จิตอยู่ไหน ? จิตคืออะไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย SaMorMan, 8 มกราคม 2008.

  1. SaMorMan

    SaMorMan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +56
    เริ่มเลยนะ.. รู้จักเว็บนี้เมื่อปลายปีที่แล้ว รู้สึกสนใจมาก อ่านไปพักนึง เลยอยากลองพิสูจน์ดูถึงความจริงนี้ แต่....แล้ว
    มีเรื่องสงสัยอยากจะถามถึงผู้ที่ผ่านขั้นต้นไปแล้ว ว่า.
    1. อะไรคือต้นเหตุของความคิด ทำให้มีความคิดต่างๆเกิดขึ้น
    2. จิตคืออะไร ตัวเป็นอย่างไรและอยู่ตรงไหน

    ที่สงสัยเพราะเริ่มนั่งสมาธิมาตั้งแต่ต้นปี แล้วพิจารณาหาจิตไม่เจอ (น้องใหม่หัดนั่งนะครับ) ขอบคุณล่วงหน้า
     
  2. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    นิยามและความหมายของสิ่งเหล่านี้ คือ จิต เจตสิก (อารมณ์ ความนึกคิด) รูป นิพพาน มีอยู่แล้วอย่างชัดเจนในพระอภิธรรมครับ ลองศึกษาหาอ่านดูจะได้ความรู้และเหตุผลชัดเจนกว่าการอธิบายสั้นๆครับ
     
  3. ค้นหาธรรม

    ค้นหาธรรม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +5
    ถ้าตามรู้อารมณ์ ความคิดที่เกิดขึ้นแล้วรู้ว่าเกิด ก็จะเห็นจิต และเห็นใจ
     
  4. จารุง นิ่มนวล

    จารุง นิ่มนวล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +105
    จิตอยู่ไหน?จิตคืออะไร

    คุณค้นหาธรรม ตอบได้ยอดมากครับ
     
  5. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ทำจิตให้นิ่งครับ ปล่อยวางให้เป็น ..

    ไปอยู่ที่สงบๆเช่นวัด หรือห้องพระ .. เราจะสงบเอง..กระแสของสิ่งแวดล้อมจะทำให้เราสงบได้ครับ... บางทียิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่าน..
     
  6. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ไม่ต้องไปนึกหน้าตามันนะครับ ตัวจิตอะไรนั้น

    มันเป็นสภาพออกไปทางความรู้สึกครับ
    จึงไม่ใช่อะไรที่เราจะต้องจ้องให้เห็นเป็นรูปร่าง
    เห็นอะไรวับๆ แว๊บๆ อย่าไปคิดว่าเห็นจิตนะครับ ถูกมันหรอก

    ทำสมาธิไปเรื่อยๆครับ ให้รู้จัก ปิติ สุข เอกัคคตา ไปเรื่อยๆ

    คือ รู้จักกายให้เยอะๆก่อน แล้วเขาว่า คุณจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรแยกออกมา
    จากกาย แต่อย่าไปเผลอยึดเจ้าสิ่งที่แยกจากกายมาไว้นะครับ เดี๋ยวกลายเป็น
    พรหมท่าเดียว

    สรุปคือ ไม่ต้องไปคิดจะควานหามันครับ ไม่ใช่วิธีฝึกที่ถูกต้อง


    ส่วนคำถามข้อ 1. นั้น คุณปฏิบัติไปเรื่อยถึงจะได้คำตอบที่คุณมั่นใจว่าถูกครับ
    ถ้าฟังคำตอบไปตอนนี้จะได้แต่การคะเน การคิดตาม นะ! เห็นไหมว่าคิดตาม เลยเหมือน
    หลงกลมัน อยากเห็นว่า คิดมาจากไหน เรากลับคิดหาคำตอบ แล้วจะเจอไหมนี้
    มันก็ซ่อนอยู่ในความคิดที่จะหาคำตอบเข้าไปอีก ซับซ้อนไปกันใหญ่ หรือที่คุณ Carbonato
    เรียกว่า ฟุ้งซ่าน นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2008
  7. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    ไม่ต้องสงสัยครับ ทางที่ดีเราควรมาฝึกจิตใจของเราให้ห่างไกลความทุกข์
    ด้วยการปฏิบัติธรรมดีกว่าครับ
    อนุโมทนาสาธุ ขอให้ท่านมีความสุข
     
  8. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    เห็นด้วยกับคุรผู้เดินทาง ถ้าเจ้าของกระทู้ต้องการทราบคำตอบ แบบว่าต้องทราบให้ได้ศึกษาได้ในพระอภิธรรม อธิบายเรื่องจิต ไว้ละเอียด

    เช่นว่าจิตคืออะไร คืออวิญญาณขันธุ์ คือเป็นเพียงตัวรู้ ส่วนความรู้สึกนึกคิด เช่น "เวทนา" คือควารู้สึก เช่น เป็นสุข เป็นทุกข์ "สัญญญา" คือความจำได้หมายรู้ "สังขาร" คือการปรุงจิตคิดโน่นคิดนี่ เวทนา สัญญา และสังขาร ท่านจัดว่าเป็น "เจตสิก" จิตกับเจตสิกจะเกิดขึ้นร่วมกันตลอดขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
    ความคิด จัดเป็นเจตสิก เกิดขึ้นได้เมื่อ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบผิสัมผัส ใจกระทบธรรมารมณ์ เราไปรับอารมณ์เหล่านี้
    ฯลฯ ค้นเพิ่มเติมเองนะครับในพระอภิธรรม

    อีกอย่างจิตอยู่ที่ไหนหาไม่เจอ
    ผมว่ามาถูกทางแล้วนะ อย่าเพิ่งด่วนได้ซิ ถ้าหาจิตตนเองเจอเมื่อไหร่แสดงว่าบรรลุธรรมขั้นสูงสุดแล้ว พยายามต่อไป

    จิตคนเราเกิดับ ๆ เกิดดับ ๆ เกิดดับ ชั่วลัดนิ้วมือเดียวมีความถี่ถึงแสนโกฏิขณะ หรือหนึ่งล้าน ๆ ครั้ง มันเร็วมากเราจึงไม่ทันจิต มีแต่จิตพระอรหันต์เท่านั้นที่ท่านทัน พระสารีบุตรท่านนับเม็ดฝนได้ เม็ดฝนที่ตกยังช้ากว่าจิตนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2008
  9. SaMorMan

    SaMorMan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +56
    สุดยอด..ซาบซึ้ง ซาบซึ้ง ขอบคุณมากสำหรับทุกคำตอบ

    แบบ.ว่าเพิ่มเริ่มหัดนั่งสมาธินะครับ แล้วไม่มีอาจารย์หรือคนแนะนำ ได้แต่อ่านหนังสือแล้วลองทำไป ไม่รู้ว่าผิดตรงไหน ถูกตรงไหน เลยมีข้อสงสัยและคำถามเกิดขึ้นมากมาย รู้สึกดีจังและอบอุ่นมากจากบอร์ดนี้ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวไว้กะผู้รู้ทั้งหลาย คอยชี้แนะและแนะนำหนทางปฎิบัติให้ด้วยหลังจากนี้ เพราะตั้งใจไว้ว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้ จะขอฝึกภาวนาตลอดไป

    ปล. ถ้าไม่รบกวนบอร์ดนี้จนเกิดไป ใครก็ได้ตรวจสอบอารมณ์ให้ผมทีว่ามีวาสนากับหนทางที่จะปฎิบัติต่อไปนี้ไหม ?
     
  10. rux

    rux เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +990
    จิต คือ ตัวรู้
    รู้จริง ไม่ใช้สักแต่รู้ ต้องคิดเข้าไปในความรู้ที่เกิดขึ้น ว่าใครรู้ รู้ที่ไหน เกิดจากที่ไหน เวลาเราสุข ความสุขตัวมันเป็นยัง คิดลึกๆๆๆๆๆๆๆๆเข้าไป แบบว่าผมก็หาจิตอยู่เหมือนกันฮะ ยังไม่ถึงไหน สาธุนะครับ
     
  11. เล่าปัง

    เล่าปัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    4,787
    ค่าพลัง:
    +7,918
    ก็เป็นเด็กสมัยใหม่กระมัง เรียนมามาก (สายวิทย์เป็นมากหน่อย)
    ถ้าใช่ ตัวสงสัย คือ อยากรู้ที่มาที่ไป อยากอธิบายมันเยอะ

    ต้องท่องไว้ เอาตัวนี้เป็น ปัญญาตัวเดียวพอ
    "สงสัยคือ นิวรณ์ ตัวขวางกั้นการปฏิบัติ"

    ดังนั้น อย่าไปเพลินกับมันมากนัก
    คือ ไม่ได้ห้ามให้มันไม่เกิด ให้มันเกิดไป แต่เกิดเมื่อไหร่
    ก็ตามรู้ตามดูไป ลองตอบคำถามไป แต่อย่าให้นิ่งจมแช่
    เคยไหมละ สงสัย แล้วคิด คิดไปสักแป๊ปก็เหม่อๆ จมแช่
    นั้นแหละมันพาเข้าภวังค์ เหมือนคนทำ สมถะ ไม่ผิดกัน

    ก็ให้ตามรู้ไป ปฏิโลมไป คิดตอบข้อสงสัยไป แต่อย่าให้มัน
    สงสัยไม่เลิก หรือ คิดไม่เลิก ให้รู้จัก ต๊ะ เอาไว้ อดกลั้น(ขันติ)ไว้ที่
    จะไม่ต้องการ(อยาก)หาตอบ(ตบะ)
     
  12. แจ้งให้ทราบ

    แจ้งให้ทราบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +691
    จิต กับ สติ 2 คำนี้มันคล้ายกันมากครับ เรียกว่าอยู่ใกล้กันมาก แต่ก็เป็นคนละชนิดกัน

    ก็ กริยาทั้งหมดของท่าน รวมไปถึงคำพูดนั้น เรียกว่า การปรุงแต่งจิตของท่าน

    เมื่อรู้ทันความคิดและอารมณ์ของตนแล้ว ก็เรียกว่ามีสติรู้ทันการปรุงแต่งของจิต

    ศึกษาหาอ่านเพิ่มเติมจากที่อื่นครับ เพื่อความชัดเจน

    อนุโมทนาครับ
     
  13. kikinlala

    kikinlala เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4,939
    ค่าพลัง:
    +8,843
    คำถามแปลกดีนะคะ ไม่ค่อยเจอคนสงสัยแบบนี้.
    จิตจะไม่เป็นรูปร่างให้เห็นหรอกค่ะ แต่จะทราบได้เอง
    ต้องฝึกสติให้ กำหนดรู้ ก็จะรู้ความแตกต่างขึ้น.. แล้วจะซาบซึ้งเองน่ะค่ะ
    แต่ที่สำคัญการปฏิบัติเค้าไม่ให้สงสัยมากนะคะ ปฏิบัติไปเดี๋ยวก็คลายความสงสัยเอง
    โมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  14. v.mut

    v.mut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 เมษายน 2006
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +274
    อึมเข้าใจถามดี คำถามง่ายและ สั้น
    แต่จะตอบ มันไม่ง่าย และ ไม่สั้นใน ทั้งอรรถะ และ เวลาเอาเลย
    แนะนำว่า ใจเย็นค่อยๆ เรียนรู้ไป มันจะหาคำตอบในทีเดียวแล้วแทงทะลุแจ่มแจ่งภายในใจมันยากเอาการอยู่ เว้นแต่จะสั่งสมมาเต็มถังแล้ว

    เอาแบบปริยัติ ผสม ปฏิบัติก็แล้วกันว่า

    จิต คือ เป็นสภาพรู้อารมณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตาม อายตะ ตัวจิตเองก็สามารถรู้ตัวมันเองได้เช่นกัน อารมณ์ คือ สิ่งที่จิตนั้นเข้าไปรู้

    จิตเอง มีหน้าที่ มีลักษณะ อาการ ของมันด้วย
    สิ่งที่ควรจะรู้ให้ดี คือ ลักษณะของจิต สาม ประการ คือ
    เป็นสภาพรู้ เป็นที่สั่งสมนิสัย สันดาน เป็นธรรมชาติที่ กิเลส และ กรรม สั่งสมวิบากเอาไว้

    จิตเป็นนามธรรม จึงไม่มีตัวไม่มีตน ถามว่าอยู่ตรงไหน มันก็มีของมันอยู่ทุกที่ ที่ใดมีการเข้าไปรู้สิ่งใด จิต ก็เกิดสิ่งนั้น มีเสียงอยู่ แต่ไม่ได้ยินไม่ได้ฟัง จิตก็ไม่ได้เกิดเพราะไม่ได้รับรู้ หรือเกิดแต่ไม่ครบชวนะ หรือไม่ครบขณะ มันก็ตกไป

    การพยายามไปควานหาจิต เหมือน คนความหาแว่นตาที่ใส่เหน็บบนหัว เที่ยวเดินหา หาเท่าไรมันก็ไม่เจอ จริงๆ มันก็ติดอยู่บนหัวเรา หรือพยายามมองหาอากาศว่ามันอยู่ตรงไหน มันก็อยู่ตรงหน้า แต่เราไม่รู้

    ส่วนอะไรคือต้นเหตุของความคิด เข้าใจสงสัยดีจริงๆ
    ดีครับ แต่อย่าเป็นมาก มันจะทำให้ติดขัด บางสถานะการณ์ มันต้องลุยไป แล้วค่อยมาดูกันทีหลัง หากมัวแต่สงสัยเกินไป ลืมลุยไป เดี๋ยวคนอื่นแซงเอาหมด

    ต้องมาดูให้เข้าใจก่อนว่า เจ้าความคิด มันคืออะไร มันเป็นอาการการปรุงแต่ง การตรึกนึกออกไป หรือ ในอีกแง่โย่งไปคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องจิต เจ้าความคิดมันก็ เป็น อารมณ์ ที่จิดเข้าไปรู้ เป็นธรรมารมณ์

    แล้วอะไรที่มันทำให้ตรึกนึกคิดออกไปได้ ก็คือ เวทนา และ สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ ความมั่นหมายในสิ่งใดๆ และ ก็ประกอบด้วยทิฐิ ที่ตั่งขึ้นมา มันโย่งใยอีรุงตุงนังกันพอควรเลยทีเดียว อธิบายได้หลากหลายมาก

    สัญญา ก็เปรียบเสมือน การมีข้อมูลดิบ หากไม่มีข้อมูลอยู่ในหน่วยความจำ คอมพิวเตอร์ มันก็ไม่รู้จะประมวนออกมาได้อย่างไร จึงไม่เกิดขบวนการใด สัญญา ถ้าจะเปรียบให้พอใกล้เคียง ก็คือ การสั่งสมประสบการณ์ในสิ่งที่ได้สัมผัสมา บวกเข้ากับ เวทนา คือ ความยินดี พอใจ ชอบใน หรือ ความไม่ยินดี ไม่พอใจ หรือ ความรุ้สึกเฉยๆ ไม่มีความยินดี และไม่มีความไม่ยินดี
    แล้วก็มีการตั่งเป็นทิฐิ ความคิดเห็นรวบยอด เกิดขึ้นภายในเอาไว้ เข้าใจง่าย ๆก็เปรียบได้เหมือนกับ ประสบการณ์ที่ดี หรือ ไม่ดี สำหรับเรา ดีก็ชอบเป็นสุข ไม่ดีก็ไม่ชอบใจ ผลักใส่ออกไป หรือ เฉยๆ เมื่อมีการกระทบกันของอายตะขึ้นใหม่ เวทนาสัญญา ก็ปรากฏ ความวิตก ตรึกนึก ความวิจาร แล่นไปในอารมณ์ ก็ปรากฏขึ้น เป็นขบวนการความคิดเกิดขึ้น ความปรุงแต่งเกิดขึ้น

    เหมือนกับ คนที่เคยลิ้มรสทุเรียนมาก่อน แล้วชอบใจติดอกติดใจในกลิ่น และรสชาติ พอเดินผ่านร้านขายทุเรียน ก็จดจำได้ในกลิ่น ที่พึ่งพอใจเพราะเคยสัมผัสมา แล้วก็มามีการกระทบกันของอายตะอีกครั้ง คือ จมูก อายตะภายใน กับ กลิ่นอายตะภายนอก ก็จำได้หมายรู้ เป็นสัญญาเวทนา ก็ตรึกนึก คิด ถึงทุเรียน ถึงกลิ่นทุเรียน จดจำยินดีว่าเป็นสิ่งหอม เราชอบ ( ดูเลยไปอีกนิดให้เชื่อมโยงเกี่ยวกับเรื่องจิตด้านบน) เกิดการสั่งสมนิสัยสันดาน ติดยึด ชอบทุเรียนเอาไว้ กิเลส เริ่มทำงาน ให้ไปสร้างเหตุผลักดันเกิดการกระทำพยายาม ไปแสวงหาเงินเพื่อจะมาซื้อทุเรียน พอตนเองไม่มีวาสนาเงินทองพอ กลับไปบ้านไปขโมยหยิบเงินค่ากับข้าวที่บ้าน ไปซื้อทุเรียนกินสนองกิเลส ( ขาดความสำรวม รุ้เท่าทันกิเลสภายในใจตน ) ก่อเกิดอกุศลกรรมเกิดขึ้น วิบากตามมาก็ย่อมเป็นอกุศลวิบากอย่างแน่นอน กลับถึงบ้านไม่มีตังค่ากับข้าว แถมทะเลาะโดนเมียเอาขวดน้ำปลาตีหัวแตก

    ส่วนคนที่ไม่ชอบทุเรียนเพราะมีประสบการณ์ที่ไม่ชอบ กลิ่น จึงจดจำเอาไว้เป็นสัญญา เวทนา ที่ไม่ดี ไม่ชอบ พอเดินผ่าน ได้กลิ่น กระทบจมุก ภายในใจ ก็คิดนึก ถึงทุเรียน กลิ่น เพราะมีสัญญาเดิม เกิดอาการผลักออก ปฏิเสธ รังเกลียดขึ้นภายใน เป็นความขุ่นมัวหมอง อึดอัดใจ ก็เป็นอกุศลอีก

    คงพอประมาณ พอเป็นประโยชน์ เป็นประกายให้ไปสืบค้นเรียนรู้เพิ่มเติมเองนะครับ

    อนุโมทนาในความใฝ่ในธรรม ให้เกิดเป็นวิริยะเป็นธรรมะวิจัยยะ ยิ่งขึ้น ๆ
     
  15. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    ทำไปเรื่อยๆก่อนนะครับ...สะสมไปก่อน รู้สึกยังไม่ทรงตัวดี..เท่าที่ผ่านมาก็ถือว่าโอเคแล้วครับ..ลองดูคนอื่นเปรียบเทียบดิ..คนปฏิบัติธรรมหายากอยู่แล้วครับ
     
  16. SaMorMan

    SaMorMan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +56
    ขอบคุณครับ Carbonato และรับทราบ ต้องปฎิบัติให้ มากๆใช่ปะ ต้องพยามเพิ่มขึ้นอีกแล้วเรา ยังไงก็ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ ถ้าทำผิดหรือปฎิบัติไม่ถูกต้อง ก็ช่วยสะกิดเตือนกันบ้างนะ จะได้ไม่หลงเสียเวลาไปไกล
     
  17. KomAon11

    KomAon11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    4,802
    ค่าพลัง:
    +18,984
    แนะนำกันทั้งห้องอภิญญา-กรรมฐาน นี่แหละครับ..

    จิตสงบลง รักษาศีลได้..โลภ โกรธ หลง ลดลง..ก็เป็นตัววัดแล้วครับ.. ค่อยๆทำตามกำลังใจ เมื่อสะสมไปเรื่อยๆแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่เจอมารมาขวาง..เมื่อเจอมารมาขวาง บางครั้งเราก็จำเป็นต้องตามเขาเหมือนกัน เพราะเรายังเป็นปุถุชน ไม่ใช่ผู้ชนะตลอด...แต่ว่า ให้เหลือเชื้อความดีไว้ครับ ล้มแล้วลุกได้ไว แถมแข็งแกร่งกว่าเดิม..

    ขอโมทนาครับ...เราทำดี เราก็รู้ว่าได้ดี สิ่งต่างๆล้วนทดสอบทั้งสิ้น ..สู้ไม่ไหวก็อุเบกขาครับ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...