จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    อารมณ์พระนิพพาน
    มันไม่มีอารมณ์อะไรนี่ อารมณ์อย่างเทวดาก็ไม่มีอารมณ์อย่างพรหมก็ไม่มี
    จะมานั่งห่วงว่าคนนั้นจะแก่ก็ไม่มี
    ห่วงว่าคนนั้นจะป่วยมันก็ไม่มี
    ห่วงว่าคนนั้นจะหิวมันก็ไม่มี
    ห่วงว่าคนนั้นจะเหนื่อยมันก็ไม่มี
    มันไม่มีอะไรจะห่วงทั้งหมด อารมณ์มันเฉยๆ ถึงจะเป็นลูก เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นสามี เป็นภรรยา อารมณ์เดิมมันก็ไม่มี
    แต่ความเนื่องถึงกันในอดีตนั่นเป็นเรื่องธรรมดา
    แต่ขึ้นมาบนนี้อารมณ์มันปล่อยหมด
    แต่ทว่า คำว่า พันธะ ยังมีอยู่นิดหนึ่งคือ
    ห่วงพวกที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์
    แต่ห่วงแล้วจิตมันก็ไม่ทุกข์หรอก
    มีกังวลอยู่นิดเดียวว่า ทำอย่างไรเขาจึงจะเป็นพระอรหันต์
    พระองค์อธิบายว่า ขณะที่ทรงขันธ์ ๕ อยู่
    ให้ทำจิตเหมือนกับอยู่ที่นิพพาน
    แต่ทว่ากิจที่จะต้องทำก็คือ ภาระเกี่ยวกับขันธ์ ๕
    ถือว่าเราทำเพื่อมันทรงอยู่ เพราะมันยังไม่ดับ แต่อย่ามีอารมณ์กังวล
    มันอยากกินก็ให้มันกิน มันอยากขี้ก็ให้มันขี้ มันอยากนอนก็ให้มันนอน
    ทำสภาวะเหมือนกับว่า ร่างกายเหมือนเสือตัวร้ายที่เราเลี้ยงไว้
    แต่เรา กำลังจะกระโดดหนีเสือ แต่มันยังไปไม่ได้ เมื่อเราอยู่กับเสือก็มีความ รังเกียจเสือ เราให้มันกินเพราะความจำใจ
    แต่เนื้อแท้จริงๆ เราไม่ต้องการมันเลย
    แล้วพระพุทธองค์ ทรงสรุปอีกว่า
    ให้พยายามรักษากำลังใจว่า ที่เราทรงขันธ์อยู่ให้เหมือนกับว่า เราละขันธ์ ๕ ไปอยู่นิพพาน คืออย่าให้มีอารมณ์ยุ่ง หน้าที่ก็ให้มันเป็นหน้าที่ จิตจงอย่ายุ่ง ทำทุกอย่างเพื่อเราละโลกนี้ เทวโลก พรหมโลก ซึ่งเหมือนพยัคฆ์ร้ายที่คอยทำอันตรายเรา เราต้องการอย่างเดียว คือ พระนิพพาน
    บทความตอนหนึ่ง พระราชพรหมยาม หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    นิพพาน
    โดย พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    นิพพาน คำว่า นิพพานนี้เขาแปลว่า ดับ ท่านจัดให้หลายประเภท ด้วยกัน คือ
    ๑. ดับกิเลส มีเบญจขันธ์เหลือบ้าง เรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน
    คือยังไม่ตาย แต่จิตเป็นนิพพาน
    ๒. ดับกิเลส โดยไม่มีเบญจขันธ์เหลือบ้าง เรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพาน
    คือตาย แล้วจิตเป็นสุขอยู่แดน นิพพาน
    ***********************************
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2015
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ถื อ ศี ล ไ ด้ บุ ญ อ ย่ า ง ไ ร

    . เมื่อเราถือศีลก็เท่ากับว่าเราเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ คือ

    .ศีลข้อที่หนึ่ง เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตผู้อื่น

    ศีลข้อที่สอง เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทรัพย์ผู้อื่น

    .ศีลข้อที่สาม เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ครอบครัว

    .ศีลข้อที่สี่ เป็นการให้ความจริงใจแก่ผู้อื่น

    .ศีลข้อที่ห้า เป็นการให้ความปลอดภัยแก่ทุกๆสิ่ง

    .ผู้รักษาศีลจึงได้บุญจากการรักษาศีล

    . ศีลจะช่วยชำระใจของผู้รักษาศีลให้สะอาดบริสุทธิ์

    ********************************
    เจริญธรรม
     
  3. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีทุกๆท่าน

    ขอขอบพระคุณพี่ต้อย(supatorn)มาก
    ที่ไม่ทิ้งกระทู้ ไม่ทอดทิ้งกัน ขอขอบพระคุณมาก จริงๆ
    โมทนาสาธุ
    ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ..สาธุ
    ภูทยานฌาน
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2016
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    *************************
    ขออภัยที่ทําให้รกกระทู้ค่ะ เพราะบางทีก็ไม่ตรงจุดประสงค์ของ"จิตพร้อม ภัยพิบัติ"
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    เปิดดูไฟล์ 3382832

    สติ
    โดย หลวงปู่ขาว อนาลโย

    วัดถ้ำกองเพล เมษายน ๒๕๑๑
    ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู


    การ ฟังธรรมก็เหมือนกับการประกอบทัพสัมภาระคือเตรียมเครื่องสัมภาระทั้งหลาย เพื่อจะลงมือทำการทำงาน ครั้นเตรียมมาแล้วเครื่องกลเครื่องไกอะไรก็ดีถ้าไม่ทำก็ขึ้นขี้สนิมเปล่าๆ ฉันใดก็ดี การสดับตรับฟังโอวาทคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เช่นกันพระพุทธเจ้า เป็นแต่ผู้บอกทางให้เท่านั้นแหละ พวกเราครั้นเชื่อต่อคำสอนของพระองค์แล้ว เป็นผู้ลงมือดำเนินการ เราเองจะทำด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้นจะว่าโดยย่อๆ เท่านั้น อาตมาไม่มีคำพูดหลาย เพราะอยู่ป่าอยู่ดง จะว่าให้ฟังย่อๆ พอเป็นหลักดำเนินปฏิบัติของพวกเราทั้งหลาย

    ศาสนาคำสั่งสอนของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่ในตู้ตั้งอยู่ในที่ต่างๆ หรือบนใบลานนั้นน่ะก็ดี อันนั้นเป็นเครื่องบอกทางที่จะดำเนินตาม ต้นธรรมแท้ๆ ของพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่จำเพาะใคร จำเพาะเรา แก่นของธรรมแท้ๆ อยู่ที่สติ ให้พากันหัดทำสติให้ดี ให้สำเหนียก ให้แก่กล้า สติทำเท่าไรไม่ผิด สตินี่ ทำให้มันมีกำลังดีแล้ว จิตมันจึงจะล่วง เพราะสติคุ้มครองจิต

    ตัวสติก็คือจิตนั่นแหละ แต่ว่าลุ่มลึกกว่า ครั้นใจนึกขึ้นจึงเป็นตัวสติ ก็ใจนั่นแหละเป็นผู้นึกขึ้น เรียกว่าตัวสติ ถ้ารู้นึกขึ้นนั้นแหละสติตัวสติก็เป็นใจ อันเดียวกันนั่นแหละ
    เพราะ เหตุนั้นพวกเราควรอบรมสติ ครั้นทำสติให้มีแก่กล้า ทำให้มันดีแล้ว ไม่มีพลาด ทำก็ไม่พลาด พูดก็ไม่พลาดคิดก็ไม่พลาด ย่อมถูกไม่ผิด เพราะการทำเอาเอง

    ธรรม แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์อยู่กับสติอันเดียว พระพุทธเจ้าว่าแล้วในพระโอวาทปาฏิโมกข์ไม่ใช่หรือ บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ท่องเที่ยวอยู่บนพื้นปถพี รอยเท้าสัตว์ทั้งหลายไปลงอยู่ในรอยเท้าช้างอันเดียว มีรอยเท้าช้างเป็นใหญ่กว่าเขาเสียหมด ฉันใดก็ดี ธรรมะคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นอยู่ที่สติ

    กุศลและธรรม ทั้งหลาย คุณงามความดีทั้งหลาย จะเกิดขึ้นเพราะบุคคลอยู่กับสติอย่างเดียว บุญกุศลเค้ามูลกุศลทั้งหลายมาสโมสรมารวมอยู่ในสติ สติเป็นใหญ่ เพราะเหตุนั้นพึงรู้อย่างนี้ว่าสติเป็นแก่นธรรม แก่นธรรมมีอยู่สำหรับทุกคน พุทโธมีอยู่ทุกคนทีเดียว พุทธะผู้ตรัสรู้ของจริงนั้น ผู้จะรู้เท่าความจริงทั้งหลายมีอยู่ทุกรูปทุกนามแต่ว่าเรามันหลง จิตของเราเปรียบอุปมาเด็กอ่อนแอทีเดียว เพราะเหตุนั้นแหละ สติเปรียบเหมือนพี่เลี้ยงก็เจ้าของของจิตนั่นแหละ เมื่อมันนึกขึ้นก็แม่น (= คือ) สตินี่แหละ

    สตินั่นอบรมจิต ครั้นอบรมจนจิตรู้เท่าตามความเป็นจริงแล้ว มันจึงหายความหลงพบความสว่าง ความหลงนั้นก็คือไม่มีสติ ครั้นมีสติคุ้มครอง หัดไปจนมันแน่วแน่แล้ว ให้มันแม่นยำให้มันสำเหนียกแล้ว มันก็จะรู้แจ้งทุกสิ่งทุกอย่าง

    (กรุณาอ่านต่อข้างล่างค่ะ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2016
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    (อ่านต่อค่ะ)

    สติ เป็นเครื่องตี คือตีสนิมของจิต
    ดวงจิตมีความหลงเรียกว่าอวิชชา จิตนั่นแหละมันหลง ความหลงคืออวิชชา ขี้สนิมมันก็อยู่กับอวิชชา คือที่มันหลงนั้นขี้สนิมโอบมัน แต่ก่อนจิตผ่องใส พระพุทธเจ้าจึงว่า จิตเดิมธรรมชาติเลื่อมประภัสสร แต่อาศัยอาคันตุกะกิเลส คือ รูป เสียงกลิ่น รส เครื่องสัมผัสทั้งหลายเข้ามาสัมผัสแล้ว มันจึงหลงไปตาม จึงเป็นเหตุให้จิตนั้นเศร้าหมองขุ่นมัวจึงไม่รู้เท่าตามความเป็นจริงไป

    ปัจจัย ของอวิชชาความโง่เหมือนกันกับเหล็ก เหล็กนั้นมันก็ดีๆ อยู่นั่นแหละแต่สนิมก็เกิดขึ้นในเหล็กนั่นเอง เมื่อเขาตีสนิมออกแล้วจึงเป็นดาบคม ขัดเกลาแล้วจึงเป็นดาบคมใช้การได้ เมื่อไม่ตีมันก็อยู่อย่างนั้น จนขี้สนิมกินมากก็ใช้การไม่ได้ จิตของเราก็ดี อาศัยสติเป็นผู้ขัดผู้เกลา อาศัยสติเป็นผู้คุ้มครอง เชื่อสติเชื่อมั่น

    อัน ที่จริงอาคันตุกะกิเลสก็ไม่เป็นปัญหาที่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสภายนอกไม่เป็นปัญหา ข้อมูลรากเง่าของมันก็คือ กามาสวะ ภวาสวะ วิภวาสวะ อันนี้เป็นอนุสัยเป็นสนิมของมันเป็นสนิมหุ้มห่อจิตให้มืดมนอนธการ เช่นนี้แหละ เมื่อเราหัดสติทำสติให้ดีแล้ว สู้มีกำลังแล้ว จิตมันก็จะรู้เท่าต่อความเป็นจริง ครั้นมีสติแล้ว สัมปชัญญะ ความรู้ตัวพร้อมก็เจริญ สัมปชัญญะก็ดวงปัญญานั่นแหละญาณก็ว่า ปัญญาก็ว่า ความรู้ตัวพร้อมกับสติทั้งสองอย่างนี้เป็นคู่กัน พอสติระลึกขึ้นแล้ว สัมปชัญญะก็รู้ว่าผิดหรือถูก รู้พร้อม ถูกก็รู้พร้อม ผิดก็รู้พร้อม
    เมื่อ เราอบรมสติดีแล้ว มันจะมีกำลังความสามารถ สามารถทุกสิ่งทุกอย่าง สามารถจะแทงตลอดได้ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่าจะทำอันใดก็ดี คิดดูเถอะน่ะ เวลาไฟไหม้บ้านเขายังเกิดกำลัง สามารถหอบเอาของหนักๆ ออกจากไฟได้ หมดไฟไหม้แล้ว ไฟดับแล้ว สามสี่คนไปหามของนั้นก็ไม่ไหว จิตก็ปานนั้นแหละมีกำลังมาก เพราะเหตุนั้น เมื่อเราหัดดีแล้วเหาะได้เหมือนพระโมคคัลลาน์มุนีก็มี แล้วพวกเราสงสัยว่า เหาะก็คือท่านนั่งอยู่นี่แหละแล้วจิตท่านไปสวรรค์ไปนรกไปนั่นๆ ตัวท่านนั่งอยู่ที่นี่ อันนั้นก็แม่น แต่ว่าไปได้จริงๆ เหาะเอากายไปด้วย คิดดูเถอะ จะมัวกลัวอะไรกับตาย ให้พากันอบรมจิต

    พวกเรานี้อะไรๆ ก็ดีแล้ว สมบูรณ์บริบูรณ์ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พวกศรัทธาทั้งหลายก็นับว่าเป็นผู้สูงอยู่แล้ว ศรัทธาก็มีอยู่แล้ว ได้สดับตรับฟังแล้วก็มีอยู่แต่จะทำเอาเท่านั้น ให้พากันทำเอา มันจะไปไหนเสีย ธรรมทั้งหลายมันก็อยู่นี่แหละ แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์นั้น เหล่านั้นเป็นเปลือกเป็นนอก แก่นมันก็คือสติ ให้ทำเอา สตินั่นแหละ ทำให้มีกำลัง เมื่อสติมีแล้วมันก็รักษาจิตของมัน มันไม่ให้ไปออกซ้ายออกขวา สติคอยขนาบเข้ามาๆ สติแก่กล้า จิตย่อมทนไม่ได้ เมื่อทนไม่ได้มันก็สงบลง ครั้นสงบลงแล้วมันก็รู้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีปัญญา มันก็ส่ายไปมา เพราะมันไปหลายทาง จึงไปหลายทางเพราะเป็นอาการของมัน มันไปตามแง่ของมัน คือเวทนามันเป็นแสงของจิต สัญญาก็เป็นแสงของจิต ความปรุง (= สังขาร) นั้นก็เป็นแสงของจิต วิญญาณ เครื่องรู้ทวารทั้งหกก็เป็นแสงของจิตออกไปทั้งนั้น ผู้รู้แท้ๆ ถ้าจะสมมุติว่าตนก็แม่น เจ้าจิตนั้นแหละแม่นเจ้าสตินั้นเหละที่สมมุติว่าตนนอกจากนั้นเป็นอาการทั้งนั้น
    รูป (กาย) อันนี้ก็เป็นแต่เพียงธาตุประชุมกัน ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟประชุมกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นเมื่อจิตสงบลงไป เวทนาก็ดับแล้ว พอมันสงบลงไปแล้ว คนก็ไม่มี อะไรเล่ามันจะมาเจ็บมาทุกข์ อะไรเล่ามันจะมาจำ คนไม่มี มันก็สว่างๆ ขึ้น เมื่อจิตสงบลงมันก็สว่างโร่ขึ้นมา ว่างๆ ว่างๆ จิตสงบลงก็ว่าง ความจำหมายก็ไม่มี ความปรุงแต่งขึ้นอีกก็ไม่มี ที่จะรู้วิญญาณ รู้ไปตามทวารทั้งหกก็ไม่มี มันดับไปสิ้น เท่ากับว่าของไม่มีอยู่นี้ แล้วของที่มีอยู่นี้เป็นของหนัก ครั้นใครยึดใครถือไว้ก็หนัก ไปถือขันธ์ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ใครยึดไว้ผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือหาบอันหนัก พระพุทธเจ้าจึงว่า ขันธ์ห้าเป็นภาระอันหนักเน้อ

    ขันธ์ห้าก็รวมทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณใครถืออันนี้ ใครถือไปเป็นทุกข์ เมื่อผู้ว่างภาระคือวางไม่ยืดถือว่าขันธ์ห้านี้เป็นตัวเป็นตนแล้ว ไม่ยึดถือแล้วได้ชื่อว่าเป็นผู้วางภาระ ก็มีความสุข จะนั่ง ยืน เดิน ก็มีความสุข ไม่ถือเอาภาระคือถือเอาขันธ์ห้านี้ เพราะรู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว ไม่ถือเอา ไม่ยึดเอา ได้ชื่อว่าเป็นผู้ขุดตัณหาขึ้นได้ทั้งราก เป็นผู้เที่ยงแล้ว เที่ยงว่าจะเข้าสู่ความสุขตามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เที่ยงแล้ว เมื่อจิตมันรวมแล้ว มันก็จะรู้ตามความเป็นจริง มันจะวางขันธ์นี้ เมื่อมันรวมนั่นแหละ ถ้าจิตรวมแล้วมันก็วาง วางแล้วก็มีแต่ว่างๆ แล้วค้นหาตัวก็ไม่มี เมื่อค้นหาตัวไม่มีแล้วก็อันนั้นแหละ

    พอจิตสงบ ลงแล้ว ปัญญาก็เกิดขึ้นของมันเอง ครั้นจิตสงบถึงฐานถึงที่ ถึงอัปปนาแล้ว ปัญญาเกิดขึ้นเองนะแหละ ถึงตอนนั้น แม้จิตมันฟุ้งขึ้น ฟุ้งแล้วมันก็ไป มันไม่ยึดอันใด แม้แสงสว่างอันสว่างหมดทั้งโลกก็ตาม มันไม่ไปยึด มันสาวเข้าหาคนไหน คนอยู่ที่ไหนมันจึงมาอวดว่าถือตนถือตัว อยู่ไหนเล่า สาวเข้าไปๆ อันนั้นหรือคน อันนี้หรือคน หาไม่มี ถ้าจิตรวมลงอยางนั้น ก็ได้อาศัยสติควบคุมให้มันอยู่ ไม่ให้มันไป จิตรวมลงอย่างนั้น แจ่มใสทีเดียว ไม่ใช่นั่งง่วงนอน ง่วงนอนไม่ใช่นิสัยของสติ สตินั้นแจ่มใส แจ่มใสอย่างนี้แหละเรียกว่า สัมมาสติ เป็นสมาธิอันถูกต้อง อันนั้นแล้ว สติก็แม่น (= คือ) จิตนั่นแหละเป็นตัวแจ่ม จิตนั่นแหละเป็นตัวสมาธิ จิตนั่นแหละเป็นตัวปัญญา อันเดียวนั่นแหละ มันจะถึงอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาได้ ต้องอาศัยสติควบคุมนั่นแหละ

    ผู้ศรัทธาได้ยินได้ฟังแล้ว ให้พากันตั้งใจทำ มันไม่อยู่ที่อื่นหนา ไม่ต้องไปหาเอามาจากที่อื่นหนา อยู่จำเพาะใคร จำเพาะเรานี้นะ ไม่ต้องไปคว้าเอาที่ไหนดอก ทำเอานั่นแหละ นึกขึ้นก็พอ ปะกันโลด (= โดยเร็ว) เห็นกันโลด นึกขึ้นก็เห็นกันโลด แล้วก็คุมสติเข้าเอง มันจะรู้เอง ปัจจัตตัง หรือ สันทิฏฐิโก จะเห็นเอง อกาลิโก ไม่อ้างกาลเวลา จิตเราหายจากราคะแล้ว จะรู้จำเพาะตนน่ะแหละ จิตเรายังมีราคะ ก็จะรู้ จิตมีโทสะก็จะรู้ จิตหายโทสะก็จะรู้ จิตมีโมหะ ความหลงงมงาย ก็จะรู้ จิตหายโมหะก็จะรู้ จิตซบเซาก็จะรู้ จิตฟุ้งซ่านก็จะรู้ รู้ได้แล้วก็จะได้ปลดเปลื้องแก้ไข ผู้ว่างจิตเบาบางแล้วก็จะเพิ่มความยินดีเพิ่มความศรัทธาขึ้น รีบเร่งความเพียรเข้าอีก เอาเท่านั้นแหละ พากันทำเอา ไม่อ้างที่อ้างฐานดอก อยู่ที่ไหนก็ทำได้ เวลาจิตมันสงบสติมันก็มีอยู่นั่นแหละ


    ที่มา : (นพ.อวย เกตุสิงห์ ถอดจากเทปบันทึกเสียง)


    http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7429

    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กุมภาพันธ์ 2015
  8. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ไม่เป็นไรครับ ไม่ทำให้กระทู้รก
    แต่กลับดีเสียอีก จะได้มีทั้งธรรมะและก็ขำขันในเวลาเดียวกัน
    จิตพร้อม เน้นเฉพาะเรื่องจิต เท่านั้น
    หากจิตใครไม่พร้อม ก็ไม่เป็นไร ขำๆไปก่อน ดีกว่าแบกทุกข์ เป็นไหนๆ
    นานมากแล้ว ที่ไม่ได้คุยกัน ก็เลยถือโอกาสนี้ คุยทางนี้ซะเลย

    หวังว่าคุณพี่สบายกายใจดีนะครับ ยังคงเป็นห่วงเสมอเลย
    กายหยาบ ต่างก็ทรงไปตามสภาพ แต่พยายามเน้น
    คือ ให้ความสำคัญเรื่องภายในมากกว่าภายนอก
    นั่นหมายถึง เรื่องจิต
    ส่วนเรื่องภายนอกจิตนั้น ไร้สาระ หาประโยชน์ได้ไม่
    หากใครสนใจเรื่องนอกจิตตน หรือ เรื่องมิใช่เรื่องจิตตนนั้น
    ก็เห็นมีแต่ทุกข์ลูกเดียว ไม่เชื่อ ก็ลองตามดูกันดิ
    เช่น ตามจิตสังขาร(สังขารขันธ์)
    หรือ ลองตกอยู่ในโลกแห่งความคิดของตนกันดูดิ
    คนส่วนใหญ่ เป็นทุกข์ เพราะจิตสังขารแห่งตน เป็นเหตุ
    หรือ เป็นคนที่ชอบคิดมาก
    คิดมากก็ทุกข์มาก คิดน้อยก็ทุกข์น้อย
    ส่วนคนที่ไม่วิ่งตามความคิดนึกของตนเอง
    คือจะไม่ปรุงแต่งต่อไป นั่นเอง เราจึงไม่ทุกข์เลย

    การไม่รู้เท่าทันในเรื่อง จิตสังขารตนนั้น มิใช่ ง่าย
    แต่ก็ไม่ยาก สำหรับคนที่ฝึกจิตมาดี คือ ฝึกสติมาดีแล้ว
    นอกนั้น ไม่มีทางตามทันแน่

    เพราะฉะนั้น การปล่อยวางจากทุกข์ ที่มาจากอายนะนอก-ใน จึงยาก
    และไม่สงสงเลยว่า ทำไม คนส่วนใหญ่
    โดยเฉพาะ ไม่เคยเจริญกรรมฐานเลย
    ถึงได้ทุกข์ใจมากกว่าคนที่เคยทำกรรมฐานมาบ้างแล้ว
    ยิ่งคนทำกรรมฐานได้ คือ พอจะได้มรรคได้ผลกับเขาบ้าง
    จากที่เคยมีทุกข์มาก ก็จะลดน้อยหรือเบาบางลงไปมากทีเดียว
    หากผู้ปฎิบัติธรรมท่านใด สามารถข้ามไปถึงแดนพระนิพพาน
    หรือ นิพพานบนดินนั้น จักไม่มีคำว่า ทุกขเวทนาทางจิตเลย
    แต่จะมีเพียงทุกขเวทนาทางกายเพียงอย่างเดียว

    ขอให้ผู้ปฎิบัติธรรมทุกท่าน อย่าไปสนใจสิ่งนอกจิต หรือมิใช่เรื่องจิตตนเอง
    เพราะอะไร
    เพราะว่า นอกจาก ไม่เกี่ยวกับมรรคผลของตนเองแล้ว
    ยังทำให้การปฎิบัติของเรานั้น ไม่ได้ผลเลย หรืออาจได้ผล แต่ช้ามาก
    เพราะฉะนั้น รีบๆภาวนา อย่าไปสนใจอย่างอื่น
    ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่งได้เลย นอกจาก คุณพระรัตนตรัย
    แม้นกระทั่ง ขันธ์๕หรือร่างกายของตน (บางครั้ง)ก็ยังหวังพึ่งไม่ได้เลย
    ขอให้จิตทุกท่าน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุดทางด้านจิตใจของทุกท่านเทอญ..สาธุๆๆ
    และขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ สาธุๆๆ

    ภูทยานฌาน



     
  9. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สำหรับผู้ปฎิบัติธรรม ใหม่ๆ
    ก็พยายามอยู่กับกายใจของตน มากๆ

    แต่สำหรับผู้ที่มีสติ มีสมาธิหรือมีปัญญา(บ้าง)แล้ว
    ก็พยายามส่งจิตไปหาคุณพระรัตนตรัย บ่อยๆ
    เพราะจะได้มีสติปัญญามาก คือ จะมีกำลังใจมาก
    หากเรามีกำลังใจมาก มันก็ง่าย ต่อการปล่อยวาง เป็นต้น

    ยิ่งจิตผู้ใด ถึงคำว่า อริยะแล้ว
    ต่อไป จะต้องเข้าไปให้ถึง คำว่า คุณพระรัตนตรัยด้วย
    ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ก็ยากที่เราจะมีกำลังใจมากพอ
    โดยเฉพาะ การปล่อยวาง ในเรื่องขันธ์๕ของตนเอง
    ในระหว่างปฎิบัติ หมายถึง ฝึกรับอารมณ์เบื้องสูงดังที่กล่าวมาแล้วนั้น
    มิใช่ของง่าย ที่ใครๆจะทำได้ นอกจาก จิตที่เป็นสมาธิค่อนข้างสูงแล้ว
    ใจเราต้องปราศจาก คำว่า อกุศลจิตใดๆด้วย
    ถ้าไม่งั้นแล้ว จะรับไม่ได้เลย
    เพราะอารมณ์นี้เป็นอารมณ์เบื้องสูง
    พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณนั้น เป็นของสูงค่าหรือล้ำค่ายิ่ง
    ทุกท่านทราบเป็นอย่างดี ทั้งผีสางเทวดาหรือพรหม ยังเกรงใจเลย
    เพราะฉะนั้น อย่าทำเล่นๆ นอกจากจะเสียเวลา ไม่ได้อะไรเลย
    ยังปรามาสหรือล่วงเกินพระรัตนตรัยด้วย
    ขอให้ทุกท่าน ทำด้วยความเคารพและความจริงใจ แท้ๆ ด้วย จึงจะได้ผลดี

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม...สาธุๆๆ
    ภูทยานฌาน
     
  10. Kim_UoonSo

    Kim_UoonSo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    518
    ค่าพลัง:
    +5,937
    [​IMG]

    <iframe width="420" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/KyPmSEOQyYw" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>



    "ธัมมจักกัปปวัตนสูตร"

    หรือเขียนอย่างภาษามคธว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร (ฟัง) เป็นปฐมเทศนา เทศนากัณฑ์แรกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัญจวัคคีย์ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสธัมมจักกัปปวัตนสูตรนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ก็ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะนับเป็นพระสงฆ์ สาวกองค์แรกในพระพุทธศาสนา วันนั้นเป็นวันเพ็ญกลางเดือนอาสาฬหะหรือเดือน 8 เป็นวันที่พระรัตนตรัยครบบริบูรณ์ บังเกิดขึ้นในโลกเป็นครั้งแรก คือมี พระพุทธ พระธรรม
    พระสงฆ์ครบบริบูรณ์




    ธัมมจักกัปปวัตนสูตร มีเนื้อหาแสดงถึงการปฏิเสธส่วนที่สุดสองอย่าง และเสนอแนวทางดำเนินชีวิต โดยสายกลางอันเป็นแนวทางใหม่ให้มนุษย์ มีเนื้อหาแสดงถึงขั้นตอนและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงอริยสัจทั้ง 4 คืออริยมรรคมีองค์ 8 โดยเริ่มจากทำความเห็นให้ถูกทางสายกลางก่อน เพื่อดำเนินตามขั้นตอนการปฏิบัติรู้เพื่อละทุกข์ทั้งปวง เพื่อความดับทุกข์ อันได้แก่นิพพาน ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา



    ปล. บทธัมมจักรฯ นี้ เป็นบทสำคัญเป็นปฐมเทศนากล่าวถึงมรรคที่ชัดเจน บทสวดบทนี้มีพลังมาก มารจะไม่ชอบฟัง ใครได้สวดกำลังจิตจะแกร่งขึ้นเพราะบทนี้จะเสริมกำลังแก่ผู้สวดค่ะ กำลังเน้นสวดบทนี้จึงนำมาฝากทุกท่านค่ะ ^_^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กุมภาพันธ์ 2015
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    เกิดอะไรขึ้นกับภาพนี้ !!!


    somethingwrong.jpg



    . .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กุมภาพันธ์ 2015
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ขอให้เจริญในธรรมทุกๆท่านค่ะ
    หลวงพ่อคำเขียน13Popchart.jpg
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกคนเมื่อตื่นใหม่ๆ ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน ถ้านึกไม่ไหวเอาพระที่คอนี่แหละ จะเป็น พระคำข้าว พระหางหมาก จะเป็นพระวัดไหนก็ตาม เขาทำเหมือนกันหมดแทนพระพุทธเจ้าเหมือนกันนะ อาราธนาท่าน

    อันดับแรกตั้ง นะโม แสดงความเคารพด้วยความจริงใจ หลังจากนั้นอธิษฐานตามความชอบใจ ต้องการซื้อง่ายขายคล่องก็ได้ รับราชการก็ได้ตามใจชอบ อย่าลืมว่า นั่นคือนึกถึง พระพุทธเจ้า ถือว่าเป็นบันใดขั้นแรกที่เราจะไปพระนิพพาน และนอกจากนั้นเราตั้งใจคิดไว้ว่า ถ้าเราตายเมื่อไหร่ขอไปนิพพานเมื่อนั้น เอาแค่นี้นะ

    ถ้ากลุ่มอื่นตาย กำลังใจมันไม่ถึงนิพพานใช่ไหม อย่างเลวก็ไปค้างบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกอาจสูงกว่านั้นก็ได้นะ แล้วเวลาที่ตาย ใจมันไป ร่างกายมันอยู่ ใจที่อยากจะไปนิพพานนี่มันจะยังมีอารมณ์อยู่ ถ้าฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเพียงจบแค่เดียว อย่างน้อยก็เป็นพระ ไม่ใช่พระโสดาบันอย่างมัฏฐกุณฑลี เพราะของเราดีกว่า เรานึกถึงทุกวันใช่ไหม บุญทุกอย่างเราทำแล้ว นี่ถือว่าเป็นที่พักขั้น แรกของเรา หรือว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน

    ถ้าหากว่านึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย นึกถึงพระที่คอด้วย ขอลาภสักการะจากท่าน แล้วพร้อมกันนั้นเราคิดว่า ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ขึ้นชื่อว่าความทุกข์มาจากไหน มาจากการมีร่างกาย ถ้าเราไม่มีร่างกายอย่างนี้ เราก็ไม่มีทุกข์อย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าร่างกายเลวๆ อย่างนี้จะไม่ขอมีอีกต่อไป เมื่อตายจากนี้แล้วขอไปนิพพาน ถ้าคิดอย่างนี้ทุกวันมันมีการสะสมตัว ถ้าตายวันไหนวันนั้นจะเป็นพระอรหันต์ไปนิพพานทันที นี่เวิธีใช้ง่ายๆ แบบนี้ญาติ หรือว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน ถ้าหากว่านึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย นึกถึงพระที่คอด้วยขอลาภสักการะจากท่านแล้วพร้อมกันนั้นเราคิดว่า ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ขึ้นชื่อว่าความทุกข์มาจากไหน มาจากการมีร่างกาย ถ้าเราไม่มีร่างกายอย่างนี้เราก็ไม่มีทุกข์อย่างนี้
    (คัดจากหนังสือ ธรรมปฏบัติ เล่ม ๙ โดยพระราชพรหมยาน หน้า ๗๘)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LP Ruesri2.jpg
      LP Ruesri2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.9 KB
      เปิดดู:
      61
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    คาถารวมจิต

    อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง

    เวลาที่เจริญพระกรรมฐานในคืนวันที่ ๒๔ กรกฏาคม ๒๕๐๖ เวลา ๒๐.๓๐ น. องค์
    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาโปรดเมตตาบอก ท่านบอกว่าให้ทำให้แจ้งด้วย
    ทำทุกขณะจิตที่จิตพล่าน หมายความว่า ถ้าเวลาใดที่จิตเกิดอาการฟุ้งซ่านขึ้นมา ให้
    ทิ้งคำภาวนาอย่างอื่นเสียให้หมด กำหนดลมหายใจเข้าออก ว่าคาถานี้ตามสบายๆ
    กำลังของสมาธิจะรวมตัวได้รวดเร็ว จำเข้าไว้ให้ดีก็แล้วกันนะ คาถามีว่า อิติสัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LP Ruesri1.jpg
      LP Ruesri1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.2 KB
      เปิดดู:
      58
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    คาถาเมตตา

    "พระอรหัง สุคโต ภควา นะเมตตาจิต"

    คาถาบทนี้ หลวงพ่อบอกให้ใช้ในเวลาที่จะไปติดต่อผู้อื่น เพื่อขอความช่วยเหลือ โดย
    ก่อนจะออกจากบ้าน ให้นึกใบหน้าของผู้ที่เราจะไปหาก่อน แล้วภาวนา คาถาบทนี้ไป
    ด้วย เมื่อไปพบแล้วจะสำเร็จผลตามที่ต้องการ คาถานี้หลวงพ่อบอกว่า ท่านได้จาก
    หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LP Ruesri1.jpg
      LP Ruesri1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.2 KB
      เปิดดู:
      59
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    พรหมวิหาร ๔
    พรหมวิหาร ๔ นี่ถ้ายืนลงในจิตของใคร คนนั้นลงนรกไม่เป็น
    ลงไม่ได้แน่นอน เขาไม่ให้ลง ถ้าลงไปเขาขับขึ้นมา ลงไม่ได้
    ไม่มีสิทธิ์ คือว่าอารมณ์ของเราให้ทราบอยู่ ให้มีเมตตาจิต
    เราจะไม่เป็นศัตรูกับใครเลยในโลกทั้งคนและสัตว์
    เราจะเป็นมิตรที่ดีของเขา แต่ว่าเขาจะเป็นศัตรูกับเราน่ะ
    เป็นเรื่องของเขา เราหวังดีแต่เขาหวังร้าย อย่างนี้เราต้อง
    ใช้อุเบกขาวางเฉยไว้ ถ้าเราพูดกับเขา เขาโกรธ เราก็หยุดพูด
    เราใช้อุเบกขาตัวท้าย แต่ว่าเราไม่ได้โกรธ

    กรุณา ความสงสาร จิตคิดไว้เสมอว่าใครเขาทุกข์ยากลำบาก
    ถ้าไม่เกินวิสัยของเราที่จะช่วยได้ เราพร้อมที่จะช่วย ถ้าเรา
    ช่วยได้ด้วยทรัพย์สิน เราจะให้ทรัพย์สิน ทรัพย์สินไม่มี
    เราจะให้กำลังกาย กำลังกายให้ไม่ได้ เราให้ด้วยปัญญา
    แต่ทั้งนี้ถ้าเขารับความช่วยเหลือจากเรา ถ้าเราให้การ
    ช่วยเหลือกับเขา เขาโกรธเรา เราต้องวางเฉย เราไม่โกรธตอบ
    เราไม่ช่วยเพราะช่วยไม่ได้
    ต่อมา มุทิตา เราไม่มีจิตคิดอิจฉาริษยาใคร ใครได้ดี
    เรายินดีด้วย ถ้าอารมณ์ ๔ ประเภทนี้ทรงตัวอยู่จริง ๆ
    ศีลก็บริสุทธิ์ ศีลก็ไม่บกพร่องเลย ถ้าเราจะทำสมาธิ
    สมาธิก็ทรงตัว อารมณ์แจ่มใส ไม่มีมัวหมอง ถ้าสมาธิ
    ไม่มัวหมอง ปัญญา คือ วิปัสสนาก็เกิด เท่านี้เอง

    จากหนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๔ หน้าที่ ๖๐
    โดย...หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [๒๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย กรรม ๔ ประการนี้ เรากระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศให้ทราบ กรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ กรรมดำมีวิบากดำก็มี กรรมขาวมีวิบากขาวก็มี กรรมทั้งดำทั้งขาวมีวิบากทั้งดำทั้งขาวก็มีกรรมไม่ดำไม่ขาวมีวิบากไม่ดำไม่ขาว ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมก็มี ฯ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กรรมดำมีวิบากดำเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมปรุงแต่งกายสังขารอันมีความเบียดเบียน ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารอันมีความเบียดเบียน ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันมีความเบียดเบียน ครั้นแล้วย่อมเข้าถึงโลกที่มีความเบียดเบียน ผัสสะอันมีความเบียดเบียนย่อมถูกต้องบุคคลนั้น ผู้เข้าถึงโลกที่มีความเบียดเบียน เขาอันผัสสะที่มีความเบียดเบียนถูกต้องแล้ว ย่อมได้เสวยเวทนาที่มีความเบียดเบียน เป็นทุกข์โดยส่วนเดียว เปรียบเหมือนสัตว์นรก นี้เราเรียกว่ากรรมดำมีวิบากดำ ฯ

    คัดลอกบางตอนจาก
    เล่ม ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต - วรรคที่ไม่สงเคราะห์เป็นปัณณาสก์ - กรรมวรรคที่ ๔
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Buddha.jpg
      Buddha.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.7 KB
      เปิดดู:
      74
    • no secret.jpg
      no secret.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.4 KB
      เปิดดู:
      159
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2015
  20. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ขออนุโมทนาสาธุในคุณงามความดีของคุณ supatorn พี่ต้อย มากๆเลยครับ
    (แอบเห็นมีคนเขียนชื่อบอกไว้แว๊บๆ)

    ปรกติไม่ค่อยได้เข้ามาห้องนี้ วันนี้เกิดอยากเข้ามาอ่านดูรายละเอียดข้างในบ้างว่ามีอะไร
    แล้วได้มาเห็นคุณพี่ supatorn เผยแผ่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจาก
    หลวงพ่อ ผมล่ะดีใจและมุทิตาจิตกับความดีของพี่ด้วยจริงๆครับ ผมไม่สงสัยเลยว่าคนดี
    อย่างนี้จะมีความปรารถนาอันสุงสุดของชีวิตจิตใจไว้ที่ไหน ลูกหลานพ่อเดียวกันย่อมรู้ที่
    หมายและวิธีการที่จะไปให้ถึงฝั่งฝันเหมือนเช่นเดียวกันแน่นอน ขอให้พีี่และผมสมปรารถนา
    ทุกอย่างทุกประการในชาตินี้เหมือนกันครับ วันต่อไปจะแวะเวียนเข้ามาอ่านธรรมะจาก
    หลวงพ่อที่เคารพรักอีกบ่อยๆครับ อนุโมทนาสาธุครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...