เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 21)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2014
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 3)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2014
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบ้บรวมเล่ม ปีที่ 2 ฉบับที่ 9-18 หน้า 661-664)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2014
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 1)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กันยายน 2014
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 7)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2014
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 15 หน้า 16)
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    หลวงพ่อตอบปัญหาในเรื่องของทาน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบ้บรวมเล่ม ปีที่ 2 ฉบับที่ 9-18 หน้า 656 - 661)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2014
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    อ่านหลวงพ่อตอบปัญหาฉบับนี้แล้วพึ่งทราบว่าหลวงพ่อก็เคยฝึกลม 7 ฐานจากหลวงปู่สด วัดปากน้ำมาเหมือนกัน หลวงพ่อยังพูดถึงความดีในพระพุทธศาสนาขั้นเปลือก สะเก็ด กระพี้และแก่น และมหา 15 นาทีเป็นยังไง ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิจะรู้จักหรือได้ยินคำว่า ฌาณ 4 ใช้งานบ่อยๆ แต่อาจไม่เข้าใจคำนี้อยู่ ลองอ่านกันดูครับ


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ ฉบับรวมเล่มปีที่ 2 2524 ฉบับที่ 9-18 หน้า 669 - 680)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2014
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2014
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    สนทนาธรรมฉบับนี้มีเรื่องการฝึกของหลวงพ่อและเรื่องเสื้อยันต์แดง น่าอ่านมากครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากธัมมวิโมกข์ ตุลาคม 2537 หน้า 13-19)
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    ปลาป่นที่หลังสวน

    โดยคุณปรีชา พึ่งแสง



    พี่เขา (ดร.ปริญญา นุตาลัย) บอกว่า อยู่กับหลวงพ่อ มีอะไรเล่าให้ฟังบ้าง เป็นเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยก็ได้ คนอื่นที่เขามาภายหลัง จะได้รู้เรื่องของหลวงพ่อ พูดถึงเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย ก็ต้องพูดถึงปลา เพราะปลามีเกล็ด ไปพูดถึงเรื่องอื่นมันไม่มีเกล็ด จะหาว่าโม้ไป (ผมไม่ได้โม้) ครั้งหนึ่ง วันเดือนปี จำไม่ได้ ประมาณปี ๒๕๒๖ – ๒๕๒๗ ถ้าจำผิดไป ก็ขออภัยด้วย สัญญามันเริ่มเสื่อม แก่แล้ว

    หลวงพ่อพาคณะศิษย์จำนวนหนึ่งไปทางภาคใต้ ตอนนั้นไปทางรถ ข้าพเจ้ามีหน้าที่ขับรถโตงเตง (ปัจจุบันรื้อเอาคัตซี (มาจากภาษาอังกฤษว่า chassis อ่านว่า แชสซี คนไทยเรียก คัตซี คือโครงเหล็ก) รถโตงเตงมาทำรถรางวิ่งรับคนภายในวัดไปแล้ว) มีผู้โดยสารประมาณ ๑๗ คน เพราะเป็นรถโดยสารขนาดเล็ก ทำไมจึงชื่อว่ารถโตงเตง ขณะนั้นวัดท่าซุงไม่มีใครถวายรถมากมายเหมือนขณะนี้

    มีรถคันนี้ใช้อยู่คันเดียว โตงเตง ต่องแต่งไปทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย หลวงพ่อเลยเรียกว่ารถโตงเตง
    รถโตงเตงมีพี่อู๊ด (รังสิต) พี่เอี๊ยง และข้าพเจ้า ๓ คนเป็นคนขับ คนไหนลางานได้ ก็สับเปลี่ยนผลัดกันขับ แต่ไปภาคใต้ครั้งนั้น ข้าพเจ้ารับหน้าที่เป็นคนขับ หลวงพ่อก็พาไปหลายจังหวัด ตั้งแต่จังหวัดอุทัยธานี ผ่านจังหวัดนครปฐม ราชบุรี ประจวบฯ สุราษฎร์ธานี จังหวัดยะลา เข้าอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ไปกันเป็นอาทิตย์ วิ่งเรื่อยไป

    จากการที่ผ่านมาหลายจังหวัด หลวงพ่อจึงออกเทปให้เฉพาะศิษย์ที่ติดตาม เป็นเทปชื่อว่า ฤาษีสอนลูกภาคใต้ มี ๑๐ ม้วน ตอนที่ข้าพเจ้ายังมีหน้าที่จัดจำหน่าย ใครอยากทราบประวัติศาสตร์ เรื่องเก่าๆ มหากาลผ่านมหายักษ์ สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช หนีไปบวชที่จังหวัดราชบุรี และเดินธุดงค์ไปจำพรรษาในถ้ำที่วัดเขาขุนพนม อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช หลวงพ่อได้พาคณะศิษย์ไปดูถึงถ้ำที่พระเจ้าตากสินมหาราชปฏิบัติธรรมกรรมฐานจนมรณภาพ

    เสียดายตอนนั้นยังไม่มีวีดีโอ เลยไม่มีหลักฐานให้คนรุ่นหลังได้ดูได้เห็น หรืออยากทราบความเป็นมา ของขุนช้างขุนแผนก็มี หลวงพ่อเล่าให้ฟังหลายเรื่อง ไม่มีในประวัติศาสตร์ ถ้าท่านสนใจก็หาฟังได้ ตอนนี้หาเทปฤาษีสอนลูกภาคใต้คงหาได้ที่วัด ไม่ได้โฆษณาขายเทป แต่บอกได้เลยว่า ฟังแล้วรู้เรื่องราวได้อย่างละเอียด หลวงพ่อสอดแทรกคติธรรมน่าคิด นิสัยของคนสมัยนั้น ความกตัญญู นึกถึงคุณคน และความรักชาติ

    เห็นแต่ประโยชน์ส่วนรวม ไม่สนใจประโยชน์ส่วนตัว น่าศึกษามากในภาวะสังคมปัจจุบันนี้ ตอนที่พักที่สำนักงานกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลวงพ่อเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ นำสิ่งของไปมอบให้ หาเงินเข้าเป็นสวัสดิการช่วยเหลือตำรวจที่ประจำอยู่ที่นี่ เอาผ้ายันต์พิชัยสงครามแจกให้กับตำรวจตระเวนชายแดนทุกคนไว้ป้องกันตัว สมัยนั้นมีผู้ก่อการร้ายมีอยู่ทั่วไป

    อำเภอเวียงสระขึ้นชื่อลือชาเป็นแดนอันตราย เจ้าหน้าที่ขาขาดบ้าง แขนขาดบ้าง ตายบ้างเพราะถูกกับระเบิดขณะออกลาดตระเวน เพื่อรักษาพื้นที่ของประเทศไทยไว้ หลวงพ่อเห็นความลำบากของตำรวจตระเวนชายแดน จึงพาพวกเราออกเยี่ยมให้กำลังใจ ทั้งทหารและตำรวจตระเวนชายแดน ออกเยี่ยมกันไปทั่วประเทศ ถ้ามีเวลาว่างก็นำของไปแจกผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร นี่คือปฏิปทาของหลวงพ่อด้านสาธารณประโยชน์

    พวกเราก็สนุก ไม่กลัวตาย จะกลัวได้อย่างไร ก็ไปกับหลวงพ่อ คิดอย่างคนที่ประมาท ยังใหม่อยู่ หารู้ไม่ว่า หลวงพ่อท่านก็ตายเหมือนกัน แต่ตอนนั้นไม่ได้คิด ทำงานกันไปอย่างสนุกสนาน คณะพวกเรานอนกันที่นั่น ตอนกลางคืน หลวงพ่อท่านเมตตาให้เสด็จพ่อกรมหลวงพ่อชุมพรฯ ลงบ้าง พูดคุยสอนธรรมะกับลูกๆ ตอนถึงคราวที่หลวงปู่เสือลง คนประทับโฮกฮาก พวกเราก็สนุกขอหวย ท่านถามว่า จะขอหวยไปทำไม

    พวกเราก็ตอบว่า จะเอาไปทำบุญ เอาเงินที่ถูกหวยไปถวายหลวงพ่อ เพื่อซื้อรถบัสคันใหญ่ (ตอนนั้นพวกเราอยากได้รถบัสคันใหญ่ไว้ที่วัด เวลาหลวงพ่อไปไหน พวกเราจะได้ไปกันมากๆ) นี่มีเพียงรถโตงเตงต่องแต่งคันเดียว บรรทุกคนได้แค่ ๑๗ คน ที่ไม่ได้มาด้วยเพราะรถเต็ม ก็ทำตาแดงๆ จะร้องไห้ ตอนนั้นพวกเราอยากได้รถบัสคันใหญ่มาก อยากให้ทุกคนได้มา

    หลวงปู่เสือท่านก็เมตตา บอกใบ้ ใบ้หวย พวกเราดีใจ จดกันใหญ่ ตีเลขกันสนุก รวยคราวนี้ ได้เงินมาพวกเราตกลงว่าจะถวายให้หลวงพ่อครึ่งหนึ่ง รวมกันแล้วคงเอาไปซื้อรถบัสคนใหญ่ได้ แต่ทำอย่างไรดีล่ะ อีก ๒ วันหวยจะออก พวกเราก็ยังไม่ได้เดินทางกลับเสียด้วย อยู่อีกหลายวัน จะออกไปซื้อล็อตเตอรี่ก็ไม่มีที่ซื้อ
    เอาอย่างนี้ดีกว่า แทงหวยใต้ดิน แทงกันทั้งหมด แทงกันคนละหลายร้อยบาท กะให้เจ้ามือเจ๊งไปเลย

    ใบโพยหวยที่แทงมีความยาวยืด ไม่พอต่ออีก มีใบโพยหลายใบ จะเอาไปซื้อรถบัสคันใหญ่ให้ได้ ตกลงกับปู่เสือไว้แล้วนี่ เงินที่ถูกหวยจะถวายหลวงพ่อ ยังไงๆ ก็ต้องถูกแน่ แทงหวยที่นี่ถ้าเจ้ามือเจ๊ง ไม่พอจ่ายจะทำอย่างไร เดี๋ยวไม่ได้รถบัส เอาอย่างนี้ดีกว่า พรุ่งนี้มีลูกศิษย์ที่มาด้วยคนหนึ่งลางานไม่ได้ ต้องเดินทางกลับทางรถไฟไปทำงาน พวกเราทั้งหมดฝากโพยหวยไปกับเขาไปแทงที่กรุงเทพฯ เอากันหลายทาง

    กะรวยใหญ่ นี่พอนึกถึงตอนนั้น เสียวหัวใจแทนลูกศิษย์คนนั้นจริงๆ ถ้าตำรวจจับได้ เห็นโพยหวยคงนึกว่าเป็นคนเดินโพยหวยเจ้ามือรายใหญ่ คราวนั้นรอดตัวไปได้ ไม่ได้ถูกจับ แต่พวกเราก็ถูกหวยกินหมด หมดความอยากไปเลย รถบ๊กรถบัสไม่อยู่ในจิตใจอีก แต่ข้าพเจ้าก็ได้ข้อคิดข้อหนึ่ง ตามที่พ่อปู่เสือบอกตอนท้ายไว้ก่อนลาลูกหลาน ติดสินบนเทวดา จะเอาเงินถูกหวยไปทำบุญอย่าทำเลยลูก มีอานิสงส์ไม่มาก

    เงินถูกหวยเป็นเงินร้อน ไม่บริสุทธิ์ เราได้เงินมา แต่คนอื่นเสียเงินไป เขาเดือดร้อน เป็นทุกข์ เราได้เงินมาง่ายๆ ไม่ใช่น้ำพักน้ำแรง การสละเงินถูกหวยทำบุญใช้กำลังใจเบาหวิว แทบไม่มีอานิสงส์ สู้เราเอาเงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง สักบาท สองบาท เอาไปทำบุญ ใช้กำลังใจมากกว่า มีอานิสงส์มากมาย ที่จะเอาเงินที่ถูกหวยไปทำบุญ เป็นหมื่นเป็นแสน เทียบกันไม่ได้ มีแค่ไหนทำบุญแค่นั้น ทำบุญตามกำลังศรัทธา

    ออกนอกเรื่องนอกราว คงอยากต่อว่าแล้วสินะ ไม่เห็นเข้าเรื่องเข้าราว ไหนว่ามีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อย ตามที่คุยไว้ เอ้า...! วกเข้าเรื่องปลา เพื่อหาเกล็ด ตอนขากลับ หลวงพ่อพามาแวะที่ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร บ้านเกิดหลวงพี่ชัยวัฒน์ พวกเราก็กางเต็นท์กันตามชายหาด อยู่ใกล้ทะเล บางท่านก็นอนในอาคารที่พัก สถานที่พักอยู่ติดกับโรงงานทำปลาป่น

    ท่านคงทราบนะ ปลาป่นนั้นกลิ่นรุนแรงมาก มีกลิ่นเหม็นจนพวกเราแทบทนไม่ไหว แต่ก็อดใจไม่พูด พี่เอี๊ยงแกคงทนไม่ไหว บ่นออกมาเสียงดังๆ ว่า เหม็นจริงโว้ย... ทนไม่ไหวแล้ว นอนไม่หลับ หลวงพ่อท่านคงได้ยินเสียงพี่เอี๊ยง บอกมาว่า “เจ้าเอี๊ยง ปลามันไม่ได้เหม็น แต่จมูกมึงเหม็นเอง” ทุกคนเงียบ ข้าพเจ้าได้ยิน ได้ข้อคิด จริงสินะ ปลามันก็มีกลิ่นตามปกติของมัน เป็นกลิ่นของปลา

    ส่วนพวกเราก็มีกลิ่นตามปกติของเรา กลิ่นมนุษย์ แต่ที่เราเดือดร้อน ก็เพราะเราเอาจมูกไปยุ่งในกลิ่นของปลาเอง แล้วจะมาบอกว่าปลาผิด มันไม่ถูก นี่ถ้าปลามันพูดได้ มันคงพูดว่า เหม็นกลิ่นมนุษย์จริงโว้ย ตอบโต้กันไปตอบโต้กันมา หาสาระไม่ได้ การที่จะแก้ก็ต้องแก้ที่ใจเราเอง อย่าเอาจมูกไปสนใจผู้อื่น มันก็ไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวาย

    หลวงพ่อท่านสอนกรรมฐานแบบง่ายๆ ใครคิดได้ก็เอาไปใช้ คิดได้อีกมากมาย ถ้าจะคิด คำพูดของหลวงพ่อแต่ละคำมีความหมายทั้งนั้น บางครั้งท่านพูดสอนแบบคุยสนุกๆ ถ้าท่านฟังแบบสนุกๆ ไป แต่ถ้าท่านฟังแบบใช้ปัญญา ท่านก็จะได้ธรรมะไปปฏิบัติ เอาไปสอนใจตัวเองได้อีกเยอะ

    เมื่อข้าพเจ้าอยากเป็นครูฝึกมโนมยิทธิ

    มีข่าวมาว่า มีครูแนะนำรุ่นใหม่บางท่านสอนมโนมยิทธิออกนอกลู่นอกทาง มีการแนะนำให้ผู้ฝึกหกคะเมนตีลังกากันข้างบนเป็นที่สนุกสนาน ไม่ได้เน้นให้เอาวิชานี้ไปหาข้อเท็จจริงปฏิบัติเพื่อมรรคผล ทำให้นึกถึงคำสั่งของหลวงพ่อ ที่บอกกับครูผู้สอนในสมัยนั้นไว้ว่า ถ้าแกสอนเขาไปอย่างผิดๆ เขาเหล่านั้นนำไปปฏิบัติแบบผิดๆ แล้วเกิดมิจฉาทิฏฐิ พวกแกก็ลงอเวจี ข้อนี้ควรระวัง

    พระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง อุทัยธานี ท่านเล็งเห็นความสำคัญในข้อนี้ ท่านจึงเริ่มปฏิรูปครูฝึกสอนมโนมยิทธิ เนื่องจากครูรุ่นเก่าๆ ที่หลวงพ่อเคยสอนไว้ หายหน้าหายตาไปหลายคน จึงมีครูรุ่นใหม่ๆ เข้ามาสอนแทนกันมากขึ้น เพื่อพัฒนาการสอนให้ถูกต้อง ตามแนวที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อเคยสอนไว้ ท่านจึงฝึกพระในวัดให้เป็นครู วันนี้ให้พระองค์นี้เป็นลูกศิษย์

    พรุ่งนี้ให้พระองค์ที่เป็นลูกศิษย์เป็นครูผู้สอนบ้าง สลับกันไปสลับกันมา หมุนเวียนเปลี่ยนกันไปแต่ละกลุ่ม เพื่อหาความชำนาญ สอนไปตามทางแนวเดียวกัน พระทุกองค์ท่านก็สนองนโยบายท่านเจ้าอาวาส ขวนขวายหาเทปเก่าๆ ที่หลวงพ่อเคยสอนไว้ นำมาเป็นแบบ สิ่งนี้เป็นนิมิตที่ดี ที่พระครูปลัดอนันต์ท่านเล็งเห็นความสำคัญ การสอนมโนมยิทธิเพื่อให้เป็นมาตรฐาน ก่อนที่จะพากันหลงทางไปจนกู่ไม่กลับ

    ข้าพเจ้านึกย้อนถอยหลังไปถึงอดีต ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเมตตานำมโนมยิทธิมาสอนให้พวกเราในครั้งนั้นว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ฉันจะฝึกมโนมยิทธิให้พวกแก เมื่อฝึกได้แล้ว จะได้เป็นครูช่วยสอนแทนพ่อ ต่อไปคนจะสนใจมาฝึกกันมากขึ้น พ่อคนเดียวคงสอนให้ไม่ไหว และท่านบอกต่ออีกว่า ในรุ่นแรกนี้จะมีอยู่สองกลุ่ม กลุ่มแรกจะฝึกได้ ไปนรก สวรรค์ นิพพานได้

    ส่วนกลุ่มที่สองจะฝึกไปไม่ได้ จะหมดกำลังใจแล้วหยุดฝึกไปพักหนึ่ง แต่เมื่อมีกำลังใจขึ้นมาอีก มาฝึกอีกครั้ง กลุ่มนี้จะไปได้ พวกนี้ฉลาด ต้องฝึกตั้งแต่ ก.ไก่ ข.ไข่ จึงจะเกิดความมั่นใจ แล้วท่านก็ฝึกมโนมยิทธิให้กับลูกๆ หลวงพ่อท่านลงมาแนะนำเอง สอนเอง ถามเอง ตอนนั้นข้าพเจ้ามั่นใจว่า คงอยู่ในกลุ่มแรก จากที่เคยรักษาศีล ๕ เปลี่ยนมารักษาศีล ๘

    แล้วก็เป็นจริงตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพูดไว้ ข้าพเจ้าฝึกอยู่ทั้งพรรษาในเวลา ๓ เดือน ไปไหนไม่ได้ พอออกพรรษากำลังใจท้อแท้ ก็หยุดฝึก กลุ่มของผู้หญิงไปได้มาก พวกผู้ชายไปได้น้อยคน ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าเลิกรักษาศีล ๘ มารักษาศีล ๕ เหมือนอย่างเดิม ความอึดอัดลดลง เกิดมีกำลังใจขึ้นมาอีก กลับมาฝึกมโนมยิทธิอีกครั้ง ครั้งนี้ฝึกไปได้

    ทำไมจึงฝึกไปได้ เพราะข้าพเจ้าฟังคำสอนแล้วพิจารณาตาม ห้ามใจ ดังนี้

    ๑. อย่าให้ใจ อยากไป ขณะฝึก คิดว่าไปได้ก็ไป ไปไม่ได้ช่างมัน พรุ่งนี้เอาใหม่
    ๒. อย่าใช้ตาเห็น ใช้ความรู้สึกของใจ (ใจนึกรู้ หรือใจรู้สึก)
    ๓. อย่าจับอานาปาฯ (รู้ลมเข้าลมออก) ปล่อยใจสบายๆ ขณะฟังครูผู้ฝึก
    ๔. อย่าภาวนา นะมะพะทะ (หยุดเลย) ขณะฟังครูผู้แนะนำ

    ๕. อย่าอวดฉลาด ให้ทำตัวแบบโง่ๆ ครูสอนอะไร กำหนดใจปฏิบัติตามนั้น
    ๖. อย่าสงสัย ใช้ความรู้สึกแรก ที่ใจนึกรู้ หรือใจรู้สึก
    ๗. ถ้าครูถามว่า เห็นอะไร ครูหมายถึง ใจรู้สึกอะไร ไม่ได้หมายถึงตาเห็น
    ๘. ค้นหาความทุกข์ให้พบ ถ้าท่านคิดว่าโลกมีแต่ความสุข ครูจะไม่สอน
    ๙. อย่ากลัวเรื่อง ศีล อย่าลังเล กำหนดใจรักษาศีลเลย ครูต้องการให้ใจของท่านบริสุทธิ์ ใจเป็นทิพย์ในขณะฝึก
    ๑๐. อย่าคิดว่าเราไม่ตาย ค้นหาความจริงตามครูสอนให้พบ ให้ใจยอมรับ

    มีอยู่ ๑๐ ข้อเท่านั้น เอาไปทดลองทำดู เผื่อจะโชคดี อย่าลืม ครูเป็นเพียงผู้สอน ใครจะไปได้หรือไม่ได้ อยู่ที่ผู้ฝึก (เอาจริง และฉลาดคิดพิจารณา)


    ทดสอบการระลึกชาติ

    วันหนึ่ง พวกเราเดินทางไปแจกของผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ที่บ้านแฮะ จังหวัดเชียงราย กับหลวงพ่อ และพักที่ตึกศูนย์สงเคราะห์ผู้ยากจนฯ ในบริเวณสถานีวิทยุทหารอากาศ จ.เชียงราย หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว หลวงพ่อบอกกับพวกเราว่า วันนี้จะทดสอบมโนมยิทธิ ให้ทุกคนระลึกชาติกันคนละชาติ ชาติไหนก็ได้ แล้วให้ทุกคนมาเล่าให้ทุกคนฟังต่อหน้าองค์หลวงพ่อ

    ทุกคนก็ไปนั่งระลึกชาติกัน แล้วมาเล่าให้ฟังต่อหน้าท่าน ตอนนั้นจำได้ว่า คุณพัชรี สว่างจิต (พี่แป๊ว) เล่าให้หลวงพ่อฟังว่า นั่งระลึกชาติในสมัยเมืองโยนกนคร (เมืองเชียงแสน) อยากเห็นพระเจ้าพังคราช พระองค์ท่านมีรูปร่างอย่างไร ปรากฏภาพมีชายคนหนึ่ง นุ่งกางเกงสีดำขาสามส่วน ใส่เสื้อคอกลม แขนกระบอก นั่งชันเข่า (เหมือนคนมีทุกข์) พี่แป๊วเห็นว่าไม่ใช่พระเจ้าพังคราช จึงเพิกภาพ (เพิก หมายถึงละทิ้งไป)

    ขอดูภาพใหม่แต่กลับมีม่านสีทองมาปิดแทน และไม่ปรากฏภาพอีกเลย ส่วนข้าพเจ้าขอบารมีองค์สมเด็จฯ ขอดูชาติไหนก็ได้ ปรากฏเป็นภาพควาย รูปร่างใหญ่ กำยำ ผิวสีดำเป็นมันเลื่อม มีเขาแหลมสวยโค้งขึ้น แต่น่าเกรงขาม ยืนเบิ่งมองข้าพเจ้าด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ ข้าพเจ้าตกใจ คิดว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร อุทิศส่วนกุศลให้ยกใหญ่ เล่าให้หลวงพ่อฟังตามที่ภาพปรากฏ

    หลวงพ่อหัวเราะ บอกเออ... ดี อุทิศให้ตัวเอง ท่านบอกแค่นี้ ยังไม่รู้อะไรมาก ส่วนของพี่แป๊ว ท่านบอกว่า ภาพที่เห็นครั้งแรก ที่เห็นเป็นชายที่นั่งชันเข่าคือพระเจ้าพังคราช สมัยถูกขอมไล่ออกจากเมืองโยนก มาอยู่ที่เวียงสีทวง พี่แป๊วตอบว่า ไม่เห็นแต่งตัวอย่างกษัตริย์ เลยขอดูใหม่ ภาพเลยมืด วันนั้นหลวงพ่อถามคนไหน คนนั้นต้องเล่าการระลึกชาติให้หลวงพ่อฟัง

    สุดท้าย หลวงพ่อสรุปว่า ให้ทุกคนจำไว้นะ ถ้าเราเห็นภาพอะไร ให้สงสัยที่มาของภาพนั้น ต้องถาม โดยเฉพาะต้องขอบารมีองค์สมเด็จฯ ช่วย เราจะได้รู้เรื่องราวในอดีตเป็นมาอย่างไร ดังตัวอย่าง แป๊ว อยากดูพระเจ้าพังคราช แต่เห็นเป็นชายแต่งตัวธรรมดา ไม่ถามท่าน เลยไม่เห็นภาพต่อเนื่อง เจ้ากะ... (ท่านชอบเรียกข้าพเจ้า) เห็นควาย ก็ไม่ขอบารมีฯ ถาม จึงไม่รู้ที่มา

    ต่อไปพวกแกต้องหัดเป็นคนขี้สงสัย ไม่ใช่ให้ไปสงสัยในวิชาที่ฝึกนะ แต่ให้สงสัยในภาพที่เราอยากรู้ ถามเรื่องราวความเป็นมา อย่างนี้ถือว่าปฏิบัติได้ถูกต้อง

    เริ่มหัดเป็นครูสอนมโนมยิทธิ
    ต่อมาคนก็เริ่มมาฝึกมโนมยิทธิกันมากขึ้น หลวงพ่อเป็นผู้สอนก่อนฝึก ส่วนพวกเราเป็นครูผู้แนะนำผู้ฝึก ตอนนั้นครูแนะนำมีมาก เป็นของใหม่ ใครๆ ก็อยากสอน อยากแนะนำ อยากเป็นครู หลวงพ่อบอกว่า การเป็นครูสอนแนะนำ เป็นการเร่งรัดการปฏิบัติตัวเองให้ดียิ่งขึ้นๆ ขณะนั้น ข้าพเจ้าก็อยากเป็นครู งานด้านวีดีโอ ยังมีไม่มากเหมือนทุกวันนี้

    วันหนึ่ง หลวงพ่อพาคณะพวกเราไปสอนมโนมยิทธิที่วัดดอนคนฑา อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา พอรถวิ่งไปถึง ข้าพเจ้าเห็นผู้คน หนุ่มบ้าง สาวบ้าง เป็นคนแก่บ้าง นั่งรอหลวงพ่ออยู่ในที่ทางวัดเขาจัดไว้ โดยเอาไม้ไผ่มาปักเป็นเสา เอาไม้พาด เอาใบทางมะพร้าวมาวางด้านบน พอกันแดดได้พอสมควร เห็นศรัทธาของเขาเหล่านั้น วันนั้นข้าพเจ้าอยากสอนเป็นที่สุด

    เมื่อได้เวลา หลวงพ่อนั่งเป็นองค์ประธานในที่ที่เขาจัดให้ มีผ้าม่านกั้นเป็นฉากด้านหลังหลวงพ่อ ทุกคนที่ฝึกนั่งกันเป็นวงๆ ห่างพอสมควร มีวงหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มนั่งใกล้อยู่ด้านหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อเริ่มสอนก่อนฝึก แล้วก็ดำเนินไปตามขั้นตอน พอเริ่มให้พวกเราเข้าไปแนะนำตามวงต่างๆ วงที่ใกล้หลวงพ่อที่สุด หาครูไปแนะนำไม่ได้ ทุกคนเลือกแต่วงที่อยู่ไกลหลวงพ่อกันหมด

    ครูที่เหลือแต่ข้าพเจ้ากับพี่แดง (พ.อ.ศรีพันธุ์ วิชชพันธุ์ ยศสมัยนั้น) เพียง ๒ คน เอาละซี... วงเด็กหนุ่มกลุ่มนี้อยู่ใกล้หลวงพ่อมากเกินไป เวลาสอนแนะนำ หลวงพ่อต้องได้ยินเสียง ใจเริ่มกลัวๆ กล้าๆ ลืมนึกถึงอารมณ์ตอนแรกที่อยากสอน จึงกระซิบกับพี่แดงให้ไปสอนวงนั้น พี่แดงทำหน้าเบ้ สั่นหน้า บอกกลับมาว่า ให้ข้าพเจ้านั่นแหละไปสอน ข้าพเจ้าหันไปมององค์หลวงพ่อ ท่านนั่งนิ่งหลับตาเฉย

    เลยกระซิบกับพี่แดงว่า เรา ๒ คนออกไปหลบหลังม่านดีกว่า ค่อยๆ ย่องออกไปยืนอยู่หลังม่าน ๒ คน นึกว่าสบายแล้ว ประเดี๋ยวเดียวจ่าประมวลมาตาม บอกว่า หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าไปสอนวงที่อยู่ด้านหน้าหลวงพ่อ นี่ขนาดยืนหลบแล้วนะ คำสั่งครูบาอาจารย์ต้องปฏิบัติ ค่อยๆ คลานมานั่งอยู่กลางวง หลับตาชาร์จแบตเตอรี่ (กำหนดจิตเป็นสมาธิ) ไฟไม่เข้าเลย ใจมันตกหายไปไหนไม่รู้ เหลือบมองหน้าหลวงพ่อ

    อารมณ์แรกรู้สึกหลวงพ่อให้สอนเรื่องศีล ศีล ศีล ก้องอยู่อย่างนั้น แต่ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะพูดขึ้นต้นอย่างไรดี มันกลัวเสียจนนึกอะไรไม่ออก เอ้า... ชาร์จไฟใหม่ เสียเวลาตั้งนาน ค่อยๆ แนะนำเรื่องศีล ๕ พูดถึงคุณและโทษ ว่าไปเรื่อยๆ เสียงค่อยๆ ดังขึ้นๆ โดยไม่รู้ตัว ใจเริ่มมีความกล้าขึ้น เด็กหนุ่มยอมรับที่จะปฏิบัติศีล ๕ แนะนำไปตามลำดับ พอหมดเวลา วงของข้าพเจ้าไปไม่ได้ ข้าพเจ้านึกเสียใจ

    เราคงเลว เพราะกลัวหลวงพ่อมากเกินไป ครั้งนี้จึงสอนไม่ดี หลวงพ่อรู้อารมณ์จิต หันมามองหน้า ยิ้มแล้วบอกว่า เราเป็นเพียงผู้แนะนำ ใครจะไปได้หรือไม่ได้ อยู่ที่ตัวของเขา การสอนไม่ต้องหวังผลสูงสุดเสมอไป เราแนะนำให้เขาเริ่มรักษาศีล เขาได้ก้าวเท้า ๑ ก้าว ถือว่าใช้ได้

    ตัวสงสัยเริ่มเข้ามากวนใจ
    ต่อมาไม่นาน ความสงสัยเข้ามา ใจเริ่มฟุ้งซ่าน มโนมยิทธิที่เราทำนี่ คิดไปเองหรือเปล่า นึกไปเองหรือเปล่า อีกอารมณ์หนึ่งก็ว่าจริง ต้องจริง เราเชื่อหลวงพ่อ อารมณ์เป็นทิพย์ต้องเป็นของจริง ดึงกันไปดึงกันมา อารมณ์เริ่มสับสน เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง ใจฟุ้งซ่านหนักเข้าๆ เริ่มเบื่อไม่อยากฝึก อีกอารมณ์นึกเสียดายไม่อยากเลิก เอ... เอาอย่างไรดี เลยนึกถึงคำสอนของหลวงพ่อ

    ท่านบอกไว้ว่า ถ้าจะปฏิบัติให้ได้ดีต้องทำตัวเหมือนคนโง่ แต่นี่เราชักอวดฉลาด จึงมาตกลงกับใจของตัวเองว่า ต่อแต่นี้ไปเราจะยอมเป็นคนโง่ ภายใน ๑ ปีนี้ ถ้าไม่มีอะไรมาทำให้เราเชื่อมั่นมโนมยิทธิ เราจะเลิก ตกลงกับใจตัวเองอย่างนั้น ก็ดีไปอย่าง พอมีอารมณ์สงสัยในใจขึ้นมา เราก็บอกว่า อย่าเพิ่งเข้ามา ออกไป ยัง ยังไม่ถึงเวลา รออีก ๑ ปี ฉันจะเชื่อแก ตอนนี้ฉันขอยอมโง่ไปก่อน

    คิดตอบไปอย่างนั้น อารมณ์สงสัยมันค่อยลด ไม่รุนแรง ถ้ามันมาอีกเราก็คิดอย่างนี้อีก สู้กัน ขอย้อนหลังไปสักนิด ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมาฝึกมโนมยิทธิด้านอภิญญา เดิมข้าพเจ้าเจริญกรรมฐานแบบสุกขวิปัสสโก มหาสติปัฏฐานสูตร ตั้งแต่อานาปานบรรพถึงอริยสัจ (บรรพหมายถึงกอง) บรรพที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุดคือ กองจิตตานุปัสสนา

    การพิจารณาจิต พอจิตคิดอะไร เลว ดี ชั่ว ใจเรารู้ทันที ถ้าเราฝึกคล่องนะ มันรู้ทันกัน วันหนึ่ง ข้าพเจ้าขับรถเพื่อไปให้ทันเวลาทำงานตอนเช้า ขณะที่รถจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยก โรงพยาบาลวชิระ มีรถมอเตอร์ไซคล์คันหนึ่งมาจอดข้างๆ ด้านขวามือ ข้าพเจ้าหันไปเห็นคนขับแต่งตัวดี ความคิดผุดขึ้นมาทันทีว่า ถ้ารถเขาล้มจะช่วยเขาไหมนี่... พอความรู้สึกคิดอย่างนั้น ใจมันรู้ทันกัน (อารมณ์จิตตานุปัสสนา มหาสติฯ)

    ก็ตอบไปในใจว่า จิตคิดไม่ดี แช่งเขาทำไม... เลิก ไม่คิด กำหนดจิตจับอานาปานุสสติ (รู้ลมหายใจเข้า-หายใจออก) ไม่ให้จิตคิดฟุ้งซ่าน พอเผลอนิดเดียว เอาอีกแล้ว คิดอีก ถ้าช่วยเราเข้าทำงานไม่ทัน ถ้าไม่ช่วยเข้าทำงานทัน เอาอย่างไหนดี เอาอีกแล้ว จิตเลว (ด่าใจตัวเอง) บอกไม่ให้คิด ยังคิดอีก จับอานาปานุสสติเป็นสมาธิใหม่ ทำได้นิดเดียวเผลออีก ใจคิดอีก เราช่วยเขาดีกว่า สงสารเขา

    ไปทำงานไม่ทันก็ลางานสักหนึ่งชั่วโมง แพล็บเดียว คิดถึงสามครั้ง ไวมาก พอดีไฟเขียว รถก็เคลื่อนออกจากที่ ไปทางเดียวกันกับรถมอเตอร์ไซคล์คันดังกล่าวลื่นไถลล้ม คนขี่ไปทาง รถไปทาง ที่แลเห็นเพราะรถเขาอยู่ข้างหน้ารถเรา ข้าพเจ้าจึงหยุดรถริมถนน ลงไปช่วย เข็นรถมาไว้ข้างฟุตบาท ถามเขาว่าเป็นอะไรหรือเปล่า จะให้ช่วยอะไรไหม เขาตรวจดูรถแล้วบอกว่า

    ขอบคุณครับ ไม่เป็นอะไรมาก แฮนด์เบี้ยวนิดหน่อย ดัดแล้วคงไปได้ ลองสตาร์ทเครื่องดู เครื่องติดไม่เป็นอะไรตามที่เขาบอก ข้าพเจ้าก็ขับรถออกมา จิตคิดไปคิดมาพิจารณา พอเริ่มเข้าใจบ้างแล้ว ผลของการฝึกมโนมยิทธิ อย่างนี้ใช่ไหมที่เขาเรียกว่า อนาคตังสญาณ เป็น ๑ ในญาณ ๘ อย่าง ญาณที่สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่เพราะเราไม่เข้าใจ คิดว่าจิตเราเลว ไปแช่งเขา จึงไม่ยอมเชื่อในอารมณ์แรก

    จากนั้นถูกทดสอบอีกหลายครั้ง แต่ละครั้งเพิ่มความมั่นใจในจิตมากขึ้น ดันตัวความสงสัยออกไป ไม่สามารถเข้มารบกวนใจอีกเลย การฝึกมโนมยิทธิคงมีคนที่สงสัยเหมือนข้าพเจ้าบ้าง (คนที่ไม่สงสัยก็แล้วไป) แต่ถ้าสงสัย ท่านคิดจะแก้ไขอย่างไร ลองทำเหมือนคนโง่ตามที่หลวงพ่อสอนดูบ้าง อาศัยความอดทน อาศัยเวลา

    ทำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อวานนี้ขึ้นไปเห็น วันนี้ขึ้นไปไม่เห็น เราไม่สนใจ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ได้ดีเอง หลวงพ่อท่านสอนว่า ถ้าขึ้นไปข้างบนแล้ว วันนี้มันมืด ไม่เห็นอะไร แต่เมื่อวานนี้ เราเห็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยประทับตรงนี้ ให้ก้มลงกราบเลย ไม่ต้องไปสนใจเรื่องภาพเห็น ไม่เห็น


    อยากเรียนรู้ใจคน

    เคยกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ถ้าเราจะฝึกเจโตปริยญาณ (รู้ใจคน) จะทำอย่างไรครับ
    หลวงพ่อตอบว่า ถ้าแกอยากจะรู้ใจคน แกต้องฝึกรู้ใจตัวเองก่อน เป็นคำตอบสั้นๆ เหมือนให้กลับไปปฏิบัติดู แล้วจะรู้เอง เป็นการบ้าน

    ปฏิบัติกรรมฐานทางตรงและทางอ้อม

    คราวที่ไปสอนมโนมยิทธิที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา พระเดชพระคุณหลวงพ่อสอนศิษยานุศิษย์ที่นั่นว่า ฝึกกรรมฐานแบบมโนมยิทธิเหมือนเราเดินทางตรง ฝึกกรรมฐานแบบสุกขวิปัสสโก เหมือนเราเดินทางอ้อม เริ่มสงสัยอีกแล้ว จับประเด็น ตรงอย่างไร อ้อมอย่างไร เอามาคิด ข้าพเจ้านิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าสงสัยอะไร ต้องตีปัญหาให้แตก (ตีปัญหาคือ นำไปปฏิบัติให้รู้แจ้ง)

    ถ้ารู้แล้วจิตมันเชื่ออย่างแนบแน่น ไม่อ่อนไหว เพราะได้พิสูจน์มาแล้ว หลวงพ่อท่านรู้นิสัยข้าพเจ้า ตอนที่ท่านเมตตา เล่าอดีตชาติของข้าพเจ้าสมัยสุโขทัย และสมัยรัชการที่ ๕ เขียนมาให้อ่าน ๑ แผ่นกระดาษฟุลสแก๊ป ตอนท้ายท่านขมวดข้อความว่า ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ สมเด็จฯ ทรงรับรอง แล้วลงลายมือชื่อของท่านไว้เป็นหลักฐาน

    (ท่านเขียนประวัติมาให้หลายคนนะ ที่จะได้มี ท่านเจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส หลวงพี่อาจินต์ คุณคณิตพร คุณพรนุช ฟ้าอิน ฟ้าดำ) พอมีโอกาส เรียนถามท่านว่า หลวงพ่อครับ มโนมยิทธิตรงอย่างไร สุกขวิปัสสโกอ้อมอย่างไรครับ
    ท่านตอบว่า แกเคยไปเชียงใหม่ไหมล่ะ แบบนั่งรถไฟลอดถ้ำขุนตาลนั่นแหละ

    โอ้... โฮ... ไม่เข้าใจแฮะ ท่านตอบคำเฉลยเป็นปริศนา คล้ายเชิญชวนให้เราไปลองปฏิบัติดู หลวงพ่อท่านสอนกรรมฐาน ทุกคนคงรู้แล้วว่าท่านสอนอยู่สองแบบ กลางวันท่านสอนแบบมโนมยิทธิ (อภิญญา) กลางคืนท่านสอนแบบสุกขวิปัสสโก พวกเราก็เลยได้เรียนทั้งสองแบบ ข้าพเจ้าจึงนำมาปฏิบัติทั้งสองอย่าง และเปรียบเทียบทางตรงและทางอ้อมเพื่อความเข้าใจ

    ทางอ้อม (เป็นของยาก)
    ๑. การที่จะชวนใครสักคนไปวัดกับไปเที่ยว ไปวัดคงไปยากกว่าไปเที่ยว
    ๒. การที่จะชวนใครฟังเทศน์กับฟังเพลง ฟังเทศน์คงยากกว่าฟังเสียงเพลง
    ๓. การที่จะชวนใครเจริญกรรมฐานกับดื่มเหล้า เจริญกรรมฐานคงยากกว่าการดื่มเหล้า แค่เริ่มต้นนะ แค่ชวนคนมาวัด เห็น ความยาก มีมากขนาดไหน ต่อไปเอาแค่ย่อๆ

    ๔. ต่อมาเมื่อเจริญกรรมฐาน ต้องเรียนรู้อานาปาฯ กับจริต ๖ ประการ
    ๕. เมื่อเรียนรู้จริต ๖ ประการ ต้องเรียนรู้กรรมฐาน ๔๐ (วิธีแก้จริต) ด้วย ขออธิบายขยายความนิด เดี๋ยวมีคนสงสัยว่า เรียนกรรมฐาน ๔๐ กองไปทำไม ไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมินี่ หมายความว่า คนทุกคนต้องมีจริตตัวใหญ่อยู่ตัวหนึ่ง เมื่อรู้ว่าเป็นจริตตัวไหน หลวงพ่อให้ฆ่าตัวนั้นตัวเดียว จริตตัวอื่นที่รองลงมา มันก็อยู่ไม่ได้ (จริต ๖ มีอะไรบ้าง หลวงพ่อสอนไว้แล้ว)

    เช่น มีโทสะจริต ก็เอากรรมฐาน ๘ กองมาแก้ มีอะไรบ้าง พรหมวิหาร ๔ กสิณ ๔ อย่าง ไม่ต้องเอามาทั้งหมด ชอบกองไหนเอากองนั้นมา เอามากองเดียว หรือมีราคจริต ก็เอากรรมฐาน ๑๑ กองมาแก้วมีอะไรบ้าง อสุภ ๑๐ กายคตาสติ ๑ รวมเป็น ๑๑ กอง เอามากองใดกองหนึ่ง ที่กล่าวไว้ ๔๐ กอง เพราะคนเรามีจริตตัวใหญ่ไม่เหมือนกัน ถ้าไม่ศึกษาไว้ เวลาปวดท้อง

    เอายาแก้ไข้มากินมันก็ไม่หาย กรรมฐาน ๔๐ กองจึงเป็นกรรมฐานคู่ปรับของจริต ๖ ประการ
    ๖. ต่อมาก็เลี้ยวเข้าหามุม ศึกษาสังโยชน์ ๑๐ ทำได้ ๓ ข้อ ๕ ข้อ ๑๐ ข้อ ได้เป็นพระอริยเจ้า ตามลำดับชั้น ป้องกันนรก ไปนิพพานได้
    จะเห็นว่า ถ้ากิเลสเป็นต้นไม้ กว่าเราจะโค่นได้ ฆ่ามันได้ ต้องริดใบ ริดกิ่ง ริดก้าน ตัดต้น ขุดราก กว่าต้นไม้จะตาย เราอาจตายก่อนต้นไม้ เป็นของยาก

    ทางตรง (ปฏิบัติแบบง่าย)
    ๑. ถ้าใครมาชวนไปวัด เพื่อได้เที่ยวนรก สวรรค์ กับ ดูหนัง คนอยากไปวัดดูนรก สวรรค์ มากกว่าดูหนัง เพราะนรก สวรรค์ หาดูได้ยากกว่าดูหนัง
    ๒. เมื่ออยากเห็นนรก สวรรค์ ก็ต้องปฏิบัติตามครูผู้แนะนำ
    ๒.๑ ให้รักษาศีล ๕ (ศีลไม่บริสุทธิ์เข้าสวรรค์ไม่ได้) ก็ยอมรับปฏิบัติ
    ๒.๒ ให้เห็นการเกิด การเสื่อมสลาย การป่วย การตาย เป็นความทุกข์ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ยอมรับนับถือพระรัตนตรัย

    ๒.๓ ตายแล้วจะไปไหน สวรรค์ พรหม หมดบุญต้องกลับมาเสวยทุกข์อีก ดีไม่ดี ลงนรกทุกข์หนัก (มรณานุสสติ คิดถึงความตายเป็นอารมณ์)
    ๒.๔ นิพพาน เป็นดินแดนที่มีความสุขแน่นอน ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ทุกคนก็อยากไปนิพพาน (นิพพานัง ปรมัง สุขัง คิดถึงนิพพานเป็นอารมณ์)

    นี่คือวิธีการสอนที่ฉลาดและเฉียบแหลมของครูบาอาจารย์ ที่นำเอาหมวดวิชชาสาม กับหมวดอภิญญามารวมกันเป็นมโนมยิทธิ ปฏิบัติกรรมฐานในทางตรงที่สุด นำทุกคนมานั่งปฏิบัติกรรมฐานรักษาอารมณ์พระโสดาบัน (สังโยชน์ ๓) โดยไม่รู้ตัว เสมือนหนึ่งยาถ่ายบรุ๊คแล็ค ที่ตัวยาเคลือบด้วยช็อคโคแล็ต ทุกคนกินเข้าไป เพราะมีรสหวาน แต่มีตัวยาที่รักษาโรค (ฆ่ากิเลส ป้องกันนรก) ที่มีผลอย่างมหาศาล

    จากการที่ทราบผลเปรียบเทียบ ทางตรงและทางอ้อม ของการปฏิบัติกรรมฐาน มโนมยิทธิ จึงเป็นวิชาที่ทุกคนฝึกได้แล้ว ควรรักษาไว้เท่ากับชีวิต ท่านขึ้นนิพพาน ๑ ครั้ง เท่ากับท่านฝึกอารมณ์พระโสดาบัน ๑ ครั้ง แล้วหนึ่งวัน ท่านขึ้นนิพพาน ๑๐ ครั้ง เท่ากับว่า ท่านฝึกอารมณ์พระโสดาบัน ๑๐ ครั้งเช่นเดียวกัน แล้วท่านจะไปวิตกทำไม เมื่อขึ้นไปแล้วไม่เห็นภาพ หรือมีภาพที่ไม่แจ่มใส ถึงแม้วันใดท่านขึ้นไป ไม่ปรากฏมีภาพ แต่ท่านก็มีผลของสังโยชน์ ๓ แล้ว (อารมณ์พระโสดาบัน) โดยอัตโนมัติ


    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 5 หน้า 146-157)



    www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1467#13
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    มักมีผู้ที่ไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อจะชอบถามว่าหลวงพ่อสร้างวัดไปทำไมให้ใหญ่โต ถ้าใครมาถามแบบนี้ ลองจำที่หลวงพ่อเล่าไว้ในธัมมวิโมกข์ฉบับนี้ไปตอบดูครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ พฤษภาคม 2530 หน้า 17-23)
     
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    พระเครื่องของหลวงพ่อมีพุทธคุณทุกอย่าง ต่างตรงว่ารุ่นไหนพระท่านให้ด้านไหนนำหน้า อย่างพระหางหมากก็มีพุทธคุณด้านชาตรีอยู่เช่นกัน ลองอ่านกันดูนะครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2534 หน้า 29-32)
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2534 หน้า 134-136)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 พฤศจิกายน 2014
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 11 หน้า 13)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2014
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 11 หน้า 32)
     
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    คาถา " สัมปติจฉามิ " เป็นคาถากันทุกอย่าง แต่คาถา " สัมปจิตฉามิ " เป็นคาถาสนองคืน ใครคิดร้ายกับเรากลั่นแกล้งเราเขาก็จะรับผลร้ายนั้นคืน แต่ถ้าเขาคิดดีทำดีกับเรา ผลดีนั้นๆก็จะสนองคืนคนนั้นด้วยเช่นกัน

    การเป่ายันต์เกราะเพชร ไม่ใช่วันเสาร์ 5 ก็ทำได้ หลวงพ่อถามพระท่านว่าไม่ใช่เสาร์ 5 ทำได้หรือ พระท่านตอบว่าถ้าท่านทำวันไหนท่านก็ทำได้

    ลองอ่านกันดูครับ


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากหนังสือรวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 11 หน้า 340-347)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กันยายน 2014
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    (จากหนังสือ "รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 11 หน้า 30)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2014
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    (จากหนังสือ "รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 11 หน้า 29)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2014
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,702
    [​IMG]

    (จากหนังสือ "รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 11 หน้า 27)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...