นักปฏิบัติที่ไม่อาศัยตำรา เชิญแก้ข้อสงสัยให้หน่อย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 12 เมษายน 2015.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ;ปรบมือ
     
  2. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    !!
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    น่าสนใจมาก ขอพิจารณาศึกษาตาม


    ลองมาดูประวัติพระโปฐิละ
    ดังได้สดับมา พระโปฐิละนั้นเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกในศาสนาของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป. พระศาสดาทรงดำริว่า "ภิกษุนี้ ย่อมไม่มีแม้ความคิดว่า "เราจักทำการสลัดออกจากทุกข์แก่ตน เราจักยังเธอให้สังเวช."
    จำเดิมแต่นั้นมา พระองค์ย่อมตรัสกะพระเถระนั้น ในเวลาที่พระเถระมาสู่ที่บำรุงของพระองค์ว่า "มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า แม้ในเวลาที่พระเถระลุกไป ก็ตรัสว่า "คุณใบลานเปล่าไปแล้ว."
    พระโปฐิละนั้นคิดว่า "เราย่อมทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา บอกธรรมแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ถึง ๑๘ คณะใหญ่ ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดายังตรัสเรียกเราเนืองๆ ว่า "คุณใบลานเปล่า" พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้ เพราะความไม่มีคุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้."
    ท่านมีความสังเวชเกิดขึ้นแล้ว จึงคิดว่า "บัดนี้ เราจักเข้าไปสู่ป่าแล้วทำสมณธรรม" จัดแจงบาตรและจีวรเองทีเดียว ได้ออกไปพร้อมด้วยภิกษุผู้เรียนธรรม แล้วออกไปภายหลังภิกษุทั้งหมดในเวลาใกล้รุ่ง. พวกภิกษุนั่งสาธยายอยู่ในบริเวณ ไม่ได้กำหนดท่านว่า "อาจารย์." พระเถระไปสิ้น ๑๒๐ โยชน์แล้ว, เข้าไปหาภิกษุ ๓๐ รูป ผู้อยู่ในอาวาสราวป่าแห่งหนึ่ง ไหว้พระสังฆเถระแล้ว กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผม.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2015
  4. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ตกลงคุณนี่เป็นนักขโมยตัวยงเลยนะ. ความรู้ของพระพุทธเจ้าเอาไปใช้ตั้งเยอะไม่เห็นจะมีความสำนึกคุณงามความดีบ้างเลย. เห็นว่าเป็นเภสัชใช่ป่าวหวังว่าคงเข้าใจไม่ผิดนะ. ตกลงเรียนมาหรือนึกขึ้นมาเองล่ะ.

    ที่ว่าความสุขความพอใจของแต่ล่ะคนมันไม่เหมือนกัน ไม่จริงหรอกทุกคนล้วนปราถนาความสุขสูงสุดเท่าที่ปัญญาจะหาได้ เหมือนน้องมานีทำอยู่นี่ไง. ถึงไม่รู้จักพอพยามหาทฤษฎีอะไรมากมาย. ก็เพื่อหาความอิสละให้แก่ตนเองก็เท่านั้น. อยากเป็นนักประชาธิปไตยตัวยงใช่ป่าว. มนุษย์ที่มีกิเลสเข้าไม่ถึงหรอกประชาธิปไตย ขนาดข้าวผัดกระเพราจานเดียวยังหาเรื่องกินแบบพิศดารให้ดูดีโก้หรูพล่ามซะยาวหาความสุขเพิ่มเติมแบบอวดรู้. ก็แค่ของปฎิกูลชนิดหนึ่งที่ให้เลี้ยงชีพก็แค่นั้นคิดมากไปป่ะ!

    ที่ว่าบิ๊กทู่ความรู้ต้อยตำ่แค่ม6หุหุ ก็แค่ไม่อยากไปนั่งทำงานเข้าแปดโมงเช้าเลิก5โมงเย็นก็เท่านั้นแรกเงินวันล่ะไม่กี่บาท. เสียสภาวะผู้นำหมด. เอาเถอะไม่ได้ดูถูกหรอกนะ. คนทั่วไปเขาก็ทำกัน. แต่คนที่เก่งอย่างมานีนี่มันไม่น่ามานั่งให้ตูดด้านนะ. เงินนะมันอยู่ในอากาสใครฉลาดก็คว้าเอาเด็กจบม6 คนนี้ไม่ธรรมดาซะด้วย. ตำแหน่งสุดท้ายก่อนจะเบื่อโลกชาตินี้คุณก็ไปไม่ถึงหรอกบอกแค่นี้ล่ะ


    เรื่องเสนออาหารจานอร่อยให้กินนะทำไมไม่กิน. ก็ตอบถูกนะก็เด็กมันไม่อยากกินจะไปยุ่งอะไรกับมัน. ก็เอาไว้ให้ให้คุณเป็นแม่คนก่อนคุณจะรู้ว่าแม่นั้นรักลูกมากขนาดไหน. แม่อยากให้ลูกได้กินของดีๆๆหวังว่าคุณคงเข้าใจนะ. และนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่คุณแสวงหามาตลอดชีวิตก็ได้. เมื่อเทียบกับทฤษฎีอะไรที่คุณยกมามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยกับการที่เราจะปฎิเสธอะไร. นอกจากจะเสียโอกาสเท่านั้น. โอกาสมันเป็นแค่.....จุดเล็กๆที่คนมองไม่ค่อยเห็นและมักจะมองข้ามเพราะคิดว่าตนเองเก่ง. แต่ถ้าโอกาสมันแสดงตัวเมื่อไหร่คุณอาจจะเสียใจที่ทิ้งโอกาสไป. ผมเองไม่เคยทิ้งโอกาสเลย. เพียงแค่ได้ยินเขาพูดว่าคุณมาถูกทางแล้วแค่นั้น ผมพิสูจน์ทันที. ผมจึงรูรสชาตอาหารจานนั้น. และเรื่องทางโลกส่วนใหญ่แล้วก็คงจะเป็นเรื่องหาเงินหาทอง. ผมก็ไม่เคยทิ้งโอกาสเลย. มีคนมาให้เงินทองเรมากมายแต่ทุกคนกลัวๆซะจนต้องพลาดโอกาสกันมากมาย

    ถ้าคุณเป็นคนที่ไม่ปรารถาสิ่งใดๆๆในโลกแล้วคุณก็ทำได้ที่จะปฎิเสธอะไร. แต่นี้พวกคุณก็ยังปรารถนาอะไรอีกตั้งมากมายคุณได้ทิ้งโอกาสอันดีที่สุดเท่ามนุษย์จะหาได้นั้นคือคำสอนของพระพุทธเจ้า อ๊ะๆๆอย่างพึ่งเชื่อว่าดีนะ. อัตตาภาพความเป็นคนก็มีแล้ว. คนที่เก่งที่สุดก็เกิดขึ้นมาแล้ว คำสอนที่ดีที่สุดก็มีแล้ว. ทำไมไม่เชื่อ. แค่ฝรั่งมีคำพูดไม่กี่คำที่เหมือนจะดูโก้ดี. คุณกับชื่นชม. อ๊ะๆๆกำลังจะบอกมันเป็นสิทธิของฉันจะทำไม.? ไม่มีใครทำอะไรคุณได้หรอก. อาหารที่อร่อยของหนอนมันก็คือขี้

    ที่คุณบอกว่าชาวพุทธแท้ก็ดีกว่าฝรั่งนะซิ. ก็คุณคิดว่าสติปัฎฐาน. ศิล. หรืออะไรๆอีกที่คุณพยามทำอยู่นะดีมั้ยล่ะ. ถ้ามันดีมันก็ต้องดีกว่าฝรั่งที่ไม่รู้เรื่องนี้. เพียงฝรั่งมันชอบที่เป็นอิสละทำอะไรตามใจชอบก็แค่นั้น. ไรสาระไปวันๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 เมษายน 2015
  5. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ใครจะกล่าวธรรมที่ไร้สาระ ก็ให้เขากล่าวธรรมนั้นของเขาไป
    เหมือนพาลก็ย่อมชักชวนไปในที่เสื่อมเสีย ย่อมไม่เป็นที่รักของใครๆ
     
  6. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ก็มีให้เห็นเยอะแยะนะครับ พวกสมาธิ นอกศาสนา ไม่ต้องมีศีล ไม่ต้องอ่านตำรา พระไตรปิฏกอะไรก็ได้

    เผลอๆพวกพระห่มเหลืองบางพวก ศีลขาด ละเมิดในศีล อาบัติกันไปทั่ว ก็ทำสมาธิได้
    อยู่ที่ว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ หรือ มิจฉาทิฏฐิ
    พอมิจฉาแล้ว มันก็จะโยงยาวกันไป ท้ายที่สุดก็ลงที่ มิจฉาวิมุตติ

    ๑. มิจฉาทิฏฐิ ๒. มิจฉาสังกัปปะ ๓. มิจฉาวาจา ๔. มิจฉากัมมันตะ ๕. มิจฉาอาชีวะ ๖. มิจฉาวายามะ ๗. มิจฉาสติ ๘. มิจฉาสมาธิ ๙. มิจฉาญาณ ๑๐. มิจฉาวิมุตติ

    แต่ก็แล้วแต่มุมมองแต่ละคนนะ เพราะถ้าอาศัยตำราอ้างอิง เราก็จะสามารถรู้ได้ว่า อาการ สภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างทำสมาธิคืออะไร แบบไหน ยังไง เหมือนมีแผนที่อยู่แล้ว เราก็เดินตาม เทียบเคียงไปถ้าถูกทางก็ไปต่อ ผิดทางก็หาทางย้อนกลับคืนทำให้ถูก
     
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..................คุณ มานี เขา เห็นแค่ เปลือกปลอมปลอม ของศาสนา แล้ว จับมาว่า เป็นจริงเป็นจัง อันที่จริง...ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต...หมายความว่าอย่างไร หมายความว่า เข้าใจนะสิว่า " พระพุทธเจ้าสอนอะไร" ถ้าไม่เห็นธรรมก็ ย่อมไม่เห็นสิว่า พระพุทธเจ้าสอนอะไร...ก็ เลยได้ แต่เล่นกับเปลือกปลอมปลอมพวกนั้นไปโดยไม่เห็น"ธรรม"เลยแม้แต่น้อย................แล้วยกคำที่ว่า ในยุคมืด ให้ศาสนานำทางเหมอนคนตาบอดนำทางในคืนมืด และเป้นสิ่งที่โง่เมื่อถึงกลางวันแล้ว ยังให้คนตาบอดนำทางอยู่....อันนี้ มันเป็น สิ่งที่ตื้นมากมาก ศาสนาพุทธสอนธรรมที่เป็นอกาลิโก ไม่มีกาลและพิสูจน์ได้เสมอ เพราะสอนแต่เร่องทุกข์ และความพ้นทุกข์..จึงไม่สามารถไปเปรียบกับเรื่อง ยุค มืด ยุคโมเดอรน โพสต์โมเดอร์นอะไรได้เลย เพราะ คำสอนเรื่องทุกข์ และ ความพ้นไปจากทุกข์ จะเป็น จริง เสมอ ไม่มีกาล:cool:เห้นธรรม ได้ ย่อม วิจยธรรมได้ สิ่งใดคือธรรม พุทธ จึง ไม่มี ยุคมืดที่ต้องเอาศาสนาไปแก้ปัญหานั้น(สาระของพุทธ คือ ความพ้นทุกข์) และไม่มี กลางวัน ในความหมายที่ว่าเป้นความกระจ่างของโลกวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์อะไรโลกโลกได้ เพราะพุทธ จะยังคงสอนเรื่องเดิม คอ ทุกข์และความพ้นทุกข์อญุ่นั้นเอง " ผู้ใดเห็นธรรมก็เห็นตถาคต(ว่าสอนอะไร) ผู้ใดไม่เห้นธรรม ก็ จะไม่เห้นอยู่นั้นเอง เอวัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2015
  8. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..........แล้ว ตรรกกะที่ว่า การ เรี่ยราย...ซองผ้าป่า....การที่บ้านเมืองมีข้าราชการ คอรัปชั่นท คนโกงกิน มีซ่อง มีโน่นนั่นนี่ ที่ไม่ดีไม่งาม...นี่ คือ พุทธ ต้อง เกี่ยวข้องแน่แน่...อันนี้ ก็ไม่ใช่ ความจริงอะไรเลย...การเรียนรู้ศึกษา พุทธ คือ การ สมาทาน เมื่อ สมาทาน ศิล สมาธิ ปัญญา นั่นถึงจะเรียกว่า คนนั้น กำลังศีกษาพุทธ อยู่ ไม่ใช่..เห็นหัวดำดำ ทำอะไร ก็ โยนมาที่ พุทธ หมด แล้วมาบอกว่า แยกศาสนา กับ จารีตประเพณี...มันไม่ใช่ทั้งสองอย่างแหละจริงจริงมันเป้นเรื่องของ ตัวบุคคล หรือ ปัจเจกทั้งนั้น คนไม่สมาทาน สิกขาสาม แต่ไปโทษตัวสิกขา มันไม่สมเหตุสมผลเลย...อย่างนี้ มันก็แค่หลอกด่า ชาวพุทธไปวันวัน(อันนี้แหละคือ พ้อยท์ ของ คุณ มานี):cool:ตราบใดยังจำกัดความศาสนา ในแง่ที่ตนเองอยากจะจำกัดความโดยไม่สมาทานคำสอน มันก็เป็นความจริงลวงลวง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2015
  9. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    แก้ข้อสงสัยให้หน่อยสำหรับนักปฏิบัติไม่อิงตำรา ที่ไม่ว่าตามในพระไตรปิฎก...

    ๑.หากปฏิบัติมาในแนวนำสมาธิมาพิจารณาร่างกายจนเองนั้น ในชั้นพิจารณากาย จิตจะละลดปล่อยวางกายตน
    ไปทีละน้อย โดยจะค่อยๆหดตัวจากกายไปรวมเป็นก้อนที่กลางอกในที่สุด

    ๒.ในตอนที่ก้อนกลางอกสลายตัวไปเสร็จเด็ดขาด และจิตใจตนรูสึกแปลกๆขึ้นมา จะมีอาการรู้สึกตนเองโหวงเหวง
    เคว้งคว้างเหมือนขาดสิ่งที่พึ่ง ขาดที่ยึดเหนี่ยวคือความรู้สึกแรกของการที่จิตละกายอย่างสมบูรณ์

    ๓.อาการถัดจากนั้นมา จะรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเต้นเป็นจังหวะที่กลางอก เหมือนมีหัวใจดวงที่สองเกิดขึ้น
    นั่นคืออาการของสติปัจฐานสี่เบื้องต้น ที่เห็นและรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปมาของจิต หลังจากอาการนี้คลายตัวไปแล้ว
    จะเห็นและรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงเกิดดับอารมณ์ว่่าเป็นไปอย่างไร,เวทนา,จิตหรือรู้ว่่าธรรมใดหรือความถูกต้องใด
    ไม่ควรยึด ทำเพียงรับรู้ว่่าเกิดขึ้นแล้วปล่อยผ่านไป


    นำมาแสดงเพียงเพราะให้รู้ว่ามีคนปฏิบัติอยู่ ไม่ได้เพราะยกตนเอง...
     
  10. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    แล้วตรงไหนล่ะที่ไม่มีในพระไตรปิฎก...
     
  11. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตรงไหนบ้างช่วยแต้มสียืนยันหน่อยที่ไม่มีในตำราที่นอกพระไตรปิฎกน่ะ
     
  12. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    แล้วตรงไหนล่ะที่ไม่มีในพระไตรปิฎก...

    พิจารณาเอาครับ หากได้อ่านพระไตรปิฏก ควรทราบ
     
  13. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ผมคนนึงที่ปฏิบัติตามคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์
    แต่ท่านแม่นพระไตรปิฎกมาก
    แต่ส่วนตัวของผมไม่เคยอ่านเลย
    เคยแต่เอาฉบับบาลีล้วนมานั่งสวด
    ก็ยังปฏิบัติจนได้ระดับนะครับ
     
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2015
  15. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    จะให้แต้มสีตรงไหนหละครับ ?

    ผมแค่จะสื่อว่า อย่างสมัยก่อน หรือปัจจุบัน พวกลัทธิอื่นๆ ศาสนาอื่นๆ
    ไม่ว่าจะเป็น พราหมณ์ โยคี ชีเปลือย ฤาษี พ่อหมด หมอผี หมอดู นักพลังจิต เขาก็ปฏิบัติได้ ด้วยไม่ต้องอาศัยตำรา(พระไตรปิฏก)
    อาจจะด้วยการรู้เห็นเอง ของเก่าสร้างมา หรือมี อาจารย์
    ซึ่งก็อาจไม่รู้ได้หรอก ว่าการปฏิบัตินั้น รวมถึงอาจารย์ที่ผ่านๆมา ปฏิบัติไปถูกหรือผิดทาง หรือเป็นการปฏิบัติไปเพื่อความหลุดพ้นมั้ย

    แต่ดูแล้วก็ไม่ใช้เรื่องที่จะไปหาเถียงพวกนี้หรอก เพราะต่างคนก็ต่างยึดถือพอใจ ตามนั้น
    เผลอๆ ถ้าเจอคนประมาณว่า อ่านมาเยอะ แล้วมาเถียง เทียบเคียงตามตำรา
    แค่บอกปัดๆกลับไปว่า เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตนก็จบแล้ว

    แต่พระพุทธเจ้าท่านเป็น สัพพัญญู ท่านก็รู้ถึง สภาวะ อาการต่างๆ สิ่งที่เป็นสาระสำคัญ เป็นไปเพื่อการหลุดพ้น ท่านบอกท่านสอน แล้วก็มีแนวทางไว้

    ก็อยู่ที่ว่าจะเชื่อใคร ชีวิตนี้มีจุดมุ่งหมายยังไงแบบไหน และจะเดินไปในทางไหน
     
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ขอขอบคุณและอนุโมทนาบุญฯ แก่ท่านทั้งหลาย และโดยเฉพาะท่านที่ใช้นามblackangelครับ ขอบคุณมากๆ(f)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...