อย่ามัวเก็งภัยพิบัติ จนลืมไปว่าสงครามโลกยังมีตัวเลขให้นับต่อไปได้อีก

เห็นหลายคน เก็งภัยพิบัติ น้ำท่วม แผ่นดินไหว ทวีปจม

แม่เหล็กย้ายขั้ว ภัยหนาว

รอกันมาหลายปีดีดัก

คนทำนายเกิดมา ก็หายไปที่ละคน

บางคนที่เชื่อก็ยังเตรียมพร้อม รับมือ

กับภัยพิบัติอยู่

แต่ใยเจ้าไม่มาเสียที.... เจ้าภัยพิบัติน่ะ

แต่อดีตที่ผ่านมา

ในยุคที่เราเห็นๆจากหน้าประวัติศาสตร์

ไม่นับประเภท ที่ไม่มีหลักฐานหรือยุคก่อนประวัติศาสตร์

ไอ้ประเภทคนตายเยอะๆ ทีละหลายสิบล้าน

มีแค่สองอย่างคือ

โรคระบาด ซึ่งมีมาหนนึง ในยุโรปและอเมริกา

เป็นไข้หวัดอะไรสักอย่าง ตายไปหลักหลายสิบล้าน

ส่วนอีกอันก็คือสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

ครั้งที่ 1 ประมาณปี 1914

ครั้งที่ 2 ประมาณปี 1939 หรือ 1941 ประมาณนี้

แล้วแต่ว่า คิดจากอะไร เยอรมันบุกประเทศไหนก่อน โปแลนด์หรืออะไรนี่แหล่ะ

ตอนนี้ ก็ห่างจากครั้งก่อนหลายสิบปีแล้วนะ

มีครั้งแรก ย่อมมีครั้งที่ สอง

มีครั้งที่สอง สักวันย่อมมีครั้งที่สาม

ก็ตัวเลขมันมีให้นับนี่

ระหว่างรอภัยพิบัติประเภท โลกเขย่า

จะมีภัยพิบัติน้ำจิ้ม สงครามโลกมาคั้นเวลาก่อนหรือไม่

แต่ระวังไว้บ้างก็ดีนะ

หลวงพ่อฤาษีเคยเตือนลูกศิษย์ไว้ เกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์

คิดๆแล้ว มันก็น่าจะสมควรแก่เวลาแล้วล่ะมั้งนี่

เพราะเริ่มมีความตึงเครียดในภูมิภาคต่างๆหลายจุดทั่วโลก

ทั้งไครเมีย และความวุ่นวายในตะวันออกกลาง

ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ ระหว่างจีนกับหลายประเทศ

ซึ่งมันสรุปมาตรงที่ ผลประโยชน์เกี่ยวกับน้ำมัน ที่ไม่มีใครยอมนี่แหล่ะ

 

ระหว่างภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่ไม่มาตามนัดเสียที

และภัยพิบัติทางการเมือง ที่เห็นหัวเห็นหางในขณะนี้

น่ากลัวว่า จะเกิดเหตุร้ายแรงในระยะเวลาต่อจากนี้ไป

คอยดูกันไป..

และยังมีภัยจากสงครามนิวเคลียร์ ที่แม้ยังไม่เห็นความชัดเจนมาก

แต่ใช่ว่าจะไม่เกิดเสียทีเดียว

เพราะตราบใดที่ยังมีหัวรบนิวเครียร์หลายพันลูกเตรียมยิงอยู่ทั่วโลก

ก็ย่อมมีโอกาส

และน่ากลัวว่าจะมีโอกาสเกิดก่อนภัยพิบัติทางธรรมชาติเสียอีก

 

อจ.ทนง

https://www.facebook.com/ThanongFanclub

ท่านเขียนบทวิเคราะห์เกี่ยวกับสหรัฐ และรัสเซีย ออกมาหลายบทหลายตอนแล้ว

น่าติดตาม และอันหนึ่งที่เข้ากับเรื่องราวในขณะนี้คือเรื่องรัสเซีย กับ ไครเมีย

บทวิเคราะห์อันหนึ่งที่เป็นที่มาของสถานการณ์ไครเมีย

คือ

ระเบียบโลกใหม่ภายใต้ปูติน

ขอนำมาเผยแพร่สักตอนสองตอน ส่วนท่านใดอยากอ่านให้ครบถ้วน

ก็ขอเชิญในเฟสของ อจ.ทนงครับ

 

1. ระเบียบโลกใหม่ภายใต้ปูติน

เมื่อปีที่แล้วมีการจัดอันดับผู้นำโลกโดยนิตยสารForbes ปรากฎว่าวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกนี้ ประธานาธิบดี บารัค โอบามามาอันดับสอง ส่วนอันดับสามคือ ฉี จิ้นผิงของจีน และอันดับสี่คือเอเจลลา เมอเกริ้ลของเยอรมัน ชัดเจนว่าสหรัฐฯอเมริกากำลังเข้าสู่ยุคเสื่อม

ทั้งปูติน ฉี และเมอร์เกิ้ล กำลังดำเนินนโยบายเพื่อมีบทบาทมากขึ้นในเวทีโลก โดยที่เป็นปฏิปักษ์กับระเบียบโลกปัจจุบัน ภายใต้การนำของกลุ่มแองโกล อเมริกัน คือสหรัฐฯและอังกฤษที่ครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จหลังจากชนะสงครามโลกครั้งที่2เป็นต้นมา พูดกันง่ายๆว่า เบอร์1 เบอร์3 และ เบอร์4กำลังจะรุมกินโต๊ะเบอร์2 นี้ยังไม่นับอินเดียที่ผู้นำไม่ติดอันดับท๊อปใน10ที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกับรัสเซีย ถ้าร่วมมือกันจะเป็นการลงแขก (Indian party) พวกแองโกลอเมริกัน ทวงความเป็นจ้าวโลก

The Economistฉบับล่าสุด ขึ้นปกปูตินในมาตรเข้มชายชาติทหาร ถอดเสื้อขี่รถถังเเหมือนผู้บังคับบัญชาการพลรถถัง พร้อมประจันบานทุกเมื่อ ทั่วโลกต้องจับตาดูปูตินวันนี้ หลังจากที่ได้โชว์ฟอร์มเด็ดขาดด้วยการยึดไครเมียที่แยกตัวออกมาจากยูเครนกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียได้ ที่น่าสนใจคือพาดหัว The new world order ของนิตยสารThe Economist ภายใต้การผงาดของรัสเซียและปูติน บอกเป็นนัยว่าปูตินมีเจตจำนงที่จะสร้างระเบียบโลกใหม่ มาแทนระเบียบโลกเก่า ซึ่งกำลังจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์การเมืองของโลก

แน่นอนThe Economist ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของพวกแองโกล อเมริกันต้องถล่มปูตินในบทวิเคราะห์ โดยบอกว่ารัสเซียยุคหลังการล่มสลายของอาณาจักรโซเวียตในปี1991ที่บอกว่าไม่สมบูรณ์ แต่การนำของปูตินยิ่งจะทำให้รัสเซียเลวร้ายลงไปอีก เพราะว่าปูตินพร้อมที่จะใช้กำลังทางทหารเพื่อครอบงำและครอบครองดินแดนที่ไม่ใช่ของตัวเองโดยไม่สนใจกฎหมายระหว่างประเทศ The Economistบอกว่าแม้ว่าระเบียบโลกปัจจุบันภายใต้การนำของสหรัฐฯอเมริกาจะมีปัญหา หลายประเทศขุ่นเคืองกับอำนาจของสหรัฐฯ หรือระเบียบศีลธรรมของโลกตะวันตก แต่ระเบียบโลกำใหม่ของปูตินยิ่งจะเลวร้ายลงไปอีก เพราะปูตินทำอะไรทุกอย่างตามอำเภอใจ

thanong
22/3/2014

The Economist: "Mr Putin’s new order, in short, is built on revanchism, a reckless disdain for the truth and the twisting of the law to mean whatever suits those in power. That makes it no order at all.

Sadly, too few people understand this. Plenty of countries resent American primacy and Western moralising. But they would find Mr Putin’s new order far worse."

 

2. ระเบียบโลกใหม่ภายใต้ปูติน

กลับไปดูระเบียบโลกปัจจุบันก่อนว่าเกิดมาได้อย่างไร? ระเบียบโลกปัจจุบันมีเค้าโครงมาจากการก่อตั้ง US Federal Reserve ทฤษฎีมืดบอกว่า จุดเปลี่ยนของโลกของศตวรรษที่20 คือการที่พวกglobalistsหรือพวกที่มีความทะเยอทะยานที่จะครองโลกสามารถยึดระบบการเงินสหรัฐฯอเมริกาได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการก่อตั้งและเป็นเจ้าของUS Federal Reserveได้ในปี1913 Federal Reserveธนาคารกลางที่อยู่ในคราบของเอกชนที่พิมพ์แบงค์เอง โดยรัฐบาลไม่รู้เรื่อง สามารถควบคุมปริมาณเงิน (control of money supply) ได้ตามใจชอบ และมีอำนาจเหนือระบบแบงค์ที่เป็นเจ้าของร่วมกันเป็นแก๊งค์ ใครที่ควบคุมเงินหรือทุน (capital)ได้ ก็จะสามารถมีอำนาจได้ (power)

Federal Reserve มีความเชื่อมโยงอย่างลึกซึ้งกับธนาคารพานิชย์ยักษ์ใหญ๋ และBank of England ตั้งแต่ต้น และฺต่อมาได้เชื่อมโยงกับBank for International Settlements, World Bank, IMF. หลังจากยึดระบบธนาคารกลางสหรัฐฯได้ ก็สามารถไฟแนนซ์สงครามโลกได้ เพราะปีต่อมาคือปี1914เกิดสงครามโลกครั้งที่1 ใช้เวลา4ปีกว่าจะจบในปี1918 และทฤษฎีมืดเชื่อกันว่าพวกนี้ไฟแนนซ์ และให้พิมพ์เขียวระบบสังคมนิม3ระบบ คือฮิตเลอร์ในเยอรมัน เลนิน-สตาลินในรัสเซีย และรุสเวลท์ในสหรัฐฯ

ถ้าลงประวัติศาสตร์ลึกๆจะเห็นได้ว่าWall Street ไฟแนนซ์การปฏิวัติรัสเซียในปี1917 การเกิดของฮิตเลอร์ในปี1931 และสงครามโลกครั้งที่1 และ 2 โดยใช้วิธีการสร้างและทำลาย (order through chaos) แต่ละรอบของการสร้างและการทำลายทำให้พวกglobalistsมีอำนาจ (power)ในการควบคุม(control) มากขึ้น รวยขึ้น (wealth) ครอบครองที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติได้มากขึ้น (land, territories and natural resources)

สงครามโลกครั้งที่1 ทำให้เกิด League of Nations อาณาจักรรัสเซีย อาณาจักรปรัสเซียเยอรมัน อาณาจักออสโตร ฮังกาเรี่ยน อาณาจักออตโตมันถูกทำลาย เหลือแต่จักรภาพอังกฤษเจ้าเดียวที่เป็นผู้ชนะ

สงครามโลกครั้งที่2 ทำให้เกิด United Nations, World Bank และIMF การการเมืองและการเงิน เกิดนาโต้ทางการทหาร ทำให้มีการครองโลกเบ็ดเสร็จโดยกลุ่มแองโกลอเมริกัน โดยมีจักรวรรดินิยมทหารของสหรัฐฯเป็นเสาหลัก

และระเบียบโลกลัทธิล่าอาณานิคมสมัยใหม่นี้ยังคงดำเนินมาถึงปัจจุบันนี้ ภายใต้เสื้อคลุมของ เสรีนิมประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน เสรีการค้า การเงิน การลงคน ความไร้พรมแดน เหมือนหมาป่าใส่เสื้อขนแกะหลอกเหยื่อ โดยที่คนส่วนมากไม่ตะหนักถึงเจ้ามือที่คุมทุน (money) และอำนาจ (power) เป็นกลุ่มเล็กๆ เพราะว่าถูกล้างสมองจากการเข้าไปสู่ยุคความทันสมัยใหม่ ที่ดูเหมือนว่าความเป็นอยู่จะดีขึ้นกว่าบรรพบุรุษในทางวัตถุ มีข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์ที่สะดวก มีเงินมีทองจับจ่ายใช้สอบสบาย โดยหารู้ไม่ว่าความสะดวกสบายที่ได้มาในปัจจุบันได้มาจากที่กลุ่มพวกนี้สร้างให้และต้องแลกกับการสูญเสียอำนาจอธิปไตยของประเทศ ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกนายทุนต่างชาติยึดเอาไป ความเชื่อ ค่านิยมวิถีชีวิตดั้งเดิมถูกทำลาย พร้อมกับจารีตประเพณีที่เป็นความแข็งแกร่งของชาติ

ในที่สุดเมื่อวงจรของการสร้างให้เกิดภาพลวงตาจบลง จะเข้าสู่ขบวนการของการทำลาย ผ่าน1. สงครามการเงิน 2. สงครามเศรษฐกิจ และ3. สงครามที่รบพุ่งกันจริงๆ และเมื่อถึงตอนนั้น หรือท้ายที่ประชาชนในประเทศผู้ถูกล่าส่วนมากจะไม่เหลืออะไร ลูกหลานเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีอะไรเหลืออยู่ เพราะว่าที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิปัญญาเดิมถูกทำลายไปหมดแล้ว จะเอาอะไรมายึดมั่นยึดเหนี่ยวก็ไม่ได้ เพราะว่าสับสนไปหมด จับต้นรชนปลายไม่ถูก

และขบวนการทำลายเริ่มแล้วในปี2014นี้ โดยประเทศผู้ล่ากำลังนำพาโลกเข้าสู่ยุคของการทำลายเพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่ เพราะว่าระเบียบโลกปัจจุบันสิ้นอายุไขไปแล้วนับตั้งแต่Wall Street พังไปเมื่อปี 2008 โดยระบบการเงินแองโกลอเมริกันนี้มีอายุขัยเกือบ100ปีนับจากปีที่เฟดก่อตั้งเมื่อปี1913 ไม่มีทางฟื้นเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกได้ ที่ประคองตัวอยู่ได้เพราะการทำQEของFederal Reserve, Bank of England, Bank of Japan โดยที่European Central Bankก็เป็นธนาคารกลางในเครือที่ดำเนินนโยบายเป่าลูกโป่ง

ประเทศผู้ล่าเลยต้องทำลายระเบียบโลกปัจจุบันที่รักษาไม่ได้อีกแล้วเพื่อสร้างระเบียบโลกใหม่ เพื่อครอบงำเงินและอำนาจต่อไป แต่มันไม่ง่ายเพราะว่าปูตินของรัสเซีย และฉีของจีนเป็นประเทศผู้ล่าใหม่ที่ต้องการสร้างระเบียบโลกใหม่มาแข็งกัน

thanong
22/3/2014

 

เคยฟังคนแก่อายุเกือบ 90 แต่ตอนนี้ตายไปแล้ว เล่าให้ฟัง

สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อดอยากมาก

ต้องเอาข้าวสารก้นหม้อ ตากแดด แล้วเอามาแช่น้ำ

อีกคนก็อายุพอกัน ยังไม่ตาย คนนี้เป็นชาวนาอยุธยาแท้ๆสมัยเด็ก

ก็เล่าว่า สมัยสงครามโลก อดอยากมา ข้าวไม่ค่อยพอกิน กินข้าวต้มเสียส่วนมาก

ไม่ได้ซักว่าเพราะเหตุไร ทั้งๆที่เป็นชาวนาแท้

อนาคต หากเกิดภัยสงครามในขณะคนมากกว่าสมัยก่อน

ย่อมขาดแคลนอาหารมากกว่าสมัยก่อนโน้นเป็นอย่างมาก

พูดถึงเรื่องนี้

ก็สัมผัสได้ตอนน้ำท่วมปี 54 อาหาร น้ำในห้างแทบหาไม่ได้

จำได้ว่าก่อนน้ำมาด้วยซ้ำ เพียงแต่มีข่าวว่าน้ำจะมาวันนั้นวันนี้

วันนั้นไปห้างเหมือนกัน ว่าจะหามาม่า ยำยำมาตุนบ้าง

ทั้งห้างเหลือ บะหมี่อะไรไม่รู้ ยี่ห้อโนเนมประมาณ 10 ห่อเล็ก ไม่ใช่แบบแพค

เลยหยิบมา 4-5 ห่อ เพราะเห็นว่าไหนก็ไม่พออยู่ดี เหลือให้คนอื่นบ้าง

ปีนี้ ภัยพิบัติทางการเมืองมีสิทธิ์กลับมาอีกครั้ง นับจากฝันร้ายปี 53

ถ้าไม่ประมาท มีข้าวปลาอาหารเตรียมไว้บ้างก็ดี

เพราะเสื้อแดง มันประกาศเอง ( ไม่ได้ใส่ร้าย)ว่า เป้าหมายของมันคือ

ธนาคาร เซเว่น ห้าง ปั๊มน้ำมัน

ระวังไว้ก็ดี ช่วงวันที่ 4-14 เมษายน นี้

 

ก่อนสงครามโลก...

น่าจะเจอสงครามระหว่างเทพกับมารก่อนละวะ

ใครเป็นเทพเป็นมารเดี๋ยวก็รู้....

ที่เห็นอ้างว่าเป็นคนดีศรีล้านนาน่ะ

ทำไมมันฆ่าเด็กผู้หญิงคนแก่ได้วะ

พอมีกองทัพปีศาจ ฆ่าเด็กผู้หญิงที่ตราด มันก็เอามาพูดบนเวที

ข้างล่างเวทีก็โห่ฮาชอบใจ

เมื่อวาน มันเตะพระ ในเวบที่พวกมันพากันโพส ก็พากันดีใจ

บ้างว่าเสียดาย..พระที่โดน..ไม่ใช่หลวงปู่พุทธอิสระ

ไอ้แบบนี้มันเทพหรือมารวะนี่

ถัดจากนี้ไป ถ้าไม่เดี้ยงเพราะมวลมหาบาทา หรือท๊อบบูท เสียก่อน

อีกไม่นาน พฤหัส ฤาษีชีไพร เจ้าแห่งเทพ เจ้าแห่งความยุติธรรม จะเป็นอุจจ์

น่าจะได้เห็นฤทธิ์เดช เป็นแม่นมั่น

 

หลวงปู่หลวงตา ที่ท่านเมตตาเตือนเรื่อง ภัยจากสงครามโลก สงครามนิวเคลียร์

เท่าที่ทราบก็อย่างน้อย 3 -4 รูป

หลวงปู่ปาน มีพระคาถา ป้องกันกัมมันตภาพรังสี

หลวงพ่อฤาษี ท่านให้พระคำข้าว พระหางหมาก ติดตัวไว้

หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า ท่านให้บูชา พระจักรพรรดิ์

เดาเอาเองว่า มันก็น่าจะเกิดในรุ่นเราๆนี่ล่ะมั้ง

ไม่งั้นท่านเหล่านั้น จะพยายามเตือนลูกศิษย์ลูกหาทำไมกันเล่า

 

บอกก่อน กระทู้นี้ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว

สงครามโลก

ภัยพิบัติ

โหราศาสตร์เกี่ยวกับการเก็งภัยต่างๆ

ภัยการเมือง

เรื่องเหนือธรรมชาติ เชื่อไม่เชื่อ ช่างหัวเผือก

แต่ไม่โกหกแน่ๆ

แค่อาจอุปาทานไปก็ได้ อันนั้นไม่ขอรับผิด เพราะไม่รู้จริงๆ

โมโหขึ้นมา ด่าความแดงด้วยก็ได้

 

พูดถึงเรื่องสงตรามโลก จำได้ว่า หลายปีก่อน

นั่งสมาธิอยู่ อยู่ๆ มันหลุดออกมา เดินทะลุห้องพระลงมาชั้นล่าง

เห็นคนในบ้านนอนดูทีวี

เดินไปหน้าบ้าน

เจอผู้ชายใส่เสื้อขาว

เขาว่าเป็นเจ้าที่

ถามเขาว่าชื่ออะไร

เขาบอกเสร็จสรรพ

บอกด้วยว่า ตายเพราะระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จากอังกฤษทิ้งระเบิด

บอกด้วยว่าพล.ท อะไรสักอย่างนี่แหล่ะ เป็นคนสั่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิด

ตอนนั้นจำพล.ท ชื่ออะไรนั้น ได้แม่น ตอนนี้ลืมไปแล้ว

แต่เราไม่เคยได้ยินชื่อนี้ในประวัติศาสตร์หรือว่า เราไม่รู้เองก็ไม่รู้สิ

และชื่อเจ้าที่ มีทั้งชื่อและนามสกุล ตอนนั้นก็จำแม่น

คุยกันสักพัก เดินกลับไปเข้าร่างข้างบน

ลุกขึ้นมาตามันแข็งไงๆบอกไม่ถูก

มันทั้งแข็ง และมันมองอะไรทำไมมันชัดไปหมด ชัดกว่า 3 ดี

บอกไม่ถูก เปรียบไม่ได้ล่ะ

เดินลงมาข้างล่าง มองคนที่นอนอยู่ เหมือนตอนเห็นครั้งแรก

แต่คราวนี้เห็นด้วยลูกกะตา

แต่มันชัดจริงๆ ยิ่งกว่าตัดแว่น บอกไม่ถูก

พับผ่า ไม่เคยเห็นอะไรชัดแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่เกิด

เป็นอยู่สักสิบนาที

มันก็หายไป เสียดายฉิบ

อ้อ ตอนนั้น จำชื่อนามสกุลเจ้าที่เขาได้อยู่

จดใส่กระดาษไว้เลย ตอนหลังทำหายแล้ว

คิดเอาเองว่า ในกูเกิล น่าจะมีชื่อนามสกุลนี่นะ

เพราะเราเคยเสริจ ชื่อเราในกูเกิล มันดันขึ้น

เสริจ แล้วมันไม่มี

ทีหลังคิดได้ว่า ตอนนั้น กูเกิลอาจไม่ได้เก็บข้อมูลล่ะมั้ง

เล่าให้ฟัง...ไม่ได้อวดว่าวิเศษ เพราะมันฟลุก ทำได้หนเดียว

หรืออุปาทานกิน

หรือบ้าก็ได้ว่ะ

ช่างหัวเผือก

 

อีกไม่กี่วัน ประมาณต้นเดือน เมย ถึงกลางเดือน

อาทิตย์ กุมพุธ ที่ราศีมีน ภพวินาศ
ดาว 14 กุมกัน เขาเรียกคู่ประชาสัมพันธ์ คู่ทนาย หรือเกี่ียวกับกฎหมาย
ดาว 1ตัวแทนรัฐบาล
มีดาวพฤหัส 5 ตัวแทนศาลจรราศีเมถุน เป็นประ
ประหมายถึงไม่มั่นคง มีบ้าง ไม่มีบ้าง ขาดๆวิ่นๆ
แต่ตำแหน่งนี้ อีกสถานะคืออุจจาวิลาส คือเกือนใกล้อุจจ์ อยู่รอมร่อ
ลางคนว่า เข้มแข็งเกือบ มีพลังเป็นอุจจ์แล้ว
ยิ่งตอนนี้องศาปลายๆ ใกล้ 30 องศา แล้วเดินเข้ากรกฎ ในไม่ช้า
ลางคนให้ค่าเป็นอุจจาวิลาส มากกว่าประไปก็มี

แต่ถ้าเหลือบไปดู ดาว 1 ไปรอ ราศีมีน
ทำมุม จตุเกณฑ์เป็น 4 กับดาวพฤหัส
ไอ้แบบนี้ ลางคนก็ว่า ส่งผลให้พฤหัสเป็นอุจจวิลาส แทนที่ประไปแล้ว

รวมๆความว่า
ดาว14 เกี่ยวกับทนาย การสู้คดีความ ไปจรภพวินาศ
ดาว 1 คือรัฐ ดาว4 คือ อริลัคน์ ศัจตรูชาติ
มีดาว5 ตัวแทนศาล เป็นประ แต่เป็นอุจจาวิลาส แทนไปเสียแล้ว

มิหนำซ้ำ
ดาว 4 จรราศีมีน เรือนดาว 5
ดาว 5 จร ราศีเมถุน เรือน ดาว 4
ไอ้แบบนี้เขาเรียก สลับเรือน ผลัดบ้านกันอยู่
ทำให้เป็นใหญ่ในบ้าน มีกำลัง เทียบเท่าเกษตร

แล้วแบบนี้ พวกมัน จะมุดรอดออกรูไหนวะนี่

 

พูดถึงสงครามโลก

ตอน สงครามโลกครั้งที่ 1 ไทยได้ร่วมรบด้วย

ในครั้งนั้นมีท่านนึง เป็นคนที่มีความสำคัญในการประกาศสงครามครั้งนั้นของฝ่ายไทย

แต่ ไม่บอกล่ะ ว่าตอนนี้ เป็นใครในวงการเมืองปัจจุบัน

แต่ขอบอกว่าสำคัญทีเดียว

ใครจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ช่างหัวเผือก

 

หลายปีก่อน เคยคุยกับคนญี่ปุ่น อายุมากโขอยู่ ชื่อ มูราเสะ

แต่ตอนนี้ไม่ได้เจอกันนานแล้ว น่าจะตายไปแล้ว

เล่าว่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นคนงานในโรงงานทำอาวุธที่ญี่ปุ่น

เขาเล่าว่า ทำงาน 5 ปีติดต่อกัน ไม่มีวันหยุดแม้แต่วันเดียว

ก็คงเป็นเด็กมากๆ เพราะถ้าเป็นวัยรุ่น น่าจะถูกจับไปเป็นทหารมากกว่า

 

พ่อเคยเล่าว่า ก่อนญี่ปุ่นบุกไทย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ก่อนนั้น มีคนญี่ปุ่นมาทำอาหากินประกอบอาชีพในไทยหลายอยู่

บางคนเป็นหมอฟัน ทำอาชีพอื่นมั่ง

พอวันญี่ปุ่นบุกขึ้นฝั่ง พวกคนญี่ปุ่นพวกนี้ ที่มาประกอบอาชีพกลายร่างเป็นทหารเลย

 

พูดถึง คนบางส่วน มองกรณีการประท้วง ว่าอย่าทะเลาะกัน

มันก็ได้อยู่

แต่ถ้าคิดแต่เพียงปลายเหตุ ว่าทะเลาะกันทำไม

โดยไม่มองสาเหตุของปัญหา

มันก็อาจไม่สามารถแก้ปััญหาอะไรได้เลย

ว่าเหตุที่เขาประท้วงขับไล่รัฐบาล

เพราะเหตุอะไร

เรื่องนี้ อยากให้คนที่ชอบมองแต่ปลายเหตุลองไปศึกษาจากพุทธประวัติ

เมื่อพระภิกษุทะเลาะกัน หรือกล่าวโจษโทษกันไปมา

หรือมีพระภิกษุมาฟ้องพระพุทธเจ้า ว่าองค์นั้นทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ประพฤติไม่ถูกต้อง

ที่ศึกษาจากพุทธประวัติมา

ไม่เคยเห็นสักครั้งว่า พระองค์ตรัสว่าเธอทั้งหลายอย่าทะเลาะกัน

เห็นแต่ว่า พระพุทธเจ้า ตรัสไต่ถามที่มาว่า เหตุมาอย่างไร

แล้วตัดสินความให้เรียบร้อยเสียทุกครั้ง

ว่าฝ่ายใด เป็นฝ่ายถูกหรือผิด

ทำอย่างนี้เสียทุกครั้ง

ศาสนาจักรของพระองค์จึงเรียบร้อย มั่นคง อยู่จนมาถึงยุคเราๆนี่แหล่ะ

 

ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมื่อมีการกล่าวโจษ ว่าภิกษุรูปใด กระทำการไม่เหมาะสม
พระพุทธองค์สอบสวนทวนความ แล้วตัดสินเสียทุกครั้งว่า อย่างนี้ถูกหรือผิด

ไม่เคยมีว่ากล่าวภิกษุทั้งหลาย
ที่กล่าวโทษภิกษุรูปที่กระทำผิด ว่า อย่าเพ่งโทษผู้อื่น
อย่างที่หลายๆคนชอบเอาธรรมะข้อนี้มาอ้าง
หรืออย่าทะเลาะกัน แบบที่หลายคนมักพูด

บางคนมักเอาธรรมะของพระพุทธเจ้า บางข้อ บางตอน
มาอ้างเพื่อสนับสุนนทิษฐิแห่งตน

โดยมิได้ดูว่า ธรรมะข้อนั้น มีขึ้นเพราะ เรื่องราวมีความเป็นมาอย่างไร หรือทรงบัญญัติในกาลใด

ขอยกตัวอย่างเรื่อง เรื่องพระฉัพพัคคีย์ มาดังนี้


เรื่องพระฉัพพัคคีย์
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โคตมกเจดีย์ ๑- เขตพระนคร
เวสาลี. ครั้งนั้น พระองค์ทรงอนุญาตไตรจีวรแก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว พระฉัพพัคคีย์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตไตรจีวรแล้ว จึงครองไตรจีวร เข้าบ้านสำรับหนึ่ง อยู่ในอารามอีกสำรับหนึ่งสรงน้ำอีกสำรับหนึ่ง.

บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ทรงจีวร เกินหนึ่งสำรับเล่า แล้ว
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.

๑. วิหารที่เขาสร้างไว้ ณ เจติยสถานของโคตมยักษ์
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน
เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอทรง จีวรเกินหนึ่งสำรับ จริงหรือ?

พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.

ทรงติเตียน
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น
ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนพวกเธอจึงได้ทรงจีวร เกินหนึ่งสำรับเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชน บางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.

ทรงบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ
เป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย
ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความจำกัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล
เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย
อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ

เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑
เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
เพื่อถือตามพระวินัย ๑.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-

พระบัญญัติ
๒๐.๑. อนึ่ง ภิกษุใดทรงอติเรกจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
--------------------------
พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค
หน้า ๑ พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน

 

ใครเคยปวดขาปวดกระดูกไหม
เล่าให้ฟัง เราเคยปวดมาก มักเป็นตอนตื่นในตอนเช้าต้องเขย่งเดินกระเผลกๆ
เคยคุยกับคนๆนึง อายุมาก 80กว่าแล้ว ยังเดินเหินคล่อง
คนที่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนเป็นเด็ก ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
อดอยากมาก แม้เป็นชาวนานั่นแหล่ะ

ท่าน เคยบวชพระมา 14 ปี ภายหลังมาครองเรือน
ท่านเป็นโรคเกาท์ ท่านว่าปวดมาก หาหมออย่างไรก็ไม่หาย
ภายหลังไปกินยาลูกลืมแม่

เหตุที่เรียกว่ายาลูกลืมแม่ก็เพราะว่า
แม่กินแล้วจะสาวขึ้น จนลูกจำแม่ไม่ได้

ยาทำจากขมิ้นอ้อยสด ตัดเป็นแว่นๆ ดองกับน้ำผึ้งรวง กินก่อนอาหารเย็น วันละกั๊ก
ท่านว่าโรคเกาท์หายเลย กระดูกตามข้อที่กำลังโต หยุดโต และหายปวด

เราคิดเอาเองว่า กรณีของเราน่าจะเหมือน เพราะเกี่ยวกับกระดูก
เลยทดลองกินดู ไม่ได้เล่าให้เขาฟัง ทำกินอยู่เดือนสองเดือน

แค่ภายหลังชักขี้เกียจ ต้องมานั่งล้างขมิ้น นั่นตัดเป็นแว่นๆ
และคิดเอาเองว่า น้ำผึ้งรวงน่าจะเพราะ ป้องกันขมิ้นเน่ามากกว่า
ตัวยาน่าจะมาจากขมิ้นอย่างเดียวมั้ง

จึงไปซื้อขมิ้นผง ร้านขายยา ซึ่งน่าจะเป็นขมิ้นชัน
เอามาชงน้ำร้อนกินแบบกาแฟ ก่อนนอน
เดาว่าน่าจะเหมือนกัน ขมิ้นด้วยกันนี่นา

กินอยู่3-4 เดือน อาการปวดกระดูก เริ่มดีขึ้น
กินไปสัก6-7 เดือนได้มั้ง ไม่ได้นับ
อาการปวดกระดูกมันหายไปเลยแหล่ะ

พอหายก็กินอยู่เกิอบปีมั้ง

ต่อมาอยากรู้ว่าหยุดกินจะเป็นไง อวดดีด้วย อยากพิสูจน์ด้วย
จึงหยุดกิน ดูว่าจะเป็นไง

พอหยุดกินมาสักไม่กี่เดือนเท่านั้น เริ่มปวดกลับมาอีก
ก็ยังดื้อ หยุดกินอีกเกือบปี คราวนี้ปวดเกือบเท่าเก่า

เลยเอาใหม่ลองกลับมากินดูใหม่
กินไปอีกสามสี่เดือนเริ่มหาย
คราวนี้กินต่อมาเรื่อยๆ หายแระ

เล่าให้ฟัง เผื่อใครยังหาวิธีรักษาไม่ได้เอาไปลองดู
เราไม่ชอบไปหาหมอตามโรงบาลเลยรักษาเอาเองแบบบ้านๆ คิดเอาเองบ้าง

 

ถ้าความคิดเห็นแตกแยก ไม่เกี่ยวกับถูกผิด มันก็ทางใครทางมัน
แต่ถ้าเกี่ยวกับถูกผิด ชั่วดี ก็ต้องเลือกข้างถูกข้างดี
การต่อสู้กับคนชั่วคนโง่ ก็เพื่อให้สังคมอยู่ได้ ดำรงศาสนาและความดีงามต่อไป
แต่ถ้าปัจจัยทางโลก วันนึงข้างหน้า ที่คนชั่วครองโลก
ยุคนั้น พระโพธิสัตต์ก็จะไม่ลงมาละ เราเองก็อธิษฐานอย่ามาก็แล้วกัน เสียเวลาเปล่า.. เพราะทำอะไรไม่ได้ ใครที่เข้าถึงความเข้าใจทางโลกทางธรรม หากยังต้องใช้กรรมในสังสาร ก็มาในช่วงยังมีศาสนาของพระศาสดาเถิด เพื่อความก้าวหน้าในธรรมต่อไป เพราะหากเราหลงผิดไปบ้าง ทำเลวไปบ้าง ก็ยังมีกัลยณมิตรคอยชี้ทางสว่าง หากเราไม่ดักดานเกินไป ..ไชโยๆๆ

 

เข้ามาบอกความในใจค่ะว่า
ชอบกระทู้นี้จัง
เป็นตัวของตัวเองดี และมีประโยชน์มากเสียนี่กระไร
ชอบมากๆ(ชอบคำว่าชั่งหัวเผือก)ค่ะ

 

แวะไปดูกะทู้ข้างเคียงเรื่องภัยพิบัติ

ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เหมือนวานซืน เหมือนเดือนก่อน เหมือนปีก่อน เหมือนสิบปีก่อน

ที่ยังมีคนทำนายอยู่
และมีคนต้านคำทำนายอยู่

เราเฉยๆล่ะ

คนทำนายผิดมีสองแบบ

1.เขาทำนายด้วยความสุจริต แต่ผิด อันนี้ บางคนให้อภัย
2.เขาทำนายด้วยความมั่วแต่แรก คือเพื่อเจตนาแอบแฝง อยากดัง โดยตนรู้ว่าตนไม่มีความสามารถอย่างที่โม้ อันนี้หาคนให้อภัยยาก

แต่ใครจะไปรู้วาระจิตคนอื่นเขาล่ะ คนที่รู้น่ะ เขาเรียกว่าได้เจโตปริญญาณ
เขาปล่อยวาง ไม่สนใจแล้ว ใครจะโม้ ใครจะของจริง

แต่ราวกับหลายๆคน ติดกับดัก วนเวียนอยู่แค่
ทำนายผิดโว้ย ภัยพิบัติไม่มีแน่
ทำนายถูกแน่ เกิดแน่ ไม่เชื่อก็คอยดู

ถ้าเอาความจริงตามกฎแห่งธรรมฃาติ
ที่ว่าทุกสิ่งต้องตกอยู่ภายใต้กฎแห่งไตรลักษณ์

คือไม่อาจตั้งมั่นอยู่ได้

ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ
แม้แต่โลก หรือจักรวาล เราก็ไม่เว้น
เว้นเสียอย่างเดียวเท่านั้น คือพระนิพพาน

ก็ไม่ต้องมาเถียงกันว่า จะเกิดภัยพิบัติไหม
คือจะเรียกมันว่าอะไรก็ได้ ไอ้เหตุการณ์แบบนั้น
แต่สักวันมันต้องเสื่อมสลายไป ไอ้โลกใบนี้น่ะ

ส่วนช้าเร็ว วันนี้ วันหน้า ปีนี้ ปีหน้า
ชาตินี้ ชาติหน้า มันอีกเรื่อง