กำเนิดมนุษย์

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pakung, 4 ธันวาคม 2007.

  1. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ใครเคยรู้เรื่องกำเนิดมนุษย์มั่งครับ
    นักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มบอกว่าเราเกิดขึ้นบนโลกโดยเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
    บางกลุ่มบอกว่าเรามาจากนอกโลกโดยตกลงมากลับอุกกาบาตโดยมาเป็นเชื้ออะไรสักอย่างขนาดเล็กและมาเติบโตขยายพันธุ์บนโลก
     
  2. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ตรองเรื่องนี้มากๆ ระวังเป็น บร้าา นะครับ
    ผมมีเพื่อนอยู่คนนึงชอบตรองเรื่องพวกนี้มาก มันเลยเป็นบร้าา ไปเลย

    เอามันเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ได้ มันขู่ว่าจะจับคุณพยาบาลเป็นตัวประกัน
    มันจะเลือกเฉพาะโสดๆ แจ่มๆ

    หมอด้วย ถ้าเป็นสุภาพสตรี โสดๆ แจ่มๆ มันจับเป็นประกันหมด

    มันขู่ไว้เลย ที่บ้านมันเลยไม่เอาไปโรงบาล
    เตรียมส่งโรงฆ่าสัตว์แทน
    ดูซิ จะจับอะไรเป็นตัวประกันได้...
     
  3. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ถ้าคนพวกนั้นถ้าคนพวกนั้นบ้านะครับ คนอื่นก็ไม่อาการหนักกว่าเป็นล้านเท่า
     
  4. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,235
    ไอ้เพื่อนผมคนนี้ คลุ้มคลั่ง เลยนะคุณ
    จริงๆ ไม่จิงโจ้..
     
  5. siamgirl

    siamgirl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,682
    ค่าพลัง:
    +2,742
    เเล้วจะไปคิดทำไมอ่ะ
     
  6. Tum_is

    Tum_is สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +1
    เคยอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง แต่จำชื่อไม่ได้เมื่อประมาณสามสิบปีที่ผ่านมา ว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ล่องลอยอยู่ในอวกาศ เรียกว่า อาภัสสรพรหม มีแสงในตัวคล้ายหิ่งห้อย จากนั้นก็มาจุติในโลกในช่วงที่โลกปราศจากมนุษย์ และพัฒนากลายมาเป็นมนุษย์ในปัจจุบันนี้
    จริงเท็จอย่างไร ให้ท่านไปฝึกระลึกชาติเอาเอง ไม่ยืนยัน
    **เรื่องอจินไตย ที่ไม่ควรสนใจนั้น คล้ายว่าจะมีสี่อย่าง ท่านลองไปค้นคว้าดูก็แล้วกันว่ามีอะไรบ้าง และผู้ใดเป็นผู้กล่าวว่า ไม่ควรสนใจ**
     
  7. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    มันเป็นไปได้หรอครับ ที่เราจะเป็นหิ่งห้อย
     
  8. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    เค้าหมายถึง เป็นสิ่งมีชีวิตเซลเดียว ที่เรืองแสงได้ ล่องลอยในอวกาศ คล้ายกะเมล็ดปุ้ยฝ้ายที่ล่องลอยในสายลมยังไงล่ะ

    ส่วนฝรั่งมีอีกทฤษฎีนึง บอกว่าเผ่านพันปัจจุบันเนี่ยมาจากการดัดแปลงพันธุ กรรม จากมนุดต่างดาว เพราะมนุดโลกจริงๆเนี่ย วิวัฒนการ มาจากไดโนเสาต่างหากมีลักษณะคล้ายสัตว์เลื้อยคลาน และพวกนั้นถูกเรียกว่า ลาเซอร์ต้า อาศัยอยู่ใจกลางโลก -0- และอีกอย่างในปัจจุบันนี้นักวิท ทั้งหลายยังไม่ทราบเลยครับว่ามนุดพันปัจจุบันเนี่ย วิวัฒนาการมาจากอะไร
     
  9. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    เข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมีบางอย่างมาทำ อะไรเกิดขึ้นเองได้ ธรรมชาติ ก็สร้างมันขึ้นมา ทุกอย่างต้องมีอะไรมาทำ
    แต่ถ้าคุณเข้าใจมันก็จะไม่มีไรมาแย้งได้
     
  10. ongsoffer

    ongsoffer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    247
    ค่าพลัง:
    +484
    อ้าว ครูสอนว่า มาจากลิง ไม่จริงเหรอ
     
  11. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ทฤษฏีกำเนิดมนุษย์มาจากลิงของชาล์ล ดาวิน เชื่อถือได้ยากครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 ธันวาคม 2007
  12. svt

    svt เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2006
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ลำดับวิวัฒนาการของมนุษย์

    [๕๖]
    ...... เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่า
    สัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ
    มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง...

    อาภัสสรพรหม เป็นจิตวิญญาณ(ธาตุรู้)อยู่ในรูปของแสงสว่าง(อาภัสสร)
    แสงสว่างที่เป็นธาตุละเอียด เสพย่อยสยายง้วนดิน
    จากง้วนดินย่อยสลายจนหยาบสู่กะบิดิน และเครือดิน
    [๕๖]-[๕๙]

    ข้อนี้หลายส่วนสำคัญมีในอัคคัญญสูตร ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงตรัสไว้
    (พระสูตรค่อนข้างยาวนิดนึง ต้องอดทนอ่านให้จบนะครับ)

    . อัคคัญญสูตร

    [๕๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารบุพพาราม เป็นปราสาท
    ของนางวิสาขามิคารมารดา เขตพระนครสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล วาเสฏฐ
    สามเณรกับภารทวาชสามเณร เมื่อจำนงความเป็นภิกษุอยู่ อยู่อบรมในสำนักภิกษุ
    ทั้งหลาย เย็นวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จลงจาก
    ปราสาทแล้ว ทรงจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งในร่มเงาปราสาท วาเสฏฐสามเณรได้เห็น
    พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่หลีกเร้น เสด็จลงจากปราสาทกำลังเสด็จจงกรม
    อยู่ในที่แจ้ง ในร่มเงาปราสาทในเวลาเย็น

    ครั้นแล้วจึงเรียกภารทวาชสามเณรมา พูดว่า ดูกรภารทวาชะผู้มีอายุ นี้พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่หลีกเร้นในเวลา เย็น เสด็จลงจากปราสาททรงจงกรมอยู่ ณ ที่แจ้งในร่มเงาปราสาท เรามาไปกันเถิด พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ บางทีเราจะได้ฟังธรรมีกถา เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์บ้างเป็นแม่นมั่น ส่วนภารทวาชสามเณรรับคำของ วาเสฏฐสามเณรแล้ว ทันใดนั้น วาเสฏฐสามเณรกับภารทวาชสามเณร พากัน
    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้ว
    ชวนกันเดินตามเสด็จพระองค์ผู้กำลังเสด็จจงกรมอยู่ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค
    ตรัสเรียกวาเสฏฐสามเณรมาแล้วตรัสว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งสอง
    มีชาติเป็นพราหมณ์ มีตระกูลเป็นพราหมณ์ ออกบวชจากตระกูลพราหมณ์
    .............


    [๕๖] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยล่วง
    ระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่า
    สัตว์ย่อมเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร
    มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิต
    อยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยบางครั้ง
    บางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญ
    อยู่โดยมาก เหล่าสัตว์พากันจฺติจากชั้นอาภัสสรพรหมลงมาเป็นอย่างนี้ และสัตว์นั้น
    ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ใน
    อากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน
    ก็แหละ สมัยนั้นจักรวาลทั้งสิ้นนี้แลเป็นน้ำทั้งนั้น มืดมนแลไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และ ดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฎ ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฎ กลางวันกลาง คืนก็ยังไม่ปรากฎ เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ยังไม่ปรากฎ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฎ
    เพศชายและเพศหญิงก็ยังไม่ปรากฎ สัตว์ทั้งหลาย ถึงซึ่งอันนับเพียงว่าสัตว์เท่า
    นั้น
    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา โดยล่วงระยะกาลยืดยาวช้านาน
    เกิดง้วนดินลอยอยู่บนน้ำทั่วไป ได้ปรากฎแก่สัตว์เหล่านั้นเหมือนนมสดที่บุคคลเคี่ยว
    ให้งวด แล้วตั้งไว้ให้เย็นจับเป็นฝาอยู่ข้างบน ฉะนั้นง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี
    กลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี ฉะนั้น มีรสอร่อยดุจรวงผึ้ง
    เล็กอันหาโทษมิได้ ฉะนั้น ฯ

    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า ท่าน
    ผู้เจริญทั้งหลาย นี่จักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อเขาเอา
    นิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว เขาจึงเกิดความอยาก
    ขึ้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สัตว์พวกอื่นก็พากันกระทำตามอย่างสัตว์นั้น
    เอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู เมื่อสัตว์เหล่านั้นพากันเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลอง
    ลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอยากขึ้น ต่อมาสัตว์
    เหล่านั้นพยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือแล้วบริโภค ดูกรเสฏฐะ
    และภารทวาชะ ในคราวที่พวกสัตว์พยายามเพื่อจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำๆ ด้วยมือ
    แล้วบริโภคอยู่นั้น เมื่อรัศมีกายของสัตว์เหล่านั้นก็หายไปแล้ว ดวงจันทร์และดวง
    อาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาวนักษัตรทั้งหลาย
    ก็ปรากฏ เมื่อดวงดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและกลางวันก็ปรากฏ เมื่อ
    กลางคืนและกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหนึ่งและกึ่งเดือนก็ปรากฏ เมื่อเดือนหนึ่ง
    และกึ่งเดือนปรากฏอยู่ ฤดูและปีก็ปรากฏ ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วย
    เหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญขึ้นมาอีก ฯ

    [๕๗] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมาสัตว์เหล่านั้นพากันบริ
    โภคง้วนดิน รับประทานง้วนดิน มีง้วนดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน
    ด้วยเหตุที่สัตว์เหล่านั้นมัวเพลินบริโภคง้วนดินอยู่ รับประทานง้วนดิน มีง้วนดิน
    เป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้ง
    ผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมี
    ผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงามนั้นพากันดูหมิ่น
    สัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวกท่านมีผิว
    พรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้นเกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกันขึ้น
    เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย ง้วนดินก็หายไป เมื่อง้วนดินหายไป
    แล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงพากันจับกลุ่ม ครั้นแล้ว ต่างก็บ่นถึงกันว่า รสดีจริง รส
    ดีจริง ดังนี้ ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนกัน คนเป็นอันมากได้ของที่มีรสดีอย่างใดอย่าง
    หนึ่ง มักพูดกันอย่างนี้ว่า รสอร่อยแท้ๆ รสอร่อยแท้ๆ ดังนี้ พวกพราหมณ์
    ระลึกได้ถึงอักขระ ๑- ที่รู้กันว่าเป็นของดี เป็นของโบราณนั้นเท่านั้น แต่ไม่รู้ชัดถึง
    เนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ

    [๕๘] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา เมื่อง้วนดินของสัตว์
    เหล่านั้นหายไปแล้ว ก็เกิดมีกระบิดินขึ้น กระบิดินนั้นปรากฏลักษณะคล้ายเห็ด
    @๑. หมายถึงเรื่องราว

    กระบิดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส มีสีเหมือนเนยใส หรือเนยข้นอย่างดีฉะนั้น
    ได้มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอันหาโทษมิได้ฉะนั้น ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ
    ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพยายามจะบริโภคกระบิดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคกระบิดินอยู่
    รับประทานกระบิดิน มีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลนาน ดูกรวาเสฏฐะ
    และภารทวาชะ โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคกระบิดินอยู่ รับประทานกระบิดิน
    มีกระบิดินเป็นอาหาร ดำรงอยู่ได้สิ้นกาลช้านาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้า
    ขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไป สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์
    บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองจำพวกนั้น สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม
    พากันดูหมิ่นสัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า พวกเรามีผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวก
    ท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสองพวกนั้น เกิดมีการไว้ตัวดู
    หมิ่นกันขึ้น เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย กระบิดินก็หายไป เมื่อกระบิ
    ดินหายไปแล้ว ก็เกิดมีเครือดินขึ้น เครือดินนั้นปรากฏคล้ายผลมะพร้าวทีเดียว
    เครือดินนั้น ถึงพร้อมด้วยสี รส กลิ่น มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี
    ฉะนั้น ได้มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็กอันหาโทษมิได้ฉะนั้น ฯ

    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพยายามจะบริโภค
    เครือดิน สัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดินอยู่ รับประทานเครือดิน มีเครือดินเป็น
    อาหาร ดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคเครือดินอยู่
    รับประทานเครือดิน มีเครือดินนั้นเป็นอาหาร ดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน
    สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่างกันไป
    สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม ในสัตว์ทั้งสองพวกนั้น
    สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม พากันดูหมิ่นพวกที่มีผิวพรรณไม่งามว่า พวกเรามี
    ผิวพรรณดีกว่าพวกท่าน พวกท่านมีผิวพรรณเลวกว่าพวกเรา ดังนี้ เมื่อสัตว์ทั้งสอง
    พวกนั้นเกิดมีการไว้ตัวดูหมิ่นกัน เพราะทะนงตัวปรารภผิวพรรณเป็นปัจจัย เครือดิน
    ก็หายไป เมื่อเครือดินหายไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นก็พากันจับกลุ่ม ครั้นแล้วต่างก็
    บ่นถึงกันว่า เครือดินได้เคยมีแก่พวกเราหนอ เดี๋ยวนี้เครือดินของพวกเราได้
    สูญหายเสียแล้วหนอ ดังนี้ ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนกัน คนเป็นอันมาก พอถูกความ
    ระทมทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งมากระทบ ก็มักบ่นกันอย่างนี้ว่า สิ่งของของเราทั้งหลาย
    ได้เคยมีแล้วหนอ แต่เดี๋ยวนี้ สิ่งของของเราทั้งหลายได้มาสูญหายเสียแล้วหนอ
    ดังนี้ พวกพราหมณ์ระลึกได้ถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดีเป็นของโบราณนั้นเท่านั้น
    แต่ไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ

    [๕๙] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้นต่อมา เมื่อเครือดินของสัตว์
    เหล่านั้นหายไปแล้ว ก็เกิดมีข้าวสาลีขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ เป็นข้าวไม่มีรำ ไม่มี
    แกลบ ขาวสะอาด กลิ่นหอม มีเมล็ดเป็นข้าวสาร ตอนเย็นสัตว์เหล่านั้นนำเอา
    ข้าวสาลีชนิดใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเย็น ตอนเช้าข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกก็
    งอกขึ้นแทนที่ ตอนเช้าเขาพากันไปนำเอาข้าวสาลีใดมาเพื่อบริโภคในเวลาเช้า
    ตอนเย็นข้าวสาลีชนิดนั้นที่มีเมล็ดสุกแล้วก็งอกขึ้นแทนที่ ไม่ปรากฏว่าบกพร่อง
    ไปเลย ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครั้งนั้น พวกสัตว์บริโภคข้าวสาลีที่เกิด
    ขึ้นเองในที่ที่ไม่ต้องไถ พากันรับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร
    ดำรงมาได้สิ้นกาลช้านาน ก็โดยประการที่สัตว์เหล่านั้นบริโภคข้าวสาลีอันเกิดขึ้น
    เองอยู่ รับประทานข้าวสาลีนั้น มีข้าวสาลีนั้นเป็นอาหาร ดำรงมาได้สิ้นการช้า
    นาน สัตว์เหล่านั้นจึงมีร่างกายแข็งกล้าขึ้นทุกที ทั้งผิวพรรณก็ปรากฏว่าแตกต่าง
    กันออกไป สตรีก็มีเพศหญิงปรากฏ และบุรุษก็มีเพศชายปรากฏ นัยว่า สตรีก็
    เพ่งดูบุรุษอยู่เสมอ และบุรุษก็เพ่งดูสตรีอยู่เสมอ เมื่อคนทั้งสองเพศ ต่างเพ่งดู
    กันอยู่เสมอ ก็เกิดความกำหนัดขึ้น เกิดความเร่าร้อนขึ้นในกาย เพราะความเร่า
    ร้อนเป็นปัจจัย เขาทั้งสองจึงเสพเมถุนธรรมกัน ฯ

    ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็โดยสมัยนั้นแล สัตว์พวกใดเห็นพวก
    อื่นเสพเมถุนธรรมกันอยู่ ย่อมโปรยฝุ่นใส่บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่
    บ้าง พร้อมกับพูดว่า คนชาติชั่ว จงฉิบหาย คนชาติชั่ว จงฉิบหาย ดังนี้ แล้ว
    พูดต่อไปว่า ก็ทำไมขึ้นชื่อว่าสัตว์ จึงทำแก่สัตว์เช่นนี้เล่า ข้อที่ว่ามานั้น จึงได้
    เป็นธรรมเนียมมาจนถึงทุกวันนี้ ในชนบทบางแห่ง คนทั้งหลาย โปรยฝุ่นใส่
    บ้าง โปรยเถ้าใส่บ้าง โยนมูลโคใส่บ้าง ในเมื่อเขาจะนำสัตว์ที่ประพฤติชั่วร้าย
    ไปสู่ตะแลงแกง พวกพราหมณ์มาระลึกถึงอักขระที่รู้กันว่าเป็นของดี อันเป็นของ
    โบราณนั้นเท่านั้น แต่พวกเขาไม่รู้ชัดถึงเนื้อความแห่งอักขระนั้นเลย ฯ

    ..........................

    อัคคัญญสูตร จากพระไตรปิฏก ด้านบนนั้นย่อบางส่วนมา
    ถ้าจะอ่านพระสูตรนี้ให้ครบ คลิกด้านล่างครับ

    http://larndham.net/cgi-bin/stshow.pl?book=11&lstart=1703&lend=2129&word1=อัคคัญญสูตร

    .......................................................

    จากจุดเริ่มต้น การระเบิดไฟบรรลัยกัลของจักรวาล จนไปสู่การกลายเป็นกลุ่มก๊าซ
    เมื่อเย็นลงมี การดึงดูด เสียดสีกันของธาตุ เกิดเป็นจักรวาลใหม่
    ธาตุเดียวกันดึงดูดเข้าหากัน ธาตุต่างกันเกิดแรงผลักกัน

    เมื่อจักรวาลระเบิดแตกออกเป็นธุลี สู่กลุ่มก๊าซ สู่การจับตัวของธาตุเป็นกลุ่มก้อน
    จุดเริ่มต้น-จุดแรก (.) ภาษาบาลีท่านเรียกว่า พินธุ

    จาก"ง้วนดิน" สู่"กระบิดิน" จนกลายเป็น"เครือดิน"

    อาภัสสรพรหม เป็นจิตวิญญาณ(ธาตุรู้)อยู่ในรูปของแสงสว่าง(อาภัสสร)
    แสงสว่างที่เป็นธาตุละเอียด เสพย่อยสยายง้วนดิน
    จากง้วนดินย่อยสลายจนหยาบสู่กะบิดิน

    ก็ใช้ช่วงเวลาแทบนับไม่ได้ เป็นล้านๆปี จากกระบิดิน เป็นเครือดิน
    จากเครือดิน จนกลายไปสู่ ทวีปต่างๆ เพลตต่างๆที่เคลื่อนขยับมาแล้วนับหลายล้านปี

    การขยับเคลื่อนของแผ่นดิน ตามจังหวะแรงสืบธรรมชาติ ของ plate ที่เป็นเปลือกโลก
    แรงดึงดูดแรงผลักซึ่งกันและกันแห่งธาตุระหว่างพลังในจักรวาลต่างๆ
    เป็นการโคจรของจักรวาล
    สุริยจักรวาลนี้ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลก ดวงดาว
    มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ทฤษฎีเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก[/FONT]
    http://coursewares.mju.ac.th/section2/la166/chapter/ch_6/index_ch_6.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 ธันวาคม 2007
  13. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    ถ้าคนมาจากลิงจริง ป่านนี้ลิงมันไม่เปนคนหมดแล้วหรอครับ -*- การที่ยังมีลิงอยู่แสดงว่า มันก้อมีบรรพบุรุษของมัน เรามีบรรพบุรุษของเราครับ
     
  14. firstjit

    firstjit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +52
    ถ้าคุณเรียนวิทยาศาสตร์คุณจะรู้ว่าสิ่งมีชีวิตเริ่มแรกที่เกิดขึ้นได้เกิดจากการที่สารอนินทรีย์รวมตัวกันกลายเป็นสารอินทรีย์ซึ่งเป็นสารที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต เช่น ยูเรีย กรดอะมิโน โปรตีน โดยสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังไม่ยอมรับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตก็มี เพราะไม่มีองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตครบถ้วน เช่น ไวรัส หรือแม้แต่ไวรอยด์ที่เป็นสาเหตุการเกิดโรควัวบ้า ก็สามารถขยายพันธ์ได้เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไป ต่อมาสารอินทรีย์นั้นก็มีการรวมตัวกันขึ้นจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว แล้วค่อยมีการวิวัฒนาการขึ้นมามีลักษณะที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น และเกิดจากการกลายพันธ์ของยีนทำให้สิ่งมีชีวิตมีความแตกต่างกันมากขึ้น สามารถปรับตัวเพื่อการอยู่รอดได้ดีขึ้น จนกระทั่งมีสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดอย่างมนุษย์ไงละ
     
  15. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    ถูกวิวัฒนาพวกแรก จะเป็นพวกปลา จากปลาขึ้นมาบนบกและเป็นสัตเลื้อยคลาน และแมลง แล้วโลกก้อย่อยยับพวกไดโนเสา สูญสิ้น แต่สมัยนั้นมีลิงไหมไม่มี ดังนั้นบรรพบุรุษของมนุดจึงไม่ใช่ลิง หากแต่ว่าลิงวิฒนาการมาพร้อมมนุด เพราะมีลิงและมนุดมีบรรพบุรุษเดียวกัน(ซึ่งก้อยังไม่รู้ว่าตัวไร) แต่ลิงไม่ใช่บรรพบุรุษของมนุด



    แต่พวกฝรั่งอีกพวกบอกว่ามีมนุดอยุ่2อย่าง 1.คือพวกมนุดแท้วิวัฒนาการมาจากไดโนเสา 2.พวกมนุดไดโนเสาถูกดัดแปลงDNA จึงมาเปนมนุดในปัจจุบัน
     
  16. firstjit

    firstjit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +52
    จากข้อความของคุณ undeath13 ที่ว่า
    "ถ้าคนมาจากลิงจริง ป่านนี้ลิงมันไม่เปนคนหมดแล้วหรอครับ -*- การที่ยังมีลิงอยู่แสดงว่า มันก้อมีบรรพบุรุษของมัน เรามีบรรพบุรุษของเราครับ"
    บรรพบุรษของเรานั้นเป็นลิง และบรรพบุรุษของลิงก็มีอยู่แต่ได้สูญพันธุ์ไปแล้วโดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติที่บรรพบุรุษของลิงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลื่ยนแปลงไปได้จึงเกิดการสูญพันธุ์ไป และการที่ลิงไม่เป็นคนหมดก็เพราะการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ที่ลิงสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ส่วนการวิวัฒนาการนั้นเกิดมาจากหลายปัจจัย เช่น สภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม อาหาร เป็นต้น และการเปลี่ยนแปลงระดับยีนนั้นก็เกิดจากการ mutation ซึ่งก็มีได้หลายสาเหตุ เช่น รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต กระบวนการสังเคราะห์ DNA หรือ RNA ผิดพลาด ทำให้เกิดความแตกต่างของสิ่งมีชีวิต
     
  17. firstjit

    firstjit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +52
    คินและลิงอยู่ใน อาณาจักร Animalia ไฟลัม Chordata Subphylum Vertebrata ชั้นไม่จัดอันดับ Amniota Class Mammalia และ Order primate เหมือนกัน ทำไมจะไม่ใช่สายวิวัฒนาการเดียวกันละ
     
  18. firstjit

    firstjit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +52
    จากข้อความของคุณ nataraja ที่ว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกเกิดจาก สัตว์ในอาภัสสรพรหม ข้าพเจ้าก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า สัตว์ในอาภัสสรพรหมเกิดมาจากไหน มีขึ้นมาได้อย่างไร อยู่ๆจะมีขึ้นมาเลยมันเป็นไปไม่ได้ต้องมีต้นสายปลายเหตุ
     
  19. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    คนไม่ได้มาจากลิง และลิง มันก้อไม่ได้เปนคน

    แต่ทั้งคนและลิงมีบรรพบุรุษเดียวกัน เพราะอะไร? เพราะปัจจุบันนักวิทยาศาสทั้งหลายก้อยังไม่พบโครงกระดูกและหลักฐานช่วงลิงมันกลายเป็นคนเลยลองไปเสิช หาดู
     
  20. undeath13

    undeath13 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    1,480
    ค่าพลัง:
    +1,830
    คาโรลัส ลินเนียส(Carolus Linnaeus) ไ้ด้จัดให้ ลิงใหญ่อยู่ในกลุ่ม ที่เป็นญาติใกล้ชิดมนุษย์ โดยดูจากลักษณะำภายนอก
    ในคริสตศตวรรษที่ 19 คาดกันว่า ลิงชิมแปนซีและลิงกอริลล่าเป็นญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของมนุษย์ ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน


    ก้อแค่ญาตใกล้ชิด ไม่ได้เปนบรรพบุรุษ ที่ญาติใกล้กันเพราะ มันวิวัฒนาการมาบรรพบุรุษเดียวกัน
     

แชร์หน้านี้

Loading...