จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  2. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  3. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444

    [​IMG]





     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2014
  4. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    คนทางธรรม คนทางโลก

    ทุกสิ่งในโลกนี้ มีของคู่กันเสมอ ...
    มีมืด มีสว่าง .. มีขาว มีดำ.. มีชาย มีหญิง.. ฯลฯ
    แต่ทุกสิ่งทีว่า คู่กัน กลับเป็น คู่ที่แตกต่างกัน

    ดั่งเช่น คนทางธรรม กับ คนทางโลก ...
    บางคนว่า คนทางธรรม มักทำอะไร คิดอะไร สวนทางกับคนทางโลก ...
    ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น อะไรหรือ ที่ทำให้เป็นเช่นนั้น?...

    คำตอบ ก็คือ ปัญญาของคนทางธรรม และ ปัญญาของคนทางโลก ไงที่ต่างกัน ...
    ก็เลยเป็นสาเหตุที่ ทำให้ การคิด การพูด และ การกระทำ ของคนสองกลุ่มนี้ต่างกัน

    คนทางโลก ต้องมี ถูก มีผิด มีเหตุและผล มีชนะ มีแพ้ เสมอ
    คนทางธรรม ไม่มี ถูก ไม่มีผิด ไม่ต้องมาหาเหตุผล เพื่อมาเอาชนะกันและกันเพราะถึงที่สุดแล้ว
    เมื่อผู้ใดเข้าถึงธรรม ก็จะพบเจอธรรมอันเดียวกัน ของพระพุทธเจ้านั่นเอง ...

    คนทางธรรม มักจะมองทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสภาวธรรม ที่ล้วนแล้วแต่ ตกอยู่ภายใต้
    กฏของไตรลักษณ์ ทั้งสิ้น ...มองเห็นด้วยตาปัญญานะ ไม่ใช่ ตาเนื้อ...
    ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ คนทางธรรม มองเห็นทุกอย่าง ไม่แตกต่างกันเลย
    มองเห็นทุกอย่าง ตรงตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติแท้ๆของมัน...
    ไม่ปรุงแต่งธรรม ไม่ฝึนธรรม ...เข้าใจดีแล้ว คนทางธรรมก็ยอมรับ
    ในแบบที่มันเป็น ได้อย่างที่จิตเป็นสุข ไม่ดิ้นรนไปด้วยความทะยานอยาก

    เพียงแค่นี้ คนทางธรรม ก็อยู่บนโลกใบนี้ ได้อย่างเป็นสุข
    สุขแบบคนทางธรรม นะ ...จะว่าสุข ก็ไม่ใช่ เรียกว่า ทุกข์น้อยก็แล้วกัน...
    เพราะยังมีร่างกายหรือขันธ์๕ อยู่ ยังถือว่าทุกข์เพราะมีร่างกาย แต่ไม่ทุกข์ใจเท่านั้นเอง

    แต่สุขที่แท้จริง คนทางธรรม ทราบดีว่า ไม่มีในดินแดนนี้ คือ โลก...
    สุขที่แท้จริง มีที่เดียว คือ พระนิพพาน

    ๐~ ๐~ ๐~ ๐~ ๐~ ๐~ ๐~ ๐

    ณัฐชยาวดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2014
  5. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ปัจจัตตัง ...
    รู้เอง เห็นเอง สัมผัสเอง
    ...


    ปัญญาของผู้ที่ปฏิบัติธรรม จะต่างปัญญาของคนทางโลก
    ก็ตรงที่จิตนิ่ง จิตเป็นผู้รู้ ผู้ปล่อยวาง เป็นต้น
    ไม่เกี่ยวกับสมองเลย ไม่มีเหตุผลสำหรับคนทางธรรม อย่าไปหาให้ยาก
    จิตยิ่งนิ่ง จิตยิ่งละเอียดมากเท่าใด ก็จะเห็นธรรมในจิตชัดขึ้นเรื่อยๆ
    ผู้ปฎิบัติเห็นปัจจัตตังของตนเอง ใครปฎิบัติจริง ย่อมได้ของจริงกลับไป

    สำหรับผู้ที่บอกว่า ไม่เจริญในธรรมเท่าที่ควร เป็นเพราะเหตุใด ก็ลองถามตนเองกันดูนะว่า..
    วันๆนึง จิตเราสนใจทางโลกหรือทางธรรมมากกว่ากัน (ให้ตอบตนเอง) แต่ถ้าตอบว่า
    ไปทางโลกมากก็แสดงว่า จิตเราไปใฝ่ทางโลกมาก เป็นต้น แล้วจะทำยังไง
    ให้จิตเราไปสนใจธรรมมากกว่าทางโลก ภาวนาไง อย่าลืม การภาวนา
    นอกจากเรามีความศรัทธาแล้ว ยังต้องมีความเพียรมากด้วย ที่เหลือคือ
    สติ สมาธิ ...ปัญญาของเราจะไปไหนได้เสีย จริงมั๊ย?

    ขอให้จิตเราเกาะธรรมให้ได้ สำหรับจิตบุญท่านอื่นๆ พยายามเข้าให้ถึงพระรัตนตรัยให้ได้
    อย่าทิ้ง ทิ้งไม่ได้เลย ทิ้งเมื่อไหร่ จิตจะเข้าโหมดทางโลกทันที ยกเว้น ...
    จิตอนัตตา จิตเป็นญาณ จิตเข้าเขตคำว่า วิมุตฯ นอกนั้น จะต้องอาศัยตัวสติ
    ถ้าสติร่วงตัวเดียว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เพราะสติก็ไม่เที่ยง จิตก็ไม่เที่ยง
    เกิด ดับ มีสุขสลับทุกข์ ยกเว้น ผู้ที่สามารถอยู่เหนือขันธ์๕ตนได้จริงๆ
    ย่อมไม่มีคำว่า เอนเอียง อ่อนไหวไปตามสิ่งกระทบจิต จะรู้ทันทีว่า จิตเราเสถียรหรือไม่ อย่างไร
    เดินมรรค ก็พยายามดูผลของตนด้วย มิใช่เท้าเดินมรรค แต่ตาจ้องนิพพานอย่างเดียวเลย

    บททดสอบจิตนั่นไง คือผลของตนอย่างดีเลย

    ภูทยานฌาน
     
  6. Nooboonsawan

    Nooboonsawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +189
    โมทนาสาธุค่ะ ครูพี่แนท
    เป็นจริงตามที่ท่านกล่าวสอนทุกประการ
    คนทางโลกนั้น ทำทุกอย่าง เพราะคำว่า อยากได้ อยากมี อยากเป็น
    ส่วนคนทางธรรม ก็ทำทุกอย่าง เพื่อละ เพื่อปล่อย เพื่อวาง สวนทางกันตั้งแต่วัตถุประสงค์ แรกเสียแล้ว เส้นทางที่ก้าวเดิน ก็ย่อมจะเป็นคนละเส้นทาง สวนทางกันไปตลอด ไม่มีทางมาบรรจบกันได้เลย..
     
  7. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]




    @ เที่ยวบินมรณะ!

    บรรดาญาติพี่น้องของผู้โดยสาร บนเที่ยวบิน MH370
    ของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลท์
    ต่างพากันร่ำไห้เสียใจ หลังทราบข่าวแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
    ถึงชะตากรรมผู้คนทั้งหมดบนเที่ยวบิน

    อย่าเพิ่ง อ่านข่าว ติดตามข่าวสารกันเพลิน
    หรือทำงาน ทำการจนเพลิน จนลืมไปว่า..
    ความตาย กำลังรออยู่เบื้องหน้าของทุกๆคนอยู่แล้ว
    หากถ้าเกิดเป็นญาติพี่น้องของตนเองบ้างหล่ะ
    ก็ต้องเสียใจเหมือนคนที่อยู่ในภาพเป็นข่าวนี้

    พระพุทธองค์ ทรงตรัสสอนพุทธบริษัทมาตั้งสองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว
    โดยเฉพาะ เรื่องความรัก ความพลัดพราก จากคนที่เรารัก หรือของที่เราหวงแหน
    คนมนุษย์โลก หรือคนไม่ยอมรับกฎธรรมดา(กฎไตรลักษณ์) เห็นมีแต่จะก่อทุกข์
    คนไม่ปฎิบัติธรรม ก็ไม่มีตาใน หรือดวงตาเห็นธรรม คือเห็นความเป็นจริง สักทีนึง
    ดั่งพระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว ชอบแล้ว

    ยามปกติ เราก็ลืมสติ ลืมความจริง เช่น ทุกคนเกิดมาแล้วจะต้องตายด้วยกันทุกคน
    เพราะฉะนั้น อย่ามัวหลง เพลินเพลินกับทางโลกกันมากนัก หาเวลาอยู่กับตนเอง
    เพื่อดูกาย ดูจิตตน นี่ก็คือ การภาวนา

    ถ้าคนเข้าถึงภาวนาแล้ว ย่อมเข้าถึงความสงบสุขภายในตน
    ย่อมเข้าธรรม เข้าถึงพระรัตนตรัย และละเอียดเข้าไปกว่านี้ นั่นก็คือ
    การเข้าถึงอารมณ์หรือความรู้สึกของ..พระตถาคต หรือพระพุทธคุณ

    ต่อไปฯ ผู้ที่เข้าถึงดั่งที่กล่าวมาแล้ว ย่อมยอมรับกฎธรรมดา
    ย่อมเข้าใจธรรมชาติ นั่นเอง
    เพราะสภาวธรรมก็คือ สภาวะจิตของคนเรา

    สรุปแล้ว จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ รับทุกสถานการณ์?
    ควรฝึกจิตตนให้เห็นธรรมกันไวๆ จิตเราจะได้มีปัญญา
    เพราะการปล่อยวางนั้น เป็นเรื่องของจิตโดยตรง
    แต่จิตจะปล่อยวางได้ด้วยปัญญา(ทางธรรม) เท่านั้น
    หรืออย่างน้อย เมื่อเราพบเจอเหตุการณ์ โดยเฉพาะเรื่องร้ายๆ
    เราจะไม่ต้องมาเสียใจมาก เป็นทุกข์มาก ทุกข์หลายวัน
    บางท่านปล่อยวางไม่ได้ ปล่อยวางไม่เป็น อาจทุกข์เป็นเดือน เป็นปีเลย ก็มี
    แต่หากหนักไปกว่านั้น นอกจาก นอนไม่หลับ ทานไม่ได้ นานไปก็มีผลต่อร่างกาย
    กายอ่อนแอลง จิตใจก็อ่อนแอตามไปด้วย สำหรับผู้ไม่ลงมือปฎิบัติธรรม

    ยังไงๆ พวกเราก็ต้องพบเจอกับสิ่งที่มนุษย์โลกจะต้องพบเจอเหมือนกันหมดทุกคน
    แล้วใยพวกเราจึงอยู่เฉยๆกันเล่า ต้องรอเหตุการณ์ รอสูญเสีย รอพลัดพรากมาถึงกันก่อนหรือ
    ทุกข์มากๆก่อนหรือ ค่อยลงมือ ค่อยปฎิบัติ จึงค่อยเห็นธรรม
    ยามปกติไม่ทำกัน รอตอนแก่ก่อนหรือ ค่อยทำภาวนากัน

    ที่เตือน ก็เพราะว่า มีความปรารถนาที่ดีต่อกัน มีความรักเมตตาและห่วงใยกันเสมอ
    ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร แม้นกระทั่งคนเห็นต่างกับเราก็ตาม

    พวกเราอย่าลืม โดยเฉพาะนักภาวนาที่มีพลังจิตมาก มีกำลังใจมาก
    ได้โปรดสงเคราะห์ อุทิศบุญกุศลไปให้กับดวงวิญญาณที่ตกหล่นอยู่ใต้ท้องมหาสมุทรอันลึกด้วย..สาธุ

    ภูทยานฌาน
     
  8. มาลินี UK

    มาลินี UK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    807
    ค่าพลัง:
    +12,713
    "....ผู้ปฏิบัติจงตั้งสติและปัญญาให้เข้าไกล้ชิดกับนามธรรม คือขันธ์สี่นี้

    ...ทุกขณะที่ขันธ์นั้นๆ เคลื่อนไหว คือ ปรากฏขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์

    - เป็นอนัตตา ประจำตน...ขันธ์ทั้งห้าเป็นบ่อหลั่งน้ำตาของสัตว์ผู้ลุ่มหลงนั่นเอง

    ...การพิจารณาให้รู้ด้วยปัญญาชอบในขันธ์...และสภาวะธรรมทั้งหลาย ก็เพื่อจะ

    - ประหยัดน้ำตาและตัดถพชาติให้น้อยลง...หรือให้ขาดกระเด็นออกจากใจ...

    ...ผู้ที่เป็นเจ้าทุกข์.....ให้ได้รับสุขอย่างสมบูรณ์นั่นเอง "

    คัดจากหนังสือปัญญาอบรมสมาธิ คำสั่งสอนขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน.

    ...กราบน้อมรับพระธรรม และน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเก้ลากราบๆๆๆ.
     
  9. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  10. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    อยากรู้ธรรม ให้ไปดูที่จิต

    อย่าไปดูสิ่งภายนอก เพราะความจริงทั้งปวงนั้น มันอยู่ข้างใน

    ยิ่งดูก็ยิ่งใส ยิ่งใสก็ยิ่งอยากดูอีก

    ผู้ที่รู้ธรรมมาก มักเป็นคนที่ขยันดูจิตตนเอง เป็นหลัก

    การดูจิต มิใช่ให้ดูแต่ตัวจิตอย่างเดียว
    สิ่งที่อยากให้ดูกันมากที่สุดนั่นก็คือ เจตสิกหรือธรรมารมณ์
    มันผุดขึ้นมา มันเกิดดับทุกวินาที บางทีมากกว่าลมหายใจของเราแต่ละวันซะด้วยซ้ำไป

    จิตอนัตตาเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์เป็นผู้ดูทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะจะเห็นได้ชัดกว่าคำว่า สติ
    ออกมาจากขันธ์๕เด็ดขาดก็ยิ่งดีใหญ่ ตอนแรกจะใช้สติดู
    พอเราออกมาจากขันธ์ของตนได้แล้ว เราก็จะมีบางสิ่ง บางอย่าง ไปดู ไปรู้ ไปเห็น
    ชัดกว่าตัวสติเราเสียอีก ถึงเผลอสติก็ไม่มีความหมาย
    เพราะจิตเขายอมรับกฎธรรมดาไปหมดแล้ว ทุกอย่างไม่มีผลต่อจิต
    เพราะจิตเองก็กลายเป็นตัวอนัตตาไปเสียแล้ว
    ก็เปรียบเสมือนผงหรือฝุ่นที่ติดกระจก แต่ถ้าเราเอากระจกออกไปเสียแล้ว
    ถามว่า แล้วฝุ่นมันจะไปจับที่ไหนได้อีก เพราะเราเอากระจกออกไปแล้ว

    ผู้ปฎิบัติธรรมก็เช่นกัน ถ้าเราไม่เอาทั้งตัวรู้และตัวถูกรู้ แล้วต่อไป
    เราจะเอาอะไรมารับรู้ มาเป็นสุขหรือเป็นทุกข์กันอีก

    ในโลกนี้ อะไรมันก็ไม่แน่นอนและยั่งยืนจริงๆ
    แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง และสิ่งเดียวจริงๆ ที่พอจะเชื่อถือหรือยึดถือเอาได้
    นั่นก็คือ พระรัตนตรัย โดยเฉพาะ พระพุทธคุณ ซึ่งหาประมาณมิได้

    (ถ้าพวกเราเข้าถึง ก็พอจะทราบกันได้ทันทีเลยว่า อารมณ์ของพระพุทธคุณนั้น เป็นยังไง)

    สิ่งในโลกนี้ ไม่มีอันใดที่จะต้องไปยึดถือเอากันได้อีกต่อไปแล้ว
    สรุปแล้ว ขันธ์๕ ของคนเราก็ไม่แน่นอน
    แม้นกระทั่ง อารมณ์จิตของตน ในบางครั้งก็ยังพึ่งพาอาศัยมิได้เลย
    นอกจาก จิตหลุดพ้นจริงๆ ตนจึงแลเป็นที่พึ่งแห่งตนได้จริง

    เพราะฉะนั้น ผู้ปฎิบัติทุกท่านให้ปัก หรือยึดพระรัตนตรัยกันไว้ให้แน่นๆ
    จิตอย่าปล่อยนะ ใครไม่มั่นคงในพระรัตนตรัย ก็เป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา
    ขอให้ดูพระอริยเจ้าเป็นตัวอย่าง ยิ่งเป็นพระอรหันต์ด้วยแล้ว
    ก็ยิ่งรักเคารพต่อพระรัตนตรัยมากยิ่งนัก รักเคารพมากกว่าตอนเป็นพระอรหันต์เสียอีก
    โดยเฉพาะ พระพุทธเจ้า หรือ พระพุทธคุณ ซึ่งหาคุณประมาณมิได้
    ยึดกันเข้าไว้ โดยเฉพาะที่เรายังมีขันธ์๕ ถือว่ายังจิตหยาบอยู่
    ยึดกันเข้าไว้ ตราบจนจิตเราจะเข้าสู่พระนิพพานไปในที่สุด

    ขอสรุปให้กันฟังอีกครั้ง
    ในขณะที่เราปฎิบัติธรรมกันอยู่นั้น จะมีบางสิ่ง บางอย่าง จะมาคอยทดสอบจิตของผู้ปฎิบัติ
    เป็นระยะๆ ขอให้ผู้ปฎิบัติควรทำจิตใจให้หนักแน่นกันเข้าไว้
    เพราะสุดปลายทางนั้น พระตถาคตตรัสว่า มีแค่เกิดและดับเท่านั้น นอกนั้น ไม่มี
    ในฐานะพระองค์เป็นผู้เห็นธรรม เป็นผู้เห็นเกิดดับของทุกธรรมมาก่อนแล้ว
    ถ้าจิตใจเรามีที่ยึดเหนี่ยว อย่างเช่น พระรัตนตรัยกันแล้ว จิตใจของผู้นั้นก็จะไม่มีวันที่จะสั่นคลอน
    ถึงโลกทั้งใบจะสั่น แผ่นดินไหว หรือโลกแตกไปเลย จิตใจเราก็อย่าได้ไปไหวหวั่น
    เอาจิตตนให้รอดก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน เพราะทุกท่านก็ทราบกันดีหมดแล้ว
    เพราะว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ ล้วนอนิจจัง การมีขันธ์๕เป็นทุกข์อย่างยิ่ง
    สิ่งภายนอกจิตของเรานั้น เราไม่สามารถไปฝืน ไปบังคับ ไปขัดขืนหรือกะเกณฑ์อะไร
    ให้มันได้ดั่งใจเราเลย..ไม่มี ไม่ได้

    แต่ถ้าเรารู้ตามดั่งพระตถาคตได้นั้น ย่อมไร้ทุกข์ คือทำใจยอมรับโลกอนิจจังนี้เสีย
    แต่ถ้าไม่ คือไปฝืน ไปขัดขืน เที่ยวไปบังคับกฎเกณฑ์ต้องให้ไปตามใจของเรานั้น
    ผู้ที่กำลังคิดหรือกำลังทำอยู่นั้น สังเกตดูได้เลยว่า ไม่มีความสุข
    ถ้าคนเราไม่มีความสุขภายในคือจิตแล้ว นอกนั้นจะหาอะไรมาแทนสุขใจ ไม่มี

    เพราะฉะนั้น มีแต่เฉพาะผู้ปฎิบัติธรรม ที่มุ่งหวังค้นหาธรรมคือหาความจริงให้กับตนเอง
    แต่ใครจะเป็นผู้ที่จะไปรู้ความจริงของชีวิตเรานั้น นั่นก็คือ จิต
    เพราะด้วยเหตุนี้เอง พระตถาคตเจ้าถึงได้มีกรรมฐานให้พวกเราปฎิบัติตาม
    สมถะกรรมฐาน คือกองแรกสุดที่ผู้ปฎิบัติจะต้องทำให้ได้ ผู้ที่ทำได้แล้วก็จะพบจิตตนเองได้

    พบจิตก็คือพบความสงบสุขนั่นเอง เพราะทั้งสุขทั้งทุกข์ ใครเป็นผู้รับรู้นี้ ถ้าไม่ใช่จิต
    ทุกคนรู้ว่า จิตสำคัญกว่า แต่เหตุไฉนไม่สนใจเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ปฎิบัติ
    ที่ชอบเผลอสติ หรือละทิ้งจิตของตนเองนั้น สุดท้ายผู้นั้นก็หนีไม่พ้นคำว่า ทุกข์

    ภูทยานฌาน
     
  12. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    รู้ อ ย่ า ง นี้ ไ ม่ มี ทุ ก ข์...!!

    [​IMG]

    แม้ในขณะที่ต้องมีปฏิกิริยา ต้องพูดคุยกับผู้คน
    หรือเราจะทำอะไรก็ทำไป แต่เราก็ไม่ลืมที่จะเห็นจิตเรา
    เห็นความรู้สึกของเรา เพราะเมื่อเราเห็นความรู้สึก
    จิตของเราจะว่างเราจะต้องไม่ลืมอันนี้
    เราจะฝึกให้รู้อยู่อย่างนี้ เห็นจิตเห็นใจตลอดเวลา

    ยืน เดิน นั่ง นอน ไปไหนมาไหน ก็เห็นจิตสงบอยู่
    จะทำงาน ก็เห็นความสงบอยู่ ปกติอยู่
    เราจะพูด จะคุย กิน เคี้ยว ดื่ม เข้าห้องน้ำ
    จะทำอะไรทุกอย่าง มันเห็นจิตจนไม่ลืมจิตเลย

    แล้วมันจะผิดปกติเมื่อไร หรือผิดปกติอย่างไร
    เราก็จะรู้ได้ทันที ถ้าผิดปกติ ก็เรียกว่าผิดปกติแล้ว
    เราก็จะรู้วิธี เพื่อที่จะไม่ให้จิตผิดปกติ
    เรียกว่า เราประคับประคองรักษาจิต

    อันนี้หมายถึงว่า ฝึกใหม่ๆ
    เราก็ต้องประคับประคองไปก่อน ต้องค่อยดูไว้
    แต่ถ้ารู้แล้ว ชำนาญแล้ว มันจะเป็นไปเอง
    ปล่อยให้เป็นไปเอง แค่เราคอยรู้ มันจะรู้ของมันเอง

    หลวงพ่อสมบูรณ์ ฉัตฺตสุวัณโณ
     
  13. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    ขอเตือนว่า ท่านจะใช้กรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตาม จงใช้กองนั้นให้ถึง อรหัตผล
    ในเมื่อเราเริ่มทำสมถะกองใด จงใช้สมถะกองนั้นให้ถึงอรหัตผล คือว่า ...

    ไม่ต้องไปเที่ยววิ่งไปหาที่โน่น ไปหาที่นี่ ไอ้ความดีหรือไม่ดีมันอยู่ที่จิตของเรา
    ทราบไว้แต่เพียงเท่านี้ การพลั้งพลาดที่ผ่านมาแล้วจงถือว่าเป็น ครู

    คำว่าพลั้งพลาดในที่นี้เพราะว่าเราใช้เวลามาก แต่ทว่าผลแห่งการปฏิบัติมีผลน้อย
    ที่เป็นอย่างนี้ เพราะขาดความเข้มแข็งของจิต ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน
    เขาถือว่าไม่เอาจริงเอาจังสักแต่ว่าทำ สักแต่ว่าศึกษา มีความเมาในตน มีความเมาในจิต
    เมาในราคะ เมาในความโลภ เมาในความโกรธ เมาในความหลงก็เพราะว่าเมา

    จึงไม่สามารถจะทำจิตใจให้เบาบางจากกิเลสได้ เหตุที่จะเมาอย่างเดียว
    ก็คือ ขาดความเอาจริงเอาจัง ...

    จรณะ ๑๕ ฟังแล้วไม่ปฏิบัติ

    บารมี ๑๐ ฟังแล้วไม่สนใจ

    อิทธิบาท ๔ ฟังแล้วก็วางไว้

    พรหมวิหาร ๔ ฟังแล้วก็ทิ้งไป

    ที่เราไม่สามารถจะก้าวเข้าไปสู่ระดับของความดีได้เพราะว่าขาดคุณธรรมประเภทนี้


    อ้างอิง จากหนังสือโอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง
     
  14. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    สาธุค่ะ ดาวขออนุโมทนา ที่ได้นําธรรมะดีๆมาแบ่งปัน ท่านกล่าวถูกต้องเลย เพราะตอนแรกๆเราก็ต้องฝืนไปก่อน เพราะจิตที่ยังไม่ชิน หรือ สติยังไม่แข็งแรงพอ ก็จะมีหลงบ้าง ผิดบ้าง แต่พอเราเริ่มฝึกไปเรื่อยๆ จนชํานิชํานาญ และสติอยู่กับจิตจนเป็นปัจจุบันทุกขณะจิตก็จะรู้ เห็นจิตตนเอง..นั้นแล้ว ก็เหมือนเราไปเลี้ยงเป็ด แล้วถึงเวลาเป็ดจะกลับเข้าคอก เป็ดก็จะรู้ทางกลับคอกของเขาโดยอัตตาโนมัติ..เพราะเขารู้ทางของเขาแล้วนั้นเอง..ฉันใดจิตที่รู้จิตตนเองแล้ว หรือมีสติรู้อยู่ในขณะจิตที่เรากําลังทําอะไรอยู่นั้นเอง..เพราะธรรมะสอนเราให้อยู่ในปัจจุปัน ไม่ใช่ในอดีค หรือในอนาคต เพราะผู้บรรลุธรรมก็ คือผู้รู้ในปัจจุบันเท่านั้น...สาธุค่ะค่ะ
     
  15. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    jaahjaahjaahปลาแอบมาตอดๆ แต่ยังไม่งับ อิอิ
     
  16. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    การส่งจิตออกนอกจนลืมตัว
    เป็นธรรมชาติของจิตอยู่แล้วหากไม่รู้จักการเจริญสติ
    แต่พอมาเจริญสติก็จะหันมาดูจิต แต่ถ้าตั้งใจมาก
    ก็จะกลายเป็นเพ่งเข้าใน เช่น ไปเพ่งดูความคิด
    หรือไปดักความคิด เพื่อไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน

    ถ้าทำบ่อยๆ ก็จะเครียด บางคนก็ไปเพ่งที่เท้า ที่มือ
    หรือที่ลมหายใจ ทำให้ไม่อาจรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้
    เพราะจดจ่อเป็นจุดๆ ดังนั้นจะต้องระวัง อย่าไปเพ่งเข้าใน

    การเจริญสติ ถ้าทำถูก จะรู้ทั้งข้างนอกและข้างใน
    รู้นอกไม่ใช่ส่งจิตออกนอกจนกู่ไม่กลับ
    ส่วนรู้ในก็ไม่ใช่เพ่งเข้าข้างใน
    รู้อยู่ ตรงกลางๆ ที่เรียกว่า “ทางสายกลาง” นี้แหละดีที่สุด


    พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2014
  17. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]
     
  18. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]


    ความรู้สึกตัวหรือ “ตัวรู้” นี้มีพลังมาก

    วิธีหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำเพื่อรับมือกับมาร
    ก็คือ ให้ “รู้ทัน” ว่านี้เป็นอุบายของมาร

    พระพุทธเจ้ารู้ว่านี้เป็นอุบายของมาร
    จึงทรงแนะนำพระสาวกให้บอกว่า
    “มารผู้มีใจบาป เรารู้จักเจ้าแล้ว”
    พอพูดเช่นนี้เท่านั้น มารยอมแพ้เลย
    หมดพิษสง หนีออกไป

    คำว่า “รู้จักเจ้าแล้ว” คือรู้ว่ามารมาก่อกวน
    นี้เป็นเพราะ พลังแห่งสติ เพียงแค่รู้ว่ามีสิ่งรบกวนใจ
    หรืออารมณ์อกุศลเท่านั้น ยังไม่ต้องไปทำอะไรมัน
    มันก็จะดับไปเอง จิตละได้เอง


    แต่ข้อสำคัญก็คือ ต้องวางใจไว้ให้ดี
    ถ้าเราไปเพ่งหรือบังคับเมื่อไร สติก็จะไม่เกิด
    ตัวรู้ไม่ทำงาน เพราะความอยากครอบงำจิต
    ต้องคลายความอยากลง

    ที่สำคัญอีกอย่างคือ
    พยายามวางใจให้เป็นกลาง
    ไม่เหวี่ยงไปทางใดทางหนึ่ง
    คือเพ่งเข้าใน หรือ ส่งจิตออกนอก

    พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2014
  19. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    ....เกิดมา เพื่อทุกข์ สุขก็ไม่จริง
    เกิดมา เพื่อทิ้ง กับสิ่งเน่าๆ
    เกิดมา มิวาย ร่างกายถูกเผา
    กิเลสรุมเร้า เผาเรา ก่อนตาย.....

    .....ทุกข์มากี่ชาติ มิอาจรับรู้
    กิเลสกรอกหู อยู่มิเว้นวาย
    อยากโน่น อยากนี่ มิมีวันหน่าย
    พอมันมิได้ ดั่งใจ ก็ทุกข์......

    ....ทุกข์มากี่ชาติ พลาดแล้วไม่จำ
    เจอสิ่งซ้ำๆ ถลำใจจุก
    ซวนเซ ซมซาน เดี๋ยวคลานเดี๋ยวลุก
    ถ้ามีแต่ทุกข์ จะเกิดทำไม....?

    ....เบื่อใช่ไหมเล่า!! เจ้าจิตตัวดี....
    ซ้ำซากแบบนี้จะเกิดอีกไหม?
    บอกแล้วไม่จำ ทำลืมร่ำไป
    ก็บอกแล้วไง!! ให้ไปนิพพาน....

    .....สมน้ำหน้าตัวเอง ขี้ลืมนัก ทุกข์เสียให้เข็ด....
    ...จุ๋ม จบ.๘๔..."จิตเกาะพระ"โมทนาสาธุค่ะน้องแนท
     
  20. Pugsley

    Pugsley เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +4,825
    [​IMG]

    เวลาเจริญสติ เราควรวางใจให้เป็นกลาง


    เพราะถ้าเพ่งเข้าในเมื่อไร ใจอาจจะสงบ แต่เป็นความสงบ
    เพราะไม่ไปรับรู้อะไร เหมือนกับเก็บตัวอยู่ในห้อง ก็รู้สึกชอบ
    แต่ที่จริงเพราะปิดใจไม่ให้รับรู้อะไรดังนั้นเวลาเจริญสติ

    เราไม่ได้ทำเพื่อความสงบ แต่...เพื่อสร้าง "ความรู้สึกตัว"

    รู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับกายและใจ รู้โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
    ไม่ได้เอาความสงบ เพราะความสงบมันไม่จีรังยั่งยืน
    มันขึ้นกับสิ่งแวดล้อม แต่ถ้าเรา รู้ แ ล้ ว ว า ง ๆ

    ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน ก็สามารถสงบได้ทุกที่
    ความรู้ตัวนี้แหละที่ทำให้เราปล่อยวางอารมณ์ต่างๆ
    ที่มากระทบไม่ยึดติดหรือปักตรึงอยู่กับสิ่งที่มากระทบ

    ทำให้ใจโปร่งเบา และเห็นธรรมชาติของใจ
    ทำให้เกิดปัญญาหรือความสว่าง ไม่ใช่แค่สงบนั้น


    อันนี้เป็นหลักที่เราต้องคำนึงไว้เสมอในการเจริญสติ

    พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 มีนาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...