เมื่อกิเลสตัณหา หรือความกระหายใคร่อยากนั้นเป็นบาป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย หัตถ์พระเจ้า, 7 มกราคม 2008.

  1. หัตถ์พระเจ้า

    หัตถ์พระเจ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +76
    กิเลส หรือความอยาก เป็นสิ่งที่ไม่ดี นักปฏิบัติธรรมควรลดละและปล่อยวางไม่ยึดติดไว้กับใจ
    แล้วเพราะอะไรเล่า ความอยากจะถึงนิพพาน ความอยากที่จะหลุดพ้น ความอยากเหล่านี้ พวกท่านถึงคิดว่าไม่บาป
    ขอรบกวนถามท่านผู้รู้หน่อย ขอรับ
     
  2. firstjit

    firstjit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +52
    กิเลส คือ สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด
    ทำให้จิตใจขุ่นมัว ไม่บริสุทธิ์ กิเลสเป็นเหตุใคร่ กิเลสที่ทำให้อยาก
    เจตสิกอันเศร้าหมอง ชักให้ใคร่ ให้รัก ให้อยากได้ ได้แก่ราคะ โลภะ
    อิจฉา (อยากได้) เป็นต้น มารคือกิเลส กิเลสเป็นมาร โดยอาการที่เข้า
    ครอบงำจิตใจขัดขวางไม่ให้ทำความดี ชักพาให้ทำความชั่ว
    ล้างผลาญคุณความดี ทำให้บุคคลประสบหายนะและ ความพินาศ

    กิเลส หมายถึงธรรมชาติที่เป็นเครื่องให้เศร้าหมองหรือเร่าร้อน
    กิเลสมี ๑๐ คือ
    (๑) โลภะ ความยินดีพอใจในโลกียอารมณ์ต่างๆ
    (๒) โทสะ ความโกรธ ความไม่พอใจ
    (๓) โมหะ ความหลง ความโง่
    (๔) มานะ ความเย่อหยิ่ง ถือตัว
    (๕) ทิฏฐิ ความเห็นผิด
    (๖) วิจิกิจฉา ความสงสัยลังเลใจในสิ่งที่ควรเชื่อ
    (๗) ถีนะ ความหดหู่
    (๘) อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน
    (๙) อหิริกะ ความไม่ละอายต่อทุจริต
    (๑๐) อโนตตัปปะ ความไม่สะดุ้งกลัวต่อทุจริต

    บ า ป คื อ อ ะ ไ ร ?

    สิ่งของที่เสีย เรามีชื่อเรียกต่างๆ กันไป เช่น บ้านเสียเราเรียกบ้านชำรุด อาหารเสียเราเรียกอาหารบูด ฯลฯ คำจำพวกที่ว่า บูด ชำรุด แตก หัก ผุ พัง เน่า ขึ้นรา ฯลฯ ถ้าพูดรวมๆ เราเรียกว่า เสีย หมายความว่า มันไม่ดี

    อาการเสียของจิตก็เหมือนกัน เราเรียกแยกได้หลายอย่าง เช่น จิตเศร้าหมอง จิตเหลวไหล ใจร้าย ใจดำ ใจขุ่นมัว ฯลฯ แล้วแต่จะบอกอาการทางไหน คำว่า เศร้าหมอง เหลวไหล ต่ำทราม ร้ายกาจ เป็นคำบอกว่าจิตเสีย ซึ่งสิ่งที่ทำให้จิตเสียนี้ ทางพระพุทธศาสนาท่านใช้คำสั้นๆ ว่า “บาป” คำว่าบาปจึงหมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตเสียคือมีคุณภาพต่ำลงนั่นเอง ไม่ว่าจะเสียในแง่ไหนก็เรียกว่าบาปทั้งสิ้น
     
  3. วิมุตติ

    วิมุตติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    2,355
    ค่าพลัง:
    +2,169
    ความอยาก มีฝ่าย กุศล และ อกุศล

    อยากฝ่ายกุศล เรียก ฉันทะ
    อยากฝ่ายอกุศล เรียก ตัณหา

    ต้องแยกให้ออก อย่าเอาไปปนกันเพียงเพราะมันใช้คำเดียวกัน...
     
  4. firstjit

    firstjit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +52
    ความอยากในสิ่งไม่ดี ความอยากที่ทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อนย่อมถือว่าเป็นบาป แต่ความอยากที่จะหลุดพ้น ความอยากที่จะนิพพาน เป็นความอยากที่ปราถนาความสุข เป็นความอยากที่ดีย่อมไม่ถือเป็นบาป ซึ่งก็เหมือนกันกับ การอยากให้คนอื่นมีความสุข อยากให้คนอื่นพ้นจากความลำบาก จึงไม่เป็นความผิด ไม่เป็นบาป จริงหรือไม่คุณ?
     
  5. firstjit

    firstjit Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2005
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +52
    การกำเนิดของบาป ในทัศนะของศาสนาอื่น เช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู ต่างกับของศาสนาพุทธอย่างมาก เช่น แนวคิดในศาสนาคริสต์ก็ดี อิสลามก็ดี สอนว่าบาปจะเกิดเมื่อผิดคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เช่น พระผู้เป็นเจ้า สั่งให้นึกถึงพระองค์อยู่เป็นประจำ ถ้าลืมนึกไปก็เป็นบาป หรือพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาคริสต์ สั่งไม่ให้เอ่ยนามพระองค์ โดยไม่จำเป็น ถ้าใครเอ่ยนามพระเจ้าพร่ำเพรื่อก็เป็นบาป

    ยิ่งไปกว่านั้นตามความเชื่อของเขา บาปยังมีการตกทอดไปถึงลูกหลาน ได้อีกด้วย เช่น ในศาสนาคริสต์เขาถือว่าทุกคนเกิดมามีบาป เพราะอาดัมกับอีวา ซึ่งเขาถือว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ขัดคำสั่งพระเจ้า แอบไปกินแอปเปิ้ลในสวนเอเดน ถูกพระเจ้าปรับโทษเอาเป็นบาป ลูกหลานทั่วโลกจึงมีบาปติดต่อมาด้วย โดยนัยนี้ศาสนาคริสต์เชื่อว่า บาปตกทอดถึงกันได้โดยสายเลือด

    สำหรับพระพุทธศาสนานั้น เนื่องจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงฝึกสมาธิมาอย่างดีเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เป็นผลให้พระองค์ทรงเห็น และรู้จักธรรมชาติของกิเลส อันเป็นต้นเหตุแห่งบาปทั้งหลาย ได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง และสามารถกำจัดกิเลสเหล่านั้น ออกไปได้โดยสิ้นเชิงและเด็ดขาด พระองค์ได้ตรัส สรุปเรื่องการกำเนิดของบาป ไว้อย่างชัดเจนว่า

    “นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต บาปย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่ทำบาป” ขุ. ธ. ๒๕/๑๙/๓๑

    “อตฺตนา ว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ ใครทำบาป คนนั้นก็เศร้าหมองเอง”

    “อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ ใครไม่ทำบาป คนนั้นก็บริสุทธิ์” ขุ. ธ. ๒๕/๒๒/๓๗

    พระพุทธวจนะนี้ เป็นเครื่องยืนยันการค้นพบของพระองค์ว่า บาปเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่สิ่งติดต่อกันได้ ใครทำบาปคนนั้นก็ได้บาป ใครไม่ทำบาปก็รอดตัวไป พ่อทำบาปก็เรื่องของพ่อ ลูกทำบาปก็เรื่องของลูก คนละคนกัน เปรียบเหมือนพ่อกินข้าวพ่อก็อิ่ม ลูกไม่ได้กินลูกก็หิว หรือลูกกินข้าวลูกก็อิ่ม พ่อไม่ได้กินพ่อก็หิว ไม่ใช่พ่อกินข้าวอยู่ที่บ้าน ลูกอยู่บนยอดเขาแล้วจะอิ่มไปด้วย เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัว ใครทำใครได้

    ดังนั้นตามความเห็นของพระพุทธศาสนา บาปจึงเกิดที่ตัวคนทำเอง คือเกิดที่ใจของคนทำ ใครไปทำชั่ว บาปก็กัดกร่อนใจของคนนั้นให้เสียคุณภาพ เศร้าหมองขุ่นมัวไป ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานไป ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    เรียนถาม จขกท

    ท่านเข้าใจคำว่า ความอยากที่จะหลุดพ้น นี้จริงๆ หรือ
    ท่านเห็นว่ามันเป็น กิเลสที่ชั่วร้าย จริงๆหรือ

    แล้วท่านคิดว่า การอยากพาไปสววรค์ การอยากพาคนไปพบสิ่งดีๆ ที่ท่านคิดว่าดี
    เป็นภาวะกิเลสที่ชั่วร้ายหรือไม่

    ถ้าไม่แล้ว การอยากพาไปสววรค์ การอยากพาคนไปพบสิ่งดีๆ ก็ไม่ใช่กิเลสเลวร้าย ที่ท่านจะพึงมอบให้

    แต่ ความอยากที่จะหลุดพ้น ก็ย่อมไม่ใช่กิเลสเลวร้ายอะไร ที่เราอยากมีเอง

    ไฉนตัวเราจะมีความอยากเช่นนั้น ทำดีเพื่อให้เราดีด้วยตัวเอง ไม่ได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มกราคม 2008
  7. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035
    คุณ firstjit อธิบายได้ตรงใจครับ
     
  8. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    อยากเห็นคนอื่นได้ดีเป็นบาปอะป่าวหละ อยากเป็นพุทธะบาปอะป่าวหละ กิเลสเหมือนมีดนั้นแหละ เอาด้านคมเข้าตัวก็ไม่ได้ประโยชน์ เอาด้านคมนั้นมาใช้ประโยชน์หั่นผักทำอาหาร มันก็ได้ประโยชน์ ก็แค่นั้นเอง อย่ายึดติดกับคำว่ากิเลสเป็นขอไม่ดี เป็นเครื่องเศร้าหมอง มองให้ออกสรรพสิ่งมีสองด้านเสมอ ไม่ว่าจะเป็รอะไรด้านที่เราพอใจและด้านที่เราไม่พอใจ จงหันด้านที่เราพอใจนำมาใช้ประโยชน์เพื่อคนทุกคน แปรเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นแดนนิพานบนดินกันเถิดท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลาย
     
  9. หัตถ์พระเจ้า

    หัตถ์พระเจ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +76
    พวกท่านคิดชอบแล้วหรือ

    ความสุขเป็นอุปทานที่เราคิดสร้างขึ้นมาเอง เมื่อเราได้รับในสิ่งที่เราต้องการ เมื่อได้สนองความอยาก อยากมีคนยอมรับนับถือ อยากมีทรัพย์สินเงินทอง อยากมีบ้านสวยๆ อยากมีนั่นอยากมีนี่ อยากได้มาครอบครองไว้เพื่อคำว่าความสุข ดังนั้นความสุขจึงเป็นผลต่อเนื่องของกิเลสอย่างแยกกันไม่ออก

    นิพพานนั้นคือความว่างเปล่า หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ใช่หรือไม่ การปรารถนานิพพานนั้น ก็เพราะเราต้องการความสุขที่ได้หลุดพ้นจากสภาพเหล่านี้ ความต้องการจะเข้าถึงนิพพาน ย่อมไม่แตกต่างจากการต้องการมีที่พักพิงที่สงบร่มเย็น

    เมื่อความต้องการเกิดขึ้นในใจมนุษย์ ความคิดซ้ำๆในจิตใต้สำนึกจะย้ำให้ท่านแสวงหา จนต้องคิดว่า ต้องทำยังไงนะ ต้องทำอย่างนั้นนะอย่างนี้นะ ต้องทำ... เพื่อสิ่งนั้น แล้วจิตใจของท่านจะพบความสงบ พบความว่างเปล่าได้อย่างไร

    การประสงค์จะทำดีให้ผู้อื่น หรือความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ การปรารถนาคือความต้องการ ความต้องการคือความอยาก ความอยากก็คือกิเลส กิเลสคือความชั่วร้าย มีครอบครัวๆหนึ่งประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจนถึงขั้นล้มละลาย พ่อแม่คิดหนักห่วงอนาคตของลูก กลัวลูกจะลำบากจึงเอาปืนยิงลูกๆทิ้งแล้วยิงหัวตัวเองตายตามกันไป
    ถามว่า อันนี้คือความดีใช่หรือไม่ เพราะเป็นการต้องการให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

    จะทุกข์จะสุขนั้นอยู่ที่ใจท่าน ไม่เกี่ยวกับนิพพานแต่อย่างใด
     
  10. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ในทางพุทธนั้น ไม่ได้มองแค่สภาพของการมีชีวิตอยู่คือความทุกข์ ดังนั้น
    กรณีที่คุณยกตัวอย่าง พ่อ ยิง ลูก เพื่อให้พ้นจากการมีชีวิต นั้นไม่ใช่วิธีการคิด
    แบบพุทธเลย เพราะการคิดแบบพุทธ การตาย คือ ทุกข์ เพราะจะต้องกลับไป
    เกิดใหม่ ซึ่งก็จะไม่มีทางพ้นทุกข์ไปได้ การกระทำของพ่อที่ยิงลูกนั้น ถือว่า
    ไม่ใช่การกระทำของคนแบบพุทธะที่ตื่นแล้ว

    ทางศาสนาอื่นก็มีบทกล่าวที่ว่า ถ้าเห็นคนบาดเจ็บ แทนที่จะให้เขารู้สึกเจ็บ ต้องตกอยู่ในภาวะ
    สมเพสเวทนา ศาสนานั้นเหมือนอนุญาติให้ตัดรอนชีวิตนั้นลงได้ นั้นต่างหากที่ไม่มีในพุทธเรา
    ในพุทธเรานั้น ถึงแม้จะเห็นคนบาดเจ็บกระแด่วๆ อยู่ตรงหน้า สิ่งที่เราต้องทำคือการสงบ
    และพยายามชักชวนให้เขาสงบจิตสงบใจ เพื่อที่ว่า เมื่อจะไปเกิดใหม่(หลังการตาย)
    จะมีโอกาสได้ไปสู่สุคติภพ ทางพุทธเราไม่เคยมีบทบัญญัติตัดรอนคนอื่น


    การจะกล่าวถึงประโยชน์ของนิพพานนั้น ถ้าผู้กล่าวไม่เข้าใจเรื่องเวียนว่ายตายเกิดอย่างจริงจัง
    จะเพียงนึกแค่ว่า ชีวิต นี้คือที่สุดของการมาเกิด จึงคิดแต่ลำพังทำให้ชีวิตนี้ดีมีความสุข
    มีความสงบ การพูดเรื่องทำดีเพื่อสะสมนั้นจะพูดแบบเอออวยไปอย่างไม่ประมาท
    ไม่ได้เป็นการพูดเพราะเห็นว่า การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง คนที่ยังไม่เห็นย่อมไม่
    มีทางที่จะเข้าใจประโยชน์ของคำว่านิพพานได้

    สำหรับคนที่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิดมีจริงแล้ว การเกิด การตาย ย่อมไม่ใช่การพ้นทุกข์
    เพราะกิจกรรมเหล่านี้ไม่เคยหยุดลงได้ ไปเกิดเป็นพรหมเทวดาสร้างโลก ก็ยังต้องกลับ
    มาเกิด มาตาย มาเจ็บป่วย มากิน มากาม มาสนุก มาสุข มาทุกข์ กันต่อไปไม่สิ้นสุด เมื่อเขาเห็นเป็นที่มั่นใจ
    จะด้วยปัญญาก็ดี จะด้วยศรัทธาก็ดี หรือจะด้วยไม่ประมาทวิริยะปฏิบัติก็ดี เขาก็ทำ
    ไปเพื่อหวังผลในนิพพานนั้น ที่จะพาออกจากวงจรเวียนว่ายตายเกิดนี้ได้

    ท่านทราบชัดแน่แล้วหรือเรื่องความสุข ท่านทราบชัดแน่แล้วหรือเรื่องการเกิด
    ท่านทราบชัดแล้วหรือเรื่องของการตายไม่เกิดใหม่ ท่านทราบชัดแล้วหรือว่าวันข้างหน้าจะเจ็บป่วยไหม
    ท่านทราบชัดหรือไม่ว่าใครมีความประสงค์ให้ท่านเป็นอย่างไรเพื่ออะไร

    ท่านไม่ทราบชัดในความประสงค์ของตัวเองบ้างเลยหรือว่าต้องการอะไร
    ท่านจะไม่ยอมทราบด้วยตัวเองเลยหรือ จึงโยนให้เป็นความประสงค์ของคนอื่นไปเสีย
    ท่านทราบได้อย่างไรว่า เมื่อสิ้นไปแล้ว ความประสงค์ของคนอื่นที่ไม่ใช่ท่านนั้นจะ
    ประสงค์ให้ท่านไปอยู่กับเขา เขาอาจประสงค์ให้ท่านทดสอบอีกก็ได้ ให้มาเกิดอีก

    ในทางพุทธนั้นแม้ว่าความอยากนิพพานเป็นเรื่องกิเลส
    แต่คนๆนั้นก็เลือกทางของเขาเอง ไม่ต้องมอบการตัดสินใจให้ใคร
    ใครกันคือผู้กล้า ใครกันคือผู้ไม่ทำอะไรเพื่อตัวเองด้วยตัวเอง

    และส่วนใหญ่คนพุทธเมื่อเขาค้นพบทางของตัวเอง ที่พิสูจน์ด้วยตัวเอง
    และเชื่อว่าหลุดพ้นแน่ชัดแล้ว เขาก็กลับมาสอนให้คนอื่นที่พอจะเห็นให้เห็น
    ไม่มีการมาด้วยกริยาหรอกล่อ ให้วัตถุอย่างหนึ่งแรกกับดวงจิตอันหนึ่ง
    เรามีแต่ให้ข้อคิด เขาจะรับก็รับ เขาไม่ต้องการรับก็ไม่ฟืนใจ
    ถ้าเรามีวัตถุ หยูกยา ความรู้ใด เราก็พร้อมจะให้ ไม่ได้ขึ้นกับว่า
    ต้องมามอบความเป็นฝักฝ่ายพวกเดียวกันเสียก่อน

    ใครคือผู้เอา ผู้ได้ เราไม่เห็น ผู้เอา ผู้ได้ ในทางพุทธแท้ๆเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2008
  11. Nanotech999

    Nanotech999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +72
    คนเราเมื่อยังไม่ถึงที่สุดแห่งการพ้นทุกข์ ก็ต้องปฏิบัติไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง แล้วถ้าไม่มีตั้งเข็มทิศปรารถนาจะทำได้อย่างไรล่ะ ถ้าความอยากเป็นแต่บาป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสสอนเรื่อง "อธิษฐานบารมี" หรือ?

    อธิษฐานบารมี เป็นความปรานาในทางที่ดี เป็นหนึ่งในบารมี 10 ประการที่ต้องบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ต้องตั้งความปรารถนาไว้เบื้องต้นก่อน ขณะปฏิบัติไม่มีจิตโลภอยากบรรลุเร็วๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ผัดวันประกันพรุ่ง แต่ก็ไม่ทำด้วยจิตรีบร้อน และไม่เพ่งโทษคนอื่น

    ความอยากเกิดในสุคติภูมิ คือ มนุษย์ก็ดี สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี ท่านว่าเป็นบุญหรือเป็นบาปล่ะ? คิดว่าบาปจะพาไปสู่สุคติได้อย่างนั้นหรือ??? ก็เพราะความอยากไปสู่สุคตินั่นแหละ จึงทำให้อยากทำความดี ถ้าอยากแบบนี้เป็นบาปมิเท่ากับว่า ทำดีแล้วตกนรกหรอกหรือ?

    ในการปฏิบัติกรรมฐาน แม้ขณะทำ จะไม่ให้จิตฟุ้งซ่านคิดนั้นคิดนี้ ไม่ให้ลังเลสงสัยว่าได้ขั้นไหนแล้วหว่า ไม่ให้โลภจะเอาฤทธิ์ หรือฌานสมาบัติเร็วๆ ก็จริง แต่ก่อนปฏิบัติก็ต้องตั้งความปรารถนาเบื้องต้นก่อนจึงจะทำได้ไม่ใช่หรือ? ถ้าไม่คิดจะทำ แล้วจะทำได้อย่างไรกันเล่า??????

    ความอยากช่วยให้คนอื่นพ้นทุกข์ถือเป็นเจตนาที่ดี แต่ถ้าช่วยด้วยการทำบาปก็เป็นโมหะ เป็นความเศร้าหมอง คิดว่าทางนี้ถูกแล้ว ชอบแล้ว ที่บอกว่า ยิงลูกตัวเองได้ ก็ต้องเป็นบาปอยู่แล้ว เพราะเป็นความอยากที่หลงเข้าใจผิด ก่อให้เกิดการเบียดเบียนประทุษร้าย ไม่ได้อยากให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง ยังต้องอยู่ในวงจรการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป

    ความสุขของมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับความสุขของเทวดาซึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งก็เทียบกันไม่ได้ เพราะความสุขของมนุษย์ สำหรับเทวดา ท่านเห็นเป็นของหยาบ มีกลิ่นอายเน่าเหม็นไม่น่าเข้าใกล้

    ความสุขของเทพชั้นสูงกว่านั้น ก็ละเอียดประณีตกว่าเทวดาชั้นต้นขึ้นไปเป็นลำดับ ความสุขของเทพพรหมก็ประณีตกว่า เพราะเกิดจากการบำเพ็ญสมถภาวนาจนได้ฌานสมาบัติ เทียบกันแล้ว ความสุขทางกามารมณ์อันละเอียดประณีตของเทวดายังสู้ไม่ได้เลย

    ความสุขในแต่ละภพภูมิก็มีสภาวะทางจิตที่ไม่เหมือนกัน อย่าเอามนุษย์เป็นบรรทัดฐาน ว่าต้องเป็นอย่างนี้ถึงจะสุข อย่างนี้จึงจะทุกข์

    แล้วอย่างไหนล่ะที่เรียกว่าความสุขที่แท้จริง อย่างไหนล่ะสุขที่สุด

    จะอยู่ภพภูมิไหนก็ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน แต่ละสภาวะต่างก็ตกอยู่ใต้กฎแห่งความไม่แน่นอน เจือด้วยคราบน้ำตาทั้งสิ้น

    ไหนล่ะความสุข???

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสสอนว่า แท้ที่จริง โลกนี้ไม่มีความสุข มีแต่ "ทุกข์มาก" กับ "ทุกข์น้อย" ทุกข์น้อยเป็นทุกข์ที่พอทนได้ มนุษย์ก็เรียกมันว่าความสุข

    สุขทุกข์อยู่ที่ใจ "ยึดถือยึดมั่น" ว่านี่เป็นทุกข์ ว่านี่เป็นสุขสำหรับเรา
    ที่ว่า "ความสุขเป็นอุปาทานที่เราสร้างขึ้นเอง" เป็นแต่ความสุขที่สรรพสัตว์ยึดมั่นในปรากฏการณ์อันเป็นมายาของวงจรการเวียนว่ายตายเกิดทั้งสิ้น

    แต่นิพพานนั้นเล่า! พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า "นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง" "นิพพานว่างเปล่าอย่างยิ่ง" ก็ความสุขที่แท้จริงนั่นแหละคือความว่างเปล่า ว่างจากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ใจที่คิดว่าตัวเองเป็นสุขแล้ว ตราบใดที่ยังมีอุปาทาน มันก็เป็นเพียงความสุขจอมปลอม นิพพานเป็น "สุขที่เกิดจากการสิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน" ไม่ใช่ สุขที่เกิดจากอุปาทาน

    ความสุขที่เกิดจากอุปาทานคิดสร้างขึ้นมาเอง จึงไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง จะเรียกว่าความสุขไม่ได้เลย

    ความสุขที่แท้ ต้อง "สิ้นอุปาทาน" ไม่ใช่การคิดสมมติหลอกตัวเองขึ้นมา

    "...อยากมีคนยอมรับนับถือ อยากมีทรัพย์สินเงินทอง อยากมีบ้านสวยๆ อยากมีนั่นอยากมีนี่ อยากได้มาครอบครองไว้เพื่อคำว่าความสุข ดังนั้นความสุขจึงเป็นผลต่อเนื่องของกิเลสอย่างแยกกันไม่ออก..."

    ความอยากที่กล่าวมานั้น มันเป็นเรื่องทางโลก ไม่นำไปสู่การหลุดพ้น ไม่นำความรู้แจ้งแห่งสัจธรรม เพราะฉะนั้นความอยากอย่างนี้จึงทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป

    ถ้าอยาก แล้วทำกุศลก็นำไปสู่ภพภูมิที่ดี อย่างนี้เป็นบาปหรือ? บาปในความหมายของคุณแปลว่าอะไร? ตรงกับความหมายของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้หรือเปล่าล่ะ คุณเอาอะไรเป็นบรรทัดฐานว่าสิ่งทีคุณคิดนั้นถูกต้อง?

    ก็ความอยากที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นนั่นแหละ เมื่อไปสุดทางได้แล้ว ย่อมสิ้นความอยากเพราะว่าหลุดพ้นแล้ว ทำทุกข์ถึงที่สุดแล้ว

    "ความอยากก็คือกิเลส กิเลสคือความชั่วร้าย" รู้ได้ไงครับ คุณศึกษาพุทธศาสนาเพียงพอหรือยัง???????? หรือแค่เห็นอะไรที่มันผิดแปลก หรือขัดกับหลักการทางโลก หรือนิยามศัพท์ทางภาษา คุณก็มาจับผิด ว่านั่นเป็นเท็จ นี่เป็นจริง เพียงเพราะไม่เข้าถึงความหมายของมันเท่านั้น

    "เมื่อความต้องการเกิดขึ้นในใจมนุษย์ ความคิดซ้ำๆในจิตใต้สำนึกจะย้ำให้ท่านแสวงหา จนต้องคิดว่า ต้องทำยังไงนะ ต้องทำอย่างนั้นนะอย่างนี้นะ ต้องทำ... เพื่อสิ่งนั้น แล้วจิตใจของท่านจะพบความสงบ พบความว่างเปล่าได้อย่างไร"

    ก็แล้วทำไมถึงจะพบความว่างเปล่าไม่ได้ล่ะครับ?????
    ที่ว่า "แสวงหา" นี่แสวงหาอย่างไรหรือครับ คิดเอาเองตามหลักเหตุผลพื้นๆ ไปเรื่อยๆ ว่าอ๋อ ต้องทำอย่างนี้นะ ต้องทำอย่างนั้นนะ อย่างนี้ใช่หรือไม่ ยึดความคิดหลักการของตัวเองเป็นจิต แล้วจะพ้นทุกข์ได้อย่างไรกัน

    พุทธศาสนิกที่ปรารถนาความสงบแห่งจิต หรือปรารถนาความหลุดพ้นนั้น ไม่มานั่งคิดเองเออเองหรอกครับ แต่อาศัยว่ามีครูบาอาจารย์สั่งสอนสืบต่อกันมาแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อรู้คำสอนอันเป็นไปเพื่อความสงบแล้ว ก็ลงมือปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความสงบหรือความหลุดพ้นนั้น ในเมื่อพบกับครูบาอาจารย์ที่สอนถูกทางแล้วปฏิบ้ติตามคำสอนของท่าน แล้วจะไม่พบความสุขสงบได้อย่างไรกัน

    การคิดโดยอาศัยตนเองเป็นใหญ่ และไม่รู้จักแสวงหาผู้รู้เสียบ้าง ก็ทำให้ฟุ้งซ่าน ไม่สงบอยู่ร่ำไป

    ภาษาของมนุษย์เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสารให้พอเข้าใจ แต่ไม่สามารถทำให้เข้าใจ "แจ่มแจ้ง" ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของสภาวะทางจิต ประสบการณ์จากการบำเพ็ญเพียรทางจิต ที่อธิบายเป็นภาษาของพวกมนุษย์ไม่ได้

    แล้วทำอย่างไรล่ะ ถึงจะ "เข้าใจแจ่มแจ้ง" "รู้แจ้งเห็นจริง"
    พระสัมมาสัมพุทธะ ทรงสอนให้ศึกษาหลักธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น แล้วลงมือ "ปฏิบัติ" ไม่ใช่เอาแต่นั่งถกเถียงกัน เพียงเพราะ ความต้องการจะจับผิด หรือ ความไม่เข้าใจ ความหมายของธรรมนั้นแค่นั้น นี่ยังไม่รวมถึงสภาวะจิตอันเป็นทิพย์และสภาวะของพระอริยบุคคล ซึ่งไม่มีทางเข้าใจได้ ตราบใดที่ยังไม่ปฏิบัติให้เข้าถึงได้เอง

    อย่ามัวสงสัยอะไรไร้สาระอย่างนี้เลยครับ
    อยากรู้อะไร ก็ "ปฏิบัติให้มากๆ" เถอะ แล้วจะ "รู้แจ้งเห็นจริง" ได้ด้วยตนเอง

    ธรรมสวัสดี
     
  12. soul2006

    soul2006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,026
    ค่าพลัง:
    +5,169
    กิเลส ถือเป็น ตัวสร้างภพ สร้างชาติไปไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี ตราบใดที่คุณๆ ยังมีกิเลส หรือที่คุณ ขจกท เรียกว่าความอยาก...ในเบื้องต้นคนทุกคนที่เกิดมา ก็เพราะตัวกิเลสทั้งนั้น กิเลสแบ่งได้เป็น 3 ระดับ อย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียด ซึ่งวิธีการตัดกิเลส นั้น พระพุทธเ้จ้าของเราชาวพุทธ ท่านได้ชี้แนวทางไว้ให้หมดแล้ว อยู่ที่ผู้ปฎิบ้ติจะมีความวิริยะ ในการปฎิบัติให้ถึง มรรค ผล นิพพาน หรือการตัดกิเลสได้ช้าเร็ว ขนาดไหน ....แน่นอนที่สุดการที่เราจะกระทำ เพื่อไปให้ถึงซึ่งนิพพานนั้น ต้องย่อมอาศัยกิเลส ซึ่่งอย่างที่คุณวิมุตติบอกว่า มีสองฝ่ายว่า ฝ่ายกุศล และอกุศล ..เริ่มต้นด้วยการละ กิเลสฝ่าย อกุศล และแน่นอนเราต้องยอ่มอาศัยกิเลส ฝ่ายกุศล คือความอยากดี เป็นเบื้องต้น อยากหลุดพ้น เพราะมองเห็นโทษภัยของความทุกข์ ที่สืบเนื่องจากขันธ์ 5 นี้ โดยการตามดูตามรู้ กายและใจไปตามสภาพความเป็นจริง..จนเห็นไตรลักษณ์ คือความไม่เที่ยง ทุกขัง และอนัตตา เห็นการเกิดดับ จนใจคลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน...โดยที่ การเห็นนี้ไม่ใช่เห็นและเข้าใจแค่ปัญญาทางโลกที่เกิดจากความคิด แต่เห็นได้จากการปฎิบัติ เป็นญาณทัสนะ ที่เกิดขึ้นจากการตามดูตามรู้ อย่างมีสติ....เมื่อถึงฝั่งพระนิพพานเมื่อไหร่ แม้แต่กิเลสฝ่ายกุศล ก็จะดับเช่นเดียวกัน ...ขอให้ทุกคนๆ ปฎิบัติให้มาก เจริญสติให้มาก แล้วปัญญาญาณก็จะเกิดขึ้นแก่ทุกๆ คน ..ธรรมะคุ้มครองค่ะ
     
  13. หัตถ์พระเจ้า

    หัตถ์พระเจ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +76
    จากข้อความของคุณ Nanotech999

    "ความสุขของมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับความสุขของเทวดาซึ่งเป็นอีกอย่างหนึ่งก็เทียบกันไม่ได้ เพราะความสุขของมนุษย์ สำหรับเทวดา ท่านเห็นเป็นของหยาบ มีกลิ่นอายเน่าเหม็นไม่น่าเข้าใกล้ "

    คุณมั่นใจมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ คุณรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเองหรือ รึคุณนำคำพูดของผู้อื่นมาชี้แจงขอรับ แต่ถ้าคุณรู้ได้ด้วยตัวเอง คุณคงเป็นผู้ที่คลุกคลีตีโมงกับเหล่าทวยเทพเทวดาเป็นแน่

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้ที่ค้นพบทางสว่าง เป็นผู้นำพาหมู่มวลสรรพสัตว์ให้ค้นพบทางแห่งความสุข ท่านมีพระคุณต่อหมู่ชาวพุทธอย่างหาที่เปรียบประมาณมิได้ ตัวกระผมมิได้ตั้งข้อสงสัย ในพระธรรมคำสั่งสอนของท่านแต่ประการใด อีกทั้งไม่ได้มีเจตนาที่จะจับผิด กรุณาอย่าโยงเข้าด้วยกัน พิจารณาให้ละเอียดนะขอรับ

    เมื่อคนเรานั้นเมื่อไร้ความคิด ยึดติดแต่คำบอกเล่า ก็ไม่ต่างอะไรจากกระบือที่โดนจูงจมูก อย่างเช่นคำที่คุณพูดว่า "ท่านว่า" ท่านไหนว่าครับ ท่านรึคุณกันแน่ขอรับ
     
  14. หัตถ์พระเจ้า

    หัตถ์พระเจ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +76
    การเสพกามจนเบื่อ เสพยาจนเบื่อ เที่ยวโสเภณีจนเบื่อ ปล้นฆ่าข่มขืนจนเบื่อ รึปลดระวางเนื่องจากความชราภาพของสังขาร แบบนี้อย่าไปนิพพานเลยขอรับ ลงอเวจีอย่างเดียว
     
  15. 道教พินอิน

    道教พินอิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +510

    แล้วถ้าผมปวดท้องขึ้นมาอยากไปถ่ายของเสียออกหละ ผมจะไม่บาปหรือครับ

    แล้วถ้าผมเกิดอยากเชื่อคุณข้นมาผมจะไม่บาปหรือครับ

    แล้วถ้าบ้านคุณหลังคารั่ว คุณจะไม่อยากซ่อมบ้างหรือครับ

    คุณจะปล่อยให้หลังคาบ้านคุณเป็นอย่างนั้นหรือครับ

    แล้วทุกวันนี้คุณใส่อะไรอยู่ครับ

    คุณไม่อยากสวมใส่อะไรเลยหรือ แล้วถ้าคุณไม่อยากคุณใส่ทำไม

    แล้วถ้าคุณอยากคุณก็บาปหนะสิครับ

    คุณคนบาป
     
  16. 道教พินอิน

    道教พินอิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +510
    ละครบทนี้เมื่อไหร่จะจบ
     
  17. หัตถ์พระเจ้า

    หัตถ์พระเจ้า Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    95
    ค่าพลัง:
    +76
    เรียนคุณเราไม่ต่างกัน

    จริงๆแล้วเราต่างกันมากนะขอรับ อันนี้กระทู้มันตกไปแล้ว คุณยังจะดันมันขึ้นมาแล้วประชดตามวิถีของคุณ ผมคงไม่อธิบายให้คุณฟังนะขอรับ เพราะเราต่างกัน
     
  18. สุรีย์บุตร

    สุรีย์บุตร https://youtu.be/8qf8khXqUjU

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,561
    ค่าพลัง:
    +2,122
    อยากจะบาปได้อย่างงัย ถ้าไม่ได้ทำไห้ไครเดือดร้อน
    เมื่อไม่มีคนเดือดร้อน แล้วจะมีกรรมได้อย่างไร
     
  19. Nanotech999

    Nanotech999 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +72
    หากคำพูดของผมทำให้ไม่พอใจหรือว่าไม่เหมาะสมที่จะตอบ ก็อย่าถือโกรธเคืองกันเลยครับ หากคิดว่าผมเป็นกระบือที่โดนจูงจมูกก็จงอย่าถือสากระบือผู้อ่อนอายุและอ่อนประสบการณ์เลยครับ คุณหัตถ์พระเจ้าอย่าถือสากระบือน้อยๆ ตัวนี้เลย อย่างน้อยๆ กระบือตัวก็ปรารถนาในพระนิพพานและไม่หยุดยั้งที่จะทำความเพียรเพื่อจะได้รู้แจ้งเห็นจริงในสักวันหนึ่ง

    ขออภัยหากผมมองเจตนาของคุณผิดไปครับ
     
  20. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    จิตดวงใดมีสัมมาสติ จิตดวงนั้นเป็นกุศล เป็นบุญ
    จิตดวงใดขาดสัมมาสติ จิตดวงนั้นเป็นอกุศล เป็นบาป
     

แชร์หน้านี้

Loading...