กสิณอะไรฝึกง่ายสุดหนอ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย lovepyou, 8 กรกฎาคม 2014.

  1. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    นี่น้าจร คุณป่าวประกาศว่ารู้โม๊ดดด ทุกอย่างในสังขาร

    แต่กลับกระเซ้ากระซี้ กะสันอยากรู้คำตอบในกองสังขาร

    แล้วจะรู้ไปทำไป ถ้าไม่ถูกสังขารหลอก

    แต่ถ้ายังอยากคลายความสงสัย ที่ยังตราตรึงติดจิตติดใจ ก็ไม่ว่ากัน
     
  2. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    จะไปรู้ทำไมครับคุณ wlotuss เรื่องโลกๆ
    ไหนว่า อนัตตาธรรมไปแล้ว พ้นสมมุติไปแล้ว ไงครับ
    นี่มันเรื่อง วน เวียน ไม่พ้นวัฏสงสาร
     
  3. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    ช่วยบอก wlotuss หน่อย

    ต้องแอ็ค ให้มากกว่านี้ ถึงจะเนียน สมมาดผู้รู้

    แต่ถ้าผู้รอบรู้ในกองสังขารจริง สังขารก็เป็นธรรม ไม่มีแอ็ค ไม่มีแอพ ไม่มีตัวช่วย

    สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วยปัญญา จนสู่สภาพวิสังขาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 พฤศจิกายน 2014
  4. leehonza

    leehonza Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    65
    ค่าพลัง:
    +78
    กระทู้เค้าเสียหมดมาทำอะไรกันส่วนการจะหลอกใครนั้นไม่ยากเลยง่ายนิดเดียวแต่การหลอกตัวเองนี่สิยากยิ่ง
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    สวัสดีครับ..พอดีติดเที่ยวอยู่ครับ !! เอ้ย!! ติดธุระอยู่ครับ..
    พึ่งไปเคลียร์บ้านเสาตกน้ำมันที่ชอบมี ญ สไบเขียวเดินออกมา
    และก็มีห้องเฮี้ยนที่เจ้าของห้องเดิมเค้าหวงๆมาครับ.และก็พึ่ง
    มาเห็นนี่หละครับ...

    ต่อไปนี้ก็ถือว่าเป็นนิทานเรื่องเราแล้วกันนะครับ
    อ่านไว้ขำๆก็ได้ครับ..
    ก่อนจะเล่าเรื่องห่มเหลืองที่สงสัยให้ฟังนะครับ..
    อยากจะเล่าอะไรให้ฟังบางอย่างครับ..บางดวงจิตบางทีเราเกิดมา
    ถือว่ามีบุญมีวาสนากว่าใครเข้าอยู่..ด้วยที่จิตเดิมมันเคยสร้างเกี่ยว
    กับเรื่องความสามารถพิเศษแบบภายในมา..แถมยังได้มาพบมาเจอ
    อดีตของผู้ที่เคยผลิกเป็นครูบาร์อาจารย์มาในอดีตชาติ..ที่เค้าว่ากันว่า
    ความสามารถทางจิตสุดจะพิศดารที่อยู่ในสายเดียวกัน
    กับอดีตห่มเหลืองมีชื่อเลื่องลือทางฤิทธิ์ที่ใครๆก็รุ้จักกันดี นามย่อ ว่า ล.
    ท่านผู้นี้แม้ว่าจะความสามารถในการรักษาคนได้แล้ว.ก็ยังเด่นเรื่องของ
    อภิญญาชนิดที่เราเรียกได้ว่าเป็นอภิญญาใหญ่..แต่ที่แปลกและพิศดาร
    กว่าใครเพื่อนก็คือนอกจากพลังความสามารถในการรักษาคนได้ที่มาก
    เป็นพิเศษยังมีเรื่องของผิวหนังที่อาวุธใดๆก็ไม่สามารถทำให้ท่านระคาย
    ผิวได้ เรียกว่าคงกระพันก็ได้ครับ
    และจะเป็นเอกลักษณ์ที่เด่นของลูกศิษย์สายเดียวกัน
    กับท่านห่มเหลืองชื่อเสียงโด่งดังชือย่อ ล. ท่านนี้ครับ
    ..
    ซึ่งลูกศิษย์ก็มักจะพูดจาภาษาเดียวกันกับท่าน.ซึ่งลักษณะทางจิตก็คล้ายคลึงกัน
    ถ้าเทียบพลังงาน อาจารย์ ๑๐ ลูกศิษย์ก็ ๓ ประมาณนี้..
    ส่วนอยากจะทราบว่าท่านเป็นใคร..ยิ่งคิดยิ่งไม่รู้ครับ..
    และไม่ควรเป็นเรื่องที่ต้องเก็บมาคิด เก็บมาใส่ใจ เก็บมาจำให้เสียเวลา...
    ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เราเข้าใจวัตถุประสงค์ของสิ่งที่เราเห็นได้ไหม
    ณ เวลาที่เราสัมผัสได้เลยตอนนั้นๆครับ..ถ้าหากไม่แสดงว่ากำลังสติทางธรรม
    ของเราและปัญญาทางธรรมตอนนั้นเรายังไม่พอ หน้าที่เราก็คือเลิกคิดซะ
    แล้วมาเจริญสติเพิ่มขึ้นให้ต่อเนื่อง มาเดินปัญญาลดละกิเลสเราต่อ...
    คือถ้าเราพอมีความสามารถทางจิต และเราก็เคยเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์มาแล้ว
    ซึ่งที่เราต้องพึ่งระวังก็คือ อย่าไปเน้นการโน้มน้าวเรื่องความสามารถทางจิตให้ออก
    ไปในทางเพื่อเสริมกิเลส ความความโลภไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เผลอเกิดขึ้น
    กับจิตใจเราเป็นอันขาดครับ...

    เราต้องรักษาความดีตรงนี้เอาไว้..เพิ่มเมตตาให้มากๆ
    อย่าคาดหวังจะได้รับการยอมรับจากสังคมว่า เราเป็นคนมีอะไรพิเศษมีความรู้พิเศษอะไร
    ไม่งั้น ตัวกระแสของจิตมันจะดึงพวกความสามารถที่เรามีให้โน้มลงมาตรงจักระที่ส่งเสริม
    เรื่องความรัก และเราจะเผลอไปติดกับดัก พวกกิเลส พวกความโลภต่างๆ ตลอดจน
    ยุยุงในใจเราให้เหมือนๆกันว่าเรามีอะไรที่่มากกว่าคนทั่วๆไป และเราเป็นอะไรที่พิเศษมาก่อนได้
    โดยที่เราจะไม่รู้ตัวครับ...จะทำให้กระแสที่เคยเชื่อมครูบาร์อาจารย์เราจะโดนดึงลงมา
    จนกระทั่งมันจะปิด..เด่วฝ่ายไม่ดีที่เค้าชอบคนที่เน้นเรื่องพิเศษๆเค้าจะพากันเจาะเข้ามา
    ถึง ณ เวลานั้นมันจะแก้ไขได้ยาก และจะทำให้กลับมาเป็นปกติได้ยากครับ...
    ปล.จำเอาไว้อย่างหนึ่งว่า สิ่งที่เห็นถ้ายังเป็นภาพอยู่ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริงก็ตามนะครับ
    หรือไม่ว่าจะเห็นด้วยการหลับตาหรือลืมตา แม้ว่าจะตอนกลางคืนหรือกลางวันก็ตาม..
    มันก็ยังอยู่ภายใต้การปรุงแต่งอยู่ครับ ไม่ว่าจะจากสัญญาภายในจิตเรา หรือจากสัญญา
    ภายนอก.หรือจากอะไรก็ตาม..
    .เพราะฉนั้นถ้าเห็นแล้วไม่เข้าใจตอนนั้นให้ลืมและเลิกคิดซะ..มาเน้นเดินปัญญา
    ตัดกิเลสต่อ..จิตเราจะมีภูมิธรรมมากขึ้น.
    จนก้าวพ้นข้ามพ้นเรื่องภาพ เราก็จะก้าวข้าม
    เรื่องการปรุงแต่งต่างๆได้..ต่อไปเราก็จะไม่ยึดติดอะไรต่างๆได้..
    ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามที่เราเคยรู้มา สัมผัสมาได้ของมันเอง..
    เราจะพบได้ว่า..ณ ตอนนี้เราควรจะต้องเดินทางต่อไปข้างหน้า
    อย่างไรด้วยตัวของเราเองโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปค้นเพื่อหาคำตอบ
    ขอให้เรายึดหมั่นในพระรัตนตรัย..และจำไว้อีกอย่างว่ามีผู้
    เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพเป็นที่สุดครับ..

    ปล.ประมาณนี้ครับ.เรื่องเกี่ยวกับความฝันตอบให้แล้วครับ
    .และรบกวนทำตามที่ได้บอกไว้
    ช่วงท้ายๆของ pm ด้วยนะครับ
    ขอบคุณครับ.
     
  6. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,331
    ถ้าไม่รบกวนพี่นพจนเกินไป

    พี่นพพอจะอธิบายเรื่องตัวเลขได้มั๊ยคะ
    ถ้าคำถามไม่เป็นสาระธรรมก็ผ่านค่ะ ^^
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เช่น เราเห็น ๒๕๒ แต่ว่ามันออก ๒๕ แสดงว่าจิตเรามันมีความละเอียดพอ
    สมควรแต่ยังไม่ถือดีเท่าไรครับถ้าเราเป็นนักปฏิบัตินะครับ..
    และการเห็นได้จากภายใน.เอาไว้คิดจะเล่าให้ฟังจะเล่าให้ฟัง
    แล้วกันนะครับ แต่ส่วนตัวไม่สนับสนุน โดยถือว่าใครจะเห็น
    หรือจะทำอย่างไรเป็นเรื่องส่วนบุคคลครับ..เน้นฮาๆขำๆก็พอครับ..
    ..เช่น.ถ้ามันออก ๔๒ อย่างนี้แสดงว่าเรายัง
    มีความโลภปนอยู่..ถ้ามันออก ๔๑ แสดงว่าเราเริ่มโลภมากแระ..
    และถ้ามันออกตัวออกอื่นๆเลยแสดงว่าเราช่วงนั้นจิตเรายังไม่นิ่งพอ..
    ระดับการเห็นเป็นตัวเลขที่ดีถ้าเอาจาก ๓ ตัวนะครับ..
    ผลจะต้องออก ๒๕๒ ตรงๆ ไม่ใช่๕๒๒ ๒๒๕ และที่สำคัญคือ
    ก็คือต้องไม่มีบวก ไม่มีลบ ไม่มีสลับตัวใดตัวหนึ่ง และไม่มีการตัดครับ..
    จะเป็นตัวบอกได้ว่า จิตเรานอกจากจะพอมีความละเอียดที่ดีพอแล้ว
    เรื่องความโลภของเรายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีครับ...
    และที่สำคัญเราจะต้องทราบด้วยครับว่า มันจะออกข้างบนหรือข้างล่างครับ...
    ถ้าหากจิตเราละเอียดพอ ความโลภเราดีพอ ต่อให้ไม่อยากเห็นมันก็จะมา
    ให้เห็นเองได้ของมันเองครับ.มันจะมาก่อนล่วงหน้าเป็น ๒ สัปดาห์โน่นครับ
    ช่วงดีๆมันเห็นไปล่วงหน้าได้ ๒ ถึง ๓ งวดก็มีครับ..เช่นงวดต่อไป
    ๘๙ บนหรือล่างอะไรทำนองนี้ครับ.(ยกตัวอย่างนะครับ)
    แต่ถ้าเราเผลอมีความโลภปนแล้วเข้าไปเล่นส่วนใหญ่จะเสร็จทุกรายครับ
    .แต่ใครคิดจะช่วยรัฐบาลก็เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
    นะครับไม่ได้ห้ามหรือบอกว่าไม่ดีครับ..แต่ประโยชน์ที่ได้จากการเห็น
    ที่น่าจะนำเอามาเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบจิตเราก็เป็นอย่าง
    ตัวอย่างที่เล่าให้ฟังมาก่อนหน้านี้ครับ

    ปล.มุมนี้นะครับที่พอเห็นว่าจะเป็นประโยชน์และไม่นับการได้มา
    จากภายนอกทุกๆกรณีครับ...
     
  8. Jasmin99999

    Jasmin99999 วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวาน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    971
    ค่าพลัง:
    +3,331
    ตอนเห็นเลขเป็นตอนที่ไม่ได้นั่งสมาธิค่ะ เหมือนพักสายตากับตอนกำลังจะนอน พอหลับตาตัวเลขก็ปรากฎตรงกลางค้างไว้ เคลื่อนไหว แล้วก็ค่อยๆหายไป มาให้เห็นสองสามวันก่อนหวยออก เชื่อเลยว่าถ้าซื้อก็คงถูกกิน 555 และลึกๆยังมีโลภอยู่บ้าง แต่ไม่กล้าเล่น
    ได้เคล็ดลับไว้ตรวจสอบจริตตัวเองแล้วว... ขอบคุณพี่นพค่ะ

    ปล. แต่ถ้าไม่มีความโลภแล้วเห็นทั้งสามตัวตรงๆ ไม่ซื้อ ก็ไม่ได้เงิน แล้วมาให้เห็นเพื่อไว้ตรวจสอบตัวเองเฉยๆอะ...แป้วว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2014
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    โดยส่วนตัวก็ไม่ใช่ว่าจะมีความดีเพียงพออะไรที่จะแนะนำคุณได้นะครับ
    ถือว่าที่เขียนต่อไปนี้เป็นแบบเล่าสู่กันฟังแบบกัลยาณมิตรนะครับ..
    โดยปกติถ้าเราจะพอทราบได้ว่าตัวจิตของเราได้ว่าเป็นอย่างไร.
    บวกกับถ้าใจเรามีความเป็นกลางเพียงพอ.
    และไม่เข้าข้างตัวเอง..ประเด็นนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่า.
    เราตั้งเป้าปลายทางของเราเพื่อการหลุดพ้นไว้
    ให้มันมีความมั่งคงเพียงพอหรือไม่ครับ..
    เรามีผู้เป็นเลิศเป็นที่สุดอยู่หรือไม่เหมือนครูบาร์อาจารย์ทางโลก
    และทางภพภูมิท่านต่างๆ....เรายังทำอะไร คิดอะไร พูดอะไร.
    .อยู่ภายใต้การมีครูบาร์อาจารย์คอยควบคุมอยู่หรือไม่.
    และถ้าไม่ยึดติดได้แม้แต่ตัวครูบาร์อาจารย์ทางภพภูมิแล้วไซร์
    และที่สำคัญอยากรู้อะไรให้มาดูที่จิตตัวเอง ทำตัวให้เหมือนน้ำเข้าไว้..
    เราจะทราบได้เองว่าสิ่งที่บุคคลอื่นๆได้กล่าวเตือนมานั้น..
    มันเป็นอย่างไร โดยเรารับฟังเอาไว้ก่อน..
    ..และเราควรจะอุเบกขารับรู้ หรือว่าเราจะทำอย่างไร..
    เรายังมีร่างกายที่เรียกรวมๆกันว่ามนุษย์อยู่ครับ..
    ปัจจุบันดวงจิตมันจะพิศดารแค่ไหนก็ตาม..นั่นก็เพราะ
    วาสนา บารมี หรืออานิสงค์ที่แต่บุคคลได้สะสมมา..
    เรามาเรียนรู้ตามแนวทางเดินของจิตเฉพาะบุคคล
    ..ก็เพื่อเตรียมตัวที่จิตดวงนี้วันหนึ่งวันใดมันจะทิ้งร่างกายนี้...
    แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าเราก็ยังอยู่ร่วมกับสังคม อยู่ร่วมกับธรรมชาติ
    ต่างๆรอบๆตัว..ที่ฝึกที่ปฏิบัติก็เพื่ออยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่าง
    แยบยลนั่นหละครับ....
    ปล.อารมย์นี้หละครับที่จะเป็นอาจารย์สอนตัวจิตตัวเองได้ดีที่สุดครับ
    เหตุเกิดจากภายในหรือภายนอก..ถ้าจากภายนอกก็ให้สติพากายไปแก้ปัญหา
    หรือเกิดจากภายในเราก็ใช้ปัญญาทางธรรม
    แก้ปัญหาที่ภายใน..และไม่ควรลืมหลักการ ๓ ข้อ
    ที่เป็นคำสอนหลักๆของผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพทั้งหลายท่านได้กล่าวไว้..
    ที่เขียนๆไว้ทั้งหมดนี้ส่วนตัวก็เขียนเอาไว้เพื่อเตือนตัวเองเช่นกันครับ...
    ยังๆไงก็ยังต้องเดินหน้าต่อไปครับ..ส่วนจะพ้นหรือไม่พ้นเป็นอีกประเด็น

    ขอบคุณครับ


     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    กำลังบุญแต่ละคนแตกต่างกันพูดแค่นี้พอเข้าใจไหมเอ่ย...
     
  11. Apollo14

    Apollo14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +199
    พี่นพครับ
    ร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ แข็งแรงมีผลต่อความเข้มแข็งของจิตมั้ยครับ อย่าง เช่น หลวงพ่อ ค. ที่ท่านอายุมากแล้ว ยังปลุกเสกวัตถุมงคลเป็นว่าเล่น หรือหลวงพ่อ หลวงปู่ ที่นอนเสียบสายอ๊อกศิเจน อยู่บนเตียง การที่ท่านทำแบบนี้มีผลต่อร่างกายท่านมั้ยครับ แล้ววัตถุมงคลที่ปลุกเสก มีความขลังเหมือนเสกตอนร่างกายปกติมั้ยครับ

    ขอบคุณครับ
     
  12. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    คืองี้นะครับคุณน้อง Apollo14..๑.กำลังจิตที่ตัวจิตจำเป็นจะต้องมีพื้นฐานที่สร้างจากตัวจิตเอง
    ในระดับของกำลังสมาธิขั้นที่จิตจะต้องตัดจากร่างกายเป็นพื้นฐานหรือพูด
    ง่ายๆว่าสร้างในขณะช่วงที่ตัวจิตไม่เกาะเกี่ยวธาตุต่างๆที่มารวมเป็นร่างกาย..
    และ ๒.ความสามารถทางจิตพิเศษต่างๆ..ที่เราอาจจะเคยได้ยินมาว่ามันมีเสื่อม
    มีขึ้นมีลง และมีการเผื่อนั้น..ทั้ง ๒ อย่างนี้จะแตกต่างกันนะครับ.ลองพิจารณาดูดีๆ
    จากบทความที่เคยเขียนให้อ่านแล้วลองสังเกตุหลักการฝึกดูดีนะครับจะพบว่า
    ถ้าเป็นเรื่องของกำลังจิตการได้มามันเกิดจากตัวจิตมันสร้างภาพที่สร้างจากตัวจิต
    โดยอาศัยพื้นฐานการสร้างให้จิตมีความทิพย์เป็นพื้นฐานขึ้นมาก่อน
    เพื่อที่จะเห็นตัวจิตเห็นภาพที่จิตสร้างซึ่งจะนำมาถึงการได้มาของกำลังจิตในระดับ
    ใช้งานได้ในขณะลืมตาปกติ...หรือจากการรักษาอารมย์อารมย์
    ขณะนั้นให้นานๆหลังจากที่ภาพมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว.และก็ทำการอฐิษฐานจิต
    เพื่อให้เกิดผลนั้น..สังเกตุดีๆนะครับ กำลังสมาธิระดับนี้มันจะไม่เกี่ยวกับกายหรือธาตุ ๔ อยู่แล้ว.
    .แม้ว่าในระดับกำลังสมาธิไม่มากด้วยจิตที่มันพอมีความเป็นทิพย์
    มันจะสามารถสัมผัสนามธรรมต่างๆได้ก็ตาม..จะพบว่ามันจะเป็นเพียงการทำให้จิต
    สามารถใช้งานได้แต่ว่าจะไม่สามารถกำลังให้ตัวจิตได้..เราจึงพบได้ว่าแม้ว่าบุคคล
    ใดๆก็ตามที่สามารถสัมผัสนามธรรมได้ขณะลืมตาปกติ.ก็จะยังขาดเรื่องกำลังจิตครับ
    ภูมิต้านทานต่อพลังงานภายนอกต่างๆจึงยังคงน้อยนั่นหละครับ...
    และด้วยที่ขณะที่จิตมันกำลังจะสร้างกำลังจิตและ
    สร้างในสภาวะที่แยกกับร่างกายแล้ว..
    จึงเป็นเหตุให้เมื่อเวลาปกติแล้ว..ถึงแม้ว่าร่างกายนี้มันจะเสื่อมไป
    ตามเหตุและปัจจัยก็ตาม แต่ว่ากำลังจิตตัวที่เราเคยสร้างได้..
    นี้มันจะยังคงอยู่ครับแม้ว่ามันจะเกาะกับธาตุ ๔ อยู่ก็ตามแต่ตอนสร้าง
    มันไม่เกาะและในเวลาปกติก็ใช่ว่ามันจะไม่เกี่ยวพันธ์กันครับ..
    เมื่อไรก็ตามถ้าธาตุ ๔ เกิดพังถึง
    ขั้นใช้งานไม่ได้เลยหรือแยกระบบประสาทที่จะทำให้ธาตุ ๔ ตรงนี้เป็นสะพาน
    สื่อไปถึงตัวจิตไม่ได้เลยเท่านั้น
    เราถึงจะไม่สามารถใช้กำลังจิตได้ครับเพราะฉนั้นต้องพิจารณาร่วมด้วย
    ว่าร่างกายมันถึงตรงจุดนี้หรือไม่..เรียกว่ามันอาศัยซึ่งกันและกันอยู่..
    ..เราจึงได้พบเห็นว่า ครูบาร์อาจารย์หลายๆท่าน อายุอานาม

    ปาเข้าไป ๘ ถึง ๙ สิบปีหรือบางท่านร่วม ๑๐๐ กว่าปี
    แม้ว่าดูภายนอกร่างกายท่านจะเหมือนว่าไม่แข็งแรง
    ไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าธาตุที่รวมเป็นร่างกายยังพอเป็น
    สะพานให้ท่านเชื่อมไปยังตัวจิตได้แล้วไซร์...ท่านจึงยังสามารถเพิ่มหรือบรรจุ
    พลังลงในวัตถุได้เป็นเรื่องปกติครับ..อย่างหลวงพ่อ ค ความจริงแค่ท่าน
    ไปอยู่บริเวณนั้นๆหรืออยู่ใกล้วัตถุนั้นๆ สิ่งของต่างๆก็มีการเปลี่ยนแปลงพลังงาน
    แล้วครับ.แม้ว่าท่านจะนอนให้ออกซิเจนอยู่ในห้องก็ตาม..
    ท่านนี้ผ่านระดับจิตธาตุจนแปรเปลี่ยนธาตุได้มาเกือบ ๒๐ กว่าปีมาแล้วครับ.
    .ส่วนการเจ็บป่วยของท่านที่เราตั้งข้อสังเกตุขึ้นมา ก็ให้ดูที่เขียนให้อ่าน
    ประกอบการพิจารณาครับ...ถ้าท่านยังสามารถคิดได้.กำลังจิตของท่านก็ยัง
    เหมือนเดิมนั่นหละครับถ้าหากว่าจะอธิบายให้ฟังง่ายๆนะครับ...
    ..และที่เราเห็นว่าท่านทำแค่เพียงการเป่าเพี้ยงๆและดู
    เหมือนว่าทำไมง่ายจัง..ก็เพราะว่าถ้าจิตเรามีกำลังจิต..ถึงแม้ว่าตอนที่สร้างมันจะยาก
    ต้องผ่านด่านอะไรต่างๆมากมาย.และต้องฟิตพอตัว..
    แต่ในระดับการใช้กำลังจิตเวลาใช้งานมันจะแค่เบาๆไม่ต้องมีพิธีหรือทำอะไรมากมาย
    ผลก็จะเกิดขึ้นได้ครับ..ประเด็นนี้ไว้ในอนาคตสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองครับ..
    ไม่เหมือนการไต่ระดับขั้นสมาธินะครับแยกกันดีๆนะครับ....
    และเรื่องพิเศษของผู้ที่มีกำลังจิตระดับใช้งาน
    ออกไปภายนอกได้แล้วนั้น..ในระดับขั้นของกลุ่มท่านเหล่านี้..
    ที่มีความชำนาญและกำลังจิตมากมายแล้ว..
    การใช้งานท่านจะอยู่ในระดับแค่การคิดให้เกิดก็จะบังเกิดครับ.
    อยู่เหนือระดับการหายใจสบายๆ วางอารมย์เบาๆไปแล้ว....
    เราจึงเคยได้ยินหรือถ้าโชคดีจะพบว่า
    ทำไมบางท่านยื่นมือไปในอากาศแล้วหยิบจับอะไรก็ได้..
    บางท่านที่เคยได้ยิน..ชนิดที่ว่า พระเครื่องตามรูปในหนังสือ ท่านหยิบออกมา
    เป็นพระเครื่ององค์นั้นแบบเห็นๆ..ชนิดเหมือนทั้งเนื้อทั้งพิมพ์ หรือหยิบอะไรก็ได้
    ถ้าถามท่านว่าท่านทำได้อย่างไร ท่านก็จะตอบว่า ก็แค่คิด นั่นหละครับ....
    และอาจเคยได้ยินเรื่องการแสดงฤิทธิ์ของบรรดาท่านผู้เป็นเอตคัคคะท่านต่างๆ
    มาแล้วแต่ด้วยหลักการก็เป็นอย่างที่เล่าให้ฟังมานั่นหละครับ..

    ..

    ส่วนความสามารถพิเศษแบบต่างๆนั้น
    ต่อให้นั่งสมาธิถึงระดับสูงมาแล้วก็ตาม
    แต่หากว่าตัวจิตไม่ได้ออกกำลังกายจากการสร้างภาพหรือออกกำลังกาย
    ไม่เพียงพอที่จะทำให้จิตแข็งแรงพอแล้วไปอฐิษฐานเพื่อหวังผลทางด้านอื่นๆก่อน.
    .ตัวจิตก็จะยังมีกำลังจิตสำหรับใช้งานไม่เพียงพอที่จะออกมาภายนอกครับ.
    แต่จะไปด้านความชำนาญทางด้านภายในแทน...และยิ่งถ้าเป็นระดับอุปจารสมาธิด้วย
    แล้วจิตมันแยกกับธาตุ ๔ หรือร่างกายยังไม่เด็ดขาดครับ..
    มันจะยังอยู่ภายใต้ความคิดต่างๆ
    รวมทั้งกิเลสต่างๆ..ที่เป็นฝ่ายนามธรรมที่สามารถจะ
    ปรุงแต่งร่วมกันอยู่ เราจึงพบว่าแม้แต่บุคคลที่ชำนาญทางด้านสติปัฐฐาน ๔
    ที่จิตมีความเป็นทิพย์ มีความชำนาญในการพิจารณาร่างกาย..
    แต่กลับพบว่า ขาดเรื่องการสัมผัส ความเข้าใจเรื่องนามธรรมต่างๆ
    ตลอดจนกำลังจิตน้อยไม่สามารถเพิ่มกำลังให้วัตถุหรือว่า ความสามารถ
    ในการตรวจสอบระดับพลังงานจะยังถูกจำกัดอยู่ก็เพราะจิตมันยังมีกำลังจิต
    ไม่เพียงพอนั่นเองครับ..เป็นเหตุให้เข้าโรงพญาบาลนอนเดี้ยง
    กันไปแล้วรายหลาย หลังจากเจอภพภูมิพอมีฤิทธิ์เล่นงาน
    หรือโดนเซียนสวดต่างๆส่งอะไรมาเล่นงานเหตุเพราะไปให้น้ำหนัก
    เรื่องสัมผัสพิเศษต่างๆมากกว่าการสร้างกำลังจิตการสร้างสติทางธรรมนั้นหละครับ
    เข้าใจไว้ด้วยนะครับว่า ถ้าจิตเรายังไม่มีกำลังจิตเราก็จะดูกำลังจิต
    ดูกำลังฝ่ายนามธรรมต่างๆไม่ออกครับ..เพราะฉนั้นเข้าใจแล้วนะครับ
    ว่าทำไมถึงได้แนะนำว่าอย่าไปเน้นอย่าไปให้ความสำคัญจากการแนะนำ
    ที่เคยผ่านมาก่อนหน้านี้นะครับ....

    เพราะฉนั้นถ้าตรงนี้ถ้าแยกจิตกับกายไม่ได้เด็ดขาดชั่วคราวจริงๆ..
    ชนิดที่ว่าเห็นตัวเองอีกตัวนอนอยู่เห็นๆ หรือชนิดที่ว่าจิตมันออกจาก
    ร่างกายได้จริงๆในระดับกำลังสมาธิระดับสูง ไม่ใช่ไปได้ในระดับอุปจารสมาธิ
    ที่ยังมีการควบคุมจากบุคคลภายนอกอยู่หรือไปได้ง่ายๆเพียงแค่คล้ายๆนอนหลับ
    หรือหลับตาไม่นานนั้น..และเห็นทั้งตัวจิตได้จริงๆจากสติทางธรรมและเห็น
    กิริยาการเกิดแบบต่างๆของจิตที่มีความคิด มีอารมย์แอบมาปนร่วมด้วย
    ได้แล้วจริงๆ....บุคคลนั้นก็จะพบจะเข้าใจว่า..ความสามารถ
    มันก็จะเสื่อมไปได้เป็นปกติ มันมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดาครับ..
    เพราะมันมีความคิดมีอารมย์เข้ามาแทรกได้อยู่นั่นหละครับ...
    .บางทีเราไปตีความว่าเพราะใจเราไม่ดีพอ เป็นโน้นเป็นนี่บ้าง..
    แท้จริงๆแล้วการไม่เสื่อมของกำลังจิตมันจะต้องมาจากการสร้างเกิดจากตัวจิต
    ในระดับที่ไม่เกาะเกี่ยวธาตุต่างๆของร่างกายแล้ว..และต้องพ้นสภาวะความคิดแล้ว
    ในการสร้างกำลังจิต..การพ้นสภาวะความคิดแล้วคือจะต้องพ้นสัญญา
    ที่สามารถสร้างเป็นภาพขึ้นมาด้วยแต่ว่าการที่จิตสร้างภาพขึ้นมาก็เป็น
    เส้นทางให้เกิดกำลังจิตได้..เรียกว่าสิ่งต่างๆที่เล่ามามันมีความสัมพันธ์
    กันอยู่อย่างแยกจากกันไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถพิเศษต่างๆ
    และกำลังจิตที่มันจะมาควบคู่กันเองเป็นปกติของมันอยู่แล้วครับ..
    เหตุที่บางคนที่กำลังจิตไม่มีแต่มีความพิเศษนั้นก็เพราะ
    เค้าสามารถเข้าถึงอารมย์ที่จะไม่ให้มีความคิด
    ซึ่งมันเป็นตัวนำของกิเลสต่างๆเข้ามาปรุงร่วมได้
    จากการเดินปัญญาลดละกิเลสเพื่อที่ในขณะเวลาที่จะใช้งาน
    ให้มันคลายออกจากจิตได้ในขณะเวลานั้นนั่นเองไงครับ
    พอผู้ที่ใช้ได้ปกติเราจึงไปให้นิยามว่าเป็นมีผู้มีสัมมาทิฐิ.
    แต่ความจริงๆแล้วมันเป็นระดับกิเลสที่ยังอยู่ในจิต
    ณ ชั่วขณะเวลานั้นนั่นหละครับ...ซึ่งแน่นอนว่าบุคคล
    ที่เดินปัญญาลดละกิเลส และมีความมั่นคงมานานพอ
    สมควร.บุคคลนั้นๆจึงคงใช้ได้ง่ายๆในสภาวะปกติธรรมทั่วๆไปครับ.....
    ..
    ปล.ลองอ่านดู..ถ้าอ่านเข้าใจจะพอมองเห็นภาพรวมแบบกว้างๆได้ครับ..
     
  13. Apollo14

    Apollo14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +199
    ขอบคุณครับพี่นพ คารวะด้วยใจครับ ว่าจะถามคำถามอยู่พอดี ยังไม่ทันถามเลย ตอบก่อนซะแล้ว:cool::cool:

    ขอบคุณอีกครั้งครับ
     
  14. newpin

    newpin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +112
    พี่นพค่ะ สงสัยนิดนึงค่ะ เป็นไปได้ไหมถ้าระลึกได้ว่าอดีตชาติเคยเก่งหรือเชี่ยวชาญด้านไหนเป็นพิเศษ เช่นภาษาต่างๆ เมื่อระลึกได้แล้วความสามารถนั้นก็กลับมา ใช้งานได้เหมือนเดิมโดยไม่ต้องฝึกฝน คือแว้บระลึกได้ก็กลับมาเลยอะค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2014
  15. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    เป็นได้คับเป็นวิธีการหนึ่ง
    ที่อาศัยความเป็นทิพย์ของจิตและกำลังสมาธิไม่สูง
    และก็เป็นธรรมดาคับ
    ถ้าเราย้อนไปชาติที่จิตมีความสามารถทางด้านนั้นๆได้นะ
    ไม่ใช่แค่ย้อนไปดูนะ. ที่สำคัญคือ
    การรักษาระยะเวลาในขณะที่ย้อนไปอยู่ชาตินั้นๆ
    ได้นานพอที่จะต้องใช้ความสามารถ
    นั้นๆได้ในระดับที่ใช้งานได้ปกติด้วยนะคับ
    ตรงนี้ต้องอาศัยกำลังสติทางธรรมสะสมเพื่อไม่
    ให้เป็นนิวรณ์และสมาธิสะสมเพื่อการรักษาอารมย์ในนานพอ
    ยกตัวอย่าง. เช่นชาติที่จิตมีหูทิพย์จะต้องได้ยินเสียง
    นามธรรมใสกิ๊ก ได้ยินเสียงคลื่นสัตว์และแปรเป็นภาษาได้
    หรือจิตชาติที่สำเร็จกสินไฟ จะต้องใช้กสินไฟได้แบบลืมตาไม่ว่าทาง
    มือทางหน้าฝาก ซึ่ง ณ เวลานั้นจะไม่ใช่พูดว่าไฟมานะ แบบนี้
    จะเป็นในหนัง๕๕๕ มันจะมีเหตุให้เรานึกประโยคหนึ่ง
    ขึ้นมาได้ที่เป็นบทภาวนาที่เราจะคิดได้เอง
    เวลานั้นคับและจะใช้ไฟได้อัโนมัต นี้คือตัวอย่างแบบจริงๆนะ

    และก็ปกตินะคับ เวลาเราฝึกสร้าง
    กำลังจิตอยู่มันจะเกิดเรื่องเครื่องรู้พวกนี้โดยปกติคับและก็เกิด
    ในกำลังสมาธิไม่สูงด้วยถ้าโดยปกติท่านๆจะไม่ให้เราไปให้ความ
    สำคัญนะคับท่านจะใช้คำว่าอย่าเพิ่งไปสน
    เพราะจะขวางการสร้างกำลังจิตใช้งานแบบภายนอกได้
    แต่จะลองทำบ้างก็ไม่เป็นไรสุดแล้วแต่ชอบ เพียงแต่จะทำให้เราถึง
    ผลสำเร็จช้าออกไปคับ.
    แต่ถ้าไม่ทำแล้วถึงขั้นสำเร็จ. ความสามารถพวกนี้มันจะขึ้นมาได้เองปกติ
    แบบลืมตาในลักษณะที่ส่งเสริมการใช้งานเราแบบปกติคับ
     
  16. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    เมื่อก่อนเคยจับภาพกสิณได้ แต่เดี๋ยวนี้พอนั่งแล้วนึกภาพกสิณยังไงก็นึกไม่ออก ต้องลืมตาถึงจะเห็นภาพกสิณ เกิดจากสาเหตุใดครับ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ขึ้นอยู่กับว่า ๑.ภาพที่เราเคยจับได้เมื่อก่อนเป็นภาพที่เกิดจากสภาวะสายตาปกติ
    ที่สามารถเกิดขึ้นได้แต่เราอาจเข้าใจว่าได้ว่าเป็นภาพพิเศษครับ เพราะว่าภาพพวกนี้
    จะมีสีสันที่ชัดเจนกว่า เห็นได้ง่ายกว่า เพียงแค่เรามองอุปกรณ์การฝึกของการฝึก
    กสิณบางกองภาพพวกนี้ก็จะคงอยู่หรือค้างได้นานๆ แล้วแต่ว่าเราจะทำให้นานแค่ไหนครับ
    เช่น มองเปลวไฟส่วนที่นิ่งๆ มองหลอดไฟจนใส แล้วและสายตาหรือว่าหลับตา ปกติภาพ
    แบบนี้จะมีสีสันสวยงามแม้ว่าในช่วงแรกๆมันจะไม่นิ่งก็ตามนะครับ.พอเกิดความชำนาญ
    ขึ้นมาภาพจะเริ่มนิ่งๆได้ และพอกำลังจะพัฒนาต่อยอดได้มักจะภาพที่สวยงามกว่า
    ภาพตั้งต้นที่เรามองอยู่สร้างมาให้เราเบี่ยงเบนความสนใจ และถ้าหากว่าพัฒนาไปกว่านี้
    อีกขั้นก็มักจะมีนิมิตรกสิณกองอื่นๆแทรกขึ้นมาได้อีก ไม่ว่าจะเราจะฝึกแบบลับตา
    หรือว่าลืมตาครับ..และถ้าเผลอไปติดเข้าใจว่าสภาวะที่จิตจะเริ่มเกิดความเป็นทิพย์
    ขึ้นมาในช่วงที่เรากำลังมองภาพบวกกำลังสมาธิแล้วหันไปสู่โหมดการรู้เห็นหรือโหมด
    ท่องเที่ยวด้วยแล้วหรือว่าเราเผลอไปให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของภาพใน
    ระดับกำลังสมาธิที่ไม่สูงแล้ว ก็จะยิ่งทำให้การปรากฏของภาพเหล่านี้มันขึ้นๆลงๆได้ครับ
    เพราะว่าสภาวะที่เล่ามานี้ ยังไม่ถือว่าอยู่ในระดับที่จะใช้งานได้ครับ และก็เป็นสภาวะที่
    ไม่ได้สร้างกำลังจิตหรือสร้างความเป็นทิพย์ให้กับตัวจิตของเรา แต่เป็นสภาวะที่ทำให้
    เราให้เห็น ได้ทดลองทำจากที่จิตเข้าสู่สภาวะความเป็นทิพย์ชั่วคราวครับ..
    เพราะฉนั้นถ้าเราผ่านสภาวะอย่างนี้มา..ในเวลาปกติๆเราจะจะทำให้ภาพปรากฏเพื่อ
    ให้ลอยขึ้นกลางอากาศจะยังไม่ได้ ตลอดจะยังนำไปใช้งานยังจะไม่ได้ครับ.เพราะตัวจิต
    มีความเป็นทิพย์และมีกำลังจิตยังไม่เพียงพอ และก็จะเป็นเหตุให้เลิกฝึกไปเลยครับ.
    แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกครับเพราะว่าเป็นกันทุกๆคนที่เคยฝึกครับ..มีข้อควรจำไว้อีกอย่าง
    ก็คือภาพกสิณในระดับอุคคนิมิตร หรือที่มองเห็นภาพเป็นรูป เป็นร่างได้ เช่น วงกลม
    มีขอบหลายๆสี เป็นภาพพระต่างๆ.เป็นควัน เป็นอากาศใสๆแต่ดูมีคลื่น ถ้าเราสามารถ
    เล่นกับภาพเหล่านี้ได้และเห็นได้ในขณะลืมตาและหลับตาก็ตาม..ถ้ายังไม่ผ่านการสร้าง
    กำลังจิตด้วยการปั่นปฏิภาคนิมิตรกสิณได้(ภาพที่มีความสว่างขึ้นมาในตัวภาพเอง)
    ได้แล้วนั้น..ให้เราอย่าไปให้ความสนใจเป็นอันขาดนะครับ ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ
    เพราะว่าสามารถเป็นภาพกสิณโทษได้ทั้งหมด ยกเว้นว่าเราจะเห็นนิมิตร
    แบบเป็นน้ำใสกิ๊กไม่มีฟอง เห็นเป็นไฟจริงๆ
    เห็นเป็นอากาศจริงๆ ลมจริงๆ ดินจริงๆครับถึงจะขั้นจะเริ่มสร้างกำลังจิตได้ครับ..
    โทษในที่นี้ก็คือ ไม่ใช่ว่าเราจะเพี้ยนๆนะครับ ที่เพี้ยนๆเพราะติดนิมิตร
    ติดการเห็นติดการท่องเที่ยว แต่กำลังสติไม่มากพอที่จะแยกได้ว่าอะไรเป็นอะไร
    และไม่สนใจเรื่องการเดินปัญญาลดละกิเลสครับ.การขวางก็จะขวางการปฏิบัติของเรา
    ทำให้จิตใจเราโน้มไปเรื่องอื่นๆที่ไม่ก่อเกิดประโยชน์ครับ...นี่เป็นกรณีที่ ๑ ครับ..
    กรณีที่ ๒ ภาพกสิณที่เกิดจากการสร้างทิพยจักขุให้บังเกิดครับ อืมมม ความจริงนะครับ
    กรณีของผู้ที่มาถามนั้นความจริงตรงนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วหละครับผิดถูกขออภัยครับ..
    ..เพียงแต่ขาดหลักสังเกตุและวิธีการนำขึ้นมาใช้เฉยๆครับ..โดยปกติภาพกสิณที่สร้าง
    จากทิพยจักขุนั้นนะครับ..ภาพปกติมันจะไม่มีสีสดใสเหมือนๆกับกรณีที่ ๑ ครับ..
    เพราะด้วยความเคยชินปกติในการใช้สายตาของเรา เวลาที่จิตเราจะสร้างภาพเรามัก
    จะเผลอไปใช้สายตาปกติในการร่วมมอง เป็นเหตุให้มันมีการไปเชื่อมกับระบบความคิด
    ที่เกิดจากสมองของเรา.ซึ่งเป็นในส่วนของความจำได้ครับ.แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ
    ในช่วงแรกๆของผู้ฝึกที่ยังจิตยังสร้างภาพเองไม่ได้ ก็จำเป็นต้องอาศัยความจำจากสมอง
    เป็นฐานอยู่เช่นกัน แต่หากว่าจะพัฒนาต้องตัดการมองอย่างนี้ ให้มองผ่านบริเวณจุด
    เหนือระหว่างคิ้วทั้ง ๒ ข้างจนเกิดความเคยชินให้ได้ก่อนครับ..และให้การหลับตา
    ก็ฝึกการใช้สายตาปกติลดลงเหมือนๆพระพุทธรูป เพื่อตัดระบบสมองระบบความคิดตรงนี้
    ให้ออกไป.แล้วมองผ่านตรงจุดเหนือระหว่างคิ้ว เพื่อให้เป็นหน้าที่ของตัวจิตที่จะสร้างภาพ
    ที่เกิดจากจิตเป็นทิยพ์ตรงนี้ขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่า ภาพที่สร้างจากความเป็นทิพย์ตรงนี้
    มันจะไม่สวยงามและเห็นชัดเหมือนกรณีที่ ๑ แน่นอนครับ แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติครับ
    แต่ถ้าจิตเราเผลอเกิดไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องความชัดเจนของภาพก็จะทำให้จิตเกิดนิวรณ์
    ขึ้นมาได้อย่างที่เราไม่รู้ตัวครับ..เป็นเหตุให้ในสภาวะลืมตาปกติทั่วๆไป หรือในสถานะการณ์ปกติทั่วๆไป
    เวลาเรานั่งๆนึกๆภาพกสิณกองที่เราเคยฝึกไปแล้ว มันจึงไม่เกิดขึ้นมา
    ให้เราเห็นในขณะหลับตา หรือปรากฏให้เราเห็นได้กลางอากาศในขณะหลับตาครับ..
    หลักการสังเกตุถ้าเราเผลอใช้สมอง ใช้ความคิด ใช้สายตาปกติในการมองภาพนะครับ
    ภาพที่ค้างๆอยู่มันจะหายไปครับ เพียงแต่เราลดสายตาลงมามองที่ลิ้นปี่ และก็ใช้มาใช้
    สติตามลมหายใจเข้าออกไม่เกินครั้งที่ ๓ หรือ ๔ ภาพก็จะกลับมาปรากฏแบบผุดขึ้นมา
    ณ ยังต่ำแหน่งเดิมที่ภาพหายไปได้ครับ..คนที่เค้ามีชำนาญก็คือ บุคคลที่เค้าฝึกสภาวะ
    การตัดการใช้สมอง การใช้สายตา และเข้าสู่สภาวะที่ให้จิตทำหน้าที่อย่างเดียว ตลอด
    จนการรู้จักวางอารมย์ หายใจสบายๆ จนเป็นปกติ บางคนเค้าอาจทำได้อยู่แล้วเป็นปกติ
    ของเค้าก็มีครับ แต่อาจไม่ได้สังเกตุว่าเค้าทำอย่างที่ได้เล่าให้ฟังมา เพราะว่าเค้าทำเป็น
    ปกติจนเหมือนเป็นชีวิตประจำวันของเค้าครับ...
    ปล.ประมาณนี้ครับ ลองอ่านดูและจับหลักการให้ออก
    จะเกิดประโยชน์สำหรับฐานเพื่อการต่อยอดได้ครับ..
     
  18. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    ในกรณีที่สองที่กล่าวไว้ ทำอย่างไรถึงจะทำให้ถึงขั้นที่สามารถนำกสิณมาใช้งานได้ครับ
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    ฝึกถึงขึ้นปั่นปฎิภาคนิมิตรในระดับกำลังสมาธิระดับสูงให้ได้.
    และที่สำคัญต้องผ่านด่านทดสอบเรื่องการใช้งาน เรื่องเทคนิคต่างๆ
    จากทางภพภูมิให้ได้ รายละเอียดข้อควรระวังข้อควรปฏิบัติและ
    วิธีการได้เขียนไว้ในกระทู้นี้หมดแล้วครับ ว่างๆค่อยไล่อ่านดูครับ
    ก็จะถึงขั้นที่จะนำพลังงานกสิณจากการรู้เห็นในมิตร ผลิกขึ้นมาใช้งาน
    ได้ปกติในเวลาลืมตาปกติในระดับกำลังสมาธิไม่มาก. สามารถเกิดผล
    รับรู้ได้ สัมผัสได้ไม่ว่าตัวผู้ใชหรือบุคคลอื่นๆคับ
    ส่วนการพัฒนามากกว่านี้สุดแล้วแต่ฐานสมาธิใช้งานพื้นฐาน
    การตั้งเป้าใช้งานของแต่ละบุคคลครับ
     
  20. domdom

    domdom Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2014
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +51
    กรณีดวงกสิณสว่าง มีวิธีสังเกตอย่างไรครับว่าเป็นปฏิภาคนิมิต หรือว่าเกิดจากการคิดขึ้นมาเองให้มันสว่าง แล้วส่วนใหญ่ของผมเป็นกรณีใหนครับ รบกวนด้วยครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...