จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    [​IMG]

    ภาพนี้สวยจริงๆ ลูกรัก เห็นองค์สมเด็จพระธรรมสามิสทรงเสด็จประทับนั่งหันหลังเข้าหาต้นโพธิ์ ทรวดทรงของพระองค์ก็ดี ผิวพรรณก็สดสวย ลีลาการเยื้องกรายกก็น่าเลื่อมใส พระองค์ทรงพระกายตรง นั่งขัดสมาธิ มือขวาทับมือซ้าย เท้าขวาทับเท้าซ้าย มองไปอีกทีปรากฏว่าเวลานั้น เทวดาและพรหมก็มายืนเรียงรายรอบๆ อยู่บนอากาศก็รอบๆ เห็นบรรดาเทพธิดาและเทพบุตรทั้งหลายโปรยปรายดอกไม้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่างคนต่างก็พนมมือทั่วจักรวาล จะมองไปทางไหนก็เต็มไปด้วยเทวดาและพรหม เวลานั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง จะทรงเห็นเทวดาและพรหมหรือไม่ พ่อไม่ทราบเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าภาพปรากฏขณะนั้น

    ในขณะเดียวกัน องค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ทรงตั้งพระทัย คิดว่า เรานั่งตรงนี้ และเราก็จะไม่ยอมลุกจากที่นี้ ถึงแม้เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งไปก็ตามที หรือชีวิตตินทรีย์จะตักษัยก็ตาม คือว่ามันจะผอม หรือมันจะตายก็ช่างมัน ถ้าเราไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เราจะไม่ยอมลุกจากตรงนี้ คือให้มันตายไปเสียเลยดีกว่า เพราะการบำเพ็ญมาสื้นเวลา ๖ ปี ถ้าไม่ได้ก็จงตายเสียเถิด อันนี้ต้องเรียกว่า เป็นพระราชดำริของพระราชาทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เวลานั้นยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าเมื่อองค์สมด็จพระพิชิตมารทรงตัดสินพระทัยแล้ว เพราะอาศัยที่พระองค์ทรง สมาบัติ ๘ มาก่อน การรวบรวมกำลังใจจึงเป็นของไม่ยาก แต่ดูเหมือนจะมีเสียงบอกมาว่า คำว่าไม่ยากคือ ไม่ยากแก่การตัดสอนใจ แต่มีอารมณ์ใจยากอยู่นิดหนึ่ง ขณะที่นั่งลงไปใหม่ คิดในใจว่า เราจะทรงอารมณ์แบบไหน ถึงจะตรงกับการได้พระโพธิญาณ และขณะนั้นเอง ความโปร่งจิตขององค์สมเด็จพระพิชิตมารก็ปรากฏ เมื่อปรากฏตามนั้นแล้ว อารมณ์ก็โปร่งขึ้นมา ปัญญาก็เกิด คิดว่าอันดับแรกเราจะต้องทรงสมาธิก่อนให้จิตเป็นสุข ให้จิตมีการทรงตัว จึงได้เริ่มจับ อานาปานสติกรรมฐาน ทรงอารมณ์อยู่เป็นปกติ ใช้เวลาไม่นาน เริ่มตั้งกำลังใจ เพียงแค่ครึ่งวินาที อารมณ์ของสมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงสงัดจัดเป็นฌาน ทีแรกขึ้นเป็นฌานต้นทีเดียวถึงฌาน ๘ ทรงอารมณ์สบายอยู่ในสมาบัติ ๘ จิตสงบสงัด มีอารมณ์ป็นสุขมาก

    ในชั่วขณะเวลาผ่านไปประมาณสัก ๑ ชั่วโมงเศษ พ่อขอคุยกับลูกตามคำบอก จะเรียกพูดตามพากย์ก็ได้ เวลาผานไปชั่วโมงครึ่ง ความสุขเกิดขึ้นจากสมาธิ อารมณ์เด็ดเดี่ยวเป็น อุเบกขารมณ์ เกิดขึ้นจากสมาธิ ใจมีความปลอดจากกิเลส ตอนนั้นองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐจึงได้ ลดกำลังของสมาธิ ค่อยๆ เลื่อนมาจากสมาบัติข้อที่ ๘ มาถึงข้อที่ ๗ ที่เรียกว่า อากิยจัญญายตนะ ลดลงมาถึงข้อที่ ๖ ที่เรียกว่า วิญญาณัญจายตนะ ลดลงมาข้อที่ ๕ ที่เรียกว่า อากาสานัญจายนะ ค่อยๆ ลดมาทีละน้อยลดลงมาถึงข้อที่ ๔ ที่เรียกว่า จตุตถฌาน ลดลงมาถึงข้อที่ ๓ ที่เรียกว่า ตติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๒ ที่เรียกว่า ทุติยฌาน ลดลงมาถึงฌานที่ ๑ ที่เรียกว่า ปฐมฌาน ลดลงมาถึง อุปจารฌาน การลดลงมา การขึ้นลงเป็นเรื่องคล่องแคล่วขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พยายามลองลด ก็ชื่อว่าจะลองเล่นกำลังฌาน ว่ากำลังจิตจะใช้กำลังได้หรือไม่ เพราะทิ้งมานาน ลดลงมาถึง อุปจารสมาธิ แล้วขึ้นไป ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ แล้วก็ ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ วิ่งไปวิ่งมา ใช้เวลา ๑ ชั่วโมง ก็ปราฏว่าถอยหลังมาตั้งอยู่ใน อุปจารสมาธิ ใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า "คำว่าพระโพธิญาณ มีสภาวะเป็นประการใด กิเลสทั้งหลายที่เข้ามาขัดข้องจิต ทำให้ทุกคนเห็นผิดเป็นถูกข้อนั้น มีอะไรบ้าง ขอจงปรากฏกับจิตของเรา

    ตอนนี้ปรากฏว่า อารมณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน กลับเกิด บุฟเพนิวาสานุสติญาณ การระลึกชาติได้ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็น จิตในจิต คือ มีความสว่างไสว จิตเป็นประกายพรึกขึ้นมาสว่างออก สภาวะต่างๆ คือเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ที่แวดล้อมอยู่เวลานั้น ที่ยืนอยู่ใกล้ภาคพื้นดินก็ดี บนอากาศก็ดี ถือดอกชบาทำสักการะ เป็นอันว่าปรากฏแก่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชัดทั่วจักรวาล เป็นเหตุให้พระองค์มีจิตเบิกบาน ว่า โอหนอ คำว่า "พระโพธิญาณ" คงจะสำเร็จแก่เราในตอนนี้ เป็นกำลังใจให้องค์สมเด็จพระชินสีห์ได้บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตอนนี้เห็นเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส มีอาการสดชื่นมาก พรหมบางท่านเข้ามาถวายพัดอยู่ใกล้ๆ เทวดาทั้งหลายก็ยืนล้อมรอบ และก็ลอยในอากาศล้อมรอบ ทรงสดชื่นมาก ทรงถอยหลังชาติไม่มีเหตุจำกัด ก็ทรงทราบว่าองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ได้เคยเกิดมาเป็นอะไรบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติไหนที่เคยได้รับพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็พระพุทธเจ้าชื่ออะไร พยากรณ์ว่าอย่างไร กิจใดทำไว้ ทราบชัดหมด ตอนนี้เป็นกำลังใจขององค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า กัปนี้เราเป็นองค์ที่ ๔ ที่จะได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ น้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้บุพเพนิวาสานุสติญาณแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ใช้กำลังจิตที่ได้ บุเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติถอยหลังเป็นประโยชน์มาก รู้อดีตที่ล่วงมาแล้วว่า มีสภาพเป็นอย่างไร เกิดเป็นอะไรบ้าง เกิดเป็นคนบ้าง แล้วก็ตายเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นพรหมบ้าง ไปอยู่นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป้นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ทำคุณประโยชน์อะไรบ้าง และก็ได้รับพระพุทธพยากรณ์ว่าอย่างไรบ้าง พระพุทธเจ้าแต่ละองค์สอนว่าอย่างไร และท่านผู้ใดที่เป็นพระอรหันต์เป็นเพราะอะไรเป็นเหตุ เมื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์มีกำลังใจ เพราะอาศัยบุพเพนิวาสานุสติญาณ จึงทบทวนไปมา แล้วก็เลือกจัดธรรมะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เอามาเป็นเครื่องพิจารณา ตอนนี้องค์สมเด็จผู้มีพระมหากรุณาธิคุณเมื่อพิจารณาในด้านบุเพนิวาสานุสติญาณ กำลังใจก็เต็มขึ้น เป็นเหตุให้ได้ ทิพยจักขุญาณ หรือที่เรียกกันว่า จุตูปปาตญาณ เป็นอันว่าพระองค์กลับมีความรู้สึกว่า สัตว์ในโลกทั่วจักวาลนี่เป็นคนก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี บางท่านที่มาเกิดก็มาจากพรหมบ้าง มาจากเทวดาบ้าง มาจากมนุษย์บ้าง มาจกสัตว์เดรัจฉานบ้าง อสุรกายบ้าง เปรตบ้าง สัตว์นรกบ้าง แล้วก็ทรงรู้ถึงว่า ถ้าพวกที่มีอารมณ์ตามนั้นที่ทรงอยู่ ตายแล้วจะไปอยู่ที่ไหน รู้ถึงความเป็นอยู่ เป็นอันว่าตอนนี้เป็นเหตุให้องค์สมเด็จพระบรมครู ใช้ปัญญาเข้าพิจารณาด้วยกำลังของ "ทิพยจักขุญาณ" และ "บุพเพนิวาสานุสติญาณ" ว่าคนและสัตว์นี้มีเครื่องยืนยันได้แน่นอนว่า ไม่มีใครมีสภาวะทรงตัว และเหตูที่จะพึงตัดจะต้องเอาอะไรมาตัดกรรมที่เป็นกิเลส คือที่เรียกว่า กิเลส ตัญหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ที่ทำให้คนมัวเมาอยู่ในร่างกายที่ไม่เป็นสาระ ไม่มีประโยชน์ การเกิดแต่ละชาติมีแต่โทษ ไม่มีคุณ จะเอาอะไรมาเป็นเครื่องตัด เราจะต้องตัดใจของเราก่อน และจึงจะไปสอนบุคคลอื่น เมื่อสมเด็จพระผุ้มีพระภาคเจ้าทรงดำริอย่างนี้ กำลังสมาธิที่ท่านกล่าวว่าเป็นเหตุให้เกิดปัญญา มันก็เกิด ก็มีความรู้กว่า สิ่งที่จะทำให้ไม่เกิดมีอยู่ ๔ อย่าง ต้องประกอบกัน คือ

    ทุกข์ เป็นเครื่องดึงให้เกิด คือคนที่หลงในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ และก็ทุกข์เกิดจากความอยาก การทะเยอทะยาน อย่างเมื่อเราเป็นเด็กๆ เราก็อยากจะโต เมื่อโตแล้วเราก็อยากเป็นพระราชา ท่านปรารภถึงพระองค์เอง เมื่อเป็นพระราชาแล้ว ก็อยากเป็นพระราชาที่มีอำนาจ อำนาจที่พพระองค์ต้องการก็คืออำนาจโดยธรม หรือมีธรรมเป็นอำนาจ จะใช้ความดีสงเคราะห์คนอื่นให้มีความสุข ใช้ความดีเป็นอำนาจ พระองค์ทรงคิดไกล เมื่ออาการอย่างนี้มันเกิดขึ้นว่า ก็ทำให้คับใจ ถ้าสิ่งใดที่ทำไม่ได้ตามความปรารถนา หรือว่าความปรารถนาไม่สมหวัง อารมณ์มันก็เป็นทุกข์ นี่ตัวอยากเป็นเหตุ ถ้าเราจะตัดก็ต้องตัดตัวอยาก ตัดตัวอยากต้องใช้กำลังความดี ทรงพิจารณาดูว่า ความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านตรัสก็คือ ศีล สมาธ ปัญญา หรือที่เรียกว่ามรรค ๘ ทรงพิจารณาว่า...

    ๑. เวลานี้ศีลของเราบริสุทธิ์หรือยัง ก็ทรงทราบว่าศีลบริสุทธิ์ทุกอย่าง

    ๒. สมาธิ ของเรามีกำลังพอหรือยัง ก็ทรงทราบว่าสมาธิของเรามีกำลังพอ จึงได้รวบรวมกำลังใจว่า จุดใดที่ยังมีภาวะติดอยู่ ตัดตรงไหนดีหนอ

    พิจารณาตอนนั้น จะตัดอารมณ์ใจอย่างเดียวหรือจะตัดอะไรด้วย

    อันดับแรก ตัด รูป คือ ไม่ห่วงใยในรูป นี่เราก็ตัดมาแล้ว ปัญญาบอกว่าต้องตัดรูป แต่ก็ทรงพิจาณาว่าเรานั่งที่นี่ก็ดี เราออกแสวงหาอภิเนษกรมณ์ก็ดี นี่เราตัดรูปมาแล้วนี่นะ

    รูป เรา เราก็ตัด คือเราไม่หวังความสุขในรูปกายของเรา นี่เราตัดแล้ว

    รูป ของพิมพพาราชเทวี มเหสีที่รัก เราก็ตัดแล้ว รูปของลูกรักที่เกิดในวนเดียววันนั้นเราก็ตัดแล้ว

    รูป ของพระราชบิดา พระราชมารดา หรือข้าราชการ เราก็ตัดแล้ว

    รูป ของนางสนมนารี เราก็ตัดแล้ว และรูปของทรพย์สินทั้งหลาย เราก็ตัดแล้ว.

    ยังมีอะไรอีกบ้างไหมที่เราจะต้องตัด ก็เรื่องของ นาม คือ ความปรารถนาของใจ ได้แก่โลกธรรม ๘ ทรัพย์สินที่พึงจะเกิดขึ้น เราตัดแล้วหรือยัง ก็ทรงพิจารณาว่า...

    - เวลานี้เราไม่มีอะไร มีแต่ผ้านุ่ง ผ้าหุ่ม กับร่างกาย ทรัพย์ทั้งหลายทั้งหมดที่มันมากกว่านี้ ที่เราเคยครองอยู่ เราตัดแล้ว และการเสื่อมลาภไป ไม่มี ลาภ เราเป็นสุขหรือเป็นทุข์ นึกถึงลาภนั้นบ้างหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่าเราไม่นึก นี่เราก็ตัดแล้วเรื่อง ลาภ

    - มาเรื่องยศฐาบรรดาศักดิ์ เรามาจากความเป็นพระราชา เราไม่ได้ลาออก เราไม่ได้มีความผิด เราตัดมาเพื่อแสวงหาภิเนษกรมณ์เราตัดแล้ว การหมดยศฐาบรรดาศักดฺ อำนาจศักดิ์ศรี เป็นเครื่องวังเวงใจให้เรานึกถึงบ้างไหม เราก็ไม่นึกถึง อันนี้เราก็ตัดแล้ว

    - เวลานี้เราตัดผม คนสมัยนั้นเขาถือว่าคนไม่มีผม คนโกนหัว เป็น กาลกิณี อารมณ์อย่างนี้ที่เขานินทา เรา หวั่นไหวไหม ก็ทรงทราบในพระทัยว่า เราไม่ได้หวั่นไหว

    - และประการต่อไป ถ้าใครเขามา สรรเสริญ เราได้รับการย่องย่องขณะที่เรามาอยู่ป่า เช่น ปัญจวัคคีย์ฤาษีทั้ง ๕ เทอดทูนเราว่าเป็นคนดี และก็มีพราหมณ์ที่นำหญ้าคามาให้เราก็ดี คนหลายคนที่ผ่านมาเห็นเราเข้า รู้ว่าเราเป็นกษัตริย์มาในกาลก่อน เขาก็พากันสรรเสริญเยินยอ ว่าเราเป็นคนดี คำสรรเสริญอย่างนี้เราผูกพันหรือเปล่า ก็ทรงทราบว่า ไม่ผูกพันแล้ว

    - ต่อไปองค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็มารำพึงว่า ความสุขความทุกข์ ที่เนื่องกับเรื่องกายนี่เราตัดแล้วหรือยัง พระองค์ก็ทรงทราบว่าตัดแล้ว เพราะว่าเราตั้งมโนปณิทานว่า ถ้าไม่สำเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด เลือดและเนื้อมันจะเหือดแห้งไป นี่หมายความว่า ทุกขเวทนามันหนัก มันหิวขึ้นมาทีละน้อยๆ หนักเข้าๆ ร่างกายก็ทรงไม่ไหว มันอาจจะตายซะตรงนี้ แต่อารมณ์เราตัดแล้วด้วยดี มันจะตายตรงนี้ก็เชิญ ถ้าเราไม่ได้บรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อันนี้เราตัดแล้ว

    - เป็นอันว่าการพิจารณาแบบนี้ เป็นปัจจัยให้องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน เวลานั้นลูกรัก ตามภาวะของภาพที่ปรากฎ คืออารมณ์เคลิ้ม เวลานั้นเห็นองค์สมเด็จพระพิชิตมาร มีกระแสจิตสว่างไสวเป็นประกายพรึก เหมือนกับพระอาทิตย์สักพันดวง และก็มีพระฉวีวรรณเปล่งปลั่ง เพราะความสดชื่นในจิต บรรดาเทวดาและพรหมต่างก็มานมัสการองค์สมเด็จพระธรรมสามิส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่าน "สหัมบดีพรหม" กล่าวว่า...

    "สิทธัตถะ ท่านเอ๋ย เวลานี้กิจที่ท่านต้องการ คือ "พระสัมมาสัมโพธิญาณ" ชื่อว่า เป็นพระอรหันต์องค์แรกในโลก บรรลุแก่ท่านแล้ว"

    แสดงกระทู้ - พระพุทธประวัติพระพุทธเจ้าสมณโคดม (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) • ลานธรรมจักร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2015
  2. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    muttothai_800.jpg

    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เกิดเมื่อปี พ . ศ . ๒๔๑๓ ที่ จ . อุบลราชธานี บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๕ ปี ได้ลาสิกขาและกลับมาอุปสมบทอีกครั้งเมื่ออายุ ๒๒ ปี สำเร็จเป็นอริยบุคคลโสดาบันในพรรษาที่ ๓ ที่วัดเลียบ พระสกิทาคามีในพรรษาที่ ๘ ที่กรุงเทพฯ พระอนาคามีในพรรษาที่ ๑๒ ที่ถ้ำสาลิกา และบรรลุธรรมสูงสุดที่ถ้ำไผ่ขวาง จ . ลพบุรี เป็นบุรพาจารย์ของพระวิปัสสนากัมมัฏฐานในเวลาต่อมา มีความสามารถในการแสดงธรรมได้อัศจรรย์ และธรรมที่ท่านได้แสดง ศิษย์ได้รวบรวมไว้โดยให้ชื่อว่า มุตโตทัย

    http://www.kanlayanatam.com/Myimage-index/freeCD/jun09/book1.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,953
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    "สิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับผู้ที่มองโลกในแง่ดี"
    เด็กนักเรียนชาวโคลัมเบียคนหนึ่งเขียนข้อความที่น่าสนใจนี้....

    คำพูดที่ขัดแย้งกัน แต่เป็นความเป็นจริงในช่วงเวลาของเราในประวัติศาสตร์คือ

    เราสร้างตึกที่สูงขึ้น แต่วัดที่เตี้ยลง

    เรามีทางด่วนที่กว้างมากขึ้น แต่มีทัศนคติที่แคบลง

    เราใช้จ่ายมากขึ้น แต่เรามีน้อยลง

    เราซื้อมากขึ้น แต่เรามีความสุขกับของนั้นน้อยลง

    เรามีบ้านที่ใหญ่มากขึ้น แต่มีครอบครัวที่เล็กลง

    เราสะดวกสะบายมากขึ้น แต่มีเวลาน้อยลง

    เรามีการศึกษามากขึ้น แต่มีสามัญสำนึกน้อยลง

    เรามีความรู้มากขึ้น แต่มีการตัดสินน้อยลง

    เรามีผู้ชำนาญการมากขึ้น แต่ก็มีปัญหามากขึ้น

    เรามียามากขึ้น แต่ความ "อยู่ดี" น้อยลง

    เราเพิ่มพูนสิ่งที่เราเป็นเจ้าของ แต่ลดค่าของมันลงไป

    เราพูดมาก แต่แทบจะไม่มีความรักให้กัน และก็เกลียดกันบ่อยเกินไป

    เราเรียนรู้ว่าจะหาเลี้ยงชีวิตอย่างไร แต่เราไม่ได้เรียนรู้ว่าชีวิตคืออะไร

    เราทำให้การมีชีวิตยาวนานขึ้น แต่เราไม่ได้ใช้ชีวิตที่แท้จริง

    เราเดินทางไปกลับถึงพระจันทร์

    แต่เรามีปัญหาแค่จะเดินข้ามถนนไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้าน

    เราชนะปัจจัยภายนอก แต่ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ภายใน

    เราทำให้อากาศสะอาดขึ้น แต่เราทำให้วิญญาณของเราสกปรก

    เราสลายอะตอม แต่ไม่ใช่ความลำเอียง

    เรามีเงินเดือนมากขึ้น แต่ศีลธรรมน้อยลง

    เรามีปริมาณมากขึ้น แต่คุณภาพน้อยลง

    ยังมีช่วงเวลาของชายที่สูงใหญ่ แต่ไม่มีลักษณะเฉพาะตัว

    มีกำไรมากมาย แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับผู้คน

    ยังมีช่วงเวลาที่โลกสงบสุข แต่ยังมีสงครามภายใน

    มีกิจกรรมมากขึ้น แต่สนุกน้อยลง

    มีอาหารหลากชนิดมากขึ้น แต่ไม่มีคุณค่าทางอาหาร

    ยังมีช่วงเวลาที่คนแต่งงานกันมากขึ้น แต่ก็มีการหย่าร้างกันมากขึ้น

    มีบ้านที่สวยงาม แต่ก็มีบ้านแตกสาแหรกขาด

    มันคือช่วงเวลาที่มีอะไรมากมายโชว์อยู่ตรงหน้าต่าง

    แต่ไม่มีอะไรอยู่ในห้องเก็บสต๊อกเลย


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    เพียงแค่มนุษยชาติ หันมาหาความสุขที่อยู่ภายในตัว
    แต่ไม่ใช่วิ่งหาความสุขนอกตัวแบบสุขนิยม
    แต่ไม่ถึงขนาดสุขนิยม แต่เป็นการเอาชนะใจตัวเอง
    ให้อยู่ในบังคับของเราได้ .
     
  5. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    [​IMG]
    คําสอนพระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต ( ลายมือของท่านเอง) ธมฺมวิตกฺโก พระอรหันต์ กลางกรุง

    เมื่อท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต ได้อุปสมบทเป็นพระธมฺมวิตกฺโกภิกฺขุ แล้ว ท่านได้ประพฤติธรรมโดยเคร่งครัด มีศีลอันบริสุทธิ์ ไม่เคยล่วงศีลข้อใดเลย ท่านไม่ยอมแม้แต่จะมีเด็กไว้รับใช้ด้วยเกรงว่าจะขาดประเคน อันเป็นการล่วงศีล และไม่ต้องการจะเบียดเบียนใครแม้แต่กำลังกายของเขา ในเมื่อท่านสามารถทำเองได้

    ท่านได้ออกบิณฑบาตเช่นเดียวกับภิกษุทั้งหลาย และใช้เวลานี้ไปเยี่ยมบ้าน เยี่ยมโยม เมื่อกลับมาก็จะเอาอาหารบิณฑบาตถวายสมเด็จอุปัชฌาย์เป็นประจำทุกวันไม่เคยขาด นอกจากนี้แล้วท่านยังไม่เคยออกไปไหน ต่อมาภายหลัง เมื่อท่านปฏิบัติธรรมเคร่งครัดมากขึ้น ท่านไม่ออกจากวัดอีกเลย

    http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-nor/lp-nor_hist-05.htm

    หนทางสู่”จิตหนึ่ง”ของเจ้าคุณนรรัตน์ฯ


    ท่านธมฺมวิตกฺโกภิกขุ ได้เคยเล่าไว้ให้คุณการุณ เหมวนิช ฟังไว้อย่างน่าสนใจยิ่งว่า เรื่องของการทำสมาธินั้น ท่านได้ทำมาตั้งแต่สมัยยังเป็นฆราวาส ซึ่งโดยปกตินั้น ท่านมีนิสัยชอบความสงบเงียบ และชอบคนตาย โดยได้ให้เหตุผลว่า “คนตายให้แต่ความดีงาม ทำใจให้สงบ เพราะเมื่อเห็นแล้วก็เป็นเครื่องเตือนสติว่า ตัวเราก็ต้องตายไม่ช้าก็เร็ว นอกจากนี้ คนตายยังให้ความรู้ เป็นอาจารย์ใหญ่ทางการแพทย์ได้อีกด้วย ไม่เหมือนคนเป็น ซึ่งอาจมีทั้งคุณและโทษ ถ้าพบคนเลวก็มีแต่โทษ มีแต่ความลำบากใจไม่รู้จักหยุดหย่อน....”

    ด้วยเหตุดังกล่าวมานี้ ทุกครั้งที่ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯตามเสด็จไปยังพระราชวังบางปะอิน ในเวลาว่างราชการ ท่านก็มักจะปลีกตนไปปลีกวิเวกในป่าช้าใกล้ๆอยู่เสมอ โดยเมื่อล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 หากทรงต้องการให้หา ก็จะทรงให้คนไปตามตัวท่านที่ป่าช้าได้ทุกเวลา

    ต่อมา แม้เมื่อท่านออกบวช ท่านก็ยังฝึกกรรมฐานต่อโดยตัดกระดาษเป็นรูปวงกลม ติดไว้ที่ฝาห้องแล้วนั่งเพ่งจนเห็นภาพนี้ชัด ไม่ว่าจะหลับตาหรือลืมตา เป็นภาพอุคคหนิมิตที่ติดอยู่ที่จิต และสามารถขยายหรือย่อภาพนิมิตนี้ให้เล็กหรือใหญ่ได้ตามความประสงค์ หรือจะให้แตกขยายออกเป็นรูปวงกลมมากมายนับจำนวนไม่ถ้วนก็ได้ ซึ่งสำหรับเหตุที่ท่านธมฺมวิตกฺโก เลือกรูปวงกลมนี้เป็นที่เพ่งจิตแทนพระพุทธรูปหรืองค์ภาวนาอย่างอื่นนั้น ท่านให้เหตุผลว่า ท่านเห็นรูปวงกลมนี้เป็นเหมือนกับสังสารวัฏที่หมุนเวียนอยู่เสมอ

    ต่อมา เมื่อท่านธมฺมวิตกฺโกพิจารณาเห็นว่า ท่านมีกำลังอำนาจจิตแก่กล้าถึงระดับหนึ่งแล้ว ท่านจึ่งได้เปลี่ยนมาใช้หัวกะโหลกของมนุษย์มาตั้งเรียงไว้ถึง 4 หัวข้างที่นอนของท่าน จากนั้นท่านก็ได้นั่งสมาธิเพ่งหัวกะโหลกเหล่านั้นเป็นอารมณ์กรรมฐาน โดยเมื่อนั่งใหม่ๆ ได้ปรากฏภาพนิมิตแปลกประหลาดพิศดาร โดยปรากฏเป็นภาพหัวกะโหลกได้ลอยมาหลอกหลอนท่านในอาการต่างๆ ทั้งลอยเข้ามาใกล้บ้าง ลอยถอยห่างออกไปบ้าง ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แต่ภายหลังเมื่อท่านได้กำหนดภาพนี้ให้ผ่านเลยไปแล้ว ท่านก็ได้เห็นหัวกะโหลกเหล่านี้ตามความเป็นจริง ไม่มาหลอกหลอนท่านอีกต่อไป ซึ่งก็ยังความยินดีให้แก่ท่านมากขึ้น และท่านก็ได้ใช้จิตที่ทรงกำลังแก่กล้าเป็นพื้นฐานเช่นนี้ มาเจริญวิปัสนากรรมฐานจนบรรลุอริยมรรค อริยผลจนถึงขั้นสูงสุดในเวลาต่อมาได้เป็นผลสำเร็จในที่สุดฯ

    ทำเมืองให้เป็นป่า

    ครั้งหนึ่ง มีนายแพทย์ท่านหนึ่ง(นายแพทย์สุพจน์ ศิริรัตน์) ได้กราบเรียนถามท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯว่า
    “พระเดชพระคุณขอรับ พระอริยบุคคลในปัจจุบันนี้ ยังพอมีอยู่บ้างไหม.??”
    เมื่อได้ฟัง ท่านธมฺมวิตกฺโกก็ตอบในทันทีทีเดียวว่า “มี....”ท่านวิสัชนา”แต่ท่านไม่ค่อยเข้ามาอยู่ในเมือง ชอบอยู่ตามป่าตามเขากัน เพราะท่านเหล่านั้นไม่ชอบความวุ่นวาย” จากคำตอบดังกล่าว จึงเป็นการยืนยันว่า แม้ในยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นยุคที่โลกของเราเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายร้อยแปดพันประการ พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ขีณาสพ ก็ยังคงมีอยู่มิขาดสาย สมดังที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงเคยตรัสเอาไว้ว่า “ตราบเท่าที่ยังมีการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดอยู่โดยชอบแล้ว ตราบนั้นโลกย่อมไม่ว่างจากพระอรหันต์”

    แต่ด้วยเหตุดังว่า จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างยิ่งว่า ทำไมกรณีของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯนั้น ทั้งๆที่ที่ท่านพำนักอยู่ คือวัดเทพศิรินทราวาสนั้น ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองหลวงอยู่ใกล้กับสถานที่ราชการและธุรกิจมากมาย อีกทั้งยังแวดล้อมไปด้วยความอึกทึกวุ่นวายนานับประการ แต่ทำไมท่านจึงสามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมขั้นสูงได้ ซึ่งคำตอบที่ได้มาก็คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯนั้น ท่านทำเมืองให้เป็นป่าสำหรับองค์ของท่านนั่นเอง โดยการตัดโลกแยกตัวท่านออกมาจากสังคม ไม่ยอมยุ่งเกี่ยวสมาคมกับโลกภายนอกอย่างเด็ดขาด ถึงขนาดโยมบิดามารดาถึงแก่กรรม ท่านก็ยังไม่ยอมไปเผา ได้แต่สั่งการให้น้องๆดำเนินการแทน ทั้งๆที่ท่านมีความเคารพและกตัญญูต่อบุพการีและผู้มีพระคุณอย่างยวดยิ่ง ท่านไม่ยอมออกไปนอกเขตวัดเลยนานถึงกว่า 40 ปีเต็มๆ ท่านไม่เคยไปยังกุฏิใคร และก็ไม่ยอมให้ใครมายังกุฏิของท่าน หากจะต้องออกจากกุฏิ ก็จะตรงมาโบสถ์เพื่อทำวัตรเช้าและค่ำ วันละ 2 เวลาเท่านั้น ท่านอยู่ลำพังของท่านอย่างโดดเดี่ยวเอกา ที่สุด แม้แต่ไฟฟ้า พัดลม ทีวี ตู้เย็น โทรทัศน์ วิทยุ หรือเครื่องอำนวยความสะดวกอันใด ท่านก็ไม่มีกับเขาทั้งสิ้น ซึ่งก็แปลว่า ท่านปลีกวิเวกอย่างไร้สิ่งปรุงแต่งอย่างสิ้นเชิงเหมือนกับอยู่ในป่าดงจริงๆ ใครคนไหนมีธุระต้องการพบท่าน ก็พบได้แต่เฉพาะเวลาที่ท่านลงโบสถ์เท่านั้น ไม่ว่าคนสามัญ หรือเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน โดยท่านเคยกล่าวไว้ว่า “คนทั้งหลายที่มาพบนี่ เมื่ออาตมากลับกุฏิแล้ว อาตมาทิ้งหมด ไม่ได้นึกถึงเลย ผีทั้งนั้น...” ด้วยปฏิปทาอันแน่วแน่และเฉียบขาดเป็นที่สุดเยี่ยงนี้เอง จึงทำให้ท่านสามารถบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมชั้นสูงได้อย่างน่าอนุโมทนาสาธุการเป็นที่ยิ่งอย่างนี้ สมดังที่ท่านธมฺมวิตกฺโกได้ปรารภเป็นการส่วนตัวกับพระภิกษุนวกะรูปหนึ่งไว้คว่า
    “อาตมาไม่ต้องการเกิดอีกแล้ว อาตมามั่นใจว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของอาตมาแล้ว”
    และท่านก็ยังได้พูดยืนยันเป็นภาษาอังกฤษไว้อีกด้วยว่า “This Life Is The Last”

    อีกครั้งหนึ่ง ท่านได้ถูกคางคกไฟกัดเอาที่เท้า ขณะกลับจากทำวัตรค่ำ พิษนั้นได้สร้างความเจ็บปวดเสียดแทงเข้าถึงหัวใจ ได้รับทุกขเวทนาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเรื่องก็ได้ทราบถึงพระภิกษุผู้จำพรรษาใกล้ๆกันและได้มาเยี่ยมเยียนแสดงความเห็นอกเห็นใจ แต่ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯกลับตอบขอบใจเป็นคติที่น่าคิดอย่างยิ่งว่า “ไม่เป็นไร คางคกมันกัดเราได้ชาติเดียว แต่เสียงหวานๆนั้น มันกัดพวกคุณหลายชาติ..!!!!”

    http://www.phuttawong.net/index.aspx?ContentID=ContentID-051228172801232


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • oa0wzl.jpg
      oa0wzl.jpg
      ขนาดไฟล์:
      77.2 KB
      เปิดดู:
      1,022
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2015
  6. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      46 KB
      เปิดดู:
      99
  7. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,953
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    กอด...สุดท้าย

    บ่อยครั้งที่ชะตาชีวิตเล่นตลก พรากชีวิตคนรักของเราไปอย่างกระทันหัน ... เหมือนกับหนุ่มสาวคู่นี้ เทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ อาจเป็นสงกรานต์ที่โหดร้ายสำหรับเธอ เมื่อเธอต้องสูญเสียคนรัก ที่มีแผนว่า จะแต่งงานกันไปอย่างไม่มีวันกลับมา เธอทำได้เพียงกอดเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจ


    กอด... สุดท้าย!

    เรื่อง ราวมากมายในชีวิตของผู้ประสบเหตุแต่ละคนที่ผมพบเจอนั้น ผมไม่มีทางรู้เลยว่า ชีวิตของเขาเหล่านั้น! ผ่านอะไรมา จะสุข จะทุกข์ จะเศร้า หรืออนาคตของเขาเมื่อผ่านจากผมไป เขาจะต้องเจอกับอะไร???

    แต่ เมื่อใครบางคนที่ผมพบเจอ กลับต้องจากคนรักไป อย่างไม่มีวันกลับ โดยที่ไม่ได้ร่ำลา นั่นคือเรื่องเศร้าที่ผมและใครอีกหลายคน ล้วนทำใจลำบาก...

    เมื่อช่วงดึกที่ผ่านมา ชายคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุในเขตพื้นที่ กทม. เมื่อการติดต่อประสานญาติเริ่มขึ้น...


    ปลายสายที่รับโทรศัพท์เป็นแฟนสาวของผู้ประสบเหตุ ได้รีบเร่งเดินทางมาดูอาการของแฟนหนุ่มอย่างทันท่วงทีว่าเป็นอะไรมากน้อย เพียงใดจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้น...

    เมื่อถึงโรงพยาบาลคำแรกที่แฟนสาวถามหา คือชายหนุ่มคู่รักของตนที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกกับแฟนสาวเพียงสั้นๆว่า... "ทำใจดีๆนะครับ" สิ้นคำของเจ้าหน้าที่เพียงเท่านั้น! เธอเองก็เข้าใจได้ว่าแฟนหนุ่มของเธอได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ...

    น้ำตา แห่งความรักก็ได้ไหลนองอาบสองแก้ม ซึ่งมันเป็นภาพที่หดหู่สะเทือนใจยิ่งนัก ณ ตอนนั้น พวกผมทำได้เพียงแค่ปลอบใจให้เธอนั้นได้มีสติ เพื่อที่พร้อมจะรับกับสถานการณ์ต่างๆต่อไป...

    หลังจากเธอตั้งสติได้ ภาพชายหนุ่มที่เธอรัก นอนอยู่แน่นิ่งบนรถเข็นของโรงพยาบาล ที่ได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันกลับ...
    สิ่งที่พบเจอคือภาพที่เธอวิ่งเข้าไปโผกอดร่างแฟนหนุ่มที่ไร้วิญญาณ ด้วยน้ำตานองหน้า ก่อนที่จะกล่าวว่า...

    "... รีบจากกันไปไหน ไหนบอกว่าเสาร์นี้เราจะไปดูโรงแรมเพื่อจะแต่งงานกันไง แล้วทำไมถึงทิ้งกันแบบนี้ ..... ฉันรักเธอนะ ฉันรักเธอ เธอได้ยินฉันมั๊ย ..."

    เมื่อสิ้นเสียงของเธอ ความเสียใจกับการลาจากที่หลั่งออกมาเป็นน้ำตา ก็ไหลรินอยู่ตลอดเวลา จนพวกผมก็ต้องแอบปาดน้ำตา และ รู้สึกเสียใจกับเธอไปด้วยกับความสูญเสียในครั้งนี้...

    เมื่อหนุ่มสาวมีโครงการที่จะแต่งงานกัน ใช้ชีวิตร่วมกัน แต่สุดท้ายโชคชะตากลับเล่นตลก ได้พรากคนรักของเธอจากไปอย่างไม่มีวันกลับ...

    ใน ทุกๆวัน เราไม่มีทางรู้ ได้เลยว่า เราจะมีโอกาสอยู่กับคนที่เรารักได้นานแค่ไหน สิ่งที่เราทำได้ คงเพียง ในวันนี้ที่เรายังมีโอกาส ดูแลกันและกัน ให้ความรักต่อกัน และใช้ชีวิตเหมือนว่า วันนี้เป็นวันสุดท้าย .... ที่เราจะได้พบกัน

    ขอแสดงความเสียใจกับการสูญเสียคนที่รักไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ...

    ขอบคุณเรื่องราว โดย... พี่บอล ลาดพร้าว 10 อาสาสมัคร มูลนิธิร่วมกตัญญู
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,953
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]. .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ระลึกถึงความตาย

    การระลึกถึงความตายนี้ จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อ ระลึกถึงความตายแล้ว ตระหนักว่าเมื่อก่อนความตายจะมาเยือนเรานี้ เราควรทำสิ่งใดเพื่อเป็นประโยชน์ตนประโยชน์ท่านบ้าง ประโยชน์ในปัจจุบันนี้และประโยชน์ในโลกหน้าบ้าง
    เมื่อตระหนักแล้ว จึงเร่งรัดลงมือทำ โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเบื่อหน่าย ให้กระตือรือร้นเหมือนประหนึ่งไฟกำลังไหม้บ้าน ต้องเร่งดับไฟ...

    หากระลึกถึงความตายแล้ว ก็ไม่ได้ลงมือทำอะไรที่เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในโลกหน้าแล้ว การระลึกถึงความตายก็เป็นการระลึกถึงเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ได้แต่เพียงพูดเอา คิดนึกเอาเท่านั้น ไม่เกิดมรรค แน่นอนว่าผลย่อมไม่เกิด

    หากระลึกถึงความตายแล้ว จิตใจเกิดสลดหดหู่ ท้อแท้ทอดถอน ไม่มีกำลังใจจะคิดทำการใดๆต่อไปอีก หมกมุ่นครุ่นคิดถึงแต่ความตาย ทำให้จิตใจเกียจคร้าน อ่อนแอ ขาดไร้ซึ่งพลัง ทำตัวเยี่ยงซากศพเดินได้ อยู่ไปวันๆ เพ้อพร่ำรำพัน เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว การระลึกถึงความตายย่อมเกิดโทษมากกว่าคุณ ตายลงขณะที่จิตเศร้าหมอง ย่อมมีทุคติเป็นที่ไป

    ...................................

    ตะกี้พึ่งคุยกับ น้องผู้มีธุระมาก ต้องเลือกระหว่างไปอบรม กับไปปฏิบัติธรรม ขณะที่เธอรู้สึกเบื่อกับการอบรมแบบนี้มาก และอยากไปปฏิบัติธรรมมากกว่า
    แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่ตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรมนั้น มักมีอุปสรรคหลายๆอย่างเข้ามาขัดขวาง...

    จึงได้ให้แง่คิดไปว่า หากเรารู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 7 วัน เราอยากจะทำอะไร? ก็ตัดสินใจทำสิ่งนั้นลงไปเถอะ...นี่ใช้แต่ความคิดประสาปุถุชน ยังไม่ถึงปัญญาทางธรรม...ยังไม่ถึงมรณานุสติกรรมฐานแต่อย่างใด ก็หวังว่าน้องท่านนี้จะตัดสินใจได้เองครับ...

    แม่ต้อย...จิตพร้อม?รับภัยพิบัติ...
    ภัยพิบัติ ไม่ต้องไปรับมันเข้ามาหรอกครับ
    ภัยพิบัตินั้น เกิดขึ้นแล้วที่จิต? เกิดมานานแล้ว
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนไว้แล้ว ถึงวิธีดับภัยพิบัติให้สิ้นไปจากจิต...
    มีสติ มีสมาธิ จนเกิดปัญญา เมื่อดับภัยพิบัติภายในได้แล้ว
    ภัยพิบัติภายนอก ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง
     
  11. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    IMG_20150425_153900.jpg ทาน ศีล ภาวนา

    IMG_20150425_130137.jpg ผู้ปฎิบัติ พึงรู้เอง เห็นเอง
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,953
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    **********************************
    สาธุในธรรมทานค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,953
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    [​IMG]. .
    อานิสงส์ของการสวดมนต์
    เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี


    ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน

    ครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวัด ระฆังมายังบ้านของท่าน เจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา
    เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์

    “ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ” ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย

    เพราะ การสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร

    การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์

    ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ

    เมื่อฟังธรรม
    • เมื่อแสดงธรรม
    • เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
    • เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
    • เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ


    การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม

    การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ

    • กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
    • ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
    • วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ

    ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว
    อาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน นั่นเป็นคำพูดของหลวงปู่โตและท่านยังแนะนำอีกว่า
    การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น

    *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด

    *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่นคือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง

    เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก
    ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม

    จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต พรหมรังษี

    ที่มา: บทความ เรื่องราวน่ารู้ นวรัตน์ดอทคอม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LP Toh.jpg
      LP Toh.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.5 KB
      เปิดดู:
      1,027
  14. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    จิตใจของบุคคลใด ไม่นิยมในมนุษยโลก
    เทวโลก และพรหมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ไม่สนใจขันธ์ ๕ เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นปัจจัยของ
    ความทุกข์ เรามีขันธ์ ๕ เพียงใด เราจะมีความสุข
    ไม่ได้ เราไม่ต้องการขันธ์ ๕ อย่างนี้ก็ไปนิพพาน
    (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      288.4 KB
      เปิดดู:
      121
  15. devotee57

    devotee57 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2014
    โพสต์:
    228
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +556
    สวัสดีค่ะ เพิ่งเข้ามาวันนี้วันแรก อยากสมัครเป็นนักเรียนหลักสูตรจิตเกาะพระค่ะ ต้องทำอย่างไรบ้างคะ? คือแบบว่าเคยนั่งสมาธิจริงจัง2-3ครั้งค่ะ(เพิ่งกลับจากไปปฎิบัติธรรมคร้้งแรก 7 วันสาหัสสำหรับคนไม่เคยอยู่ค่ะ) ถ้าใครจะกรุณาเป็นพี่เลี้ยงให้(เด็กงี้เง่า...โดนว่าบ่อยๆ555)จะขอบพระคุณมากค่ะ จะให้นั่งสมาธิแบบปกติก็ลำบากตรงที่กระดูกหลังเราไม่ตรง นั่งนานเวทนาเกิดเข่าก็ไม่แข็งแรง เลยคิดว่าการเรียนจิตเกาะพระน่าจะดีกับเรานะค่ะ ขอฝากตัวด้วยน่ะคะ
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    46,953
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,043
    ******************************
    *จิตเกาะพระเขาทำกันแบบนี้นะ สำหรับผู้มาใหม่หรือผู้ปฎิบัติ<wbr>ใหม่ๆนั้น ก็คือ ให้คุณไปเลือกภาพพระมาหนึ่งรูป แล้วนำมานั่งมอง ยืนมองหรือนอนมองก็ตามใจ จะเป็นภาพพระพุทธเจ้าพระองค์<wbr>ใดก็ตามใจ หรือจะเป็นภาพพระอริยเจ้าองค์<wbr>ใดก็ตามใจ แต่ถ้าใหม่ให้เราทำแบบนี้ก็คือ ให้เราจ้องดูภาพพระแบบสบายๆก่อน แล้วลองหลับตาหรือไม่หลับตาก็<wbr>ได้ แต่คราวนี้ห้ามใช้<wbr>สายตามองภาพพระแล้ว แต่จะให้จิตนึกถึ<wbr>งภาพพระแทนละคราวนี้ แต่ถ้าภาพพระยังไม่ปรากฎขึ้นที่<wbr>จิต ให้เรากลับไปทำแบบเดิมๆ ทำซ้ำๆบ่อย อีกไม่นานนัก เดี๋ยวก็จำได้ จำได้หมายถึง ภาพพระจะปรากฎขึ้นที่ดวงจิ<wbr>ตเองโดยที่เราไม่ต้องไปกำหนดหรื<wbr>อระลึกถึงพระแล้ว เพราะเมื่อจิตเขาจำได้เองแล้ว ภาพพระจะปรากฎขึ้นที่จิ<wbr>ตเองเลยคราวนี้ เรียกว่า จิตเกาะพระได้แนบแน่น เดี๋ยวอีกไม่นานนักจิตจะเกิดปิ<wbr>ติแล้ว จิตเกิดปิตินี้ก็แสดงว่า จิตอยู่ที่ระดับอุปจารสมาธิ(เฉี<wbr>ยดฌาน) และผ่านปิติไปแล้ว ภาพพระจะใสและพัฒนาเป็<wbr>นภาพแบบประกายพรึก(ฌานสราแล้ว) จิตคุณอยู่ระดับอัปปนาสมาธิ(<wbr>ฌาน)
    และอีกไม่นานนักจิตจะเข้าโหมดวิ<wbr>ปัสสนาออโตเอง โดยที่เรา(สติ)มิได้ไปบังคับให้<wbr>จิตทำวิปัสสนาเลย เดี๋ยวจิตเข้มหรือจิ<wbr>ตทรงฌานานๆและฌานอย่างต่อเนื่<wbr>อง(จิตทรงฌานทั้งวันทั้งคืน) เดี๋ยวคุณก็จะค่อยๆเข้าใจไปเอง ผู้ไม่ปฎิบัติจะไม่มีสิทธิ์รู่<wbr>เลย กับสิ่งที่ผมกล่าวไปแล้ว

    การทำจิตเกาะพระนี้ คุณไม่ต้องไปนั่งหลับตาลื<wbr>มตาทำสมาธิอะไรของคุณให้เสี<wbr>ยเวลาแล้วนะ เพราะจิตเกาะพระไม่ไปเบียดเบี<wbr>ยนเวลา คุณทำงาน นอนหลับ ทำธุระกิจส่วนตัว แม้นในขณะเข้าห้องน้ำ อาบน้ำก็ทำจิตเกาะพระได้ วิธีทำจิตเกาะพระนี้ง่ายที่สุด สะดวกที่สุดแล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาหลับทำสมาธิกั<wbr>นแล้ว ต่อให้คุณทำได้ถึงฌานสี่ทุกวัน แต่ความเป็นจริงแล้วเราก็หานั่<wbr>งทำสมาธิอยู่แบบนั้นตลอดเวลาก็<wbr>ไม่ได้ ฌานไม่เที่ยง ฌานไม่ต่อเนื่อง อันท้ายนี่เองเป็นจุดอ่อนสำหรั<wbr>บนักภาวนาทั่วๆไป

    (พี่ภูพิมพ์จบแล้วครับ แค่อธิบายแบบย่อๆคิดว่าคุณน่<wbr>าจะพอเข้าใจ แต่ถ้ายังไม่เข้าใจก็ให้<wbr>ถามมาใหม่)
     
  17. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    คำว่า กำลังใจ มันสำคัญมากสำหรับคนทางโลก ยิ่งนักภาวนาด้วยแล้ว ต้องมีต้องใฝ่หาอย่านิ่งเฉย จิตไม่พัฒนาให้สูงขึ้นได้ จิตไม่ละเอียดขึ้นได้หรอก ถ้าหากกำลังใจเรามีอยู่เท่าเดิมเหมือนเดิม นอกจากจะรักษากันยังไม่ได้แล้ว ยังขยันทำจิตตกหรือเผลอสติกันอี๊ก อย่าเพิ่งไปพูดถึงเรื่องการสร้างกำลังใจเพิ่ม เพราะบางคนมัวแต่ยุ่งเรื่องทำมาหากิน ยุงเหยิงกับทางโลกเสียมาก ทางธรรมหรือบุญภายในตนก็เลยพลาด หากหมดลมตอนนี้ ทำไง ไม่มีใครช่วยกันได้เลย เพราะตอนมา(เกิด)เราก็มาคนเดียว แต่จะไป(ตาย)ก็จะไปแต่ผู้เดียวอีก อย่าลืมกันนะพวกเรา การที่เรามาเกิดมีกายหยาบ กายหยาบก็สมมุติ โลกนี้หรือคนที่เราอยู่ด้วยก็สมมุติทั้งสิ้น ของจริงอยู่ที่โลกหลังความตาย ..สตินะสติ พยายามทำความรู้สึกตัวมากๆ บางคนไม่เข้าใจว่า สติคืออะไร ส่วนใหญ่มักเข้าใจสติเป็นเวทนา เวทนาเป็นสติ ไม่ใช่ๆนะ คนละเรื่องเลย อย่าไปเอาความรู้สึกที่จิตใจถูกกระทบมาเป็นเราเป็นของๆเรานะ คำว่า รู้สึกตัวกับรู้สึกคือเวทนานั้นมันคนละเรื่องกัน เวทนา นักภาวนาเขาให้ละทิ้งอย่าสนใจ แต่ความรู้สึกตัวมากๆนี้ นักภาวนาเขานิยมกันนะ สาธุๆๆ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      107.3 KB
      เปิดดู:
      110
  18. somchai_12

    somchai_12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +800
    P4290130.jpg


    ควรตั้งใจเมื่อให้ทาน

    เมื่อเราจะให้ทาน ควรจะชำระจิตใจ เจตนาให้บริสุทธ์
    อย่าไปโกรธ อย่าไปเกลียด อย่าให้มีใจขุ่นมัว
    ให้ตั้งจิตตั้งใจปรารถนาว่า "สุทินนัง วะตะเม ทานัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ เม นิจจัง" ดังนี้สามครั้ง

    คำรำพึงถึงบุญ

    เมื่อใดให้ทานแล้ว นานเท่าใดก็ดี ก็ให้มีปิติยินดีอยู่ทุกเมื่อ อย่าให้เบื่อหน่ายและแหนงใจ ควรรำพึงว่า "ทานัง เม ปริสุทธัง" และ "มุตตะ จาโค" ไปในใจเถิด

    สำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมและความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ พระศาสนา พระมหากษัตริย์ เปิดรับบริจาคสิ่งของช่วยเหลือและปัจจัยอื่นๆ ณ ศูนย์รับบริจาค ศาลาเฉลิมพระเกียรติ วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร หรือโอนเงินผ่านบัญชี "ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวเนปาล" เลขที่บัญชี 179-204684-7 ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา วงเวียนโอเดียน
     
  19. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2015
  20. zipp

    zipp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    234
    ค่าพลัง:
    +141
    ทีมนักวิจัยรัสเซียค้นพบที่อยู่ของกายทิพย์หลังความตาย

    ทีมนักวิทยาศาสตร์หนึ่งในโครงการลับของรัสเซีย เผย งานวิจัยไขปริศนา หาดินแดนปรภพโดยการถอดจิต ชี้ ดาวเอ็มโอเอ-192 บี เป็นที่อยู่ของกายทิพย์ !

    วันนี้ (1 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชาวโปแลนด์ เบอร์นาร์ด ชิมลิตต์ แห่งสถาบันเฟิร์สต์ สเปซ ไซน์ โพลีเทคนิค แห่งกรุงกลาสโกว์ เผยว่า จากการเฝ้าสังเกตการณ์และตรวจชั้นบรรยากาศอย่างละเอียด จนเกิดความมั่นใจว่าดวงดาว เอ็มโอเอ-192 บี (MOA-192 b)

    ซึ่งตั้งอยู่ใน กลุ่ม ดาวแคปริคอน (ม้ามีหัวเป็นคน ราศีที่ 9 จาก 12 ราศี) ซึ่งอยู่ห่างจากดาวโลก ราว 3,000 ปีแสง คือแดนสวรรค์ที่สิงสถิตของดวงวิญญาณ หรือที่ชาวพุทธเรียกกันว่า
    ดินแดน "ปรภพ" ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์คนดังกล่าว นำข้อมูลที่เก็บมาได้โดยเฉพาะข้อมูลชั้นบรรยากาศ บอกให้รู้ถึงร่องรอยสิ่งมีชีวิต อาศัยอยู่บนดาวดวงนั้น 2 กรณี

    1. มีการตรวจพบสัญลักษณ์พลังงานไฟฟ้าระดับต่ำ ซึ่งเป็นไปได้ว่าไฟฟ้าเกิดจากพายุฟ้าคะนอง หรือเกิดจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า

    2. มีการตรวจพบดินแดนที่คล้ายเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตที่มี รูปแบบต่างไปจากมนุษย์ บริเวณขั้วโลกเหนือ ของดวงดาว MUA-192 b

    ชั้นบรรยากาศดวงดาวแห่งนี้ แตกต่างไปจากชั้นบรรยากาศของโลก สิ่งที่น่าตระหนก เราพบว่ามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดขึ้นในปริมาณสูงพอๆกับไอน้ำที่ระเหยขึ้นมาในชั้นบรรยากาศ ซึ่งทั้ง 2 ประการนี้ ล้วนเป็นร่องรอย ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

    นับเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ดาราศาสตร์ ที่ได้พบ ร่องรอยว่าดาวเอ็มโอเอ-192 บี อาจเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต ที่มีอารยธรรมสูง

    ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนา อธิบายว่าสิ่งมีชีวิตดังกล่าว หากเป็นดวงวิญญาณ ย่อมมีลักษณะเป็นกายทิพย์ (ขณะมีชีวิตอยู่บนโลก กายทิพย์อาศัยอยู่ใน กายหยาบ) ซึ่งนับตั้งแต่การเริ่มต้นศึกษาวิจัยกลุ่มดาวที่อยู่ห่างจากโลก 3,000 ปีแสง เมื่อหลายปีก่อน
    ทีมงานนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เบอร์นาร์ด ชิมมิตต์ พบว่ามีกลุ่มดาวกลุ่มหนึ่งมีชั้นบรรยากาศแตกต่างไปจากโลกโดยสิ้นเชิง นับแต่นั้นมา จึงได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ทางไกลแรงสูง คอยติดตามความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด

    จากนั้น ได้ประสานงานกับโครงการพลังโทรจิต ที่ยูเครน (เดิมเป็นสหภาพหนึ่งของรัสเซีย ปัจจุบันแยกตัวเป็นอิสระ) ซึ่งรัฐบาลสหภาพรัสเซีย ตั้งโครงการขึ้นในยุคสงครามเย็น ซึ่งโครงการลับสุดยอดพลังโทรจิตทางไกลนี้ ตั้งขึ้นบนข้อสมมติฐานว่า

    เมื่อคนเราฝึกฝนทางจิตจนแก่กล้า จนสามารถถอดดวงจิตออกจากร่างกายได้แล้ว ก็สามารถท่องจักรวาลไป ที่ไหนก็ได้โดยมีความเร็วเหนือกว่าความเร็วของแสง
    ขณะเดียวกัน โครงการนี้มีหน่วยงานข่าวกรองรัสเซีย หรือ เคจีบี เป็นเจ้าภาพ

    โดยรับคัดเลือกผู้มีพลังจิตสูงมาแต่กำเนิดมาฝึกเพิ่ม ต่อมา ได้สร้างผลงานดีเด่น เมื่อครั้งเครื่องบินรบ มิก.29 ฟอกซ์ แบท ของรัสเซียตกที่โคลัมเบียทั้งเคจีบี และ ซีไอเอ ต่างแย่งชิงเพื่อไปถึงซาก มิก.29 ก่อนอีกฝ่าย เนื่องจาก มิก.29 ในยุคนั้นคือ เครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดทรงอานุภาพที่สุด

    โดย ซีไอเอ ได้พิกัดจากดาวเทียมจารกรรม แต่ เคจีบี ใช้นักพลังจิตตามโครงการโทรจิตทางไกล แผ่พลังจิตตามหาซากเครื่องบิน ปรากฏว่าหน่วยข่าวกรองรัสเซียไปถึงซากเครื่องบินก่อน ขณะที่ฝ่ายสหรัฐรู้ว่า ตกอยู่ในหุบเขา แต่ไม่อาจเจาะจงได้ว่าเป็นจุดใด

    หลังจากรัสเซียประสบความสำเร็จจากโครงการนี้ รัฐบาลสหรัฐ โดย ซีไอเอ ก็ได้ตั้งแผนงานโทรจิตทางไกล ขึ้นมาเช่นกัน แต่พัฒนาได้ไม่ทันรัสเซีย เมื่อนักวิทยาศาสตร์โปแลนด์ ประสานงานไปยังรัฐบาลยูเครน ขอตัวนัก พลังจิตมาช่วย เพื่อถอดดวงจิตเดินทางไปยังดวงดาว เอ็มโอเอ-192 บี

    ซึ่งมีวิธีส่งพลังจิตเดินทางไกล คือการ นั่งเข้าสมาธิให้พลังจิตเดินทางไปยังจุดหมาย ปลายทางที่กำหนด มาถึงขั้นนี้ ผู้รู้อธิบายว่า คือการทำวิปัสสนากรรมฐาน จนกระทั่งเกิดฌานชั้นสูงระดับอภิญญาฌาน ดวงจิตจึงถอดออกจากร่างได้ และดวงจิตที่ถูกถอดออกจากกายหยาบ
    ที่เรียกว่า "กายทิพย์" ซึ่งการเข้าฌานโดยนักพลังจิตยูเครน ใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง แสดงว่าใช้เวลาไปกลับ ดวงดาวเอ็มโอเอ-192 บี เพียงชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น

    แต่หากนักวิทยาศาสตร์โลกสามารถสร้าง ยานอวกาศมีความเร็วเท่าความเร็วของแสงได้ ยานลำนั้นใช้เวลาเดินทางถึง 3,000 ปี จึงจะเดินทางถึงดวงดาวเอ็มโอเอ-192 บี ได้ (ระยะทาง 1 ปีแสง = 10 ล้านกิโลเมตร)

    นอกจากนี้ นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ เปิดเผยเมื่อเร็วๆนี้ว่า ผลการส่งพลังจิต ได้พบกับถิ่นฐานของสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ ที่มีเคหะสถานบ้านเรือนเหมือนชาวโลก แต่สร้างในรูปทรงต่างกันโดยสิ้นเชิง

    ผู้ถอดดวงจิตยืนยันว่า เขาได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่มีใบหน้ารูปร่างเหมือนคนที่เขารู้จักด้วย ไม่ใช่แค่คนเดียวแต่จำได้หลายคน

    จุดนี้ เป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้ โครงการวิจัยสามารถสรุปได้ว่า คนบางคนเมื่อตายไปแล้ว ดวงวิญญาณของพวกเขาได้เดินทางไปอยู่ที่นั่น และเพื่อความมั่นใจ ทางทีมวิจัยได้ให้ผู้ส่งพลังจิต อย่างน้อย 3 คน ตรวจสอบหลายครั้งจนมั่นใจว่าเขาจำได้ว่าคนที่เขาพบเห็นบนดาวเอ็มโอเอ-192 บี จริง ไม่ได้ผิดตัวแต่อย่างใด เบอร์นาร์ด เล่าว่า "ผู้ส่งพลังจิตยืนยันว่าเขาพบนักเต้นบัลเล่ต์ ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเขาชื่นชอบมาก ขณะที่ เปิดการแสดงที่โรงละครกรุงมอสโคว์ ต่อมา นักบัลเล่ต์ผู้นี้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ได้ไม่นาน

    เขาได้ถอดจิตแล้วไปพบกันที่นั่น แต่ไม่มีการพูดคุยกับผู้ที่อยู่บนดาวเอ็มโอเอ-192 บี กับพลังจิตที่ส่งออกไปจากโลก เพราะผู้ที่อยู่ที่นั่น มองไม่เห็นพลังจิต"
    อย่างไรก็ตาม โครงการได้ทดลองนำภาพคนตายในช่วงเวลาไม่เกิน 2 สัปดาห์ จำนวน 43 คน ให้นักพลังจิตดูว่าพบใครบ้างบนดาวดวงดังกล่าว ปรากฏว่านักพลังจิต 2 คน จำได้ 3 คน เป็นอีกข้อมูลยืนยันว่าดวงวิญญาณเดินทางด้วยความเร็วพอ ๆ กับพลังจิต ซึ่งนักพลังจิตที่ส่งพลังจิตไปสำรวจ ดวงดาวเอ็มโอเอ-192 บี

    อธิบายว่า ไม่ได้มีความเหมือน กับแดนสวรรค์ ตามภาพวาดตามผนังโบสถ์ ไม่มีกลุ่มเมฆ ไม่มีนางฟ้า เทพ สวรรค์ หรือถนนปูลาดด้วยทองคำ

    ด้าน ดร.เซอร์ไก อูซนิดอฟ ผู้อำนวยการ โครงการโทรจิตทางไกลแห่งยูเครน กล่าวว่า ภาพลักษณ์ดินแดนปรภพ เหมือนเมืองเล็ก ๆ อยู่ตามชนบท ไม่มีรถยนต์ ไม่มีเครื่องจักร ผู้คนอยู่อย่างสงบสุข ผู้อยู่ที่นั่นล้วนมีสุขภาพดี ปรากฏตัว เป็นอย่างไรก็อยู่เช่นนั้ตลอดไป ไม่มีความแก่เฒ่า
    ไม่มีอาการเจ็บป่วย ไม่มีการต่อสู้ ไม่มีสงคราม ไม่มีเด็กเกิดใหม่ พบเห็นผู้คน หน้าใหม่เดินออกจากอาคารขนาดใหญ่ เหมือน ศูนย์รับส่ง เหมือนศูนย์กลางรอรับดวงวิญญาณ มาจุติที่นี่ ซึ่งบนโลกของเราอาจมีกลไกธรรมชาติที่ยังค้นหาไม่พบ ทำหน้าที่เป็นภาคส่งดวงวิญญาณไปยังดาวดาวต่างๆ ทั่วทั้งจักรวาล ไม่จำเพาะเจาะจงที่ดวงดาวเอ็มโอเอ-192 บี เท่านั้น

    ขณะเดียวกัน นักวิจัยบางคน ได้เปิดเผยถึงทฤษฎีหนึ่ง ที่เป็นไปได้สูงเกี่ยวกับพลังชีวภาพ (bioenergy) ซึ่งในร่างกายคนทุกคนมีพลังงานนี้ปรากฏออกมาเมื่อคนกำลังจะตาย ทำหน้าที่เป็นแรงส่ง ดวงวิญญาณไปยังดวงดาวต่างๆ และแรงส่งพลังชีวภาพจะ เลือกส่งดวงวิญญาณหรือกายทิพย์ไปยังดวงดาวใกล้หรือไกลโดยอาศัยเหตุปัจจัยใด

    พระนักวิปัสสนา ผู้ได้ฌานมาบ้างแล้ว ต่างรู้ดีว่า ล้วนมีบาปบุญคุณโทษเป็นตัวกำหนดนั่นเอง


    ขอบคุณที่มา http://reincarnationandlifeafterdeath.blogspot.com/2014/10/blog-post.html]Reincarnation and Life After Death | การกลับมาเกิดใหม่และชีวิตหลังความตาย: ทีมนักวิจัยรัสเซียถอดจิตค้นพบที่อยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤษภาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...