เวลาผมนั่งสมาธิ มักมีแสงสว่าง มาให้เห็นประจำ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย boy1, 12 มกราคม 2015.

  1. boy1

    boy1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +51
    เวลาผมนั่งสมาธ มักเห็นแสงสว่างจ้า มากๆที่มุมขอตาเหมือน สปอดไลท์
    แรก ก็ขึ้นเป็น ดวงพอตั้งใจเพ่งจับ ก็จะหายไป แต่เดียวนี้ เพ่งจับ อย่างไร
    ก็ยังอยู่ ทั้งที่ผมไม่ค่อย นั่งสมาธิบ่อยนัก รวมทั้งกสิณ ปีละครั้ง2ครั้ง ก็ว่าได้
    แต่ผมจะเน้นฝึกมนต์ เป็นพิเศษ
    ผมจึงอยากขอความกรุณาผู้รู้ผู้เชียวชาญ เข้ามาอธิบายหน่อยครับว่ามัน
    คืออะไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2015
  2. boy1

    boy1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +51
    ลืมบอกไปว่าเวลานั่งผมจะปิดไฟมืดสนิท
     
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ก็รอประโยคประมาณนี้อยู่

    ถ้าลองพูดว่า ผมปิดไฟมืด ก่อนทำสมาธิ ก็แปลว่า " นั่งที่เดิม "

    ดังนั้น

    การพิสูจน์ ธรรม เขาไม่เอาความชิน ความชินในสถานที่ มันจะเกิด อุเบกขา
    กับ ผัสสะ ที่เป็นสิ่งแวดล้อม

    เพื่อ กำจัดตัวแปล ความเคยชิน(ภาษาบาลีเรียก ฌาณ) เราก็ควรจะเปลี่ยน
    สถาณที่ทำสมาธิ ถ้าเปลี่ยนแล้ว แสง ไม่มีหายจ้อย เวลา กลับมานั่งที่เดิม
    จิตมันจะ สาวไปหาเหตุ

    แล้วจะค่อยๆ พบ หรือ วิจัยได้เองว่า แสง มันมา มันเกิด มันอยู่ มันไป ด้วย
    เพราะเหตุใด ได้บ้าง

    ทีนี้ เราไม่ได้เอาแค่ว่าไปเห็นเหตุ มันจะมีเรื่อง ความชำนาญในการวางอารมณ์
    บางอย่างให้ระลึกได้ เวลาเราเปลี่ยนสถาณที่แล้ว น้อมเห็นแสงได้ เราจะทราบ
    ความชำนาญของ ช่อง ร่อง รอยเกวียน ที่เรียกว่า โยคาวจร ที่ผูกมัดจิตให้วน
    เวียนเห็น [ แปลเสียหน่อย ...อันนี้หมายความว่า เปลี่ยนสถาณที่แล้ว แต่ จิต
    สามารถน้อมสัญญาเดิม ขึ้นมาหน่วงเหยี่ยวเข้ากรรมฐาน ได้ทุกๆ ที่ ไม่จำกัดว่า
    จะต้องนั่งที่เดิม มุมเดิม ]

    ตราบใดจิตยังไม่อิสระจาก โยควจร นั้น อย่าพึ่งรีบร้อนว่า รู้จักสุญญตาสมาธิ(เหนือกว่าแสง เหนือกว่าสว่าง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มกราคม 2015
  4. boy1

    boy1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +51
    -ขอบคุณครับ
    วันนี้นั่งสมาธิที่บริษัท
    รวบรวมจิตแล้วนั่งตอนพักเที่ยง
    ก็เห็นเหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่ได้
    ปิดไฟครับ
     
  5. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    อาจจะเป็นนิมิตก็ได้นะ ลองจับอารมณ์ดูสิ
     
  6. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863

    โอภาส แสงสว่าง ขณะทำสมาธิ เป็นสมาธิขั้นๆต้น

    ผมก็เป็น อย่าสนใจ ทำไปเรื่อยๆ ทำสมาธิ อย่างที่เคยทำมา

    เดี่ยวก็หายไปเอง ปัจจุบันผมก็ยังเห็นเป็นปกติ สว่างไสวไปทั่ว

    "สักแต่ว่าเห็น"

    (มีสำนักอยู่สักหนึ่ง ทางภาคอีสาน สมเณร ได้โอภาส นั่งสมาธิที่ไร

    เห็นแสงสว่าง ดีใจมาเล่าให้อาจารย์ เจ้าสำนักฟัง อาจารย์เจ้าสำนัก

    บอกว่า โอ๊ะ! เณร สำเร็จแล้ว "สำเร็จอะไรตรงไหนล่ะ กิเลส ยังท่วมอยู่เลย")
     
  7. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    จริงหรือเปล่า

    ถ้าจริงนะ

    ให้สำรวจใจตัวเองว่า มีน้ำหนักกดถ่วง หม่นหมองไหม มีอะไรยัง กระชากให้
    หยุดจากการทำสมาธิไหม เช่น ดินพอกหางหมู การไปพูดไม่ดีกับคนอื่น
    การยังห่วงนึกสนุกที่ทำให้ทุกขสงัด ฯลฯ

    ถ้าไม่มี เวลาเห็นแสง อย่าเห็นเฉยๆ ลองน้อมจิตน้อมใจ ดูความคล่องแคล้ว
    ควรแก่การงาน มีไหม ถ้ามี ลองนมสิการรูปธรรมใดๆ ที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้
    รื้อค้นกิเลสดู ถ้าหยิบถูก หยิบดี มันจะหยิบได้แล้วไม่สะดุ้ง ถ้าหยิบผิด หยิบ
    ไม่ดี จิตมีน้ำหนักไม่ได้สังเกตุ หยิบแล้วขนพองสยองเกล้า ก็ให้รู้เหตุเอาไว้
    ว่าทำไม หยิบผิด

    ทีนี้ การหยิบผิด หยิบถูก เป็นแต่เพียง การออกกำลังกายเล่นๆ เป็นการอุ่นเครื่อง

    ดังนั้น จะเห็นหรอืไม่เห็น ไม่ใช่สาระ สาระอยู่ที่ การพิจารณา อินทรีย์ และ พละ

    พอเห็น อินทรีย์ และ พละ เจริญ หรือ เสื่อม ด้วยอาการอย่างไร ก็ พิจารณาไปสิ
    ว่า จะเอายังไงกับ เสี้ยวลมหายใจที่ยังเหลือให้พอรู้ได้ว่า ยังมีเวลาภาวนา
     
  8. จิตสิงห์

    จิตสิงห์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    619
    ค่าพลัง:
    +687
    กำหนดกัมมัฏฐานอะไรอยู่
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    กรณีที่ ๑ ตรงนี้เล่าให้ฟังก่อนให้ลองสังเกตุที่ว่าดีๆนะครับ
    กรณี ๑ ถ้ามันมาจากทางด้านขวาของศรีษะสีขาวๆนะครับ
    ห่างจากศรีษะไม่มากหลัก ๑๐ กว่า ซม.
    ให้ลองไปมองดูว่ามันเคลื่อนที่ในลักษณะการไหลแบบเสียรูปได้หรือเปล่า
    คือสามารถไหลไปตามกระโหลกศรีษะ ตลอดจนใบหน้าเราได้
    มันอาจจะเย็นๆเล็กน้อยแต่ไม่มากร่วมด้วย ถ้าได้ตรงนั้น
    เป็นปัญญาทางโลกที่แสดงให้เราเห็นได้ในขณะทำสมาธิครับ
    ตรงนี้ให้เลิกสนใจไปเลยครับไม่งั้นความเข้าใจทางด้านนามธรรมจะคาดเคลื่อน
    และส่งผลให้เราสติไม่ดีได้ในอนาคตครับ...

    กรณี ๒ ถ้าเป็นดวงสีขาวเห็นได้ชัดเจนอยู่ทางด้านซ้ายของศรีษะเรา
    ห่างจากศรีษะไม่มากประมาณ ๔ ถึง ๕ ซม. มีแสงรัศมี
    ส่องสว่างโดยรอบ บางที่เคลื่อนที่เองได้มาทางกลางกระโหลกศรีษะ
    ตรงนี้เป็นดวงจิตของครุบาร์อาจารย์ทางภพภูมิที่ท่านดูแลเราอยู่ครับ...

    กรณีที่ ๓ ถ้าเป็นดวงกลมๆสีขาว
    ขึ้นมาทางด้านขวาของศรีษะก่อนในมุมเฉียง
    ขึ้นไปห่างประมาณ ๑ เมตรกว่าๆ..
    แสงสีขาวนี้ส่องสว่างได้ชนิดที่ว่ารอบๆตัวเรามองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน
    สามารถเคลื่อนที่ในแนวขนานได้แต่อยู่ในระดับเดียวกัน
    แสดงว่าตัวจิตของคุณ
    เข้าสู่สภาวะความเป็นทิพย์ได้ในลักษณะของแสงนำทาง
    แต่กำลังสมาธิตรงนี้
    และความสว่างอย่างนี้.จะยังถือว่าเกือบๆระดับปฐมฌานนะครับ.
    .ตรงนี้ให้ระวังให้ดีๆอย่าเข้าใจผิด.
    ตรงนี้ต้องวิปัสสนาให้ได้หรือหาทางเพิ่มกำลังให้จิต
    ถึงจะก้าวข้ามช่วงนี้ได้ครับ..

    กรณีสุดท้าย การที่ละสายตาจากวัตถุใดๆก็ตามแล้วภาพยังคงค้างอยู่ได้แต่ไม่นาน
    ยกเว้นพวกวัตถุที่มีแสงสว่างในตัวอาจได้เป็นนาทีหรือจนเบื่อ
    พอละแล้วภาพหายและมาตามลมหายใจ
    อีก ๓ ถึง ๔ ครั้งภาพกลับมาได้..
    .พวกนี้เป็นกิริยาปกติของจิตที่เห็นแสง
    แล้วทำงานครับ.เป็นเรื่องปกตินะครับ
    และ.วิธีจะพิสูจน์ว่า
    จิตมีความเป็นทิยพ์จริงๆหรือไม่ป้องกันการหลงตัวเอง
    ต้องไม่ดูที่วัตถุอะไรเลย แล้วให้มองไปในอากาศถ้าสามารถสร้างภาพ
    ขึ้นมาเป็นขอบๆแล้วพอบอกรูปร่างได้และลอกอยู่ในอากาศได้
    ถือว่าจิตพอมีความเป็นทิพย์บ้างแล้วครับ..

     
  10. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,813
    ค่าพลัง:
    +15,095
    เรื่องแสงสว่างเป็นดวงวิ่งเข้ามา เคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อ "พุธ ฐานิโย"

    ท่านให้เหตุผลว่าเป็นแสงจิตของเราเองครับ คือปกติเราส่งจิตออกนอกตลอดเวลา พอตั้งใจปฎิบัติจิตมันวิ่งเข้ามารวมอยู่ที่กาย เราก็เลยเห็นเหมือนเป็นดวงแสงสว่างซึ่งอาจมีสีต่างๆกันวิ่งเข้ามา...

    ถ้าเป็นกรณีเช่นนี้อย่าตกใจครับ สติมันเริ่มทันจิตแล้ว
    ถ้าจิตเดินวิปัสสนามันจะเริ่มเห็นกายภายในชัดเจนขึ้น เช่น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ทั่วสารพางค์กาย ฯลฯ ถ้าจิตเดินสมถะมันจะเข้าไปตั้งมั่นสงบอยู่ภายในตามลำดับของสมาธิ

    ถ้าเป็นแสงลักษณะอื่น ก็ขึ้นอยู่ที่ขณะนั้นฝึกอะไรอยู่ ถ้าเพ่งออกไปมีอารมณ์เดียวก็เป็นลักษณะของกสิณ ถ้าน้อมจิตให้เชื่องๆซึมๆเบลอๆลืมเนื้อลืมตัวจิตตกภวัค์ครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็เป็นเพียงนิมิตแสงธรรมดาที่อุปทานปรุงแต่งขึ้น บางทีก็เห็นเป็นภาพต่างๆ บางทีก็เป็นเรื่องราว ฯลฯ ซึ่งถ้าเป็นกรณีอย่างหลังให้รีบแก้ไขตนเองครับ
     
  11. boy1

    boy1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +51
    ครับจะลองดูคับ
    ผมเคยอ่าน เรื่องนิมิตหลอก แต่เจอเข้า เลยอยากรู้ว่าเป็นอะไรกันนะคับ
     
  12. boy1

    boy1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +51
    จริงครับ เรื่องความคิด ความรู้สึก ที่เห็น เฉยๆครับ ส่วนเรื่อง การกระทำด้วยวาจากับคนอื่น ไม่แน่ชัด ครับ แต่จะพยายามทำความเข้าใจดูครับ
    ผมกำหนด เพ่งลมหายใจเข้าออกพุทธโธครับ
    ผมทำสมาธิจิตมองเห็นอย่างที่ท่านว่าครับ สรุปคือ ไม่ต้องไปสนใจครับ เกิดเป็นธรรมชาติ นะครับ
     
  13. boy1

    boy1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +51
    ของเห็นเป็นสีขาวสว่าง รู้สึกเฉยๆครับ แต่ ก่อนผมเห็นเป็นดวงสว่างวูปแล้วก็หายไป แต่ครั้งนี้ ผมก่อนทำสมาธิจะรวบรวมจิต แล้วเพ่งที่ ลมหายใจเข้าพุทธออกโธ ตอนนี้รองทำก็ไม่เห็นแสง แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจแสงแล้วครับ
     
  14. boy1

    boy1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +51
    ขอบคุณทุกท่านมากๆครับ
    ที่มาให้คำแนะนำ ทำให้เข้าใจ
    ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องใส่ใจ (นิมิตหลอก)
    มุ่งมั่นทำสมาธิต่อไปครับ
     
  15. tonoaram

    tonoaram Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +90
    ผมขอเล่าแบบง่าย ๆ ว่า แสงสว่างมี 2 แบบ คือแบบจิตเริ่มกำลังมีพลัง แสง ดวงไฟแบบนี้เมื่อเห็นด้วยตาใน ร่างกายจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีจิตเริ่มมีกำลัง จิตใกล้รวมเป็นหนึ่ง สังเกตว่า
    กายเราจะซ่าไปทั่วตัว มีอาการสบาย กายหายไปอย่างฉับพลับ เพราะจิตเริ่มรวมแล้ว ถ้าทำได้ถึงตรงนี้ ก็ให้ทำทุกวัน ทำให้ได้แบบนี้
     
  16. boy1

    boy1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +51
    ขอบคุณครับ
     
  17. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    ฝึกมนต์ก็ต้องฝึก ที่บอกว่านั่งสมาธิอย่างนั้นน้อยไป ควรตั้งใจทำจริงๆ ทำสม่ำเสมอ นั่งสมาธิวันละ 20-30 นาทีนะ
     
  18. boy1

    boy1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +51
    ขอบคุณครับ
     
  19. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    นั่งสมาธิก็ภาวนาไปด้วย อนัตตะลักขณสูตร พระสูตรที่ว่าด้วยความเป็นอนัตตาของขันธ์ 5 คือรูปไม่ใช่ตัวตน เพราะมันเจ็บมันปวดมันไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา ไล่ไปทีละอย่าง เวทนา เป็นอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา( อย่างไร ) ไปจนถึง สัญญา สังขาร วิญญาณ ดูความหมายของแต่ละคำศัพท์ให้เข้าใจ และศึกษากฏของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา เป็นอย่างไร ภาวนาได้อย่างนี้อย่างน้อยก็จะบรรลุพระโสดาบัน
     
  20. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แต่ละคนเวลาปฏิบัติ ก็จะเห็น จะมี แตกต่างกันไป แล้วแต่สายกรรมที่ผ่านมา


    เพ่งจับหายไป ก็อาจเพราะ เพ่งไม่ถูก จับไม่ถูกวิธี วางอารมณ์ไม่ถูก จิตไม่มีกำลังก็หาย จับไม่ได้ก็มี

    เพ่งจับแล้วไม่หาย ก็มี แล้วแต่ อารมณ์ในสมาธิ การวางอารมณ์ให้ถูกในการเพ่งจับภาพนิมิตก็มีครับ จิตมีกำลังสมาธิ ก็มี

    หรือ จิตมีกำลัง มีสมาธิ ฌานเป็นฐาน ก็ สามารถ กำหนด จะเรียก นิมิตให้ปรากฏ หรือ จะตัดนิมิต ตัดภาพทิ้งได้ก็มี อยู่ที่กำลังของจิต นั้นเอง


    เวลาปฏิบัติกรรมฐาน ให้จดจ่ออยู่กับกรรมฐานที่เราปฏิบัติในกองนั้นๆครับ

    เรื่องอื่นๆ ที่ปรากฏเข้ามา อย่าไปสนใจ ถ้าไปสนใจ หลุดจากกรรมฐานที่เราปฏิบัติโดยไม่รู้ตัว จะโดน กิเลส อุปทานหลอกเอาไม่รู้ตัว ขวางผลการปฏิบัติครับ

    แนะนำว่า จะเกิดอะไรก็แล้วแต่ เห็นอะไรก็แล้วแต่ ให้จดจ่ออยู่กับกรรมฐานที่ปฏิบัติ อย่าไปสนใจครับ ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรรมฐาน นะครับ จขกท


    ถ้าเห็นเป็นดวงกลม ๆ เวลาทำสมาธิ เวลาปฏิบัติ เมื่อจิตสงบๆ นี่ บางทีก็อาจจะเป็นดวงกสิณของเก่ามาปรากฏ เป็นนิมิต ก็ได้เหมือนกันครับ

    ถ้าเป็นดวงกสิณ กสิณ แปลว่า เพ่ง มีความหมายว่า เพ่งอารมณ์ ก็ให้ เพ่ง ดวงกสิณนั้น +ภาวนาอย่าให้ขาด ให้จิตสงบ สงบ จากนิวรณ์ห้า สงบจากกิเลส ลงไปเรื่อยๆ ก็จะลงสู่ สมาธิ ฌาน ปฐมฌาน ไปเรื่อยๆ

    แต่ถ้า จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ไม่ระงับอารมณ์ ก็ลงไปสู่ฐานไม่ได้ เพราะไม่สงบ นั้นเองครับ


    แต่ถ้าไม่ใช่ดวงกสิณ เป็น นิมิตอื่นๆ ก็ต้องบอกว่า อย่าไปสนใจ ปล่อยทิ้งไปเลย เพราะจะทำให้เสียเวลา เสียผลการปฏิบัติ พาให้หลงออกหลงทาง เป็น อุปทาน ทำให้สงสัยผลการปฏิบัติ ขึ้นมาอีก

    เอาว่า ปฏิบัติให้มากๆ เดี่ยวก็รู้เอง รู้ด้วยตัวเองครับ
    .
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...