"มะเร็ง"เกิดจากโชคร้ายมากกว่าวิถีชีวิต

นักวิจัยสหรัฐเผยข้อมูลการวิจัยล่าสุดระบุว่า การป่วยเป็นโรคมะเร็งเป็นเรื่องของโชคร้ายมากกว่าเกิดจากวิถีการดำเนินชีวิตและสิ่งแวดล้อม

เอาแล้วไง วิทยาศาสตร์กำลังถึงทางตันล่ะ

http://www.nationtv.tv/main/content/foreign/378438858/

 

ผมเห็นด้วยครับว่ามันเป็นที่โชคร้าย -,.-

 

อ่านแล้วขำเหมือนกัน แต่ไม่กล้าเขียนอะไร

 

อย่าไปเชื่อฝรังมากนัก?

ขออนุญาตครับ
อย่าไปเชื่อฝรั่งมากนัก
ครูบาอาจารย์ผู้มากบุญบารมีและอภิญญาญาน
ต่างก็บอกตรงกันว่า มะเร็งเกิดจาก

๑ ผู้ป่วยเคยฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้าย
๒ ผู้ป่วยเคยพรากชีวิตเขาจากของรักของหวง เช่น
จากครอบครัวที่ต้องพึ่งเขา
๓ ผู้ป่วยเคยฆ่าเขาอย่างไตร่ตรองเอาไว้ก่อน
๔ ผู้ป่วยเคยฆ่าเขา ทั้งๆที่เขาได้บอกความจำเป็น อ้อนวอนขอชีวิต
แล้ว
๕ ผู้ป่วยส่วนมากทำกรรมหนักมาและเคยตกนรกมาแล้ว
๖ ผู้ป่วยมีเจ้ากรรมนายเวรหลายเจ้า
๗ ผู้ป่วยเป็นมะเร็งที่ใหน ก็คือสร้างบาปกับเขาเอาไว้ที่นั่น
๘ ผู้ป่วยสร้างกุศลผลบุญไม่พอ ไม่ต่อเนื่อง

อย่าไปเชื่อฝรั่งมากนัก ถ้าเขาเก่งจริง ทำใม กระทั่งมหาเศรษฐีโลก อย่างบีล เกตต์ ก็ตายเพราะมะเร็งได้

ขอโมทนาบุญๆๆ

ลุงมหา

 

เกิดจากเส้นสาย DNA ผิดเพี้ยน
อาจมีเชื้อโรคเข้าไปก่อกวน
อาจเรียกว่ากรรมเก่าก็ได้
สวดมนต์ดีๆ รักตัวเองให้มากๆครับ หาย
อย่าคิดมาก มะเร็งบางทีเหมือนกำลังบอกอะไรเจ้าของนะ

 

ไม่มีอะไรครับ การเจ็บไข่ได้ป่วยมาจาก กรรมเก่า

กรรมปาฌาติบาต เคยเบียดเบียน ฆ่าสัตว์ตัดชัวิต

หลังจากไปชดใช้กรรมในนรก เป็นจำนวนมากมาแล้ว

พอเกิดมาก็เศษกรรมตามมาครับ นี่ขาดเศษๆนะครับ

อย่าพูดถงตอนตกนรกเลย บอกได้คำเดียว สุดๆๆๆ

 

อาจจะถูกส่วนหนึ่งผิดส่วนหนึ่ง หมายถึงว่าการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องอาจจะช่วยลดความเสี่ยงจากมะเร็งได้จริงๆ แต่ว่าในโลกของความเป็นจริง เราคงไม่สามารถหลีกพ้นปัจจัยเสี่ยงอื่นๆที่อยู่เหนือการควบคุมได้

 

คุณลุงมหา๑คงจะต้องนั่งกาลยานมาจากโลกอนาคตแน่ๆเลยครับ

 

ธรรมดาๆๆ

ขออนุญาตครับ
ต
ผมก็คนธรรมดาๆๆนี่ล่ะครับ ธรรมดาเสียจนคุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง
เพราะเขาพากันมองแค่รูปลักษ
ณ์ภายนอก

ก็บุญ วาสนา บารมี สติ ปัญญา ระดับผมนั้น แทนที่จะเป็นพระ หรือเป็นฤๅษี

ผมกลับเป็นคนธรรมดาผู้เรียบง่าย
ง่ายเสียจนผู้คนรอบข้างผม แทบจะไม่มีใครเชื่อถือผมกันเลย

เพราะแต่ละคนต่างก็เชื่อมั่นในสติปัญญาของตน
ก็ผมก็บอกบ่อยๆว่า

บุญ วาสนา บารมี เป็นตัวกำหนด ระดับของ สติ ปัญญา

ศรัทธา ทาน ศีล สมาธิ เป็นตัวนำไปสู่ ญาน๔

ญาน๔ นำไปสู่ การรู้ตัวทุกอิริยาบท ซึ่งก็คือ มหาสติ

เมื่อมีมหาสติ ก็สามารเดินปัญญาได้

เมื่อเดินปัญญาได้ ก็จะทำให้

รู้ถูก รู้ผิด
รู้ดี รู้ชั่ว
รู้บาป รู้บุญ
รู้คุณ รู้โทษ

เมืีอได้ ญาน๔
เมื่อได้ รู้ตัวทุกอิริยาบท
เมื่อได้ มหาสติ
เมื่อพิจารณา เหตุ ไปหา ผล
เมื่อพิจารณา ผล ไปหา เหตุ

เมื่อได้ปัญญา คือ การเห็นเหตุ ก็รู้ ผล
เมื่อได้ปีัญญา คือ การเห็นผล ก็รู้ เหตุ

เมื่อได้ปัญญาญาน คือ การเห็นเหตุ ก็รู้ผล ในอึดใจเดียว
เมื่อได้ปัญญาญาน คือ การเห็นผล ก็รู้เหตุ ที่ทำให้เกิดผลนั้นในอึดใจเดียว

จะพูด จะคุยกับใครก็ลำบาก เพราะเขาตามไม่ทัน

เพราะเขาไปติดขีดจำกัดของตนเอง

จาก บุญ วาสนา บารมี สติ ปัญญา ของเขาเอง
ที่รู้ ที่เข้าใจ เฉพาะส่วนที่อยู่ในขีดจำกัดของตนเอง

ขอโมทนาบุญในส่วนที่ท่านเข้าใจผมแล้วบอกออกมาเป็นภาษาง่ายๆว่า

ลุงมหานั่งกาลยานมาจากโลกอนาคต

ก็แค่ เหตุ ไปหา ผล
ก็แค่ ผล ไปหา เหตุ เท่านั้นเอง

หลายๆท่านติดตามงานเขียนในเว็บนี้ของผม
ขอให้พิจารณาให้ออกนะครับ

สู้อุตสาห์ พบเจอผมแล้ว
สู้อุตสาห์ เพียรตามอ่านจนพอจะเข้าใจแล้ว

ขอให้ละธรรมกระดาษ ธรรมสัญญาความจำ
เร่งสะสม กำลังสติ
เร่งสะสม กำลังสมาธิ
ไปให้ถึงฌาน๔

เมื่อถึงได้แล้ว ก็ให้สะสมเอกคตารมณ์ อันเป็นอารมณ์ของฌาน๔
เพียรสะสม เอกคตารมณ์อยู่อย่างนั้น

จนกว่ามันจะเต็ม
จนกว่ามันจะล้น
เมื่อล้นแล้ว มันจะออกมาเป็น การรู้ตัวทุกอิริยาบถ
เมื่อล้นแล้ว มันจะออกมาเป็น การเดินปัญญา
พิจารณา เหตุไปหาผล
พิจารณา ผลไปหาเหตุ

และอย่าได้หลงเดินเลยไปจาก ฌาน๔ ไปฌาน๕ ๖ ๗ ๘ ๙
แล้วกลวงกลาง ขาดสติ ขาดปัญญา

กลายเป็นว่า ท่านฌาน๔ ผมฌาน ๘ ๙
กลายเป็นว่า พวกเรารู้มากกว่าลุงมหา

ก็ปล่อยให้พวกเขา กลวงกลาง ของเขาไป
ก็ปล่อยให้เขา พร้อมรับภัยพิบัติ ของเขาไป

ก็ปล่อยให้เขา ธรรมรู้ได้เฉพาะตนไป
ก็ปล่อยให้พวกเขา ธรรมรู้ได้เฉพาะพวกตนไป

สรุป มุ่งไปฌาน๔ อยู่กับ เอกคตารมณ์ ชาตินี้ไม่พอ ก็ไปต่อเอาชาติหน้าๆๆ
เพราะปัญญา มันต้องอยู่หลัง การรู้ตัวทุกอิริยาบถ เท่านั้น
เพราะปัญญา มันต้องอยู่หลัง มหาสติ เท่านั้น

แล้วเข้าใจกันหรือยังที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ในอึดใจเดียว

นั่นคือพระองค์ ได้ทรงรู้ ได้ทรงเข้าใจ ได้ทรงรวบรวม
ที่พระองค์ได้เคยเวียนว่ายตายเกิด ๔ อสงค์ไข แสนมหากัป ลงมารวมไว้ในอึดใจเดียว
และยังทรงแตกฉานในสรรพสิ่ง ทั้งจักรวาล ทั้งอนันตจักรวาลรวมลงไปด้วยในอึดใจเดียวนั้น

แล้วเข้าใจหรือยังทำใมพระพุทธองค์จึงทรงเน้นจึงทรงสอนว่า

กำลังฌาน๔ ก็พอแล้ว ในการพิจารณา ธรรมเพื่อความหลุดพ้น

ขอโมทนาบุญๆๆ

ลุงมหา

 

จริงครับ เกิดจากกรรมลิขิต รักษาด้วยบารมีที่ว่ามานี้ก็คือต้องคอยหมั่นสร้างบุญกุศลให้มากๆครับ

 

มันเกิดจาก มิจฉาทิฏฐิ ในการประพฤติ ปฏิบัติตน คอยสะสมพิษในร่างกายรอบด้านทั้งการกิน ความเป็นอยู่ ความคิด ความกระหายอยาก รอวันที่พิษออกฤทธิ์เข้ากับธาตุหนึ่งๆในร่างกาย
พิษที่แจกให้ ก็ฝีมือพวกฝรั่งทั้งนั้นแหละ ทั้งสารเคมีในอาหารและยาของพวกมัน(ยาดี แต่ผลข้างเคียงมันไม่บอกกระจ่าง) เครื่องปรุงอาหารของพวกมัน โรงงานอุตสาหกรรม ผลิตภัณท์ไฮเทค

หลายคนเป็นมะเร็ง ทำสมาธิจนหายก็มี ระยะสุดท้าย หายได้ก็มี
ถ้ามันเป็นโชคร้ายจริง มันต้องไม่หาย มีแต่ตายลูกเดียว และมันต้อง สุ่มเกิด และนี่มันมีกลุ่มเฉพาะเจาะจง

น่าแปลก ผู้หญิงอายุตั้งแต่ 20 - 38 เป็นมะเร็งแบบเฉียบพลันกันมาก 99% ตายเรียบ (ทั้งที่ความเป็นอยู่ดี(เกินไป) หน้าที่การงานดี ความเจริญก้าวหน้าเต็มเปี่ยม)
1% ที่รอด รอดจากการตั้งใจปฏิบัติธรรมทำสมาธิ
ลองไปดูตามวัดที่รักษาคนป่วยสิ เพียบ (ที่ตาย) และ เพียบ ที่รอด!

 

ทุกสรรพสิ่งมีพลังรักษาและพลังทำลายตนเอง

เพียงแค่ใครสิ่งใด จะค้นหาและลงมือกระทำ ตามหลักของศาสตร์ใดๆๆที่มีการชี้แนะแนวทางกันมา

แต่ในหลากหลายสิ่งของความเชื่อของสิ่งมีชีวิตบนโลก ยังมีไม่สมบูรณ์พร้อม

หากแต่บุคคลใดมีธรรมในกายใจจิต ธรรมที่เติมพยางค์หน้า-หลังธรรมได้ว่า

หลัก -ธรรม-คำสอนของทุกศาสนา(ทุกศาสตร์ที่สรรสร้างความดี) เลือกปฎิบัติตามจริต

ธรรมชาติแห่งอนัน(ตัดต์ออกมีความหมายแฝงนะ) จะคอยชี้ทางตามลิขิตอนันแห่งกรรมของพื้นพิภพนี้ให้เข้าใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบให้มากที่สุด

อนันแห่งจิตตะกุศลดาราจักรธรรมจักรวาลกาลอนัน สาธุครับ