ติดตามสถานะการณ์

ยอดเหยื่อ “อีโบลา” พุ่งเฉียด 4,900 ศพ - แคนาดาส่ง “วัคซีน” ไปทดลองที่เจนีวา
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2557 12:28 น.


@ชายชาวเซียร์ราลีโอนที่ติดเชื้ออีโบลา นอนไร้เรี่ยวแรงอยู่หน้าบ้านตัวเอง แถบชานกรุงฟรีทาวน์ เมื่อวันอังคาร (21 ต.ค.)

เอเอฟพี - องค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส “อีโบลา” ในภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกกำลังจะทะยานแตะ 10,000 ราย ขณะที่นักวิจัยทั่วโลกกำลังเร่งระดมค้นหาหนทางรักษาโรคติดต่อชนิดนี้


@วัคซีนป้องกันอีโบลา rVSV ที่แคนาดาส่งไปทดลองที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์

องค์กรชำนาญการด้านสุขภาพขององค์การสหประชาชาติระบุว่า ประชาชนในกินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน ซึ่งเป็นสามประเทศที่เป็นจุดศูนย์กลางในการแพร่ระบาดครั้งเลวร้ายที่สุดครั้งนี้ ได้ติดเชื้อไวรัสมรณะแล้ว 9,936 คน และในตอนนี้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 4,877 คน

ในเวลาที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญกล่าวเตือนว่า ในต้นเดือนธันวาคม อัตราการติดเชื้ออาจพุ่งแตะ 10,000 คน ต่อสัปดาห์ นักวิจัยทั่วโลกก็กำลังระดมความพยายามต่อสู้กับไข้เขตร้อนชนิดนี้ ซึ่งในเวลานี้ยังคงไม่มีวิธีการรักษาหรือวัคซีนที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง

ตัวเลขเหล่านี้เปิดเผยออกมาขณะที่วานนี้ (22) WHO จัดการประชุมฉุกเฉินว่าด้วยอีโบลา รอบที่ 3 ในนครเจนีวา เพื่อหารือถึงความพยายามในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ โดยจะมีการจัดงานแถลงข่าวหลังการประชุมสิ้นสุดลงในวันนี้ (23)

ทั้งนี้ เป็นที่คาดหมายกันว่า การหารือกันจะใช้เวลา 2 วัน

ในเวลาเดียวกัน แคนาดาได้ส่งมอบวัคซีน rVSV ที่อยู่ระหว่างการทดลองป้องกันอีโบลา ไปถึงโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเจนีวา

องค์การอนามัยโลกจะประสานงานในการทดลองวัคซีนที่นครเจนีวา ไปพร้อมๆ กับการทดลองที่กำลังเกิดขึ้นที่เยอรมนี กาบอง และเคนยา

วัคซีนชนิดนี้ ซึ่งพัฒนาขึ้นที่ห้องปฏิบัติการทดสอบจุลชีววิทยาแห่งชาติ ในเมืองวินนิเพก แคนาดา คือ 1 ใน 2 วัคซีนป้องกันเชื้ออีโบลาที่ WHO ระบุว่า ได้ผลน่าพอใจ เมื่อนำไปทดลองกับลิง

มารี-ปอล คีนนีย์ รองผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ตั้งเป้าหมายว่าจะสามารถจะส่งวัคซีนล็อตแรกไปยังแอฟริกาได้ภายในต้นปี 2015 แม้ว่าจะยังไม่มีแผนรณรงค์วัคซีนฉีดวัคซีนให้ประชาชนทั่วไปในทวีปนี้ก็ตาม

เป้าหมายหลักคือการใช้วัคซีนเหล่านี้ช่วยป้องกันเจ้าหน้าที่การแพทย์ไม่ให้ติดเชื้ออีโบลา ภายหลังที่มีเจ้าหน้าที่ต้องจบชีวิตจากการทุ่มเทความพยายามรักษาคนไข้โรคอีโบลาที่สิ้นหวังไปแล้วราว 240 คน


@นักวิจัยสวมชุดป้องกันมิดชิดขณะทำงานที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ ในเมืองเอนเทบเบ ยูกันดา

ในเวลาเดียวกัน สถาบันสุขภาพแห่งอเมริกาออกมาประกาศว่า ได้เริ่มการทดลองวัคซีนกับอาสาสมัครในคลินิก 39 คน อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะการทดลองจะประสบความสำเร็จ แต่จะยังไม่สามารถนำวัคซีนนี้ไปใช้ได้จนกว่าจะถึงปีหน้า

วานนี้ (22) กิจการยักษ์ใหญ่ด้านเภสัชภัณฑ์ “จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน” ประกาศจะทุ่มเงิน 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 6.47 พันล้านบาท) เพื่อเร่งเดินหน้าโครงการพัฒนาวัคซีนอีโบลา

บริษัทนี้มีแผนจะนำวัคซีนมาทดลองกับอาสาสมัครในเดือนมกราคม

สภากาชาดระบุว่า จะใช้เวลาอย่างน้อย 4 เดือนจึงจะสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ แต่ต้องดำเนินมาตรการที่จำเป็นได้ทั้งหมดเท่านั้น

เอลฮัดจ์ อัส ซี เลขาธิการใหญ่ของสหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) กล่าวว่า “มีความไปได้ อย่างที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีต ที่จะสามารถควบคุมการแพร่ระบาด (ของอีโบลา) ได้ภายใน 4 ถึง 6 เดือน” หากรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอ

 

WHO เดิมพันใช้ “เซรุมเลือด” รักษาไลบีเรียภายใน 2 สัปดาห์ - “อีโบลา” เพิ่มยอดดับ 20/วันในเซียร์ราลีโอน โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 ตุลาคม 2557 13:02 น.


@(ล่างซ้าย)เคนต์ แบรตลีย์ ผู้ป่วยอีโบลารายแรกในสหรัฐฯที่รอดจากอีโบลา และได้บริจาคเลือดให้กับผู้ป่วยรายอื่น

เอเจนซีส์ - WHO ประกาศในวันอังคาร(21)ว่า ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า เซรุมที่สะกัดมาจากแอนติบอดี้ของเลือดจะสามารถใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อในไลบีเรียได้ถึงแม้จะมีเสียงความกังวลและไม่แน่ใจจากหลายฝ่าย และ WHOยังหวังว่าจะสามารถเริ่มต้นการทดลองวัคซีนอีโบลา 2 ขนานในแอฟริกาตะวันตกได้ในเดือนมกราคม 2015 ในขณะที่สถานการณ์เซียร์ราลีโอนยังคงวิกฤตหนัก อัตราการเสียชีวิตสูงกว่า 20 คนต่อวัน

แพทย์หญิงมาเรีย พอล เคียนี (Marie Paule Kieny) ผู้ช่วยผู้อำนวยการทั่วไปฝ่ายระบบสุขภาพและการค้นคว้าประจำองค์การอนามัยโลก(WHO)แถลงในกรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์เมื่อวานนี้(21) ตั้งความหวังว่าจะสามารถเริ่มต้นการทดสอบวัคซีนอีโบลา 2 ขนานในแอฟริกาตะวันตกภายในเดือนมกราคม 2015 และอาจจะสามารถใช้ “เซรุมเลือดผู้รอดชีวิตจากอีโบลา” เพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อในไลบีเรีย ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของประเทศที่เกิดวิกฤตระบาดครั้งใหญ่ ได้ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพราะวิธีนี้ดูเหมือนมีความสำเร็จมากกว่าในการวิจัยการรักษาโรคอีโบลาอื่นๆ

ทั้งนี้บีบีซีรายงานว่า เคียนีแถลงว่าเซรุมเลือดนี้ถูกพัฒนาเพื่อใช้กับไลบีเรีย ซึ่งผลิตได้จากแอนติบอดี้ที่สะกัดจากเลือดของผู้ป่วยอีโบลาที่ได้รับการรักษาจนหาย

“มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์กับ WHOที่มีความสามารถเข้าถึงใน 3 ประเทศได้เริ่มกระบวนการสะกัดพลาสมาจากเลือดของผู้รอดชีวิตจากโรคอีโบลา และเตรียมพร้อมที่จะเริ่มผลิตเซรุมเลือดเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ และเพื่อนของWHOนี้จะเร่งเข้าไปยังไลบีเรีย ซึ่งทางทางเราหวังว่าจะใช้เวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์เพื่อเริ่มเตรียมพร้อมในการตั้งแคมป์เพื่อการรวบรวมเลือดอดีตผู้ป่วย ผลิตเซรุมจากเลือดที่ได้รับ และเริ่มต้นการรักษา”

สื่ออังกฤษรายงานเพิ่มเติมว่า ยังไม่ชัดว่าในการผลิตล็อตแรกนั้น เซรุมเลือดจะถูกผลิตออกมาได้จำนวนเท่าใด และจะเพียงพอต่อความต้องการในไลบีเรียหรือไม่

ซึ่งเซรุมเลือดถูกพัฒนามาจากข้อสมมุติฐานที่ว่า หากผู้ป่วยสามารถรอดชีวิตจากโรคอีโบลา หมายความว่าร่างกายของเขาได้สร้างภูมิคุ้มกันเรียนรู้การรับมือเชื้อโรคร้าย และสามารถสร้างแอนติบอดี้ในเลือดเพื่อสู้กับอีโบลา โดยแพทย์จะนำตัวอย่างเลือดจากผู้ป่วยที่รอดชีวิต และเปลี่ยนให้เป็นเซรุมโดยการกำจัดเซลล์เม็ดเลือดแดง แต่ยังคงเก็บแอนติบอดี้ที่สำคัญไว้ซึ่งจะถูกใช้เป็นตัวที่ใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อ

นอกจากนี้โฆษกWHO ฟาเดลา ชาอิบ( Fadela Chaib )แถลงว่า ทางหน่วยงานคาดหวังว่า จะสามารถมีวัคซีนอีโบลาจำนวน 20,000 ชุดในเดือนมกราคมปีถัดไป และในอีกจำนวนเท่ากันในเดือนหลังจากนั้นเพื่อใช้ในการทดสอบกับผู้ป่วยติดเชื้อ

อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของวัคซีนเองยังไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการระบาดของโรคร้ายได้ ในขณะนี้ยังสามารถทำได้เพียงแต่ปกป้องชีวิตผู้ปฎิบัติงานทางแพทย์เท่านั้น ซึ่งมีจำนวนเจ้าหน้าที่การแพทย์ไม่ต่ำกว่า 200 คนต้องเสียชีวิตจากการติดเชื้อจากคนไข้

การทดสอบที่แท้จริงในแอฟริกาตะวันตกจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อวัคซีนเหล่านี้ถูกทดสอบแล้วว่ามีความปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายเพื่อต่อต้านอีโบลาได้ ซึ่งในขณะนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาการทดสอบทางคลีนิกกับกลุ่มอาสาสมัครในยุโรป แอฟริกา และสหรัฐฯ และผลการทดสอบด้านความปลอดภัยทางคลีนิกเบื้องต้นคาดว่าจะถูกเปิดเผยในเดือนธันวาคมนี้

และหนึ่งในวัคซีนที่เคียนากล่าวถึงคือ Okairos AG ที่เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NIH กับบ.ยาสัญชาติอักฤษ แกล็กโซสมิทไคล์น (GSK) ผลิตในกรุงโรม อิตาลี และในขณะนี้อยู่ในขั้นการทดสอบทางคลีนิกในอังกฤษและมาลี

และวัคซีนขนานที่สองที่เคียนีกล่าวถึงคือ VSV-EBOV ซึ่งเป็นการพัฒนาจากกระทรวงสาธารณสุขแคนาดาและส่งต่อให้ US Walter Reed Army Institute of Research สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ของกองทัพสหรัฐฯในรัฐแมร์รีแลนด์ทำการทดสอบกับอาสาสมัคร และยังมีการทดสอบในช่วงสั้นๆในสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมัน กาบอง และเคนยา

นอกจากวัคซีนทั้ง 2ขนานที่องค์การอนามัยโลกกล่าวถึงแล้ว เมื่อวานนี้(21)เทกมิรา ฟาร์ซูติคอลส์ (Tekmira Pharmaceuticals ) บริษัทวิจัยยาสัญชาติแคนาดาได้ประกาศว่า TKM-Ebola จะมีพอเพื่อรักษาผู้ป่วยอีโบลาได้ภายในต้นเดือนธันวาคมนี้ แต่ทว่ายังไม่ทราบจำนวนการผลิตในล็อตแรกที่แน่นอน และอีกทั้งไม่แน่ใจว่าTKM-Ebola นี้อยู่ในรูปการรักษาแบบยาหรือวัคซีน

และแมปป์ ไบโอฟาร์มาซูติตคอล (Mapp Biopharmaceutical) บ.วิจัยยาสัญชาติสหรัฐฯเจ้าของ Zmapp ที่สามารถรักษาผู้ป่วยติดเชื้ออีโบลาชาวอเมริกัน 2 คนแรกจนหายขาดได้ประกาศว่าทางบริษัทได้เริ่มต้นผลิตZmapp จำนวนล็อตใหญ่มากขึ้นเพื่อให้มีเพียงพอที่จะใช้ในการทดสอบความปลอดภัยทางคลีนิกได้

ทั้งนี้โรคอีโบลาที่ระบาดในแอฟริกาตะวันตกได้สังหารไปแล้ว 4,500 คน โดยผู้เสียชีวิตส่วนมากอยู่ในไลบีเรีย เซียร์ราลีโอน และกินี ภายในเวลาแค่ 10 เดือนเท่านั้น โดยในวันอังคาร(21) รัฐบาลเซียร์ราลีโอนประกาศว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ทางตะวันตกของประเทศมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ และมีอัตราเสียชีวิตสูงถึงอย่างน้อย 20 คนต่อวัน

ในวันจันทร์(20) มีผู้ป่วยอีโบลาใหม่เพิ่มขึ้นในเซียร์ราลีโอนถึง 49 คน พบบริเวณรอบกรุงฟรีทาวน์ และภายในตัวกรุงฟรีทาวน์ ซึ่งมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อทั้งหมดใน 2 เขตคือ ในเมืองทางตะวันตก(WAU) และเขตนอกเมืองทางตะวันตก(WAR)ถึง 851 คน

การเพิ่มจำนวนผู้ป่วยอีโบลาในทางภาคตะวันตกของประเทศเกิดจากการย้ายถิ่นของประชาชนจากใจกลางประเทศไปยังวอเตอร์ลู( Waterloo) ซึ่งเป็นปากทางไปสู่กรุงฟรีทาวน์ เมืองหลวงของประเทศ และในการรับมือกับจำนวนการติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้น รัฐบาลเซียร์ราลีโอนได้ทำการปิดล้อมวอเตอร์ลู เขตนอกเมืองตะวันตก

ในขณะเดียวกันในวันจันทร์(20) ไม่มีรายงานพบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่มขึ้นในเขตเคเนมา(Kenema) และไคลาฮุน(Kailahun) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ และเป็นศูนย์กลางการระบาดของโรคอีโบลาในเซียร์ลาลีโอนเมื่อต้นปี ล่าสุดมีรายงานผู้ติดเชื้อในเขตตะวันออกราว 1,012 คน

ด้านคล็อด คามานดา (Claude Kamanda) สส.ในเขตตะวันตกของเซียร์ราลีโอนได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น โพลิติโค ว่า ได้รับรายงานการเสียชีวิตด้วยโรคอีโบลาไม่ต่ำกว่า 20 คนต่อวัน และทางเจ้าหน้าที่เซียร์ราลีโอนต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการต้องเก็บศพผู้ติดเชื้อจากบ้านของพวกเขา



WHO

 

หยื่ออีโบลารายแรกนอกแอฟริกาหายป่วย-สหรัฐฯสั่งผู้โดยสารต้องผ่านสนามบินคัดกรอง โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 ตุลาคม 2557 02:31 น.



รอยเตอร์ - คณะแพทย์เผยเมื่อวันอังคาร(21ต.ค.) ว่าพยาบาลชาวสเปนที่ติดโรคระหว่างดูแลรักษาบาทหลวงมิสชันนารีที่ต่อมาเสียชีวิตด้วยอีโบลา ปลอดจากเชื้อไวรัสมรณะนี้แล้ว หลังผลตรวจ 2 ครั้งออกมาเป็นลบ อย่างไรก็ตามความกังวลต่อการแพร่ระบาดยังไม่ซาลง โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่เริ่มมาตรการบังคับให้นักเดินทางที่มาจาก 3 ชาติแอฟริกาตะวันตก เข้าประเทศผ่านท่าอากาศยานที่กำหนดไว้ 5 แห่งเท่านั้น ขณะที่โพลล่าสุดพบอีโบลา ทะยานพุ่งติด 1 ใน 10 ประเด็นที่อเมริกันชนหวาดวิตกที่สุดในตอนนี้

"เรามองว่าเธอหายจากไวรัสอีโบลาตามกฎเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก" โฮเซ รามอน อาร์ริบาส แพทย์ของโรงพยาบาลการ์ลอสที่ 3 ในกรุงมาดริด ที่พยายาลรายนี้รักษาตัวกล่าวหลังผลการตรวจร่างกายของพยาบาลเทเรซา โรมีโร ทั้ง 2 ครั้งซึ่งทิ้งระยะห่างกัน 48 ชั่วโมง ออกมาเป็นลบ อย่างไรก็ตามเธอจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลจนกว่าจะฟื้นไข้อย่างสมบูรณ์

เทเรซา โรมีโร วัย 44 ปี ถูกวินิจฉัยโรคว่าป่วยเป็นอีโบลาเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ทำให้เธอกลายเป็นคนไข้อีโบลารายแรกที่ติดเชื้อนอกแอฟริกาตะวันตกในการแพร่ระบาดปัจจุบันที่คร่าชีวิตผู้คนหลายพันศพใน ไลบีเรีย เซียร์ราลีโอนและกินี

การติดเชื้อในแผนกที่มีการป้องกันระดับสูง กระตุ้นเสียงกล่าวหากันไปมาในสเปน โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขบอกว่าโรงพยาบาลไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับโรคระบาดอีโบลาและเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้รับการฝึกฝนหรือเครื่องไม้เครื่องมือที่ดีพอ

โรมีโร เป็นหนึ่งในคณะที่ให้การดูแลบาทหลวง 2 คนที่ติดเชื้ออีโบลาขณะปฏิบัติภารกิจในแอฟริกาตะวันตกและถูกส่งกลับมารักษาอาการป่วยในสเปน แต่ทั้งคู่เสียชีวิตในเวลาต่อมา ขณะที่พยาบาลรายนี้ถูกส่งตัวเข้าไปยังแผนกกักกันของโรงพยาบาล หลังจากแจ้งว่าตนเองมีอาการป่วย ขณะที่สามีและคนอื่นๆที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับเธอก็ถูกส่งเข้าแผนกกักกันโรคเพื่อสังเกตอาการอีโบลาเช่นกัน แม้จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครแสดงอาการใดๆ

โรเมโร ได้รับการรักษาด้วยการหยอดเซรุ่มมนุษย์ที่บรรจุแอนตีบอดีของผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากอีโบลาและยาอื่นๆซึ่งรัฐบาลและคณะแพทย์ปฏิเสธจะเปิดเผยรายละเอียด

แม้สถานการณ์ในสเปนเริ่มดีขึ้น แต่อีกด้านหนึ่งที่สหรัฐฯ ยังคงมีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของอีโบลา โดยรัฐบาลเผยเมื่อวันอังคาร(21ต.ค.) เหล่านักเดินทางที่มาจากไลบีเรีย เซียร์ราลีโอนและกินี จะต้องบินมายังท่าอากาศยาน 5 แห่งที่ได้ยกระดับคัดกรองอีโบลาเท่านั้น

กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ แถลงข้อจำกัดต่างๆต่อผู้โดยสารซึ่งมีต้นทางจาก 3 ชาติแอฟริกาตะวันตกที่ได้รับผลกระทบจากอีโบลาหนักหน่วงที่สุดเมื่อสัปดาห์ก่อน และมันจะมีผลบังคับใช้ในวันพุธ(22ต.ค.) อย่างไรก็ตามมาตรการนี้ไม่ถึงขั้นห้ามการเดินทางตามคำประสงค์ของเหล่าสมาชิกสภาคองเกรสบางส่วน ในความพยายามป้องกันมีผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะเพิ้มเติมในสหรัฐฯ

นักเดินทางที่มีต้นทางจาก 3 ประเทศข้างต้นจะต้องเข้ารับการตรวจวัดอุณหภูมิเพื่อดูอาการไข้ที่อาจเกิดจากติดเชื้ออีโบลา เช่นเดียวกับผ่านขั้นตอนระเบียบการต่างๆ ที่สนามบินนานาชาติจอห์น เอฟ.เคนเนดี ของนิวยอร์ก, นวร์กของนิวเจอร์ซีย์, วอชิงตัน ดัลเลส, แอตแลนตาและโอแฮร์ของชิคาโก

ท่าอากาศยาน 5 แห่งข้างต้น รองรับผู้โดยสารที่เดินทางมาจาก 3 ประเทศอีโบลาสู่สหรัฐฯ คิดเป็นราวๆร้อยละ 94 ขณะที่ข้อกำหนดต่างๆครอบคลุมนักเดินทางทั้งหมดไม่มียกเว้นแม้เป็นพลเมืองอเมริกัน ทั้งนี้แม้สายการบินต่างๆของอเมริกา อย่างเช่นเดลตา แอร์ไลน์ส, ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส และอเมริกัน แอร์ไลนส์ ไม่มีเที่ยวบินตรงสู่ประเทศที่ได้รับผลกระทบ แต่ผู้โดยสารจากประเทศเหล่านั้นอาจต่อเครื่องบินมายังอเมริกา

ในขณะที่สหรัฐฯ เพิ่งจะพบผ้ติดเชื้ออีโบลาแค่ 3 คนและเสียชีวิต 1 ราย แต่ก็มีความกังวลต่อการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตามในเทกซัสเมื่อวันอังคาร(21ต.ค.) ได้มีการถอดชื่อประชาชนออกจากบัญชีสังเกตอาการเพิ่มเติมอีก 60 คน หลังไม่พบอาการอีโบลาในระยะเฝ้าระวัง 21 วัน

ขณะเดียวกันผลสำรวจของกัลลับโพลที่เผยแพร่ในวันอังคาร(21ต.ค.) พบว่าอีโบลา ขยับขึ้นมาติดอันดับ 1 ใน 10 ประเด็นที่อเมริกันชนหวาดวิตกที่สุดในตอนนี้ แต่ยังคงเป็นรอง 5 ประเด็นอื่นๆ อย่างเช่นเศรษฐกิจ ความไม่พอใจต่อรัฐบาล ปัญหาการจ้างงาน ระบบประกันสุขภาพและคนเข้าเมือง

 

ช็อก! เศรษฐีดัง “วอร์เร็น บัฟเฟตต์” สูญเงินเกือบ “6.5 หมื่นล้าน” ภายใน 2 วัน หลังเก็งกำไรพลาดในหุ้น IBM-COKE โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2557 07:00 น.



เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - วอร์เร็น บัฟเฟตต์ มหาเศรษฐีชื่อดังและนักลงทุนชื่อก้องโลกชาวอเมริกัน ตกเป็นข่าวสูญเงินมหาศาลถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 64,665 ล้านบาท) ภายในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมง หลังเก็งกำไรผิดพลาดในหุ้นบริษัทดัง “ไอบีเอ็ม” และ “โค้ก”

รายงานข่าวล่าสุดระบุว่า วอร์เร็น เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังในวัย 84 ปี ซึ่งมีทรัพย์สินในความครอบครองมากกว่า 67,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.17 ล้านล้านบาท) มีอันต้องสูญเงินไปกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 64,665 ล้านบาท) ตลอด 2 วันที่ผ่านมาจากการเก็งกำไรในตลาดหุ้นนิวยอร์ก (NYSE) ที่ได้ชื่อว่า เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การสูญเงินมหาศาลของบัฟเฟตต์ดังกล่าวภายในระยะเวลาเพียง 48 ชั่วโมงถูกระบุว่า เกิดจากการเก็งกำไรที่ผิดพลาดของเขาในหุ้นของบริษัทไอทีชื่อดังอย่างInternational Business Machines Corporation หรือที่รู้จักกันดีในชื่อย่อ “IBM” รวมถึง หุ้นของบริษัทผู้ผลิตเครื่องดื่มน้ำดำชื่อก้อง “โคคา-โคลา”

รายงานข่าวระบุว่า ราคาหุ้นของไอบีเอ็มปรับร่วงลงไปกว่า 13 เปอร์เซ็นต์แล้วในปีนี้ และถูกเทขายอย่างหนักตลอด 2 วันที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นของโคคา-โคลาก็ปรับร่วงไป 0.15 เปอร์เซ็นต์เมื่อปิดตลาดในวันพุธ (22 ต.ค.) ที่ผ่านมา

ด้านแหล่งข่าวในวอลล์สตรีทเผยว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้บัฟเฟตต์ ซีอีโอแห่งบริษัท “เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์” ต้องสูญเงินก้อนโตถึง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในระยะเวลาเพียง 2 วัน เกิดจากปัญหาการปรับพอร์ตลงทุนในระยะหลังของบัฟเฟตต์ที่เน้น “การลงทุนกระจุกตัว” ในหุ้นของ 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ คือ ไอบีเอ็ม, โคคา-โคลา, อเมริกัน เอ็กซ์เพรส และเวลล์ส ฟาร์โก มากเกินไปเนื่องจากคาดการณ์ว่า ผลประกอบการของบริษัทเหล่านี้ในช่วงสิ้น “ไตรมาสสาม” ที่ผ่านมา จะมีกำไรอย่างสำคัญ แทนที่บัฟเฟตต์จะเลือกปรับพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง

ก่อนหน้านี้เมื่อ 17 ตุลาคม วอร์เร็น บัฟเฟตต์เพิ่งตกเป็นข่าวว่าตัดสินใจขายทิ้งหุ้นของห้างค้าปลีกดังสัญชาติอังกฤษอย่าง “เทสโก้” ที่ถือครองไว้จำนวนมากกว่า 245 ล้านหุ้นหลังจากที่บัฟเฟตต์เข้าซื้อหุ้นของเทสโก้สะสมไว้อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2006 เป็นต้นมา โดยเจ้าตัวระบุการตัดสินใจลงทุนในห้างค้าปลีกดังกล่าวถือเป็น “ความผิดพลาดอันใหญ่หลวง” และเป็น “การลงทุนที่โง่เขลา”

 

สหรัฐฯ ยกระดับสู้อีโบลา สั่งนักเดินทางรายงานตัวทุกวัน-ยอดติดเชื้อเฉียดหมื่นแล้ว
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 ตุลาคม 2557 02:30 น.



รอยเตอร์ - เจ้าหน้าที่สาธารณสุขสหรัฐฯเมื่อวันพุธ (22 ต.ค.) เปิดตัวมาตรการเพิ่มเติมสำหรับรับมืออีโบลา ด้วยจะดำเนินสังเกตอาการทุกคนที่เดินทางมาจาก 3 ชาติแอฟริกาตะวันตกซึ่งเป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดในทุกๆวันจนพ้นระยะฟักตัว เสริมการเฝ้าระวังการแผ่ลามของไวรัสมรณะ ขณะที่องค์การอนามัยโลกอัพเดทข้อมูลล่าสุด พบยอดผู้ติดเชื้อขยับเข้าใกล้ 10,000 คนเข้าไปทุกที

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาด (ซีดีซี) ระบุว่า ในมาตรการดังกล่าวนักเดินทางที่มาจากกินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน จะต้องเข้ารายงานตัวตรวจเช็กร่างกายกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในทุกๆ วัน รวมถึงต้องดำเนินการแจ้งในทันทีหากพบอุณหภูมิร่างกายผิดปกติและมีอาการใดๆ ของอีโบลาจนพ้นระยะฟักตัว 21 วัน

นอกจากนี้ ในมาตรการที่เพิ่มเติมเข้ามา นักเดินทางทุกคนไม่ว่าจะโดยตรงหรือต่อเที่ยวบิน จะถูกกำหนดให้ต้องมอบอีเมล หมายเลขโทรศัพท์และที่อยู่ตลอดระยะเวลา 21 วัน และข้อมูลต่างๆ ดังกล่าวที่จะถูกแบ่งปันให้กับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่น

พวกนักเดินทางที่มาจาก 3 ชาติแอฟริกาตะวันตกที่ได้รับผลกระทบจากอีโบลาหนักหน่วงที่สุด เกือบร้อยละ 70 มักเลือกเข้าสหรัฐฯ ผ่าน 6 รัฐ ได้แก่นิวยอร์ก เพนซิลเวเนีย แมรีแลนด์ เวอร์จิเนีย นิวเจอร์ซีย์ และจอร์เจีย

ทั้งนี้ เหล่านักเดินทางจะถูกกำหนดให้ต้องประสานงานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่นหากมีความประสงค์เดินทางภายในสหรัฐฯ แต่หากเพิกเฉย ทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขท้องถิ่นก็มีอำนาจที่จะดำเนินการมาตรการต่างๆ ทันทีในการค้นหาบุคคลนั้นๆ

ทอม ไฟรเดน ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาด (ซีดีซี) บอกว่า โครงการเฝ้าระวังอย่างกระตือรือร้นนี้จะมีผลบังคับใช้ไปจนกว่าการแพร่ระบาดในแอฟริกาตะวันตกสิ้นสุดลง “มาตรการใหม่ที่ผมแถลงในวันนี้จะช่วยยกระดับความปลอดภัยเพิ่มเติมเพื่อให้สามารถกักกันโรคบุคคลที่มีอาการอีโบลาได้เร็วขึ้นในระหว่างระยะเวลาที่คนเหล่านั้นป่วย และด้วยมาตรการนี้ มันจะช่วยลดโอกาสการแพร่กระจายของอีโบลา จากผู้ป่วยไปยังคนอื่นๆที่ใกล้ชิดและเจ้าหน้าที่สาธารณสุข”

ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการเสริมมาตรการคัดกรองผู้โดยสารที่มาจาก 3 ประเทศที่ได้รับผลกระทบ ณ ท่าอากาศยานหลักของสหรัฐฯ 5 แห่ง อย่างไรก็ตามยังไม่ถึงขั้นห้ามการเดินทางตามที่สมาชิกรัฐสภาอเมริกาหลายคนเรียกร้อง

การตัดสินใจเพิ่มความเข้มข้นในมาตรการป้องกันอีโบลาของสหัฐฯ มีขึ้นไล่เลี่ยกับที่องค์การอนามัยโลกเมื่อวันพุธ (22 ต.ค.) เผยแพร่ข้อมูลชุดปรับปรุงล่าสุด ระบุยอดผู้เสียชีวิตจากไวรัสมรณะขยับเข้าใกล้ 4,900 คน จากผู้ติดเชื้อเกือบๆ 10,000 คนแล้ว

ในข้อมูลล่าสุด องค์การอนามัยโลกบอกว่าจนถึงวันที่ 19 ตุลาคม มีผู้เสียชีวิตจากอีโบลา 4,877 คน จากผู้ติดเชื้อทั้งหมด 9,936 คนใน 7 ประเทศ เพิ่มจากเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ที่หนนั้นยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 9,216 คน เสียชีวิต 4,555 ราย

อย่างไรก็ตาม องค์การอนามัยโลกย้ำว่าการเพิ่มขึ้นอย่างมากของจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ติดเชื้อ ไม่ได้หมายความว่าการแพร่ระบาดหนักหน่วงขึ้นอย่างผิดสังเกต แต่สะท้อนถึงการนับที่ล่าช้า สืบเนื่องจากสภาพการณ์ที่ยุ่งยากในเหล่าชาติแอฟริกาตะวันตก

ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลกนั้นได้แบ่ง 7 ประเทศที่ได้รับผลกระทบออกเป็น 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรกประกอบด้วยกินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน เหล่าชาติที่ได้รับผลกระทบหนักหล่วงที่สุด โดยไลบีเรีย จนถึงวันที่ 19 ตุลาคม พบผู้ติดเชื้อ 4,665 ราย เสียชีวิต 2,705 คน ส่วนเซียร์ราลีโอน มีผู้เสียชีวิต 1,259 คน จากผู้ติดเชื้อ 3,706 ราย และกินี จุดเริ่มต้นของการแรพ่ระบาด ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 1,540 คน เสียชีวิต 904 ราย

ในส่วนของกลุ่มที่สองนั้น ประกอบไปด้วยเหล่าประเทศที่พบผู้ติดเชื้อจำนวนเล็กน้อย ในที่นี้รวมถึงเซเนกัลและไนจีเรีย ที่องค์การอนามัยโลกเพิ่งประกาศให้เป็นดินแดนปลอดอีโบลาก่อนหน้านี้ในวันศุกร์ (17 ต.ค.) และวันจันทร์ (20 ต.ค.) ตามลำดับ

นอกจาก 2 ประเทศข้างต้น ในกลุ่มนี้ยังประกอบด้วย สเปน ที่พบพยาบาลนางหนึ่งติดเชื้อจากมิชชันนารีที่เธอให้การดูแลและเสียชีวิตจากอีโบลาไม่นานหลังถูกส่งตัวกลับมาจากไลบีเรีย เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ที่พบพยาบาล 2 คนติดเชื้ออีโบลา หลังเป็นหนึ่งในคณะดูแลชายนายโทมัส เอริก ดันแคน ชายชาวไลบีเรีย ผู้ติดเชื้ออีโบลารายแรกที่แสดงอาการบนแผ่นดินอเมริกา ขณะที่ผู้ป่วยรายนี้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม

 

Piyacheep S. Vatcharobol ผ่าน Siripol Pong

<iframe width="854" height="510" src="//www.youtube.com/embed/DmbyvZbp8e4" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

สรุปง่ายๆว่า เขาคาดการณ์ว่าภูเขาไฟจะระเบิดทั่วโลก
๒ ลูกที่น่าจะระเบิดเร็วๆนี้ ที่ประเทศโคลัมเบียกับเอกวาดอร์
เงียบมา ๑๖๐,๐๐๐ ปีแล้ว ตอนนี้มีการไหวแรงๆ ๕-๖ ส่งสัญญาณแล้ว
ที่อื่นที่น่าจะตามมา other volcanoes in Japan, Iceland, California, Nevada, Washington State, Arizona, Philippines, Indonesia, and even in SCOTLAND
เผยแพร่เมื่อ 22 ต.ค. 2014
Breaking news out of Colombia South America into Ecuador.
Full website post here with links to more information on both volcanoes:
10/22/2014 — TWO extinct volcanoes could blow in South America — Last erupted 160,000 yrs ago | Dutchsinse...
Scientists are monitoring two dormant (borderline extinct) volcanoes along the Colombia / Ecuador border. Volcano Chiles, and Volcano Cerro Negro.
Both volcanoes have not erupted in over 160,000 years. Scientists have seen seismic activity pick up at these volcanoes, topping out with a 5.6M just a few days ago (October 20 2014... http://earthquake.usgs.gov/earthquake... )
Also, keep in mind the recent unrest at multiple other volcanoes in Japan, Iceland, California, Nevada, Washington State, Arizona, Philippines, Indonesia, and even in SCOTLAND. See the all activity I've documented here:
dormant | Search Results | Dutchsinse
extinct | Search Results | Dutchsinse

 

กระหึ่ม!ขาย"เทสโก้โลตัส" สาขาในไทยแจงบ.แม่ไม่ชี้ชัด
updated: 19 ต.ค. 2557 เวลา 23:47:08 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



กระฉ่อน "เทสโก้" เตรียมขายธุรกิจในเอเชีย หลังบริษัทแม่ประสบปัญหาขาดความน่าเชื่อถืออย่างหนัก รอยเตอร์สระบุอยู่ระหว่างชั่งใจ ขายทิ้งทั้งหมด หรือปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ขณะที่เทสโก้ โลตัส ประเทศไทย แจงเป็นแค่ความเห็นนักวิเคราะห์ บริษัทแม่ยังไม่ชี้ชัด

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า "เดฟ ลูวิส" ซีอีโอคนใหม่ของเทสโก้ อาจพิจารณาถึงการขายกิจการ หรือแยกหน่วยธุรกิจ non-core business ที่เติบโตได้ดีออกมาต่างหาก และโฟกัสมายังธุรกิจในสหราชอาณาจักรมากขึ้น เพื่อจัดการกับปัญหาความไม่มั่นใจของนักลงทุนจากความอื้อฉาวทางบัญชีที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ รูปแบบการจัดการที่อาจพิจารณานำมาปรับใช้กับธุรกิจในเอเชีย ซึ่งที่ผ่านมาทำกำไรให้มากที่สุด ได้แก่ เกาหลีใต้ และไทย ซึ่งอาจขายธุรกิจทั้งหมด หรือแยกธุรกิจออกเป็นอีกบริษัทหนึ่ง โดยตั้งทีมบริหารที่เป็นคนในพื้นที่ และนำเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของแต่ละประเทศ เหมือนที่บริษัท คาสิโน กรุ๊ป ได้เคยทำในไทยในกรณีบิ๊กซี

มูลค่าธุรกิจของเทสโก้ในเกาหลีใต้ถูกประเมิณว่า มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 4 พันล้านปอนด์ ส่วนไทยมีมูลค่า 5 พันล้านปอนด์ โดยผู้ที่สนใจซื้ออาจรวมถึงบริษัทคู่แข่งในอาเซียน เช่น อิออนของญี่ปุ่น และล็อตเต้ ช็อปปิ้ง ของเกาหลี นอกจากนี้เทสโก้ยังมีธุรกิจอยู่ในมาเลเซียด้วยเช่นกัน

ขณะที่นางสาวสลิลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการบรรษัทสื่อสารองค์กร เทสโก้ โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวว่า กระแสดังกล่าวเป็นเพียงการวิเคราะห์จากสำนักข่าวต่างประเทศ ซึ่งทางเทสโก้กรุ๊ปไม่เคยมีการประกาศเรื่องนี้และตอนนี้ให้ข้อมูลได้เพียงเท่านี้

แหล่งข่าวในวงการค้าปลีกของไทยระบุว่า กรณีของเทสโก้ โลตัส มีกระแสข่าวแพร่สะพัดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นข่าวจริงหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เทสโก้จะต้องการขายจริง ๆ อาจเหลือกลุ่มทุนที่มีศักยภาพไม่กี่รายเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านทั้งกลุ่ม ซี.พี. ของนายธนินท์ เจียรวนนท์ และนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ใช้เงินทุนซื้อกิจการค้าปลีกไปแล้วจำนวนมาก โดย ซี.พี.ได้ซื้อแม็คโคร ส่วนนายเจริญซื้อ F&N และเมโทร ในเวียดนาม

"เทสโก้ โลตัส" เป็นกลุ่มค้าปลีกขนาดใหญ่เข้ามาเปิดในเมืองไทยปี พ.ศ. 2537 โดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ในนามของบริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ภายใต้ชื่อโลตัส และได้ขายหุ้นส่วนใหญ่ให้กับกลุ่มเทสโก้เมื่อปี พ.ศ. 2541

ปัจจุบันเทสโก้ โลตัส ได้แบ่งรูปแบบโมเดลที่หลากหลายและครอบคลุมทุกความต้องการตลาด อาทิ เทสโก้ โลตัส ไฮเปอร์มาร์เก็ต, เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์ตร้า, เทสโก้ โลตัส ดีพาร์ตเมนต์สโตร์, เทสโก้ โลตัส คุ้มค่า, เทสโก้ โลตัส ซูเปอร์มาร์เก็ต, เทสโก้ โลตัส ตลาด, เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส, ร้านสะดวกซื้อ 365 และโมเดลล่าสุด โลตัสพลัสมอลล์ มีสาขาทั้งสิ้น 1,800 แห่ง มีพื้นที่ขายและเช่ารวม 2 ล้าน ตร.ม. และมีพนักงานกว่า 36,000 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เทสโก้ในประเทศอังกฤษประสบปัญหา ภายหลังจากประธานเจ้าหน้าที่การเงินของบริษัทยอมรับว่า ได้รายงานผลประกอบการผิดพลาด มีการลงบัญชีว่าบริษัททำกำไรสูงกว่าความเป็นจริงถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ มีผลให้ราคาหุ้นเทสโก้ตกลงอย่างรุนแรง

กระแสข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นระหว่างที่เทสโก้ โลตัส อยู่ระหว่างการเฉลิมฉลองปีที่ 20 ของการเปิดดำเนินการในประเทศไทย


กระหึ่ม!ขาย"เทสโก้โลตัส" สาขาในไทยแจงบ.แม่ไม่ชี้ชัด : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

WHOต้านอีโบลา-เตรียมผลิตเซรุ่มเลือด ช่วยชีวิตชาวแอฟริกัน
updated: 23 ต.ค. 2557 เวลา 14:28:54 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



เดอะ การ์เดียน รายงานว่า องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ภายในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ทีมผู้เชี่ยวชาญเตรียมผลิตเซรุ่มที่สะกัดมาจากแอนติบอดี้ของเลือด เพื่อทดลองฉีดในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อในไลบีเรีย แม้จะมีเสียงความกังวลและไม่แน่ใจจากหลายฝ่ายก็ตาม

นอกจากนี้ หน่วยงานด้านสุขภาพของสหประชาชาติ (UN) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการทดลองฉีดวัคซีนต้านเชื้อไวรัสอีโบลา ว่า ในช่วงปีที่ผ่านมามีประชาชนในพื้นที่แอฟริกาตะวันตกกว่า 20,000 ราย ที่ต้องการการดูแลและปกป้องพวกเขา

ด้าน WHO ยังหวังว่าจะสามารถเริ่มต้นการทดลองวัคซีนอีโบลาในแอฟริกาตะวันตกได้ในเดือนมกราคม ของปี 2558 ขณะที่สถานการณ์เซียร์ราลีโอนยังคงวิกฤตหนัก อัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงกว่า 20 คนต่อวันแล้ว

แพทย์หญิงมาเรีย พอล เคียนี (Marie Paule Kieny) ผู้ช่วยผู้อำนวยการทั่วไปฝ่ายระบบสุขภาพและการค้นคว้าประจำองค์การอนามัยโลก แถลงในกรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ 2 วันก่อนว่าทางทีมผู้เชี่ยวชาญจะสามารถเริ่มต้นการทดสอบวัคซีนอีโบลาได้ต้นปีหน้า และอาจจะสามารถใช้เซรุมเลือดจากผู้ที่รอดชีวิตจากการติดเชื้ออีโบลา เพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อในไลบีเรีย 1 ใน 3 ของประเทศที่กำลังประสบกับวิกฤตการระบาดครั้งรุนแรง โดยระบุว่า จะสามารถทดลองได้ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า และเชื่อว่าวิธีการดังกล่าวดูเหมือนจะประสบผลสำเร็จมากกว่าในการวิจัยการรักษาอื่นๆ ที่ผ่านมา

หลายๆ ประเทศที่ร่วมอุดมการณ์กับ WHO ได้เริ่มกระบวนการสกัดพลาสมาจากเลือดของผู้รอดชีวิตจากอีโบลา และเตรียมพร้อมที่จะเริ่มผลิตเซรุ่มเลือดเพื่อรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ พร้อมเดินหน้าช่วยเหลือผู้ป่วยในไลบีเรียทันที เมื่อทุกอย่างลงตัว ซึ่งทาง WHO และนานาประเทศหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะใช้เวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์ เพื่อเริ่มต้นการผลิตตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ และเริ่มต้นทำการรักษาอย่างจริงจังในภาคปฏิบัติการ

อย่างไรก็ตาม สื่อเมืองผู้ดียังไม่มีการรายงานเพิ่มเติมว่า การผลิตเซรุ่มเลือดในล็อตแรกนั้นจะถูกผลิตออกมาได้จำนวนเท่าใด และจะเพียงพอต่อความต้องการในไลบีเรียหรือไม่


เรียบเรียงโดย ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ติดตามข่าวสาร ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ค ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
www.facebook.com/PrachachatOnline

WHOต้านอีโบลา-เตรียมผลิตเซรุ่มเลือด ช่วยชีวิตชาวแอฟริกัน : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

 

แบบนี้ก็มี! หมวยสาวชาวจีนอกหักไม่กลับห้องพัก กินนอนใน KFC เป็นสัปดาห์
updated: 23 ต.ค. 2557 เวลา 15:20:10 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์



วันที่ 23 ต.ค. เดลี่เมล์รายงานเหตุการณ์สุดพิสดารในจีน เมื่อน.ส.ถัน เฉิน วัย 26 ปี จากเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ตัดสินใจพักอาศัยกินอยู่ในร้านเคเอฟซี ร้านแฟรนไชส์ไก่ทอดชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา นานกว่าสัปดาห์ เพราะต้องการเวลาทำใจหลังเลิกรากับแฟนหนุ่ม

น.ส.ถันในชุดอยู่บ้านกับสภาพผมเพ้ายุ่งเหยิงเปิดใจเล่าว่า หลังจากถูกแฟนบอกเลิก ก็เดินไปมาแถวๆ อพาร์ตเมนต์ของตนอย่างซึมเศร้า ก่อนจะตัดสินใจแวะกินไก่ทอด และเฟรนช์ฟรายด์ที่ร้านเคเอฟซีของสถานีรถไฟ ตนไม่คิดว่าจะอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ แต่เมื่อนั่งกินไก่ไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าตนต้องการเวลาที่จะคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ในชีวิต และไม่อยากกลับไปที่อพาร์ตเมนต์ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำที่มีกับอดีตคนรัก

ด้านนายเจียง หลี่หลุง พนักงานร้านเคเอฟซีกล่าวว่า 2-3 วันแรกยังไม่มีใครเอะใจว่า น.ส.ถันอยู่ในร้านตลอด เพราะที่นี่เปิด 24 ชั่วโมง และพวกตนทำงานเป็นกะ แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็เริ่มสงสัยที่เห็นน.ส.ถันในชุดเดิมซ้ำๆ กันหลายวัน จึงเข้าไปถามว่าสบายดีหรือเปล่า หญิงสาวช้ำรักตอบกลับมาสั้นๆ ว่า ต้องการเวลาทำใจ และสั่งไก่ทอดอีกกล่องมากิน ตนไม่ได้ไล่น.ส.ถันออกจากร้าน เพราะจ่ายเงินค่าอาหารครบทุกครั้ง และไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้ลูกค้าคนอื่นๆ


อย่างไรก็ตาม หลังจาก 1 สัปดาห์ผ่านไป และสื่อท้องถิ่นเริ่มรายงานเรื่องดังกล่าว น.ส.ถันตัดสินใจเดินออกจากร้าน โดยให้เหตุผลว่า เริ่มเบื่อหน่ายกับการกินไก่ทอดทุกมื้อเป็นเวลานานกว่าสัปดาห์ ตนจะลาออกจากงาน และกลับไปพักใจที่บ้านหาพ่อแม่ในเมืองชิงเต่า มณฑลชานตง

ที่มา ข่าวสด

แบบนี้ก็มี! หมวยสาวชาวจีนอกหักไม่กลับห้องพัก กินนอนใน KFC เป็นสัปดาห์ : ประชาชาติธุรกิจออน

 

เจรจาฮ่องกงยกแรกยังไม่บรรลุผล ผู้นำชี้ "กลัวคนจนครองเสียงข้างมาก"
updated: 22 ต.ค. 2557 เวลา 12:32:59 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เอเอฟพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 21 ต.ค. รัฐบาลฮ่องกงเปิดเจรจากับผู้แทนกลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งแรกนาน 2 ชั่วโมงเน้นไปในเรื่อง "ความเท่าเทียม" แต่ไม่มีข้อสรุปชัดเจน เพียงแต่หวังว่าจะมีการเจรจานัดต่อไป เพื่อหาทางออกในวิกฤตความขัดแย้งถึงแนวทางการเลือกตั้งผู้นำฮ่องกงใน 3 ปีข้างหน้า หลังฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยชุมนุมประท้วงมานานกว่า 3 สัปดาห์ กรณีรัฐบาลจีนไม่อนุญาตให้มีผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งอย่างเสรี

รายงานระบุว่า นางแคร์รี แลม หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีฮ่องกง เป็นหัวหน้าเจรจาฝ่ายรัฐบาล ส่วนผู้ชุมนุมนำโดยสมาพันธ์นักศึกษาฮ่องกง มีแกนนำคือ นายอเล็กซ์ โจว น.ส.อีวอน เหลียง นายอีสัน ชาน ฯลฯ การเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ไม่มีการทะเลาะ นางแลมยืนยันว่า การให้ชาวฮ่องกง 5 ล้านคนเลือกคณะกรรมการการเลือกตั้ง 1,200 คนสำหรับการสรรหาผู้สมัครก่อนจะเป็นประชาธิปไตยมากกว่า



แต่นายโจว ผู้นำนักศึกษาโต้แย้งว่า แนวทางการปฏิรูปของรัฐบาลไม่เป็นไปตามประชาธิปไตย ไม่มีความเท่าเทียม ไม่เป็นผลดีต่อช่องว่างทางฐานะของชาวฮ่องกง ซึ่งหลังการเจรจา ฝ่ายนักศึกษามองว่ารัฐบาลยังไม่มีความชัดเจน จึงจะต้องปรึกษาหารือกันก่อนมีการเจรจาครั้งต่อไป

ก่อนหน้าการเจรจา นายเหลียง ชุนอิง หัวหน้าคณะบริหารเขตปกครองพิเศษฮ่องกง กล่าวเปิดช่องว่า ถึงแม้รัฐบาลจีนจะไม่เปลี่ยนนโยบายให้คัดกรองตัวผู้สมัครผู้นำฮ่องกงก่อน แต่จะปรับให้วิธีการคัดเลือกตัวคณะกรรมการจัดการเลือกตั้ง 1,200 คนผู้ที่จะทำหน้าที่คัดกรองผู้สมัคร เป็นไปในแนวทางประชาธิปไตยได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้นายเหลียงให้สัมภาษณ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล และนิวยอร์กไทมส์ มีเนื้อหาทำให้คนจำนวนมากไม่พอใจว่า การปล่อยให้ผู้สมัครลงเลือกตั้งผู้นำอย่างเสรีไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่เช่นนั้นประชาชนที่รายได้น้อยจะครองเสียงข้างมาก



"ถ้าผู้ลงสมัครเป็นผู้นำมาจากการคัดเลือกของสาธารณชนนั่นหมายถึงภาคที่ใหญ่ที่สุดของสังคมคนจนในเมืองมีแนวโน้มจะครองกระบวนการเลือกตัวแทน แล้วถ้าเป็นเกมที่นับตัวเลขและเป็นตัวแทนที่นับจำนวนแบบนี้ มันเห็นได้ชัดว่าคุณกำลังพูดถึงครึ่งหนึ่งของคนในฮ่องกงที่มีรายได้น้อยกว่า 1,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน" นายเหลียงกล่าว

ด้านกลุ่มประชาธิปไตยกล่าวว่า ประเด็นให้สัมภาษณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ไว้ใจประชาชนซึ่งสมควรเป็นเจ้าของอำนาจในการบริหารอย่างเท่าเทียม

ที่มา ข่าวสดออนไลน์

เจรจาฮ่องกงยกแรกยังไม่บรรลุผล ผู้นำชี้ "กลัวคนจนครองเสียงข้างมาก" : ประชาชาติธุรกิจออนไล

 

Kaokala Fc
22 ต.ค. คนเก็บขยะอารมณ์ดี!!! แต่งตัวเป็นสไปเดอร์แมน!! ดูแลหน้าผา!



คนเก็บขยะในมณฑลเหอหนาน ประเทศจีน แต่งตัวเป็นสไปเดอร์แมน คอยทำหน้าที่เก็บขยะบริเวณหน้าผาใกล้สถานที่ท่องเที่ยว
วันนี้(22 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พนักงานดูแลความสะอาด 2 คนที่แหล่งท่องเที่ยวในมณฑลเหอหนานประเทศจีน สร้างรอยยิ้มให้กับผู้พบเห็นโดยการแต่งตัวเป็นสไปเดอร์แมนระหว่างปฏิบัติหน้าที่ (ชมคลิป คนเก็บขยะอารมณ์ดี!!! แต่งตัวเป็นสไปเดอร์แมน!! ดูแลหน้าผา! - YouTube)



บริเวณที่ทั้ง 2 ดูแลจะเป็นหน้าผาซึ่งมีความสูง 160 เมตร โดยคาดหวังจะทำให้นักท่องเที่ยวตื่นตัวในการทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง เพราะทุกๆวัน พวกเขาสามารถเก็บขยะบริเวณนี้ได้ราว 16 กระสอบเลยทีเดียว

 

ความหวังใหม่นักวิทย์ฯจีนค้นพบไวรัสฆ่ามะเร็ง



วารสารทางการแพทย์สหรัฐ เผย นักวิทยาศาสตร์จีนค้นพบไวรัส 'เอ็ม1' ในยุงชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถควบคุมการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ โดยไม่ทำร้ายเซลล์ปกติ คาดว่าจะเป็นความหวังใหม่ของผู้ป่วยโรคมะเร็ง

วันศุกร์ 24 ตุลาคม 2557 เวลา 00:15 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองกวางโจว ประเทศจีน เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่า วารสารรายงานการประชุมของสภาวิทยาศาสตร์แห่งชาติสหรัฐ (Proceedings of the National Academy of Sciences of the United States of America) ฉบับประจำเดือน ต.ค. เผยแพร่ผลงานของทีมนักวิจัยชาวจีน จากวิทยาลัยการแพทย์จงซาน มหาวิทยาลัยซุน ยัต-เซน ในมณฑลกวางตุ้ง ซึ่งนำทีมโดย ศ.เหยี่ยน กวงเหม่ย ซึ่งค้นพบว่า ไวรัส 'เอ็ม1' (M1) ซึ่งถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนตั้งแต่ปี 2507 ในยุงชนิดหนึ่งที่พบได้ในมณฑลไหหลำ มีคุณสมบัติควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ โดยที่ไม่สร้างความเสียหายให้เซลล์ปกติ

คุณสมบัติดังกล่าวถูกนำมาศึกษาเพื่อหวังว่าจะนำไปใช้ในการรักษามะเร็ง โดยจากการทดลองในสัตว์พบว่า สามารถควบคุมเซลล์มะเร็งที่เกิดในบริเวณปอด กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ และช่องทวารหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม อาจต้องใช้เวลาอีกนานถึง 3 ปี จึงจะเข้าสู่กระบวนการทดสอบทางคลีนิกได้

ทั้งนี้ วารสารทางการแพทย์ของจีนระบุว่า มะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตชาวจีนไปจำนวนมาก โดยทุกๆ 1 นาที จะมีผู้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง 6 คน ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นราว 3.5 ล้านรายต่อปี และในแต่ละปีมีชาวจีนเสียชีวิตจากมะเร็งราว 2.5 ล้านราย หรือเกือบเท่าประชากรของคูเวตทั้งประเทศ.

ขอบคุณภาพจาก Zee News: Latest News Headlines, Current Live Breaking News from India & World

ความหวังใหม่นักวิทย์ฯจีนค้นพบไวรัสฆ่ามะเร็ง | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

มาลีพบผู้ติดเชื้ออีโบลาคนแรก??มาลีพบผู้ติดเชื้ออีโบลาคนแรก



รัฐบาลมาลียืนยันการพบผู้ติดเชื้ออีโบลาคนแรกในประเทศ เป็นเด็กหญิงอายุ 2 ขวบ ซึ่งเคยเดินทางไปยังกินี หนึ่งในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้ออย่างรุนแรง

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/5an3bWoP3vQ?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

วันศุกร์ 24 ตุลาคม 2557 เวลา 07:42 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบามาโก ประเทศมาลี เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ว่ากระทรวงสาธารณสุขมาลีออกแถลงการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี เรื่องการพบผู้ติดเชือ้ไวรัสอีโบลาคนแรกในประเทศ เป็นเด็กหญิงวัย 2 ขวบ หลังผลตรวจเลือดเมื่อวันพุธออกมาเป็นบวก ปัจจุบันผู้ป่วยพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองเคเยส ห่างจากกรุงบามาโกไปทางตะวันตกราว 600 กิโลเมตร ทั้งนี้ มารดาของเธอเสียชีวิตเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาในกินี แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันว่าเกิดจากเชื้อไวรัสมรณะหรือไม่

นอกจากนี้ เด็กหญิงยังมีประวัติเดินทางไปยังเมืองคิสซิดูกู ทางตอนใต้ของกินีด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในเมืองแรกในภูมิภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกา ที่พบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลาตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว ก่อนเริ่มมีการบันทึกสถิติอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนมี.ค.ปีนี้เป็นต้นมา ขณะนี้เจ้าหน้าที่ยืนยันสามารถติดตามตัวบุคคลใกล้ชิดกับผู้ป่วยให้มารายงานเพื่อรับการกักบริเวณชั่วคราวแล้ว

ด้านรายงานสถานการณ์เชื้อไวรัสอีโบลาล่าสุดโดยองค์การอนามัยโลก ( ฮู ) เผยแพร่เมื่อวันพุธ ระบุการพบผู้เสียชีวิตแล้ว 4,877 ศพ จากจำนวนผู้ติดเชื้อ 9,936 คน ส่วนใหญ่พบในไลบีเรีย กินี และเซียร์ราลีโอน ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของมาลี คือเซเนกัลและไนจีเรีย เคยพบผู้ติดเชื้อแต่สามารถรักษาตามอาการจนหายขาด และได้รับการยืนยันจากฮูให้เป็นประเทศปลอดเชื้อไวรัสอีโบลาแล้วในสัปดาห์นี้ เนื่องจกาไม่พบผู้ป่วยเพิ่มในระยะ 42 วันหลังพบผู้ติดเชื้อคนล่าสุด

มาลีพบผู้ติดเชื้ออีโบลาคนแรก | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

อียูตั้งเป้าลดปล่อยคาร์บอนฯร้อยละ 40 ภายใน 16 ปี



ที่ประชุม 28 ประเทศสมาชิกอียูบรรลุข้อตกลงเบื้องต้น ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์รวมกันให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 40 ภายในปี 2573 หรืออีก 16 ปีข้างหน้า

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/T9C1qCZcRXU?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

วันศุกร์ 24 ตุลาคม 2557 เวลา 08:57 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ว่านายแฮร์มัน ฟาน รอมปุย ประธานคณะมนตรียุโรป แถลงเมื่อวันพฤหัสบดี เรื่องที่ประชุมสุดยอดผู้นำ 28 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ( อียู ) มีมติเห็นพ้องในข้อตกลงพื้นฐานฉบับสำคัญ ว่าด้วยการควบคุมปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศ โดยเบื้องต้นมีการกำหนดเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซชนิดนี้ของทุกประเทศสมาชิกรวมกันให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 40 ภายในปี 2573

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังบรรลุข้อตกลงเบื้องต้นเรื่องการเพิ่มปริมาณการใช้พลังงานหมุนเวียนให้เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 27 ในช่วงเวลาเดียวกัน และเพิ่มอัตราส่วนประสิทธิภาพการใช้พลังงานให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 27 ด้วย

ทั้งนี้ สมาชิกอียูทั้ง 28 ประเทศต้องการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวอย่างเป็นทางการก่อนการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 ซึ่งย่อว่า "ซีเอ็มพี 11" หรือ "ซีโอพี 21" ที่กรุงปารีส ระหว่างเดือนพ.ย.-ธ.ค.ปีหน้า

อียูตั้งเป้าลดปล่อยคาร์บอนฯร้อยละ 40 ภายใน 16 ปี | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

นิวยอร์กพบผู้ติดเชื้ออีโบลาคนแรก



ผลตรวจเลือดแพทย์ชาวนครนิวยอร์กซึ่งเพิ่งกลับจากทำงานที่กินี พบการติดเชื้อไวรัสอีโบลา ถือเป็นคนแรกในพื้นที่และเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสมรณะคนที่ 4 ซึ่งแสดงอาการในสหรัฐ

<iframe width="640" height="360" src="//www.youtube.com/embed/vTHvnq1mFm8?feature=player_embedded" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

วันศุกร์ 24 ตุลาคม 2557 เวลา 09:31 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่านายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก แถลงเกี่ยวกับผลการตรวจเลือดของนพ.เคร็ก สเปนเซอร์ อายุ 33 ปี เจ้าหน้าที่ขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน ( เอ็มเอสเอฟ ) ซึ่งเดินทางกลับมายังบ้านพักในเขตแมนฮัตตันของนครนิวยอร์กเมื่อ 10 วันที่แล้ว หลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกินี หนึ่งในประเทศที่อัตราการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสอีโบลารุนแรงที่สุด ว่าผลเลือดออกมาเป็นบวก และนพ.สเปนเซอร์มีไข้สูงถึง 39.4 องศาเซลเซียส รวมถึงท้องเสียอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นอาการเบื้องต้นของการติดเชื้อไวรัสอีโบลา

ปัจจุบันนพ.สเปนเซอร์เข้ารับการรักษาตัวอยู่ภายในแผนกกักบริเวณของโรงพยาบาลเบลเลวู ในเขตแมนฮัตตัน ถือเป็นผู้ป่วยคนที่ 4 ที่แสดงอาการของเชื้อไวรัสอีโบลาในสหรัฐ ต่อจากชายชาวไลบีเรีย และพยาบาลอีก 2 คนในเมืองดัลลัส รัฐเทกซัส และถือเป็นผู้ป่วยคนแรกของรัฐนิวยอร์ก

ด้านนายบิล เดอ บลาซิโอ นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ก กล่าวขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ และอย่าตื่นตระหนกจนเกินขอบเขต โดยยืนยันว่าทางการมีมาตรการรับรองอย่างรัดกุมขั้นสูงสุดตามมาตรฐานโลก เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ทำการกั้นบริเวณโดยรอบอพาร์ตเมนต์ของนพ.สเปนเซอร์ และสั่งกักตัวคู่หมั้นของผู้ป่วยแล้ว รวมถึงมีการประกาศให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงรับทราบสถานการณ์ ขณะที่แหล่งข่าวรายหนึ่งเผย นพ.สเปนเซอร์ใช้บริการรถไฟใต้ดินและรถแท็กซีในเขตบรูคลินเมื่อสัปดาห์ที่แล้วด้วย

นับตั้งแต่เดือนมี.ค. เป็นต้นมา เชื้อไวรัสอีโบลาคร่าชีวิตประชากรโลกไปแล้ว 4,877 ศพ จากจำนวนผู้ป่วยอย่างน้อย 9,936 คน ส่วนใหญ่พบในไลบีเรีย เซียร์ราลีโอน และกินี

นิวยอร์กพบผู้ติดเชื้ออีโบลาคนแรก | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

ศาลสูงยุ่นหนุนสาวท้องฟ้องนายจ้างกดขี่



ศาลสูงญี่ปุ่น มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ กรณียกฟ้องในคดีที่นักกายภาพบำบัดหญิง ยื่นฟ้องนายจ้างฐานปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นธรรม ด้วยการลดตำแหน่งเนื่องจากการตั้งครรภ์ของเธอ

วันศุกร์ 24 ตุลาคม 2557 เวลา 02:57 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่า ศาลสูงในจังหวัดฮิโรชิมา ทางตะวันตกของญี่ปุ่น มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นทบทวนคำตัดสินใหม่อีกครั้ง ในคดีที่นักกายภาพบำบัดหญิงรายหนึ่ง ยื่นฟ้องบริษัทฮิโรชิมา ชูโอ โฮเคน เซคัตสึ เกียวโด คูมิไอ ผู้เป็นนายจ้าง โดยเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 1.7 ล้านเยน (ประมาณ 507,683 บาท) จากกรณีที่เธอถูกเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม

เหตุเกิดขึ้นหลังจากที่โจทก์ตั้งครรภ์ เธอได้รับข้อเสนอจากนายจ้าง ในการลดตำแหน่งและภาระงาน ไปอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าและความรับผิดชอบน้อยกว่า โดยพิจารณาจากสภาพร่างกายและสวัสดิภาพของเธอในขณะนั้นเป็นสำคัญ ซึ่งเธอยินดีปฏิบัติตามข้อเสนอดังกล่าว แต่หลังจากเธอคลอดบุตรและกลับจากการลาคลอดแล้ว บริษัทกลับไม่ยอมคืนตำแหน่งเดิมให้เธอ ซึ่งเธอกล่าวว่าไม่เป็นไปตามที่ระบุไว้ในข้อตกลง ศาลชั้นต้นตัดสินเป็นคุณต่อจำเลย โดยระบุว่าโจทก์ยินยอมรับข้อเสนอในการลดตำแหน่งนั้นด้วยความเต็มใจ

ด้านคณะผู้พิพากษาศาลสูงกล่าวว่า ภายใต้กฎหมายความเท่าเทียมทางเพศในการจ้างงาน การปฏิบัติต่อพนักงานหญิงอย่างไม่เป็นธรรม อันเนื่องมาจากการตั้งครรภ์ การคลอดบุตร การลาคลอด หรือการขอลดภาระงาน เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายและไม่มีผลบังคับ และแม้ว่าพนักงานหญิงนั้นจะยอมรับในข้อเสนอให้ถูกลดตำแหน่ง นายจ้างก็ควรชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรถึงเหตุผลของการลดตำแหน่งและผลที่ตามมาอย่างถี่้ถ้วนด้วย

ความไม่เท่าเทียมทางเพศโดยเฉพาะในที่ทำงาน เป็นเรื่องปกติที่พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันปัญหานี้ได้รับการใส่ใจมากขึ้น และมีการเรียกร้องให้มีการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมในที่ทำงาน โดยเฉพาะกับหญิงตั้งครรภ์ หญิงมีบุตร และพนักงานหญิงที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่ต่ำกว่าระดับความสามารถที่แท้จริง โดยการยกระดับสถานะของพนักงานหญิงในที่ทำงาน เป็นอีกหนึ่งนโยบายของนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ภายใต้ยุทธศาสตร์อาเบะโนมิคส์ ที่มีเป้าหมายในการฟื้นฟูญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับ 3 ของโลก.

ศาลสูงยุ่นหนุนสาวท้องฟ้องนายจ้างกดขี่ | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

ปรับบ.ไฮเทคสหรัฐเอาเปรียบแรงงานอินเดีย



ทางการสหรัฐสั่งปรับบริษัทเทคโนโลยีการพิมพ์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ฐานจ่ายค่าแรงคนงานนำเข้าจากอินเดียต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด

วันศุกร์ 24 ตุลาคม 2557 เวลา 04:31 น.
สำนักข่าวเอพีรายงานจากเมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ว่า บริษัทเทคโนโลยีการพิมพ์ อิเลคทรอนิกส์ ฟอร์ อิเมจจิง อิงค์. หรือ อีเอฟไอ แห่งซิลิคอน วัลเลย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ถูกทางการสั่งจ่ายเงินแก่ลูกจ้างนำเข้าชาวอินเดีย 8 คน เป็นจำนวน 43,000 ดอลลาร์ เป็นค่าปรับและค่าแรงที่ขาดหายไปซึ่งลูกจ้างเหล่านี้ควรจะได้ ระหว่างทำงานในโครงการพิเศษให้บริษัทเมื่อปีที่แล้ว ในการช่วยบริษัทย้ายที่ทำการสำนักงานใหญ่ ไปยังเมืองฟรีมอนต์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

การสอบสวนโดยกระทรวงแรงงานสหรัฐ พบว่า บริษัท อีเอฟไอ จ่ายค่าแรงให้แรงงานชาวอินเดียจากเมืองบังกาลอร์ คนละ 1.21 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง ซึ่งต่ำกว่าอัตราค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งปีที่แล้วอยู่ที่ชั่วโมงละ 8 ดอลลาร์ นอกจากนั้นคนงานกลุ่มนี้ยังทำงานหนักถึงสัปดาห์ละ 122 ชั่วโมง โดยไม่ได้รับเงินค่าล่วงเวลา ถือว่าถูกปฏิบัติเหมือนทำงานในโรงงานทาสของต่างแดน

ทางด้านตัวแทนของบริษัท อีเอฟไอ กล่าวถึงคดีนี้ ว่า บริษัทมองกฎหมายแรงงานสหรัฐพลาดโดยไม่เจตนา.

ปรับบ.ไฮเทคสหรัฐเอาเปรียบแรงงานอินเดีย | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

ฝรั่งเศสทวงคืนแชมป์ผู้ผลิตไวน์ของโลก



องค์การไวน์ระหว่างประเทศคาด ยอดรวมการผลิตไวน์ของฝรั่งเศสในปีนี้เพิ่มขึ้น 10% ส่งผลให้ฝรั่งเศสเตรียมกลับคืนสู่ตำแหน่งประเทศผู้ผลิตไวน์มากที่สุดในโลกอีกครั้ง

วันศุกร์ 24 ตุลาคม 2557 เวลา 01:22 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่าองค์การไวน์ระหว่างประเทศ (โอไอวี) เผยว่า ฝรั่งเศส ดินแดนต้นกำเนิดไวน์รสเลิศอย่างเบอร์กันดี บอร์โด และชาร์ดอเน จะกลับขึ้นมาเป็นแชมป์ผู้ผลิตไวน์มากที่สุดในโลกอีกครั้ง โดยมีประมาณการการผลิตของปีนี้อยู่ที่ 4,600 ล้านลิตร หรือราว 6,160 ล้านขวด ซึ่งเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน สามารถเอาชนะอิตาลีเจ้าของแชมป์ปีที่แล้ว ที่ปีนี้คาดว่ายอดผลิตจะลดลง 15% เหลือเพียง 4,420 ล้านลิตร ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพภูมิกาศที่เย็นและชื้นกว่าปกติของฤดูร้อนปีนี้ ขณะที่สเปนซึ่งได้อันดับ 2 ของปีที่แล้ว มีจำนวนการผลิตลดลง 19% เหลือ 3,700 ล้านลิตรในปีนี้ เทียบกับ 4,560 ล้านลิตรจากปีที่แล้ว

การลดลงดังกล่าว ส่งผลให้ปริมาณการผลิตไวน์ทั่วโลกปีนี้ลดลง 6% อยู่ที่ 27,100 ล้านลิตร อย่างไรก็ตาม ยอดการผลิตของกลุ่มผู้ผลิตไวน์โลกใหม่คาดว่าน่าจะคงที่ โดยสหรัฐผลิตได้ 2,200 ล้านลิตร ชิลี 1,000 ล้านลิตร ขณะที่นิวซีแลนด์ทำลายสถิติของตัวเองผลิตได้ 300 ล้านลิตร.

ฝรั่งเศสทวงคืนแชมป์ผู้ผลิตไวน์ของโลก | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

ซาอุฯลั่นเอาจริงปราบผู้ละเมิดกม.ห้ามผู้หญิงขับรถ



กระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบีย ประกาศไม่ยอมอ่อนข้อให้กับกลุ่มผู้หญิงที่ฝ่าฝืนกฎหมายโดยการเผยแพร่ภาพขณะขับรถลงบนโลกออนไลน์ พร้อมบังคับใช้กฎหมายขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่ละเมิด

วันศุกร์ 24 ตุลาคม 2557 เวลา 00:15 น.
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อวันที่ 23 ต.ค. ว่า กระทรวงมหาดไทยซาอุดีอาระเบีย ออกแถลงการณ์ว่า จะมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับสตรีขาวซาอุดีอาระเบียคนใดก็ตาม ที่ท้าทายกฎหมายโดยการเผยแพร่ภาพถ่ายหรือคลิปวิดีโอขณะขับรถยนต์ลงบนอินเตอร์เน็ต เนื่องจากกฎหมายของประเทศห้ามไม่ให้ผู้หญิงขับรถยนต์ในที่สาธารณะ และการกระทำเช่นนั้นเป็นการบ่อนทำลายความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม โดยในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีกลุ่มหญิงชาวซาอุดิอาระเบียจำนวนมาก ก่อการประท้วงอย่างเงียบๆ ด้วยวิธีดังกล่าว

นับตั้งแต่ช่วง 'อาหรับสปริงส์' หรือคลื่นปฏิวัติในโลกอาหรับเมื่อปี 2554 รัฐบาลริยาดใช้มาตรการเข้มงวดในการรับมือกับกลุ่มต่างๆ ที่พยายามก่อการประท้วงขึ้นในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านเสรีภาพ กลุ่มผู้เคร่งศาสนา รวมถึงกลุ่มผู้นับถือศาสนานิกายอื่นๆ ด้วย

อย่างไรก็ตาม นับแต่การขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์อับดุลลาห์ เมื่อปี 2548 สถานภาพของผู้หญิงได้รับการยกระดับมากขึ้น โดยทรงเพิ่มโอกาสทางการศึกษาและการจ้างงานสำหรับผู้หญิง แม้จะถูกต่อต้านอย่างหนักจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ตาม.

ขอบคุณภาพจาก The Independent | News | UK and Worldwide News | Newspaper

ซาอุฯลั่นเอาจริงปราบผู้ละเมิดกม.ห้ามผู้หญิงขับรถ | อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์

 

ตำรวจอังกฤษเงิบ!! เด็กโทรแจ้งช่วยซอมบี้ แต่งหน้าเหมือนเกิน
โดย ข่าวต่างประเทศ 23 ต.ค. 2557 17:21



ตำรวจอังกฤษถึงกับเงิบ หลังเด็กโทรแจ้งให้ช่วยชายถูกทำร้าย มีแผลฉกรรจ์บนหน้า แถมเดินเหมือนซอมบี้ ตรวจสอบพบเป็นเพียงฝีมือการแต่งหน้าของบัณฑิตสาวป้ายแดงเท่านั้น...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ตำรวจในเขตเชสไชร์ เมืองแวร์ริงตัน ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษ ได้รับแจ้งจากเด็กชาย 2 คน ว่า พบชายคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสและมีบาดแผลฉกรรจ์บริเวณใบหน้า คาดว่าจะถูกทำร้าย

เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ ตำรวจได้พบกับ นางสาวแชนเทลล์ เดเลน วัย 23 ปี และนายโจนาธาน ล็อคเกตต์ วัย 17 ปี ซึ่งสวมใส่เสื้อเชิ้ตเปื้อนเลือด บริเวณใบหน้ามีเลือดและบาดแผลฉกรรจ์มาก จึงเข้าไปสอบถาม

นาวสาวแชนเทลล์ กล่าวว่า เธอและโจนาธานเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน และเธอเพิ่งเรียนจบด้านสื่อสารมวลชน และการแต่งหน้ามาจากวิทยาลัยแห่งหนึ่ง และต้องการสร้างตัวอย่างผลงานการแต่งหน้าของเธอในคอนเซปต์ที่น่ากลัว เธอจึงให้น้องชายมาช่วยเป็นแบบให้ โดยเธอใช้น้ำยางและขี้ผึ้งมาทำเป็นบาดแผลฉกรรจ์บนใบหน้าของโจนาธาน โดยทำให้คล้ายกับว่า เนื้อบริเวณแก้มบางส่วนได้หลุดออกไป อีกทั้งยังใช้เลือดปลอมมาสะบัดใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวของโจนาธาน เพื่อความสมจริง

จากนั้นทั้งคู่ได้เดินทางไปยังเพ็นเคธ โซเชียล คลับ ซึ่งเป็นอาคารที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว และตั้งอยู่ตรงข้ามกับบ้านของแม่เธอ เพื่อใช้เป็นฉากในการถ่ายรูป เธอเล่าว่ามีเด็กสองคนมองเธอและโจนาธานด้วยสายตาแปลกๆ แต่ก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะเชื่อว่าบาดแผลบนหน้าของโจนาธานเป็นของจริง ดังนั้น เมื่อเธอเห็นตำรวจ 2 นาย เดินมาหา เธอจึงคิดว่าอาจมีคนแจ้งว่าเธอเข้ามาบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว แต่ตำรวจกลับบอกเธอว่าได้รับแจ้งจากเด็ก 2 คนว่า โจนาธานได้รับบาดเจ็บและมีบาดแผลฉกรรจ์ อีกทั้งยังเดินคล้ายกับซอมบี้ โดยเด็กทั้ง 2 คนนั้นหวาดกลัวน้องชายของเธอมาก เมื่อได้ยินดังนั้น เธอรู้สึกอึ้งไปสักครู่ และนึกขอบคุณตำรวจที่มีอารมณ์ขัน และเห็นเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องตลก อีกทั้งรู้สึกไม่ดีที่ทำให้เด็กทั้ง 2 คน หวาดกลัว

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้เอาผิดกับ นางสาวแชนเทลล์ และนายโจนาธาน เนื่องจากเห็นว่าเป็นเพียงการเข้าใจผิดของเด็กชายทั้ง 2 คน เท่านั้น

(ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก: dailystar.co.uk)

ตำรวจอังกฤษเงิบ!! เด็กโทรแจ้งช่วยซอมบี้ แต่งหน้าเหมือนเกิน - ข่าวไทยรัฐออนไลน์