จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    ธรรมจักษุ คือ การเห็นตัวเราทั้ง ๒ ด้าน : ท่านพ่อลี ธัมมธโร

    พระอาจารย์ลี ธัมมธโร
    วัดอโศการาม
    อ.เมือง จ.สมุทรปราการ


    อีกอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงจัดว่า ดีเป็นยิ่งยอด ก็คือ "ปัญญา"
    เมื่อมีศีล-สมาธิแล้ว ปัญญาก็จักเกิดขึ้นจากใจ
    เป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุถฌาน เป็น "ปญฺญาปโชโต"
    ได้แสงสว่างมีดวงตาเห็นธรรมทั้งนอกทั้งใน (ธรรมจักษุ)
    คือ มองเห็นตัวของเราเองทั้ง ๒ ด้าน มองเห็นว่า

    ส่วนที่เกิดมันก็เกิดและส่วนที่ไม่เกิดมันก็มี
    ส่วนที่แก่ก็แก่ และส่วนที่ไม่แก่มันก็มี
    ส่วนที่เจ็บก็เจ็บ และส่วนที่ไม่เจ็บมันก็มี
    ส่วนที่ตายก็ตาย และส่วนที่ไม่ตายมันก็ไม่ตาย
    นี้เรียกว่า "โคตรภูญาณ" เห็นได้ทั้ง ๒ ด้าน

    เหมือนกับเรามีดวงตาทั้ง ๒ ข้าง จะมองทางด้านไหนก็เห็น
    แต่เราไม่ไปติดข้างใดข้างหนึ่ง ให้เพียงแต่รู้
    ไปตามสภาพของความเป็นจริงแห่งสังขารเท่านั้น
    ว่ามันจะต้อง
    "เกิด แก่ เจ็บ ตาย" เป็นธรรมดา
    ธรรม ๔ ข้อนี้ทำให้คนสำเร็จเป็น "อรหันต์"
    มามากแล้ว
    เพราะพิจารณารู้แจ้งในความเป็นจริงจนคลายจาก "อวิชชา" ได้

    คัดลอกจาก
    หนังสือแนวทางปฏิบัติ วิปัสสนา-กัมมัฏฐาน เล่ม ๒
    พระอาจารย์ลี ธัมมธโร. มกราคม, ๒๕๕๓. หน้า ๕๔
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ทางสายพระนิพพาน
    พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า "นิพพานสูญ" กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ
    ๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
    ๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ
    ๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ
    ๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
    ๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา
    ๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้
    ๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์
    ๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
    ๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร
    ๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้
    จากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง.
    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม สาธุค่ะ
     
  3. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ





    วิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ ตอนที่๑ ความประสงค์ที่เจริญสมาธิ และอารมณ์ที่ต้องการในขณะที่ปฏิบัติ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    อันดับแรก


    ขอให้ท่านผู้สนใจจงเข้าใจคำว่าสมาธิก่อนสมาธิ แปลว่า ตั้งใจมั่น หมายถึง
    การตั้งใจแบบเอาจริงเอาจังนั่นเอง ตามภาษาพูดเรียกว่า เอาจริงเอาจัง คือ ตั้งใจว่าจะทำอย่างไร

    ก็ทำอย่างนั้นอย่างเคร่งครัด ไม่เลิกล้มความตั้งใจ


    ความประสงค์ที่เจริญสมาธิ


    ความประสงค์ที่เจริญสมาธิก็คือ ต้องการให้อารมณ์สงัดและเยือกเย็น ไม่มีความวุ่นวายต่ออารมณ์ที่ไม่ต้องการ และความประสงค์ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ อยากให้พ้นอบายภูมิคือ ไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกายสัตว์เดียรัจฉาน อย่างต่ำถ้าเกิดใหม่ขอเกิดเป็นมนุษย์และต้องการเป็นมนุษย์ชั้นดี คือ

    ๑. เป็นมนุษย์ ที่มีรูปสวย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ไม่มีอายุสั้นพลันตาย
    ๒. เป็นมนุษย์ ที่มีความสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ ทรัพย์สินไม่เสียหายด้วยไฟไหม้, โจรเบียดเบียน, น้ำท่วม หรือลมพัดทำลายให้เสียหาย
    ๓. เป็นมนุษย์ ที่มีคนในปกครองอยู่ในโอวาทไม่ดื้อด้านดันทุรัง ให้มีทุกข์เสียทรัพย์สินและเสียชื่อเสียง
    ๔. เป็นมนุษย์ ที่มีวาจาไพเราะ เมื่อพูดออกไปเป็นที่พอใจของผู้รับฟัง
    ๕. เป็นมนุษย์ ที่ไม่มีอาการปวดประสาท คือปวดศีรษะมากเกินไป ไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นบ้าคลั่งเสียสติ


    รวมความว่าโดยย่อก็คือ ต้องการเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุขทุกประการ เป็นมนุษย์ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์สินทุกประการ ทรัพย์ไม่มีอะไรเสียหายจากภัย ๔ ประการคือ ไฟไหม้ ลมพัด โจรรบกวน น้ำท่วม และเป็นมนุษย์ที่มีความสงบสุข ไม่เดือดร้อนด้วยเหตุทุกประการ ฯลฯประสงค์ให้เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์

    บางท่านก็ต้องการไปเกิดบนสวรรค์เป็นนางฟ้าหรือเทวดาที่มีร่างกายเป็นทิพย์ มีที่อยู่และสมบัติเป็นทิพย์ไม่มีคำว่าแก่, ป่วยและยากจน (ความปรารถนาไม่สมหวัง) เพราะเทวดาหรือนางฟ้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย มีความปรารถนาสมหวังเสมอ

    บางท่านก็อยากไปเกิดเป็นพรหม ซึ่งมีความสุขและอานุภาพมากกว่าเทวดาและนางฟ้า บางท่านก็อยากไปนิพพาน

    เป็นอันว่าความหวังทุกประการตามที่กล่าวมาแล้วนั้นจะมีผลแก่ทุกท่านแน่นอน ถ้าท่านตั้งใจทำจริง และปฏิบัติตามขั้นตอน

    แบบที่บอกว่าง่ายๆ นี้ถ้าปฏิบัติได้ครบถ้วน ท่านจะได้ทุกอย่างตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด โดยใช้เวลาไม่นานนัก จะช้าหรือเร็วอยู่ที่ท่านทำจริงตามคำแนะนำหรือไม่เท่านั้นเอง


    อารมณ์ที่ต้องการในขณะปฏิบัติ


    สำหรับอารมณ์ที่ต้องการในขณะปฏิบัติ ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนว่า เวลานั้นต้องการอารมณ์สบาย ไม่ใช่อารมณ์เครียด เมื่อมีอารมณ์เป็นสุขถือว่าใช้ได้ อารมณ์เป็นสุขไม่ใช่อารมณ์ดับสนิทจนไม่รู้อะไร เป็นอารมณ์ธรรมดาแต่มีความสบายเท่านั้นเอง ยังมีความรู้สึกตามปกติทุกอย่าง


    เริ่มทำสมาธิ


    เริ่มทำสมาธิใช้วิธีง่าย ๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ใช้ธูปเทียนเท่าที่มีบูชาพระ
    ใช้เครื่องแต่งกายตามที่ท่านแต่งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องแต่งตัวสีขาว ฯลฯ เป็นต้นเพราะไม่สำคัญที่เครื่องแต่งตัว ความสำคัญจริง ๆ อยู่ที่ใจ ให้คุมอารมณ์ใจให้อยู่ตามที่เราต้องการก็ใช้ได้


    อาการนั่ง


    อาการนั่ง ถ้าอยู่ที่บ้านของท่านตามลำพัง ท่านจะนั่งอย่างไรก็ได้ตามสบาย จะนั่งขัดสมาธินั่งพับเพียบ นั่งห้อยเท้าบนเก้าอี้ หรือ นอน ยืน เดิน ตามแต่ท่านจะสบาย ทั้งนี้หมายถึงหลังจากที่ท่านบูชาพระแล้ว เสร็จแล้วก็เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจเข้า และหายใจออก คำว่า กำหนดรู้ คือหายใจเข้าก็รู้หายใจออกก็รู้ ถ้าต้องการให้ดีมาก ก็ให้สังเกตด้วยว่าหายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นขณะที่รู้ลมหายใจนี้ และเวลานั้นจิตใจไม่คิดถึงเรื่องอื่นๆ เข้าแทรกแซง ก็ถือว่าท่านมีสมาธิแล้ว

    การทรงอารมณ์รู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก โดยที่อารมณ์อื่นไม่แทรกแซง คือไม่คิดเรื่องอื่นในเวลานั้น จะมีเวลามากหรือน้อยก็ตาม ชื่อว่าท่านมีสมาธิแล้ว คือตั้งใจรู้ลมหายใจโดยเฉพาะ


    ภาวนา


    การเจริญกรรมฐานโดยทั่วไปนิยมใช้คำภาวนาด้วย เรื่องคำภาวนานี้อาตมาไม่จำกัดว่าต้องภาวนาอย่างไร เพราะแต่ละคนมีอารมณ์ไม่เหมือนกัน บางท่านนิยมภาวนาด้วยถ้อยคำสั้น ๆ บางท่านนิยมใช้คำภาวนายาว ๆ ทั้งนี้ก็สุดแล้วแต่ท่านจะพอใจ อาตมาจะแนะนำคำภาวนาอย่างง่ายคือ "พุทโธ" คำภาวนาบทนี้ ง่าย สั้น เหมาะแก่ผู้ฝึกใหม่ มีอานุภาพและมีอานิสงส์มากเพราะเป็นพระนามของพระพุทธเจ้า การนึกถึงชื่อของพระพุทธเจ้าเฉย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่อง มัฏฐกุณฑลีเทพบุตร ว่าคนที่นึกถึงชื่อท่านอย่างเดียว ตายไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ไม่ใช่นับร้อยนับพัน พระองค์ตรัสว่านับเป็นโกฏิ ๆ เรื่องนี้จะนำมาเล่าข้างหน้าเมื่อถึงวาระนั้น


    เมื่อภาวนาควบคู่กับรู้ลมหายใจจงทำดังนี้ เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" ภาวนาควบคู่กับรู้ลมหายใจตามนี้เรื่อย ๆ ไปตามสบาย ถ้าอารมณ์ใจสบายก็ภาวนาเรื่อย ๆ ไป แต่ถ้าเกิดอารมณ์ใจหงุดหงิดหรือฟุ้งจนตั้งอารมณ์ไม่อยู่ก็จงเลิกเสีย จะเลิกเฉย ๆหรือดูโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุหรือหาเพื่อนคุยให้อารมณ์สบายก็ได้ (เพื่อเป็นการผ่อนคลายอารมณ์) อย่ากำหนดเวลาตายตัวว่าต้องนั่งให้ครบเวลาเท่านั้นเท่านี้แล้วจึงจะเลิก ถ้ากำหนดอย่างนั้นเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านขึ้นมาจะเลิกก็เกรงว่าจะเสียสัจจะที่ กำหนดไว้ ใจก็เพิ่มการฟุ้งซ่านมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนี้บ่อย ๆ ก็จะเกิดเป็นโรคประสาทหรือเป็นโรคบ้า ขอทุกท่านจงอย่าทนทำอย่างนั้น
    ขอทุกท่านจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุค่ะ

    ((( ติดตามต่อตอนที่ ๒ ขณิกสมาธิ )))
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)
    _________________________________________
    จากหนังสือวิธีฝึกกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ หน้า ๑ - ๖ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    ₪₪►Oº°`´°ºO◄₪₪₪₪₪₪₪₪₪₪►Oº°`´°
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149.3 KB
      เปิดดู:
      63
  4. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.9 KB
      เปิดดู:
      65
  5. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สวัสดีครับ คุณพี่สุภาทรและก็น้องแพท
    ขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง ที่ช่วยกันโพสต์ธรรมะ
    นึกว่า ลืมห้องนี้กันไปแล้ว
    เหตุที่ไม่ได้เข้ามา เพราะเวปเข้ายาก มิทราบเป็นเพราะอะไร
    โมทนาสาธุด้วยนะครับ
    ภู ท ย า น ฌ า น
    ........

    มีเรื่องขำๆมาฝากพวกเรา ที่นี่..

    555+
    ขำๆ อ่านธรรมะมามากแล้ว
    มาขำกันหน่อย อย่างฮา
    (เอาอะไรคิด น๊า)

    ฮาดี..จนอดแชร์ไม่ได้...

    คุณประยุทธ นายกฯ
    ประธานในงานแต่งงานให้โอวาทบ่าว-สาว ว่า...

    "แต่งงานแล้ว ขอให้คู่สมรสมี ค.ส.ช. (ความสุขชั่วชีวิต)

    สามีต้องไม่เป็น กปปส. (กลับไปเป็นโสด)
    ภรรยาก็ต้องไม่ นปช. (หนีไปกะชู้)

    ถ้าสามีคิดเป็น กปปส.
    ภรรยาฝากบอกว่า กอ.รมน. (กูเอาเรื่องมึงแน่)

    ถ้าสามีไปมีกิ๊กต้อง กกต.(แกกับกิ๊กต้องตาย)

    555....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 มิถุนายน 2015
  6. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    #‎ขอให้ทุกๆท่าน‬
    จงมีแต่ความสุขกาย สบายใจ
    และเจริญในธรรม สาธุ
    บอกไม่ถูก ว่าทำไม เหมือนกายจะลอยตามจิต
    ขอสารภาพจิตนิดนึง ว่า..ไม่อยากเห็นคนทุกข์ใจเลย
    แต่ก็ไม่รู้จะไปบอกพวกเขาเหล่านั้น ยังไงดี..
    กว่าจะมาได้ขนาดนี้ ต้องผ่านด่านเยอะ
    คำว่า ด่าน หมายถึง ศัตรู คือ ฝ่ายตรงข้ามจิต ทำลายจิต
    อันได้แก่ กิเลส ตัณหาและอุปาทาน หรือ ความทุกข์ต่างๆนานา
    แต่เราไม่จำเป็นจะต้องมีอาวุธไปฟาดฟัน เพียงแค่สร้างภูมิคุ้มกันมากๆ
    หมายถึง คอยหมั่นสร้างสติปัญญาให้กับจิตตนเข้าไว้
    ผู้ปฎิบัติใหม่ เสมือนคนที่กำลังปีนขึ้นที่สูง หรือกำลังปีนเขา
    ในระหว่างปีนเขาอยู่นั้น มิได้มีความสบายใจเลย
    ถึงจะเป็นทางแห่งมรรค หรือ เส้นทางแห่งบุญก็ตาม
    ต่างล้วนมีอุปสรรค มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น
    ในระหว่างจิตปีนป่ายแห่งมรรคอยู่นั้น ไหนจะโดนกรรมซัดหนักเลย
    เสมือนเรามิได้ปีนเขาตัวเปล่าเล่าเปือย แถมแบกเป้ขึ้นไปด้วย
    นั่นหมายถึง จิตยังไม่ปล่อยวางหรือปล่อยวางไม่เป็น
    แต่พอปีนไปได้ครึ่งดอย สิ่งของในเป้ ที่เรานำมาแต่แรก
    ต่อไป เราก็จะค่อยๆนำออกมาทิ้ง ทิ้งทีละชิ้นสองชิ้น แต่จะเหลือไม่กี่ชิ้น
    เพราะจิตเริ่มฉลาดขึ้นแล้ว เพราะในระหว่างเส้นทางที่เรากำลังปีนอยู่นั้น
    เราได้รับของแจกไปด้วย มีทั้งสติ มีทั้งปัญญา..
    พอเรามีทั้งสติ มีทั้งปัญญามาก ของในเป้ ก็เริ่มหร่อยหล่อลงไปๆ แทบจะไม่เหลือ
    แต่ถ้าใครปีนถึงยอดเขาหรือยอดดอย ก็จะทิ้งเป้ทั้งใบเลย แถมเสื้อผ้าที่สวมใส่ด้วย
    คราวนี้ จะไปไหนได้ เพราะถึงยอดดอย ไม่มีดอยให้ปีน อีกต่อไปแล้ว
    แล้วทำไงหละ ก็นั่งลงใช่ไหม นั่งชมดอย ชมเส้นทางที่เราเดิน เราปีนมาใช่ไหม
    ตอนที่เรานั่งพัก มันเหนื่อยเหมือนที่เรากำลังปีนดอยมาไหม ไม่เหมือน..ใช่ไหม
    คราวนี้ สบายมั๊ยหละ ...
    เมื่อขึ้นมาถึงแล้ว เราก็ไม่อยากลงไปจุดๆเดิมอีกต่อไปแล้ว
    ‪#‎ธรรมในจิต‬ ก็ผุดมาดักหน้ารอ แล้วบอกว่า..‪#‎แดนโลกุตตรธรรม‬" ..
    ฉะนั้น ผู้ที่กำลังเจริญสติปัญญากันอยู่นี้ อาจเหนื่อยสักหน่อย
    แต่ขอบอกว่า คุ้มๆจริงๆน๊า
    สำหรับผู้ปฎิบัติยังมองไม่เห็นเกิดดับแห่งธรรม
    เพราะต้องอาศัยสติปัญญาไปรู้เท่าทันสิ่งที่กำลังกระทบจิต
    อย่าเพิ่งไปมองถึง ความเกิดดับแห่งธรรมนั้นเลย เอาแค่มีสติเกิดมากๆก่อน
    แล้วจะเป็นหน้าที่ของปัญญาที่จะไปรู้ทันสิ่งกระทบแบบนี้ไปเรื่อยๆก่อน
    ดูธรรมตรงนี้ ให้มันขึ้นใจก่อน หรือ วิปัสสนาให้ขาดดิ้นก่อน
    แล้วเราค่อยมองเห็น เกิดดับแห่งธรรมนั้น มีจริงๆไหม
    เพราะอาการปล่อยวางนั้น จิตไม่วิปัสสนาแล้ว
    คือ เห็นชัดๆแล้วว่า ขี้ (ขออนุญาตพูดแบบนี้ เพราะเห็นธรรมดี)
    แล้วเราจะพิจารณาทำไม กันหลายละๆหลาย ..
    ในเมื่อก็รู้ว่า มันคือ ขี้.. มันเหม็นนะ รู้ว่าขี้ก็ยังสงสัย คือ ยังดมอยู่ได้หลายๆเที่ยว
    ขี้ในที่นี้ก็หมายถึง กองขี้ คือ กองทุกข์ในสังขารเรานี่เอง
    ฉะนั้น ไฟ ก็เช่นกัน เมื่อเราสัมผัสกันมาแล้ว ว่า ร้อน
    ต่อไป เราก็ไม่อยากจะเข้าใกล้
    ของร้อน ถ้าเป็นอาหาร จะดีมากๆเลย
    แต่ถ้าเป็นอาหารของจิตละก้อ ไม่ดีแน่ รู้ว่าร้อน แต่ก็ยังชอบกิน ชอบอยู่ใกล้ๆ
    คนนะคน มิใช่หมู..ไม่กลัวน้ำร้อน อยากเป็นคนหรือว่าอยากจะเป็นหมูก็ตามพระทัย..
    ที่พูดเนี๊ย หมายถึง จิต จิตนะจิต ไม่เอาทั้งขี้และก็ไฟ
    (กองขี้ หมายถึง กองสังขาร)
    ((สังขาร หมายถึง กายสังขารหรือจิตสังขาร))
    (กองไฟ หมายถึง กองกิเลส ตัณหาฯ ทั้งปวง)
    โมทนาสาธุ
    ภู ท ย า น ฌ า น
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • onephra.jpg
      onephra.jpg
      ขนาดไฟล์:
      104.8 KB
      เปิดดู:
      167
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2015
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • appointment.jpg
      appointment.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.4 KB
      เปิดดู:
      844
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Letgodrink.jpg
      Letgodrink.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.5 KB
      เปิดดู:
      80
    • Wifegive.jpg
      Wifegive.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.6 KB
      เปิดดู:
      79
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2015
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SatiPill.jpg
      SatiPill.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.7 KB
      เปิดดู:
      878
    • MyHome.jpg
      MyHome.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.8 KB
      เปิดดู:
      158
  11. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    มาอ่านเรื่องราวที่หลวงพ่อฤษีเล่าไว้ด้วยกันนะคะ สาธุค่ะ...


    หลวงพ่อขี้งัวนี่ ในระหว่างนั้นแหละ ประมาณ พ.ศ. 2487 - 2488 เหตุอัศจรรย์เกิดขึ้นในระยะนั้น ในเขตอำเภอ 2 พี่น้อง กับเขตอำเภอบางปลาม้า ได้ยินข่าวเล่าลืออยูเสมอว่า มีพระพิเศษมาเที่ยวนั่งอยู่ตามกลางทุ่ง ห่มจีวรกลัก แล้วก็มีย่ามลูกหนึ่ง บางทีเอาผ้าคลุมโปง เวลาเดินไปไหนเจอะขี้งัวเหลวๆ ก็หยิบใส่ย่าม แล้วนั่งซุ่มๆ เวลาเด็กเลี้ยงงัวเลี้ยงควายเห็นเข้า เดินเข้าไปใกล้ท่านก็เดินหนีเสีย ทีนี้เจ้าพวกเลี้ยงงัวเลี้ยงควายนี่ ก็เป็นคนไม่ค่อยจะเหมือนคนเหมือนกัน บางคราวมันก็นึกฮิตๆ ขึ้นมา มันนึกว่าเป็นพระบ้าพระบอมันก็วิ่งไล่กวด ท่านก็วิ่งหนี แล้ววิ่งไปได้ไม่นาน ทั้งๆ ที่เป็นกลางวันแล้วก็กลางทุ่ง ปรากฏว่าไม่เห็นพระองค์นั้น ทำแบบนี้กันอยู่หลายวัน

    วันหนึ่งเจ้าภาพนิมนต์อาตมาไปเทศน์ที่ตำบล 2 พี่น้อง ที่บ้านบางสะแก แล้วก็วัดบางสะแกหรืออะไรนี่ ไอ้วัดนั้นไม่ทราบว่าชื่อวัดอะไร แต่กลุ่มบ้านนั้นเขาเรียกว่าบ้านบางสะแก เมื่อเวลาเทศน์จบก็ต้องค้างคืน เพราะเขานิมนต์ฉันเช้า ค้างกันอยู่ 3 องค์ด้วยกัน ไปเทศน์ 3 องค์ เวลากลางคืนก็มาค้างที่บ้าน พอตกกลางคืนเขาก็พูดให้ฟังถึงความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้น บอก จะไปหาว่า ท่านเป็นพระบ้าพระบอมันก็ไม่ได้ ความจริงรู้สึกว่าจะเป็นพระที่มีความสำคัญอยู่ เมื่อเวลาเขาพูดให้ฟัง อารมณ์จิตมันคิดอยู่อย่างหนึ่ง นี่ไม่ใช่อาตมาเป็นหมอดูนะ หรือว่าไม่ใช่เป็นพระมีญาณ มีญาณพิเศษอะไร เป็นพระธรรมดานักบวชที่ใช้อะไรไม่ค่อยจะได้

    นี่แหละ เรียกว่าขาวๆ ดำๆ ดำๆ ขาวๆ ลุ่มๆ ดอนๆ เอาเรียบร้อยอะไรไม่ได้ บางทีก็เป็นพระ บางทีก็เป็นคน บางอารมณ์ก็เป็นเปรต บางคราวก็เป็นสัตว์นรกไปก็มี นี่ พระแบบนี้เชื่อถืออะไรไม่ค่อยได้ เอาดีไม่ได้ จะไปเชื่อได้ยังไง พระมันบวชมาจากคนนี่ บางทีก็เลวกว่าชาวบ้านเสียอีก บางครั้งเห็นชาวบ้านเขามีปฏิปทาดี รู้สึกเลื่อมใสในเขา นี่เป็นยังงั้น อัตนา โจทยตานัง พระพุทธเจ้าสั่งสอนให้เตือนตัวเอง นี่บางทีไปนั่งเตือนชาวบ้านเขาเพลินไปเลยลืมเตือนตัวเอง อย่างนี้พระยายมยิ้ม ชอบ ยังไงๆ ก็คงได้เป็นลูกศิษย์พระยายมแน่ ถ้าไม่กลับตัวให้ดีกว่านี้ เอ้าเล่าเรื่องของพระองค์นั้นต่อไป

    เมื่อเขาเล่าเรื่องให้ฟัง ความรู้สึกมันเกิดขึ้นมาว่า พระองค์นี้ต้องเป็นพระอริยเจ้าและอย่างเลวที่สุดก็ต้องเป็นอภิญญา 6 พระอภิญญา 6 นี่มีหูทิพย์ ตั้งแต่อภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณนี่ พูดอะไรไม่ได้ ได้ยิน สำหรับพระวิชชาสามนี่ต้องใช้ญาณเป็นเครื่องกำหนดรู้ ถ้าไม่กำหนดจิตเพื่อรู้ไม่รู้ ถ้ากำหนดจิตเพื่อรู้จริงๆ ใครเขามาพูดทิ้งไว้ตั้งหลายๆ ปีก็รู้ว่าเขาพูดว่ายังไง นี่มันคนละอย่าง พระวิชชาสามเหมือนกับคนมีตำรา ต้องเปิดตำราจึงรู้ แต่พระอภิญญา 6 ขึ้นไป ไม่เหมือนกับคนมีตำรา เหมือนคนที่รู้เอง พูดที่ไหนก็ไม่ได้ นินทาไม่ได้ นินทาเมื่อไรรู้เมื่อนั้น ก็เลยบอกเจ้าของบ้านว่า ทดลองกันดีกว่าว่าพระองค์นั้นจะเป็นพระอะไร

    กรุณาเอาธูปไปจุดสัก 5 ดอก ไปปักไว้ที่นอกชานกลางแจ้ง เขาก็ปฏิบัติตามนั้น ก็เลยพูดดังๆ ว่าพระองค์นั้น ถ้าหากว่าเป็นพระอริยเจ้าจริง พรุ่งนี้ตอนเช้าก็โปรดมาพบที่บ้านนี้ เพราะชาวบ้านพร้อมทั้งพระ คือคณะอาตมาด้วย ต้องการนมัสการ ถ้าหากว่าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็จงอย่ามา ทีนี้ก็ไม่ยาก ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็รู้ไม่ได้ พูดเท่านั้นชาวบ้านเขาก็ตั้งใจพนมมืออธิษฐานเหมือนกัน เพราะนั่งอยู่หลายสิบคน บ้านใหญ่มาก เขาก็เลยพูดตาม ทุกคนเขาว่าตามแล้ว เขากราบไปที่ธูปเท่านั้นเอง คุยกันไปดึกประมาณ 24 น. ต่างคนต่างก็ลากลับ พระก็นอน ชาวบ้านก็นอน หรือใครจะไม่นอนบ้างก็ไม่ทราบ

    ถึงเวลาเช้าตรู่เวลาประมาณ 6 น. ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาทางหลังบ้าน เสียงโวยๆ ว่าใครวะ ใครมันท้าตีกูวะ มันเก่งจริงมันลงมาซิหว่า ไอ้คนเก่งจริงไม่ต้องไปท้ากันกลางคืนโว้ย เสียงเอะอะมา แล้วมาที่หน้าบ้านหลังนั้น มายืนกวักมือท้า เหวยๆ บอกเฮ้ยใครวะเมื่อคืนมันท้าตีกูวะ เก่งจริงโดดลงมาซีหว่า กูคนเดียวละ พวกมึงเท่าไรก็ตามมาตีกะกู เป็นอันว่ามาแล้ว แต่ก็มาแบบนักเลงโต อาตมากับเพื่อนก็เลยลงไปข้างล่างยกมือไหว้ บอกว่านิมนต์ขึ้นข้างบนเถอะขอรับ ทำแบบนี้ไม่มีผลหรอก ชาวบ้านเขาจับได้แล้ว อย่ามาปลอมแปลงเป็นคนบ้าเลย จะทำให้ชาวบ้านเขาบ้าไปด้วย ท่านนิ่งประเดี๋ยวมองหน้า เอาผ้าที่เคียนศีรษะลง ผ้าจีวรน่ะ เคียนศีรษะเสียใหญ่เบื้อเร่อเชียว เอาลง ลงแล้วก็ห่มเป็นปริมณฑลเรียบร้อย แล้วก็เดินขึ้นบ้านแบบสงบ นั่งเฉย ยิ้มแฉ่ง

    ตอนนี้นั่งดูแล้ว สีเปลี่ยน เปลี่ยนจากดำเป็นค่อยๆ ขาวไปทีละน้อยๆ จนท่านขาวแล้วก็ออกเหลือง หน้าตาอิ่มเอิบ ชาวบ้านเขารู้กันเร็วจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวคนเต็มหมด ทุกคนมาถึงแล้วก็มากราบแบบสนิท ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คุยด้วยดี ก็เป็นอันรู้กันแล้วว่าพระองค์นี้เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ขั้นอภิญญา 6 ขึ้นไป แต่จะเป็นขนาดไหนไม่รู้ จะเป็นปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกัน เพราะอธิษฐานไว้แบบนั้น

    เวลาท่านฉันข้าวเสร็จ ท่านก็ให้พร เสียงเพราะมาก เวลาให้พรเสร็จท่านก็บอกว่า ใครมีสำรับกับข้าวมาถวายพระบ้าง ให้เอาถ้วยไปล้างให้สะอาดคนละลูก รายละลูกแล้วส่งมาให้ท่าน ทุกคนก็ปฏิบัติตาม ส่งถ้วยไปแล้วท่านก็ควักขี้งัว

    ในย่ามของท่านเต็มไปหมด ใส่ถ้วยเต็มเอาฝาปิดแล้วก็ส่งให้ บอกเอาไป พวกเอ็งจะได้ค้าขายหากินดี ไปพูดอะไรกับใครก็ตาม สีปาก เอาขี้งัวนี่น่ะสีปากแล้วพูด ชาวบ้านรักชาวบ้านชอบ ว่าเข้าแบบนั้นชาวบ้านก็คงจะสะอึก พอเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็ลากลับ เวลาลากลับ ท่านเดินลงไปบันได พอพ้นบันไดลงไป ปรากฏว่าคนข้างล่างก็ไม่เห็นท่าน คนข้างล่างไม่เห็นท่านลงไป แต่คนข้างบนเห็นท่านลง เป็นอันว่าข้างบนก็ไม่มี ข้างล่างก็ไม่มี หายไปเสียแล้ว ชาวบ้านเขาก็บอกว่าของในถ้วยนี้น่ะ เขาไม่เรียกว่าขี้วัว ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไปเรียกขี้วัวเข้ามันจะเป็นขี้วัวเพราะอำนาจฤทธิ์ของท่าน ถามว่าของในถ้วยนี่จะทำยังไง ก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อนซี สำรวจดูก่อน จริยาของท่านไม่เหมือนพระอื่นนะ เวลาท่านมาท่านแสดงรกรักรุงรัง แสดงท่าเอะอะโวยวาย แต่เวลาเราพูดดีเข้า ท่านเรียบร้อยดีเสียกว่าพวกฉันเสียอีก กิริยาน่ารักน่าไหว้ น่าบูชา

    ทีนี้ขี้วัวนี่ก็เหมือนกัน มันจะเป็นเหมือนท่านเวลาท่านควักออกมาจากย่ามมันอาจจะเป็นขี้วัว เหมือนกับท่านเดินมาทีแรก คือท่าทางเอะอะโวยวาย ตานี้เวลาท่านกลับไปเรียบร้อย เข้าใจว่าขี้วัวจะเป็นอย่างอื่น ถ้าหากขี้วัวนี้เป็นขี้วัวตามเดิม ก็แสดงว่าพระองค์นี้ ไม่ใช่พระอรหันต์ขั้นฉลภิญโญ ขั้นอภิญญา 6 ขึ้นไป พอว่าเท่านั้นชาวบ้านต่างคนต่างก็เปิดฝาถ้วยดู เจ้าขี้วัวทั้งหมดกลายเป็นสีผึ้งสีปาก หอมกรุ่น เรียกว่าหอมมากว่าสีผึ้งธรรมดา เรื่องนี้ก็จบกันเท่านี้ แล้วเขาจะไปใช้สีผึ้งทำอะไรมันเรื่องของเขา ท่านสั่งแล้ว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.6 KB
      เปิดดู:
      68
  12. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    มาอ่านต่อด้วยจิตที่สบายๆค่ะ
    อนุโมทนาสาธุค่ะ
    ทีนี้ ต่อมาก็มีอีกองค์หนึ่ง ควรจะเล่าให้ฟัง

    นายพ่วง เพื่อนกับนายอิน นายอินคนนี้เขาเป็นญาติกับอาตมาเคยเป็นทหาร นายพ่วงนี่ เป็นเพื่อนกัน อาตมารู้จักนายพ่วงได้ก็เพราะอาศัยนายอิน นายพ่วงนี่อยู่ตำบล บางซอ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี

    ตานี้มีพระองค์หนึ่ง วันหนึ่งตาพ่วงนี่แกทำไร่อ้อย แกอยู่กลางไร่มีพระองค์หนึ่งเดินมา ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้จะเข้าพรรษาคือเป็นวันเข้าพรรษาแล้ว ตาพ่วงแกเห็นเข้าแกก็ถามหลวงพ่อจะไปไหนครับ ท่านก็ตอบว่า ไม่รู้จะไปไหน เพราะว่าอยู่วัดกับใครเขาไม่ได้ อยู่วัดไหนวัดไหนเขาก็ไล่ อยู่กับเขาไม่ได้ก็เดินหาที่อยู่ยังไม่มีที่อยู่ ตาพ่วงแกมีกระท่อมสำหรับเฝ้าอ้อยอยู่หลังหนึ่ง ก็นิมนต์ท่าน

    บอกนิมนต์หลวงพ่อจำพรรษาอยู่ที่นี่เถิดขอรับ กระผมจะส่งเอง เรื่องอาหารการบริโภค ผ้าผ่อนท่อนสไบ ยารักษาโรค ทุกอย่างที่หลวงพ่อต้องการ ตามสมณวิสัย ผมจะถวายเอง หลวงพ่อไม่ต้องไปหาวัดอยู่หรอกขอรับ พระแถวนี้ก็พระทั้งนั้นแหละขอรับ แต่รู้สึกว่าพระอยู่ข้างๆ พระ แกว่ายังงั้น บวชแล้วก็แค่นั้นแหละขอรับ ไม่ได้สร้างความเจริญให้แก่ตัวมุ่งหน้าแต่จะหาลาภหายศกัน อยากจะเป็นพระครู อยากจะเป็นเจ้าคุณ อยากจะเป็นสมภาร อยากจะเป็นใบฎีกา สมุห์ปลัด วิ่งเต้นกันให้มันยุ่งไปหมด ลงท้ายลูกวัดก็เอาถ่านไม่ได้ ผู้หญิงยิงเรือผ่านไม่ได้ ยักคิ้วหลิ่วตา เวลามาบิณฑบาตก็ไม่น่าจะเลื่อมใส ไม่น่าไหว้ ไม่น่าบูชา แต่ก็จำจะต้องทำบุญเพราะหาพระที่ดีทำบุญไม่ได้ ฉะนั้น ขอนิมนต์หลวงพ่ออยู่ที่นี่เถอะขอรับ

    ท่านก็เลยอยู่ก็อยู่กับตาพ่วงมาตลอดปี ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 1 พรรษาผ่านไป ทีนี้พอพรรษาที่ 2 ปีนั้นน้ำท่วมไร่อ้อย หลวงพ่อก็อยู่เกาะ ตาพ่วงก็ดี เอาไม้ลูกบวบไปทำแพให้ 2 ลูก สำหรับจะผ่อนคลายออกมาเดินเล่น เอากระดานปูเข้า

    วันหนึ่งเป็นเวลาเดือน 12 ท่านก็เลยบอกว่าพ่วงเอ๊ย จะต้องการอะไรจากพ่อก็เอาเสียเถอะนะ ต่อไปพ่อจะต้องขอลาเจ้าละ ตาพ่วงก็บอกว่าหลวงพ่อครับ ฤดูน้ำ น้ำยังมากอยู่หลวงพ่อจะไปยังไง ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร จะเอาอะไรก็เอาเสียนะ พ่ออยู่ไม่ได้ จะต้องขอลาเจ้า ตาพ่วงก็ค้านแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้ขออะไร

    มาวันหนึ่ง ปรากฏว่าเจ้าภาพเขาจะแต่งงานลูกสาวเขา สองรายด้วยกัน บ้านเหนือกับบ้านใต้ แล้วฤกษ์ที่เขาหาได้ก็เป็นวันเดียวกัน เวลาเดียวกัน คือเวลาเช้าวันเดียวกัน เขามานิมนต์ท่านทั้งสองราย ท่านรับนิมนต์ทั้งสองราย ท่านรับนิมนต์แล้วท่านก็ไม่ได้บอกกะตาพ่วงว่าจะไปฉันเช้าบ้านไหน เพราะท่านอยู่กลางเกาะน้ำแถบนั้น ไม่มีเรือท่านก็ไปไม่ได้ ในเมื่อถึงเวลาแต่งงานเข้าจริงๆ ปรากฏว่าท่านไปฉันทั้งสองบ้าน แต่ความจริงไม่ได้ฉัน 2 บ้านเท่านั้น ฉัน 3 บ้าน ที่กระท่อมนั้น

    ตาพ่วงนำอาหารไปถวาย ท่านก็อยู่ที่นั่น แล้วบ้านเหนือบ้านใต้ที่เขาแต่งงานกัน ท่านก็ไปฉันทั้งสองบ้าน เป็นอันว่าเวลาเดียวกันท่านไปฉัน 3 บ้าน เป็นพระ 3 องค์ เพราะมันเวลาเดียวกัน เรื่องราวก็ชักจะยุ่งกันใหญ่

    ตานี้ คนเขามาถามตาพ่วงบอก เอ๊ะ หลวงพ่อแกไปฉันบ้านเหนือรึ ตาพ่วงก็บอกเปล่า ฉันที่กระท่อมนี่ ข้าเอาอาหารไปถวายท่านนี่นะยังอยู่ ไอ้บ้านใต้ก็มายืนยันบอก เอ๊ะ หลวงพ่อแกไปฉันที่บ้านใต้เขานี่ เวลาเดียวกันตาพ่วงก็บอก เอมันจะยังไงพ่อคุณบ้านเหนือก็ไป บ้านใต้ก็ไป แล้วก็เวลาเช้าที่เขาถวายอาหารกันนี่ ฉันก็เอาอาหารมาถวายหลวงพ่อของฉันอยู่ตรงนี้นี่นะ แล้วมันจะเป็น 3 องค์ ขึ้นมาได้ยังไงล่ะ ในที่สุดตาพ่วงก็ไปถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ไม่ได้ตอบว่ายังไง หัวเราะหึ หึ เป็นแต่เพียงบอกว่า พ่วงเอ็งต้องการอะไรก็บอกพ่อนะ พ่อจะให้ พ่อจำเป็นจะต้องไป อยู่ไม่ได้ มันถึงเวลา ตาพ่วงก็ค้านว่าหลวงพ่อจะไปก็ไปได้ขอรับ ให้น้ำแห้งเสียก่อน เวลานี้น้ำยังมาก ท่านก็เฉย

    วันรุ่งขึ้นตอนเช้า ตาพ่วงเอาข้าวไปถวายตามปกติ ปรากฏว่าพระองค์นั้นตายแล้ว ตายเสียฉิบ มีตะกรุด มีสีผึ้งสีปากไว้ให้ มีจดหมายเขียนไว้ให้ บอกตะกรุดนี้เอาไว้ป้องกันตัว พ่วงเอ็งเป็นคนดีมาก เอาตะกรุดนี่ไว้ป้องกันตัว แล้วฐานะเอ็งไม่ค่อยดีจงเอาสีผึ้งนี้สีปากเวลาขายของ จะขายของดี

    เป็นอันว่าพระประเภทนี้พอมีอยู่ ถ้าพระประเภทนี้นะอยู่ที่ไหน บรรดาพระจัญไรทั้งหลายรังเกียจ เพราะอะไร เพราะปฏิปทาไม่เหมือนกัน พระอริยเจ้านี่เป็นที่รังเกียจของพระปุถุชนคนธรรมดาที่หนาไปด้วยกิเลส นี่เป็นเรื่องจริงๆ มีหลายองค์ เรื่องนี้ขอยุติเพียงนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      248.9 KB
      เปิดดู:
      89
  13. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์
    ถ้าอารมณ์ใจของเรามีศีล 5 บริสุทธิ์จริง เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง
    จะถึงขั้นพระโสดาบันหรือไม่ ก็พิจารณาใจของตัวเอง ว่ากำลังใจของเรานี้ต้องการอะไรบ้าง ต้องการมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก หรือว่านิพพาน ถ้ายังต้องการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี อย่างนี้ไม่ใช่พระโสดาบัน เพียงแค่ผู้เข้าถึงไตรสรณคมน์เท่านั้น และมีศีล 5 บริสุทธิ์ แต่ว่าถ้าจะเป็นพระโสดาบันจริงๆ จะต้องมีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์

    *โคตรภูญาณ
    อย่างการปฏิบัติพระกรรมฐานพอเริ่มต้นเข้าสู่โคตรภูญาณของพระโสดาบัน คำว่าโคตรภูญาณนี่ จิตอยู่ในระหว่าง โลกียะ กับ โลกุตตระ ระหว่างเป็น ปุถุชน กับ พระโสดาบัน ตามพระบาลีท่านเปรียบเทียบเหมือนกับลำรางเล็กๆ เราจะก้าวจากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน้น มันไม่กว้างแต่ว่าเท้าขวาเหยียบฝั่งโน้น เท้าซ้ายยังยืนอยู่ฝั่งนี้ อย่างนี้เรียกว่าโคตรภู จะถือว่าเป็นคนฝั่งนี้ก็ไม่ได้ ถือว่าเป็นคนฝั่งโน้นก็ไม่ได้ เป็นคนกลางๆ ใช่ไหม โคตรภูญาณของพระโสดาบันก็เหมือนกัน จิตยังเกาะโลกีย์บางส่วน บางส่วนจับโลกุตตระ คือมีศีล 5 บริสุทธิ์ แล้วก็เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์แน่นอน จิตต้องการพระนิพพาน แต่ยังไม่มั่นใจเกินไป จิตระหว่างเข้าสู่โคตรภูญาณ

    *ผู้เข้าถึงพระโสดาบัน
    บรรดาท่านพุทธบริษัทจะสังเกตได้ว่า เวลานั้นอารมณ์ใจต้องการพระนิพพานตรง ความหมายที่ต้องการจะเป็นมนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ไม่มีสำหรับเราแน่นอน แต่ว่าถ้าจิตถึงพระโสดาบันจริงๆ ตอนนี้อารมณ์ลด ต้องดูอารมณ์ลดนะ การปฏิบัติพระกรรมฐานดูตัวภาวนาไม่ได้ ภาวนานี่ไม่แน่นอน ถ้าร่างกายดี สมาธิทรงตัวดี ถ้าร่างกายไม่ดีสมาธิก็ทรงตัวไม่ดี อันนี้เอาแน่นอนไม่ได้ ต้องดูตัวลด พอเป็นพระโสดาบันจริงๆ อารมณ์แห่งความโลภจะบรรเทาตัวลง
    คำว่า โลภ ในที่นี้ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบ ไม่ใช่ความขยันหมั่นเพียรเป็นความโลภ ความขยันหมั่นเพียรในการทำมาหากินในทางสุจริต พระพุทธเจ้าไม่ทรงเรียกว่า โลภ เรียกว่า สัมมาอาชีวะ คำว่าโลภในที่นี้ก็หมายถึงว่าอยากได้ทรัพย์ของผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม อยากจะโกงเขาบ้าง อยากจะลักขโมยเขาบ้าง ยื้อแย่งเขาบ้าง อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้เป็นตัวโลภ เอากันเบื้องต้นนะ เอากันขั้นพระโสดาบันกับพระสกิทาคามี

    ถ้าจิตเราไม่ต้องการทรัพย์สินของบุคคลอื่นใด ด้วยการทุจริต คิดอย่างเดียวว่าจะทำมาหากินด้วยความสุจริตให้มันร่ำรวยขึ้น มันร่ำรวยเท่าไรก็ตาม ไม่ถือว่าเป็นความโลภ ถือว่าเป็นสัมมาอาชีวะ จิตอยากได้ทรัพย์สมบัติของบุคคลอื่นจะถูกตัดไปจากจิตของเรา หรือบางครั้งมันอยากได้ มันอยากได้นิดแต่ทิ้งมากกว่า อย่างท่านสุภาพสตรีเดินไปเจอะแหวนเพชรตามร้าน มันก็อยากได้ แต่ไม่อยากขโมย ใช่ไหม อยากได้ อยากจะซื้อเขาอย่างนี้ไม่เป็นความโลภ
    ถ้าหากว่าเผอิญเจ้าของเผลอเมื่อไรกูเอาเมื่อนั้น อย่างนี้ไม่เป็นพระโสดาบันแน่ ถ้าพระโสดาบันต้องการ ราคามันเท่าไร ทำไมจึงจะได้เพชรจำนวนนี้ เราต้องไปทำความขยันหมั่นเพียร หาเงินซื้อให้ได้มา ไม่ใช่ความโลภ เป็นสัมมาอาชีวะฟังเข้าใจง่ายนะ

    มาด้านของ ความโกรธ การเจริญกรรมฐานต้องสังเกตอาการของจิต อย่าสังเกตสมาธิ สมาธิสังเกตไม่ได้ ความโกรธก็สังเกต พระโสดาบันยังมีความโกรธ แต่ความโกรธของท่านมี ท่านคิดแต่ไม่ลงมือทำ ด่าคนยังด่าเป็น ตีก็ยังตีเป็น แต่ไม่ฆ่าให้ตาย ไม่ตีให้ตาย ใช่ไหม เป็นการลงโทษเป็นการสั่งสอน ยังมีสำหรับคนภายใน แต่ว่าเจตนาในการฆ่าไม่มี นี่ความโกรธเราจะสังเกตได้ว่ามันจะบรรเทาลง เราเคยถูกเขาว่าแบบนี้ เขาด่าแบบนี้เคยโกรธหนัก แต่โกรธเบาลง หรือมิฉะนั้นความโกรธเท่าเดิม แต่หายเร็วกว่า นี่อาการของพระโสดาบันเป็นอย่างนี้

    มาถึง ความหลง ในร่างกายยังมีอยู่ หลงในทรัพย์สินยังมีอยู่ แต่ก็ไม่หลงเกินไป คือไม่ลืมความตาย ร่างกายก็ยังรักร่างกายอยู่ เพราะร่างกายมันยังเป็นเรา เป็นของเรา แต่คิดว่าร่างกายมันต้องตาย ถ้าร่างกายจะพึงตายเมื่อไร ก็คิดว่าเมื่อตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น อารมณ์อย่างนี้มี รวมความว่าพระโสดาบันนี่ไม่มีอะไรมาก มากไหม มี 5 เท่านั้นเอง
    1.เคารพพระพุทธเจ้า
    2.เคารพพระธรรม
    3.เคารพพระอริยสงฆ์
    4.มีศีล 5 บริสุทธิ์
    5.จิตต้องการพระนิพานเป็นอารมณ์

    ที่มา หนังสือ ธรมมปฏิบัติ เล่มที่ 41 หน้าที่92-96 โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง. ขอทุกท่านจงเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป สาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.8 KB
      เปิดดู:
      104
  14. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    คาถาเงินล้าน ชัดที่สุดใน 3 โลก

    Artist: หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    Album: คาถาเงินล้าน
    ไฟล์แนบข้อความ
    ฟัง นะโม+คาถาเงินล้าน 9 จบ.mp3 (9.53 MB, 24227 views)
    ฟัง นะโม+คาถาเงินล้าน 30 จบ.mp3 (29.84 MB, 13110 views)
    ฟัง นะโม+คาถาเงินล้าน 108 จบ.mp3 (105.46 MB, 26617 views)


    *** คาถาเงินล้าน MP3 หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ชัดที่สุดในสามโลก ***

    เชิญฟังหรือดาวน์โหลด พระคาถาเงินล้าน จัดทำใหม่ มีทั้งแบบ 9 จบ, 30 จบ และ 108 จบ เสียงวัดท่าซุงนำสวดเดิม โดยได้ตัดเสียงรบกวน แก้ไข ตัดต่อ ทำใหม่จากไฟล์เสียงเดิมใน Youtube ที่ส่วนใหญ่ เสียงไม่ชัด บ้างก็มีเสียงตอนท้ายที่ขาดหาย และมีเฉพาะ 9 จบ โดยข้าพเจ้าได้ทำเสียงสวดพระคาถาเงินล้านแบบ 30 จบ และ 108 จบไว้ในที่นี้ด้วย เพื่อให้ท่านสาธุชนเจริญพระคาถาได้ตามอัธยาศัย ในวาระและโอกาสที่จะอำนวย ตามสมควรแก่เวลา ขออนุโมทนาสาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      204.9 KB
      เปิดดู:
      102
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    . .[​IMG]
    ********************************
    . .อนุโมทนาสาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]. .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • word8.jpg
      word8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      106.4 KB
      เปิดดู:
      802
    • ComeAndGoEmpty.jpg
      ComeAndGoEmpty.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29 KB
      เปิดดู:
      72
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    ของดีมีอยู่กับตัว - หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

    ของดีมีอยู่กับตัวเราทุกคน ก็พากันปฏิบัติเอา ทำเอา
    เมื่อเวลาตายแล้วจึงวุ่นวายหานิมนต์พระมากุสลามาติกา
    ไม่ใช่เกาถูกที่คัน ต้องรีบแก้เสียบัดนี้
    คือ เร่งทำความดีแต่บัดนี้ จะได้หายห่วง
    อะไร ๆ ที่เป็นสมบัติของโลก มิใช่สมบัติอันแท้จริงของเรา
    ตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล
    สมบัติในโลกเราแสวงหามา หามาทุจริตก็เป็นไฟเผา
    เผาตัวทำให้ฉิบหายได้จริง ๆ
    ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและความโง่เขลาของผู้แสวงหาแต่ละราย

    ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตน
    จนกลายเป็นสรณะของพวกเรา
    ท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทองเครื่องหวงแหน
    เป็นคนร่ำรวย สวยงามเฉพาะสมัย
    จึงพากันรัก พากันห่วง จนไม่รู้จักเป็น รู้จักตาย
    สำคัญตนว่าจะไม่ตายและพากันประมาทจนลืมตัว
    เพลิดเพลินตักตวงเอาแต่สิ่งไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว

    อย่าสำคัญว่าตนเอง เก่งกาจสามารถฉลาดรู้กว่าเขาเลย
    ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเอง จนไม่มีวันสร่างซา
    เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์
    ถ้าไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้ ซึ่งอยู่ในฐานะอันควร
    อาตมาขออภัยด้วย ถ้าพูดหยาบคายไป
    แต่คำพูดที่สั่งสอนคนให้ละชั่ว ทำความดี จัดเป็นหยาบคายอยู่แล้ว
    โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนา เพราะไม่มีผู้ยอมรับความจริง
    การทำบาปหยาบคายมีมาประจำแทบทุกคน
    ทั้งให้ผลเป็นทุกข์ ตนยังไม่อาจรู้ได้ และตำหนิมันบ้าง
    พอมีทางคิดแก้ไข แต่กลับตำหนิคำสั่งสอนหยาบคาย
    ก็นับเป็นโรคที่หมดหวัง

    เมื่อมีผู้เตือนสติ ควรยึดมาเป็นธรรมคำสอน
    จะเป็นคนมีขอบเขตมีเหตุผล ไม่ทำตามความอยาก
    เมื่อพยายามฝ่าฝืนให้เป็นไปตามทางของนักปราชญ์ได้จะประสบผล
    คือความสุขในปัจจุบันทันตา
    แม้จะมิได้เป็นเจ้าของเงินล้าน
    แต่มีทางได้รับความสุขจากสมบัติและความประพฤติดีของตน

    คนฉลาดปกครองตนให้มีความสุขและปลอดภัย
    ไม่จำต้องเที่ยวแสวงหาทรัพย์มากมาย
    หรือเที่ยวกอบโกยเงินเป็นล้าน ๆ มาเป็นเครื่องบำรุงจึงมีความสุข
    ผู้มีสมบัติพอประมาณในทางที่ชอบ
    มีความสุขมากกว่าผู้ได้มาในทางมิชอบเสียอีก
    เพราะนั่นไม่ใช่สมบัติของตนอย่างแท้จริง
    ทั้ง ๆ ที่อยู่ในกรรมสิทธิ์
    แต่กฎความจริง คือ กรรมสาปแช่งไม่เห็นด้วยและให้ผลเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด
    นักปราชญ์ท่านจึงกลัวกันหนักหนา

    แต่คนโง่อย่างพวกเราผู้ชอบสุกเอาเผากิน และชอบเห็นแก่ตัว
    ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่ประสบผล คือ ความสุขดังใจหมาย


    คนหิวอยู่เป็นปกติสุขไม่ได้ จึงวิ่งหาโน่นหานี่
    เจออะไรก็คว้าติดมือมาโดยไม่สำนึกว่าผิดหรือถูก
    ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็มาเผาตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ
    คนที่หลงจึงต้องแสวงหาถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา จะหาไปให้ลำบากทำไม
    อะไร ๆ ก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว
    จะตื่นเงาตะครุบเงาไปทำไม เพราะรู้แล้วว่า เงาไม่ใช่ตัวจริง

    ตัวจริงคือ สัจจะทั้งสี่ที่มีอยู่ภายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว.


    ความมั่งมีศรีสุขจะไม่บังเกิดแก่ผู้ทุจริต
    สร้างกรรมชั่วมีมากเท่าไรย่อมหมดไป
    พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายที่สร้างบาปกรรมไว้
    ผลกรรมนั้นย่อมตกอยู่กับลูกหลานรุ่นหลังให้มีอันเป็นไป
    ผู้ทุจริตเบียดเบียน รังแกผู้อื่น จะหาความสุขความเจริญไม่ได้เลย...


    หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    thaitiger
    Administrator
    Advance Member

    Online

    Posts: 7229





    แก้ปวดหลัง ดื่มแล้วหายไม่ต้องผ่าตัด..ด้วยน้ำมะพร้าว+พริกไทยเม็ด"
    « on: March 15, 2015, 07:10:01 PM »


    แก้ปวดหลัง ดื่มแล้วหายไม่ต้องผ่าตัด..ด้วยน้ำมะพร้าว+พริกไทยเม็ด"

    สมุนไพรเป็นยาขนานนี้ดื่มกันมานานจากการบอกกล่าวต่อกันมานานหลายสิบปีแล้ว ซึ่งได้ทราบจากคุณภิมุข รัตนอาภา ปัจจุบันอายุ 74 ปี โทรศัพท์บอกกล่าวให้ทราบตั้งแต่ปี 52 และส่งเป็นเอกสารที่ท่านเผยแพร่มาให้อีก สืบเนื่องจากท่านเผยแพร่ที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยรายการทั่วทิศถิ่นไทยแล้วมีผู้ดื่มแล้วหายกันมากมายเป็นที่กล่าวขานว่าได้ผลจริง การเขียนบอกกล่าวเป็นบันทึกว่าจะเขียนหลายครั้งก็ไม่มีความมั่นใจว่ารักษาได้ผลจริงไหม แต่ก็เคยได้บอกบ้างเช่นคุณวอญ่า ก็นำไปทำดื่มและได้ผลจริงไม่ต้องผ่าตัด และประสบการณ์ของคุณภิมุขดื่มเองเมื่อก่อนทำงานการรถไฟปวดเมื่อยประจำดื่มแล้วหายดี และให้คุณแม่ของเพื่อนอายุ 80 ปีกว่าเตรียมผ่าตัดอยู่ที่โรงพยาบาล ดื่มแล้วก็ไม่ต้องผ่าตัด หากใครได้ฟังรายการทั่วทิศถิ่นไทยก็คงได้ทราบบ้างแล้วว่ามีใครดื่มแล้วหายจากการปวดที่อื่นด้วยไม่ใช่เฉพาะการปวดหลัง

    ส่วนประกอบและวิธีดื่ม น้ำมะพร้าวอ่อน 1 แก้ว
    พริกไทยเม็ด จำนวนเม็ดเท่าอายุ ชนิดขาวหรือดำก็ได้ ตำหรือบดให้้ละเอียด

    น้ำมะพร้าวพริกไทยใส่รวมกันหรือจะตักพริกไทยใส่ในลูกมะพร้าว แล้วดื่ม

    ในการทำดื่มตามที่คุณภิมุข รัตนอาภา เผยแพร่นั้น บอกไว้ว่าทำดื่มเพียงปีละ 1 ครั้ง 3 ปี แต่หลายคนที่ทำดื่ม นั้นไม่เหมือนกันคือบางคนทำดื่มหลายครั้งจนหายเจ็บปวด ซึ่งทั้งน้ำมะพร้าวอ่อนและพริกไทยนั้น ปกติส่วนใหญ่แล้วเป็นสมุนไพรธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การดื่มต่อครั้งไม่มาก เห็นว่าไม่น่าเป็นอันตรายอะไร จึงได้บอกกล่าวกันต่อๆมาโดยบอกตามที่ทราบ แต่ผู้ทำดื่มกี่ครั้งก็แล้วแต่ผู้ดื่ม

    (ขอขอบคุณ คุณภิมุข รัตนอาภา ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงชายฝั่งระยอง หาดแม่รำพึง หมู่ 10 ตะพง อ.เมือง จ.ระยอง )

    ที่มา https://www.facebook.com/SrrhaSaraS...2327369900292/636481276484897/?type=1&fref=nf
    Logged
    ขออนุโมทนาสาธุกับท่านผู้บอกต่อให้พวกเราได้ทราบด้วยนะค่ะ
    สาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.6 KB
      เปิดดู:
      69
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]

    เหตุให้เกิดสติ
    มี ๑๗ ประการ คือ

    (๑) ความรู้ยิ่ง เช่น สติของบุคคลที่ระลึกชาติได้พระพุทธองค์ระลึกชาติได้
    ไม่จำกัดชาติจะระลึกได้ ทุกชาติที่พระองค์ปรารถนา สติของพระอานนท์
    จำพระสูตรที่พระพุทธจ้าตรัสไว้ได้หมด
    (๒) ทรัพย์ เป็นเหตุให้เจ้าของทรัพย์มีสติ คือเมื่อมีทรัพย์มักจะเก็บรักษา
    ไว้อย่างดี และจะระมัดระวังจด จำไว้ว่าตนเก็บทรัพย์ไว้ที่ใด
    (๓) สติเกิดขึ้นเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต เช่น
    พระโสดาบันจะจำได้โดยแม่นยำถึงเหตุการณ์ ที่ท่านได้บรรลุเป็น
    พระโสดาบัน หรือบุคคลที่ได้รับยศยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิต
    (๔) สติเกิดขึ้น โดยระลึกถึงเหตุการณ์ที่ตนได้รับความสุขที่ประทับใจ
    เมื่อนึกถึงก็จะจำเรื่องต่าง ๆ ได้
    (๕) สติเกิดขึ้น เนื่องจากความทุกข์ที่ได้รับเมื่อระลึกถึงก็จะจดจำได้

    (๖) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ตนเคย
    ประสบ
    (๗) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับที่เคยประสบ
    (๘) สติเกิดขึ้น เพราะคำพูดของคนอื่น เช่น มีคนเตือนให้เก็บทรัพย์
    ที่ลืมไว้
    (๙) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเครื่องหมายที่ตนทำไว้ เช่น เห็นหนังสือที่
    เขียนชื่อไว้ถูกลืมไว้
    (๑๐) สติเกิดขึ้น เพราะเห็นเรื่องราวต่าง ๆ หรือผลงาน เช่น เห็นพุทธประวัติ
    ก็ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น

    (๑๑) สติเกิดขึ้น เพราะความจำได้ เช่น มีการนัดหมายไว้ เมื่อมองไปที่
    กระดานก็จำได้ว่าต้องไปตามที่ได้นัดไว้
    (๑๒) สติเกิดขึ้น เพราะการนับ เช่น การเจริญสติระลึกถึงพระพุทธคุณ
    ก็ใช้นับลูกประคำ เพื่อมิให้ลืม
    (๑๓) สติเกิดขึ้น เพราะการทรงจำเรื่องราวต่าง ๆ ที่ศึกษาค้นคว้า แล้วจำ
    เรื่องราวต่าง ๆ ได้
    (๑๔) สติเกิดขึ้นเพราะการระลึกชาติได้ ๑ ชาติบ้าง ๒ ชาติบ้าง
    (บุคคลที่มิใช่พระพุทธเจ้า)
    (๑๕) สติเกิดขึ้น เพราะการบันทึกไว้ เมื่อดูบันทึกก็จำได้

    (๑๖) สติเกิดขึ้น เพราะทรัพย์ที่เก็บได้เช่นเห็นทรัพย์ก็นึกขึ้นได้ว่า
    ได้เก็บทรัพย์ไว้
    (๑๗) สติเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เคยพบเคยเห็นมาแล้ว เมื่อเห็นอีกครั้ง
    ก็ระลึกได้


    ที่มา พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ 2 เจตสิกสังคหวิภาค
    หน้า 29-30
    เว็บลานธรรมจักร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  20. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    ใครภาวนาแล้วรู้สึกไม่ก้าวหน้าลองดูนะคะไม่เสียหายอะไร จากประสบการณ์ส่วนตัวเล่าสู่กันฟังคะ
    อธิฐานจิตเปิดบุญก่อนภาวนา
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อคุณพระรัตนตรัย พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระอริยสงฆ์เจ้า คุณบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่าน และท่านเจ้ากรรมนายเวร (ระลึกถึง) หากข้าพเจ้าเคยประมาทพลาดพลังล่วงเกิน ลบหลู่ หรือเบียดเบียนท่านไว้ด้วยกาย วาจา ใจก็ตาม เจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม ขอได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด (ขอขมากรรม)
    ขอกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าสร้างสมไว้ดีแล้วเกื้อหนุนให้ข้าพเจ้าความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยเทอญ (เบิกบุญตนเอง) ขอบุญที่จะเกิดจากการภาวนานี้ส่งให้นายเวรของข้าพเจ้าและทุกดวงจิตที่ต้องการ ขอบุญภาวนานี้เปลี่ยนเป็นอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด (ส่งบุญให้ดวงจิต)

    การเปิดบุญก่อนภาวนาจำเป็นอย่างยิ่งเพราะดวงจิตผู้รับบุญอยู่ในภพภูมิที่ต่างกันกำลังที่จะรับบุญได้จึงต่างกัน บุญภาวนาเป็นบุญใหญ่หากอุทิศบุญหลังภาวนาทีเดียวจะพุ่งแรงเหมือนท่อน้ำดับเพลิง เทพเทวารับได้หมดคะยกเว้นแต่ดวงจิตผู้ลำบากนี่แหละซึ่งส่วนใหญ่คือนายเวรของเราเอง จึงควรเปิดบุญภาวนาก่อนพอเริ่มภาวนาแสงบุญออกเหมือนน้ำไหล ผู้มารับบุญก็รับได้ง่ายขึ้นคะ โมทนาสาธุคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.3 KB
      เปิดดู:
      87

แชร์หน้านี้

Loading...