จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    เหตุที่เกิดเป็น‘เล็น’เฝ้าจีวร

    กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : เหตุที่เกิดเป็น‘เล็น’เฝ้าจีวร

    กฎแห่งกรรมไม่ได้เว้นว่าคนนั้นจะเป็นใคร มียศฐาบรรดาศักดิ์มากน้อยขนาดไหนก็ตาม กฎแห่งกรรมจะทำหน้าที่ของมันเท่าเทียมกันหมด รวมถึงพระสงฆ์ต่างๆ ด้วย หากใครคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ก็ย่อมได้รับผลของกรรมเช่นเดียวกันทั้งนั้น ดังเรื่องราวต่อไปนี้อันเป็นกรรมของพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งปกติเป็นพระดี แต่ก่อนที่จะมรณภาพ จิตของท่านมีความยึดติดยึดมั่น จึงทำให้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    ในอดีตนานมา แล้ว มีกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง ได้บวชเป็นพระ ชื่อว่า พระติสสเถระ จำพรรษา ณ วิหารในชนบท มีโยมที่ศรัทธานำผ้าเนื้อหยาบยาวประมาณ ๘ ศอก มาถวายท่าน หลังจากที่ท่านได้อยู่จำพรรษาตลอดสามเดือนและได้ปวารณาออกพรรษาแล้ว ก็นำผ้านั้นไปหาพี่สาว พี่สาวเห็นผ้าแล้วก็คิดว่า “ผ้าผืนนี้ ไม่สมควรแก่พระน้องชายเราเลย” แล้วก็ได้ใช้มีดตัดจีวร เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ โขลกในครก แล้วสาง ดีด กรอ ปั่นให้เป็นด้ายละเอียด จากนั้นก็ทอเป็นผ้าหมือนเดิม

    วันหนึ่งพระเถระ ก็ได้เตรียมด้ายและเข็มมาเพื่อจะใช้ผ้านั้นตัดเย็บจีวร ได้นิมนต์ภิกษุและสามเณรผู้ทำจีวรเป็นให้มารวมกัน แล้วพาไปบ้านพี่สาว ฝ่ายพี่สาวได้นำผ้ายาวประมาณ ๙ ศอกที่ทอขึ้นใหม่ ออกมาถวาย พระผู้เป็นน้องชายรับมาพิจารณาแล้วกล่าวว่า “ผ้าของเดิมเนื้อหยาบ ยาว ประมาณ ๘ ศอก แต่ผืนนี้เนื้อละเอียด และยาวประมาณ ๙ ศอก ผ้านี้มิใช่ผ้าของอาตมา นี่เป็นผ้าของพี่ อาตมาไม่ต้องการผ้าผืนนี้”

    พี่ สาวกล่าวว่า “ท่านผู้เจริญ นี่เป็นผ้าผืนเดิมของท่านเอง ขอท่านจงรับผ้านี้เถิด” แล้วจึงได้บอกเล่าถึงสิ่งที่ตนทำทั้งหมด พระเถระจึงยอมรับผ้าผืนนั้นกลับไป เพื่อจะเริ่มตัดเย็บทำเป็นจีวร

    พี่ สาวของท่านได้จัดเตรียมอาหารคาวหวานทั้งหลาย ไปถวายพระภิกษุสามเณรที่ช่วยทำจีวรของพระน้องชายเป็นประจำ จนกระทั่งในวันที่ตัดเย็บจีวรเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่สาวได้ถวายสักการะมากมายแก่พระภิกษุสามเณร ฝ่ายพระน้องชายที่ชื่อติสสะ เมื่อมองดูจีวรแล้วก็เกิด ความเยื่อใยในจีวรนั้น จึงคิดว่า

    “ในวันพรุ่งนี้ เราจะห่มจีวรผืนนี้” แล้วพับจีวรพาดไว้

    ตก กลางคืนพระติสสะเกิดอาหารไม่ย่อยอย่างไม่คาดคิด จนเป็นเหตุให้ท่านมรณภาพในคืนนั้น เมื่อท่าน ตายแล้วก็ไปเกิดเป็นเล็นเกาะอยู่ที่จีวร เพราะความที่ท่าน ยึดติดในจีวรผืนนั้นก่อนตายนั่นเอง!!

    รุ่งเช้าเมื่อพี่สาวทราบข่าวการมรณภาพของพระน้องชาย ก็เศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง นอนกลิ้งเกลือกต่หน้าพระภิกษุสามเณร บรรดาพระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัดก็ช่วยกันจัดแจงศพของท่านเป็นอย่างดี หลังจากเผาแล้วก็ปรึกษากันว่า จีวรของท่านติสสะเถระ ควรจะตกเป็นของสงฆ์ เพราะไม่มีใครเป็นผู้อุปัฏฐากท่านโดยตรง ว่าแล้วก็นำจีวรผืนนั้นออกมา เพื่อเตรียมแบ่งกัน

    ทันทีที่จีวรถูกคลี่ออก เล็นตัวหนึ่งซึ่งเกาะอยู่ที่จีวรก็เที่ยววิ่งร้องไปข้างโน้นข้างนี้ ด้วยคิดว่าพวกภิกษุเหล่านี้จะแย่งจีวรของเรา

    พระ พุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่ในพระคันธกุฏี ได้ยินเสียงเล็นด้วยโสตธาตุอันเป็นทิพย์ (หูทิพย์) จึงตรัสสั่งพระอานนท์ให้ไปบอกพวกภิกษุว่า อย่าเพิ่งแบ่งจีวรของติสสะในตอนนี้ เก็บรอไว้ให้ครบ ๗ วันก่อนค่อยแจกจ่าย พระอานนท์จึงไปดำเนินการตามคำสั่ง ซึ่งพระทุกรูปก็ได้ทำ ตามที่พระอานนท์บอก

    เมื่อถึงวันที่ ๗ เล็นก็ได้ตายลง และไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต เพราะคุณความดีที่เคยทำไว้นั่นเอง ในวันที่ ๘ พระพุทธเจ้าจึงรับสั่งให้แจกจีวรของพระติสสเถระ

    อย่างไรก็ตามพวกภิกษุทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงต้องให้เก็บจีวรของพระติสสะไว้ถึง ๗ วัน จึงได้สนทนากันเกี่ยวกับเรื่องนี้ในธรรมสภา

    พระพุทธองค์ทรงได้ยินเรื่องที่พวกภิกษุสนทนากัน จึงเสด็จมาและตรัสบอกเรื่องที่กำลังสงสัยกันว่า

    “ท่าน ทั้งหลาย พระติสสเถระ หลังจากตายแล้วได้ไปเกิดเป็นเล็นที่จีวรของตน ตอนที่พวกท่านจะแบ่งจีวรกันนั้น เล็นได้วิ่งร้องไปข้างโน้นและข้างนี้ว่า “ภิกษุพวก นี้แย่งจีวรของเรา” ถ้าหากว่าพวกท่านแบ่งจีวรกันในวัน นั้น เล็นจะเกิดความขัดใจ เกิดความโกรธต่อพวกท่าน หลังจากเล็นตายแล้วจะไปเกิดในนรก เหตุนี้เองเราจึง ให้เก็บจีวรไว้ก่อน ๗ วัน ในวันสุดท้ายเล็นได้ตายจากไป และขณะนี้เขาก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงอนุญาตให้พวกท่านถือเอาจีวรของพระ ติสสเถระในวันที่ ๘”

    บรรดาภิกษุได้ฟังเช่นนั้นแล้วก็เกิดความอัศจรรย์ใจในพระปัญญาญาณของพระพุทธองค์ เป็นยิ่งนัก พวกภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลว่า “ขึ้นชื่อว่าตัณหานี้หยาบหนอ

    พระองค์ จึงตรัสว่า “อย่างนั้นภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าตัณหาของสัตว์เหล่านี้หยาบ สนิมตั้งขึ้นแต่เหล็ก ย่อมกัดเหล็กนั่นเอง สนิมนั้นแหละย่อมทำให้เหล็กพินาศไป ทำให้เป็นของใช้สอยไม่ได้ ฉันใด ตัณหานี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เกิดขึ้นภายในใจของสัตว์เหล่านี้แล้ว ย่อมทำให้สัตว์เหล่านั้นเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น ทำให้สัตว์เหล่านี้ถึงความพินาศ”

    และได้ตรัสอธิบายว่า “สนิม เกิดขึ้นแต่เหล็ก ตั้งขึ้นแต่เหล็ก ย่อมกัดเหล็กนั่นเอง ฉันใด กรรมทั้งหลายของ ตน คือกรรมเหล่านั้นชื่อว่าเป็นของตนนั่นแหละ เพราะตั้งขึ้นในตนย่อมนำบุคคลผู้ไม่พิจารณาปัจจัย ๔ แล้ว บริโภค ชื่อว่าผู้ประพฤติก้าวล่วงปัญญา ชื่อว่าโธนา ไปสู่ทุคติฉันนั้นเหมือนกัน” หลังจากที่พระองค์เทศนาจบแล้ว ผู้ฟังจำนวนมากก็ได้บรรลุอริยผล มีโสดาปัตติผล เป็นต้น

    ในการให้ผลของกรรมนั้น กรรมหนักหรือกรรมที่เป็นบาปหนักที่สุด จะให้ผลก่อนกรรมอื่น เช่น การฆ่า มารดา การฆ่าบิดา การฆ่าพระอรหันต์ การทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป และการทำสงฆ์ให้แตกกัน กรรมประเภทนี้จะให้ผลก่อนกรรมอื่นทั้งหมด กรรมที่ให้ผลรองลงมาคือ กรรมที่ทำมากหรือกรรมที่ทำจนเป็นความเคยชิน จะให้ผลเป็นลำดับมา อย่างที่สามกรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ถ้าไม่มีกรรมสองข้อแรกแล้ว กรรมนี้ก็จะให้ผลก่อน สุดท้ายคือกรรมสักแต่ว่าทำ คือ เจตนาในการกระทำกรรมนั้นอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้น กรรมประเภทนี้จะให้ผลก็ต่อเมื่อไม่มีกรรมอื่นให้ผล ในกรณีของพระติสสเถระที่มีความห่วงใยในจีวรนั้น ท่านไม่ได้กระทำกรรมหนักและกรรมที่ทำจนชิน แต่กรรมใกล้จะตายของท่านมีอยู่ คือห่วงใยในจีวรใหม่ ดังนั้น หลังจากที่ตายแล้วท่านจึงต้องไปรับกรรมนี้ก่อน ต้องไปเกิดเป็นเล็นอยู่ในจีวร หลังจากหมดกรรมนั้นแล้ว จึงค่อยไปเกิดบนสวรรค์ตามกรรมดีที่ท่านเคยสั่งสมไว้นั่นเอง

    (จาก ธรรมลีลา ฉบับที่ 104 กรกฎาคม 2552 โดยมาลาวชิโร)
    https://www.sites.google.com/site/t.../kt-haeng-krrm/hetu-thi-keid-pen-len-fea-ciwr
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2014
  2. อาศรมไผ่มร

    อาศรมไผ่มร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +38
    Phu Bodin
    ~~รายงาน~~ การบ้าน (น้องเบียว)
    ช่วงสุดท้าย การปฎิบัติธรรม แนวจิตเกาะพระ ของน้องเบียว
    เธอสามารถก้าวข้าม คำว่า ปิติ ซึ่งเกิดจากจิตละเอียดอ่อนขึ้น
    จนสามารถรับสัมผัสอารมณ์พระมหาเมตตาจากพระพุทธองค์ได้
    เธอทำอย่างไร โปรดติดตามอ่านจากรายงานการบ้านฯ
    @ภูทยานฌาน
    การบ้าน
    สวัสดีครูพี่ภู, ครูพี่แนท, ครูพี่เป้ค่ะ
    15 พฤศจิกายน 2557
    เช้านี้ในขณะที่กำลังทำความสะอาดร้านก็คิดถึงพี่เป้ขึ้นมาเฉยๆ คิดถึงแล้วร้องไห้ด้วย แบบคิดถึงมากๆ อยากจะกอด แล้วยิ่งทำให้ร้องไห้หนักเข้าไปอีก แล้วก็คิดถึงพี่แนทอีก ร้องไห้อีก หนูรู้สึกว่าช่วงพักหลังมานี้ หนูมีความรักมอบให้พี่ๆ พี่ภู พี่แนท พี่เป้ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ลูกศิษย์มีความเคารพต่อ ครู อาจารย์ในแบบของมนุษย์โลก แต่มันเป็นความรู้สึกที่มีความรัก ความเทิดทูนยิ่งกว่า และในทุกๆวันความรู้สึกนี้มันเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คล้ายๆกับว่าเหมือนมันจะแนบอยู่กับจิตแบบใกล้ชิดทำนองนั้น ในขณะที่พิมพ์ไปก็ร้องไห้ไป หนูรู้สึกรักพี่ๆเหลือเกินค่ะ
    หลังจากที่ทำความสะอาดร้านเสร็จ สายตาเหลือบมองไปเห็นพระพุทธรูป และภาพหลวงพ่อ ก็คิดว่าเรามัวแต่ยุ่งกับงานทางโลก พระที่อัญเชิญมาไว้ที่ร้าน กลับไม่ค่อยได้ทำความสะอาดเลย ก็เลยเริ่มทำความสะอาดตอนนั้นเลยทันที เปลี่ยนแก้วน้ำให้เรียบร้อย ระหว่างทำไปสายตาก็มองที่พระเศียรขององค์ และพระพักตร์ของพระองค์ทรงมีความสง่างามมาก จากที่ได้สวดบารมี 30ทัศ ทำให้จิตได้รับรู้ถึง ความเพียร น้ำพระทัยที่แสนประเสริฐ พระมหาเมตตามิอาจประมาณของพระองค์ ไม่มีใครที่จะมาเสมอเหมือน หรือเทียบได้กับพระองค์เป็นไม่มี พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ ใหญ่กว่าจักรวาลใดๆทั้งสิ้น รู้สึกรัก และเคารพพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์มากๆค่ะ
    พอตอนบ่ายหลังจากที่ได้ทำงานเสร็จ ได้มานั่งนิ่งๆสักพัก ก็เกิดอาการคิดถึงพี่ๆขึ้นมาอีก ไม่นานได้รับความจากพี่แนท และได้มีโอกาสพูดคุยกันทางโทรศัพท์ และพี่แนทก็ได้สอนธรรมะเพิ่มเติมในส่วนที่การปฏิบัติยังบกพร่อง ปีติมากๆค่ะ ขอบพระคุณพี่ๆทุกๆท่านค่ะที่เมตตาหนู
    ช่วงเย็นลูกค้าเข้ามาที่ร้านระยะใกล้ๆกันสามคน ขณะที่ทำคนแรกอยู่ คนที่สองก็เข้ามา ก็บอกลูกค้าว่า อีกประมาณครึ่งชั่วโมงค่ะ คนที่สองก็บอกว่าเดี๋ยวจะเข้ามาใหม่ค่ะ พอคนที่สองไปไม่นาน คนที่สามก็เข้ามาต่อ ก็บอกเขาว่ามีคิวต่อจากคนนี้อีกหนึ่งราย เขาก็บอกว่ารอไม่ไหวค่ะงั้นไม่ทำก็แล้วกัน พอเขาออกไปก็ไม่รู้สึกเสียดาย ก็ทำคนแรกจนเสร็จแล้วก็รอคิวต่อไป ลูกค้าก็ไม่มาสักที ทำให้เราได้พลาดลูกค้าคนอื่น แต่ก็ไม่ได้โกรธเขา และก็ไม่เสียดายด้วย คืออันที่จริงเคยเจอบ่อยๆที่ลูกค้าผิดนัด หรือไม่มาตามที่ได้นัดไว้ ทำให้เราได้เสียเวลา และเสียลูกค้า เมื่อก่อนจะโกรธมาก และหงุดหงิดด้วย แต่ตอนนี้เราได้เรียนรู้ธรรมะ รู้จักธรรมชาติ การรู้จักให้อภัย เราจะไม่เบียดเบียนจิตตนเองด้วยความโกรธ แต่เราจะใช้กระแสความเย็นซึมซับเข้าไปในจิตใจ ด้วยจิตที่มีแต่ให้ กับ ให้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน หรือการให้อภัย
    16 พฤศจิกายน 2557
    วันนี้ยังทรงอารมณ์คิดถึงพี่ๆอีกเช่นเดิม ว่างเมื่อไหร่คิดถึงเมื่อนั้น คิดถึงอีกน้ำตาก็อยากจะไหลอีก เลยได้ทำตามคำแนะนำที่พี่แนทได้แนะนำมาเมื่อวาน “เมื่อเวลาเกิดอาการร้องไห้ก็ให้รู้ว่าร่างกายนั้นมันร้องไห้เราเป็นผู้ดู แล้วใช้ไหมฟ้าเคลื่อนอารมณ์ขึ้นให้สูงๆอีก ให้มันผ่านตรงนี้ไปให้ได้” ซึ่งหนูก็ลองทำตามนั้น แต่หนูมาสังเกตตอนที่หนูมีอาการกำลังจะร้องไห้ หนูใช้ไหมฟ้าทันทีเลย แล้วมันก็หยุดเลยไม่ร้องเลย ลองสังเกตทำหลายครั้งก็เป็นแบบนี้ค่ะ
    เย็นนี้ได้ทำความสะอาดภาชนะใส่อาหารกับพี่สาว พอหยิบถาดใส่ผลไม้ขึ้นมากำลังจะล้างหนูเห็นมดตัวเล็กๆหลายตัว หนูเลยบอกไม่ล้างอันนี้นะเพราะมันมีมด เก็บไว้ล้างพรุ่งนี้(รอให้มดออกไปก่อน) พี่สาวบอกก็เคาะๆมันออกไปสิ หนูบอกเดี๋ยวมันก็เจ็บ พี่สาวบอกต่ออีกว่า มันไม่เจ็บหรอก หนูบอกว่ามันจะเจ็บนะ เคาะมันออกไปโดยไม่ได้ทะนุถนอมมัน แล้วหนูก็เดินออกไป ก็ไม่ทราบหรอกค่ะว่าเขาจะทำยังไงต่อไป แต่หนูก็เข้าใจเขานะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูก็คงเคาะๆออกไปเหมือนที่พี่สาวบอก แต่ในเมื่อรู้แล้วก็จะไม่ทำ จะไม่มีเจตนาที่จะทำให้ใครต้องมาเจ็บตัวเพราะตัวเราแม้แต่นิดเดียว แต่ถ้าเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ ความไม่มีเจตนา อันนั้นก็ต้องยอมรับในเรื่องกฏแห่งกรรมค่ะ
    ตอนเย็นนั่งดูโทรทัศน์กับแม่ มีข่าวการฆาตกรรมกันขึ้นอีกแล้ว ตอนที่ดูไปนั้นสติก็คอยดูจิต และเหมือนเป็นการเตือนจิตอยู่เนืองๆว่าอย่าปรุงแต่งนะ จิตตอนนั้นก็ไม่กล้าปรุงแต่งเพราะสติคอยดูอยู่ ได้แต่สงสารคนที่ถูกเป็นเหยื่อ พอดูข่าวจบรายการอื่นๆก็ขึ้นมา ช่วงนี้เกือบเผลอปรุงแต่งบ้างเหมือนกัน แต่สติรู้ก่อนส่วนแม่ดูโทรทัศน์ไปก็พูดให้ฟังว่าคนนั้นเก่ง คนนี้เก่ง ส่วนคนโน้นไม่เก่ง แม่ไม่ชอบ พอได้ยินปั๊บ หนูไม่ได้ยินดีในความเก่ง หรือไม่ยินร้ายในความไม่เก่งของใคร ก็แค่ฟังๆไป แม่พูดผ่านเข้าหูซ้าย ทะลุออกหูขวา ไม่ได้ใส่ใจในคำพูดนั้นๆของแม่ และก็เข้าใจแม่นะ เพราะเมื่อก่อนหนูก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ในขณะเดียวกันที่ดูโทรทัศน์อยู่นั้น ก็ใช้ไหมฟ้าอยู่เรื่อยๆ มีอาการมึนๆร่วมด้วย แถมมีอาการคล้ายๆตัวหมุนน้อยๆ ไม่เร็วแต่ก็ไม่ได้สนใจอาการนั้น อยากหมุนก็หมุนไป รายงานการบ้านวันนี้มีเพียงเท่านี้ค่ะ สวัสดีค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    หลวงปู่สมชาย เทศนาเรื่อง โลกทิพย์

    https://www.youtube.com/watch?v=gSCJjhYb_dE


    Published on Jun 18, 2012
    พระธรรมเทศนา โดย พระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย)
    ผู้ก่อตั้งวัดเขาสุกิม เรื่องโลกทิพย์


    ท่านปรารภถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ท่านบวชเป็นสามเณร
    มีความตั้งใจประพฤติปฏิบัติ จึงออกเดินทางไปหาหลวงปู่มั่น
    ภูริทัตโต ณ วัดป่า บ้านหนองผือ จังหวัดสกลนคร เมื่อได้อุบายธรรม
    จากท่านแล้ว จึงได้ออกบำเพ็ญภาวนา ตามป่าเขาต่าง ๆ จนป่วย
    เป็นไข้ป่ารุนแรงมาก จนวิญญาณออกจากร่าง มีเทพเจ้า 2 คน
    พาไปโลกทิพย์
    .
    . ขอเชิญรับฟังเรื่องราว ต่าง ๆ ได้ในวิดีโอชุดนี้ครับ
    .
    .
    ----------------คลิ้กที่เวลา ด้านล่างเพื่อข้ามไปฟังช่วงที่หลวงปู่เทศน­์--------------
    เวลา 08:43 หลวงปู่เริ่มเทศน์
    เวลา 16:58 เดินทางถึงวัดป่าบ้านหนองผือ
    เวลา 20:34 เล่าถึงช่วงเหตุการณ์หม้อยาแตก
    เวลา 24:18 หลวงปู่มั่นให้ผ้าสังฆาฏิและช้อนทองเหลือง­ร่วมในการบวช
    เวลา 25:16 หลวงปู่มั่นทักวาระจิต "เอาจริงหรือ"
    เวลา 28:24 เล่าถึงการเร่งภาวนา และป่วยเป็นไข้ป่า จนวิญญาณออกจากร่าง มีเทพเจ้า 2 คน มารับไปโลกทิพย์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2014
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ร่างกายไม่ใช่ของเราควรอาศัยเขารีบสร้างบารมี ; หลวงปู่เหรียญ

    https://www.youtube.com/watch?v=3iqAEEWlLAw
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    บทพิสูจน์นักบุญ
    โดยพระชัยวัฒน์ จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม ๑ หน้า ๒๕

    พวกเราคงได้ทราบมาแล้วว่า หลวงพ่อท่านมีเพื่อนที่เคยบวชพร้อมกัน ซึ่งอยู่ในป่าอีก ๒ องค์ คือท่าน "ฤาษีโพธิวัตร" และท่าน "ฤาษีพนมไพร" เป็นเรื่องแปลกที่ผู้เขียนบังเอิญได้พบหนังสือเก่าๆ เล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่หลวงพ่อได้พิมพ์แจกในงานกฐิน ณ วัดสะพาน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ จึงคัดลอกข้อความทั้งหมดมาให้อ่านกันดังนี้

    บทพิสูจน์นักบุญ ของท่านฤาษีโพธิวัตร กลางดงดิบ จังหวัดกาญจนบุรี

    ๑. เมื่อพบกันในระยะแรก "จงย่อตัวลง" (คือถ่อมปฏิปทาที่ทรงอยู่นั้น) พยายามยกย่องสรรเสริญท่านด้วยถ้อยคำ "สัมโมทนียคาถา" คือชมเชยในปฏิปทาของท่าน แล้วคอยสังเกตุว่า ท่านผู้นั้นจะพอใจในคำสรรเสริญเยินยอนั้นหรือไม่ ถ้าเห็นว่าท่านผู้นั้นพอใจในคำสรรเสริญเยินยอนั้น จนออกนอกหน้า ควรวงเล็บไว้พลางก่อนว่า "หมอนี่ ถ้าจะดีไม่แท้" เพราะยังติดในสรรเสริญที่เป็นโลกธรรม เป็น มนุษย์บ้ายอคบยาก

    ๒. เพื่อความแน่ใจในปฏิปทาที่แท้จริง ในบางโอกาสควรหาทาง "ตักเตือนโดยธรรม ควรตักเตือนบ่อยๆ" เพื่อให้มองเห็น โทสะ ของตนเอง ควรใช้ลีลาในการตักเตือนทั้ง แบบขู่ และ แบบปลอบ ถ้าเป็นคนดีมีใจเป็นนักบุญจริง จะยอมรับคำตักเตือนทุกระยะ แต่ถ้าเป็น "นักบูญจอมปลอม" แล้วไม่ช้าก็จะแสดงความไม่พอใจให้ปรากฏ เท่านี้ก็พอจะเห็นเขี้ยวชาติภูมิได้บ้างเฉพาะบางราย

    ๓. ถ้าแบบตักเตือนเค้นเอาความจริงไม่ได้ ต่อไปควร "ขยายปฏิปทา" ตามความสามารถที่มีอยู่ขึ้น เอาเพียงชั้นที่เห็นว่า พอจะ "ไล่เลี่ยกัน" ออกมาใช้ จงสังเกตุความพอใจและปฏิกิริยาแสดงออกของเขา หากเขาดีจริงก็ไม่ปรากฏกิริยาใดๆ เกิดขึ้น ถ้าความเลวสิงใจ แต่เก็บซ่อนไว้ด้วยกลมายาแล้ว เขาจะเริ่มการมึนชา หรือมีการซึมเซาให้ปรากฏ ควรสังเกตุไว้

    ๔. เมื่อเห็นว่าดีอยู่ หรือซึมเซาไปก็ตาม เพื่อเค้นเอาความแน่ชัดให้แจ่มแจ้ง ควรขยับ "ขยายปฏิปทาที่เหนือกว่า" ออก มาใช้ให้เห็นชัด หากท่านผู้นั้น แสดงความยินดีด้วยความจริงใจ พลอยโมทนาและสนับสนุนด้วยใจจริง และสม่ำเสมอแล้ว ก็ควรวันทนาด้วยความเคารพ เพราะแม้อายุกาลผ่านวัยน้อยกว่า หรือมีคุณธรรมบางประการหย่อนกว่าก็ตาม แต่ท่านผู้นั้นก็มี "พรหมวิหาร" ควรแก่การบูชา

    หากท่านผู้นั้น เป็นนักบุญจอมปลอม เมื่อโดนไม้หลังเข้าอย่างนั้น เท่าที่เคยพิสูจน์มา ไม่ ช้าเขี้ยวก็งอกออกนอกปาก สำรากถ้อยคำที่ไม่เป็นธรรมออกมาให้ปรากฏ กล่าววาจาเสียดสี ถากถาง ด้วยถ้อยคำที่ที่เป็นดิรัจฉานคาถา กระทบกกระแทก แดกดัน เปรียบเปรยนานาประการ บางโอกาสเป็นศิษย์เคยเรียน อรรถธรรม เคยได้รับความช่วยเหลือมา ก็ลืมความดีของเราผู้มีคุณเสียสิ้น แสดงความอกตัญญูให้ปรากฏ เป็นการขยายความเลวทรามออกให้ปรากกชัด

    ตาม แนวที่นำมาเล่าไว้นี้ เคยพิสูจน์นักพรตผู้วิเศษมาหลายสิบรายแล้ว ที่ท่านดีจริงแล้วก็เอาอะไรท่านไม่ได้เลย แต่ที่เป็นพวกจอมปลอมแล้วไม่เกิน ๒ พ.ศ. เขี้ยวก็งอกออกนอกปาก แสดงความเป็น "อบายบุคคล" ให้ปรากฏชัด

    (โดยหลวงพ่อฤาษีโพธิวัตร)

    https://sites.google.com/site/sphrathewtheph/Home-12
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2014
  6. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    ขออนุญาตประกาศจิตบุญดวงที่ 149 ณ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557


    ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา
    กับจิตบุญดวงที่ 149
    ของกลุ่มจิตบุญเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ


    [​IMG]
     
  7. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สวัสดีค่ะ ทุกๆ ท่าน...วันนี้ได้ฤกษ์ เบิกวิถี ประกาศจิตบุญกันอีกแล้วจร้า...
    ข้าพเจ้าขอน้อมจิตกราบอนุโมทนาสาธุในมหาบุญ มหากุศลกับจิตบุญน้องใหม่ล่าสุด ดวงที่ 149 แห่งบ้านจิตเกาะพระ สักล้านๆ ครั้งเลยจร้า เธอคือ น้องเบียว ชื่อจริงไรน๊า...รอให้ครูเป้ มาเฉลยอีกทีก็แล้วกันน่ะค่ะ...
    เธอเป็นลูกศิษย์ของครูพี่แนท ครูน้องเป้ค่ะ เรื่องราวรายละเอียดการฝึก การเดินมรรคของท่านจะเป็นอย่างไร ใช้เวลาในการฝึกนานแค่ไหน รบกวนเชิญครูผู้สอนทุกท่าน และจิตบุญน้องใหม่ ได้มาเล่าแชร์ประสบการณ์ในการฝึกเพื่อเป็นธรรมทาน และกำลังใจแก่ผู้ที่เกาะขอบกระทู้ด้วยน่ะค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ

    ปล. ต้องขอขอบใจครูน้องเป้มา ณ ที่นี้ด้วยน่ะค่ะ ที่อุตส่าห์ทำหน้าที่แทนพี่เกษในคราวครั้งนี้ (มีการบอก หนูโพสต์เรียบร้อยแล้วน่ะค่ะ หนูกลัวพี่เกษเหนื่อย ให้พี่เกษหาดอกบัวอย่างเดียวก็พอ...อื๊อ...น่ารักจริงๆ มาจ๊วบๆๆทีจ๊ะ อิๆๆ) ปรากฎว่า พอกลับมาถึงบ้านได้เหนื่อยจริงไรจริงเลยจ๊ะ ขอบอก..คริๆๆ
     
  8. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    @ วันนี้ที่รอคอย

    ขอทุกท่านร่วมโมทนา กับดวงจิต ของ น้องเบียว
    ผู้ปฎิบัติกรรมฐาน ~~จิ ต เ ก า ะ พ ร ะ~~ และครูผู้สอนทุกท่าน
    บัดนี้ ดวงจิตของเธอ ได้รับผลอันเกิดจาก
    ความมุ่งมั่น เพียรปฏิบัติ ตามคำสอนแห่งพระพุทธองค์
    จิตดวงนี้ได้รับพระมหาเมตตา อันประมาณมิได้ แห่ง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จพ่อองค์ปฐม ที่พระองค์ได้ทรงประทานกำลังใจ มาให้แก่เธอ
    ยังความปลาบปลื้ม ปิติ มาถึงพวกเราทุกคน
    ติดตามการบ้านฉบับสุดท้ายของเธอ กันค่ะ

    ปล. ครูเกษ ช่วยหาดอกบัวประกาศ จิตบุญ แห่งบ้านจิตเกาะพระด้วยค่ะ


    สวัสดีครูพี่ภู, ครูพี่แนท, ครูพี่เป้ค่ะ25 พฤศจิกายน 2557
    เมื่อคืนได้ฝันว่าหนูกับพี่สาวกำลังจะขึ้นเครื่องบิน และได้ยินข่าวว่าเครื่องบินก่อนหน้านี้ตก และเครื่องที่กำลังจะขึ้นนั้นก็ต้องมีชะตากรรมไม่ต่างกัน ความรู้สึกมันบอกแบบนั้น แต่ก็ยังขึ้นเครื่องบินลำนั้นไปโดยที่รู้ทั้งรู้ว่าต้องเจออุบัติเหตุแน่นอน พอขึ้นเครื่องปุ๊บหนูก็จับมือกับพี่สาวบอกพี่สาวว่านึกถึงหลวงพ่อนะ นึกถึงพระนิพพานนะ เรากำลังจะไปนิพพานไปอยู่กับหลวงพ่อบนนิพพานนะ ตอนนั้นหนูรู้สึกว่าจิตหนูนิ่งมากไม่มีอาการกลัวตายเลยสักนิด มันไม่รู้สึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย เพียงไม่นานในขณะที่เครื่องบิน ได้บินออกไปนั้นก็ระเบิดหนูกับพี่สาวก็ร่วงลงมาจากเครื่อง รู้สึกสัมผัสได้ถึงการล่วงหล่นลงมากระทบอากาศ(ระยะเวลาที่ร่วงลงมานั้นนานพอสมควร) ร่างกายก็ดิ่งลงสู่ท้องทะเลลึก(มันเหมือนจริงมากเลยค่ะ) จิตตอนนั้นก็ยังนิ่งไม่มีอาการตื่นเต้นตกใจ แต่ตอนนั้นรู้ตัวว่าไม่ตายแล้ว ก็ค่อยๆว่ายน้ำขึ้นมาสู่ผิวน้ำ แล้วก็มีคนมาช่วยพี่สาวกับหนู พอตื่นมาไม่มีอาการเหนื่อย ไม่มีอาการหอบ ไม่มีอาการตกใจ ไม่เหมือนเมื่อก่อนถ้าได้ฝันแบบนี้ต้องมีเหนื่อยไปกับความฝันนั้นด้วย ตื่นมาก็ทบทวนความฝันว่ามันคืออะไร สังเกตอาการตัวเองว่ามันนิ่งมากนิ่งทั้งในความฝัน รวมถึงนิ่งตอนที่ตื่นมาในตอนนี้ด้วย และก็พบว่าที่ตื่นมาแล้วไม่มีอาการเหนื่อยหอบ ก็เพราะว่าจิตมันไม่กลัวตาย มันปล่อยให้ร่างกายตายไปเฉยๆไม่มีอาการดิ้นรน ส่วนเมื่อก่อนที่มีอาการเหนื่อย หอบ เพราะว่าจิตมันยังกลัว กลัวในสิ่งที่ฝันเป็นความจริงหรือว่ากลัวตายนั่นเอง จิตมันมีอาการดิ้นรนเพื่อจะหาทางรอดตื่นมาจึงเหนื่อย

    หลังจากที่ได้อ่านการบ้านที่พี่แนทตอบมา และพี่เป้โทรมาบอกในช่วงเช้า ให้อาราธนาบารมีท่านพ่อรับรองผลการปฏิบัติ มีโอกาสในช่วงว่างระหว่างวัน และมีอาการง่วงๆเข้ามาพอดีเลยเข้าไปนอน นึกถึงท่านพ่อสักพัก ก็เริ่มอาราธนาบารมีท่านพ่อรับรองผลการปฏิบัติ และกำหนดจิตขึ้นไปกราบท่านพ่อบนนิพพาน ตอนนั้นสัมผัสได้ถึงท่านพ่อยื่นพระหัตถ์มาลูบหัว พระองค์ทรงยิ้มแล้วท่านพ่อตรัสว่า “เหนื่อยไหมลูก อดทนอีกนิดนะ แล้วพ่อจะช่วยเจ้า เจ้าทำมาดีแล้ว” หลังจากนั้นหนูก็มีอาการหัวใจเต้น แต่ไม่แรงมาก น้ำตาเริ่มไหล(เมื่อก่อนที่หนูได้สัมผัสถึงท่านพ่อทีไร หัวใจจะเต้นแรงมาก ร้องไห้หนักมาก แต่ตอนนี้อาการนี้ปรากฏน้อยลง) แล้วหนูก็กำหนดจิตกราบท่านพ่ออีกครั้ง (และในช่วงนี้หนูรู้สึกอีกว่าจิตหนูต้องเข้มแข็ง ต้องอดทน ต้องแข็งแกร่ง ต้องกล้าหาญ ต้องเด็ดเดี่ยว และต้องมั่นคงมากๆ) หนูไม่รู้สึกเสียใจที่จิตไม่ได้ยก หนูรู้สึกว่าท่านพ่อเมตตาหนู และเป็นห่วงหนูมาก เรื่องจิตจะยกหรือไม่ยก มันอาจจะยังไม่ถึงเวลา ก็ปล่อยไปจิตอาจจะยังเรียนรู้ไม่มากพอ ตอนนี้ก็แค่เชื่อท่านพ่อ เชื่อพี่ๆทุกอย่าง ในตอนนั้นคิดแบบนั้น แต่พอหลังจากนั้นได้มีโอกาสคุยกับพี่เป้แล้วก็เล่าให้พี่เป้ฟัง แล้วพี่เป้ก็บอกว่าจิตยกแล้ว หนูเพิ่งทราบค่ะ

    วันนี้ก็มีอาการหน้าผากชาๆตั้งแต่เช้า และตลอดทั้งวันคล้ายๆกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างครอบคลุมหัวหนูอยู่ก็แค่สังเกต แต่ไม่ได้สงสัย และไม่ได้ถามหาคำตอบจากใคร อารมณ์ในวันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ยังทรงความเป็นปกติอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้มีอาการดีอกดีใจตอนที่พี่เป้บอกว่าจิตยก เพียงแค่มีอาการร้อง อ๋อ หนูเพิ่งทราบความหมายที่ท่านพ่อตรัสกับหนู
     
  9. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    บารมี 10

    1 ทานบารมี ตอนนี้คิดว่ามีจิตคิดที่จะให้เสมอไม่ใช่เพียงในพระพุทธศาสนา ใครเดือดร้อนมาขอให้ช่วยก็จะช่วยด้วยความเต็มใจ ตามความสามารถที่มี แต่ถ้าให้ไปตระเวนทำบุญที่วัดโน้นบ้างวัดนี้บ้างจะไม่ค่อยไปที่ไหนอยู่แล้ว นอกจากวัดท่าซุงหรือที่วัดธรรมยานที่ไปเป็นประจำ ไม่ได้คิดติดใจว่าที่โน้นดีหรือไม่ดีไม่ได้ยึดติดตรงนั้น เพียงแต่หนูมั่นใจที่นี่ มั่นคงที่นี่ ทำด้วยความศรัทธา

    2 ศีลบารมี เรื่องศีลไม่ไต้องอธิบายมาก จะไม่ยอมละเมิดศีลเด็ดขาด รักษาศีลยิ่งชีวิต

    3 เนกขัมมบารมี คือการถือบวช บวชจิตด้วยการใช้ไหมฟ้าระงับนิวรณ์อยู่เป็นประจำ และการตัดสังโยชน์ ข้อที่หนึ่ง สักกายทิฏฐิ รู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา สอง ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธศาสนา สามรักษาศีลยิ่งชีวิตจะไม่ยอมละเมิดศีลเด็ดขาด

    4 ปัญญาบารมี เห็นจริงว่ามีร่างกายนั้นเป็นทุกข์ ร่างกายนั้นเป็นภาระ เกิดมามีร่างกายนั้นเป็นทุกข์ ยอมรับกฏของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ แล้วมันก็เป็นอนัตตาทั้งสิ้น ไม่ว่าคน สัตว์ สิ่งของ อาคารบ้านเรือน

    5 วิริยะบารมี มีจิตใจมั่นคงพากเพียร ที่จะต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะมาจากทางไหน พญามาร เจ้ากรรมนายเวร หรือความชั่วของจิต จะไม่มีทางยอมแพ้มันอย่างแน่นอน

    6 ขันติบารมี คิดว่าตนเองมีความอดทนมากพอที่จะเจอบททดสอบ หรืออุปสรรค ที่จะมาขัดขวาง จะไม่มีทางเดินย้อนกลับถอยหลัง

    7 สัจจบารมี ตั้งสัจจะไว้ว่าจะไปนิพพานชาตินี้ให้ได้ และพยายามไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้กิเลส

    8 อธิษฐานบารมี ทุกๆวันจะไม่พลาดจากการอธิษฐานถึงพระนิพพานมีจิตใจแน่วแน่มั่นคง อธิษฐานต่อสมเด็จพ่อ หลวงพ่อ ให้เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นมนุษย์นั้นไม่เอาอีกแล้ว

    9 เมตตาบารมี ความเมตตามีมากกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก หนูสัมผัสได้อย่างชัดเจน ไม่เคยคิดว่าใครเป็นศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว แม้แต่คนที่ประกาศเป็นศัตรูกับหนู กับครอบครัว หนูไม่คิดโกรธเขาแม้แต่น้อย ได้แต่แผ่พลังพุทธะส่งไปให้เขา และขอให้เขาได้รับสัมผัสพลังของพระพุทธองค์ หนูสงสารเขามากกว่า เห็นใครๆก็สงสารเขาไปหมด โดยเฉพาะผู้ที่ยังละเมิดศีล เห็นเด็กเมื่อก่อนก็ชอบเล่นกับเด็กๆเพราะเด็กน่ารัก เดี๋ยวนี้ไม่มองตรงนั้นแล้ว มองว่าเขาน่าสงสารที่ต้องเกิดมาเจอกับความทุกข์ ส่วนสัตว์ที่แสนน่ารังเกียจ เช่นแมลงสาบ เมื่อก่อนเห็นไม่ได้แสดงอาการรังเกียจเมื่อนั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีความรังเกียจในตัวเขา เขาเกิดมาพร้อมกับกรรม เขาก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนเราทุกอย่าง

    10 อุเบกขาบารมี ในเรื่องของอุปสรรคที่เข้ามาขวางการปฏิบัติหนูเฉยได้ คือหนูไม่สนใจ ค่อยๆทำค่อยๆปฏิบัติอย่างที่ท่านพ่อเคยบอกมา เจ้ากรรมนายเวรจะมาขวางก็ขออโหสิกรรมต่อเขาบ่อยๆ เขาจะอโหสิกรรมให้หรือไม่ก็เฉย พญามารจะมาในรูปแบบใด เบียดเบียนจิตใจเราแค่ไหนก็เฉยก็แค่บอกกับตัวเองว่า มันไม่ใช่ของเรานะ พญามารน่ะไม่ต้องสนใจ
     
  10. ธรรมมณี

    ธรรมมณี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,044
    ค่าพลัง:
    +14,027
    สังโยชน์ 10

    1 สักกายทิฏฐิ มีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ต้องตายแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แล้วร่างกายนั้นมันก็ไม่ใช่ของเรารู้สึกชัดเจน เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายก็ไม่มีในเรา มันเป็นเพียงแค่ธาตุสี่มาประชุมกัน หากขาดธาตุใดธาตุหนึ่งไปก็ต้องตายร่างกายนี้จะทรงอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของคน สัตว์ หรือว่าสิ่งของ ล้วนเป็นอนัตตา ไม่แตกต่างกัน เรายึดถือครอบครองไว้ไม่ได้เพราะไม่ใช่ของเรา แล้วก็รู้สึกชัดเจนว่าไม่กลัวตายด้วย และรู้สึกว่าการที่มีกายนั้นเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นมาจาก กุศลกรรม และอกุศลกรรม มันถูกใช้งานไปตามอำนาจของกิเลส ซึ่งเราตกเป็นทาสมันมานานแสนนาน วันนี้เราจะไม่ตกเป็นทาสของมันอีกแล้ว เราจะขึ้นมาเป็นนายมันแทน

    2 วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในผลของการปฏิบัติ ท่านพ่อ หลวงพ่อบอกมาอย่างไรก็เชื่อตามนั้น ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้า

    3 สีลัพตปรามาส ไม่มีการลูบคลำศีล มีเพียงแต่รักษาศีลยิ่งชีวิต ละเมิดศีลด้วยความตั้งใจนั้นไม่มีเกิดขึ้นกับเรา

    4 กามฉันทะ ยังเห็นว่าของสวยของงามอยู่ แต่ไม่ติดในมัน คือมีความรู้สึกว่ามันสวย แต่มันก็ต้องเสื่อมไปตามกาลเวลา มันสวยไม่จริง กลิ่นหอม มีความรู้สึกว่าไม่ติดในกลิ่นหอม ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม ดอกไม้ กลิ่นอาหารคิดว่าไม่ติดในความหอม แต่แน่นอนว่ากลิ่นเหม็นก็ไม่ชอบด้วยเหมือนกัน รสอร่อยยังพอใจเพียงเล็กน้อย จะอร่อยหรือไม่อร่อยก็กินได้

    5 ปฏิฆะ อารมณ์กระทบเบาลงไปมาก มีสติมากขึ้น แต่เท่าที่สำรวจตนเองมาอารมณ์โกรธก็น่าจะยังมีอยู่ แต่มันเบามากแล้ว

    6 รูปราคะ ยังอยู่ในรูปฌาน เพราะต้องใช้รูปฌานเป็นกำลังในการข่มกิเลส เพื่อที่จะใช้วิปัสนาญาณเพื่อตัดกิเลส

    7 อรูปราคะ ไม่ได้หลงอยู่ในอรูปฌาน เพราะไม่ได้เจริญอรูปฌาณ

    8 มานะ การถือตัวถือตน ยังมีอยู่ครบแต่คิดว่าเบาลงแล้ว และหลายๆวันที่ผ่านมานี้จิตมันก็วิปัสนาเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เช่นตอนที่มีอารมณ์มานะมันเกิดขึ้น สติก็คอยเตือนว่าทุกคนมีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย มีสุข มีทุกข์ เหมือนกันทุกคน ถ้าเรายังมัวยึดตรงนี้อยู่ เรานั่นแหละที่จะเป็นทุกข์ ตัดมันออกไปเสียเราจะได้ไม่เป็นทุกข์ เตือนตนไว้เสมอ

    9 อุทธัจจะ อารมณ์ฟุ้งซ่านเบาลง เพราะสติเตือนให้อยู่กับธรรมปัจจุบัน หรือถ้าจะฟุ้งซ่านจริงๆส่วนมากก็ไปในทางกุศลคิดอยากจะช่วยคนบ้าง หรือพิจารณาธรรมไปเรื่อยๆ คล้ายๆอาการฟุ้งซ่าน (อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเรียกอารมณ์ฟุ้งซ่านหรือเปล่า)

    10 อวิชชา จริงๆเรื่องนี้มีเรื่องที่ไม่รู้อีกเยอะแยะ แต่ที่รู้แน่ๆคือนิพพานมีจริง นรกมีจริง เวรกรรมมีจริง พระอริยเจ้ามีจริง พระอรหันต์มีจริง คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องจริง กายนี้ไม่ใช่ของเราเป็นความจริง ทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนเกิดดับเป็นเรื่องจริง ทุกคนเดินเข้าไปหาความตายก็เป็นเรื่องจริง ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้มีจริงทุกอย่าง รู้จริงเพราะต้องพิสูจน์ค้นหาความจริง

    รายงานการบ้านมีเพียงเท่านี้ค่ะ สวัสดีค่ะ
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    *******************************
    อนุโมทนาสาธุด้วยค่ะ
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    วันนี้วันหยุดฟังเพลงเพราะๆค่ะ
    Chinese Bamboo Flute 1 (รวมดนตรีบรรเลงขลุ่ยจีนเพราะๆชุดที่ 1) By pum

    https://www.youtube.com/watch?v=R4RahiOeTfc
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    " ธรรมนี้ต้องขยาย ..."

    เสียงจาก ผู้ปฏิบัติกรรมฐาน จิ ต เ ก า ะ พ ร ะ
    ปฏิบัติอย่างไรจึงได้ผล ทางสายนี้ มีพี่เลี้ยง หากแต่คุณ มีความตั้งใจจริง คุณสามารถเดินสู่เส้นทาง ลัด สั้น ตัดตรง ทางพระนิพพาน ได้ไม่ยาก
    *******************************************************************
    สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆชาวจิตเกาะพระทุกๆท่าน ข้าพเจ้าจิตบุญที่ 149 แห่งบ้านจิตเกาะพระค่ะ ชื่อจริง น.ส.ตุยา ไชยขาว ชื่อเล่นเบียว ได้เริ่มเรียนจิตเกาะพระเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2557 ถึง 25 พฤศจิกายน 2557 ในวันนี้ขอนำประสบการณ์ในการปฏิบัติมาแชร์ เพื่อเป็นธรรมทานค่ะ
    ก่อนที่จะเริ่มเข้ามาเรียนนั้นรู้สึกว่าต้องยากมากแน่ๆ แถมแอบกลัวครูฝึกอยู่เนืองๆ เวลางานทางโลกก็ยุ่งแสนยุ่งเราจะเรียนได้ไหม แต่ก็คิดอยากจะลองดูสักครั้งได้ไม่ได้ก็ค่อยว่ากันใหม่ ในตอนนั้นคิดแบบนั้น พอเริ่มตัดสินใจที่จะเรียน งานที่ว่ายุ่งๆ กลับยุ่งมากกว่าเดิมอีก กว่าจะมีเวลามาอ่านทำความเข้าใจว่าเขาเรียนกันยังไงบ้าง กว่าจะได้เขียนบทแนะนำตัวเองให้พี่ๆครูผู้ฝึกสอนบ้าง ทำให้เสียเวลาไปหลายวัน พอเริ่มเรียนขึ้นมาจริงๆไอ้ที่เคยมองว่ายากแสนยากนั้น มันง่ายกว่าที่เราเคยปฏิบัติมาเองเสียอีก ไม่ต้องทำอะไรมากเพียงแค่
    1. เชื่อฟังพี่ๆครูฝึกสอนทุกๆอย่าง ถ้าไม่เข้าใจก็ถาม
    2. มีความเพียรอย่างต่อเนื่อง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มารจะมาทางใดทางกาย หรือทางใจ ต้องใช้ความขันติ และอุเบกขาเข้าช่วย
    3. มีจิตใจแน่วแน่มั่นคง ตั้งมั่นเอาไว้เลยคิดไว้เสมอว่าต้องทำดีให้ดีให้ได้ ถ้าไม่ได้ให้มันตายไปซะเลย
    4. สร้างกำลังใจให้กับตนเองอยู่เสมอ โดยการคิดถึงสมเด็จพ่อ หลวงพ่อ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ทุกๆท่าน ทุกๆพระองค์ ต้องลำบากกว่าเรามามากมายเพียงใด เราเจออุปสรรคแค่นี้นิดเดียวเอง ยังไงก็ไหว (ให้กำลังใจตนเองแบบนี้เสมอมา)
    5. หากเมื่อใดเกิดอาการท้อ เหนื่อย ไม่เคยคิดที่จะถอย เพราะมีจิตใจตั้งมั่น และนึกถึงสมเด็จพ่อ หลวงพ่ออยู่บ่อยๆ อยากจะบอกว่าเป็นกำลังใจชั้นเลิศให้ข้าพเจ้าได้ผ่านบททดสอบแต่ละบท จะทำอะไรก็นึกถึงแต่พระองค์ท่าน กำลังใจมันเปี่ยมล้นไปด้วยความศรัทธาทำให้ข้าพเจ้าไม่เคยคิดที่จะท้อ ถ้าใครจะนำไปใช้ก็ไม่ว่ากันนะคะ ยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ
    6. ดำเนินตามแบบอย่างของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านสอนอะไรมาก็นำมาปฏิบัติ ทุกๆคำสอนของหลวงพ่อมีค่ามากมายนัก และท่านก็ทำมาให้ดูแล้วข้าพเจ้าแค่น้อมรับคำสอนมาปฏิบัติตาม
    7. คอยดูจิตตนเอง และอยู่กับธรรมปัจจุบัน ถึงมันจะพลาดบ้าง จิตอาจจะเผลอเลวบ้างก็ปล่อยไป แค่รู้แล้ววาง และจำคำนี้ได้เสมอ ไม่แน่ใจว่าจำมาจากพระท่านใด “อยู่กับปัจจุบัน จึงไม่ทันได้เป็นทุกข์” และธรรมะข้อนี้แหละที่ต้องคอนเตือนจิตอยู่เสมอ ปัจจุบันนี้ก็ยังใช้อยู่เช่นกัน
    8. หมั่นน้อมรับพระมหาเมตตา จากพระองค์ท่านครอบกายครอบจิต และเมื่อได้รับจากพระองค์ท่านแล้วก็แผ่พลังพุทธะไปให้ครอบจักรวาล อธิษฐานให้ทุกดวงจิตทุกดวงวิญญาณสามารถรับสัมผัสพลังพุทธะของพระองค์ท่านได้ทุกๆดวงจิต
    จากข้อความข้างต้นที่บอกว่าการเรียนจิตเกาะพระนั้นไม่ยาก แต่ก็ไม่ได้ง่ายมากจนเกินไป ที่บอกว่าง่ายนั้นก็คือง่ายกว่าที่ข้าพเจ้าได้เคยปฏิบัติมาเอง ปฏิบัติมาเองห้าปี แตะได้แค่ปฐมฌานอย่างหยาบ เพราะเคยหลุดจากฌานบ่อยๆ(มีอาการใจหวิวๆ คล้ายตกจากที่สูง) เคยแอบฝึกเตโชกสิณ แอบฝึกอยู่สองครั้ง ครั้งละสามเดือน ที่บอกว่าแอบเพราะไม่มีใครทราบ ทำเองคนเดียวก็นั่นแหละเหตุผลทำเองคนเดียว เกิดการสงสัยขึ้นมาไม่รู้จะไปถามใคร ไม่มีใครให้ถาม ไปไม่รอดเกิดอาการกลุ้ม เลยจำเป็นต้องเลิก, บวชชีพราหมณ์เกือบทุกปี ปีละเก้าวัน, รักษาศีลแปดติดต่อกันมาแล้วเก้าเดือนเศษ เพิ่งออกมารักษาศีลห้า เมื่อพฤษภาคมที่ผ่านมา แล้วก็มาฝึกอสุภกรรมฐานอยู่ได้ประมาณหนึ่งเดือน พี่เทิด จิตบุญที่ 145 ได้เพิ่มข้าพเจ้าเข้าไปที่กลุ่มจิตพร้อม รับภัยพิบัติ ตอนแรกๆก็ไม่ทราบว่า กลุ่มนี้คืออะไร บอกตรงๆว่าไม่ค่อยได้อ่าน (ตอนนั้นมัวสนใจอยู่กับอสุภกรรมฐานมากกว่า)อยู่วันหนึ่งคิดอยากจะเข้าไปอ่านที่กลุ่มนี้ขึ้นมาเฉยๆ เห็นโพสท์ของพี่เทิดหลังจากที่ได้เรียนจิตเกาะพระจบแล้วเลยอยากจะเข้าไปเรียนบ้าง จนได้มาเป็นจิตบุญที่ 149 แห่งบ้านจิตเกาะพระค่ะ
    ณ โอกาสนี้ข้าพเจ้าขอขอบพระคุณพี่ๆครูผู้ฝึกสอนทุกๆท่าน ครูพี่ภู ครูพี่แนท ครูพี่เป้ รวมถึงครูพี่อุ๋ยที่ได้ช่วยสอน ชี้แนะวิธีการปฏิบัติ ขอบคุณพี่เทิดที่ได้เพิ่มข้าพเจ้าเข้ามาในกลุ่ม ขอบคุณบ้านจิตเกาะพระแห่งนี้ที่ทำให้พวกเราได้รู้จักกัน และที่ขาดไม่ได้เลยพระมหากรุณาธิคุณคุณครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าทั้งหมดตั้งแต่สมเด็จพ่อองค์พระปฐมเป็นต้นมา ลูกขอกราบ กราบ กราบ ด้วยความเคารพยิ่ง

    ฺBy: Nooboonsawan Siriharksopon
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ๘๘๘.jpg
      ๘๘๘.jpg
      ขนาดไฟล์:
      118.7 KB
      เปิดดู:
      44
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ทางสายกลาง
    พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระโสณะว่า "ดูก่อนโสณะ เธอเข้าใจเรื่องนี้อย่างไร เมื่อใดสายพิณตึงเกินไป พิณย่อมมีเสียงไพเราะหรือ"
    ท่านพระโสณะกราบทูลว่า"ไม่เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า"
    "โสณะ เมื่อใดสายพิณหย่อนเกินไปพิณย่อมมีเสียงไพเราะหรือ"
    "ไม่เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า. "
    "โสณะ ก็เมื่อใดสายพิณไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไปซึ่งอยู่ในระดับที่พอเหมาะ พิณย่อมมีเสียงไพเราะหรือ"
    "อย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า"
    "โสณะ ฉันนั้นเหมือนกันแล ความเพียรที่ปรารภมากเกินไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่หย่อนเกินไป ย่อมเป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เพราะเหตุนั้นแหละ เธอจงตั้งความเพียรให้สมํ่าเสมอ จงปรับอินทรีย์(ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา)ให้เสมอกันและจงถือนิมิตในความสมํ่าเสมอนั้น"
    โสณสูตร,องฺ. ฉกุก.๒๒/๕๕/๕๓๔.
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ประโยชน์ของการยิ้ม
    รอยยิ้ม พลังชีวิตที่คาดไม่ถึง
    แม้สถานการณ์บ้านเมืองในยุคปัจจุบันจะวุ่นวายและแตกต่างจากสมัยก่อนมาก จนทำให้เราอาจเห็นรอยยิ้มจากคนไทยได้น้อยลง แต่ถึงอย่างนั้น นานาประเทศก็ยังยกให้ไทยเป็นสยามเมืองยิ้มอยู่ดี และเพราะอยากเห็นคนไทยมีรอยยิ้มให้กันมากขึ้น เราจึงขอนำสาระดี ๆ จาก Reader’s Digest มาให้ทุกคนได้รู้กันว่า ยิ้มเข้าไว้เถอะค่ะ เพราะมันมีประโยชน์ต่อชีวิตและสุขภาพของเรามากมายเลยทีเดียว
    1. ยิ้มแล้วอายุยืน

    ในปี 2010 ได้มีการศึกษาความสัมพันธ์ของรอยยิ้มกับการมีชีวิตยืนยาวจากรูปถ่ายนักเบส บอลถึง 1952 ฤดูการแข่งขัน และพบว่า เหล่าคนที่ยิ้มอย่างเต็มที่ จะมีอายุเฉลี่ยได้ถึง 80 ปี ขณะที่คนที่ชอบอมยิ้มหรือยิ้มน้อย ๆ จะมีอายุได้ถึง 75 ปี ส่วนคนที่ไม่ค่อยยิ้ม จะมีอายุโดยเฉลี่ยอยู่ได้ถึง 72 ปีเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า รอยยิ้มอย่างเดียวจะสามารถทำให้เรามีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นได้ แต่มันมีผลทางจิตวิทยาต่างหากค่ะ เพราะการจะยิ้มเต็มที่ หรือยิ้มน้อย ๆ ล้วนหมายถึงระดับความสุขของผู้ยิ้มนั่นเอง

    2. ยิ้มแล้วประสบความสำเร็จในชีวิตสมรส

    DePaul University ก็ได้ทำการวิจัยเรื่องความสัมพันธ์ของรอยยิ้มกับชีวิตสมรสเช่นกัน โดยวิจัยจากรูปถ่ายศิษย์เก่าจำนวน 100 คน และพบว่า คนที่ยิ้มบ่อย ๆ จะมีอัตราการหย่าร้างแค่ 1 ใน 20 เท่านั้น แต่เหล่าคนที่ไม่ค่อยยิ้มจะมีอัตราการหย่าร้างสูงถึง 5 ใน 20 เพราะรอยยิ้มบ่งบอกถึงความสุข ความมั่นคงในอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยประคับประคองความสัมพันธ์ให้ยาวนานขึ้นค่ะ

    3. ยิ้มแล้วหน้าเด็ก

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็มีผลการวิจัยขอฮอลแลนด์ บอกไว้ว่า สาวใหญ่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไปที่ยิ้มบ่อย ๆ จะมีใบหน้าอ่อนกว่าวัย ฉะนั้นสำหรับสาวใหญ่ที่ต้องการลดอายุตัวเอง ให้หน้าดูอ่อนวัยอยู่เสมอ ก็ฉีกยิ้มบ่อย ๆ นะคะ

    4. รอยยิ้มสร้างเสน่ห์

    แน่นอนอยู่แล้วว่าคนที่ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ ๆ จะดูน่ามองกว่าคนที่ทำหน้าบึ้ง เพราะรอยยิ้มจะเป็นเหมือนยาเสน่ห์ที่ทำให้คนพบเห็นประทับใจได้ง่าย ๆ ดังนั้นไม่ว่าจะเจอสถานการณ์อะไร ก็ยิ้มเอาไว้ก่อนค่ะ เชื่อเถอะว่ามันทำให้คุณดูดีขึ้นได้จริงๆ

    5. รอยยิ้มจริงใจสร้างรายได้ที่มากขึ้น

    นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้การยิ้มเป็นกฎปฏิบัติอันดับแรกของงานบริการ เพราะผลวิจัยจากหลายแห่งได้ยืนยันแล้วว่า พนักงานบริการที่มีรอยยิ้มพิมพ์ใจ จะสร้างความประทับใจให้แก่ลูกค้า และมักจะได้รางวัลเป็นทิปมากกว่าพนักงานที่หน้าบึ้ง นอกจากนี้พนักงานขายที่ยิ้มด้วยความจริงใจ ก็จะขายสินค้าได้ดีกว่าคนที่ยิ้มตามมารยาทด้วยล่ะ
    6.รอยยิ้มลดความตึงเครียดได้

    รอยยิ้มเหมือนมีพลังวิเศษ ที่ไม่ว่าใครได้พบเห็นก็จะสามารถรู้สึกดีขึ้นได้ แม้กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดก็ตาม ถ้าไม่เชื่อจะลองยิ้มให้ตัวเองในขณะที่กำลังเผชิญกับรถติดอย่างหนักดูก็ได้ ค่ะ แล้วคุณจะรู้สึกหงุดหงิดน้อยลงไปเลยล่ะ

    7. รอยยิ้มสร้างความสุขได้เทียบเท่าการกินช็อกโกแลต

    ช็อกโกแลตสามารถสร้างความสุขและกระตุ้นการทำงานของสมองได้มากก็จริง แต่การวิจัยจาก One British ก็พบว่า รอยยิ้มก็ทำให้มีความสุขและกระตุ้นการทำงานของสมองได้เช่นกัน โดยยิ้ม 1 ครั้ง ก็จะได้รับความสุขเทียบเท่าการกินช็อกโกแลต 2000 ชิ้นเลยเชียวล่ะ
    8. รอยยิ้มของลูกช่วยการทำงานของสมองคุณแม่

    จากการศึกษาทางกุมารเวชศาสตร์พบว่า รอยยิ้มของเด็กทารกวัย 5-10 เดือน จะมีผลต่อการทำงานของสมองคนเป็นแม่อย่างมาก โดยได้ใช้เครื่องสแกน MRI จับคลื่นสมองของคุณแม่ที่ดูรูปถ่ายของลูกตัวเอง และพบว่า รูปถ่ายหน้ายิ้มของลูก จะกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนกลางให้คุณแม่ได้มากขึ้น

    9. ผู้หญิงยิ้มง่ายกว่าผู้ชาย
    ผลการวิจัยของ Psychological Bulletin พบว่า ผู้หญิงจะยิ้มได้ง่ายกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาอยู่ และผู้ชายกับผู้หญิงจะยิ้มให้กันได้ง่ายขึ้น หากเขามีหน้าที่การงาน และสถานะทางสังคมที่ใกล้เคียงกัน

    10. รอยยิ้มของผู้นำมีพลัง และสร้างความเชื่อมั่น

    ผู้นำประเทศถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ทุกคนให้ความสนใจ ดังนั้นเขาเหล่านี้จึงใช้รอยยิ้มเป็นเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นแก่ ประชาชน ว่าจะสามารถนำพาประเทศให้พัฒนาไปได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ถือเป็นการแสดงออกเป็นนัย ๆ ว่า ไม่ว่าปัญหาอะไรก็ไม่เกินความสามารถของเขาแน่นอน


    ยิ้มเข้าไว้ ประโยชน์ รอยยิ้ม พลังชีวิตที่คาดไม่ถึง!

    :d(deejai)yimm;39
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2014
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ (8 คน กำลังดูอยู่) (กระทู้นี้มีหลายหน้า 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ... หน้าสุดท้าย)
    . ภูทยานฌาน2

    เมื่อวานนี้ 12:10 PM
    ไปที่คำตอบสุดท้าย
    16,088 1,000,000
    *********************************
    ชิตังเม ชิตังเม
    Mission accomplished !
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2014
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2014
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    การ แพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึก ลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมง ในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่าน อวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง
    อวัยวะตัน ! หมายถึง ! หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต !
    อวัยวะกลวง ! หมายถึง ! กระเพาะอาหาร ถุงน้ําดี ลําไส้ใหญ่ สําไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบ ความร้อนของร่างกาย ( ชานเจียว )
    การ ไหลเวียนของพลังชีวิต ( ลมปราณ ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า “นาฬิกาชีวิต”
    ตัวอย่าง เช่นการไหลเวียนของเส้นลมปราณปอด จะมีพลังไหลเวียนเริ่มต้นที่เวลา 03.00 น . และสูงสุดในช่วงเวลา ประมาณ 04.00 น . จากนั้นจะค่อยๆ ลดลงและออกจากเส้นลมปราณปอดไปยังเส้นลมปราณลําไส้ใหญ่ เวลา 05.00 น . การรักษาโรคของเส้นลมปราณปอดที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุด จึงควรอยู่ระหว่างเวลา 03.00 - 05.00 น . ได้มีการ ศึกษาวิจัยพบว่า ผลของการใช้ยาตะวันตกคือ ยาดิติตาลิส ในการรักษาโรคหัวใจล้มเหลว ( มีการคั่งของน้ําในปอด ) การให้ยาในช่วงเวลา 04.00 น . จะให้ผลออกฤทธิ์ประมาณสี่สิบเท่าของการให้เวลาอื่น เป็นต้น การเคลื่อนไหวของ พลังชีวิตของอวัยวะภายในมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนและสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเวลา ( นาฬิกาชีวิต ) ร่างกายเราจึงมีกลไก การปรับตัวมีการสร้างสารคัดหลั่งฮอร์โมน การทํางานของระบบต่างๆ ฯลฯ เป็นไปตามสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยน แปลงไป
    การ ดําเนินชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจําวันให้สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็น หลักฐานของการมีสุขถาพดีและมีอายุยืน ปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้
    01.00 – 03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonin) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งสาร มีราโทนินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกาด้วยจึงไม่ควรทานอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รองคือ
    1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บ จะไม่สวย
    2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อยๆ จะทําให้ตับทํางานหนัก ตับจะหลั่งน้ําย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทําหน้าที่ หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
    03.00 – 05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอนลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว
    05.00 – 07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธี
    1.กดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก
    2.ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่นสองแก้ว
    3.ถ้ายังไม่ถ่ายอีกให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะน้ำมนาว 4-5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่าย
    4.บริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือเท้าเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าท้องไปติดกับสันหลัง
    07.00 - 09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะ อาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารในระยะเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขาไม่ค่อยมีแรง หน้าแก่ก่อนวัย
    09.00 – 11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศรีษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
    - ม้ามโต ม้ามจะเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
    - ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย
    ผู้ ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00 - 11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อยๆ หรอพูดเก่งๆ ม้าจะชื้น จึงควรพูดน้อย กินน้อย ม้ามจึงจะแข็งแรง
    11.00 – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรือตกใจให้ได้
    13.00 - 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภท เพื่อเปิดโอกาสให้ลําไส้ทํางาน ลําไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหาร ที่เป็นน้ําทุกชนิด เช่น วิตามินซึ บี โปรตีน เพื่สร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สําหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลําไส้ยาวกว่า ผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้ดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เม่ือลําไส้ยาวกว่า จึงมีกระดูก ซึ่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซึ่
    15.00 - 17.00 น . เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจาก หัว ตา ผ่านหน้าผาก ศีรษะ ท้ายทอย แผ่นหลังทั้งแผ่น สะโพก ด้านหลังขา หัวเข่า น่อง ส้นเท้า นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับ ระบบความจํา ไทรอยด์และระบบเพศทั้งหมด
    ช่วงนี้จึงควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัวกระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง
    **ข้อควรระวัง
    - ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามากไตจะวาย
    - ถ้ามีโปรตัสเซียมออกมามาก หัวใจจะวาย แก้ไขเรื่องหัวใจจะวายด้วยการให้ดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อเพิ่มโปตัสเซียม
    -การอั้นปัสสาวะบ่อยๆปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าในกระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมี่กลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
    17.00 - 19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหงาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงหงาวหาวนอนในช่วงเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนในช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการหนักมาก
    - ไตซ้ายจะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน
    - ไตขวาจะควบคุมสมองด้านซาย ซึ่งควบคุมด้านความทรงจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว (ผู้ทีไตแข็งแรงจะเป็นคนที่มีอายุยืน เป็นคนกล้า)
    ถ้าลำไส้เล็กมีไขมัน เกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กมิได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ตับจึงกลายเป็นโรคไต สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
    การดูแล คือ ตอนเช้าอาบนำเย็น ตอนเย็นอาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้
    ให้ใช้วิธีแช่เท้า แต่น้ำควรจะใส่สมุนไพรที่ถูกแลกกับผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
    19.00 – 21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ
    เวลา นี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าสีดำ เทา แช่เท้าในน้ำอุ่น
    21.00 - 23.00 น . เป็นช่วงเวลาที่ต้องทําให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ําเย็นในช่วงเวลานี้ เพราะจะทําให้เจ็บป่วย ได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
    21.00 - 01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมีการดึงน้ำจากดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับดื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีไปถึงปอด) จะปวดศรีษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุเอาถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจลูกกระดิ่งจะพบว่า ถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดสะโพก)
    ทางแก้คือ อย่าใส่ชุดนอนเป็น้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอน เพราะใยสังเคาระห์จะไปดูดน้ำในร่างกาย
    **ดังนั้นควรดื่มน้ำก่อนนอน หรือก่อนเวลา 23 น.


    ที่มา จากหนังสือนาฬิกาชีวิต
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    หลวงพ่อโหน่ง ยอดพระกรรมฐาน ที่พระยุคนี้ เทียบไม่ติด
    https://www.youtube.com/watch?v=pLtYWyXvg34

    สาธุ สาธุ ๆ ๆ กราบหลวงพ่อฤาษี
     

แชร์หน้านี้

Loading...