนค้าขาย ส่วนเรื่องโรงทานนั้น นางมัทนาเภรี และนางนารถลดาเป็นผู้ดูแล

    ต่อมาบริจาคเศรษฐีได้ค้าขายได้กำไร จนมีทรัพย์มากถึงขั้นเศรษฐี ต่อมานางมัทนาเภรีได้ตั้งครรภ์ และเป็นเวลาที่สิณกภิกษุในอดีตมาจุติทันที เกิดเหตุอัศจรรย์ อยู่ ๆ ก็มีทรัพย์ปรากฏขึ้นในคลังของบริจาคเศรษฐี ทำให้มีทรัพย์มากนับ ๔๖๐ โกฏิ เทียบเท่ากับตระกูลของวิมุตติเศรษฐี และนางอัจฉมาเศรษฐีนี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2013
  13. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ชาตินี้ตอนเด็ก ๆ "จันทริมากุลธิดา" ก็ยังชอบแอบหนีไปเล่นน้ำคลองกะเด็กผู้ชายนะคะพี่น้ำใส
    กลับมาถึงบ้านทีไร ... ท่านแม่ตีจนขาลายประจำเลย ... แต่ก็แอบไปเล่นอีกแบบเนียนกว่าเดิม ฮิฮิฮิ


    ขอโมทนาบุญกับธรรมทานด้วยค่ะ
    รออ่านตอนต่อไปใจจดใจจ่อ ^^
     
  14. anantapats

    anantapats เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    118
    ค่าพลัง:
    +1,199
    โอนแล้ว 23,000 นะครับ ส่วนต่างเพื่อร่วมบุญกฐินด้วยครับ สาธุ
     
  15. widya

    widya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    1,095
    ค่าพลัง:
    +13,214
    ร่วมบุญบวงสรวงวัดห้วยทรายขาว จ.ลำพูน

    วันพุธ ที่ ๒๘ ส.ค.๕๖ เวลา ๑๘.๕๑ น.

    ได้โอนปััจจัยเข้า ธ. กสิกรไทย ๗๓๒ - ๒๔๑ - ๔๖๙๙

    ๑,๖๑๖.๑๖ บาท
     
  16. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,344
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,298
    อ่านแล้ว นิสัยคนเราจะผ่านไปกี่ภพกี่ชาติก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะครับ

    ยังแก่นเซี้ยว เหมือนเดิมจริงๆ แต่อย่างว่าเนอะ เล่นเป็นลิงทะโมนมันก็สนุกจริงๆอ่ะนะ
    จะให้มาเรียบร้อยเป็นกุลสตรีคงน่าเบื่อตายเลย ชีวิตคนเราจะอะไรมากมาย ก็ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่ากับที่เกิดมาแล้ว
    ก็เพียรกันต่อไปตามบารมีที่ทำๆกันมา นะครับ
     
  17. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ...พี่เองดูไปก็ขำไป เห็นภาพเลยว่า ชาติก่อนเป็นอย่างไร ชาตินี้ก็ยังซุกซนเหมือนเดิม อิอิ..
     
  18. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ขำดีค่ะ ฮิฮิฮิ...
    ท่านพ่อท่านแม่ก็ยังเหมือนเดิมเลยค่ะ
    จอมวางแผน กับเรื่องเดิม ๆ ด้วย ฮ่า ๆๆ ...
    แหม ...ทำอย่างกับเราจะไม่รู้ทันงั้นแหละ...


    หนูเคยฝันเห็นสถานที่นั้นเมื่อนานหลายปีมาแล้ว
    มีน้ำตก มีลำธารใสสะอาด มีโขดหิน มีสาวน้อยผมยาวกำลังครวญเพลงใส
    มีใบหน้าของชายลึกลับในดงไม้...
    ความฝันเพิ่งมาเฉลยเอาตอนนี้เอง อิอิ


    พี่น้ำใสเขียนละเอียดจังค่ะ อ่านไปเขิลไป...
    ขอขอบคุณในธรรมทานค่ะ และขอโมทนาบุญด้วยนะคะ
     
  19. เอ๋ปากน้ำ

    เอ๋ปากน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    816
    ค่าพลัง:
    +12,905
    อ่านแล้วก็ขำ อย่างที่พี่น้ำใสบอกนะค่ะ ฮ่าๆๆ ก๊าก...
    มีการติดสินบนอาจารย์ ด้วยนะเนี้ย อิอิ...... ซนพอกันทั้งคู่ ทั้งพี่เลี้ยง และพระธิดา อิอิ ..... แต่ก็น่ารักนะ อิอิ

    สาธุ๊ๆ ขออนุโมทนาบุญในธรรมทานของพี่น้ำใสด้วยนะค่ะ


    น้องตาลแสนซน .... แต่ช่วงนี้พี่ ฝันแปลกๆ อิอิ (ชอบฝันตอนตีห้ากว่าๆ )
    แต่จดไว้ในบันทึกส่วนตัวแย้วละค่ะ น้องตาล อิอิ
    อาจได้คำเฉลย อีก 4-5 ปีข้างหน้าก็ได้ 555

    วันก่อนไม่ได้ฝันนะค่ะ ได้ยินเสียงแบบ จะๆๆ เลย ตอนตี 4 กว่าๆค่ะ
    เสียงผู้หญิงกล่อมเด็ก ได้ยินนานประมาณ 5-10 นาทีได้

    ตอนแรกคิดว่าห้องข้างล่างกล่อมลูกเขา
    ก็สงสัยทำมัย ไม่มีเสียงเด็กร้องเลย แล้วทำไมต้องกล่อม.. 55++
    ฟังไป...ฟังมา ... ดังตรงปลายที่นอน อิอิ....
    ก็นึกว่าเอาแล้ว ใครมาขออะไร หรือมาทวงอะไร หน๋อๆๆๆๆ

    ก็เลยตั้งจิต รวบรวมบุญที่บริสุทธิ์ที่เราเคยทำมาทุกๆบุญตั้งแต่ชาติต้น ถึงปัจจุบัน
    ของอุทิศให้กับเจ้าของเสียงนี้ โปรดโมทนาบุญของเราด้วยเถอะ จงเป็นสุขๆเถอะ อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย
    พอจบคำอุทิศบุญนี้ ปรากฎ เสียงที่ได้ยินนั้นหายจ้อยเลยค่ะ.......คิดว่าเขาคงได้รับบุญแล้ว และไปแล้วละ จงเป็นสุขๆ เถอะ


    พี่น้ำใสจ๋า...น้องรออ่านตอนต่อไปนะค่ะ สาธุ

    จันทรกาล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 สิงหาคม 2013
  20. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญกับท่าน widya ด้วยเจ้าค่ะ

    Numsai
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...