กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    วันนี้เช้าวันอาทิตย์ ตื่นไปทำบุญมา กลับมานอนหลับต่อไม่รู้เรื่องเลย
    แถมวันนี้ดันสอบตกอีกตามระเบียบ ๕๕๕ ไหนก็สอบเป็นเรื่องปกติแล้ว
    วันนี้ตอนแรกเปลี่ยนแนวมาเล่าเรื่องดีกว่า...
    เรื่อง เล่าชาวสยาม ส่วนตัวชอบอ่านเหมือนกันครับ สนุกดีครับ แม้ว่าจะเกิด
    ไม่ทันแต่ละท่านที่กล่าวมานะครับ
    แต่ส่วนตัวก็มีเรื่องเล่าแต่เป็นเพียง แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
    เรื่องพลังงานของแต่ละท่านยังไงๆก็ไม่วันเสื่อมสลายครับ
    .ณ เวลานี้หากเราย้อนไปเชื่อมดูพลังงานของแต่ละท่านได้
    ก็จะพอทำให้เราทราบได้บ้างว่าแต่ละท่านเมื่อก่อนมีความสามารถทางจิตระดับไหน
    และท่านเน้นการใช้งานไปในทางด้านใดบ้างครับ.และด้วยเอกลักษณ์ของพลังงาน
    ที่แตกต่างกันของแต่ละท่าน ก็จะทำให้เราพอแยกแยะได้ว่าเป็นของท่านใดด้วยครับ.
    ซึ่งพลังงานที่เกิดมาจากตัวจิตตรงนี้..มันจะอยู่เหนือสัญญาการปรุงแต่งที่ออก
    มาสร้างเป็นภาพ ออกมาเป็นคำพูด ออกมาเป็นเรื่องราวต่างๆด้วยครับ...

    อย่าง เสด็จในกรม มีชื่อบางท่าน ที่เราๆมักได้ยินเรื่องราวท่านอยู่บ่อยๆ ส่วนตัวก็พอ
    จะทราบว่า ท่านก็มีความสามารถทางจิตในกำลังสมาธิระดับสูงมาก่อนเช่นกัน แต่ลักษณะ
    ความสามารถท่านจะไปผูกกับเรื่องของเมตตาเป็นหลักเรียกว่าแทบจะรวมเป็นสายเดียวกัน
    แม้ว่าจิตท่านจะเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์อยู่ก็ตาม ณ เวลานั้น
    เมื่อก่อนนี้ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงท่านนี้เท่าไรครับ เพราะเห็นว่าท่านเป็นคนดังในอดีตใครๆ
    ก็รู้จักดี..และส่วนตัวได้ยินเรื่องราวของท่านมาตั้งแต่ยังจำความได้ แต่ก็ไม่สนใจเท่าไร
    เพราะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกับเค้าหรอกครับ บางทีฟังๆแล้วยังคิดว่ามันใช่หรือเปล่าน้อ.
    และคุณ ป้า (ลูก ป ท.)ท่านก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนตอนเด็กๆท่านก็เข้าวังกับ ปู่ ท. บ่อยๆ
    เป็นว่าเล่น บอกตรงๆว่าฟังแล้วไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
    แม้ว่าคนบริเวณที่ท่านพักอาศัยจะเรียก คุณ ป้า ว่าคุณนายๆ ก็ตาม
    แต่ที่สายเลือดท่านคนหนึ่งปัจจุบันก็มีสติกเกอร์ใบหนึ่ง
    ได้มานานแล้วที่ติดไว้ที่รถเสมือนบัตรผ่านเข้าออกได้..
    .

    เหตุเพราะว่า คุณ ปู่ ท.
    ที่เป็นอดีตพ่อค้าล่องเรือสำเภาท่านหนึ่งชื่อ เล่น ท. มีถิ่นอาศัยอยู่ที่ข้างวัดใหญ่
    จังหวัดพิษณุโลกท่านเป็นเพื่อนสนิทของ เสด็จมีชื่อท่านนี้ และมักจะไปไหนมาไหนด้วยกัน
    ตลอด และที่สำคัญก็คือคลื่นกระแสจิตท่านจะเหมือนๆกับเสด็จในกรมท่านนี้แต่ว่า
    จะอ่อนกว่าเล็กน้อย..และเรื่องที่มักจะไปทำด้วยกันที่ผู้เขียนได้ยินจะเป็นไปในทาง
    เคลียร์เรื่องทางภพภูมิบริเวณสถานที่ต่างๆ..โดยส่วนตัวก็เกิด
    ไม่ทันคุณ ปู่ หรอกครับ ได้ยินแต่ ยายหง่อม ถ้ายังอยู่อายุจะ ๑๑๒ ปีพอดี.
    ยายหง่อม คนนี้หละครับ ที่เคยเล่าให้ฟังว่า พวกยมทูต เคยมาเอาวิญญานไป
    แล้วท่านพยายม บอกว่าคนละนามสกุล ให้รีบเอาไปคืน ตอนเอาไปท่านอายุ ๗๓
    และอยู่ได้ปกติอีก ๒๐ ปีต่อมา..
    เล่าให้ฟังว่า แกเป็นพวกนุ่งขาวหุ่มขาวชอบไปปราบผีกับเสด็จมีชื่อ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม
    ในประเทศไทยจะไปด้วยกันเพราะว่าเป็นเพื่อสนิทกัน..มีแค่ที่เดียวที่แม้ว่าจะรวมกันแล้ว
    ก็ยังปราบไม่ได้ ก็คือ เจดีย์ร้างๆแห่งหนึ่ง ที่อยู่ตรงข้ามกับวัดใหญ่ พิษณุโลก และยังคง
    อยู่มา ณ ปัจจุบันนี้ มีสมบัติมากมาย แต่ผู้ที่ดูแล ในอดีตก็เป็นถึงระดับผู้มีบารมีมาก
    เรียกว่าเทียบยศเทียบต่ำแหน่งกับเสด็จในกรมคงพอๆกันและก็มีวิชาพอตัว
    แต่ก็โดนวิบากกรรมจากผู้มีบารมีมากยิ่งกว่า และยังอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
    เป็นสถานที่เดียวที่เคยได้ยิน ยายหง่อม เล่าให้ฟังว่า ไม่สามารถทำอะไรได้ครับ

    และด้วยลักษณะคลื่นกระแสจิตของเสด็จในกรมท่านนี้บวกกับบารมีขนาดนี้
    ส่วนตัวจึงไม่แปลกใจว่า ณ ปัจจุบันนี้ท่านครองต่ำแหน่งอะไรอยู่ในทางภพภูมิ
    โดยส่วนตัว.ก็ยังพอมีสัมผัสกับท่านนี้ด้วยเมื่อประมาณ ๓ ปีก่อนแต่เป็นทางนิมิตร
    ในขณะที่จิตเป็นทิพย์เลยไม่ให้ความสำคัญมากเท่าไร..และจนกระทั่งผ่านไปอีก
    ไม่กี่เดือน ก็ได้พบเจอกับท่านนี้ ในรูปแบบตาเปล่าชนิดเห็นๆ ทำให้ส่วนตัวพอจะ
    ทราบว่า การปรากฏตัวของผู้มีฤิทธิ์ มีบารมีมากๆ ในตอนกลางวันแบบให้เรามอง
    เห็นจะๆ ได้มันอลังการงานสร้างและพิศดารแค่ไหน.แต่ไม่ขอเล่าให้รายละเอียดให้ฟัง
    เพราะว่ามันเป็นปัจจัตตังเกินไป..พูดไปก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ เลยไม่ให้ความสำคัญเท่าไร...
    และก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้..ย้อนไปอีก ๒ ปีในวันสำคัญแห่งหนึ่งที่จะมีการเปลี่ยนภพภูมิ
    ของบุคคลท่านหนึ่งที่มีพระคุณต่อผู้เขียนมาก..ในขณะที่ผู้เขียนกำลังเดินทางเพื่อ
    กลับไปให้ทันการจากไปของบุคคลสำคัญท่านนี้..ตอนนั้นผู้เขียนอยู่ภาคใต้ แต่ด้วยอะไร
    ก็ไม่ทราบทำให้ผู้เขียนขับรถหลงเส้นทาง ทั้งๆที่เป็นถนนคู่ขนานกัน ขับหลงเส้นทางใน
    ที่นี้ก็คือ ขับรถย้อนกลับมาอีก ๑๕๐ กม.และไปยังเส้นไหนก็ไม่ทราบ และสุดท้ายก็ได้
    มาจอดแวะพักที่หนึ่ง พอหันไปมองพบว่าเป็น รูปแทนของเสด็จในกรมท่านนี้. ตอนนั้น
    ทราบได้ทันทีว่า เราเองคงไม่มีความสามารถที่จะช่วยอะไรผู้มีบุญคุณท่านนี้ได้แล้ว
    เพราะว่าถึงวาระท่านจริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ช่วยมาแล้ว ๒ ครั้ง..แต่ก็เป็นเครื่องยืนยัน
    ได้ว่าท่านไปดีแล้วในระดับหนึ่ง..เนื่องจากได้ทราบว่า มีท่านใดมารับท่านไปบ้าง..

    และส่วนตัวก็ไม่แปลกใจเลยนะครับว่า..ทำไมหลวงปู่ชื่อ ย่อ ศ. ท่านจึงแนะนำให้
    เสด็จในกรมท่านนั้นท่านนี้ไปฝึกกับ ครูบาร์อาจารย์ท่านต่างๆ..ทั้งๆที่จริงๆแล้ว
    หลวงปู่ ศ. ท่านก็สามารถทำได้นะครับ..เพียงแต่ว่าถ้าเทียบกับ ครูบาร์อาจารย์
    ท่านๆนั้นแล้ว..ท่านจะยังอ่อนกว่าในเรื่องของกำลังจิตและความชำนาญในทาง
    ด้านนั้นๆนั่นเอง..เรียกได้ว่า คืออยากจะฝึกด้านไหนก็แนะนำให้ เสด็จในกรม
    ไปหาท่านที่ชำนาญที่สุดนั่นเอง บอกได้ว่า ครูบาร์อาจารย์สมัยก่อนท่านๆจะพอรู้กันครับ
    ว่าท่านใดทำอะไรได้บ้าง และมีความชำนาญด้านไหน และก็ให้เกียรติกันเป็นอย่างมาก..
    ซึ่งส่วนตัวมองว่าเป็นนิสัยที่นักปฏิบัติ ณ ปัจจุบันควรจำเอาไว้เป็นเยี่ยงอย่างครับ..

    ปล.จบเรื่องเล่า เชิง แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ เด่วมาต่อเรื่องพิเศษบางตอน
    ที่คุณพี่ Raming คุณ นักรบเงา ได้เกริ่นๆ เล่าๆไว้ครับ..
    และก็เอาไว้โม้ให้ ป๋า Topluss ฟังด้วยและก็ให้คนอื่นๆมาอ่านๆแล้วงงเล่นๆครับ ๕๕๕
    ซึ่งจะทำให้ผู้ที่อ่านแล้วตีความได้ จะมีเครื่องป้องกันตน
    เรียกว่าไปได้ทุกๆที่ในโลก และจะก้าวพ้นจอมคาถาต่างๆ จอมมหาเวทย์ต่างๆ
    เซียนสวดต่างๆที่ส่งโน้นส่งนี้มาได้นี้ยังธรรมดาครับ...
    ..และพ้นจากอาวุธ ไม่ว่าจะ หอก ดาบ ปืน กรรมสาป เหล็กแหลม
    และหางไหล สารพัดเสี้ยม สารพัดคม หอกคอเงิน หอกคอทอง หอกสัมฤทธิ์
    กริชทองแดง พระแสงอาจทวนทอง มหายักษาต่างๆ ฯลฯ
    รวมทั้งบุคคลมีฤิทธิ์ ภพภูมิมีฤิทธิ์ทุกระดับได้ด้วยครับ..
    ซึ่งถ้าหากอ่านแล้วให้ตีความกันเอาเองนะครับ จะเข้าใจเรื่อง
    เครื่องป้องกันตนและเรื่องเกี่ยวกับการทำลาย
    แต่จริงๆก็ยังอยุ่ในเชิงป้องกันแต่เป็นเชิงไม่ระรานใคร

    แต่หลังจากโม้เรื่องพลังจักรวาลตอนเดิมๆก่อนนะครับ..;)..
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ขอบอกว่ายาวนะ แต่ถ้าอ่านแล้วเข้าใจได้ทั้งหมดจะดี จะได้ไม่เสียเวลาในการฝึกมาก
    แบบทั่วๆไปพื้นๆเนาะ ความจริงก็โม้ไปหลายรอบแล้วหละ แต่ไม่เป็นโม้แล้ว
    โม้อีกก็ได้....พลังงานจักรวาลก็คือพลังงานที่มีอยู่แล้วปกติ
    ของมันภายนอกต่าง โดยทั่วไปเราจะทราบ
    ว่ามาจากแหล่งต้นกำเนิดพลังงานจาก ๒ แหล่งคือ ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ และก็พอ
    ทราบว่าดวงอาทิตย์เป็นพลังงานที่ให้ความร้อน ใช้ในการป้องกัน และทำลาย
    ส่วนดวงจันทร์เป็นพลังงานเย็นที่ใช้ในการช่วยให้จิตใจสงบ
    เป็นเหตุให้ทำสมาธิได้ง่าย..รู้สึกเย็นสบายใจ ทำนองนี้..
    และสิ่งหนึ่งที่มีอยู่ภายนอกปกติอยู่แล้วนั่นก็คือ
    อากาศธาตุ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพาหนะหรือตัวกลาง
    สำหรับให้พลังงานต่างๆไม่ว่าร้อนและเย็นนี้เดินทางได้นั่นเอง...
    และที่ไม่พื้นๆก็คือ พลังงานจักรวาลก็ยังจะรวมพลังงานต่างๆที่ไม่ใช่
    พลังงานกสิณโดยตรง ขอแต่ว่ามีอยู่แล้วปกติภายนอก
    เช่น พลังงานพิเศษบางอย่างจากท่านโน้น ท่านนี้
    จากตรงนั้นตรงนี้ จากวัตถุชิ้นนั้น ชิ้นนี้หรือแม้
    ซึ่งแหล่งพลังงานบางอย่างก็จะยังมีความเกี่ยวข้องหรือมีส่วนคล้ายคลึง
    งกับกสิณบางอย่าง บางกอง คล้ายคลึงกับพลังงานความร้อน ความเย็น
    เรียกได้ว่าเหมือนๆไม่ได้แบ่งแยกกันเลยซะทีเดียว..
    แต่ถ้าเราไม่มีภาษาเรียกเพื่อความชัดเจน ในการแบ่งหมวดหมู่จะทำให้
    ความเข้าใจปกติทั่วๆไปค่อนข้างจะยาก......

    และพลังงานภายนอกต่างๆนั้น มันก็จะมีที่ร้อนจนเกินพอดี และเย็นจนเกินพอดี
    หรือเรามักจะเรียกว่ามันพร่องนั่นหละ พอดีในที่นี้คือ
    เกินความสมดุลย์ของธาตุต่างๆที่มารวมเป็นร่างกายเรานั้นหละครับ.
    .มากไปก็ตึง เย็นไปก็หนาว ขาดหายไปก็ทำให้เจ็บป่วย ประมาณนี้
    เรียกได้อีกอย่างว่า เป็นพลังงานด้านมืด ด้านลบ พลังงานไม่ดี
    อะไรต่างๆหรือสุดแล้วแต่จะเรียกนั่นหละครับ.............


    พลังงานกสิณที่เล่าๆให้ฟังนั้นมีทั้งภายนอกและภายใน..เรามาฝึกกสิณเพื่อที่จะโน้ม
    นำพลังงานที่มีอยู่ภายนอกสำหรับที่จะให้จิตของเรานี้เกิดสัญญาตัวหนึ่งขึ้นในจิตเพื่อ
    การโน้มนำให้จิตสร้างพลังงานกสิณกองต่างๆจากภายในจิต..เพื่อให้สร้างออกไปสัมผัส
    ไปเชื่อมกับพลังงานกสิณภายนอกต่างๆได้นั่นเอง เป็นที่มาของการฝึกสร้างกำลังจิต
    ในระดับที่ปั่นปฏิภาคนิมิตรให้ได้จนจิตเกิดกำลังจิต ก็จะสามารถสัมผัสพลังงานกสิณ
    ต่างๆที่มีอยู่ภายนอกได้..แต่การจะไปสัมผัสได้ต้องสร้างจากภายในก่อนเท่านั้นเอง..
    ในขณะที่จิตกำลังนั้น เราก็จะพบอีกอย่างหนึ่งว่า พาหนะที่ทำให้ให้พลังงานภายใน
    จากจิตออกไปเชื่อมกับพลังงานภายนอกได้นั่นก็คือ อากาศธาตุ อีกแล้ว..
    และเมื่อจิตมันมีกำลังจิตมีความสามารถไปเชื่อมกับพลังงานต่างๆจากภายนอก
    ได้นั้น จึงเป็นเรื่องปกติที่จิตจะมีความสามารถในการ รับรู้และสัมผัสพลังงาน
    ร้อนพลังงานเย็นได้เป็นปกติแบบไม่ใช่เรื่อง วิเศษวิโส หรือเรืองพิศดารอะไร..
    .
    ที่นี้เวลาเราพูดถึงพลังงานเราจะเอาแต่แค่ความรู้สึกต่างๆ
    ไม่มีคำว่ารูปเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะจะทำให้เราตัดเรื่อง
    ของสัญญาการปรุงแต่งๆต่างๆได้
    เช่น ความรู้สึกร้อน ความรู้สึกเย็น ไม่ว่าใครอยู่
    ที่ไหนก็จะรู้สึกร้อน รู้สึกเย็น โดยไม่ต้องมีภาษาเขียน ภาษาพูด
    รูปภาพ แทนให้รู้สึกร้อน ให้รู้สึกเย็น เช่น ร้อน hot เย็น Cold โคตะระหนาว โคตะระร้อน เป็นต้น.ฯลฯ
    ที่นี้ขอพูดแบบพื้นๆก่อนเกี่ยวกับเรื่องการรักษา เราควรเข้าใจก่อนว่า
    ร่างกายประกอบด้วย ธาตุต่างๆคือ น้ำ ดิน ไฟ ลม และ จิตธาตุ ประกอบ
    ร่วมกันเป็นร่างกายดวงนี้ ซึ่งเราจะพบว่า จิตธาตุจะเป็นตัวที่สำคัญที่สุด
    ในการที่จะทำให้เราเข้าถึงระดับธาตุระดับพลังงานพวกนี้ได้.

    เด่วพักเบรคก่อน แล้วมาต่อกัน..
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เมื่อธาตุทั้ง ๔ ของร่างกายเกิดขาดความสมดุลย์ไม่ว่ามากเกินไป หรือน้อย
    เกินไป..ไม่ว่าจะร้อนมากไป เย็นมากไป มันก็จะส่งผลทางด้านต่างๆให้กับ
    ร่างกายของเราไม่มากก็น้อยครับ...
    และเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องไม่ลืมคือ ธาตุต่างๆที่มันรวมเป็นร่างกายเรามันมี
    วันเสื่อมสลายได้ตามธรรมชาติของมัน เสื่อมได้ไง ก็เพราะมันมีอากาศเป็นตัวเชื่อม
    ไปสัมผัสกับพลังงานร้อนเย็นอยู่ทุกๆวัน ทุกๆวัน นั่นหละครับ.จึงเป็นเหตุที่มาของ
    ภาษาทางโรคว่า อายุไงครับ. ดังนั้นผู้ที่อายุยืนๆสมัยก่อนเมื่ออายุมากจึงหันไปบริโภค
    อาหารที่ฝ่ายของธาตุเย็นเพื่อลดการทำลาย และท่านที่เดินเท้าเปล่าก็เพื่อให้ดินดูดพลังงาน
    ความร้อนส่วนเกินลงสู่ดิน หรือความเย็นส่วนเกินลงสู่ดิน คล้ายเอาร่างกายเป็นตัวนำ
    ให้กระแสไหลผ่านลงสู่ดินนั่นหละครับ เหมือนตัวที่ตอกลงดินเวลาติดเครื่องทำน้ำอุ่นนั่นหละครับ
    ก็จะเป็นการปรับสมดุลให้ร่างกายให้ดีขึ้น
    แม้ว่าผู้ปฏิบัติจะไม่เคยมีความรู้เรื่องพลังงาน เรื่องจักระ เรื่องกสิณ มาก่อนเลย
    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ก็อยู่ร่วมกับพวกพลังงานภายนอกต่างๆพวกนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วครับ
    เพราะมันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น.มันไม่ร้อนก็เย็นนั่นหละครับ ๒ อย่างหลักๆ
    .และการที่ร่างการมันพร่องก็เป็นเพราะว่าร่างกาย
    เรามัดขาดความสมดุลของธรรมชาตินั่นเอง คือมันมากไปจนเรามีความรู้สึกว่ามันร้อนมากไป
    มันมีมากในระดับเกินสมดุลจนเรารู้สึกว่ามันเย็นมากไป
    ทางการแพทย์เรียกว่า การเจ็บป่วยต่างๆนาๆก็ว่าไป.เพราะเชื้อนั่นเชื้อนี่ ไม่ว่าจะเชื้อไหนๆในจักรวาล
    มันก็ทำให้พร่อง ให้รู้สึกร้อนและเย็นเหมือนๆกันครับ.. ทางความเชื่อ
    โบราณก็เชื่อว่า เพราะผีเข้า วิญญาณแทรก ทางแผนไทย ก็ว่าธาตุพร่อง ธาตุเกิน ซึ่งไม่ว่าจะทางไหนๆ
    สาเหตุมันก็เพราะส่วนนั้นมันขาดสมดุลนั่นเอง และเหตุที่ทำให้ขาดสมดุลก็เป็นไดทั้งมาจากภายนอก
    และภายในนั่นเองครับ...

    ที่นี้ในสภาวะปกติ พลังงานร้อนเย็นมันมาช่วยรักษาโรคได้อย่างไรหละครับ...ก็ร่างกายปกติทั่วๆไป
    ของมนุษย์จะยืนพื้นด้วยการสัมผัสพลังงานร้อนเย็นแม้ไม่เข้าใจว่าอากาศเป็นพาหนะ แต่ก็อยู่กับมันทุกวัน
    ผ่านเข้าออกทุกวันแต่เราขาดความใส่ใจในอากาศเฉยๆครับ ถ้าเราใส่ใจสิ่งที่เราได้ก็คือ สติทางธรรม ได้
    ความละเอียดของระบบลมหายใจ และก็ขึ้นอยู่กับเหตุภายนอกว่าอากาศนั้นดีหรือไม่ดี ก็จะมีผลต่อสุขภาย
    ภายในของเราได้ครับ.
    ที่นี้พลังงานจักรวาลมันไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความร้อนความเย็น ถ้าบริเวณไหนมันร้อน เค้าก็ใช้พลังงานร้อนเพื่อ
    ดึงพลังงานส่วนที่ร้อนที่เป็นส่วนเกินออกไปก่อนแล้วค่อยนำพลังงานเย็นเข้าไปปรับเข้าไปเสริม ส่วนไหนมันเย็นเค้า
    ก็ใช้เย็นดึงพลังงานเย็นส่วนเย็นออกมาก่อนแล้วค่อยใช้พลังงานร้อนไปปรับสมดุล
    ไม่ใช่ว่าร้อนแล้วอัดเย็นเข้าไปนะครับไม่งั้นก็พลังงานก็จะเกิน และไม่ใช่ว่าพลังงานเย็นๆแล้วอัดร้อนเข้าไปนะครับ
    ไม่งั้นพลังงานก็จะเกินเช่นกัน..เราอย่าไปสับสนกับการทานยาจากภายนอกเข้าไปภายในร่างกายนะครับ...
    ถ้าเราพูดเรื่องพลังงานในความหมายถ้ามันร้อนคือพลังงานร้อนมันมาก ถ้ามันเย็นแสดงว่าพลังงานเย็นมันมากไป
    เพราะฉะนั้นจะร้อนก็ต้องใช้ร้อนดึง จะเย็นก็ต้องใช้เย็นดึงครับ ไม่งั้นร้อนกับเย็นมันจะไปหนุนกันทำให้เกิดพลังงาน
    เพิ่มเติมขึ้นมาได้อีกครับ...
    แต่ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะครับพลังงานจักรวาลอะไรเนี่ยแต่ว่ามันก็มีข้อเสียครับ อย่างที่บอกมันเป็นพลังงานภายนอกมีอยู่
    แล้วปกติและเราก็อยู่ร่วมกับมันมาเป็นปกติการไปฝึกจักระทำให้เราเข้าถึงตรงนี้ได้เร็ว สัมผัสได้เร็วก็จริง แต่อย่าลืมว่า
    มันก็เป็นช่องทางหนึ่งเช่นกันที่ทำให้พลังฝ่ายร้อนแอบแฝง พลังงานฝ่ายเย็นแอบแฝง ใช้เป็นช่องทางในการที่แอบแทรก
    เข้ามาเพื่อควบคุมจิตเราได้ โดยมักมีสิ่งหล่อหลวงต่างๆ เช่น ให้เรามีสัมผัสพิเศษอะไรก็ตาม เกี่ยวกับพลังงานภายนอก
    ต่างๆที่มันมีอยู่แล้ว..ให้เราโน้มจิตใจไปในทางอกุศลต่างๆ มีเครื่องหลอกหล่อในเรื่องความรัก ความโลภต่างๆจากภาย
    นอกที่เราจะได้รับ..ส่วนตัวจึงได้เน้นย้ำเน้นหนาว่า ..ถ้าเรายังไม่สามารถเดินปัญญาได้ คือยังไม่ทราบกิริยาทางจิต
    ยังไม่ทราบกิริยาทางความคิด ยังไม่ทราบกิริยาทางขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมที่เป็นฝ่ายอารมณ์ต่างๆตรงนี้ ตลอดจนเดินปัญญา

    พักอีกเบรค เด่วมาต่ออีก
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เพื่อลดละกิเลสแล้วในระดับหนึ่งเพื่อเอาไว้ต้านทานสิ่งหล่อที่เป็นกิเลสพวกนี้ และสายตาเรายังไม่ดีพอที่จะแยกแยะได้
    ว่าพลังงานร้อนเย็นส่วนไหนดีไม่ดี ให้เราระวังไว้อย่าไปติดเครื่องล่อพวกความสามารถทางจิต ถ้ามันมีให้เราเฉยๆให้มองไว้
    ว่ามันเป็นปกติก็จะแก้ปัญหาการไปยึดติดตรงนี้ได้ครับ..
    และการที่เราจะป้องกันพวกพลังงานแอบแฝงตรงนี้ได้จริงๆสิ่งที่สำคัญก็คือ ตัวสติทางธรรมที่เราได้จากการเจริญสตินั่นหละครับ
    ที่มันจะคอยควบคุมพฤติกรรมเราควบคุมความคิดของเรา....
    ..เราอย่าลืมว่าด้วยความทะเยอทะอยากอยากรู้ของเรามันทำให้
    จิตเราเกิดได้โดยที่เราไม่รู้ตัวครับ เราควรดูและระวังจิตเราให้ดีๆ
    ไหนทั้งจะปัญญาทางโลก ปัญญาทางสมมติต่างๆมันก็จะยิ่ง
    มาปิดบังตัวจิตเราตรงนี้ไว้อีก..
    .เพราะฉะนั้นจึงเป็นที่มาของการฝึกกสิณไม่ว่ากองใดๆก็ตามใช้ถึงขั้นที่มันดึงพลังงานกสิณ
    ต่างๆออกมาจากจิตเราให้ได้ก่อน
    เพื่อให้จิตมีกำลังจิตเพียงพอบวกกับสติทางธรรมที่มากพอ..เราก็จะเข้าใจสภาวะต่างๆ
    และเราจะปลอดภัยจากการถูกควบคุมจากพลังงานแฝงต่างๆได้อัตโนมัติของมันเองในเบื้องต้นนั่นเองครับ.....
    ที่นี้อ่านมาถึงตรงนี้พอจะเข้าหรือยังคับว่า ถ้ายังไม่ถึงขั้นฝึกกสิณจนเรียกเป็นพลังงานขึ้นมาได้ ไม่ต้องไปพูดหรือให้ความสำคัญ
    อะไรมากมาย แต่เอาไว้เล่า ฮาๆ ขำๆมาถามกัน อย่างนี้ไม่เป็นไรครับ.
    .เพราะมันจะกลายเป็นตัวขวางเราได้หากไปสนใจเครื่องรุ้
    เล็กๆน้อย สัมผัสเล็กๆน้อยแบบรู้เองสัมผัสเองได้ โดยที่คนอื่นๆไม่สามารถสัมผัสได้ด้วย ขวางในที่นี้ก็คือขวางเครื่องรู้ที่เราจะ
    ไปรู้ทันพวกพลังงานภายนอกแอบแฝงต่างๆทุกๆรูปแบบครับ
    ทำให้เราไม่รู้ตัว เผลอๆจะหลงตัวเองได้ ยิ่งเข้าทางพวกพลังงาน
    แฝงภายนอก เพราะถ้าเราหลงตัวเอง กำลังจิตเราจะอ่อน ความสามารถทางจิตเรามันจะไม่พัฒนา พวกนี้มันเลยชอบทำให้เรา
    มีนิสัยอย่างนั่นอย่างนี้โดยที่เราไม่รู้ตัว และจำไม่ยอมใครง่ายๆชอบคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด ให้เก่งกว่าไม่ได้ ใครดีกว่าไม่ได้
    เป็นเหตุให้จิตเราส่งออก เกิดความไม่สงบนั่นหละครับ....
    ประเด็นสุดท้ายพลังงานจักรวาลและกสิณมันแตกต่างในส่วนของการรักษาอย่างไร.
    .
    .ถ้าสังเกตดูจะพบว่าพลังงานจักรวาลหรือพลังงานร้อนหรือเย็นเนี่ย
    ในส่วนของร่างกายจะพร่องก็ต่อเมื่อพลังงานทั้งหมดมันรวมกันแล้ว
    เราเกิดความรู้สึกร้อนหรือเย็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
    การรักษาก็ปรับสมดุลอย่างที่บอกคือปรับพลังงานทั้งหมดโดยรวม
    ไม่ว่าร้อนหรือเย็นและรวมกันแล้วรู้สึกไม่ร้อนไม่เย็น
    ร่างกายส่วนนั้นก็จะรู้สึกดีขึ้น...
    .ส่วนกสิณจะไปเจาะที่ร้อนอย่างเดียวหลักการดึงคล้ายคลึงกัน
    เมื่อเราดึงร้อนออกน้ำก็จะละเหยออกมาด้วยเมือไฟปกติแล้ว
    น้ำก็จะยังพร่องอยู่เราจึงอัดกสิณน้ำเข้าไปเสริมเพื่อให้
    ธาตุทั้ง ๔ เกิดความสมดุลนั้นเองครับ..
    เรียกง่ายๆว่ามันตรงทางเลยเฉพาะเจาะจงเลย ผลการรักษาในอาการเดียวกันผู้ที่ใช้กสิณได้จึงใช้เวลาน้อยกว่าผู้ที่ใช้พลังงาน
    จักรวาลได้นั่นหละครับ...นี่แค่ยกตัวอย่างเดียวนะครับ...ส่วนพลังงานภายนอกอื่นๆมันก็มีครับ จากท่านโน้น ท่านนี้ จากแหล่งนั้น
    แหล่งนี้ ถ้าพอมีกสิณเป็นฐานมันก็จะง่ายในการที่เราจะไปดึงพลังงานๆต่างเรานั้นมาเสริมได้ เพราะว่ากสิณจำเป็นที่จิตจะต้องมี
    กำลังจิตขึ้นมาก่อนครับ ไม่เหมือนกับพลังงานจักรวาลที่จำเป็นจะต้องทำให้จิตมีสัมผัสมาก่อน..แต่พอการไปดึงพลังงานอื่นๆ
    ซึ่งกำลังจิตเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในการดึงพลังงานพวกนั้นมา มันจึงมีความสำคัญมากกว่านั้นเอง เพราะว่า พลังงานแหล่งอื่นๆ


    มันจะต้องผ่านด่านพลังงานข้างเคียง ผ่านการทดสอบเช่นกัน ไม่ใช่สัมผัสร้อนกับเย็นได้แล้ว จะไปดึงเอามาได้เลยคงเป็นไปได้ยาก
    สังเกตได้หรือแทบจะนับคนได้เลยครับ ต่อให้เราไปพบกับบุคคลใดๆก็ตามที่มีความชำนาญเรื่องพลังงานจักรวาล และมีสัมผัส
    พิเศษยอดเยี่ยมทางจิตแค่ไหนก็ตาม แต่ลองให้ทดสอบเรื่องของพลังงานกสิณในระดับที่ทำให้บุคคลอื่นๆสัมผัสได้ ใช้กสิณรักษา
    โรคได้ ใช้กสิณยืนพื้นในการดึงพลังงานจากแหล่งต่างๆเพื่อนำมาใช้งานไม่ว่าในวัตถุหรือเพิ่มในอะไรก็ตาม ถ้าได้เลยนับคนได้ครับ

    แม้เป็นไปได้ผลที่ได้ก็จะต่ำ..ยกตัวอย่างพลังงานที่ว่าเช่น ธาตุทองที่มีอยู่แล้วภายนอก พวกยาทิพย์พิเศษต่างๆ จากแหล่งนั้นแหล่งนี้
    พวกพลังงานครูบาร์อาจารย์ท่านต่างๆที่มีอยู่แล้ว จำเป็นต้องมีกำลังจิตเป็นพื้นฐานในการที่จะดึงพลังงานเหล่านี้มาทั้งสิ้นครับ..
    และสิ่งสำคัญที่ครูบาร์อาจารย์ท่านจะเน้น ก็คือเรื่อง เมตตาที่ออกมาจากจิตครับ..แต่ที่เคยๆเจอหลายคนนะครับ..
    พอมีสัมผัสนิดสัมผัสหน่อย ไม่ต้องไปนับที่ไม่มีสัมผัสนะครับยิ่งเสียเวลาไปพูดครับ..
    ..แบบเห็นโน้นเห็นนี่ได้ ดูโน้นดูนี่ได้ ก็มักจะมีความมั่นใจในตัวเองสูง
    ชอบคิดว่าวิธีการตัวเองดีที่สุด มั่นใจว่าครูบาร์อาจารย์ตัวเองดีที่สุด ต้องปฏิบัติแบบครูบาร์อาจารย์ฉันเท่านั้นนะ
    ทั้งๆที่เรียนรู้มาจากตำราทั้งนั้น...เคยเห็นเคยสัมผัสตัวผู้สอนบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ ..
    และทั้งๆที่ครูบาร์อาจารย์ท่านต่างๆท่านก็สอนแล้วสอนอีกว่า ไม่ให้ยึดติด
    แม้แต่ตัวท่านๆก็ไม่ให้ยึด....แต่ก็ยังมิวาย และที่สัมคัญชอบเอาท่านไปอ้างโน้น อ้างนี่
    เป็นเหตุให้ ความสามารถไม่ถึง ตาไม่ดีพอ เป็นเหตุให้เกิดการทะเลาะ
    วิวาท ปะทะคารมย์กัน..ถ้าไปเจอบุคคลที่เหนือกว่าก็จะซวยไป เผลอไปปรามาสเค้าอีก..เพราะมั่นใจว่าตนเก่ง..

    เพราะฉะนั้นเลยเป็นเหตุให้หนทางในการเข้าถึงยิ่งจะห่างไกลออกไป เพราะตาไม่ดีพอ
    เครื่องรู้ไม่ดีพอ จิตยังไม่เข้าถึงระดับพลังงาน ยังอยู่ภายใต้การปรุงแต่งเป็นภายเป็นเสียงอยู่
    การพัฒนาความสามารถทางจิตไม่ว่าจะฝึกอะไรมันก็เลยแสนจะช้าเพราะทิฐิมานะตรงนี้นี่หละครับ
    แต่มั่นใจในสิ่งที่จิตเห็นแบบภายในเหลือเกิน แล้วคิดว่าตัวเองเหนือกว่าใครเข้านั่นหละครับ...
    พอจะเข้าใจหรือยังครับ ก่อนที่เราจะผ่านด่านทดสอบถึงขั้นจะดึงพลังงานขึ้นมาใช้ได้จริงๆ ประเภทให้บุคคลอื่นๆสัมผัสได้
    และใช้ได้จริงๆนั้น ครูบาร์อาจารย์ท่านจึงต้องทำการทดสอบเราก่อนแบบพอสมควรครับ.
    .และไม่ใช่ว่ามันจะผ่านกันได้ง่ายๆซิด้วยครับ.เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเราเดินมาทางนี้ เราก็ต้องมั่นใจว่าเราจะสร้างเมตตาให้ดี

    พอสมควร..ระมัดระวังจิตใจตัวเองให้ดีพอสมควร.และควรปล่อยวางกับสัมผัสต่างๆระหว่างทางที่มันยังไม่ก่อเกิดประโยชน์
    จริงๆต่อตัวเองและต่อผู้อื่นไว้ก่อน แล้วปฏิบัติให้ถึงระดับขั้นที่ มันออกมาภายนอกได้ สัมผัสได้จริงๆก่อนแล้วค่อยมาว่ากันครับ.

    ปล. เล่าให้ฟังแบบนี้พอจะมองภาพรวมๆออกแล้วหรือยังครับ......
     
  5. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    รบกวนถามเรื่องสถานที่ที่ท่านนพ กล่าวถึงเกี่ยวกับเสด็จในกรมฯ เจดีย์ร้างที่อยู่ตรงข้ามวัดใหญ่ พิษณุโลก คือ ส่วนหนึ่งของวัง จ.ใช่ไหม
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เมื่อสมัยก่อนเป็นอะไรไม่ทราบจริงๆครับ
    แต่คิดว่าคงจะคาดเดาได้ไม่ยากนะครับ
    สมัยนั้นส่วนตัวยังเป็นเด็กน้อย
    โผกผ้าชอบเลี้ยงไก่ตีอยู่เลยครับพระผู้นำมีชื่อเสียงที่มีชื่อย่อ น.
    ท่านก็ยังทรงพระเยาว์อยู่เลยครับ..
    และส่วนตัวไม่เน้นย้อนไปอดีตอะไรมากมายด้วยครับเลยไม่ค่อนสนใจเท่าไร
    และไม่ได้ย้อนไปดูเมืองดูอะไรด้วยรู้แต่เรียนกสิณไฟกับ พระชื่อย่อตัวสุดท้าย
    ลงท้ายด้วย ฉ. แค่นั่นหละครับ..
    ....แต่ปัจจุบันนี้ให้ตั้งต้นที่วัดพระพุทธชินราชนะครับ..
    เห็นเจดีย์องค์หนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามวัดไหมครับ..
    ส่วนตัวเชื่อว่าถ้าไม่ได้อยู่ในแวดวงของพราหม์
    อ่อลืมบอกว่า ปู่ ท. ท่านเป็นพราหมณ์ด้วยนะครับลืมเล่า
    ที่มีถนนใหญ่วิ่งไปเพื่อขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำอยู่ข้างๆครับ..
    ที่เจดีย์นี้ปัจจุบันน่าจะทาสีเฉยๆครับ เจดีย์นี่หละครับ
    เล่าให้ฟังเพื่อความเข้าใจตรงกัน
    ที่เป็นเรื่องเล่าสืบกันมาในตามวงค์ตระกูลครับ..
    เป็นที่เดียวที่ได้ยินมาว่า เป็นที่เดียวที่ทั้งเสด็จในกรม และ ปู่ ท.
    ไม่สามารถปราบได้ในสมัยนั่นนะครับ..
    เด่วโม้อะไรให้ฟังเพิ่มเติมครับแต่ไม่ต้องเฉลยหรือเขียนตอบนะครับ
    ใครมาถามก็ขอไม่บอกคำตอบให้ทุกๆกรณีนะครับ..
    พอจะนึกอะไรออกบ้างไหมครับว่า
    ในอดีตตามประวัติศาสตร์
    ว่ามีบุคคลใดที่เป็นผู้มีอำนาจบารมีสูง
    เป็นถึงระดับนักรบขุนนางตำแหน่งสูงๆท่านหนึ่ง.
    ในยุคนั้นช่วงนั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
    โดยบุคคลผู้มากบารมีท่านหนึ่งที่มาจากอีกเชื้อชาติหนึ่ง...
    แต่ว่าบุคคลผู้มีอำนาจบารมีสูงท่านนี้
    โดนฝั่งพร้อมสมบัติ..ในยุคของผู้มากบารมี
    ที่เค้าว่ากันว่า.ไม่ว่าจะไปรบทางทิศใดก็ไม่เคยแพ้ใครนั่นหละครับ.
    พอจะเข้าใจแล้วเนาะว่าทำไมถึงปราบไม่ได้
    และคงสภาพเจดีย์แห่งนี้ให้ยังคงคล้ายคลึง
    สมัยก่อนมาจนถึงปัจจุบันนี้ครับ....
    ปล.เป็นเพียงนิทานและแค่เพียงแต่เล่าให้ฟังครับ....







     
  7. Showdown195

    Showdown195 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +153
    เทียนขี้ผึ้งแบบไร้ควันมีขายครับ
    กสิณลมใช้จับความรู้สึกที่ลมกระทบก็ได้ครับ
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    คืองี้ครับ คุณ นักรบเงา
    ถ้าดูจากภาพถ่าย บอกตรงๆว่าไม่ทราบจริงๆครับ.และก็ไม่ฟังธงด้วยครับ..
    ยกเว้นว่าส่วนตัวจะเป็นคนที่ถ่ายเองกับมือครับ.
    .เพราะว่าตัวแปรค่อนข้างเยอะครับ..และส่วนตัว
    แม้ว่าจะได้รับได้ยินคำตอบอย่างไร
    ก็สุดแล้วแต่ว่าแต่ละท่านจะมองว่าเป็นอะไร
    จะมองว่าใช่หรือไม่ใช่ หรือ มองว่าผิดหรือถูก
    หรือมองอย่างไรก็สุดแล้วแต่นะครับ.....


    อ่อๆสีบ่งบอกถึงความสามารถที่ตัวจิตมีครับ..
    สีขาวคือ ความดี สีเขียวรักษาคนป้องกันภัย
    สีแดงมีฤิทธิ์ สีม่วงมีกำลังจิต สีน้ำเงินมีอภิญญาจิตภายใน
    สีทองมีเรื่องพลังงานภายนอกมาเกี่ยวข้องครับ..



    อืมๆๆๆๆๆๆ มีข้อแนะนำในการสังเกตุแสงมาเล่าให้ฟังครับ..
    ได้โม้อีกเล็กน้อยแล้วครับ...
    เพื่อว่าอนาคตคุณ นักรบเงา ไปเจอ แสงทำนองนี้เข้า
    จะได้เอาไว้ให้พอทราบด้วยตัวเราเองได้ครับ..

    ส่วนตัวเชื่อว่าตอนนี้คุณ นักรบเงาน่าจะพอทำได้ครับ
    และเชื่อว่า ใครก็ตามที่ส่วนตัวเคยแนะนำเรื่องจักระ
    เรื่องกสิณไปแล้วจะพอสัมผัสได้ครับ..
    ไว้ว่างๆหรืออยากจะทำ ให้ลองพิสูจน์ดูด้วยตัวเองนะครับ.
    จะบอกหลักสังเกตุให้ ๓ อย่างนะครับ
    และไม่จำเป็นต้องบอกคำตอบนะครับ..
    เอาเป็นว่าพอรู้ๆกันครับ.และการสัมผัสได้
    ก็ไม่ใช่ประเด็นหลักอะไรนะครับ..
    .เราจะได้เอาไว้ตรวจสอบ
    ว่าต้นตอของภาพเป็นอย่างไร
    จริงๆแล้วพวกนี้ถ้าส่วนตัวมองหรือว่ายืนอยู่แถวๆนั้น
    ตอนนี้พอจะมองเห็นได้บ้างด้วยตาปกตินี่หละครับ.
    และก็พอจะทำให้บางคนที่อยู่ใกล้ๆตัวเห็นได้ด้วยครับ.
    แต่ก็อย่างว่าหละครับ
    มันพิสูจน์ยากครับและ
    คงเล่าให้ใครฟังดังๆไม่ค่อยได้นะครับ.
    เอาหลักการสังเกตุง่ายๆอย่างที่จะเขียนเป็นข้อๆ
    ให้อ่านต่อไปนี้ดีกว่าครับ.เชื่อว่าสามารถพิสูจน์
    ได้ง่ายๆด้วยตัวเองครับ ยิ่งถ้าเคยฝึกสมาธิมาบ้าง
    ยิ่งจะสามารถรับรู้ได้ง่าย และความรุ้สึกแบบนี้
    สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าและส่วนตัวมองว่าเข้าถึง
    ได้ง่ายด้วยครับ..ถ้าจะเอาแบบส่วนตัวเด่วพูดไป
    บางคนเค้าอาจจะคิดเชิงอกุศลเปล่าๆครับ..

    ๑.ถ้าคุณมองที่แสงนี้ ทำใจสบายๆหายใจเบาๆปกติ
    และลองใช้มือชี้ที่แสงนี้ดูแล้วปรากฏว่า มีความรู้สึกเหมือน
    มีลมหมุนขึ้นมาทางลิ้นปี่และวนกลับมาอยู่เหนือสะดือ
    พร้อมกับที่ด้านหลังตั้งแต่ต่ำกว่าต้นคอลงมามีกระแสลมอุ่นๆ

    ไหลย้อนลงมาถึงช่วงกลางหลังบริเวณลิ้นปี่..
    และมีความรู้สึกว่ามีลมหมุมใต้กระโหลกศรีษะไหลเบาๆลงมา
    หมุนภายในกระโหลกนะครับความหมายคือ
    เป็นกระแสของภพภูมิที่มีฤิทธิ์มีความสามารถทางจิตสูง.
    ระดับสูงและเป็นภพภูมิที่มีความสัมพันธ์กับธาตุทองที่ซึ่งมีความสามารถ
    รักษาโรคได้ด้วยครับ...
    ๒.ถ้ารูปใดๆก็ตามที่มีแสงคล้ายอย่างนี้ ที่ออกมาจากบุคคลหรือห่มเหลือง
    ท่านใดๆก็ตาม และทำให้ตัวเรามีลมหมุนขึ้นมาที่ลิ้นปี่
    แต่กระแสไกลตรงขึ้นมาเรื่อยๆไปออกที่บริเวณสมองส่วนหน้า
    พุ่งตรงต่อออกไปข้างบนนอกกายแบบตรงๆ..
    และต่ำแหน่งเดียวกันที่กลางหลังกระแสก็ไหลขึ้นไปรวมกับกระโหลก
    ที่ส่วนหน้าและรวมกันพุ่งขึ้นไปข้างบน..
    ความหมายก็คือ เป็นกระแสจิตของบุคคลนั้น หรือห่มเหลืองท่าน
    นั้นๆที่มีความสามารถพิเศษทางจิต มีกำลังจิต และเชื่อมกับครูอาจารย์
    ข้างบน.ร่วมทั้งมีสัมพันธ์กับธาตุทอง
    และมีความสามารถในการรักษาคนได้ สัมผัสเรื่องพลังงานต่างๆได้ครับ
    ๓.ถ้ารูปใดๆก็ตามที่มีแสง และเกิดกิริยาเหมือนๆข้อ ๒ แต่ว่าไม่มีส่วน
    ลมทางด้านหลังนะครับแสดงว่าเป็นกระแสที่กำลังเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์
    ข้างบนอยู่ครับ..

    และข้อ ๔.เป็นข้อสุดท้ายถือว่าแถมครับ ถ้ามองรูปใดๆก็ตามแล้วดันทำให้
    มีลมหมุนๆบริเวณจักระ ๑ หรือบริเวณช่วงล่างของเรา กระแสบริเวณท้องไม่หมุน
    หรือรู้สึกได้แต่เป็นแบบเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงตรงๆ บางครั้งด้านหลังก็เหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงตรงๆเช่นกัน
    บริเวณใต้กระโหลกศรีษะก็เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา...ให้ทราบไว้เลยครับว่า
    ภาพนั้นๆมีต้นตอ มีแหล่งที่มา เชิงอกุศลครับ...
    ส่วนพระพุทธชินราชองค์ท่านจะสีดำครับ...

    ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟังนะครับ..;)
     
  9. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    ไม่มีอะไรเลย
    สีตกเฉย ๆ
     
  10. กิ่งสน

    กิ่งสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,068
    ค่าพลัง:
    +2,327
    ขอบคุณสำหรับคำตอบ และข้อสังเกต เพราะว่ากระทู้ที่เล่นประจำ มีผู้หวังดีมาเตือนทั้งโพสต์และPM แต่เราก็ตอบเขาว่าท่าน น. ฝึกเตโชกสิณก็เพื่อวิชา ซึ่งมันก็ตรงกับที่ท่านนพตอบเราครั้งนี้
     
  11. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    10 ข้อของคุณนพ ถ้าอ่านแบบเผินๆ เหมือนคุณนพจะว่าผู้ถาม แต่หากมองลึกลงไป มันก็แค่หลักการที่ใช้ตรวจสอบตัวเอง หากจะเข้าให้ถึงในระดับที่ลึกลงไป ไม่ต้องสนใจว่าคนกล่าวจะมีครบรึไม่ ? หากแค่สนใจว่าเรามีครบแล้วรึยัง ? เพื่อนำไปปรับปรุงตนเอง ใช้ประโยชน์เพื่อตัวเอง ก็เท่านั้น...มันก็เหมือน คนเราต้องมี เมตตา กรุณา อุเบกขา มุตทิตา... / ศีล5 ได้แก่ 123...ซึ่งขอยอมรับว่า ขนาดคุณธรรมที่รู้จักกันดี ดิฉันยังมีไม่ครบเลย...ToT จึงไม่เคยคิดที่จะไปวิจารย์ใคร...^=^ก็เท่านั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 พฤศจิกายน 2014
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ว้าวๆๆๆ อ่านแล้วเข้าใจด้วยแฮะ..ขอตอบว่าใช่อย่างที่เขียนนั่นหละ.
    ครั้งนี้ขออนุญาตชมว่าความเข้าใจถือว่าอยู่ในระดับที่ดี..

    ข้อความเริ่มตั้งแต่ขีดเส้นใต้นี้จนไปถึงขีดเส้นใต้
    ด้านล่างนี้เป็นข้อความเก่าที่
    ลากมาเพื่อให้อ่านอีกรอบ เด่วกล่าวๆมาลอยๆคนอ่านจะงงได้..
    พื้นฐานสำหรับการที่จะเริ่มเดินในโหมดวิญญานธาตุได้(ย้ำว่าเริ่่มเดินนะครับ)

    พวกนี้เป็นความสามารถพื้นฐานปกติที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆ.
    ยังไม่ต้องพูดถึงระดับจิตธาตุ.เอาพื้นฐานทางจิตให้มันมีเป็นปกติให้ได้ก่อน..
    ๑.คุณสามารถเรียกพลังงานกสิณทั้ง ๑๐ กองให้ขึ้นมาบนฝ่ามือได้หรือยัง
    โดยเรียกให้ขึ้นมาได้ทีละกอง...และรวมมันได้หรือยัง
    เช่น รวม ดินน้ำลมไฟ หรือรวมสีทั้ง ๔ สี ครับ
    เป็นอย่างน้อยนะครับ ซึ่งหลักการรวมคนทำได้จะรู้ดีครับ
    ๒.คุณสามารถเชื่อมกระแสพลังงาน รวมทั้งดึงกระแสพลังงาน ส่งกระแสพลัง
    จากกสิณทั้ง ๑๐ กองไปยังวัตถุต่างๆไม่ว่าอะไรก็ตาม และสามารถส่งผ่าน
    ข้ามมิติเวลาได้หรือยัง...

    ๓.ตาเราในระดับขนิกฯสมาธิ มีความสามารถเห็น และสัมผัส และจับเส้นสาย
    พลังงานภายนอกได้หรือยัง..ถ้ายังอย่าไปพูดเรื่องจัดเรียงเส้นสาย เสียเวลา
    และอายเค้าครับ เด่วพวกแผนกเส้นสายที่เค้าชำนาญทางด้าน
    จักระมาอ่าน.มาเห็นเค้าจะขำเอาครับ..
    ๔.ถ้าเราสามารถทำ ๓ ข้อแรกได้ให้ดูว่าตัวเราสามารถเชื่อมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ได้หรือยัง แบบเป็นเส้นตรงทั้งตัวและใส มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า.
    ๕.เราแยกแยะได้หรือยังว่า พลังงานแบบไหนดี หรือไม่ดี เพื่ออนาคตสำหรับการ
    จัดเรียงเส้นสายพลังงาน..และการป้องกันการแทรกแซงของพลังงานไม่ดีครับ

    ๖.สายตาเราดีพอหรือยัง ที่จะแยกแยะได้ว่า พลังงานแบบไหนดีไม่ดี..
    และเราสามารถที่จะมีวิธีการในการปรับกระแสพลังงานที่ไม่ดีได้หรือยัง
    โดยที่เราไม่เป็นอันตรายใดๆ หรือว่าสามารถช่วยบุคคลอื่นๆได้เช่นกัน

    ๗.เส้นสายพลังงานในตัวไปเชื่อม กับ ภายนอกหรือบุคคลอื่นๆได้หรือยัง
    ๘.คุณสามารถตั้งธาตุต่างๆ ไว้ข้างหน้าคุณในระดับตาเปล่าได้หรือยัง
    ไม่ว่าจะ ๔ ธาตุ ๑๐ ธาตุให้มันหมุนนิ่งๆแต่ละธาตุและไม่เคลื่อนไปไหน
    และปั่นมันรวมกันได้หรือยังครับ.
    และข้อ ๙.เห็นความแตกต่างๆของมันแล้วหรือยังครับ ว่าการใช้จิตบังคับ
    ที่ หน้าฝาก หน้าอก เหนือสะดีอ มันสัมพันธ์อะไรกับจำนวนธาตุที่เราตั้งครับ..

    และข้อ ๑๐.ถ้าทำข้อ ๙ ได้แล้วกำลังก็ยังไม่เกินระดับฌาน ๑ ครับ.
    จำเอาไว้นะครับ ที่พูดให้ฟังคือต้องทำได้ในระดับสมาธิเล็กน้อย พวกนี้
    เป็นผลที่ทำให้เราทำได้จากการฝึกในโหมดสร้างกำลังจิตมาทั้งนั้น..

    แถมอีกข้อแล้วกันข้อ ๑๑.ทำให้คนอื่นๆสามารถสัมผัสได้ด้วยครับ..
    จริงๆมีอีกหลายข้อ เอาแค่นี้ก่อนแล้วกันเนาะ...
    ปล.และการพัฒนาขั้นต่อมาก็คือการทำให้จิตว่างจากการเกิดได้
    โดยที่ไม่ต้องใช้กำลังสมาธิหรือการข่ม พูดง่ายๆว่างในสภาวะลืมตา
    ปกติทั่วๆไปนี้หละ ย้ำว่าว่างจากการเกิดนะครับ ไม่ใช่สงบเฉยๆ
    และต่อไปก็คือ การยกระดับไต่ระดับสมาธิ.ซึ่งจำเป็นจะต้องมีปัญญา
    ทางธรรมมากพอที่จะวางเรื่องที่มันจะผุดขึ้นมารบกวนให้ได้ในช่วง
    ของการเริ่มเข้าระดับฌาน ๑ ครับ.
    ปล. ประมาณนี้หละ ขออภัยด้วยครับสำหรับข้อความเดิมซ้ำๆ
    แต่คิดว่าคงพอมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย...
     
  13. [-VaLentine-]

    [-VaLentine-] กระผมสมาธิและกำลังจิตกากสุดในเวปนี้

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    159
    ค่าพลัง:
    +486
    ชอบทุกข้อ โดยเฉพาะข้อที่ ๑๑ ประมาณว่าทำให้คนอื่นรู้สึกร้อนได้ เย็นได้ หรือทำให้คนที่ไม่มีศรัทธาในเรื่องนี้เชื่อได้ กึ่งๆแสดงฤทธิ์ว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง ทำได้จริงแบบนี้ใช่ไหมครับ อิอิ (แบบนี้เรียกว่าเทพจริงใช่ไหมครับ ผมตีความเองนะ)^^


    ปล.แบบนี้ดีนะครับ ทำให้คนที่ไม่มีศรัทธาลุ่มหลงไปในทางโลกกลับมาปฏิบัติธรรมได้ เพราะผมเคยหลงอยู่พักใหญ่ แต่ก็มีท่านที่เมตตา กึ่งๆแสดงฤทธิ์ให้เห็นจึงเชื่อและสัมผัสได้ ทำให้ใจเรามีศรัทธา และจากที่ไม่เคยปฏิบัติธรรม กลับมาเดินทางสายธรรมมากขึ้นกว่าเดิมเยอะเลยทีเดียว

    แต่ผมก็ยังนั่งสมาธิแล้วยังฟุ้งอยู่เลย...T--T
     
  14. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    คริ คริ ประมาณที่เข้าใจนั่นหละ.เด่วจะโม้อะไรให้ฟังอีก.
    พอรู้ไหมว่าพลังงานพวกนี้มันมีลำดับขั้นในการพัฒนาอย่างไร.
    ให้ลองอ่านๆดูนะ ถ้าพอเข้าใจ อาจจะเกิดอาการปิ๊งแว๊บอะไรบางอย่างได้
    และจะเข้าใจด้วยตัวเองลึกๆว่าเราควรมีแนวทางปฏิบัติอย่างตัวไร
    เชื่อเหอะว่าเรื่องเทคนิคคอลเทอมต่างๆมันเป็นเพียงแค่เรื่องรองๆ
    จากเรื่องที่จะโม้ให้ฟังต่อไปนี้....;).
    เอาทั่วๆไปก่อนเนาะ ''รู้สึกร้อน รู้สึกเย็น'' เนี่ยความจริง
    เป็นพื้นฐานเท่านั้น.ถ้าพอมีสมาธิเล็กน้อย เคยฝึกจักระ
    มาบ้างเล็กน้อย.ก็จะพอสัมผัสได้ในลักษณะตึงๆ แน่นๆผิว.
    แต่อาจยังไม่ชัดเจนถึงขั้นที่จะดึงเป็นพลังงานเพื่อ
    มารวมเป็นกลุ่มก้อนให้เป็นรูปร่างได้.
    ตรงกลุ่มก้อนนี้มันก็จะยังมี
    ''พลังงานที่ร้อนที่กลายเป็นพลังงานที่เย็นได้''และก็มี
    ''พลังงานที่เย็นที่กลายเป็นพลังงานที่ร้อนได้'' ?
    และถ้าพอเข้าใจตรงนี้..ก็จะพบว่ากลุ่มก้อนดังกล่าว
    ข้างบนนั้น มันก็จะมี''พลังงานที่ทั้งไม่ร้อนและไม่เย็น....''??
    ซึ่งจะมีลักษณะการรวมเป็นกลุ่มก้อนพลังงาน
    ที่แตกต่างๆกันได้..จึงเป็นที่มาของลักษณะของ
    พลังงานของกสิณกองต่างๆทั้ง ๑๐ กองนั่นเอง.
    เราจึงสามารถแยกแยะพลังงานของมันได้จากตรงนี้นี่เอง....

    .แต่กลับพบอีกว่าพลังงานกสิณกองต่างๆ
    แม้ว่ามันจะเริ่มต้นจาก''พลังงานที่ไม่ร้อนไม่เย็น''
    แต่ก็จำเป็นที่จะต้อง''สัมผัสร้อนและเย็น''เพื่อมาเป็นฐานก่อนทั้งนั้น..

    และแล้วเมื่อมันรวมกับอากาศธาตุที่มีอยู่ภายนอกได้แล้วไซด์..
    กลุ่มพลังงานพวกนี้ จะสามารถส่งผล''ให้ร้อนก็ได้ ให้เย็นก็ได้''..
    และเมื่อรวมกันได้หลายๆกองจะด้วยจิตด้วยคำภาวนาใดๆก็ตาม
    ก็จะพบว่ามันก็จะเป็นได้ ''ทั้งร้อนทั้งเย็น''และ
    ''มีความหลากหลายของลักษณะพลังงาน
    ในกลุ่มก้อนเดียวกัน ณ เวลานั้นๆ''
    ขั้นต่อมา..ถึงตรงนี้ได้ถ้ายังอยู่ในแนวทางและสอบไม่ตกนะ ๕๕๕
    ต่อมาก็มาก็จะรู้จักการหนุนพลังงานเพื่อเตรียมส่ง
    และการส่งไปยังที่ต่างๆไม่ว่าที่ใดๆก็ตามของเพียงแต่มีอากาศอยู่บริเวณนั้นๆ
    รวมทั้งการดึงจากแหล่งๆใดๆก็ได้ขอเพียงแค่มีอากาศบริเวณนั้น.
    ที่สำคัญจะก้าวพ้นเรื่องของมิติเวลาได้...

    ขั้นต่อมาอีกหากมีความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม ฝึกฝนสมาธิเพิ่มเติม.
    และรู้จักใช้งานในทางที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่นๆ เริ่มสร้างเมตตาที่
    ออกจากจิตได้แล้วไซร์ ผ่านการทดสอบเรื่องการนำไปใช้จากทางฝ่าย
    ภพภูมิระดับต่างๆได้แล้วไซร์..
    พลังงานกสิณกองต่างๆที่กล่าวมาก็จะกลับกลาย
    มาเป็นฐานเหมือนๆกับ ''พลังงานร้อนและเย็น'' ที่เคยเป็นฐานให้พลังงานกสิณ
    มาก่อนนั่นแหล
    พลังงานกสิณตรงนี้ก็จะกลายมาเป็นพลังงานที่ออกมาจากกลางอก
    ขยายวงออกได้กว้างไกลมหาศาล.แต่การขยายตรงนี้หาใช่ประเด็น
    ที่สำคัญกว่า การเพิ่มเมตตาเข้าไปอีกให้มากๆ ขยายวงอุทิศส่วนกุศล
    ทางภพภูมิเข้าไปให้เพิ่มขึ้นอีก.จนวันใดวันหนึ่งที่ข้างบนฝ่ายนามธรรม
    ต่างๆเห็นว่าเราอยู่ในระดับที่พอจะมีความดี..
    ..''พลังงานกลุ่มก้อนกสิณต่างๆเหล่านี้''
    ก็จะเพิ่มความหนาแน่น มีความใส และรวมตัวกันก่อกำเนิด
    กลายสภาพเป็นอาวุธเหมือนแก้วใสชนิดหนึ่ง..ที่คนเค้าเรียก
    กันว่า..''อะไรที่ย่อว่า จ. แก้วๆนี่หละ'' จ.แก้ว กำเนิดเกิดขึ้น
    จากตรงนี้..ต่อมา จ.แก้ว ตัวนี้จะสามารถขึ้นมาบนมือเราได้.
    เพื่อมาแทนพลังงานกสิณกองต่างๆที่เคยขึ้นมาได้นั่นหละ.
    และก็จะสามารถ หนุ่น ดึง และส่งได้ เฉกเช่นเดียวกับ พลังงาน
    กองกสิณต่างๆที่เคยทำได้มาก่อนหน้านี้เช่นกัน..
    ที่สำคัญมันจะคอยเป็นเกราะป้องกันเราได้.
    ป้องกันอาวุธทิพย์อะไรได้ ให้ย้อนไปอ่านย่อหน้าสุดท้าย
    ใน #Rep 428 ดูเอง.และด้วยความสามารถ
    ของ จ.แก้วนั่น..จะมีความสามารถในการตัดสิ่งที่เราเรียกว่า..
    สายใยทิพย์ต่างๆได้.ตัดกายทิพย์ก็ได้ ตัดตรงไหนได้แม้ว่าร่างกาย
    จะยังคงอยู่แต่ว่าจะใช้ร่างกายส่วนที่โดนตัดกายทิพย์นั้นไม่ได้อีก.
    เค้าใจหรือยังว่าทำไมคนที่มี จ.แก้ว เค้าถึงไม่กลัว
    คนที่สามารถถอดกายทิพย์ได้
    แต่เราจะใช้ จ.แก้วนี้ตัด..สิ่งต่างๆที่แฝงในร่างกาย
    ผู้ใดก็ได้ให้หลุดออกมาเท่านั้นก็พอ.
    แต่ต้องจำให้ขึ้นกระโหลกว่าตัดได้แล้ว
    อย่าไปยุ่งเพราะเป็นหน้าที่ของครูบาร์อาจารย์ในการปรับภพภูมิ
    มิใช่หน้าที่เราอีกต่อไป..โดยที่ไม่ต้องไม่ใช้คาถา ใช้อาคม
    ใช้กำลัง ใช้กสิณไฟ ใช้ไม้ ใช้อะไรฯลฯ
    ในการทำให้สิ่งต่างๆเหล่านั้นทรมาณเพราะว่า.
    หากเค้าทรมาณแล้ว ก็อาจจะรวบรวมกำลังสุดท้าย
    ชนิดที่ยอมสลายไปพร้อมกับร่างกายนั้นได้ ซึ่งจะส่งผลเสีย
    มากกว่าผลดี.และการลงจากหลังเสือของเราในอนาคต
    จะไม่สง่างาม.หากวันใดที่ธาตุขันธ์เราอ่อนแอ.พวกที่เค้า
    รักกันเป็นเพื่อนกัน เค้าก็จะรวมตัวกันมาสหบาทาเราได้..
    และเราจะไม่ได้รับการส่งเสริมเรื่องต่างๆจากภพภูมิมีฤิทธิ์
    เพราะเค้าจะมองว่าเราอ่อนเมตตา....
    ยังมีต่ออีก..เอาย่อๆนะ โม้มากไปแระ ๕๕๕ เริ่มต้นมี จ.แก้วแล้ว
    ใช้งานได้แล้ว..แต่ไปก็อยู่ที่การสร้างพันธมิตรซึ่งอยู่กับจริตวิสัย
    หรือความชอบของเรา..เมื่อพันธมิตรเค้าเห็นว่าเรามีฐานพลังงาน
    จากกสิณกองต่างๆเพียงพอที่จะสร้างเป็นอาวุธได้แล้ว..เค้าก็จะยก
    อาวุธชนิดอื่นๆให้เรามาใช้ได้..หากเรานึกถึงประโยชน์ในการใช้งาน
    จากอาวุธพวกนั้นในทางที่เป็นประโยชน์และใช้ในทางธรรมได้..
    ที่พูดให้ฟังนี้สามารถทำได้ในขณะลืมตา สัมผัสได้จริง ไม่ว่าตัวเรา
    หรือบุคคลอื่นๆก็สัมผัสได้. และใช้ได้จริง..
    ทำตรงนี้ได้..มาถึงตรงนี้ได้..ค่อยไปพูดเรื่องจิตธาตุ ในระดับขั้นการ
    เล่นแร่แปรธาตุต่อไป..ซึ่งยังต้องอาศัยองค์ประกอบและปัจจัยหลายๆ
    อย่างๆร่วมด้วย..หากยังไม่ถึงอย่างที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดให้พึ่งระลึก
    ให้ดีๆว่าเราควรทำตัวให้เป็นปกติธรรมดาๆเหมือนสามัญชนคนทั่วไป..
    เพราะที่กล่าวมาเป็นพื้นฐานของผู้ที่พอจะเข้าถึงโหมดวิญญานธาตุเท่านั้น
    (ย้ำว่าพอเข้าถึง)...
    ปล.เล่าให้ฟังอย่างนี้พอจะเข้าใจอะไรๆย้อนหลังที่เคยเขียนมาก่อนนี้
    ทั้งหมดที่คุณน้องเคยอ่านบทความของ
    คุณพี่มาก่อนหน้านี้แล้วหรือยังครับ...
    ว่าทำไมถึงย้ำหนักย้ำหนาว่า อย่า๑.กล่าวหรือพูดอะไรที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง
    เป็นเหตุให้พูดกันมากความ. อย่า
    ๒.คาดหวังว่าเราจะต้องได้รับการยอมรับด้วยหมายมั่นปั่นมือว่าเรามีความสามารถ
    เหนือผู้อื่นเค้า..และ๓.ไม่ควรคลุกคลีกับคนหมู่มากที่มีเสียงอึกทึกครึกโครม.
    และจะเข้าใจว่า ที่เขียนบอกว่า สิ่งต่างๆที่มันจะเกิดขึ้นได้ปกตินั้นมีอะไรบ้าง
    ก็เพื่อเอาไว้สำหรับให้อ่านเพื่อจะได้เตือนตนเองไว้ว่า.มันยังไม่ใช่ที่สุด มันยัง
    มีอะไรๆอยู่ จะได้ไปเผลอหลงตัวเอง เพราะแม้ว่าเราจะทำได้ปกติทุกๆข้อ
    มันก็ไม่ได้เป็นเครื่องประกันได้ว่าจะเป็นดีได้ ยังๆก็ต้องต้องเอากำลังที่ได้
    จากตรงนี้เอาบารมีที่สร้างจากตรงนี้มาเพื่อหนุนสำหรับการลดละกิเลสในใจตน
    ไม่งั้นถ้ายังเผลอว่าสิ่งที่ตนสัมผัสได้เห็นได้ในนิมิตรเป็นที่สุดแล้ว.
    จนเป็นเหตุให้ไปกล่าวปรามาสผู้อื่นเค้า.
    มันจะตัดการพัฒนาความสามารถทางจิตเราได้.
    และถ้ายังไม่ถึงตรงนี้จริงๆให้เงียบไว้ มาคุยกันพอฮาๆได้ ถามไถ่กันได้ไม่ว่ากัน
    .เพราะในทางภพภูมิสำหรับกลุ่มที่ท่านมีฤิทธิ์
    แล้วเรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องพื้นฐานธรรมดามากๆ ต่อให้เราคิดว่าเราเก่งแค่ไหน
    เรื่องความไวในการใช้งานเราไม่มีทางสู้ กลุ่มที่เค้ากำเนิดขึ้นมาพร้อมกับฤิทธิ์
    พร้อมกับอาวุธได้หรอก ส่วนตัวเคยปะชะดะมาแล้วพอจะเข้าใจดี.

    .เพราะฉนั้นทำให้เค้ามาเป็นมิตรกับเราซะดีที่สุดเขียนแทรกไว้แล้วหละ
    ส่วนจะทำตัวอย่างไรให้เค้ามาเป็นมิตรกับเราไปคิดเอาเอง

    ส่วนห่มเหลืองท่านต่างๆ ไม่ใช่ท่านไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูด
    ละท่านจะแตกต่างกับเราตรงที่ว่า ภพภูมิพวกนั้นเค้าให้ความเคารพ
    ในตัวห่มเหลืองท่านนั้นๆ.เหตุเพราะว่าจิตใจท่านเทียบแล้วดีกว่าฆารวาส
    อย่างเราๆมากนั้นเอง...
    ...จบตอนด้วยประการละฉนี้แล...เป็นไงอ่านแล้ว ปิ๊งแว๊ปไหมเอ่ย...
     
  15. champ_atikrit

    champ_atikrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +102
    สอบถามพี่ nopphakan บางทีผมเข้าห้องน้ำ ตาเราบางทีเห็นแสงเล็กๆ ลอยไปลอยมา คืออะไรเหรอครับ ไม่รู้จริงๆ (หรือว่าแสงแดดสะท้อนขี้ฝุ่น 555)
     
  16. newpin

    newpin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +112
    สวัสดีค่ะ พี่นพ

    ปลามาแจ้งความคืบหน้าหลังจาก 2 อาทิตย์กว่าๆ นะค่ะ ส่วนใหญ่ยังไม่นิ่งเท่าไรค่ะ หลับตาแล้วนึกภาพน้ำไม่ออกเลยค่ะ ก็นั่งไปมืดๆ แบบนั้้น สรุปว่า....ไม่ค่อยพัฒนา T_T
    แต่ก็จะทำไปเรื่อยๆ ค่ะ อันที่จริงก็นิ่งได้กว่าแต่ตอนที่เริ่มทำสมาธิแรกๆ ค่ะ คือไปอย่างช้าๆ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    กิริยาพวกนี้ถือว่าเป็นปกติถึงปกติมากๆถึงมากที่สุดครับ..
    คือถ้าหลับตาแล้วภายใน ๓ วินาทีไม่เห็นถือว่าแย่แล้วครับ.
    .ส่วนลืมตาปกติจะเห็นทั้งเส้นสายและแสงแบบนี้ปกติ
    เพราะตอนเข้าห้องน้ำจิตมักจะทำงานเป็นปกติเพราะเราจะมุ่ง
    ธุระส่วนตัวอย่างเดียง..แต่ถ้าเห็นได้แล้วที่ดีก็คือ
    จะต้องเห็นแสงนี้ปรากฏค้างและนิ่งๆ หรือไม่เวลาลืมปกติจะต้อง
    เห็นแบบนี้ปรากฏขึ้นมานิ่งๆครับ..
    ไม่ใช่หายแว๊ปเวลามองแบบหลับตาภายในลมหายใจเข้า
    ออกไม่เกิน ๓ ครั้งครับถึงจะถือว่าเป็นปกติธรรมดาครับ..
    แต่ถ้าเห็นพวกนี้ที่มีประโยชน์ในการใช้ตรวจสอบอะไรบ้างอย่างได้
    เช่นกำลังบุญของเราในการอุทิศส่วนกุศลครับ..
    และเป็นพื้นฐานการฝึกของรูปแบบการฝึกของแสงนำทาง
    เพื่อให้จิตทำงานครับของการฝึกวิชาเดินธาตุในดงแบบพระอาจารย์ในดง
    หรือวิชาเดินธาตุโบราณของผู้เป็นเลิศทางเมืองบาดาล หรือจะแบบ
    อดีตพระสังฆราชมีชื่อในอดีต.
    ซึ่งน่าจะเขียนไว้หมดแล้วครับในกระทู้นี้หละครับถ้าจำไม่ผิดนะครับ...
    เอาแบบสรุปนะครับ ถ้ายังไม่เห็นอย่างน้อย ๗ สีให้เฉยๆไว้ครับ.
    เอาละเอียดมีประมาณ ๒๐ กว่าสี.
    และเวลาทำบุญแล้วยังไม่เคยเห็นชนิดที่มืดฟ้ามัวดินก็ให้เงียบๆไว้..
    ไม่ต้องตื่นเต้นครับ..เด่วถ้าสนใจหรือขำมากไป เด่วจะไม่ได้เห็น
    แบบชนิดที่มาพร้อมคลื่นความถี่สูงชนิดที่ตัวเราขยับไม่ได้.
    และจะขวางความสามารถทางสายตาของเราในการทะลุทะลวง
    ไต่ระดับในการมองเห็นนามธรรมชั้นสูงๆได้....
    รายละเอียดเป็นไปตาม link ที่เอามาให้ลงอ่าน ก็จะได้
    ทราบอะไรๆเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ประมาณนี้พอเข้าใจเนาะ..
    http://palungjit.org/threads/แสงสีต่างๆ-ขณะนั่งสมาธิ-บ่งบอกอะไร.347787/

    เรื่องธรรมดาดีแล้วครับ..กรรมฐานกองนี้บอกได้เลยว่า
    จะถึงระดับใช้งานได้ไม่มีคำว่าผลุ๊ก.ประเภทที่ว่าเห็นโน้น
    เห็นนี้เล็กน้อยแล้วคิดว่าเข้าถึงได้ รับประกันได้ว่าฝึกชาตินี้
    ยันชาติหน้าก็ไม่สำเร็จหรือนำมาใช้งานได้.หรือต่อให้ฝึกซัก
    ๑๐ ปีแม้ให้ใช้งานพอได้.ขอบเขตก็จำกัดครับและจะถูก
    จำกัดวงในการใช้งานครับ...อ่านๆดูแล้วไม่ใช่ว่าไม่มีทางเป็น
    ไปไม่ได้ครับ..ลองมาดูว่าการเข้าถึงผลสำเร็จในระดับใช้พลัง
    งานกสิณกองต่างๆได้ มันมีความเป็นไปเป็นมาอย่างไรนะครับ..
    ในระหว่างวันอย่าขาดเรื่องการสร้างสติทางธรรมให้ต่อเนื่อง
    และอย่าลืมเรื่องการทำสมาธิสะสมเล็กน้อยๆระหว่างวัน
    ครั้งละ ๒ ถึง ๓ นาทีแต่ทำให้มากขึ้นด้วยครับ.
    ไม่งั้นฐานกำลังสมาธิเราจะไม่เพียงพอ..
    และเทคนิคที่สำคัญก็คือ...
    อย่าลืมตั้งเป้าอธิษฐานจิตต่อหน้าพระพุทธรูปที่เราเคารพด้วยครับ
    ว่าขอฝึกเพื่อฟื้นของเก่าและนำผลสำเร็จที่ได้ไปใช้ประโยชน์ใน
    ทางธรรมและนำฐานกำลังสมาธิที่ได้เพื่อเดินปัญญาลดละกิเลส
    เท่านั้นครับ..จิตจะมองเห็นเส้นทางเดินได้ตรงทาง..และ
    เราจะมีโอกาสได้รับการสนับสนุนจากภพภูมิ
    มีชื่อในอดีตสายวิชาพิเศษบางท่านจะมาสอน
    มาแนะนำเทคนิคในการเข้าสู่ผลสำเร็จได้ครับ
    จะทำให้เราได้เทคนิคการเข้าสู่โหมดถึงขั้นการเรียกเป็นพลังงานขึ้นมา
    ออกสู่ภายนอกได้ท่านจะเป็นอดีตห่มเหลืองมีชื่อในอดีตมีเสียงมาก
    เด่วจะทราบได้ด้วยตัวเองครับ แบบชนิดที่ว่าเราอาจจะคาดไม่ถึงว่า
    เราก็รู้จักดี..และพอเรียกพลังงานได้ จะเป็นกลุ่มที่เด่นเรื่องกำลังสมาธิ
    กำลังสูงที่ชอบบำเพ็ญอยู่ในป่ามาสอนเทคนิคเพื่อการนำ
    ไปใช้งานได้ครับ..และพอเรียกพลังงานได้ครบเกือบทุกๆกอง.
    และสอบผ่านเทคนิคการเลือกใช้งานและการในไปใช้งาน
    จากทางภพภูมิแล้ว..หลังจากที่ใช้พลังงานเหล่านี้ให้เป็น
    ประโยชน์ต่อผู้อื่นอีกซักพัก ก็จะถึงคิวท่านท่านที่อยู่
    ในดงมาดูแลเราต่อไปครับ.และถ้าเราตัดสัญญาความจำได้ต่างๆ
    จนไม่ปรากฏเป็นภาพแล้วเหลือแต่สีและเส้นสายได้แล้ว..ถ้าเรายัง
    ทนแต่แรงกระทบภายนอกได้ เราจะได้รับโอกาสจากห่มเหลืองมีชื่อ
    ในอดีตมีชื่อเสียงมากอีกท่านสายบารมี ท่านจะมาคอยดูแล้วเรา
    ต่ออีกขั้นหนึ่งครับ...เป็นลำดับขั้นตอนตามที่ได้มาแล้วข้างต้น
    อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น..ถ้าฝึกเองด้วยกำลังใจตัวเอง
    และขาดการสนับสนุนจากทางภพภูมิแล้ว..ต่อให้เราเก่งการเข้า
    สมาธิจนเรามีกำลังเข็มแข็ง..แต่ผลที่ได้และการใช้งานจะถูกจำกัด
    ในวงแคบและอาจใช้เวลานานมากอาจเป็นหลักปีหรือสิบปีเราอาจ
    ล้มเลิกไปก่อนได้ครับ..เพราะฉนั้นทำจะทำตัวอย่างไรเพื่อให้ได้รับ
    การสนับสนุนจากท่านๆเหล่านี้ได้..เรื่องที่สำคัญที่สุด..ปิดทองหลังพระไว้
    ทำบุญรักษาความดีให้ต่อเนื่อง..อย่าหูเบาเชื่อคนง่าย.
    อย่าพูดถึงท่านที่มาสอนเราแบบตรงๆเป็นอันขาด.และถ้าสายตาเราไม่ดี
    พอที่จะมองเห็นอะไรด้วยตัวเองอย่าพึ่งเชื่อคำเป่าหูของบุคคลที่ทางภพภูมิ
    ตัดขาดเรื่องการเข้าถึงการใช้พลังงานให้ออกมาภายนอกได้บางกลุ่มในชาตินี้
    ที่ชอบมองคนอื่นในเชิงอกุศล.เด่ววันหนึ่งถ้าถึงขั้นใช้งานได้เราจะมีเครื่องรู้

    และสายตาจะดีพอที่จะมองย้อนรู้กลุ่มบุคคลต่างๆเหล่านี้ได้เอง..
    .และอย่าสนใจคำดูถูกดูแคลน
    ต่างๆนาๆ..อย่าพึ่งสงสัยอะไรถ้ายังไม่ถึงจุดสำคัญที่เคยแนะนำไปก่อนหน้า.
    ไม่ว่าจะเกิดเครื่องรู้ หรือสัมผัสอะไรก็ตามระหว่างทาง
    จำไว้ว่าถ้าเห็นในนิมิตร หรือเห็นคนเดียว แล้วคนอื่นๆเห็นด้วยไม่ได้
    หรือสัมผัสด้วยไม่ได้..ไม่ต้องสนใจอะไรใดๆทั้งสิ้น
    มีผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพเป็นที่สุด..เคารพภพภูมิทุกระดับ ไม่มีการแบ่งแยก
    หรือแยกแยะ ว่าใครดีกว่าด้อยกว่า อุทิศส่วนกุศลให้ภพภูมิจนเป็นนิสัย..
    และที่สำคัญทำตัวกับบุพการีให้ดีๆ..และประเด็นที่สำคัญก็คือสร้างเมตตา
    ให้เป็นนิสัย..และสุดท้ายอย่ากลัวความตาย..แม้ว่าอนาคตจะใช้งานได้
    นิมิตรแล้วก็ตาม.ถึงจุดหนึ่งในนิมิตรไม่ต้องใช้และยอมตาย..
    จะทำให้สามารถนำพลังงานพวกนี้ขึ้นมาใช้ได้จริงในชีวิตปกติได้เอง
    ของมันอัตโนมัติในสภาวะลืมตาปกติได้เองครับ..
    ส่วนอนาคตจะพัฒนาความหนาแน่นของพลังงานค่อยว่ากันอีกรอบครับ....
    ปล.อ่านๆดีนะครับ..
    .
     
  18. newpin

    newpin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +112
    ค่ะ พี่นพ อ่านดีๆ และหลายรอบแล้วค่ะ มีข้อสงสัยบ้าง แต่พี่นพบอกตอนนี้อย่าเพิ่งสงสัยอะไร ดังนั้นไม่ถามดีกว่าค่ะ รอถึงเวลาอันสมควรค่อยว่ากัน ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ หวังว่าปลาคงจะได้รับความเมตตาจากครูบาอาจารย์ในเวลาอันใกล้นี้
     
  19. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,331
    ช่วงนี้ทำไมหลับตากลับเห็นเป็นตัวเลขก็ไม่รู้ค่ะ ครั้งแรกคือตอนจะนอนก็หลับตาเห็นเป็นตัวเลขสองหลัก เมื่อวานเห็น3หลัก แต่ไม่ชัดเท่าไร 325หรือ352 พอไปรับบัตรคิวที่ไปรษณีย์ก็กดได้เลข 252 ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออย่างไร ไม่อยากจะตีเป็นหวย 5555
     
  20. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    น้องปลาค่อยๆฝึกไปคับทั่วๆไปไม่มีอะไร
    แต่ควรล็อกเวลาฝึกแบบพิธีการให้แน่นอน
    เด่วมันจะย้อนรู้ที่ผ่านมาทั้งหมดได้เอง
    . ส่วนตัวเลขมันมีอยู่ ๘ ถึง ๙ การปรากฏ
    เราจะดูความใกล้เคียงของตัวเลข
    และใช้เป็นตัวตวรจสอบ
    ความละเอียดของจิตและระดับกิเลส
    เรื่องความโลภเฉยๆ
    เป็นเรื่องหลักประมานนี้
     

แชร์หน้านี้

Loading...