เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    หากท่านใดมีเวลาอยากแนะนำให้ไปแสวงบุญที่เขาคิชกูฏแห่งนี้นะครับ แล้วท่านจะสัมผัสได้ถึงพลังบุญที่แรงมากครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • GEDC0629.jpg
      GEDC0629.jpg
      ขนาดไฟล์:
      111.5 KB
      เปิดดู:
      129
    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.5 KB
      เปิดดู:
      105
    • GEDC0567.jpg
      GEDC0567.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.8 KB
      เปิดดู:
      86
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2015
  2. shamankings

    shamankings เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    222
    ค่าพลัง:
    +543
    สวัสดีครับคุณก้อง
    ผมส่งรายละเอียดไปทาง pm เมื่อซักครู่ครับ ถ้าคุณก้องพอจะมีเวลาว่าง ขอความกรุณาช่วยตอบให้ผมด้วยนะครับ

    ขอบคุณมากครับ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เหตุที่ทำให้การทรงสมาธิจิต แล้วอายุยืน เป็นจริงหรือ ขออธิบายว่า

    1 เนื่องจาก การทำสมาธิ จะเป็นการชลอ การทำงานของสมอง สมองทำงานช้าลง ทำให้ร่างกายมีอายุยืนขึ้น

    2 เนื่องจาก การทำสมาธิ จะเป็นการชะลอการ ทำงานของหัวใจและร่างกายทุกส่วน เพราะการเต้นของหัวใจที่ช้าลง ชั่วโมงงานของร่างกายจึงช้าลง เหมือนเครื่องจักรที่ทำงานเบาเรา อายุการใช้งานก็นานขึ้น

    3 เนื่องจากเราทำสมาธิทุกวันวันละ1ชั่วโมง นั่นคือ เราได้แต้มสะสมทุกวันเช่นกันทำให้เรามีอายุยืนนานขึ้นวันละ1ชั่วโมง ถ้าผมทำมา20ปี = 20ปี x300วัน x1ชม = 6000ชม =250วัน
    นั่นคือร่างกายเราจะยืนยาวต่อไปได้อีก250วัน

    4ในทาง กฏแห่งกรรม ผลบุญจากการทำสมาธิ ย่อมทำให้ชะตาชีวิตดีขึ้น เทพพรหมช่วยเหลือค้ำชู หนุนดวงชะตาและอายุไขให้ยืนยาวขึ้น มีกำแพงแก้วจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปกป้อง

    5 จากการเจริญสมาธิ จะทำให้เกิดอำนาจหรือพลังงานแผ่ปกคลุมกายและจิต ทำให้ลดแรงดึงดูดของโลก ปกป้องกายจิตไม่ให้มีแรงหรือพลังอย่างอื่นมาบีบเค้น บังคับหรือดูดพลังของกายและจิตหรือพลังชีวิต ให้อ่อนลง ทำให้อายุไข ร่างกายเรายืนยาวขึ้น

    6 จากพลังของสมาธิจะรักษากาย จิตให้มีกายธาตุที่มีความเสถียร และปรับสมดุลของกายธาตุให้เกิดสมดุลย์

    7 จากพลังของสมาธิจะรักษากาย จิตให้มีพลังงานจากกายและจิตมีความเสถียร และปรับสมดุลของพลังงานจากกายและจิตให้เกิดสมดุลย์

    8 เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม ไม่เบียดเบียน พลังจากกรรมเก่า่ออนกำลังลงเพราะมีพลังจากสมาธิเป็นเกราะแก้ว กรองพลังฝ่ายมืดให้จางลง ทำให้กายจิต มีความเสถียรมั่นคง ทำให้อายุยืนยาวขึ้น

    9 และด้วยกำลังของสมาธิที่ทรงตัว จะเป็นกำแพงแก้วที่ดึงดูเอาพลังแห่งความดีทั้งปวงเข้ามาสู่กายและจิต เช่น พุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ พรมมานุภาพ เทวานุภาพ เข้ามาสู่กายจิตโดยง่าย ทำให้กายจิตทรงพลังทรง อิทธิฤทธิ์ ยืนยง มีอายุยืนยาวครับ

    ฉนั้นการเจริญสมาธิจึงมีผลโดยตรงต่อพลังชีวิตมากนั่นเองครับ

    สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2015
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============================

    ขออธิบายว่า

    - ผู้ที่กำลังมีจิตเข้าสู่โคตรภูญาณของพระโสดาบันแต่เข้าได้แล้ว กับผู้ที่เป็นพระโสดาบัน
    ปฏิมรรคแล้ว มีข้อแตกต่างหรือความแตกต่างระหว่างสภาพจิตและตัวปัญญาวิมุติกันอย่างไรครับ
    ========================
    แตกต่างกัน แต่ก็ไม่มากนักคือใกล้กัน เพราะความก้าวสู่โคตรภูญาณ อาศัยพื้นฐานที่ดีแล้วเป็นฐาน นั่นเอง เมื่อโคตรภูญาณสมบูรณ์ แล้วความเป็นพระโสดาบันก็ปรากฏเกิดขึ้นต่อเนื่อง เป็นโสดาปฏิมรรค สำเร็จเป็นพระโสดาบันทันทีครับ สภาพจิตย่อมขาวสะอาดแล้วระดับหนึ่ง เพราะจะไม่ทำบาปกรรมใดๆอีก มีแต่จะสร้างกรรมดี ให้งอกงามยิ่งๆขึ้นไปครับ จิตมุ่งตรงไปสู่ความดี มีที่สุดคือพระนิพพานครับ

    - แล้วผู้ที่เป็นพระโสดาบันปฏิมรรคแล้ว มีข้อแตกต่างหรือความแตกต่างระหว่างสภาพจิต
    และตัวปัญญาวิมุติกับผู้ที่เป็นพระโสดาบันผลแล้ว อย่างไรครับ?
    ==============
    โสดาปฏิมรรค ยังอาศัยซึ่งความเพียรในการชำระจิตให้ดีงามขาวสะอาดมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ส่วนโสดาปฏิผล ที่ให้ผลนั้นมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับมรรควิธีที่ตนสั่งสมสร้างไว้ ตามพระไตรปิฏก กล่าวว่า ฝ่ายปฏิผลนั้น ย่อมหมายถึง ความเป็นโสดาอรหันตผล สกิทาอรหันตผล อนาคมีอรหันตผล อรหันตะอรหันตผล หมายความว่า ฝ่ายปฏิผลนั้นย่อมให้ผลเมื่อท่านได้เจริญฝ่ายปฏิมรรคสมบูรณ์แล้ว คือก้าวล่วงสู่อรหันตปฏฺิมรรคได้แล้ว ผลแห่งโสดาอรหันตผลก็ย่อมปรากฏ และถัดไป สกิทาคามี อนาคามี อรหัตะอรหันตผลก็ปรากฏ
    ฝ่ายปฏิผล ย่อมปรากฏในขณะเจริญปฏิมรรคอยู่ก็มี แต่เป็นผลที่เกิดแค่เพียงส่วนน้อยนิด ผลส่วนใหญ่จะให้ผลเมื่อสำเร็จอรหันตปฏิมรรคแล้วทั้งสิ้น ทำให้จิตและปัญญามีความรอบรู้ และเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันว่า สิ่งที่ตนปฏิบัติมานั้นถูกต้องถูกทางแล้วม จึงให้ผลเป็นเยี่ยงนี้เป็นต้นครับ

    อันสภาพจิตความแตกต่างมีแน่นอน แต่ก็ตอบได้ยาก เพราะความแตกต่างดังกล่าวเป็นเรื่องของเหตุและผล แต่ละเรื่องที่เกิดและปรากฏผล
    แต่ในกรณีของโสดาอรหันตปฏิผล กับความเป็นพระโสดาบัน อันนี้ต่างกันมาก หมายความว่า ความเป็นพระโสดาบันอรหันต์ย่่อมมีสภาพจิตแตกต่างกันมากกับโสดาบันปฏิมรรคเพราะกิเลสยังชำระไม่หมด นั่นเอง เป็นต้นครับ สาธุ


    - จำเป็นหรือไม่ที่ผู้ที่เป็นพระโสดาบันปฏิมรรค เมื่อบรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันปฏิมรรค
    แล้วจะต้องกลายเป็นพระโสดาบันผลสืบเนื่องต่อกันเลย หรือว่าอาจจะมีช่วงเวลาของมรรค
    ผล เป็นตัวกำหนดไว้อีกที ว่าผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันปฏิมรรคแล้วจะยังไม่สามารถ
    กลายเป็นพระโสดาบันผลเลยทันที แต่จะต้องมีการอบรมจิตใจตนเองในธรรมยิ่งขึ้นไปอีก
    ครั้งหนึ่ง จิตถึงจะได้กลายเป็นพระโสดาบันผลอย่างเต็มภูมิในที่สุด หรือไม่อย่างไรครับ?
    ================
    ก็อย่างที่ตอบไปแล้วข้างต้น ความเป็นโสดาบันปฏิผล ย่อมเกิดได้ส่วนน้อย
    แม้ความเป็นสกิาคามีปฏิผลก็เกิดขึ้นได้น้อย เมื่อไหร่ที่เจริญฝ่ายปฏิมรรคสมบูณร์ในขั้นอรหันตมรรคแล้ว นับจากนั้น ฝ่ายปฏิผล จึงจะให้ผลเต็มกำลัง เริ่มตั้งแต่ โสดาบันอรหันตผล สกิทาคามีอรหันตผล อนาคามีอรหันตผล และ อรหัตอรหันตผล เป็นที่สุดครับ

    เพราะฝ่ายปฏิผลนั้นจะให้ผลได้เต็มที่ก็ต่อเมื่อจิตชำระขาวสะอาดบริสุทธิ์แล้วเมื่อนั้นผลแห่งความดีก็จักให้ผลทันทีเพราะจิตมีพละกำลังมากย่อมดึงเอาพลัง
    แห่งความดีหนุนนนำพลังแห่งชีวิต ทำให้จักได้รับผลต่อเนื่องเต็มที่ตราบจนพนะนิพพานครับ นั่นแหละจึงเป็นเหตุให้พระอรหันต์ทั้งหลายต่างซึมซับปฏิผล ที่เกิดปรากฏอันเป็นเครื่องยืนยันฝ่ายปฏิมรรค ว่ากระทำมาถูกทางแล้ว นั่นเอง เพื่อสั่งสอนอบรมผู้อื่นให้มีดวงตาเห็นธรรมเข้าใจมรรควิธีที่ถูกต้องนั่นเองครับ สาธุ
     
  5. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    อนุโมทนาสาธุครับ สัทบุรุษในโลกนี้มีน้อยกังน้อยถือเป็นวาสนาที่ยังเหลืออยู่นิดหน่อยได้มาเจอครับ ขอให้จิตที่มีเมตตานี้จงประสพพระอริยมรรค์อริยผลพ้นสังสารวัฏในชาติภพปัจจุบันด้วยเถอญ. สาธุ
     
  6. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    สาธุ ธรรมะโลกุตรธรรมทานจากคุณ tjs เป็นอย่างยิ่งครับ เป็นการอธิบายธรรมที่ลึกซึ้งถึงเหตุถึงผลจริงๆครับ
    ผมขออนุญาตถามธรรมเกี่ยวกับพระโสดาบันทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อให้คุณ tjs
    ได้เผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้าตามเจตนารมณ์ที่ให้ไว้ต่อเลยนะครับ

    - ขอถามเพื่อส่วนรวมนะครับ ทำไมเราควรต้องปฏิบัติธรรมเพื่อให้บรรลุธรรมเป็นพระ
    โสดาบันพระอริยเจ้าขั้นต้นในพระพุทธศาสนาโดยเร็วที่สุดหรือภายในชาติปัจจุบันนี้ให้ได้
    เหตุผลเพราะอะไร? เพื่ออะไรครับ?

    - ข้อดีต่างๆหรือคุณธรรมต่างๆหรือผลพิเศษหรือข้อยกเว้นพิเศษบางประการ ที่พึงมีของผู้
    ที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแล้ว ที่ปุถุชนคนธรรมดายังไม่สามารถพึงมีเสมอเหมือนได้
    คืออะไรบ้างครับ?

    - แล้วข้อดีต่างๆหรือคุณธรรมต่างๆหรือผลพิเศษหรือข้อยกเว้นพิเศษบางประการเหล่านั้น
    ของผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัฏฏะสงสาร ภพภูมิต่างๆ กฏแห่งกรรม
    ต่างๆ และการเวียนว่ายตายเกิด ที่แตกต่างไปจากปุถุชนคนธรรมดาที่ยังไม่พึงมีข้อดีเหล่า
    นั้นอย่างไรบ้างครับ?


    ขออธิบายธรรมให้เห็นภาพกันชัดๆเลยครับจะเป็นประโยชน์กับพุทธศาสนิกชนหลายท่าน
    เป็นอย่างยิ่ง ขอขอบพระคุณมากครับ สาธุ
     
  7. an15

    an15 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +209
    เมตตาคุณtjsตอบแอนด้วยนะค่ะคำถามของแอนอยู่ทีหน้า64ข้อความที่#1275ขอบคุณค่ะ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ====================

    ขอตอบคำถามดังนี้คือ

    1 คุณมีเทวดาประจำตนครับ แต่ ท่าน ช่วยเหลือคุณได้ไม่เต็มที่ครับ เนื่องจาก คุณมีกรรมเก่า เรื่องคู่ครองและเรื่องบริวารที่เคยเบียดเบียนสร้าวกรรมเอาไว้ครับ

    เทวดาที่ดูแลคุณ เป็นผู้หญิง เป็นเทพธิดา ไม่ใช่นางตะเคียน แต่เป็นนางไม้ ให้เรียกว่า นางกฤษณา ครับ การปฏิบัติ ก็มีสองแบบคืออามิส บูชาด้วยผลไม้เครื่องหอมและมาลัย น้ำเปล่าครับ
    อีกองค์เป็นปู่ฤาษี ปะไลยโกฏิ ครับ นุ่งชุดลายเสือเหลือง การบูชาก็มีถวายหมากพลูบุหรี่ ผลไม้ น้ำเปล่ามาลัย ทุกวันพระครับ
    ส่วนการปฏิบัติ คือการ หมั่นทำทาน ถือศีล และภาวนาครับ

    2 ในอดีตชาติเคยจับบริวารขังมันมือมัดเท้าครับ ควรไปทำบุญสังฆทาน ปล่อยปลา 9 ตัว และปิดทองพระพ
    ุทธรูปที่นิ้วมือและเท้า ก็จะหายปวดครับ อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วให้ไปหาหมอนวดที่มือและเท้าก็จะหายครับ

    3 เพราะเขาไม่ได้สั่งสมมาครับ ให้ใช่การชักชวนไปท่องเที่ยวเชิงพุทธบ่อยๆ ไปไหว้พระบ่อยๆ ขอโชคลาภแล้วเขาจะไปและเขาจะหันหน้าสู่ทางธรรมในที่สุดครับ ให้เริ่มจากทำทานก่อนครับ ต้องเข้าใจพวกเขาและให้โอกาสกันและกันครับ

    4 พี่สาวคือเจ้ากรรมนายเวรจริงครับ แต่ควรเมตตาต่อเธอเพราะอดีต คุณก็ทำร้ายเธอไว้มาก ให้ทำความดีต่อเธอครับ หากคุณยึดมั่นในศีลและสวดมนต์ภาวนา อำนาจแห่งพุทโธ จะคุ้มครองภัยใดๆก็ทำร้ายคุณไม่ได้ครับ ให้มีการอุทิศบุญให้พี่สาวบ่อยๆให้เขาและเทวดาอนุโมทนา มีแต่ความสุขครับ ในปั้นปลายพี่สาวคุณจะดีกับคุณและรักคุณมากครับ

    5 การทำธุระกิจ ทุกปี ฉลู มะเส็ง สองปีนี้คือปีที่ดี ปีอื่นทำอะไรก็ทำได้ไม่นานก็ล้มเลิก ดวงคุณเป็นแบบนี้มีกรรมเก่าจากการไปเบียนดเบียนบริวารและพ่อค้าแม้ค้าทำให้เขาค้าขายไม่ได้ ให้ทำบุญแก้ไขตามที่ผมบอกแล้วจะดีขึ้นครับ ปีนี้ชะตาตกต่ำมาก ให้ถือศีลให้ดี สวดมนต์ภาวนาทุกวัน และจะเกิดทุกขลาภ ได้อย่างเสียอย่าง เมษานี้ควรทำบุญผ้าป่า แก้ไขดวงให้ดีแล้วจะดีครับ จะผ่านพ้นเคราะห์ไปได้ครับ นับจากนี้ไปตั้งแต่ปีหน้าดวงจะดีขึ้นเรื่อยๆครับ
    เรื่องการค้าขาย ให้เริ่มใหม่ในเดือนสี่หรือเดือน6 นะครับ อีกนิด
    ให้บูชาปู่ฤาษีให้ดีนะครับ ท่านจะช่วยเหลือให้มีชีวิตที่ดีขึ้นมากครับ จะก้าวหน้าทั้งทางโลกและทางธรรม ท่านบอกว่า ให้ค้าขายของชำแล้วจะดี ให้ค่อยๆลงทุน แต่ให้ทำบุญแก้ไขตามที่บอกไปคือทำผ้าป่า และขอให้ช่วยถวายพระพุทธรูปปางสมาธิ นาคปรกด้วย แล้วปล่อยปลา9ตัว เพื่อแก้ไขดวงชะตานะครับ แล้วจะสมปราถนาครับ ให้ทำแค่นี้ก่อน เมื่อดีขึ้นแล้ว ค่อยถามผมกลับมาใหม่ในเดือน6 แล้วผมจะแนะนำส่วนที่เหลือให้ครับ

    6 ที่ทำมาก็ดีพอสมควรครับ ให้เน้นเรื่องศีล และสวดมนต์ภาวนา ในอดีตมีกรรมเรื่องคู่ครอง เพราะเจ้าชู้มีหลายคู่ แม่ชาตินี้เกิดมาสวยมีเสน่ห์ก็ตามแต่พอแก่ตัวกรรมเก่าให้ผลทำให้ทำอะไรไม่ขึ้น ให้แก้ไขตามที่ผมบอก แล้วผลบุญจากภาวนาที่ทำมานั้นจะรวมกับปัจจุบัน ก็จะทำให้ผ่านพ้นกรรมและมีดวงชัะตาที่ดีขึ้นมากครับ สมปราถนา นี่โชคดีว่าชาตินี้ไม่ทำปาณาติบาต ฆ่าสัตว์ จึงทำให้ไม่เกิดภัยจากโรคภัยเบียดเบียน สุขภาพดีจนแก่ชราครับไม่เป็นอะไรมากครับ

    หากมีอะไรสงสัยก็สอบถามกลับมาใหม่นะครับ สาธุ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==================

    1 เหตุผลที่เราจะต้องปฏิบัติธรรม เพื่อยกจิตให้ก้าวสู่ความเป็นพระโสดาบัน เพราะว่า ความเป็นพระโสดาบัน นั้น
    1.1จะเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของความเป็นพระอริยะบุคคล มีที่สุดคือพระอรหันต์ เข้าถึงพระนิพพาน หลุดพ้นทุกข์ได้ ภายในไม่เกิน7ชาติ อย่างเร็วก็ปัจจุนชาติก็สามารถ สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลุดพ้นทุกข์ได้

    1.2นอกจากนี้ ความเป็นพระโสดาบัน ยังหมายถึงความเป็นผู้ห่างไกลหลุดพ้นจากบาปกรรม ไม่กระทำบาปกรรมอีก กรรมฝ่ายอกุศล ดับสนิทแล้ว

    1.3 พระโสดาบันจะหมายถึงผู้เป็นเนื้อนาบุญที่จะยังกุศลกรรม ยังประโยชน์สุข ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจน แม้ตายไปย่อมมีสวรรค์สมบัติเป็นแน่แท้ไม่เป็นอย่างอื่น

    1.4 ผลบุญจากการปฏิบัติตนอยู่ในความเป็นพระโสดาบัน จะยังผลให้มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม มีโอกาสได้เกิดและได้พบพระพุทธเจ้าพบพระธรรม พบพระอรหันต์ เป็นต้น ชีวิตจะมีแต่ความเจริญยิ่งๆขึ้นไปครับ

    นี่จึงเป็นเหตุผลที่สำคัญที่กล่าวได้ว่า พระโสดาบันนั้นจึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่งครับ

    2 คุณวิเศษแห่งพระโสดาบัน คือ
    2.1จะเป็นผู้ปราศจากเวรภัย ยกเว้นอนันตริยกรรมในอดีต ให้ผล แต่แม้จะให้ผล ก็จะเบาบางลง อายุไขก็จะไม่สั้น แต่จะยืนยาวเพราะบารมีจากการถือศีลไม่ทำบาปนั่นเอง อนึ่งเพราะความดีและศีล จะเป็นกำแพงแก้วคุ้มกันอัปมงคลทั้งปวงไม่สามารถมาทำร้ายเบียดเบียนได้
    2.2จะเป็นผู้ไม่ขัดสนเงินทองและทรัพย์ จะเป็นผู้ไม่อดยาก แต่จะมีพร้อมสมบูรณ์ในโภคทรัพย์
    2.3 จะเป็นผู้มีกัลญาณมิตร
    2.4 จะเป็นผู้เป็นที่รักของเทวดาเทพพรหม
    2.5 จะเป็นที่พึ่งของญาติพี่น้องญาติธรรมผู้ยังเป็นปุถุชน ตลอดจนเป็นที่พึ่งของจิตวิญญาณที่ตกยาก
    2.6 เจ้ากรรมนายเวรอนุโมทนาและเมตตาอโหสิกรรม ยกเว้นอนันตริยะกรรม
    2.7 จะเป็นผู้ได้อภิญญาเบื้องต้น ไปจนถึงวิชาสาม หากมีความเพียรในสมถะและภาวนา
    2.8 จะเป็นผู้มีนิมิตที่ดี คือแม้หลับหรือตื่นก็จะเกิดนิมิตที่ดี เพราะอาศัยผลแห่งความดีที่ตนกระทำ
    2.9 อื่นๆ

    3 คุณพิเศษที่พระโสดาบันมีหรือได้รับนั้น จากที่กล่าวมามีความแตกต่างกับปุถุชนมาก เพราะปุถุชนผู้ยังหลงในวัฏฏะ มีกิเลสหนาฉาบทา ย่อมสร้างบาปกรรม เมื่อใดที่ปุถุชนยังเป็นผู้สร้างเวรกรรม เมื่อนั้นเวรกรรม ผลแห่งบาปกรรม และเจ้ากรรมนายเวร จะเป็นเครื่องทำร้าย เครื่องปิดกั้น เครื่องถ่วงซึ่งความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม ย่อมไม่สามารถยกตนให้พ้นจากโคลนตมได้ ฉันนั้น ฉนั้นความเป็นพระโสดาบัน จึงมีความสำคัญดังที่กล่าวมา

    อนึ่งในพุทธบริษัทสี่ หากมีพระโสดาบันเกินครึ่งหนึ่ง ก็จะยังผลให้พระศาสนา มีความเจริญรุ่งเรืองและยืนยาวต่อไปอีก 1เท่าตัว แต่ทุกอย่างก็ล้วนเป็นไปตามวัฏฏะจักร ความเสื่อมย่อมทวีความรุนแรง พระอรหันต์ พระอริยะบุคคล ตลอดจน เทพพรหมมาเกิดน้อยลง พระโพธิสัตว์ ต่างก็ต้องลงมาทำหน้าที่ช่วยเหลือ สรรพสัตว์ จวบจนถึงเวลาแห่งการดับสูญและเกิดใหม่ จนกว่าจะมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่มาโปรดมหาสัตว์เพื่อหลุดพ้นทุกข์ต่อไปครับ

    วิถีแห่งวัฏฏะสงสารก็หมุนเวียนเป็นธรรมดาอย่างนี้ ครับ สาธุ
     
  10. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ขออนุโมทนา เมตตาธรรมะโลกุตรธรรมจากคุณ tjs เป็นอย่างยิ่งครับ สาธุ

    คนเรานี้ก็แปลกนะครับ เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะลืมตาอ้าปากได้ ถึงแม้ว่าจะมีอาหารเลิศรสอัน
    โอชะมาวางไว้ข้างหน้า แต่ด้วยกฎแห่งอกุศลกรรมเข้ามาปิดกั้นแล้วทั้งๆที่ก็รู้ว่าตนเองท้อง
    ร้องด้วยความหิวแทบแย่ แต่ก็ไม่ยอมที่จะลิ้มลองตักอาหารอันโอชะนั้นใส่เข้าปากเพื่อดับ
    ความหิวในทันใด แต่กลับบ่นพึมพรำอยู่ร่ำไปอยู่ว่าหิวๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งๆที่อาหารก็
    วางอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ นี่แหละหนากฏแห่งกรรม สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมจริงๆ

    เห็นคุณ tjs ได้ตอบบรรยายธรรมแล้วอนุโมทนาสาธุในความดีและเมตตาต่อผู้อื่นมากๆเลย
    ครับ ผมก็หวังไว้ลึกๆเหมือนกันถ้าชาตินี้ผมโชคดีได้สำเร็จอรหันตผลสาวกขององค์สมเด็จ
    พระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมปรารถนาและยินดีที่จะบำรุุงเผยแผ่พระธรรม
    คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อให้ปฏิบัติเข้าถึงมรรคผลนิพพานโดยตรง ไล่ตั้งแต่พระ
    โสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอหันต์ ให้บรรดาพุทธศาสนิกชนได้เข้าถึงธรรม
    ให้ง่ายที่สุด ได้สำเร็จมรรคผลนิพพานในปัจจุบันชาตินี้โดยเร็วพลันกันเยอะๆ ถ้วนหน้าไป
    เลย เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา และทดแทนบุญคุณ พระผู้มีเมตตาคุณใหญ่ คือ
    พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และหลวงพ่อฤๅษีลิงดำพ่อที่เคารพรักเป็นที่สุด แต่
    ความจริงจะเป็นได้ดั่งหวังไว้หรือเปล่า ผมก็ยังไม่สามารถล่วงรู้คำตอบได้ ถ้าผมมีสมาธิและ
    ปัญญาวิมุติขั้นเดียวกับคุณ tjs ได้ก็คงจะดีผมจะได้รู้คำตอบในสิ่งที่ผมพึงปรารถนาที่จะ
    บำรุงพระพุทธศาสนาได้เมื่อไร เวลาไหน แต่สัตว์โลกย่อมมีกรรมเป็นไปตามของตนเอง
    ผมก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่ผมปรารถนาเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาทั้งหมดจะสำเร็จผลทุกประการ
    เพื่อพระนิพพานในชาตินี้เป็นที่สุดครับ สาธุ

    ขอกลับมาเพียรสร้างคุณงามความดีสร้างบุญบารมีกันต่อไป ถึงแม้จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เล็ก
    น้อย แต่ก็ดีกว่าปล่อยเวลาอันมีค่าให้สูญเปล่าไปกับกิเลสตัญหาอุปาทานอกุศลกรรมอย่าง
    เดียวเท่านั้น ดังนั้นผมขออนุญาตถามปัญหาธรรมที่เกี่ยวข้องกับพระโสดาบันพระอริยเจ้าใน
    พระพุทธศาสนาทั้งทางตรงและทางอ้อมอีกต่อไปนะครับ

    หากตอนนี้เมื่อเรารู้ความดีและคุณธรรมพิเศษต่างๆของผู้ที่ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันที่
    พิเศษกว่าคนธรรมดาแล้ว ถ้าเรายังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ แต่เริ่มมีความคิดที่จะปฏิบัติตน
    เพื่อความเป็นอริยบุคคลให้ได้โดยเร็วไวที่สุด เพื่อปิดอบายภูมิทั้ง 4 ให้ได้เด็ดขาด เพื่อจะ
    ได้จำกัดการเกิดและหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดให้ได้โดยเร็วพลัน เราควรจะต้องเริ่ม
    ต้นปฏิบัติอย่างไร เป็นอันดับก่อนหลังดีครับ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายเป็นขั้นเป็นตอนและได้ผล
    ดีที่สุดครับ

    คุณ tjs พอจะแนะนำวิธีการปฏิบัติธรรมเพื่อความเป็นพระโสดาบัน โดยถอดจากวิธีการ
    ปฏิบัติของคุณ tjs เองหรือว่าอธิบายธรรมตามที่คุณ tjs ได้รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ซึ่งเป็นวิธี
    และเป็นขั้นเป็นตอนที่สามารถเข้าใจได้ง่าย และปฏิบัติแล้วได้ผลดีมาแนะนำให้เพื่อนพี่
    น้องที่กำลังสนใจปฏิบัติธรรมเพื่อความเป็นพระอริยบุคคล ให้มีแนวทางและมีหลักที่ถูกต้อง
    ตามที่คุณ tjs ได้ปฏิบัติพ้นผ่านมาแล้วด้วยครับ ขอบพระคุณในธรรมะโลกุตรธรรมมากๆครับ สาธุ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==========================

    ให้ปฏิบัติตน ดังนี้

    1 เป็นผู้ยึดมั่นในคำสอนสามประการคือ ละบาป ทำดี ชำระจิตให้ขาวสะอาดเป็นอุปนิสัย
    แต่ให้เข้มงวดใน หิริโอตัปปะ ห้ามบกพร่องในเรื่องนี้ คือต้องละบาปให้ได้โดยสมบุรณ์ คือต้องไม่ทำบาปทั้งปวง

    2 อาศัย บุญทาน ศีล และสมาธิเป็นพื้นฐานดีงามในระดับหนึ่งแล้ว และด้วยพื้นฐานส่วนนี้ ทำให้เกิดสติปัญญา เบื้องต้นในยกภูมิจิตให้ดีงามกว่าปุถุชน โดยให้เน้นเรื่อง ทาน และศีล โดยเฉพาะศีล ถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งยวด

    3 อาศัย สติปัญญาในสมถะสมาธิ อันประกอบด้วย ฌาณ8 เป็นเครื่องทรงสมาธิจิต เป็นเครื่องเข้าถึงความรู้แจ้งในสมาธิฌาณ ทั้งรูปและอรูปฌาณ ครับ

    4 อาศัย สติปัญญาในวิปัสสนาญาณ อันเป็นญาณทัสนะรอบรู้ใน วัฏฏะของการเกิดทุกข์ ตั้งแต่ อวิชา ไล่ไปจนถึง ชาติ ชรา มรณา ทุกขะโสกะปริเทวะ คือการปฏิสนธิและปัจจะยา เหตุเห่งการเกิดทุกข์ เหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
    หรือเรียกว่า อิทัปปัจจยะตาสมุปบาท ครับ ข้อนี้จะทำให้เกิดปัญญาณุ้แจ้ง ในการเกิด การตาย และไม่อยากเกิดอีก เบื่อหน่ายการเกิดที่มีแต่ทุกข์นั่นเอง ครับ

    ฉนั้น นั้นเมื่ออาศัยพื้นฐานทั้งสี่ข้อที่กล่าวมา นั่นแสดงว่า
    บุคคลผู้นั้น ย่อมจะต้องมีทั้งบุญทาน ความดี ศีล มีสติปัญญาในธรรม ที่ฝึกฝนจนเกิดเป็นบารมี ในระดับหนึ่งแล้ว ด้วยสิ่งเหล่านั้นที่สั่งสมจนเกิดตกผลึกเป็น ดวงตาที่เห็นธรรม ก้าวล่วงพ้นจากความเป็นปุถุชนไปสู่ความเป็นพระโสดาบันได้นั่นเอง

    จากเหตุปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลให้จิต ก้าวล่วงในธรรม ละ สังโยชน์สามข้อได้สำเร็จเบื้องต้นคือ

    1 สามารถ ละสักกายะมานะทิฏฐิในตนได้ คือไม่ยึดติดในตัวตนของตน เพราะมีสติปัญญาเข้าถึงแล้ว

    2 สามารถ ละ วิจิกิจฉา ได้ คือไม่มีความสงสัยใน คุณธรรม ความดี ใดๆทั้งสิ้นเพราะมีสติปัญญาเข้าถึงแล้ว

    3สามารถละ สีลัพพตปรามาส ได้ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทในศีล จะไม่ลูบคลำศีลเหมือนเป็นของเล่น แต่จะยกเอาศีลเป็นเครื่องบูชา อันหมายถึง ความเป็นผู้มีศรัทธาปัญญาเชื่อมั่นกราบไหว้ยึดเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะสูงสุด ด้วย โดยมีศีลเป็นเครื่องปฏิบัติอันเป็นกรอบแห่งความดีงามที่ตนจะรักษาด้วยชีวิต

    ดังนั้น นั่นย่อมแสดงว่า จิตท่านได้ยกแล้ว ได้ก้าวผ่านพ้นแล้วจากความเป็นปุถุชน ไปสู่ความเป็นอริยะชนคือพระโสดาบันได้แล้วด้วยประการ ฉะนี้ครับ

    อนึ่งการเทียบเคียง ท่านให้ใช้ สังโยชน์ เข้ามาเทียบเคียง ถ้าละสังโยชน์ได้มากเท่าไหร่ กิเลสก็เบาลงไปมากเท่านั้น ถ้าละสังโยชน์ได้หมด นั้นก็แสดงว่า อสวะท่านดับสนิทแล้วไม่มีหลงเหลือ นั่นคือท่านสำเร็จพระอรหันต์แล่้วนั้นเองครับ สาธุ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    หลักสูตร ทางลัดตามแบบฉบับของผมคือ

    การต้องเริ่มจากการคิดดี คือมีทัศนะคติที่ดี คือการจะต้องระวังตนเองให้มาก คือการต้องไม่ทำบาปทั้งปวง คือการไม่เบียดเบียน ทั้งผู้อื่นและตนเอง

    เมื่อเราปิดประตูบาปกรรมได้แล้ว การทำบุญทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนา จึงเป็นเรื่องที่ต้องเสริมสร้าง บารมีในแต่ละอย่างให้ดียิ่งๆขึ้นไป

    เรื่องบุญทาน เราต้องทำเก็บเล็กผสมน้อย เพื่อมีกำลังในหลายๆอย่างที่เป็นพื้นฐานของการส่งเสริมให้การดำเนินชีวิตเราสมบูรณ์พร้อม

    การรักษาศีลก็ต้องให้ความสำคัญและต้องพยายามรักษาให้ต่อเนื่องให้ได้ยาวนานที่สุด และทำให้เป็นของง่าย จนสามารถทำได้ง่ายดายต่อเนื่อง เหมือนรู้สึกว่าไม่ได้รักษาศีล แต่ความจริงมันรักษาศีลจนเคยชินไปแล้ว

    การสวดมนต์ภาวนา ตรงนี้จะมีความยากและเรียนรู้ไม่จบสิ้น จนกว่าจะนิพพาน ฉนั้นส่วนนี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความเพียร ขันติ ตลอดจนบารมีธรรมอื่นๆร่วมด้วย จึงจะยกจิตก้าวผ่านไปสู่ความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ ความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐที่แท้จริง ย่อมเทียบเคียงได้กับอริยะมรรค8 นั่นเอง ให้เราทำความเข้าใจและตั้งใจรักษาหรือทำอริยะมรรคทั้ง8ข้อให้สำเร็จดีงาม นั่นแหละคือความเข้าถึงความเป็นอริยะบุคคลได้นั่นเองครับ



    ความเป็นโน่นนี่นั้นแท้จริงไม่มีอยู่จริง สิ่งที่มีอยู่จริงคือ ความแปลเปลี่ยนไปของจิต ที่เราจะต้องรู้ทันและตามทัน การยกจิต ยกได้เพราะจิตมันเบาลง มันเบาลงได้ยกได้ เพราะมันปล่อยวางไม่มีอะไรถ่วงดึงไว้ มันปล่อยวางสิ้นแม้อวิชา ตัณหา อุปาทาน ดับหมดสิ้นได้เพราะสติปัญญาทีฝึกฝนมาดีแล้ว นั้นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2015
  13. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283
    สวัสดี วันนี้เป็นวันดีเป็นเวลาฤกษ์ดี และเนื่องด้วยพรุ่งนี้เป็นวันมาฆบูชา(4 มีนาคม 2015)เป็นวันมงคลที่เราจะขอความกรุณาจากท่าน tjs ให้ช่วยแสดงธรรมทานในเรื่องของ "ดวงจิตอริยะที่มั่นคงในความบริสุทธิ์นั้นมีลำดับวิถีและเหตุปัจจัยใดในการเกิดสติอันบริสุทธิ์,ณานสมาธิอันบริสุทธิ์และปัญญาอันบริสุทธิ์ได้เช่นไร? และระดับแสงสว่างของประกายพรึกรวมถึงจำนวนของประกายพรึกบนดวงจิตอริยะนั้นมีความหมายเช่นไร?" ขอความเมตตาท่านให้ความกระจ่างในธรรมทานนี้แก่สาธุชนทั้งหลายด้วยเถิด สาธุ !....
     
  14. เกริกไกร

    เกริกไกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2007
    โพสต์:
    281
    ค่าพลัง:
    +1,446
    อนุโมทนา กับ ท่าน tjs ครับ ที่ช่วยเหลือผู้ที่กำลังตกอยู่ในความลำบาก และแนะแนวทางเพื่อเข้าสู่สภาวะแห่งธรรม อนุโมทนา สาธุครับ
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ความเป็นพระอริยะบุคคลมีแปดจำพวก แบ่งเป็นฝ่ายปฏิมรรค4 ฝ่ายปฏิผล4

    แบ่งเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์

    ทั้ง4ลำดับชั้น นั้นมีความเป็นไปตามลำดับขั้นที่เหมือนและต่างกันดังนี้

    1 มีความดีที่ทรงตัว คือบุญทาน มีความตั้งมั่นที่ทรงตัวในการสร้างความดี ส่วนการละบาปกรรม มีความเสมอกันคือมีหิริโอตัปปะ เต็มกำลัง ไม่ทำบาปใดๆอีก

    2 ส่วนของศีลก็ทรงศีล ต่างกันเล็กน้อยแบ่งเป็น พระโสดาบัน และพระสกิทาคามี จะทรงศีลบริบูรณ์ ส่วนพระอนาคามีและพระอรหันต์ จะทรงศีล ที่เป็นแบบอธิศีล คือมีความขาวสะอาดบริสุทธิ์กว่า

    3 ส่วนการชำระจิตการเจริญสมาธิภาวนา อันนำไปสู่ความบริสุทธิ์ของจิตนั้น มีความแตกต่างกัน มีสติปัญญาที่แตกต่างกันนั่นเอง

    พระโสดาบัน สติปัญญายังไม่รอบรู้ถึงธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นทุกข์ แต่ก็รอบรู้ในธรรมส่วนของการเกิดดับ การหมุนเวียนเวียนว่ายตายเกิดแห่งวัฏฏะ

    พระสกิทาคามี มีสติปัญญารอบรู้มากยิ่งขึ้น สามารถแยกรูปนามได้ แยกจิตได้ แต่ยังขาดสติปัญญาในการตัดละรูปกามราคะได้ไม่หมดสิ้น

    พระอนาคามี มีสติปัญญารอบรู้ละกามราคะได้หมดสิ้น ทำลายสิ้นกิเลสอย่างหยาบและปานกลาง คงเหลือเพียงกิเลสอย่างละเอียดที่นอนก้น รอวันขจัดทิ้งให้หมดไป

    พระอรหันต์มีสติปัญญามากที่สุดคือรู้แจ้งหลุดพ้นทุกข์ ทำลายสิ้น รูปนาม ดับหมดสิ้น แม้อัตตา ละสังโยชน์ได้หมดสิ้น สติปัญญาของพระอรหันต์จึงเรียกว่าเป้นปัญญาญาณ อันเป็นปัญญาวิมุตติ และเกิดเป็นเจโตวิมุตติสัมปยุต รวมกัน ทำให้ทรงอธิปัญญา ชำระจิตให้ขาวบริสุทธิ์ เป็นปรกติทุกขณะจิต

    จากที่กล่าวมาพอจะสรุปได้ว่า
    สติอันบริสสุทธิ์ เกิดได้ย่อมอาศัยเหตุจากพื้นฐานคือบุญทาน ศีล ที่ทรงตัวสม่ำเสมอดีงามไม่บกพร่องแล้ว ลำดับถัดมาคือการ อาศัยความเพียรในการฝึกฝนให้เกิดสติ สัมปชัญญะ อันเป็นสัมมาสติ และมีความต่อเนื่อง เมื่อใดที่เกิดสัมมาสติ นั้นย่อมแสดงว่า สตินั้นมีความขาวสะอาดบริสุทธิ์ แต่จะยาวนานได้แค่ไหน จะประคองสติอันบริสุทธิ์ไว้ได้นานแค่ไหน ตรงนี้ต้องอาศัยความเพียร ความอดทน การฝึกฝน ด้วยการปฏิบัติจริง เท่านั้น อาศัยกาลเวลาเป็นเครื่องกำหนดความสำเร็จ เมื่อใดที่สติสัมปชัญญะเกิดต่อเนื่องไม่มีดับทุกอิริยาบท ยืน นั่ง เดิน นอน เช่นนี้คือท่านทำได้สำเร็จแล้ว อันเป็นสติของพระอนาคามีและพระอรหันต์

    และจากสติอันบริสุทธิ์ที่เกิดเป็นสัมมาสติสำเร็จได้แล้ว ด้วยสัมมาสติ ย่อมยังผลให้เกิดสัมมาสมาธิ อันจะก่อให้เกิดสมาธิอันบริสุทธิ์ สมาธิอันบริสุทธิ์ ย่อมอาศัยสติอันบริสุทธิ์เป็นรากฐาน เมื่อทำได้ทรงตัวแล้ว สมาธิก็จะก้าวหน้า ทั้งฝ่ายสมถะและวิปัสสนา สมาธิอันบริสุทธิ์ จะเกิดได้เพราะความเข้าถึงรู้แจ้งในรูป อรูปฌาณ และความรู้แจ้งในมหาสติปัฏฐาน4 นั่นเอง เมื่อที่สุดแห่งสมาธิฝ่ายวิปัสสนาคือรู้แจ้งใน กาย เวทนา จิต ธรรม เมื่อนั้นย่อมเกิดปัญญาญาณ

    ปัญญาญาณอันบริสุทธิ์ อาศัย สมาธิอันบริสุทธิ์เป็นรากฐาน เมื่อใดที่สมาธิทรงตัวทั้งฝ่ายสมถะและวิปัสสนาญาณ เมื่อนั้น ย่อมอาศัยสัมมาสมาธิ ถอยกำลังจิตเข้าสู่สมาธิฌาณที่4 มีปัญญาณมีความรอบรู้ ในรูปนาม ในความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ควรยึดมั่น ประคองสติปัญญาไว้ ไม่ยินดียินร้าย ละรูปนามหมดสิ้น ปัญญาญาณจึงบริสุทธิ์ ด้วยความรู้แจ้งในไตรลักษณ์นั่นเอง เป็นปรกติ

    เมื่อนั้นที่สุดแห่งทุกข์จึงดับไป ปัญญาวิมุตติจึงเกิดขึ้น เป็นลำดับสุดท้าย พร้อมด้วยจิตก็ละปล่อยวางจากสรรพสิ่ง เกิดเป็นเจโตวิมุตติ ดับสนิทไม่มีเหลือในอาสวะ นั่นเอง จึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์หลุดพ้นทุกข์ได้แล้วในที่สุดครับ


    อันดวงจิตและความสว่างของดวงจิตของพระอริยะบุคคล นั้นย่อมมีความแตกต่างกันตามความสามารถของจิต ที่สามารถชำระกิเลสชำระจิตที่ไม่เท่ากัน ตลอดจนบุญทานศีล อันเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต กระผมขอสรุปให้ทราบว่า

    แสงสว่างที่เกิดขึ้นประกอบด้วยสองส่วน

    1แสงสว่างรัศมีภายนอกที่อยู่รอบๆจิต เกิดได้เพราะอาศัยผลบุญและศีล ที่จิตดวงนั้นสั่งสมมา

    2 แสงสว่างที่เกิดจากภายในกายทิพย์ หรือที่เกิดจากภายในจิตจากตัวจิตนั่นเอง

    กรณีนี้เราจะกล่าวถึงสภาพของจิตหรือกายทิพย์ของพระอริยะแต่ละลำดับนั้นขอกล่าวอธิบายได้ดังนี้คือ

    พระโสดาบัน มีกายทิพย์ ปรกติ เช่นเดิมเหมือนตอนมีชีวิต แต่มีกายทิพย์ที่งดงามสว่างสดใส มีรัศมีแสงสว่างออกจากกายทิพย์ อันเกิดจากปัญญาเข้าถึง โคตรภูญาณนอกจากนี้ยังมีแสงสว่างจากบุญทานและศีล ห้อมล้อมสว่างเป็นวงกว้าง งดงามเป็นที่อัศจรรย์ครับ

    พระสกิทาคามี ดวงจิตมีความแตกต่างจากพระโสดาบัน อันพิเศษกว่าคือ กายทิพย์จะมีลักษณะเหลืองอร่ามประดุจทองคำ คือมีรัศมีสีรุ้งเกิดกระจายเป็นวงรอบกายทิพย์

    พระอนาคามี ดวงจิตแปลสภาพเป็นแก้ว คือใสเหมือนน้ำ หรือแก้วใสๆ ไม่เจอด้วยรูปหรือวัตถุใด มีแสงสว่างมากดุจ สพอทไลท์ ดวงใหญ่มีแสงสีขาวจากภายใน มีรัศมีสีรุ้งจากภายนอก พระอนาคามีส่วนใหญ่ แม้กายทิพย์จะใสเหมือนแก้ว ไม่มีรูปร่าง แต่ท่านก็จะเนรมิตให้กายท่านมีรูปร่างแบบเดิม เพื่อง่ายต่อการสร้างบารมีของท่านในลำดับต่อไป

    พระอรหันต์ สีแสงสว่างมากมีกายทิพย์เป็นประกายพฤต บ้างก็มีหลากสีเป็นอัญมณี มีรัศมีสีรุ้งจากภายในกระจายออก มีแสงสว่างมาก รัศมีที่กระจายออกส่องสว่างได้ไกลพอประมาณ เป็นที่อัศจรรย์มาก บางพระองค์ก็ทรงกระทำด้วยฤทธิ์ ให้ไม่สามารถมองเห็น หรืออาจมองเห็นเป็นเพียงความว่างเปล่า ไม่เห็นอะไร หรือก็ เห็นเป็นกายเดิมเหมือนตอนท่านมีชีวิตอยู่ก็มี อันนี้แล้วแต่เจตนาของท่านพระอรหันต์ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2015
  16. มหาเมตตา

    มหาเมตตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    107
    ค่าพลัง:
    +283

    ประเสริฐแล้ว สาธุ !
     
  17. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    อนุโมทนายินดีในธรรมที่คุณ tjs ได้บรรยายแล้วครับ สาธุ
    ผมขออนุญาตถามคำถามธรรมเกี่ยวกับพระโสดาบันต่ออีกนะครับ

    เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า คนที่มีของเก่าอิทธิฤทธิ์อภิญญาในตัวตั้งแต่อดีตมาแล้ว เวลาได้เข้า
    สู่โคตรภูญาณของพระโสดาบัน ถ้าเป็นหมวดวิชาสาม ก็จะได้บรรลุทิพจักขุญาณ อตีตังส
    ญาณ และอาสวักขยญาณ ด้วยกันทั้ง 3 แล้วตอนนั้นจะสามารถเห็นพระนิพพานจริงๆได้
    ชัดเจนแจ่มใสด้วยเพราะเข้าถึงโคตรภูญาณของพระโสดาบันแล้ว คำกล่าวธรรมนี้คุณ tjs
    มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ ขอรายละเอียดเพิ่มเติมด้วยครับ จริงแล้วมันเป็นมา
    อย่างไรกันแน่?

    หากถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วผู้ที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแบบสุขวิปัสโกล่ะครับ ท่าน
    ไม่ได้มีทิพย์เห็นพระนิพพานอะไรเลย แล้วทำไมท่านรู้ล่ะครับว่าอ่อนี่หรือคือกระแสของ
    พระนิพพาน หรือว่าอ๋อนี่หรือคือสภาวะโคตรภูญาณ ท่านจะรู้ได้อย่างไรล่ะครับ ซึ่งอาจจะ
    เสี่ยงโมเมคิดคาดเดาเอาเองว่าตนได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วทั้งๆที่ความจริงตนอาจจะ
    ยังไม่ได้เข้าสู่กระแสของพระนิพพานจริงๆก็เป็นได้ ขอคุณ tjs พออธิบายธรรมเกี่ยวกับ
    ท่านที่บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันแบบสุขวิปัสโกที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรสักอย่างนี้หน่อยครับ ว่า
    ท่านรู้ได้อย่างไรว่าตอนนี้เราไม่ใช่ปุถุชนแล้วเราพ้นแล้วเราเข้าสู่กระแสพระนิพพานแล้ว
    จริงๆ ที่ไม่ใช่การนึกคิดคาดเดาหลงตนเองด้วยกิเลสมารมาหลอกดลใจว่าเป็นพระโสดาบัน
    แล้ว ขอขอบพระคุณในธรรมมากๆครับ สาธุ
     
  18. boonnippan

    boonnippan ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +1,099
    กราบสมเด็จพระจอมไตรด้วยเศียรเกล้า
    กราบพระธรรมคำสอนทั้งหลาย
    กราบพระอริยสงฆ์ทั่วสากลภิภพ
    กราบครูก้องและครูบาอาจารย์ทางโลกทางธรรมทุกท่าน
    กราบทุกท่านในแดนเทวโลก พรหมโลก ยมโลก
    กราบเจ้ากรรมนายเวรด้วยสำนึกผิดและขออุทิศบุญ
    ขอสรรพสัตว์ทุกรูปทุกนามในทุกอนันตจักวาลจงพ้นทุกข์และเข้าสู่มรรคผลนิพพานด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    สำหรับผู้ที่มีของเก่า หรือมีเทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์หนุนนำ ในสภาวะที่ตนก้าวสู่ความเป็นพระโสดาบัน ย่อมสำเร็จ วิชาสาม ได้

    วิชาสาม เป็นวิชาหรืออำนาจที่เกิดจากกำลังของสมาธิ อันเกิดความเป็นทิพย์ หรือมีอำนาจพิเศษ ไม่ธรรมดา โดยวิชาสามประกอบด้วย ความเป็นทิพย์ ที่เกิดขึ้น ได้แก่ มีทิพยจุกขุ หรือตาทิพย์ เป็นหลัก คือ สามารถมองเห็นภาพต่างๆ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นอกจากนี้ ยังมี ทิพยโสต คือหูทิพย์ก็มี และส่วนมากการจะได้วิชาสาม ต้องมีพื้นฐานทางสมาธิระดับฌาณ ขึ้นไป ส่วนวิชาสามจะมั่นคงสม่ำเสมอ ต้องอาศัยสติปัญญา จาก โครตภูญาณและวิปัสสนาญาณ คือความไม่ทำบาป ความตั้งมั่นในความดี ความที่ชำระจิตให้ขาวสะอาด เหล่านี้จะทำให้อภิญญาทั้งหลายไม่เสื่อม หรือเสื่อมลงน้อยมาก เพราะจิตสะอาด เมื่อรวมกับสมาธิที่สะอาด จึงเกิดอภิญญาที่สะอาด ไม่เสื่อม

    ในที่นี้ หากเป็นอภิญญาของพระอนาคามีและพระอรหันต์ นั้นจะไม่มีเสื่อมเพราะเป็นอภิญญาของจิตที่บริสุทธิ์ รวมกับสมาธิที่บริสุทธิ์ เป็นอภิญญาโลกุตระ นั่นเองครับ ตรงนี้ พ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ท่านสอนแนะนำผมในสมาธิให้เข้าใจอย่างนี้ครับ

    ส่วนอาสวักขยญาณ ไม่เชิงว่าไม่อยู่ในวิชาสาม แต่อาสวักขยญาณ ความจริงมีลำดับขั้นของญาณหรือปัญญา หากแต่ อาสวักขยญาณ ในระดับพระโสดาบัน เกิดขึ้นเพียง1ใน4 คือรู้แจ้งเพียง1ใน4เท่านั้น

    อาสวักขยญาณ ที่สมบูรณ์จะเกิดได้ในขั้นพระอรหันต์ และจะเกิดพร้อมกับ วิชาหก หรือสัมปฏิภิทาญาณ เท่านั้นครับ

    ดังนั้นในเรื่องอภิญญาที่กล่าวมาก็เป็นอย่างนี้ครับ

    ส่วน ท่านพระอรหันต์สุขวิปัสสโก นั้น แม้ท่านจะไม่ได้สมาธิฌาณหรืออภิญญาใดๆ แต่เพราะความที่ท่านได้สมาธิระดับขณิกะหรืออัปปนา ท่านทรงสติและตั้งมั่นในศีล ทรงอธิศีล มีจิตจดจ่ออยู่กับความตาย อยู่กับรูปนามทั้งหลาย ที่เกิดดับ เสื่อมไป ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น ปัญญาท่านเห็นจริงรู้จริงและปฏิบัติจริง สามารถละปล่อยวางได้จริง ด้วยความเพียร ย่อมทำให้ท่านเป็นพระสุปฏิปัโน ผู้หลุดพ้นทุกข์ สมถะสันโดษ เรียบง่าย ปล่อยวางหมดสิ้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ นั่นเองครับ ความที่ท่านเจริญก้าวหน้าในแต่ละลำดับชั้นจากความเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี จวบจนความเป็นพระอรหันต์ ท่านจะไม่ทราบ แต่ท่านจะทราบแค่ว่า ศีลของท่านต้องบริสุทธิ์ สติปัญญาของท่านตรงต่อ ความละปล่อยวาง ในรูปนาม ทั้งปวงเพราะไม่เที่ยง เป็น์ ทุกข์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น แม้ที่สุดคือ สักกายะทิฏฐิ ของตนก็ตาม ท่านสามารถละสังโยชน์ได้หมดสิ้น ท่านมุ่งตรงสู่ความปล่อยวางหลุดพ้นทุกข์แบบนี้นั่นเอง ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2015
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สิ่งที่ควรระวัง

    แม้จิตจะก้าวล่วงสู่ความเป็นพระโสดาบัน หรือแม้พระสกิทาคามี ก็ตาม แต่ในเมื่อเชื้อแห่งอวิชา ตัณหา อุปปาทาน ยังไม่ดับสนิม กิเลสมาร ยังแผลงฤทธิ์ ทำลายสติปัญญาของท่านได้เสมอ มันจะรอเวลาและปรุงแต่งจิตใจของท่าน ให้เกิดสัมมาทิฏฐิ หรือเห็นผิดเป็นชอบได้เช่นกัน ให้ระวัง ห้ามประมาท

    แน่นอน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ แม้กับกระผมก็เคยเกิดขึ้น แต่จากประสพการณ์ขอให้พิจารณาให้ดีว่า อันความปรุงแต่งทั้งหลาย ทั้งดีและชั่วย่อมเกิดปรากฏอันเป็นธรรมดาของกายใจนี้

    สิ่งสำคัญคือ การที่เราไม่ไปสนใจใยดี มีเพียงสติปัญญารู้ทัน สิ่งปรุงแต่งหรือความนึกคิดเหล่านั้น แม้ว่าความนึกคิดปรุงแต่งเหล่านั้นจะไม่ดี ก็ตาม ก็ไม่ใช่ว่าเราจะเป็นคนเลวหรือไม่ดี หากแต่นี้คืออนุสัยกิเลสเบื้องลึกอันเป็นกิเลสมาร ที่ตื่นขึ้นมาเพื่อทำร้ายทำลายความดีงามของเรา มันฝังลึกอยู่ในเจตสิกก็มี ฉนั้น พึงรักษาสติและมีปัญญารู้ทัน ดับมัน ปล่อยวาง กิเลสมารทั้งหลาย แพ้พ่ายต่อสติปัญญา ที่หนักแน่นมั่นคง ปล่อยวาง ไม่มีแก่นสารสาระหรือประโยชน์อันใด เมื่อจิตปล่อยวางในความไม่เที่ยงเหล่านั้น กิเลสมารเหล่านี้ก็สิ้นชีพทันที มันก็พ่ายแพ้ ไปในที่สุด

    บางท่านเคยถูกกิเลสมารครอบงำ ยกตัวอย่างเช่น การที่มีสตรีมีกายงดงามเข้ามา ทำให้เกิดความลุ่มหลงเสน่ห์หารักใคร่ แต่หากมีสติปัญญารู้ทัน ว่า ความสวยงามรูปนาม ไม่เที่ยง เดี่ยวก็แก่ชรา ไม่หลงเหลือความงาม โรคภัยก็มากมายคอยเบียดเบียน อย่าให้หนังกำพร้าหลอกจาหลอกใจเรา เดี่ยวก็ตาย กายก็เป็นซากศพ แล้วจะไปยึดมั่นเอาอะไร แล้วความรักละเราจะยินดีเอาชีวิตเราเข้าไปยึดมั่นเป็นคู่ชีวิตกับผู้อื่น ที่ไม่มีความจีรังเที่ยงแท้อะไร เราจะเอาบ่วงกรรมมาผูกคอเราให้เป็นทุกข์หรือ แล้วถ้าเรามีบุตรละ เราจะมีบ่วงเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างนั้นหรือ การมีคู่เป็นทุกข์ทวีคูณ แน่แท้เชียว

    แค่ตัวเราคนเดียวยังต้องเผชิญกับทุกข์มากมายเพียงนี้ แล้วเรา จะเห็นแก่ความสุขหรือสนุกแค่นี้หรอ มันใช่หนทางที่ประเสริฐเพื่อการพ้นทุกข์ มันพิจารณาเห็นอย่างนี้ มันก็ปล่อยวาง ไม่เอาอะไรครับ เพราะไม่มีอะไรที่ยึดไว้ได้จริงๆ ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มีนาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...