บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อสองวันก่อนไปเห็นเรื่องจิตหดเข้า วันเดียวกันกับที่เห็นว่ากายขันธ์นี้คือกองทุกข์นั่นแหละ กองทุกข์นี้เห็นเข้าไปในใจเลยทีเดียว ส่วนจิตหดนั้นเห็นถัดมา เห็นขึ้นในจิตนะ ไม่ได้ไปเห็นจากที่ไหนหรอก เห็นว่าเมื่อเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานไปเรื่อยๆ เจริญกายคตานุสสติกรรมฐานไปเรื่อยๆ เจริญอสุภกรรมฐานไปเรื่อยๆ เจริญที่กายและจิตตนนี่แหละนะ ไม่ได้ไปเอาของใครมาเจริญ ก็จะเกิดปฏิเวธ เห็นว่ากายนี้มันเป็นกองเลือดกองเนื้อก้อนหนึ่ง มีองค์ประกอบต่างๆ ของกายได้แก่อวัยวะภายในและภายนอกทั้งหลาย มันจะเห็นละเอียดเข้าไปเรื่อยๆ จนเห็นเป็นก้อนธาตุ แยกออกมาเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วมันก็สลายหายไปหมด ไม่มีตัวตน

    จิตหดเข้าเกิดจากความรู้หรือวิชชาที่เกิดขึ้นที่จิตจนทำให้ละออกจากเหตุแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหาและอุปาทานขันธ์ห้า พอละออก ละออกไปอย่างนี้เรื่อยๆ กำลังกิเลสมันก็น้อยลงไป น้อยกว่ากำลังของปัญญา กิเลสอันเป็นเครื่องร้อยรัดสัตว์ไว้ (สังโยชน์ 10) ก็จะค่อยๆ ถูกตัดขาดสะบั้นลง จิตก็จะหดเข้ามาๆ

    สมมติว่าจิตที่เต็มไปด้วยกิเลสเหมือนลูกโป่งที่อัดลมไว้จนพองโต พอมีรูรั่วหรือผิวของลูกโป่งบางลงเพราะความตึง ลมก็จะค่อยๆ ไหลหรือซึมออกจากลูกโป่ง ลักษณะที่ลมไหลออก ซึมออกนี้ ทำให้ลูกโป่งค่อยๆ แฟบ มีลักษณะเดียวกันกับจิตหดเข้า

    ที่เล่าให้ฟัง นั่นคือแค่เห็นทางเท่านั้นนะ พอปัญญามันแสดงให้เห็นอย่างนั้นก็เลยอ๋อ....ต้องเพียรจนกว่าจะละสังโยชน์จนครบ 10 จิตหดเหลือนิดเดียวกลายเป็นนิพพานไปเลย อย่าไปทึกทักไปยึดไว้อีกนะว่าจิตต้องหดจึงจะเป็นนิพพาน นี่เป็นเพียงการอุปมาอุปมัยส่วนตัวจ้ะ

    ปล. ขอจดบันทึกไว้เพื่อเป็นกรณีศึกษาต่อไป หากข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้งกล่าวผิดเพี้ยนไปจากสมมติบัญญัติ ข้าพเจ้าขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยและท่านผู้อ่านด้วยค่ะ
     
  2. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    โอวาทปาติโมกข์ คาถาที่ 2

    การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตใจให้บริสุทธิ์ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2015
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สาธุ มีอะไรจะเล่าให้เราฟังบ้างหรือเปล่า คุณhastin
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    จากความเรื่อยเฉื่อยของตัวเองในการเดินปัญญา วันนี้เพิ่งเข้าใจเรื่องการใช้ปัญญาพิจารณาธรรมอย่างลึกซึ้ง อยู่ดีๆ คำนี้ก็ผุดขึ้นมา "อาทีนวะ" การเห็นโทษของความทุกข์ ใช่แล้ว...เพราะเรายังไม่แจ้งในโทษของทุกข์ มันเห็นชัดลงไปในจิตว่าให้ทำความแจ้งเกี่ยวกับ "อาทีนวสัญญา"

    " ดูกรอานนท์ ก็อาทีนวสัญญาเป็นไฉน ?
    ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้น อาพาธต่างๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคคุดทะราด หูด โรคละอองบวม โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้สันนิบาต อาพาธอันเกิดแต่ฤดูแปรปรวน อาพาธอันเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธอันเกิดแต่ความเพียรเกินกำลัง อาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความกระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายนี้ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอาทีนวสัญญา ฯ "

    พระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เล่ม ๑๖
    ทสก-เอกาทสกนิบาต อาพาธสูตร
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    แถมๆ เรื่องการเจริญสัญญา 10 ประการ แล้วกันนะ

    การเจริญสัญญา 10 ประการ
    พระไตรปิฎก : พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เล่ม ๑๖
    ทสก-เอกาทสกนิบาต อาพาธสูตร

    [๖๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระคิริมานนท์อาพาธ ได้รับทุกข์ เป็นไข้หนัก ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดอนุเคราะห์เสด็จเยี่ยมท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่เถิด พระเจ้าข้า ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหา แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการ แก่คิริมานันทภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานันทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้ สัญญา ๑๐ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑ อนัตตสัญญา ๑ อสุภสัญญา ๑ อาทีนวสัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสัญญา ๑ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ๑ อานาปานัสสติ ๑ ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็อนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง (ดูเรื่องขันธ์ 5 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบ - ธัมมโชติ) ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง ในอุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอนิจจสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็อนัตตสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า จักษุเป็นอนัตตา รูปเป็นอนัตตา หูเป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา จมูกเป็นอนัตตา กลิ่นเป็นอนัตตา ลิ้นเป็นอนัตตา รสเป็นอนัตตา กายเป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา ใจเป็นอนัตตา ธรรมารมณ์เป็นอนัตตา (ดูเรื่องอายตนะ 12 ในหมวดธรรมทั่วไป ประกอบ - ธัมมโชติ) ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา ในอายตนะทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ๖ ประการเหล่านี้ ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอนัตตสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็อสุภสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้นั่นแล เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ ว่า ในกายนี้มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม เนื้อหัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร (ดูเรื่องดอกไม้อริยะ ในหมวดวิปัสสนา (ปัญญา) ประกอบ - ธัมมโชติ) ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่งามในกายนี้ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอสุภสัญญา ฯ
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดูกรอานนท์ ก็อาทีนวสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้น อาพาธต่างๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคศีรษะ โรคที่ใบหู โรคปาก โรคฟัน โรคไอ โรคหืด โรคไข้หวัด โรคไข้พิษ โรคไข้เซื่องซึม โรคในท้อง โรคลมสลบ โรคบิด โรคจุกเสียด โรคลงราก โรคเรื้อน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ โรคลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน โรคคุดทะราด หูด โรคละอองบวม โรคอาเจียนโลหิต โรคดีเดือด โรคเบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง โรคริดสีดวง อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีไข้สันนิบาต อาพาธอันเกิดแต่ฤดูแปรปรวน อาพาธอันเกิดแต่การบริหารไม่สม่ำเสมอ อาพาธอันเกิดแต่ความเพียรเกินกำลัง อาพาธอันเกิดแต่วิบากของกรรม ความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นโทษในกายนี้ ด้วยประการดังนี้ ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอาทีนวสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็ปหานสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งกามวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมทำให้ถึงความไม่มี ซึ่งพยาบาทวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมให้ถึงความไม่มี ซึ่งวิหิงสาวิตกอันเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่ยินดี ย่อมละ ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้หมดสิ้นไป ย่อมให้ถึงความไม่มี ซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายอันชั่วช้า อันเกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นแล้ว ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าปหานสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ ก็วิราคสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง (อุปธิ = ที่ตั้งแห่งทุกข์ - ธัมมโชติ) ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่สำรอกกิเลส ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ (ซึ่งก็คือสภาวะของพระนิพพานที่สัมผัสได้ในขณะที่มีชีวิตอยู่นั่นเอง - ธัมมโชติ) ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าวิราคสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ นิโรธสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่นประณีต คือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ธรรมเป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง ธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา ธรรมเป็นที่ดับโดยไม่เหลือ ธรรมชาติเป็นที่ดับกิเลสและกองทุกข์ (วิราคะ และนิโรธ ล้วนเป็นชื่อหนึ่งของพระนิพพาน โดยวิราคะเน้นที่ความสำรอกกิเลส ส่วนนิโรธเน้นที่ความดับไม่เหลือของกิเลส - ธัมมโชติ) ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่านิโรธสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ สัพพโลเกอนภิรตสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละอุบายและอุปาทานในโลก (อุปาทาน = ความยึดมั่นถือมั่น - ธัมมโชติ) อันเป็นเหตุตั้งมั่น ถือมั่น และเป็นอนุสัยแห่งจิต (อนุสัย = กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน - ธัมมโชติ) ย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่น (สัพพโลเกอนภิรตสัญญา = การกำหนดหมายในความไม่น่าเพลิดเพลินในโลกทั้งปวง - ธัมมโชติ) ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าสัพพโลเกอนภิรตสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญาเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชังแต่สังขารทั้งปวง (สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา = การกำหนดหมายในความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง - ธัมมโชติ) ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าสัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ฯ

    ดูกรอานนท์ อานาปานัสสติเป็นไฉน ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างเปล่าก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอเป็นผู้มีสติหายใจออก เป็นผู้มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาวก็รู้ชัดว่าหายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่าหายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้นก็รู้ชัดว่าหายใจเข้าสั้น ..... (ดูรายละเอียดในเรื่องอานาปานสติสูตร หมวดวิปัสสนา (ปัญญา) - ธัมมโชติ) .....
    ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าอานาปานัสสติ ฯ

    ดูกรอานนท์ ถ้าเธอพึงเข้าไปหา แล้วกล่าวสัญญา ๑๐ ประการนี้ แก่คิริมานนทภิกษุไซร้ ข้อที่อาพาธของคิริมานนทภิกษุจะพึงสงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการ นี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ฯ

    ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้เข้าไปหาท่านพระคิริมานนท์ยังที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวสัญญา ๑๐ ประการ แก่ท่านพระคิริมานนท์ ครั้งนั้นแล อาพาธนั้นของท่านพระคิริมานนท์สงบระงับโดยพลัน เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้ ท่านพระคิริมานนท์หายจากอาพาธนั้น ก็แลอาพาธนั้นเป็นโรคอันท่านพระคิริมานนท์ละได้แล้ว ด้วยประการนั้นแล ฯ
     
  7. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ใช่แล้ว ถ้าไม่เห็นโทษ เห็นทุกข์ พิจารณาให้เบื่อยาก ต้องเห็นก่อน

    แล้วพิจารณาในชีวิตปกติ ฌาน1 ฌาน2 ฌาน3

    พิจารณาเรื่องเดียวกันที่ระดับสมาธิต่างกัน ผลที่ได้ไม่เท่ากัน
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ใช่แล้ว เพราะเมื่อก่อนเราเห็นแค่ว่ากายนี้ไม่ได้เป็นของเรา ไม่ใช่เรา แล้วเราก็ไม่สนใจมัน โยนมันทิ้งไปเลย ไม่ว่าจะเกิดเวทนาใดๆ กับกาย เราก็ปล่อยวางไม่สนใจมัน จึงทำให้พลาดในการเข้าไปแจ้งในทุกข์

    ตอนนี้เหมือนเป็นการทวนญาณ หันมาเก็บรายละเอียดของทุกขสัจจ์ ทำความเพียรในกิจของอริยสัจสี่

    หากเราสามารถรวมจิตได้อีกครั้ง จะเป็นอย่างไรหนอ
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ฌานแต่ละฌานล้วนมีความละเอียดกับอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าความรู้ที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้นฌานนั้นๆ ย่อมมีความหยาบละเอียดตามไปด้วย ขอพูดภาษาชาวบ้านไม่พูดตามภาษาธรรมนะ เพราะจะได้ไม่ต้องแปลกันไปแปลกันมา ก็สมมติเหมือนๆ กัน

    ได้เห็นอะไรมากมายในแต่ละวัน เห็นทั้งภายนอกและภายใน ธรรมแท้เป็นปัจจัตตัง พูดหรืออธิบายบอกไม่ได้ ที่พูดได้นั่นเป็นธรรมปลอมหรือที่เรียกว่าสัญญาที่ทรงจำไว้ ธรรมแท้เกิดขึ้นที่จิตเป็นภาษาจิต แล้วจึงนำภาษาจิตมาแปลให้ตรงตามความหมายของสมมติบัญญัตินั้นๆ ตามที่ตั้งกันขึ้นมา ดังนั้น จึงมีการถกเถียงกันอย่างไม่สิ้นสุดว่าแปลว่าอะไรกันแน่ของบัญญัติแต่ละบัญญัติ ความหมายครอบคลุมไปถึงไหน วันนี้ได้เข้าใจคำว่า "จิตถึงจิต" หรือ "จิตสู่จิต" อีกแล้ว

    ไม่ใช่จิตคนอื่นมาถึงจิตเรา หรือจิตเราส่งไปถึงจิตใครนะ ความหมาย "จิตถึงจิต" หรือ "จิตสู่จิต" นี้ หมายถึง จิตพุทธะที่เข้าถึง หรือพุทธะที่เข้ามาสู่จิต แค่แตะขอบๆ นะ อย่าเพิ่งคิดเลยเถิด
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    วันนี้เอาเรื่องบุญมาฝากแล้วกัน อ่านเจอค่ะ

    บุญนั้นมี 4 ประเภท คือ

    ประเภทแรก บุญของพระพุทธเจ้า ให้แบบพระพุทธเจ้า ให้เป็นพระพุทธเจ้า คนให้อย่างนั้น เป็นพระพุทธเจ้า ให้แล้วไม่หวังอะไรตอบแทน ให้ด้วยความเอื้ออาทรและเมตตา มีดี เต็มอิ่ม และแบ่งปัน ให้นั่น เรียกว่า..ให้แบบพระพุทธเจ้าให้

    ประเภทที่ 2 ให้แบบพระโพธิสัตว์ให้ ไม่มี ไม่ดี ไม่เต็ม ไม่อิ่ม
    แต่ถ้ามีคนมาขอ มีจิตเมตตา แม้แต่เฉือนเนื้อตัวเองให้ ก็ให้
    ให้อย่างนั้น เรียกว่า พระโพธิสัตว์ ให้แบบไม่หวังอะไร ตอบแทน

    ประเภทที่ 3 พระอริยเจ้าให้ ให้เพราะตัวเอง คิดว่าอยากจะอนุเคราะห์ ต่อสรรพสัตว์ตามหน้าที่ เพราะตัวเองเป็นคนดี คนมี คนเต็ม คนอิ่ม ตามพระพุทธเจ้า มี ดี เต็ม อิ่ม และด้วยตามฐานะของตน เป็นผู้ไม่ติดยึด เป็นผู้ละ วาง ปล่อยเว้น หมดกิเลส ไม่ต้องการอะไร และเอื้ออาทรต่อสรรพสัตว์ และแบ่งปันให้ ให้อย่างนี้ เรียกว่า พระอริยเจ้าให้

    แต่ให้อีกประเภทหนึ่ง ประเภทที่ 4 เรียกว่า ให้แบบเปรตให้ ให้แบบชนิดเจ้าประคู้ณ ขอให้งวดนี้ถูกลอดตเตอรี่ รางวัลที่ 1 เจ้าประคู้ณขอให้ลูกดิฉัน สอบเข้านายร้อยได้ เจ้าประคู้ณขอให้ทำมาค้าขึ้น ไอ้อย่างนี้ เปรตให้นะลูก เปรตแปลว่า ผู้ไม่อิ่ม ไม่เต็ม พร่องเป็นนิจ และต้องการ ให้แล้วต้องได้มา เท่านั้น เท่านี้ อย่างนี้ เรียกว่า เปรตให้ เลือกเอา..นะลูก

    โดย: ธรรมจักษุ
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "...อย่าทำตัวเหมือนลิง ที่โผหากิ่งไม้ใหม่อยู่ร่ำไป..."
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เรื่องราวสนทนาที่อาจจะมีประโยชน์ในทางธรรมบ้าง

    7/6/2015 10:17
    AS.......เมตตาประกอบด้วยปัญญา...ย่อมไม่แปรเปลี่ยนเป็นความเศร้า จงมีความหนักแน่น มั่นคงของใจแลเฝ้าดู หยิบยื่นแผ่ขยายในยามที่มีเหตุแลผลอยู่ในกาล...การที่เธอเมตตาต่อสัตว์ตนใด เธอสงสาร เธอต้องการเกื้อกูล แต่เธอทำไม่ได้ด้วยเหตุปัจจัยของสัตว์ตนนั้น เธอต้องแลดูเห็นกรรมของสัตว์ มีความแปรปรวนไปตามผลแห่งกรรมของสัตว์ตนนั้น มีทุกข์เป็นสัจจะธรรมของสรรพสัตว์ที่เคลื่อนไปในความไม่เที่ยงแลเป็นทุกข์...แม้เมตตาที่ปรากฏในใจของเธอก็ล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัย ที่ไม่เที่ยง แม้จะเป็นสิ่งแลละเอียดและประณีตของใจอันประกอบด้วยเมตตา เมื่อทรงอารมณ์จนเต็มอิ่มก็ต้องแปรปรวนเสื่อมสลาย มิมีสิ่งใดที่เธอบังคับอยู่คงที่ได้ในขณะที่เธอเคลื่อนอยู่ในกาล เมตตาของเธอจงทำให้เป็นมหัคตตอันยิ่งใหญ่ของจิตใจ จงทำให้เป็นอัปมัญญา บริบูรณ์ปรากฏเต็ม เธอจงยังจิตเมตตากรุณาให้แผ่ไปสู่ทั่วทุกสารทิศ....ให้ปรากฏเป็นผลแห่งความสุข ความร่มเย็นเสมอกันเทอญ.

    ...อ่านอันนี้คิดถึงเจ้

    7/6/2015 10:17
    N..............คิดถึงยังไง

    7/6/2015 10:18
    AS.............จั๊กอธิบายบ่ถูกอ่านแล้วคิดถึงเจ้หน่ะ จะแทคแต่มันบ่ขึ้น
    N...............ตอนนี้ข้อยเห็นแต่กรรมของหมู่สัตว์
    AS.............ใช่มีแต่กรรม
    N...............เห็นโลกธรรม เห็นความแปรปรวน

    7/6/2015 10:19
    AS.............แม่นเลยเจ้
    N...............ข้อยบ่มีอดีต บ่มีอนาคต บ่มีปัจจุบัน 555 ข้อยรู้สึกว่าข้อยเริ่มป่วย

    7/6/2015 10:20
    AS.............หาหมอยัง
    N...............ทุุกคนที่เกิดมาล้วนเป็นคนป่วย มีจิตที่พร่อง
    AS.............แม่น

    10:21
    N...............ทุกคนล้วนต้องเยียวยาตนเอง ไม่มีใครช่วยได้ ข้อยเหนื่อย ข้อยท้อ ข้อยเบื่อ ห่วงอันใดที่ร้อยรัดข้อยไว้ ข้อยขอปลดออก

    7/6/2015 10:25
    AS.............เศร้าหนอ
    N...............ข้อยใจดำเนอะ

    7/6/2015 10:26
    AS.............บ่ดอก ปล่อยวางได้มันดีอยู่แล้วเจ้
    N...............ปล่อยวางกับตัดขาดความหมายต่างกันมาก ปล่อยวางเพียงเพื่อให้พ้นจากความรำคาญของจิต นั่นยังไม่ใช่การปล่อยวางที่แท้จริง เพราะมันยังมีความเป็นไตรลักษณ์อยู่

    7/6/2015 10:33
    AS.............ใช่ๆเจ้ มันแยบคายเนาะ
    N...............การเพาะบ่มอินทรีย์จึงมีความสำคัญจำเป็นมากสำหรับการตัดห่วงที่ร้อยรัดสัตว์ไว้ในวัฏฏะนี้

    7/6/2015 10:37
    AS.............มากๆๆๆค่ะเจ้
    N...............อย่าชะล่าใจว่าได้อ่านมามาก รู้มาก เพราะนั่นไม่ใช่ความรู้ที่แท้จริงของจิต

    7/6/2015 10:38
    AS.............บางทีดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นแล้วพอมาเจอเหตุการณ์จริงมันไม่ได้เลยค่ะ ปัญญาไม่เดินเลย เหมือนเดิม ใช่ๆๆค่ะ ลดลงบางเรื่อง แต่เรื่องหลักที่ทำใจยากมันก็ยากคือเก่านั่นแล
    N...............การเพาะบ่มอินทรีย์ ก็คือ การทำทาน ศีล ภาวนา ให้สม่ำเสมอ ให้เต็มเสมอกัน ข้อยเห็นคนหลงมาเยอะแล้ว และยังคงมีให้เห็นอยู่ทุกวัน อย่าทำตัวเหมือนลิงที่โผหากิ่งไม้ใหม่อยู่ร่ำไป เข้าใจบ่ว่าหมายความว่าอะไร

    10:45
    AS.............คือทำอะไรก็ไม่สำเร็จเจออะไรใหม่ๆก็เอาอันนั้นเลยไม่ได้อะไรสักอย่าง ยึดมั่วไปหมด ความรู้ตีกัน ปฏิบัติบ่เอาไหนเพราะทำมั่วไปหมด ความรู้ใดๆเป็นความมหัศจรรย์ของคำพูดที่ธรรมดา ที่เต็มพร้อมไปด้วยเหตุผลแลสัจจธรรม เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ หยั่งสู่ใจอันมืดบอด เป็นสิ่งที่เปิดใจอันมืดมิด ด้วยเพียงคำพูดที่ธรรมดาแต่เปรียบประดุจล้วงลึกเข้าถึงหัวจิตหัวใจอันมืดมิดที่ไม่ยอมรับสัจจและความจริง...
    N...............แม่นๆ

    7/6/2015 10:46
    AS.............ความรู้ใดๆเป็นความมหัศจรรย์ของคำพูดที่ธรรมดา ที่เต็มพร้อมไปด้วยเหตุผลแลสัจจธรรม เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ หยั่งสู่ใจอันมืดบอด เป็นสิ่งที่เปิดใจอันมืดมิด ด้วยเพียงคำพูดที่ธรรมดาแต่เปรียบประดุจล้วงลึกเข้าถึงหัวจิตหัวใจอันมืดมิดที่ไม่ยอมรับสัจจและความจริง.
    ให้เจ้
    N...............ขอบใจ ไปก๊อปไผมา เขียนเองรึ เก่ง
    AS.............บ่ อ่านเจอมันใช่เลย
    N...............ใช่เลยนี่คือข้อยบ่
    AS.............แม่นข่อยนึกถึงเจ้
    N...............ข้อยบ่มีอิหยังจะสอนไผ
    AS.............พูดธรรมดาแต่เต็มไปด้วยคำสอน
    N...............นอกจากความจริงที่ข้อยได้พบเจอ
    AS.............คำสอนอยู่ในคำพูดนั่นแล
    N...............สาธุ
    AS.............สาธุๆๆค่ะ
    N...............ธรรมนั้นอยู่ที่ตน บ่แม่นอยู่กับไผ เพียงหันมาศึกษากายใจตนก็จะได้เห็น ได้รู้และเข้าถึง
    AS.............ใช่ค่ะ สาธุ
    N...............ทุกวันนี้ ข้อยเห็นแต่คนค้นหาธรรม ค้นหาตำรา ค้นหาบุคคล ค้นหาโทษของผู้อื่น วุ่นวายอยู่กับสิ่งภายนอกกายใจตน
    AS.............แม่นนหนูเป็นอยู่
    N...............ก็เมื่อรู้แล้วก็หมั่นระลึกให้ทันซิ
    AS.............ค่ะเจ้หนูทำอยู่ทันมั่งไม่ทันมั่งค่ะ
    N...............ก็ต้องฝึกให้ทัน

    7/6/2015 11:01
    AS.............ค่ะ
    ....จบการสนทนา....
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อคืนนอนภาวนาแล้วกำหนดนิมิตพระพุทธรูปอันเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า จากนั้นก็โยนิโสมนสิการเรื่องพระรัตนตรัย พระพุทธนิมิตกลายเป็นดวงแก้วใสเหมือนน้ำกลิ้ง สัมผัสได้ถึงความนุ่มนวล อ่อนโยน ด้วยพระเมตตาคุณ

    ได้เห็นความจริงว่า....พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์...คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ทั้งสามรัตนะรวมลงเป็นแก้วรัตนะหนึ่งดวง

    พระพุทธเจ้า เป็นสมมตินามอันหมายถึง ผู้รู้แจ้งโลก รู้แจ้งด้วยพระสัทธรรมที่ทรงค้นพบและนำมาเผยแพร่บอกทางพ้นทุกข์ให้แก่เหล่าสรรพสัตว์ทั้งสามแดนโลกธาตุ พระสงฆ์ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระอริยบุคคลชั้นเลิศประเสริฐสูงสุด ได้เห็นจริงตามนั้นอย่างชัดเป๊ะ ไม่ต้องสงสัยไปกับสมมติทางโลก ที่แยกพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ออกจากกัน

    หากข้าพเจ้ากล่าวผิดพลาดประการใด ขอขมาซึ่งพระรัตนตรัยไว้ ณ ที่นี้ สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทะวารัตตะเยนะ กะตัง สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ที่ชอบไปปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมนั้น เพราะได้ปลีกวิเวกค่ะ ปกติวิเวกของเราจริงๆ ก็มีอยู่แล้ว คือใจวิเวก กายวิเวก ทำบ้านให้เป็นวัด

    แต่การได้ไปปฏิบัติร่วมกับหมู่คณะผู้ทรงศีลทรงธรรม มีอานิสงส์เพิ่ม ในเรื่องของการได้อยู่ในแวดวงของกุศล อยู่ท่ามกลางกัลยาณมิตรธรรม ได้อยู่ในสถานที่สงัดวิเวก บำเพ็ญบารมี 10 ทัศในทุกๆ วันอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วันค่ะ

    ปล.ความเห็นส่วนตัวนะ
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    บันทึกไว้เมื่อวันที่ 26/8/2014

    เมื่อเช้าก่อนตื่นนอน ได้ยินท่านบอกว่า....ให้จิตมาครองกายเพื่อใช้ในการศึกษาธรรม ไม่ใช่ให้จิตมายึดติดกับกาย กายนี้เป็นของปลอมใช้ในการศึกษาเท่านั้น ไม่นานกายก็ไม่มี จึงน้อมเข้ามาพิจารณาและเห็นจริงตามนั้น

    เห็นว่าจิตก็เป็นสิ่งหนึ่ง กายก็เป็นสิ่งหนึ่ง จิตเมื่อยังไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร ก็จะหากายไว้เพื่ออาศัยเรียนรู้ธรรม เมื่อกายแตกดับ จิตก็ไปหาที่อาศัยใหม่

    ธรรมที่มาแสดงก่อนตื่นนอนนี้ ทำให้ได้พิจารณาว่าเราเริ่มเข้าไปยึดติดกับกายอีกแล้วนะ ก็เลยนอนนิ่งๆ พิจารณาที่กาย ณ ขณะนั้น เห็นว่าทั้งกายเขาและกายเราล้วนไม่มีอยู่จริง มัวแต่ไปปรุงแต่งกายจนลืมพิจารณาธรรม
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [​IMG]
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอนำคำถามที่มีน้องคนหนึ่งมาถามไว้เมื่อวันที่ 29/7/2014 ในกลุ่มเฟสค่ะ


    S : อยากทราบว่า เวลาสวดมนต์ ชอบขนหัวลุก เป็นเพราะ......และเวลานั่งสมาธิหลับตาแต่เห็นภาพรอบตัวเหมือนตอนลืมตา.ใช่ มโนหรือปล่าวคะ. ขอบคุณค่ะ

    N : เป็นเหมือนกันค่ะ เห็นตัวเองนั่งสมาธิและเห็นรอบตัวชัดเจนเหมือนลืมตาดู แต่ว่าเรานั่งหลับตาอยู่ เป็นกิริยาจิตค่ะ ส่วนสวดมนต์แล้วขนลุกนั่นคือจิตเกิดปิติค่ะ

    S : บางทีจิตไม่นิ่ง..บางทีพอนิ่งเหมือนหูอื้อ

    N : ค่ะ นั่นคือจิตเข้าโหมดสมาธิแล้ว จะรู้สึกเหมือนหูอื้อ ได้ยินเสียงเหมือนลมในหู จิตเริ่มเป็นฌานแล้วค่ะ

    S : แล้วถ้าจิตเป็นฌานแล้วจะมีอาการอย่างไรค่ะ (เพราะนอกจากหูอื้อแล้วยังมีอาการวูบๆวาบๆอีกค่ะ)

    N : จิตเป็นฌานในระดับนี้คืออุปจารสมาธิ สภาวะรับรู้ทั้งภายในและภายนอก อายตนะหกยังทำงานปกติ แต่ว่าไม่สนใจภายนอก จิตหันมาดูภายในอย่างเดียว วูบๆวาบๆ ก็คืออาการของปิติค่ะ อย่าไปสนใจ ปล่อยวาง หากเอาใจไปใส่สมาธิก็จะไม่ก้าวหน้า ทำสมาธิถึงระดับนี้แล้วเจริญวิปัสสนาได้เลยค่ะ

    S : ขอบคุณมากค่ะที่ให้ความกระจ่าง.จะพยายามฝึกต่อไปค่ะ. เพราะไม่กล้าปรึกษาไคร.ขอบคุณมากนะคะที่ให้คำแนะนำ...จะขอคำแนะนำเป็นพักๆไปนะคะ

    N : ยินดีค่ะ ขอให้เจริญในธรรม
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    V : หูอื้อ บางครั้งเหมือนกัน จู่ๆก็อื้อ วูบๆวาบๆ ร้อนๆหนาวๆ บอกไม่ถูก..ไม่รู้ เป็นด้วยเหตุผลเดียวกันมั้ยหนอ

    N : ไม่ทราบว่าคุณ ปฏิบัติธรรมมานานหรือยังคะ

    V : ไม่ได้นั่งสมาธิทุกวันต่อเนื่องเหมือนคนอื่นนะจ๊ะ แต่ใช้การดูจิต กำหนด ระหว่างวันจ้ะ ถ้านับแต่เริ่มทำ หยุดๆทำๆ เกเรบ้างก็ 10 ปีแล้วมั้งจ๊ะ..แต่ยังเลวอยู่เยอะเลยจ้ะ

    N : 10 ปีก็ไม่ใช่น้อย คงได้พบเจอสภาวะธรรมมาแล้ว ดังนั้น คงไม่ต้องแนะนำอะไรแล้วมั้งคะ

    V : อูยยย ยังเลวอยู่เยอะจ้ะ แนะนำ แชร์ ช่วยหน่อยเถิดจ้า

    N : เพราะส่วนตัวเองก็ไม่ได้เก่งกาจสามารถอะไรมากมาย เริ่มปฏิบัติธรรมตั้งแต่อายุ 10 ขวบ โดยบวชเนกขัมมะกับหลวงพ่อวิริยังค์แค่ 7 วันเอง แล้วก็ปฏิบัติเองมาเรื่อยๆ สำหรับคุณS เห็นว่าเพิ่งเริ่มต้น จึงให้คำแนะนำไปค่ะ เท่าที่สัมผัสได้คุณV ปฏิบัติอยู่หลายสายนะคะ หากไม่ถูกต้องก็ขออภัยด้วยค่ะ

    V : จ้ะ สาธุจ้ะ ถูกจ้ะ และกำลังจะรวบทุกวิธี เป็นการปฏิบัติเดียวกัน โดยเน้นจิต และพุทธานุสสติเป็นหลักจ้ะ

    N : ความเห็นส่วนตัวนะคะ ไม่ว่าสายไหนๆ สุดท้ายก็สิ้นสุดที่เดียวกัน นั่นคือสมถะและวิปัสสนา การปฏิบัติหลายสายหลายทางก็เลยทำให้เสียเวลา ไม่เกิดผลอย่างชัดเจน

    V : จ้ะ ตัวเองกำลังค้นหา วิธีบางอย่าง แต่ยังไม่มั่นใจ งงๆอยู่

    N : ธรรมทั้งหมดทั้งมวลก็อยู่ที่กายและจิตนี่แหละค่ะ ปฏิบัติแล้วการสำรวมกายวาจาใจของเราดีขึ้นมั้ย ใจเราสงบเย็นมั้ย อกุศลกรรมเราละออกได้มากน้อยแค่ไหน ตรงนี้ปฏิบัติเองก็จะรู้เองค่ะ

    V : แต่ตอนที่คิดว่า จะทำต่อ คือดูจิต+พุทธานุสสติ แต่เคยมีคนบอกเป็นเพียวสมถะ..จึงกังวล สะดุด จ้ะ

    N : เท่าที่เห็นมา นักปฏิบัติทุกวันนี้จะไปติดที่สภาวะธรรมของสมถะ ทำให้ไม่ก้าวหน้า อุปทานขันธ์ห้ามันเล่นงานเอา คิดว่าเป็นของวิเศษไปกับนิมิตต่างๆ ไม่ได้นำมาเจริญวิปัสสนาให้เห็นไตรลักษณ์ ดูจิตและพุทธานุสสติเป็นอย่างไรคะ อธิบายให้ฟังได้หรือเปล่า

    V : อ้อ จ้ะ ขออนุญาต ว่า นี้คือคำถาม ขอตอบว่า
    1. ระวัง สำรวม ผสมอ่อนน้อมมากขึ้น ยอมมากขึ้น
    2. กลัวบาปมากขึ้น ระวังการผิดศีลมากขึ้น
    3. เริ่มมองกิเลสที่เข้ามา และระวัง เบา ไม่ให้จิตดูดรับไว้จ้ะ

    แต่ก็ยังมีพลาดบ้าง ทำได้เร็วบ้าง ช้าบ้างจ้ะ
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    N : สมถะสมาธิเป็นฐานของปัญญาหรือวิปัสสนานั่นเอง หากสมาธิยังไม่มั่นคง สติยังไม่แนบแน่นก็ยังเดินปัญญาไม่ได้ แล้วเห็นจิตหรือยังคะ คุณV

    V : เอาความรู้สึก และการหายใจ ไว้ที่จิต ประกอบมีองค์ภาวนา คือ พุทโธ หรือ นะโมพุทธายะ บ้างก็ขอกำหนดภาพพระเพื่อให้จิตมีพลัง สร้างความศรัทธา ก่อนทำสมาธิ กำหนด จ้ะ ไม่ทราบว่า ตอบจะตรงมั้ย ถ้าเห็นเกิดดับ..เห็นแบบว่า เร็วมาก แต่ที่ตนเองใช้วิธีมองจิตตนเอง ตอนนี้ เห็นดวงจิต เห็นแสง ของดวงจิต จ้ะ

    N : ฟังๆ ดูแล้ว คุณVยังหลงอยู่จริงๆ ด้วย เราวางสมมติบัญญัติไว้ก่อนดีกว่านะคะ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ องค์ภาวนานั้นใช้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ตามถนัด เพราะองค์ภาวนาเป็นแค่อุบายให้จิตยึดไว้ไม่ให้ส่งจิตออกนอกเท่านั้นเอง

    V : เมื่อวาน มิตรคนหนึ่งบอกให้ดู การเกิดดับของจิต จึงลองกำหนด เห็นเหมือนเปิดปิดๆๆๆ แต่ถี่เร็วมากๆจนจับแทบไม่ทัน หลง..หมายถึง หลงทางหรือ

    N : เอ ตรงนี้ก็ไม่เคยเห็นเหมือนกันค่ะ รู้แค่ว่าเมื่อมีผัสสะมากระทบทางตา หุ จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วจิตมีสภาพเป็นอย่างไร จิตยินดี จิตเสียใจ จิตเศร้าหมอง ประมาณนี้ แล้วมันก็หายไป เมื่อก่อนเวลาที่ขุ่นใจใครจะใช้เวลาขุ่นเคืองข้ามไปเป็นวันๆ กว่ามันจะหาย แต่ทุกวันนี้ อารมณ์ขุ่นเคืองเกิดแค่แป๊บเดียว แล้วก็หายไป บางครั้งก็กลายเป็นเฉยๆ กับผัสสะที่มากระทบ จิตไม่ปรุงแต่งต่อไป นี่คือ จิตเห็นจิตค่ะ

    V : แบบที่คุณN บอกนี้ ก็เป็นจ้ะ แรกๆหากเรื่องที่มากระทบมันแรงจะช้า แต่ตอนนี้เร็วขึ้นจ้ะ อ้อ..แบบนี้ เรียกว่า จิตเห็นจิตหรือจ้ะ

    N : ดิฉันเชื่อพระพุทธเจ้าค่ะ ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวทางต่างๆ ที่ฆราวาสนำมาสอนกัน กายในกาย จิตในจิต ธรรมในธรรม เวทนาในเวทนา นี่คือ มหาสติปัฏฐาน ทางตรง ทางเอกค่ะ

    V : ไม่ทราบเลยว่าเรียกแบบนี้ ตัวเองคิดว่าเรียก รู้ทันจิต

    N : การรู้ทันจิต นั่นคือสติค่ะ สตินี้เกิดจากสมถสมาธิ

    V : 555 แย่เลย ไม่รู้ ว่า แบบนี้ เขาเรียกกันเช่นนี้หนอ งงจริงๆเลยเรา

    N : เพราะคุณV เริ่มจากการฟังคนโน้นคนนี้ แล้วเอามาปฏิบัติ จึงไขว้เขวไป

    V : V ปฏิบัติ ตามครูอาจารย์ทางพระ จ้ะ แต่เมื่อวาน แชร์คุยกับมิตร เขาบอก แนะนำ เลยลองทำดูแล้วพิจารณา เข้ากับวิธีปฏิบัติของตนเองต่อจ้ะ ก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่า ถูกผิด ทำตามครู..พระ สอน จ้ะ แต่ผล คือ กิเลสเบาลง กลัวบาปมากขึ้น ระวังการผิดศีล รักศรัทธาพระพุทธเจ้ามากขึ้นๆๆ ประมาณนี้อ้ะจ้ะ

    N : ยินดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นคุณเV ก็เรียนกับท่านอาจารย์ต่อไปนะคะ ตัวพี่เองปฏิบัติมาตั้งแต่ 10 ขวบ และไปอยู่วัดตั้งแต่เดือน พฤศจิกา ปีที่แล้ว เพิ่งจะกลับมาอยู่บ้านค่ะ ได้รู้ได้เห็นอะไรมาก็มากแล้ว ดังนั้น ไม่ขอก้าวก่ายศิษย์มีครูนะคะ

    V : อุ้ย ขอโทษจ้ะ ไม่ได้เกเรนะจ๊ะ คือแค่จะบอกว่าที่ผ่านมา ไม่ได้ทำตามคนทั่วไปมาสอน ที่ผ่านมา ปฏิบัติตามพระสอนจ้ะ ขอโทษจริงๆจ้ะ หากคำพูดทำให้ฟังแล้วไม่ดี ขอโทษจ้ะ รบกวนช่วยเมตตาต่อเถิดจ้ะ

    N : ไม่มีอะไรต้องขอโทษนี่คะ เราแค่สนทนาธรรมปฏิบัติกันธรรมดานี่เอง อย่าเป็นกังวลไปค่ะ

    V : และขออนุโมทนาบุญ ในมหากุศลของการบำเพ็ญเพียรอันดีจ้ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2015
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    N : ที่แนะนำไปว่าให้เรียนกับพระครูต่อไป เพราะว่าคุณเริ่มมาจากพระอาจารย์ ก็ควรจะเรียนต่อไปให้จบและน้อมนำมาปฏิบัติ ติดขัดตรงไหน ครูบาอาจารย์ท่านช่วยแก้ไขให้ได้ค่ะ

    V : ตอนนี้ Vทำผิด ติดอะไรบ้าง เชิญแนะนำจ้ะ ไม่เกเรแล้วจ้ะ เดือนที่แล้วไปปฏิบัติวิปัสสนามา เห็นพระองค์หนึ่งท่านมาบอกในสมาธิว่า ให้ดูจิต แล้วก็เดินจากไป จึงเรียนถามพระอาจารย์ ท่านบอกว่า ดูลมหายใจก็คือดูจิตด้วย ไม่มีจิตจะมีลมหายใจได้ยังไง

    N : ติดตรงความสงสัยนี่แหละค่ะ ความสงสัยเป็นหนึ่งในนิวรณ์ห้า นิวรณ์ห้าเป็นเครื่องขัดขวางความดี หากต้องการความก้าวหน้าก็ให้ละวางความสงสัยลงไป อย่าเอามาใส่ใจ ปฏิบัติตามที่ครูอาอาจารย์ท่านบอกสอนก็จะเห็นผลค่ะ

    V : สาธุๆๆ ขอบพระคุณจ้ะ

    N : ที่ท่านมาบอกนั้น ถูกต้องแล้วค่ะ ให้ดูจิตไม่ใช่ไปดูแสงของจิต แต่ให้ทันจิตว่าตอนนี้จิตเป็นอย่างไร มีรัก โลภ โกรธ หลง มีตัณหา อุปทาน หรือไม่

    V : Vรู้แล้ว..Vนำวิชามโนฯ มาอิงนี่เอง จึงเห็นแสงของจิต

    N : จริตของคุณV ต้องเจริญสติปัฏฐานในหมวด จิตในจิต ค่ะ จึงจะก้าวหน้าทางธรรม

    V : รู้แล้ว ทราบแล้ว กระจ่างแล้ว ขอบพระคุณมากจ้ะ บอกเหมือนที่ครูท่านให้Vทำมาตลอดเลยจ้ะ อย่างที่บอก พอมีคนบอกนั่นไม่ใช่ เป็นแค่สมถะ ไม่ถูก จึงกลัว กังวล สะดุด ขอบคุณพี่มากจ้ะ ที่ช่วยย้ำเตือนวิธีการปฏิบัติของV จะไม่เขวเพราะคำพูดใครอีกแล้ว

    N : จงเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แล้วต่อยอดต่อไปค่ะ

    V : ไม่ทราบถูกมั้ย แต่ จิตพี่ใส แวว เย็นเจี๊ยบมาก พลังก็มีแต่ดีๆ ขอบพระคุณพี่อีกครั้ง ขอบคุณอย่างสูงยิ่ง ขอให้พี่เจริญในธรรมถึงที่สุดดังเจตนาจ้ะ

    N : ขอให้เจริญในธรรมเช่นกันค่ะ และอนุโมทนากับกุศลจิตของคุณVด้วย สาธุค่ะ

    V : ขอบคุณพี่ที่ช่วยกระเทาะสิ่งที่ติดออกให้ .. ดูจิต จิตในจิต ลองทำ จิตนิ่ง สบาย สงบมาก ขอบคุณจริงๆ และขอขอบคุณ S ที่ตั้งคำถามนำ ทำให้Vได้เข้ามาอ่าน สาธุๆๆ ขอให้ทั้ง 2 ท่าน เจริญในธรรม เป็นปัจจัยให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันเทอญ

    N : สาธุ ขอบอกอีกนิดนึงว่า การเจริญพุทธานุสสติแบบที่คุณVปฏิบัติอยู่ คือเพ่งมองพระพุทธรูปนั้น เป็นกสิณแบบหนึ่งที่ทำให้ได้ทิพยจักขุ ค่ะ

    V : ถ้าเดินไปได้ดี ยินดีแชร์ทางธรรมจ้ะ แต่ตอนนี้ ขอรบกวนพี่N และทุกท่าน ไปก่อนนะจ๊ะ


    ปล. นำมาให้อ่านเพื่อเป็นธรรมทานค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...