จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    468.jpg

    นิพพานคืนละ 10 นาที
    คนไหนต้องการจะไปพระนิพพานก็เป็นของไม่ยาก
    สัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่าโลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้
    แม้แต่ร่างกายของเราเอง
    เราก็ไม่ชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน
    แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก
    จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม
    มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว
    ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้
    แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า
    กายของเราเองนี่ มันยังจะตายยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก
    เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน
    เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะ สัมพเกษีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ
    อย่างน้อยก็ไปกามาวจรสวรรค์
    อย่างกลางก็ไปพรหมโลก
    อย่างดีก็ไปพระนิพพาน

    ( หนังสือ : ประวัติหลวงพ่อปาน โสนันโท โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ )
    นิพพานคืนละ 10 นาที
     
  2. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    [​IMG]
     
  3. เกียรติ_K

    เกียรติ_K เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    12
    ค่าพลัง:
    +139
    ธรรมะมีหลายระดับ
    ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมะของคนส่วนใหญ่หรอก แต่สิ่งที่พระองค์สอนนั้นเป็นประโยชน์กับคนส่วนใหญ่ เพราะธรรมะมีหลายระดับ
    ธรรมะสำหรับคนที่รักในตัวในตน พระองค์ก็สอนกว้างขวางมาก เช่น ธรรมะของพ่อแม่กับลูก ของลูกกับพ่อแม่ ของสามีภรรยา ธรรมะระหว่างเพื่อนฝูง ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา จนกระทั่งธรรมะที่จะทำให้รวย มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะภาวนาไปสู่ความพ้นทุกข์
    ถ้าต้องการธรรมะที่จะพ้นไปจากโลก พระองค์ถึงจะสอนธรรมะที่ประณีตสูงขึ้นไป เป็นธรรมะที่ไม่มีตัวตน สำหรับคนที่อยากพ้นทุกข์จริงๆ
    ถ้าเรามีปัญญา เราจะเห็นว่าความสุขในโลกเป็นของชั่วคราว กระทั่งสวรรค์และพรหมโลกก็เป็นของชั่วคราวเพราะสังขาร(สิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัย ทั้งรูปธรรมและนามธรรม) ทุกอย่างไม่เที่ยงเลย ทนอยู่ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตนที่ถาวร เป็นที่พึ่งอาศัยไม่ได้จริง จึงหาทางออกจากโลก โลกก็คือรูปนาม(กายใจ) นั่นแหละ
    ให้เรามาเรียนรู้รูปนามให้แจ่มแจ้งด้วยการเจริญวิปัสสนา โดยมีสติรู้รูปรู้นามที่กำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ด้วยใจที่ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ผู้ดู ดูห่างๆเห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก ใจจะค่อยเป็นกลางขึ้นเรื่อยๆ รู้ว่ารูปนานไม่ใช่ของดีของวิเศษอีกต่อไปแล้ว รูปนามนั่นแหละเป็นตัวทุกข์ มันเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา รู้แล้วจบที่รู้ รู้แล้วเป็นกลางจริงๆ เพราะใจมันเห็นความจริงว่าทุกอย่างเป็นของชั่งคราว ความสุขก็ชั่วคราว ความทุกข์ก็ชั่วคราว กุศลก็ชั่วคราว อกุศลก็ชั่วตราว แล้วเราจะไม่ไปหลงเอาของชั่วคราวมาเป็นที่พึ่งอาศัย
    พอเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเสมอกันหมด มีแต่เกิดแล้วดับเท่าเทียมกันหมด ความสุขเกิดขึ้นอีกก็ไม่ดิ้นรนที่จะให้มันอยู่นานๆ ความสุขที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่ดิ้นรนไปแสวงหามัน ความทุกข์ที่ยังไม่เกิดขึ้นก็ไม่ดิ้นรนต่อต้านไม่ให้เกิด ความทุกข์ที่เกิดแล้วก็ไม่ดิ้นรนหาทางทำลายมัน จิตหมดความดิ้นรน หมดความปรุงแต่ง เพราะเห็นความจริงของตัวขันธ์(กายใจ) ว่าเป็นตัวทุกข์
    เมื่อเรียนรู้รูปนามจนแจ่มแจ้ง จิตก็เป็นกลางกับรูปนาม สามารถถอดถอนความยินดียินร้ายในโลก(รูปนาม)เสียได้ จิตก็หมดตัณหา หมดความอยาก หมดดิ้นรน พ้นการปรุงแต่ง เรียกว่า วิสังขาร หรือวิราคะ ซึ่งเป็นชื่อของพระนิพพาน
    จากพระธรรมเทศนาของ หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
     
  4. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    อ่ะ...เอามาขยายให้ท่าน สว.ทั้งหลาย จะได้อ่านได้ง่ายๆ อิๆๆ...รวมทั้งเราด้วย เหอะๆๆ



    ก็เลือกเอาก็แล้วกันน่ะว่า จะเอาแค่ธรรมมะที่รักในตัวในตน(ยังเป็นธรรมมะระดับต้นหรือชั้นประถม) หรือว่า ธรรมมะที่จะพ้นไปจากโลก(นี้เป็นธรรมมะระดับสูงหรือด๊อกเตอร์) ฉะนั้น ภาษาสมมุติ หรือ ภาษาธรรมที่ใช้ในการสอนก็ต่างกัน โดยความเป็นจริงแล้ว ผู้ที่ปฏิบัติในธรรมชั้นสูงคือจิตละเอียดแล้ว จะเข้าใจผู้ที่จิตยังหยาบอยู่ (ขอย้ำ..จิตหยาบในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความชั่วหรือไม่ดีแต่อย่างใดน่ะ แค่จิตยังเดินไม่ถึงธรรมละเอียด) นั้นก็หมายถึง ผู้ที่จิตละเอียดย่อมอ่านธรรมมะระดับสูง หรือ หยาบได้เข้าใจ แต่ผู้ที่จิตยังหยาบอยู่ย่อมอ่านธรรมมะระดับสูงเข้าใจได้ยากอย่างแน่นอน เพราะจิตยังปฏิบัติไม่ถึง

    ทั้งนี้และทั้งนั้น ธรรมมะของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ให้อ่านแค่รู้จำ แล้วเอามาเถียงโต้แย้งกัน แต่ท่านเอาไว้ให้ปฏิบัติตาม เพื่อให้จิตรู้แจ้งน่ะ สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มิถุนายน 2014
  5. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    "ธ ร ร ม ภ า ย ใ น"



    [​IMG]


    ...ธรรมจริงๆ ก็อยู่ที่ ก า ย ใ จ ของแต่ละบุคคล
    ว่าแต่ว่า..จะตามหากันเจอไหม๊ เจอเมื่อไหร่ เจออย่างไร

    ส่วนธรรมข้างนอก เป็นของผู้อื่น ไม่ต้องลงมือปฎิบัติ หาเอาตามเน็ตก็ได้แล้ว
    หากผู้ปฎิบัติฉลาดสักนิด คือพยายามจับทางการปฎิบัติของตนให้ถูก
    หากจับทางไม่ถูกแล้ว คำว่า หลง เดินอ้อม เดินแวะ จึงมีโอกาสมากทีเดียว

    หากเราจับทางได้แล้ว เราแทบไม่ต้องไปกังวลอะไรมาก
    ไม่ต้องไปทำหลายอย่าง อย่าลืมนะ..จิตคนเราทำได้ทีละอย่าง ในเวลาเดียวกัน
    ยกเว้น จิตพระอรหันต์ ท่านแยกจิตได้ เพราะสมาธิสูงกว่าคนธรรมดาสามัญ
    ปฎิบัติลูกเดียว ปริยัติแทบไม่จำเป็น อย่าไปอ่านเยอะ เดี๋ยวจะไปขัดกันภายในตน


    แต่จะเลือกเอาเฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
    เช่นเรื่องการเจริญสติภาวนา การสร้างสติยังไง โดยเฉพาะ เลยคำว่าสติไปแล้ว
    เช่น เขตสมถะหรือสมาธิหรือฌาน เป็นผู้ปฎิบัติ จำเป็นจะต้องเรียนรู้ก่อนเลย
    เพื่อจะไม่เกิดความสับสน ลังเลหรือสงสัย
    (ดั่งผู้เขียนเกิดหรือประสบมาก่อนแล้ว)
    เพราะตนยังไม่มีปัญญา หรือ ไม่มีครูบาอาจารย์มาสอนสั่งในจิต

    ส่วนธรรมอื่นๆ ไม่ต้องมาเก็บไว้ให้รกสมอง เพราะอีกไม่นานนัก เดียวก็ลืมหมด
    การปฎิบัติธรรม มิใช่ การเรียนรู้เหมือนกับทางโลก
    การเรียนรู้ทางธรรมนั้น จักไม่มัวไปตามหาเหตุผล หรือเหตุ+ผล
    เพราะทางธรรม ไม่มี คำว่า เหตุผล เพราะเหตุผล ไม่มี มีเฉพาะทางโลก เท่านั้น
    อย่าไปค้นหาความจริงกับทางโลก อาจพบแต่..ธรรมสมมุติ หรือ ธรรมบัญญัติ


    เพราะฉะนั้น คนรุ่นใหม่ อย่าพยายามเรียนรู้ธรรม นอกจิตของตน
    เพราะจะได้แค่ปัญญาทางโลก เท่านั้น
    คำว่า ปัญญาทางโลก จึงเปรียบได้แค่สัญญาในทางธรรม เท่านั้น
    เพราะการเรียนรู้ทางโลก เขาเอาสมองไปเรียนรู้สิ่งต่างๆ ยิ่งเพิ่มพูนกิเลสเข้าไปใหญ่
    กิเลสเต็มหัวจิต หัวใจ รู้มาก หาทางออกจากทุกข์กันได้รึป่าว
    คนที่จบด๊อกเตอร์ ก็ยังไปหาหลวงพ่อชา หลวงพ่อฤาษีฯ เพื่อบอกทางออกจากทุกข์ให้ เป็นต้น

    แต่การเรียนรู้ทางธรรมนั้น แค่เอาจิตเข้าไปเรียนรู้กัน
    แต่เราต้องเข้าไปให้ถึงจิตตนเองก่อนนะ ตามหาจิตตนให้พบเจอก่อนนะ
    ตามหาจิตตนเอง ง่ายๆ โดยการเจริญสติมากๆ
    หากเรามีสติมากๆกันแล้ว ก็พอจะเห็นจิตของตนเอง
    คนที่มองไม่เห็นจิตตนเอง แสดงว่า เป็นคนจิตไม่นิ่ง เพราะไม่เคยฝึกจิต
    เราจะฝึกจิตโดยตรงไม่ได้ ฝึกสติก็เพื่อฝึกจิตกันนี่เอง


    หากคนส่วนใหญ่ รู้จักจิตตนเองดีพอ หรือ หาจิตตนเองพบแล้ว
    ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงหาทุกข์ตนเองเจอได้ง่ายๆ หรือ เอาความทุกข์ออกจากอกกันง่ายดายกันสิ
    ไม่อย่างนั้น พระก็ไม่มีความหมาย ไม่ต้องไปหาพระกันแล้ว
    อยู่ดีๆเราจะเห็นจิตตนเองได้ไง หากไม่ทำภาวนา หรือลงมือปฎิบัติธรรม

    บุญก็เช่นเดียวกัน บุญส่วนบุญ..ไม่เกี่ยวกับคำว่า หลุดพ้น
    หมายถึงบุญภายนอก คือบุญชั้นทาน
    อยากหลุดพ้น ก็ให้ทำภาวนา หรือ เจริญตามอริยมรรค
    หรือ ต้องลงมือปฎิบัติธรรมด้วยตนเอง
    หาทางพิสูจน์พระธรรมคำสอนฯด้วยสติปัญญาของตนเอง


    แต่บุญภายนอก หรือบุญชั้นทานนั้น จะเป็นเสมือนบันไดบุญ
    ที่จะต้องก้าวขึ้นไปให้ถึงคำว่า ธรรมปฎิบัติ
    เพราะคนส่วนใหญ่เข้าถึงเฉพาะ..อามิสบูชา

    หากผู้ใด พบจิตพบธรรมของตนแล้ว สิ่งภายนอกก็ไร้ความหมาย
    เพราะภายในนี้ มีสิ่งที่น่าติดตามมากกว่าภายนอกจิตเยอะแยะเลย
    คำว่า ทุกข์ไม่มี คำว่า เหงาไม่ปรากฎ เพราะอยู่เฉพาะธรรมปัจจุบันฯ

    ขอให้ผู้เจริญทั้งหลาย เข้าไปให้ถึงกระแสจิตของตน ส่วนกระแสสธรรม เดี๋ยวก็พบเอง
    ขอให้ทุกท่าน เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุ​

    จาก...ภู-ทยานฌาน​



    ((คัดมาจากโพสท์ในเฟซบุคของ "ภูทยานฌาน"))​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มิถุนายน 2014
  6. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937

    [​IMG]

    เสนอข่าวนี้ เพื่อ...

    มิได้ เพื่ออะไร
    แค่ชี้ให้เห็นชัดๆ ว่า ..
    อย่าไปเรียนปริยัติมาก หากจะเอาดีในทางมรรคผลนิพพาน
    แต่ให้ปฎิบัติ มากๆ แต่ควรศึกษาเท่าที่จำเป็น เคยพร่ำก่อนหน้านี้ไปแล้ว
    แต่จะไม่ขอนำภาพพระรูปนี้ ลงทางเฟซฯ

    ส่วนเรื่องที่พระฉาวเป็นข่าว จะขอก้าวข้ามไป กรรมใครกรรมมัน
    เราไม่มีหน้าที่ แต่จะเป็นหน้าที่ของ "กฎแห่งกรรม" โดยตรง
    ไม่ขอวิจารณ์ต่อฯ หยุดแค่นี้..อย่าให้ตัวสังขารขันธ์ของตนเกิด
    หากเกิดแล้ว ก็จะคิด+ปรุงแต่งไปกันใหญ่โต
    บางบอกว่า..บวชเสียผ้าเหลือง
    บางคนบอกว่า..ศาสนาเสื่อมเพราะพระมีพฤติกรรมแบบนี้ เป็นต้น
    ศาสนาพุทธ ไม่มีวันเสื่อมหรอก เห็นมีแต่เฉพาะ จิตคนที่เสื่อม
    หากไม่มาภาวนากัน จะหาดีไม่ได้เลย รวมถึงตัวข้าพเจ้าด้วย
    เห็นมีแต่เฉพาะ กรรมฐานเท่านั้น ที่สามารถเปลี่ยนจิตใจของคนเราให้ไปในทิศทางที่ดีได้
    นอกนั้น ไม่มี ขนาดจิตเราอยู่ที่เรา แท้ๆ เราก็ไม่สามารถเอาชนะจิตตนเองได้
    หรือ เรายังไม่เข้าใจตนเองเลย นับประสาอะไร จะไปเข้าใจ ผู้อื่น


    ดูกาย ดูจิตของตนกันนี่แหล่ะ ก็คือธรรมภายในของตนเอง
    ปริยัติธรรม ก็มาจากธรรมสองตัวนี่แหล่ะ..คือ กายกับจิต
    ศาสนาพุทธ ก็เกิดจากพระพุทธเจ้าปฎิบัติกันนี่แหล่ะ...
    เมื่อพระพุทธองค์ทรงตรัสรู้แล้ว คำว่า ปฎิเวธ จึงตามมา
    และปฎิเวธของพระพุทธองค์ คือผล ก็มาจากผลของการปฎิบัติของพระพุทธองค์กันนี่แหล่ะ
    พอได้ปฎิบัติบรรลุธรรม ตรัสรู้ธรรมแล้ว ผล(ปฎิเวธ) ก็จักตามมา
    พอปฎิเวธได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อมา จึงมีคำว่า ปริยัติกันขึ้นมาในภายหลัง
    ก็มีที่มาที่ไปดังนี้ ปริยัติมีไว้เพื่อการศึกษา เฉยๆ แต่มิได้ไปหมายถึง บรรลุธรรมหรืออรหันต์นะ
    ไม่เกี่ยวกันเลย เหมือนคนทำบุญในชั้นทาน เป็นต้น คือบุญส่วนบุญนะ แยกให้ออก
    หากคิดจะไปนิพพาน คำว่า บุญ ก็ต้องทิ้งหมด ส่วนบาปหรืออกุศล คงไม่ต้องกล่าวถึง
    สำหรับคนที่กำลังใจไม่มากพอ ทำบุญไปก็เพื่อบันไดบุญของตนเท่านั้นเอง

    ปล. หากจิตธรรมกลายเป็นธรรมตัวเดียวแล้ว เข้าใจธรรมย่อมจะเข้าใจกรรมของผู้อื่นด้วย
    เพราะคำว่า ธรรมกับกรรม ก็คือตัวเดียวกัน
    ต่อไปฯ จึงไม่ว่าใครเป็น นอกจาก ศิษย์ ที่ครูจำเป็นต้องทำหน้าที่ (จบ)
    หากเป็นผู้ปฎิบัติธรรมด้วยกันแล้ว ย่อมไม่สนใจจริยาด้วยกัน แน่ๆ
    ธรรมาทานนี้ ขอเป็นอุทาหรณ์สอนใจญาติโยม หรือคนทั่วๆไป
    หากเราหลงไปยึดพระ ที่ไม่ปฎิบัติ เอาแต่ปริยัติก็แย่เลย
    หากท่านเก่งปริยัติ+ปฎิบัติแล้วก็เท่ากับเสมอตัวหรือรอดไป..
    บอกแล้ว หากไม่เจ๋ง จริงๆ อย่าไปลงเล่นกับไฟ โดยเฉพาะ ไฟจากกามราคะ
    เพราะไม่รู้ว่า วันใดมันจะเผา..เรา
    นี่แทนที่จะบวชได้บุญใหญ่ แต่กลับติดหนีสงฆ์ไปสิ้นฯ..สาธุ


    ภู-ทยานฌาน



    ((คัดมาจากโพสท์ในเฟซบุคของ "ภูทยานฌาน"))
     
  7. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    ariyasuj4.gif

    อริยสัจ 4 โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    1) สำหรับการที่เราเจริญพระกรรมฐานก็ต้องใคร่ครวญอยู่เสมอว่า เราเจริญพระกรรมฐานเพื่อต้องการความรู้เป็นเครื่องพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพราะความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บ ความตายเป็นทุกข์ ถ้าเรายังต้องเกิดแก่เจ็บตายอยู่อย่างนี้ เราก็มีแต่ความทุกข์ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ การเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เราทำเพื่อสิ้นความเกิด เพราะเราไม่ต้องการความทุกข์ต่อไป จงพิจารณาหาทุกข์ให้พบในอริยสัจ
    2) ให้พิจารณาเห็นว่า ทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำไม่ว่างเว้นนี้ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัย ตัณหา ความทะยานอยาก 3 ประการ คือ อยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี อยากเป็นในสิ่งที่ไม่เคยเป็น อยากปฏิเสธในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้น ไม่อยากให้สลายตัว เจ้าความอยากทั้ง 3 นี้แหละ เป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมา ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ก็เพราะเข้าถึงจุดความดับ คือ นิโรธ เสียได้
    จุดดับนั้นท่านวางมาตราฐานไว้ 3 ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านเรียกว่า มรรค 8 ย่อมรรค 8ลงเหลือ 3 คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ เพราะ อาศัยศีลบริบูรณ์ สมาธิเป็นฌาน ปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง หมดความเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และดับอารมณ์พอใจ ไม่พอใจเสียได้ ตัดอารมณ์พอใจในโลกีย์วิสัยได้ ตัดความกำหนัดยินดีเสียได้ ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าเห็นในอริยสัจ 4 ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ให้คล่อง จนจิตครอบงำ ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิต เสียได้ ชื่อว่าท่านได้ วิปัสสนาญาณ 9 และอริยสัจ 4 แต่อย่าเพิ่งพอ หรือคิดว่าดีแล้ว ต้องฝึกฝนพิจารณาเรื่อยไป จนตัดสังโยชน์ ทั้ง 10 ประการได้แล้ว นั่นแหละ ชื่อว่าเอาตัวรอดได้แล้ว (มีรายละเอียดตามเวปด้านล่าง)
    คำสอนของพ่อ: อริยสัจ 4 โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     
  8. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  9. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    พิสูจน์ด้วยปฏิบัติ..อย่านึก

    วิชาของพระพุทธเจ้าอย่ารับฟังแล้วคิดเฉยๆ นะ ถ้ารับฟังแล้วคิดเฉยๆ นี่ไม่มีผล
    และหนักเข้าเราเองจะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราต้องดูหลักสูตรหลักเกณฑ์ที่พระองค์ทรงวางไว้ว่า
    ให้ปฏิบัติอย่างไรบ้าง ต้องพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติ ไม่ใช่พิสูจน์ด้วยการคำนึงคิด
    นั่งนึกนึกแต่อารมณ์ ไอ้คนกินเหล้านี่ พอเขาบอกน้ำหวานมันไม่เคยกินน้ำหวาน
    มันนึกว่าน้ำหวานรสเหมือนเหล้าใช่ไหม ไอ้คนกินแต่น้ำหวานไม่รู้จักเหล้า นี่มีสภาพฉันใด
    ถ้าจิตใจเรายังเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน แล้วจะเกิดผลอย่างไรก็ตาม
    ถ้าเราใช้อารมณ์ธรรมดาเข้าไปวินิจฉัยคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่มีทางเข้าใจได้


    หนังสือคำสอน "ทางสายเอก" โดย..หลวงพ่อพระราชพรหมยา
     
  10. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    2010_05_23_223431_q7ol51f8.jpg
    หลวงพ่อดาบส สุมโน (อาศรมไผ่มรกต เชียงราย)กล่าวถึงหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ดังนี้
    พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี
    จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน
    ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียว
    ก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้
    จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว
    avatar57305_1.jpg
    ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโรมหาเถระ)
    วัดสามพระยา ปรารภกับหลวงพี่ ท่านพระครูปลัดอนันต์ พัทธญาโณ เจ้าอาวาส วัดท่าซุง
    ว่า " คำสอนของท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ใช้เป็นตำราได้ทั้งหมดนะ "

    normal1.jpg
    พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์ (หลวงปู่สิม พุทธาจาโร มหาเถระ)
    บอกว่า "หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ท่านเป็นโลกวิทู แจ้งทั้งโลก แจ้งทั้งธรรม"

    20090920115653_36.jpg

    หลวงปู่บุดดา ถาวโร ยังปรารภถึงหลวงพ่อว่า " หลวงปู่น่ะเหมือนหิ่งห้อย
    หลวงพ่อมหาวีระ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) นั้นเหมือนพระอาทิตย์"

    www-12.jpg

    ครูบาคำแสนเล็ก ท่านบอกว่า “หลวงปู่ บวชมา 60 กว่าพรรษาเข้านี่แล้วยังไม่เคยพบ
    พระองค์ไหนเหมือนหลวงพ่อ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) ”
    แสดงกระทู้ - พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) • ลานธรรมจักร
     
  11. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    จิตสังขาร

    เป็นทุกข์เพราะ ความคิด หรือ จิ ต สั ง ข า ร หรือ อารมณ์จิตตนเอง ทำร้ายจิตตนเอง ...
    ไม่มีใครมาทำร้ายเราเลยนะ เราอยู่คนเดียว แต่ทำไมเราจึงปล่อยความคิด
    ความรู้สึกของเรา ให้ทำร้ายจิตเรา ได้ขนาดนี้ แค่นั้นยังไม่พอ
    ยังไหลล้นออกไปเป็นการกระทำ เป็นรูปธรรมกระทบจิตผู้อื่นได้อีก ...
    อะไรหรือที่ทำให้เป็นได้ขนาดนั้นหากไม่ใช่ ผู้นั้น ปล่อย สติ หรือ สติอ่อน หรือ
    ไม่สำรวมจิต

    "อยู่คนเดียว ให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา"...

    คำกล่าวนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย คงเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน และเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเองพึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง ...
    Keyword ที่สำคัญสำหรับประโยคดังกล่าว ก็คือ ส ติ ...
    หากผู้นั้น ปล่อยสติ หรือไม่สำรวมจิต ไม่ระมัดระวัง ความคิดตนเองแล้วไซร้...
    ปล่อยให้ความคิดนั้น ไหลล้นออกมาทางวาจา ก็อาจสร้างความทุกข์ให้แก่ตนเองและ ผู้อื่นได้
    การสร้างอกุศลกรรมต่อกัน จึงเกิดขึ้นได้ง่ายอย่างนี้แล...
    ลำพังกรรมเก่าก็ยังใช้กันไม่หมด นี่กรรมใหม่ก็มาสร้างกันเพิ่มอีกแล้ว
    พระท่านถึงได้เตือนด้วยคำกล่าวข้างบนนี้ไง แต่คำเตือนนี้ จะไม่มีผลต่อผู้ปฏิบัติธรรมที่มี
    การสำรวมจิต เป็นนิจ.

    สำรวมจิต ... คำเดียว ครอบคลุมได้หมดทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา เพราะอะไร ...ก็เพราะ
    ๐ หากจิตเราตั้งมั่น อยู่ในอาการสำรวมแล้ว คำว่า จะปล่อยให้กายไปทำอะไร ผิดศีล 5 หรือ
    กรรมบท10 ก็ไม่เกิด
    ๐ หากเรามีการสำรวมจิตเป็นนิจ การที่จะปล่อยจิต คิดวุ่นวาย ไปในทางอกุศล ก็ไม่เกิด
    สมาธิ ก็จะตั้งมั่นดำเนินไปได้อย่างดี วิปัสสนาหรือการพิจารณาธรรมก็จะแจ่มใส
    มีปัญญาเกิดขึ้นมาจิตมองเห็นความจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน ...

    โดยเฉพาะ เรื่อง จิตสังขาร หรือ เจตสิก หรือ อารมณ์จิต ที่เกิดขึ้นมานั้น
    เป็นตัวสำคัญที่สร้างความทุกข์ให้คนเรามากที่สุด ...เพราะอะไรหรือ?
    ก็เพราะ มีสติรู้ไม่เท่าทันการทำงานของมัน เจตสิก หรืออารมณ์จิต ซึ่งไม่ใช่ จิต ไม่มีในจิต
    แต่จิตไปไหลตามอารมณ์นั้นๆแล้ว แล้วก็ยึดเอาอารมณ์นั้นมาเป็นเราเป็นของเรา(จิต)ทันที ...
    ไม่มีสติ หรือ สติตามรู้ไม่ทันการทำงานของ นามขันธ์ ตัวนี้ จึงไม่แปลก ที่จะรู้สึกทุกข์ใจ ตามมา
    แต่ถ้าผู้ปฏฺิบัตินั้น มีสมาธิจิต ที่นิ่งมากพอ และไม่เข้าไปยุ่งกับมัน
    ไม่ไปปรุงแต่งธรรม นิ่งดูสภาวธรรมปัจจุบันนั้น ดูมันเกิด ดูมันดับไป ...ก็แค่นั้น ไม่มีอะไร
    เราห้ามไม่ให้มันเกิดก็ไม่ได้ เราบังคับไม่ได้ เราฝืนมันก็ไม่ได้
    สิ่งที่เราทำได้เพียงอย่างเดียว คือ ปล่อย ...
    ปล่อยให้มันเกิด ปล่อยให้มันดับ ของมันไปเราไม่เข้าไปยุ่งกับมันก็หมดเรื่อง ...
    เราก็ไม่ทุกข์เพราะอารมณ์จิต ทุกข์มันก็เกิดขึ้นไม่ได้
    นี่ไง การอยู่เหนืออารมณ์...

    จิตเมื่อมีสติดำเนินอยู่ต่อเนื่องตลอดสาย จะมองเห็นการทำงานของ จิตสังขาร ตัวนี้ เด่นชัด...
    จิตเกิดการยอมรับความจริงนั้น ว่าเป็น ธรรมดา การยอมรับกฏของธรรมดา ก็เกิดขึ้น
    นั่นคือ ยอมรับกฏของกรรม ...นั่นเอง ...

    เมื่อจิตรู้อย่างนี้ ...การที่จะไปสร้างกรรมต่อ เป็นไม่มีอีกต่อไป
    ไม่ต้องพูดถึง กายกรรม หรือ วจีกรรม ...แม้เพียงแค่ มโนกรรม ก็จะไม่เกิด ...
    แล้วความทุกข์จาก จิตสังขาร จะมาจากไหนล่ะ? ..จริงมั้ย?

    จงหยุดกรรม ไว้ที่เราเถิด ...อย่าได้สร้างกรรมต่อกันเลย ...

    โมทนาสาธุ


    ณัฐชยาวดี
     
  12. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]

    พระธรรมคำสอน...
    สมเด็จองค์ปฐมทรงตรัสสอน...


    ๐ การอาศัยความกระทบกระทั่งของอารมณ์ เป็นเครื่องวัดกำลังใจที่จักตัดกิเลส
    นั่นแหละเป็นของจริง ได้ก็รู้ ตกก็รู้ ...

    ๐ ใช้อริยสัจเป็นหลักสำคัญในการแก้ปัญหา อะไรที่เข้ามาในชีวิตก็จักต้องทนได้
    เพราะต้องการที่จักไปพระนิพพาน ต้องทนได้กับทุก ๆ สภาวะ

    ๐ ให้ตรวจบารมี ๑๐ เข้าไว้ ขาดตัวใดตัวหนึ่งก็ต้องทำตัวนั้นให้เต็ม
    อย่าให้พร่องแม้แต่หนึ่งนาที แล้วการเจริญพระกรรมฐานก็จักคล่องตัวเอง

    ๐ ทำกำลังใจให้สงบ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจักดีขึ้นเอง อย่าหวั่นไหวในการกระทบ
    สิ่งใดรู้ว่าแพ้ก็ให้แพ้ไป ตั้งกำลังใจกันใหม่ แผ่เมตตาให้มาก ๆ
    การปฏิบัติอย่าเครียด คือเอาจริงเอาจังเกินไป อารมณ์ต้องเบา ๆ สบาย ๆ

    ๐ จงอย่าสนใจกรรมหรือการกระทำของผู้อื่น ให้ดูแต่กรรมของตนเองเป็นที่ตั้ง
    ดูกาย-วาจา-ใจของตนเอง เพียรให้อยู่ในศีล-สมาธิ-ปัญญา เท่านั้น
    อารมณ์เผลอย่อมมีบ้างเป็นธรรมดา ได้สติก็ตั้งต้นดึงเข้ามาใหม่.

    รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
    ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น


    สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย

    ขอยกพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมากล่าวก่อน

    ลูกขอน้อมจิตก้มกราบพระธรรมคำสอน ของสมเด็จพ่อฯ ด้วยเศียรเกล้า
    กราบ กราบ กราบ...

    เห็นมั้ย?... เห็นหรือยัง ว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยทิ้งเรา พระองค์ท่านทรงมองพวกเราอยู่
    ว่าเมื่อไหร่พวกเราจะเอาดี เอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติ ท่านทรงให้ตรัสสอนให้พวกเรา รู้ว่า ...
    ทางเดินเพื่อความหลุดพ้น ที่จะไปนิพพาน นั้นต้องผ่านอุปสรรค ขวากหนาม หนักหนา
    เช่นใดบ้าง ...ต้องทนได้กับทุกสภาวะ ...เพื่อสะสมบารมีให้เต็มนั่นเอง...

    พวกเราประกาศตน ขอเดินตามพระองค์ท่าน เป็นผู้รู้ตามพระองค์ท่าน หรือ เป็น อนุพุทธะ
    แล้วดังนั้น ...พวกเราต้องรู้สิว่า พระองค์ผ่านความยากลำบากมาขนาดไหน
    ใช้เวลานานนับหลายๆอสงไขย นับตั้งแต่ปรารถนาพระโพธิญาน เป็นต้นมา
    พระองค์ต้องทนสู้ฝ่าฟันกว่าจะบำเพ็ญเพียรสร้างบารมี มาแต่ละชาติ บางชาติ สร้างเพียงแค่
    บารมีเดียว ให้เต็ม เหมือนดังที่พวกเราเคยศึกษากันมาในเรื่อง พระเวชสันดรชาดก
    บารมีทั้ง 30 ทัศ ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรมา มิใช่ได้มาแบบง่ายๆ ...
    ยกตัวอย่างเช่น ทานบารมี ชาตินั้นชาติเดียวพระองค์ท่านสร้างบารมีด้วยการเสียสละให้ทาน
    พระองค์ทรงให้ลูก ให้เมีย เป็นทาน..


    บารมีเหล่านี้ มีเข้ามาให้พระองค์ท่านได้ ทดสอบจิตใจให้แข็งแกร่ง ...สละได้แม้กระทั่งบุคคลอันเป็นที่รัก ...
    หรือบางชาติสละชีวิตของพระองค์ ให้เป็นทานแก่สัตว์ ก็ยังมี ....
    แล้วพระองค์ท่านทำเพื่อใครเหรอ?.....ถ้าไม่ใช่ เพื่อพวกเรา เพื่อเหล่าเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
    ที่เวียนว่าย ตาย เกิด กัน ไม่รู้จบรู้สิ้น หาทางออกจากวัฏฏะ นี้ ไม่ได้ ...
    พระองค์ทรงมองไปยังผู้อื่น เสมอ
    มิได้เคยทำสิ่งใดเพื่อพระองค์เองเลย ทรงหา
    ทุกวิถีทาง ที่จะตรัสรู้ เพื่อให้ได้ความรู้ที่จะทำให้หลุดพ้นออกจาก วัฏฏะสงสารนี
    ทรงมี ปณิธาน อันแน่วแน่ ที่จะรื้อยกขน สรรพสัตว์ ทั้งหลาย ให้ข้ามพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

    ความเมตตาอันหาประมาณมิได้นี้ ยิ่งใหญ่สุดพรรณา
    หาสิ่งใดในโลกนี้ มาเปรียบเทียบ พระคุณของพระพุทธเจ้า มิได้ และมิได้มีเพียงแค่นี้
    แต่หากจะเปรียบก็ ...ประดุจหนึ่ง ยิ่งกว่า มีดวงอาทิตย์ เป็นพันๆดวง อุบัติขึ้นในโลก
    ที่มีแต่ความมืดมน ...จู่ๆ ก็มีแสงสว่างปรากฏขึ้น ชุบชีวิตของ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย
    ให้ฟื้นคืนชีพ ได้ฉันท์ใด ก็ฉันท์นั้น...
    พระคุณอันหาประมาณมิได้นี้ หากจิตของผู้ใดสามารถระลึกนึกถึง เข้าถึงคุณงามความดีของพระองค์ท่าน
    ได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจแล้วนั้น บุคคลผู้นั้นไม่มีทางตกต่ำทั้งในชาตินี้และหลังความตาย

    เพราะ บุคคลผู้นั้นมี พุ ท ธ า นุ ส ส ติ เป็นกรรมฐาน ...

    มีผู้ที่นับถือ ศาสนาพุทธ อยู่มาก แต่จะมีสักกี่คน ที่สามารถ "กราบพระแล้วถึงพระ " ...
    จะมีสักกี่คน? ... กล้าท้าเลย !!! ..
    กราบแบบน้อมจิตน้อมใจ หมดจิต หมดใจ เข้าหาพระองค์ท่าน เข้าหาความดีของพระองค์ท่าน ...
    มิใช่ ได้แต่ก้มกราบ ก้นกระดก กระดก มองไปที่ รูป หรือ รูปปั้น สัญญลักษณ์ เพียงเท่านั้น ...
    ความเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่แค่นั้น หากแต่ อยู่ที่ความดีของพระองค์ ...
    เรากราบนี่ เราควรน้อมจิตเราเข้าให้ถึง ความดีของพระองค์ท่าน ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ
    มิใช่ สักแต่เพียงว่ากราบส่งๆไปเท่านั้น


    หากเราน้อมยอมรับ ท่านเป็นพ่อ เป็นครู แล้วล่ะก้อ ...สิ่งใดที่ท่าน
    บอกให้เราปฏิบัติ เราต้องทำ สิ่งใดที่ท่านบอกให้ งดเว้น ...เราต้อง งด ...
    เป็นลูกที่ดี ของพ่อแม่ ตอบแทนพระคุณท่านด้วยการเป็นลูกที่ดี
    เราขอยกท่านเป็น สรณะที่พึ่งสูงสุด ...
    เราทำตามท่านบอกเราเห็นตรงแล้วจริงทุกประการ จากการปฏิบัติเอง มิใช่ ให้เชื่ออย่างงมงาย

    ปฏิบัติให้เห็นจริงก่อน แล้วจึงเชื่อ เชื่อแล้วอย่างไม่มีลังเล สงสัยในพระธรรมคำสอนของพระองค์
    และเชื่อมั่นในผลการปฏิบัติของตนเองด้วย อย่างนี้ จึงจะเรียกว่า ไม่มีวิจิกิจฉา ...

    เมื่อถึงนาทีนั้น จิตเราจะรู้ซึ้งถึงคุณค่า ของพระธรรม ว่ามีค่าสูงสุดมากขนาดไหน สมควรเทอดทูนไว้เหนือเศียรเกล้า ...
    สิ่งใดที่เป็นตัวแทนพระธรรม หนังสือธรรมะ เทป ซีดี เราเห็นคุณค่า ปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างสมควร

    ไม่ยอมทิ้งๆขว้างๆ อย่างเด็ดขาด

    เห็นพระธรรมแล้ว เหมือนเราเห็น พระพุทธเจ้า เลยที่เดียว ...แล้วก็ตระหนักชัด ประจักษ์แจ้งแก่

    จิตเราขึ้นมาอีกว่า ...เป็นเพราะเราได้ดูตัวอย่างและปฏิบัติตาม พระอริยสงฆ์ ผู้ประกาศตนเป็น สาวก
    ของพระพุทธเจ้าเป็นแบบอย่าง ...

    ท่านทั้งหลาย ล้วนทำตาม เดินตาม พระพุทธเจ้า ปฏิบัติด้วยความยากลำบาก
    ตามแบบพระพุทธเจ้า แทบทั้งสิ้น กว่าที่แต่ละองค์ท่านจะสำเร็จ เป็นพระอรหันต์ นั้น
    ท่านทั้งหลาย สะสมบารมีมาแบบเดียวกับพระพุทธเจ้า แต่ไม่ได้มากเท่ากับพระพุทธเจ้า เท่านั้นเอง
    พระอริยสงฆ์สาวก บำเพ็ญเพียรเพียง 1 อสงไขย กับ แสนกัป เท่านั้น ยกเว้น หลวงพ่อของเรา ...
    หลวงพ่อฤาษีฯ ที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน บำเพ็ญเพียรมาแบบ วิริยาธิกะ ถึง 16 อสงไขย กับ กำไรแสนกัป ...นี่คือตัวอย่าง ให้เราเห็น ...แล้วเราล่ะ? ...
    กำลังเดินตามพระองค์ท่าน เดินตามทางที่หลวงพ่อ ปูทาง ให้เราเดิน ด้วยคำสอนที่ท่านรวบรวมไว้ในชาตินี้
    ไว้ให้พวกเรารุ่นหลังๆ ได้อ่าน ได้ฟัง ได้เห็นภาพท่านไว้ได้อย่างครบถ้วน บริบูรณ์ ...
    ความรู้ที่หลวงพ่อ ท่านได้มา มิใช่ได้มาง่ายๆนะ ..ลูกหลานเอ๊ย !!!

    ท่านต้องแลกมาด้วย ชีวิต ธรรมแต่ละธรรม... ที่ท่านมาสอนพวกเรา ...
    ท่านกลั่นออกมา ด้วยเลือดเชียวนะ ๓๖๕ วัน ไม่มีวันไหนเลยที่ท่านไม่ป่วย
    ท่านสู้กับ เวทนาทางกาย ตายแล้วฟื้น ตายฟื้นก็ตั้งหลายครั้ง ..
    สุดท้าย พ่อก็มิอาจฝืน สังขารร่างกาย ต้านทานไว้รอพวกเราได้ ...
    เพราะ ความเป็น อนัตตา มันปรากฏ พ่อก็ได้ไปเสวย วิมุตติสุข อยู่บนนิพพาน ...


    ยัง พ่อ ยังไม่หยุด อยู่แค่นั้น ... ยิ่งเป็นดวงจิตที่บริสุทธิ์ เป็นพระวิสุทธิเทพ แล้ว พ่อยังห่วงใยลูกหลานเสมอ
    เห็นใครปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พ่อก็จะไปให้กำลังใจเสมอ พ่อไปได้ทุกที่ ทุกอณูอากาศ ขอเพียงแค่ ลูกหลาน คิดถึงพ่อ ...
    ทำจิตให้ว่างจากกิเลส เพียงชั่วขณะจิตนึง ...พ่อก็จะมาหา ส่งคลื่นมา สื่อสอนธรรมในจิต ...
    ใครพอมีกำลังใจเข้มแข็งมากหน่อย พ่อ ก็บอกว่า "อย่าทิ้งน้องนะลูก อย่าทิ้งคนข้างหลัง พากัน จูงกัน ดึงกันมา "...
    พ่อเตรียม แผนสอง ไว้รองรับลูกๆทุกคน ที่เอาดี ปรารถนานิพพาน แต่ยังกำลังใจ ไม่ถึง...
    แบบจะตีตั๋ว สองต่อ ไปนิพพาน พ่อก็เตรียม ไว้แล้ว ปูทางไว้หมดแล้ว
    พวกเราไม่รู้หรอกว่าพ่อน่ะ ห่วงพวกเราขนาดไหน? แล้วพวกเราล่ะ
    ปฏิบัติแบบ เช้าชามเย็นชาม ...แต่หวัง นิพพาน ...งั้นเหรอ?
    ลงทุนน้อย หวังสูง ประมาณนั้น ...

    เอาล่ะ ว่าจะพูดนิดเดียวเรื่อง คุณของพระรัตนตรัย กลายเป็นพร่ำธรรม ซะเยอะแยะ ...
    พระคุณของพระรัตนตรัย หากจะพูดกันพรรณากัน วันนี้ ก็คงไม่หมด ...
    หากมีโอกาส สนทนาธรรมกันสดๆในการประชุมครั้งต่อไป ...
    ไว้จะพูดให้พวกเราฟังกันอีก ...


    ช่วงนี้ น้องจิตบุญ จิตเกาะพระ รุ่นใหม่ ...จะเข้าถึง อารมณ์พระรัตนตรัย กันได้มากขึ้น
    พูดถึงคุณของพระรัตนตรัย กันทีไร เป็นอันต้อง หาผ้าเช็ดหน้ามาซับ น้ำตากันป้อยๆ ...
    เนี่ยมันต้องอย่างนี้ การจะเข้าถึงผลของการปฏิบัตินั้น ต้องเข้าถึงคุณของพระรัตนตรัยกันก่อน ...
    จิตบุญรุ่นหลังๆนี้ จะเป็นรุ่นเสริมใยเหล็กกันทั้งนั้น ... กันกระแทกกันกระเทือน
    จบออกไปดูแลจิต กันเองได้สบาย พัฒนาจิตกันต่อไป...ต่อสู้กับบททดสอบที่เข้ามาในชีวิต
    ต่อสู้ กับ กฏของกรรม ฝ่าฟันกันไปได้ ก็ด้วย อาศัย พระบารมีของ พระรัตนตรัย เป็นสรณะที่พึ่งกันทุกคน ...
    เพราะลำพังจะอาศัยกำลังใจเราเอง คงไม่พอ ...เดี๋ยวให้น้องรุ่นใหม่ๆ เข้ามาเสริมเติมธรรม เรื่องนี้ กันต่อไป ...

    โมทนาสาธุธรรม

    ณัฐชยาวดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2014
  13. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    images.jpg

    พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนให้ดูตัวเรื่อง คือดูใจตัวเองผู้พาให้เกิดตาย ถ้ายังไม่เข้าใจก็ต้องบอกวิธีการในแง่ต่างๆ จนเป็นที่เข้าใจและปฏิบัติได้ถูกต้อง เฉพาะอย่างยิ่งการสอนให้ภาวนา โดยนำธรรมบทใดก็ตามมาบริกรรมภาวนา เพื่อให้จิตดวงที่หาหลักยึดยังไม่ได้ กำลังวุ่นวายหาที่พึ่งยังไม่เจอ จนกลายเป็นความหลงใหลใฝ่ฝันไม่มีประมาณ ได้ยึดเป็นหลักพอตั้งตัวได้ และมีความสงบเย็นใจไม่วอกแวกคลอนแคลน อันเป็นการทำลายความสงบสุขทางใจที่เราต้องการ เช่น ท่านสอนให้ภาวนา “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” หรือ “อัฏฐิ เกสา โลมา” บทใดบทหนึ่งตามแต่จริตชอบ โดยความมีสติควบคุมในคำบริกรรมภาวนาของตน อย่าให้เผลอส่งใจไปที่อื่นจากคำบริกรรมภาวนา เพื่อให้จิตที่เคยส่งไปในที่ต่างๆ นั้น ได้เกาะหรืออาศัยอยู่กับอารมณ์แห่งธรรม คือคำบริกรรมภาวนานั้นๆ ความรู้ที่เคยฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ ก็จะรวมตัวเข้ามาอยู่ในจุดนั้น คือจิตซึ่งเป็นที่รวมแห่งความรู้ กระแสแห่งความรู้ทั้งหมดจะรวมตัวเข้ามาสู่อารมณ์แห่งธรรม ที่บริกรรมหรือภาวนาอยู่ด้วยความสนใจ ก็เพราะบทธรรมบริกรรมอันเป็นเครื่องเกาะของจิต เป็นเครื่องยึดของจิต ให้ตั้งหลักขึ้นมา เป็นความรู้อย่างเด่นชัดเป็นลำดับนั้นแล ฉะนั้นขั้นเริ่มแรกของการภาวนา คำบริกรรมจึงสำคัญมาก
    เมื่อได้เห็นคุณค่าสารธรรม ที่ปรากฏขึ้นเป็นความสงบสุขเช่นนี้แล้ว ในขณะเดียวกันก็เห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านวุ่นวายของจิตที่หาหลักยึดไม่ได้ และก่อความเดือดร้อนให้แก่ตัวอย่างประจักษ์ใจในขณะนั้น โดยไม่ต้องไปถามใคร คุณและโทษของจิตที่สงบและฟุ้งซ่าน เราทราบภายในจิตของเราเองด้วยการปฏิบัติจิตตภาวนา นี่เป็นขั้นหนึ่งอันเป็นขั้นเริ่มแรกที่ท่านสอนให้รู้เรื่องของจิต
    แล้ว พยายามทำจิตให้มีความสงบแน่วแน่ลงไปเป็นลำดับ ด้วยการภาวนากับบทธรรมดังที่กล่าวมานี้ เจริญแล้วเจริญเล่าจนมีความชำนิชำนาญ กระทั่งจิตสงบได้ตามความต้องการ ความสุขเกิดขึ้นเพราะใจสงบก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นทุกวันเวลา พอจิตสงบตัวขึ้นมาปรากฏเป็นความรู้เด่นชัดแล้ว ในขณะเดียวกันก็เป็นการรวมกิเลสเข้ามาสู่จุดเดียวกันเพื่อเห็นได้ชัด และสังเกต ความเคลื่อนไหวของมันได้ง่ายขึ้น และสะดวกแก่การแก้การถอดถอนด้วยปัญญา ตามขั้นของปัญญาที่ควรแก่กิเลสประเภทหยาบ กลาง ละเอียด ตามลำดับไป
    http://palungjit.org/threads/อุบายฝึกจิตทางลัด-หลวงตามหาบัว-ญาณสัมปันโน.299976/
     
  14. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    ariyasuj4.gif

    การใช้อารมณ์มโนมยิทธิให้เป็นประโยชน์ โดยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง
    สนทนาหลังกรรมฐาน วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๒๒
    มโนมยิทธินี่เป็นหลักสูตรของอภิญญา
    ขอได้โปรดทราบว่า ถ้าหากว่ากำลังใจของท่านดีนี่ ทุกคนก็มีโอกาสจะได้เหมือนกันหมด หากว่าท่านที่ยังไม่ได้ หรือได้ไม่คล่องแต่กลับไปที่บ้าน ไปหารือกับคนที่เขาได้แล้ว ว่าเขาตั้งอารมณ์แบบไหนมันถึงได้
    ว่าทำอารมณ์แบบไหน จึงมีความแจ่มใส เพราะว่าการฝึก มโนมยิทธิ นี่ ถ้าพูดกันตามหลักสูตรจริงๆ ละก็ ถือเป็นของที่ยากมาก เพราะว่าเป็นอภิญญา อภิญญา ก็ดี วิชชาสาม ก็ดี จัดว่าเป็นหลักสูตรที่ยากอย่างยิ่ง คือว่าถึงแม้ว่าถ้าหลักสูตรนี้ยาก
    ถ้าเราทำได้ก็สามารถที่จะบรรลุมรรคผลได้โดยรวดเร็ว เพราะว่าเป็นเครื่องมือสำหรับตัดกิเลสได้อย่างชัดเจน
    ซึ่งการปฏิบัติแบบนี้มีผลดีกว่าแบบ สุกขวิปัสสโก
    แบบสุกขวิปัสสโก
    สำหรับการปฏิบัติในด้าน สุกขวิปัสสโก นี่ เราทำไปแต่ว่าเราไม่เห็นอะไรเลย มันก็แบบเดียวกับคนดำน้ำ ดำน้ำนี่เราเห็นอะไรชัดไม่ได้ ข้อนี้ฉันใด การปฏิบัติแบบ สุกขวิปัสสโก ก็สามารถเป็น พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ได้
    แต่ว่าความมั่นใจของเราไม่มี ต้องมีอารมณ์ที่มีความเข้มแข็งเชื่อมั่นจริงๆ จึงจะบรรลุได้
    แบบวิชาสามและอภิญญา
    สำหรับด้าน วิชชาสาม ก็ดี อภิญญา ก็ดี นี่เราเห็น เราสามารถที่จะเห็นนรก เห็นเปรต เห็นอสุรกาย เห็นสัตว์เดรัจฉาน เห็นสัมภเวสี เห็นเทวดา เห็นพรหม แล้วก็เห็นนิพพาน
    วิชามโนมยิทธิควรใช้เพื่อตัดกิเลส
    ในเมื่อเราสามารถจะเข้าถึงนิพพาน ก็จงมีความภูมิใจว่า ถ้าเราไม่เลวเกินไปชาตินี้ เราก็ไปพระนิพพานได้ ที่ว่าไม่เลวเกินไป ก็เพราะอะไร
    เพราะว่าที่เลวเกินไป ก็หมายถึงว่า
    เป็นคนที่มีความประมาท
    อีกประการหนึ่ง เอาวิชาความรู้ประเภทนี้ไปเที่ยวอวดชาวบ้าน เที่ยวไปเป็นหมอดูบ้าง อวดชาวบ้าน ว่าฉันเห็นนั่นเห็นนี่บ้าง
    ถ้าอวดแบบนี้มีสิทธิ์พลาดพลั้ง
    ถ้าทรุดตัวเมื่อไหร่ การตีตัวขึ้นเป็นของยาก
    ทั้งนี้ก็เพราะว่า เราตกอยู่ในความประมาท ถ้าตกอยู่ในความประมาทเมื่อไหร่ ก็แสดงว่านิวรณ์ก็กินใจเราเมื่อนั้น ในเมื่อนิวรณ์กินใจ ทุกคนมีหวังลงนรก
    ถ้าหากบรรดาท่านพุทธบริษัทที่ทำได้แล้ว ก็จงควบคุมใจว่าการนรกได้ เห็นเปรต เห็นอสุรกาย เห็นสัมภเวสี เห็นสวรรค์ เห็นพรหม และเห็นนิพพานได้ การเห็นนี่ยังดีไม่พอ
    เพราะว่าการเห็นและการไปได้เราอาศัยฌานโลกีย์ แต่ในช่วงนั้นเรามีวิปัสสนาญาณพอสมควร สามารถตัดขันธ์ ๕ ได้ชั่วขณะหนึ่งเราจึงไปได้
    ใครคืออาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์
    ในเมื่อเราไปได้แล้วก็ต้องรักษาความดีเอาไว้ เพราะว่าการปฏิบัติแบบนี้เราสามารถจะได้อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์
    คำว่า “อาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์” นั่นก็คือ พระพุทธเจ้า
    ถ้ามีการขัดข้องอะไรเกี่ยวกับผลของการปฏิบัติ เราขึ้นไปทูลถามพระองค์เอง พระองค์ก็จะตรัสมาโดยเฉพาะกับกิจที่เราจะพึงทำ และตรงกับอารมณ์จิตของเรา
    ในเมื่อได้รับคำสอนนั้นแล้วอย่างไหนต้องปฏิบัติให้ได้ จงตั้งใจว่า
    “คำว่าไม่สามารถ จะต้องไม่มีในชีวิตเรา”
    แล้วประการที่ ๒ ที่เราจะลืมไม่ได้นั่นก็คือว่า
    เราจะไม่ห่วงร่างกายของเรา
    เราไม่ห่วงร่างกายของบุคคลอื่น
    เราไม่ห่วงทรัพย์สินใดๆ
    เพราะสิ่งทั้งหลายเหล่านี้
    ถ้าเราห่วงถึงเวลาที่มันจะตาย ก็ไม่มีประโยชน์ในการห่วง
    คนที่ตายทุกคนไม่มีใครแบกเอาร่างกายไปด้วย
    ไม่มีใครแบกพี่ แบกน้อง แบกพ่อ แบกแม่ แบกผัว แบกเมีย แบกลูก แบกหลานไปด้วย
    และทรัพย์สินต่างๆ ที่เรามีอยู่ ก็ไม่มีโอกาสที่จะแบกได้
    สิ่งที่จะแบกไปได้นั่นก็คือ
    ความดีกับความชั่ว
    บุคคลตัวอย่าง
    ฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องแบกไปเราก็ต้องเลือกแบก ถ้าเราเลือกแบกเอาความชั่วไป นั่นหมายถึงว่า เราต้องลงนรก
    ดูตัวอย่าง พระเทวทัต ท่านสามารถทรงอภิญญา ๕ ได้อย่างคล่องแคล่ว เนรมิตอะไรก็ได้ เหาะเหินเดินอากาศก็ได้
    ต่อมาความโลภของจิต ความทะเยอทะยานเกิดขึ้น คิดอยากจะปกครองพระสงฆ์ซึ่งเป็นพระอริยเจ้า และต่อมาถึงขั้นคิดฆ่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
    อันนี้เป็นอารมณ์ของความชั่ว
    ขอทุกท่านน่ะ จงอย่านึกว่า ตัวของเราดี
    จงจำคำแนะนำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
    “อัตตนา โจทยัตตานัง”
    จงกล่าวโทษโจทย์ความผิดของตัวเองไว้เสมอ
    ในเมื่อเรากล่าวโทษโจทย์ความผิด เราจะโจทย์กันตรงไหนล่ะ

    การทรงอารมณ์ของพระโสดาบัน
    ก็มานั่งดู สังโยชน์ ๓ คือ
    (๑) สักกายทิฏฐิ
    (๒) วิจิกิจฉา
    (๓) สีลัพพตปรามาส
    สังโยชน์ ๓ นี่ เป็นการทรงอารมณ์ได้ของ พระโสดาบัน และพระสกิทาคามี
    (๑) สักกายทิฏฐิ ของพระอริยเจ้า ๒ ขั้น จะมีความรู้สึกว่า
    ร่างกายเรานี้มันเป็นของไม่ดี ในที่สุดมันต้องตาย
    และในข้อที่
    (๒) วิจิกิจฉา เราจะมีความเลื่อมใสในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ด้วย “ปัญญา”
    ต้องใช้ “ปัญญา” พิจารณาว่า
    พระพุทธเจ้าน่ะดีแบบไหน
    ท่านทำดีแบบไหน
    พระอริยสงฆ์ดีแบบไหน
    ทำไมเราจึงต้องเชื่อ
    ทำไมถึงต้องเคารพนับถือ

    (๓) สีลัพพตปรามาส เราจะต้องมีศีลเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระอริยเจ้าสองขั้นนี้ก็คือ ศีล ๕ เราจะต้องเป็นผู้ทรงศีล ๕ อยู่ตลอดเวลา เมื่อทรงศีล ๕ นี่ต้องทรงอยู่ ๓ ระดับคือ

    ๑. เราจะไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
    ๒. ไม่ยุยงบุคคลอื่นให้ทำลายศีล
    ๓. ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

    (๔) และก็มีนิพพานเป็นอารมณ์

    เพราะว่าคนที่จะเป็นพระโสดาบันได้ เมื่อจิตเข้าสู่ โคตรภูญาณ จิตจะรักพระนิพพานเป็นปรกติ คือไม่มีความต้องการอย่างอื่น เมื่อจิตเจ้าถึงความเป็นพระโสดาบันจริงๆ ตอนนี้จิตจะยอมรับนับถือ กฎของธรรมดา

    “ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของธรรมดา”

    แต่ทว่าพระโสดาบันก็ยังไม่ได้ละกิเลสได้หมด ยังมีความรักในระหว่างเพศ ยังมีแต่งงาน มีผัว มีเมีย มีลูก มีหลาน แต่อยู่ในขอบเขตของศีล ๕

    พระโสดาบันยังอยากรวย แต่ว่ารวยใน สัมมาอาชีวะ ไม่โกงใคร หากินโดยสุจริตธรรม

    พระโสดาบันยังมี่ความโกรธ แต่ว่าไม่ทำร้ายคนอื่น เพราะเกรงว่าศีลจะขาด

    พระโสดาบันยังมีความหลง

    เพราะยังมีเหตุ ๓ ประการที่กล่าวมา แต่ว่าความหลงของพระโสดาบันนี่หลงไม่มาก หลงเพียงว่ายังมีความรัก ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีศีลที่พึงควบคุม

    แต่ว่าจิตใจของพระโสดาบันก็มีความคิดอยู่เสมอว่า “ถ้าตายจากชาตินี้เราต้องการพระนิพพาน”

    อันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทต้องทำให้ได้

    คำว่าต้องทำให้ได้นี่ ความจริงอารมณ์พระโสดาบันนี่ ถ้าเราจะทำกันจริงๆ นะ อย่างช้ามันไม่เกิน ๓ เดือน มันก็ได้

    ครูมีหน้าที่เพียงแต่บอก

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้ มโนมยิทธิ นี่ถ้าใครทำถึงเดือนก็เลวเต็มที ที่ว่าเลวเพราะอะไร เพราะเห็นแล้ว นรกก็เห็น เปรตก็เห็น อสุรกายก็เห็น เทวดาก็เห็น พรหมก็เห็น นิพพานก็เห็น ทั้งๆ ที่เราเห็นได้เราไปได้

    แต่จิตใจเรายังเลวมันก็สุดทางแก้

    การแก้นี่เราต้องแก้ด้วยตัวเอง

    การช่วยจะให้ดี จะให้ชั่วเราก็ต้องทำเอง ไม่ใช่หน้าที่ครู

    ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อักขาตาโร ตถาคตา”

    ซึ่งแปลว่า ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก

    บอกแล้วทำตามหรือไม่ทำตาม ก็เป็นเรื่องของท่าน ท่านจะไปสวรรค์ ท่านจะไปพรหม ท่านจะไปนิพพานได้ ครูไม่มีการอิจฉาริษยาท่าน

    หากว่าท่านจะไปนรก ไปเป็นเปรต ไปเป็นอสุรกาย ครูก็ไม่ตามไปแก้ เพราะมันเป็นความพอใจของท่าน

    ฉะนั้นขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เมื่อได้ มโนมยิทธิ แล้ว ก็ควรจะมุ่งจุดหมายปลายทาง นั่นคือ ความเป็นพระอรหันต์

    สำหรับ ฆราวาส จะเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นวันนี้ วันพรุ่งนี้ก็นิพพาน

    สำหรับ พระ ถ้าเป็นพระอรหันแล้ว ก็ต้องอยู่ถึงอายุขัย หรือบางทีเกินอายุขัย เพราะต้องทำกิจให้พระพุทธเจ้าเพื่อตอบแทนพระองค์

    อย่าประมาทในการปฏิบัติ

    ฉะนั้น ขอให้ทุกคนจำ ปัจฉิมวาจา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อวันที่พระองค์นิพพานว่า

    “อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ”

    นั่นแปลเป็นใจความว่า ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม

    คำว่า “ไม่ประมาท” ก็หมายความว่า ไม่ประมาทในการปฏิบัติความดี ทุกคนต้องทำทุกขณะจิต

    จงอย่าคิดว่าเราดี ถ้าเรายังมีขันธ์ ๕ อยู่เพียงใด จงอย่าเข้าใจว่าเราดี

    ถ้าเราตายไปแล้ว ถ้ายังไม่ถึงนิพพาน ก็จงอย่าคิดว่าเราดี

    ถ้ามันจะดีกันจริงๆ คือต้องละขันธ์ ๕ ไปแล้ว แล้วเข้าสู่พระนิพพานแล้ว นั่นจึงชื่อว่าเป็นความดี


    การบรรลุมรรคผลไม่ต้องบรรลุตามลำดับ

    ในเมื่อเราทรงความเป็นพระโสดาบันได้ การบรรลุเป็นพระอริยเจ้าไม่ใช่ตามลำดับ ไม่ใช่ว่าจะได้พระโสดาบันแล้วก็เป็นพระสกิทาคามี เมื่อเป็นพระสกิทาคามีแล้วก็เป็นพระอนาคามี เมื่อเป็นพระอนาคามีแล้วจึงเป็นพระอรหันต์ นี่ไม่ใช่แบบนั้น

    เป็นแต่เพียงว่า พระอริยเจ้ามี ๔ ระดับ แต่การบรรลุนี่ไม่แน่นอน

    บางท่านแล้วก็ส่วนใหญ่ เมื่อได้ก็ถึงความเป็นพระอรหันต์เลยก็มี

    บางท่านขึ้นต้นด้วยความเป็นพระโสดาบัน แล้วก็เป็นพระอรหันต์

    บางท่านขึ้นต้นด้วยความเป็นพระสกิทาคามี แล้วก็เป็นพระอรหันต์

    บางท่านขึ้นต้นด้วยความเป็นพระอนาคามี แล้วก็เป็นพระอรหันต์

    นี่จงอย่านึกว่าเราเป็นพระโสดาบันแล้ว จะต้องเป็นพระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ อันนี้ไม่จำเป็น

    แนวการสอนเพื่อความเป็นพระอรหันต์

    ฉะนั้น แนวการสอนของที่นี่ จึงมีแนวการสอนว่า ขอให้ทุกท่านคิดไว้เสมอว่า

    ถ้าเราตายจากชาตินี้
    เราไม่ต้องการเป็นมนุษย์
    เราไม่ต้องการเป็นเทวดา
    เราไม่ต้องการเป็นพรหม
    สิ่งที่เราต้องการนั่นก็คือพระนิพพาน
    อารมณ์นี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์

    เข้าใจไว้ด้วยว่า การแนะนำแบบนี้ เป็นการแนะนำ อารมณ์ของพระอรหันต์

    อันนี้ถ้าเราจะฝึก วิธีฝึกง่ายๆ ให้มันเป็นกิจประจำวันตามที่ หลวงพ่อปาน ท่านเคยแนะนำไว้ แล้วก็ส่วนใหญ่ลูกศิษย์ของท่านที่ได้นี่ คือว่าท่านยืนยันผลทุกคนเขาก็ปฏิบัติตามแล้ว มันก็เป็นผลดี

    วิธีกราบพระให้ถูกต้อง

    กราบครั้งที่หนึ่ง นั่นก็คือ เวลาที่เรากราบพระทุกครั้งนี่ หรือไหว้พระทุกครั้ง จิตจะต้องเห็นพระพุทธเจ้าอยู่เป็นปรกติ แล้วกล่าวว่า

    “อะระหัง สัมมาสัมพุทธโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ”

    นั่นหมายถึงว่า เรากราบพระพุทธเจ้า ถ้าเวลาจิตที่กราบ ความจริงเราอาจนั่งอยู่หน้าพระพุทธรูป หรือว่าที่เรากราบไม่มีพระพุทธรูปก็ตาม แต่ว่าจิตของเราถ้าได้ มโนมยิทธิ ต้องส่งจิตขึ้นไปที่นิพพาน แล้วกราบลงไปต่อหน้าพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้เขาเรียกว่า “กราบถึงพระ”

    กราบครั้งที่สอง ที่เรียกกันว่า “กราบพระธรรม” ที่เป็นคำสอนของ หลวงพ่อปาน ก็ดี อาจารย์อีกทั้ง ๑๐ องค์ของอาตมาก็ดีสอนเหมือนกัน

    เพราะอีก ๑๐ องค์ เป็นพระอรหันต์ หลวงพ่อปานเป็นพระโพธิสัตว์

    ท่านบอกว่า เวลากราบพระธรรม ให้จิตคิดกำหนดไว้ว่า เมื่อกราบลงไปแล้วเห็นเป็น “ดอกมะลิแก้ว” ไหลออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์ลงมาบนเศียรเกล้าของเรา

    พระธรรมให้ตั้งเป็นนิมิต ให้เหมือนกับ ดอกมะลิแก้ว ที่ใสสะอาด มีความแพรวพราวไหลออกจากพระโอษฐ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลงบนเศียรของเรา

    แล้วเวลา กราบพระอริยสงฆ์ ตอนนี้พระพุทธเจ้าเสด็จอยู่ที่ไหน ที่นั่นย่อมไม่ว่างจากพระอริยสงฆ์

    เวลาที่กราบลงไปครั้งที่สาม ก็ตั้งใจเห็นพระอริยสงฆ์ ซึ่งมี พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร เป็นต้น

    กราบครั้งที่สาม ก็คิดว่าเรากราบลงไปข้างหน้าท่านทั้งสอง หรือพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททำเป็นปรกติ เป็นกิจประจำวัน เวลากราบพระทีไรเห็นสภาพแบบนี้

    หรือนึกถึงพระขึ้นมาเมื่อไหร่ก็เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเห็น ที่นิพพาน ให้มันจับใจเราอยู่เสมอเป็นปรกติ

    รวมความว่าหายใจเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ต้องมีจิตคิดไว้เสมอว่า เราไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ตัดอารมณ์ย่อๆ องค์สมเด็จพระบรมสุคต คือพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เวลาตายแล้วเราขอไปที่นั่น เราขอไปอยู่กับท่าน

    ถ้าท่านมีอารมณ์คิดอย่างนี้ไว้เป็นปรกติ ถ้ามันตายเมื่อไร เราก็ไปนิพพานเมื่อนั้น

    ขอบรรดาญาติโยมพุทธปริษัททุกท่านทำตามนี้นะ

    อารมณ์ที่สำคัญที่สุดที่จะต้องทำ

    และก็ส่วนที่มีความสำคัญอีกจุดหนึ่งก็คือ

    เวลาก่อนหลับเราจะต้องส่งจิตไปนิพพานก่อน ถ้าตื่นขึ้นมาใหม่ๆ ยังไม่ต้องสนใจอะไรทั้งหมด ไปนิพพานก่อน ทำให้มันเป็นปรกติ

    เวลาทำงานทำการ ถ้าอยู่ว่างคนเดียวไม่มีใครชวนคุย ว่างจากงานนิดหนึ่ง หรือว่าเวลาทำงานอยู่ จิตจับอยู่ที่พระนิพพานเป็นอารมณ์ ถ้าทำได้อย่างนี้ทุกคนก็ไปนิพพานทุกคน

    เอ้า เลิกได้แล้วนะ หวังว่าทุกท่านคงจำได้และก็ปฏิบัติได้ สวัสดี

    คัดลอกจากหนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๓๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑
    http://palungjit.org/threads/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A2%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B9%85%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B3-%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%8B%E0%B8%B8%E0%B8%87.173743/


    การสนธนาธรรมะ ทำให้เกิดปัญญา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2014
  15. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    คนได้คิด จะคิดแต่สิ่งที่ดีให้แก่ตนเอง
    คนสิ้นคิด จะคิดแต่สิ่งที่ทำร้ายตนเอง:cool:
     
  16. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    การปฏิบัติธรรมนั้นมิใช่การปฏิบัติเพื่อได้อะไร
    มันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ใจต่างหาก


    ...สมาธิหรือจิตสงบนั้น สามารถที่จะทำได้ 2 อย่าง คือทั้งในอิริยาบถนิ่ง และอิริยาบถเคลื่อนไหวและทำได้ในทุกท่า โดยไม่จำกัดท่าใดๆ ด้วยเพราะใช้ใจทำ ใช้กายเป็นสถานที่ทำ คือใช้ใจจับดูกายเท่านั้น กายจะอยู่ท่าไหนก็ได้ เพียงแต่ให้พยายามสนใจดูตัวเองว่า ปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้ กายเรา กำลังทำอะไรอยู่ ก็กำหนดย้ำความรู้สึกนั้นลงไปอีกทีว่า กำลังทำอะไรอยู่ ข้อสำคัญให้ย้ำความรู้สึกอีกครั้งซ้ำลงไปเรียก..ว่ารู้ในรู้...หรือสติสัมปชัญญะก็คือตัวนี้แหละ มันจะเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ตามปัจจุบันขณะนั้นอยู่เสมอ คือให้ใจรู้กาย หากจิตนั้นตั้งมั่น รู้อยู่ภายในการในใจอันเป็นปัจจุบันที่รู้จริงๆ แล้วจิตจะเกิดความสงบ ปกติ โปร่ง ว่าง เบาสบาย พอกำลังสติมันเต็มรอบ มันจะเกิดปัญญาอันเป็นความรู้แจ้ง คือตื่นและอิสระเบิกบานในสิ่งที่รู้นั้นทันทีมันจะเกิดปัญญาแห่งธาตุรู้ ที่จะรู้ว่าเหตุทุกข์แท้ๆ นั้นเกิดตรงไหน เกิดจากอะไร ทำไมมันถึงเกิดแก้อย่างไร ควรจะทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ได้สิ้น มันจะบอกเองหมดจากภายในจิตใจของใครของมันอีกที มันจะเป็นทั้งผู้สอนผู้เรียนและผู้ตัดสินต่อผลนั้นทั้งหมด แปลกจริงๆ เรียนเอง สอนเอง รู้เองมันเป็นการรู้จากภายในสู่ภายนอก เป็นรู้จริง รู้แท้ ที่ได้พบเห็น ได้สัมผัสถึงจริงๆ ด้วยการกระทำของตนเอง ธรรมแท้เป็นเรื่องตัวเองต้องพึ่งตนเองจริงๆ การดับทุกข์ทางใจ ด้วยปัญญาจากใจภายในของตนจริงๆ อันเกิดจากกระทำที่ถึงจุดของมันเท่านั้นจึงจะดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง ดับสนิทจริงๆ ไม่มีส่วนเหลือ

    หลวงตาพูดเสมอว่า...การปฏิบัติธรรมนั้นมิใช่การปฏิบัติเพื่อได้อะไรมันเป็นไปเพื่อความออกจากทุกข์ใจต่างหาก เป็นเรื่องตนเห็นจิตตนซึ่งภาษาธรรมเรียกว่า "ปัจจัตตัง"

    1.อยู่กับกิเลสได้โดยใจไม่เป็นทาสของกิเลส
    2.อยู่กับทุกข์กาย โดยไม่ทุกข์ใจ
    3.อยู่กับงานวุ่นโดยใจไม่วุ่น
    4.อยู่กับการรีบด้วยใจสบาย
    5.อยู่กับความสมหวังและความผิดหวังได้โดยใจไม่ทุกข์อีกต่อไป
    6.อยู่กับโลกได้ด้วยใจเป็นธรรม กายส่วนกายใจส่วนใจแต่อาศัยกันอยู่เท่านั้นเอง
    7.อยู่กับหน้าที่โดยไม่ยึดหน้าที่ เพียงแต่จะทำหน้าที่นั้น ให้ดีที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ในขณะปัจจุบันนั้นเท่านั้นเอง ที่ทำไม่ได้ก็ปล่อยไป

    . . .

    เรียบเรียงจากคติธรรมคำสอนของ
    พระอาจารย์ วรงคต วิริยธโร
    (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ
    (วัดถ้ำเมืองนะ) ต.เมืองนะ
    อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
     
  17. แดงไบเล่ย์

    แดงไบเล่ย์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +59


    ภัยพิบัติที่น่ากลัวไม่ใช่ภัยจากธรรมชาติ แต่ภัยพิบัติที่น่ากลัวมาจากจิตเราเอง

    ภัยจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรม ต่างหากหละที่น่ากลัว ภัยพิบัติตัวนี้มันพาเรา

    เวียนว่ายตายเกิดมากี่อสงไขยแล้ว พิจรณาเอาเถิด
     
  18. แมงปอปีกดำ

    แมงปอปีกดำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    265
    ค่าพลัง:
    +379
    อ่านแล้วซึ้งใจจริงๆค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่นำมาแบ่งปัน
     
  19. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]
     
  20. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 23 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 22 คน ) [ แนะนำเรื่องเด่น ]
    Natcha@uk

    Hello Hello !!!....พ่อ แม่ พี่ น้อง บ้านนี้ ไปไหน กันหมดจ๊ะ...?
     

แชร์หน้านี้

Loading...