บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อคืนอารมณ์รักนิพพานจับใจ ไม่เอาอะไรอีกแล้วนอกจากนิพพาน

    เข้านอนดึกค่ะ สวดมนต์แล้วภาวนาต่อไปเลย ในท่านอนหงายวางมือประสานกันไว้ใต้หน้าอก จับความรู้สึกไว้ที่มือที่ประสานกัน พิจารณาถึงความไม่เที่ยงต่างๆ นำอารมณ์ในอดีตขึ้นมาพิจารณา รู้สึกทุกข์ ทุกข์เพราะคิด ทุกข์เพราะฟุ้ง ทบทวนไปมา ลมหายใจค่อยๆ แผ่วเบาลงไปเรื่อยๆ ความรู้สึกที่มือหายไป กำหนดนิมิตท้องฟ้าในเวลากลางคืน เห็นดวงดาวระยิบระยับเต็มห้วงท้องฟ้า ไม่มีที่เริ่มต้นและสิ้นสุด ตอนนี้กายเริ่มเบา เสียงภายนอกเริ่มเบา ทุกอย่างบางเบา แล้วก็ดิ่งวูบกลับมารู้สึกตัวภายในอีกครั้ง ท้องฟ้าและดวงดาวหายไปหมด ปรากฏนิมิตตนเองในวัยแก่ชรานอนหงายมือประสานไว้กลางอก ใส่เสื้อผ้าธรรมดาและนุ่งผ้าถุง ชายผ้าถุงถลกขึ้นมาถึงสะโพก เปิดเผยให้เห็นของสงวนที่ขาวโพลน ผมหงอกขาวโพลนทั้งหัว ผิวหนังเหี่ยวแห้ง ร่างกายเหมือนหนังหุ้มกระดูก เนื้อหนังมันแห้งยุบลงไปแนบกับโครงกระดูก ก็เพ่งพิจารณา จิตตกฌานอีก ภาพนิมิตนั้นหายไป เสียดายจัง จิตตกฌานจากเสียงภายนอกที่ดังเข้ามา (บ้านไม่วิเวกเลย)

    กลับมารู้สึกถึงกายอีกครั้ง คราวนี้จิตไปจับทุกขเวทนาทางกายที่เกิดจากความเจ็บกระดูกก้นกบ เนื่องจากท่านอนหงายนิ่งๆ เป็นเวลานาน ก้นกบรับน้ำหนักตัวทั้งหมด เห็นทุกข์ในอิริยาบถนอนท่าเดียว เอาความรู้สึกไปวางไว้ที่กระดูกก้นกบเพื่อดูทุกขเวทนา ดูไปเรื่อยๆ จิตหลบเข้าไปในฌานอีกครั้ง ทุกขเวทนานั้นก็ดับไป (นี่ใช้สมถะข่มไว้)

    ที่บ้านไม่ค่อยสะดวกในการภาวนาเพราะว่าอยู่กันหลายคน ต่างคนต่างทำภาระกิจของตนไป ไม่สนใจใคร นี่แหละโทษ จึงอุทิศบุญและแผ่เมตตาในกรรมฐาน แล้วก็พลิกตัวนอนตะแคงภาวนาต่อไปจนหลับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2015
  2. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    ก่อนจะวางสิ่งใด ส่วนมากต้องรู้ว่ามีสิ่งนั้นก่อน ถึงจะวางได้

    แต่บางคน คิดว่ามีสิ่งนั้น ยอมรับว่ามีสิ่งนั้น ก็วางได้เหมือนกัน

    วางอะไรดี
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ใช่ค่ะ ส่วนมากพอเรารับมาแล้ว เราไม่เก็บก็วางไป เช่น เรื่องราวการสนทนาต่างๆ ใจไม่ปรุงแต่งต่อ ไม่ได้เก็บมาไว้ในใจอีก แต่ข้อความที่เป็นตัวอักษรยังมีอยู่ นำมาแสดงเพื่อประโยชน์แก่คนอ่านเท่านั้น ใช่ว่าเราจะนำมาแสดงเพื่อโชว์ความโก้หรูอะไร เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็เป็นเพียงสมมติ บางท่านผ่านมาอ่านอาจจะได้ข้อคิดดีๆ นำไปพิจารณาเป็นประโยชน์ในทางธรรมได้ค่ะ

    สำหรับเราแล้ว...เราวางเหตุแห่งทุกข์นะ ซึ่งมันเป็นเรื่องภายใน เราย่อมรู้ของเราเองไม่มีใครมารู้กับเราหรอก คุณว่าจริงมั้ย :cool:
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นักปฏิบัติส่วนใหญ่มักจะถูกเพ่งโทษจากคนทั่วไปค่ะ เพราะขึ้นชื่อว่านักปฏิบัติแล้วสำหรับผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติหรือปฏิบัติบ้าง ไม่ปฏิบัติบ้าง เรียกว่าไม่ต่อเนื่อง มักจะคิดว่า นักปฏิบัติต้องมีจริยาวัตรที่งดงาม กิริยามารยาทเรียบร้อย สำรวมกายวาจาใจ เป็นผู้เพ่งอยู่ในสมาธิ อยู่ในฌาน เรียกว่าสำรวมระวังไปทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นการคิดพูดทำ อยู่ในแวดวงของศีลธรรมและกุศลกรรมบถ10 มีธรรมครองใจ ซึ่งมุมมองนี้ก็ถูกอีกค่ะ ไม่ถือว่าผิดอะไร แต่ทีนี้พอไปเจอนักปฏิบัติที่ยังวางเรื่องทางโลกไม่ได้ เพราะยังไม่เข้าถึงความเป็นอริยบุคคล แค่กำลังไต่ระดับ ยังมีความเป็นทางโลกสูงกว่าทางธรรมเพราะยังไม่ได้ธรรมอะไรเลย ก็ไม่เป็นไปตามคุณสมบัติที่ตนคิดไว้ แน่นอนย่อมมีการตำหนิติเตียนเกิดขึ้น กลายเป็นมโนกรรมบ้าง วจีกรรมบ้าง กายกรรมบ้าง ตามเหตุปัจจัย

    แต่ทั้งนี้ หากเปิดใจให้กว้างว่าเขาหรือเราก็ยังล้วนเป็นปุถุชนที่หนาแน่นด้วยกิเลสเหมือนๆ กัน ความหมองหม่นใจก็จะไม่เกิดกับใครแน่นอนค่ะ
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เคยได้ยินว่ากิเลสมันร้อน เพิ่งเจอกับตัวเองมาได้เกือบอาทิตย์แล้ว พอรู้สึกหงุดหงิดปุ๊บหรือไม่พอใจอะไร มันร้อนขึ้นมาทันทีทันใด ร้อนแบบทนไม่ได้ มันไม่ใช่ร้อนแบบกระวนกระวายใจนะ แต่มันร้อนออกมาทางกาย เหมือนอยู่ในกองไฟ เพียงแค่แว้บเดียวที่รู้สึกไม่พอใจเอง (ปฏิฆะ) นี่เค้าเรียกว่าอะไรกันเนี่ย พิษของกิเลสหรือ

    พอระลึกได้ว่านี่กิเลสเกิดแล้วนะ มันก็ดับไป

    เมื่อก่อนทั้งโกรธ ทั้งโมโห ทั้งขุ่นมัว ไม่เห็นรู้สึกร้อนอย่างนี้เลย

    ทุกวันนี้เหมือนว่าธรรมละเอียดยิ่งขึ้น ละเอียดลงไปเรื่อยๆ :'(
     
  6. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084

    ลองสังเกตเรื่อง นิสัย กับ กิเลส ครับ ไม่เหมือนกัน

    นิสัยก็ยังเหมือนเดิม นอกจากส่วนอกุศลที่จะจางไป
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    บทความนี้น่าสนใจดีค่ะ ก็เลยนำมาฝากจากบล๊อกโอเคเนชั่น

    มรรควิถีของพระอริยะ

    . . . . . มรรค เส้นทาง ทางที่มุ่งไปสู่จุดหมายหรือผลลัพท์ของทางนั้น ส่วนผล หรือเป้าหมาย คือจุดหมายปลายทางของเส้นทาง เป็นประดุจรางวัลอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับหลังภารกิจในการเดินทางนั้นจบสิ้นลง โดยไม่หลงทาง . . .

    ใครหลายคนอาจนึกอยากเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไม่สะเทือนกับโลก เป็นผู้มีจิตนิ่งประดุจภูผา ไม่หวั่นไหวกับอารมณ์ใดๆ ..หรือไม่ ก็อยากเป็นพระโสดาบัน เพราะเป็นผู้เข้าถึงกระแส มีทิฏฐิดีแล้ว มีความเห็นชอบดีแล้วในระดับหนึ่ง สะเทือนกับโลกน้อยลง มีแต่จะเจริญขึ้น ในทางที่จะก้าวไปสู่ความจริงสูงสุด คือ ไปนึกเอาถึงผลหรือจุดหมายปลายทาง หวังจะได้ผลแทนจะออกเดินทางไปหาผล

    แต่คนเราหากไม่เดินทาง ..ย่อมไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง การนึกเอา-ปรารถนาเอา-ฝันเอา แล้วบอกว่าจะได้จะเป็น มันก็เป็นได้ แต่เป็นได้แค่ฝันแค่ปรารถนาแค่นึกเช่นกัน บางคนออกเดินทางจริงแต่เดินไปในอีกทาง หลงทาง แต่ทั้งคนที่นึกเอาปรารถนาเอาและคนที่หลงทาง กลับมั่นใจว่าตนมาถึงจุดหมายปลายทาง จะเห็นได้ว่าคนที่คิดว่าตนเป็นพระอริยะนี่มีจำนวนไม่น้อย ไปหวังเอาผล ศึกษาผล รู้ผล อยากได้ผล แต่ไม่รู้ทาง.. อาจเพราะยังรักอัตตาไว้อย่างเหนียวแน่น อยากจะเป็นพระอริยะขึ้นมาเพราะอัตตา หากถ้าจะให้ปล่อยอัตตาจริงๆ จะทำได้หรือเปล่า ?
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    มรรคญาณผลญาณของพระอริยะเกิดขึ้นได้จริงๆ เมื่อลงมือเดินทางจริง คือปฏิบัติจริง การเดินทางนี่ไม่ใช่เดินเล่นๆ แต่ต้องเอาจริง เดินให้ถูกทาง อริยมรรคนี่มีอยู่ แค่คิดฝันแล้วอ้างว่าจิตมีพลังจะทำให้เกิดผลอะไรแบบนั้นมันหลงทางนะ ฤทธิ์เดชนี่ก็ทำลายกิเลสไม่ได้ คือการบรรลุธรรมนี่ ไม่ได้กลายเป็นคนวิเศษขึ้นมา แล้วก็ไม่ได้บรรลุถึงสิ่งใดเลย นอกจากดับกิเลสไป

    และหากจะตัดกิเลสนั้นต้องใช้ สติ-สมาธิ-ปัญญา หรือที่จริงก็คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา คือมีกำลังทั้งห้าพร้อม แล้วคนจะมีกำลังได้ก็ต้องออกกำลังบ่อยๆ คือลงมือทำจริง มรรคนี่ต้องเจริญบ่อยๆ ทำให้แจ้ง คือ อริยมรรคมีองค์แปด สัมมาทิฎฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ..หมั่นเจริญแล้วมันต้องมีกำลังขึ้นมา อริยมรรคนี่ถ้าทำแล้วก็ต้องมีกำลังอย่างอริยะ

    อริยมรรคมีองค์แปดหรือศีลสมาธิปัญญาหรือสติปัฏฐานสี่นี่เอง ที่จะสร้างกำลัง ไม่ใช่ไปทำบุญแล้วมาทำบาป ช่วยพระแล้วมาด่าคนอะไรแบบนั้น ไม่ได้ประโยชน์ นอกจากขึ้นๆ ลงๆ ตามภพภูมิไม่รู้จบ เดี๋ยวขึ้นสวรรค์เดี๋ยวลงนรก ไม่ได้เป็นกุศลคือหลุดจากการเวียนว่าย เมื่อไม่ได้เข้าทางเข้ามรรคมันก็จะไม่เกิดผล หรือไปหวังเอาผลแล้วไม่ลงมือทำ แล้วผลมันจะเกิดได้อย่างไร อริยมรรคนั้นต้องพากเพียร สติอย่าให้ขาด ปัญญาก็จะเกิด
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ไม่ใช่อยากเป็นพระโสดาบันเพราะจะได้มีศีลห้าบริบูรณ์ แต่กลับไม่เจริญมรรค แทนที่จะรักษาศีลคือลงมือทำก่อน เพราะเห็นโทษในการผิดศีลซึ่งทำให้เกิดกิเลสอย่างหยาบ ทั้งฆ่ากันทำร้ายกันลักขโมยกันผิดคู่กันโกหกกันขาดสติ รังแต่จะทำให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อนเป็นทุกข์มาก เพราะเห็นโทษแบบนั้น ก็ข่มใจไม่ผิดศีล ไม่มุสา เป็นผู้รักษาสติ ตั้งใจจะไม่ผิดศีลไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เดินทางก่อน เจริญมรรคก่อน พอถึงจุดนึงจิตมันมีกำลังประหารกิเลส ผลมันต้องได้ กลายเป็นพระโสดาบันมีศีลรักษาตัวเองขึ้นมา คือมีความเป็นปกติ ..ชีวิตไม่เดือดร้อนเพราะผิดศีล

    หรือไม่ใช่อยากเป็นพระสกทาคามีเพราะจะให้กิเลสราคะโทสะโมหะลดลง แต่เพราะเห็นโทษของการผิดศีลและโทษของกิเลสที่รุนแรง ก็ตั้งสติ เอาชนะกิเลสตัวเองให้ได้ ไม่ใช่เอาชนะคนอื่นด้วยกิเลสของตัว แต่ต่อสู้กับกิเลสของตัว เอาชนะความโกรธโลภหลงของตน มรรคของพระสกทาคามีเกิดขึ้นในใจ พอวันนึงจิตมันมีกำลังพร้อมเพราะเจริญมรรคบ่อยเข้า กำลังมันก็สมังคีประหารกิเลสไป กิเลสแห้งไป ผลมันก็ต้องเกิด คือเป็นพระสกทาคามีขึ้นมา

    แล้วไม่ใช่อยากเป็นพระอนาคามีเพราะจะได้ไม่มีกามราคะหรือเป็นผู้ไม่หวั่นไหวกับโลก แต่เป็นเพราะเห็นโทษของกามว่าเป็นของร้อน เห็นโทษของความมีอารมณ์หวั่นไหวไปกับโลก เดี๋ยวหวาดกลัว กลัวตาย กลัวนั่นกลัวนี่ ชีวิตมีแต่ความกลัว เดี๋ยวพอใจไม่พอใจ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวชอบชัง หงุดหงิดรำคาญใจราวคนบ้า หาความสงบมั่นคงในใจไม่ได้ คนรักษาอารมณ์ไม่ได้ก็ต้องเต้นไปตามกิเลสตัวเอง เป็นทุกข์ร้อนใจมิได้ขาด เมื่อเห็นดังนี้ ก็หมั่นเจริญมรรคสูงขึ้น มีสติรอบคอบในการรักษาอารมณ์ไม่ให้หลงโลก เมื่อเจริญมรรคละเอียดขึ้น กำลังพร้อมเมื่อไหร่มันก็ประหารกิเลสตัณหาได้ เป็นผู้ไม่มีกามไม่มีปฏิฆะ เป็นพระอนาคามีขึ้นมา
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สุดท้าย.. ไม่ใช่อยากเป็นพระอรหันต์เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ดับกิเลสได้หมด แต่เพราะเบื่อในความไม่บริสุทธิ์ ยังมีกิเลสยังไม่พ้นการเกิด เห็นโทษในวัฏฏะสังสารอันนองไปด้วยน้ำตา มีความเกิดแก่เจ็บตายไม่เที่ยง มีความพลัดพรากโศกเศร้าเสมอ จึงหาทางพ้นไปจากการเกิด แม้นแต่สังโยชน์เบื้องสูงอันน่ายินดี คือความสุขในรูปราคะและอรูปราคะ ก็ไม่ปรารถนา ความถือตัวก็ไม่ปรารถนา มีสติในการปล่อยวางเครื่องร้อยรัดใจอยู่เสมอ เมื่อมีสติบริบูรณ์ มรรคญาณมีกำลังมาก กิเลสตัณหาทั้งมวลก็ประหารได้ขาด หมดอาสวะกิเลสสิ้นเชิง เป็นผู้มีอิสระเหนือโลก ไม่มีความยินดีในโลกแห่งทุกข์อีก เป็นผู้บริสุทธิ์เหนือบุญบาป

    พุทธพจน์ "ดูก่อนอานนท์ บุคคลใดจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกาก็ตาม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม คือปฏิบัติธรรมถูกทาง ปฏิบัติตามตรงตามเป้าหมายแท้จริง บุคคลนั้นชื่อว่าสักการะ บูชาตถาคตด้วยการบูชาอย่างยอดเยี่ยม"

    หากมีการเดินเข้ามรรคเข้าทางถูกแล้ว ย่อมเห็นสมมุติสัจจะอันไม่เที่ยง เมื่อเข้าใจสมมุติสัจจะแจ่มแจ้ง ก็ย่อมทะลวงเข้าสู่ปรมัตถ์สัจจะได้ หลุดจากสมมุติได้
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เพราะความที่เห็นสมมุติสัจจะจนเบื่อหน่าย จิตก็เจริญอริยมรรคบ่อยๆ ในกรรมฐานก็ดี นอกกรรมฐานก็ดี หากเจริญมรรคจนถึงขั้นจิตทรงตัวอยู่ในอารมณ์โคตรภูญาณ คือมีนิพพานเป็นอารมณ์ แต่ทว่ายังอยู่ระหว่างสองฝั่งคือโลกียะกับโลกุตตระ ส่วนจะข้ามฝั่งไปยังโลกกุตตระได้หรือไม่นี่ ย่อมอยู่ที่มรรคญาณจะกล้าแกร่งและมีกำลังประหารกิเลสหรือไม่ ถ้ากำลังไม่พร้อมก็ข้ามไปไม่ได้ แต่ถ้าเจริญสติต่อเนื่องมีกำลังพร้อมขึ้นมาเมื่อไหร่ แค่เสี้ยววินาทีมันได้ทันที คืออริยมรรคสมังคีนี่ ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม กิเลสมันถูกประหารขาดได้ตามกำลัง ทุกที่ทุกเวลาทุกอิริยาบถ

    ส่วนผลญาณคือจะเป็นอริยบุคคลขั้นไหนนี่ มันก็ตามแต่กำลังของมรรคญาณที่เจริญมานั่นเอง บางคนนั่งสมาธิภาวนาอยู่ก็อาจได้เห็นผลญาณคือจิตสว่างไสวที่ขาดจากสังโยชน์เพราะยังทรงตัวอยู่ในโลกุตตระฌาน แต่ถ้าเดินอยู่ หรืออยู่ในอิริยาบถทั่วไป ก็รู้สึกได้ว่าตัวมันเบา-จิตมันเบา กิเลสมันวูบขาดไป มันมีแต่วิชชาปัญญาเข้ามาแทน ถ้าขนาดตัดสังโยชน์สิบได้ขาดหมดนี่ มันเหมือนกับหลุดจากมายาภาพทั้งปวง มีแต่ความประจักษ์แจ้ง พิจารณาธรรมได้เข้าใจตลอดสาย ถ้าเป็นอริยะชั้นต้น มันก็เข้ากระแสนิพพาน ความเข้าใจมันเกิดขึ้น ความเห็นชอบคิดชอบมันก็ตามมา
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ในอดีตที่อยู่ระหว่างการฝึกฝน ปฏิบัติตนมักจะฝันว่าเดินไปในท่ามกลางความมืดมิดคนเดียว แล้วไปเจอทางสามแพร่งตลอด ในความฝันไม่ได้ตัดสินใจเลือกทางใด เพราะไม่รู้ว่าเลี้ยวขวาจะไปไหน เลี้ยวซ้ายจะไปไหน และถ้าเดินตรงต่อไปจะไปสิ้นสุดที่ไหน จึงมักจะหยุดเดินทุกครั้ง แล้วก็ตื่น แต่รู้ว่าในใจไม่เลือกที่จะเดินเลี้ยว คล้ายๆ ลังเล ยังไม่เลือกขอพิจารณาก่อนว่าดีร้ายอย่างไร และมักจะฝันเห็นทางสามแพร่งนี้บ่อยๆ โดยทิ้งระยะห่างกันเป็นเดือนๆ ทุกครั้งก็จะหยุดเดินแล้วมองพิจารณา

    วันนี้ได้เข้าใจแล้วเกี่ยวกับทางสามแพร่ง ทางที่เลี้ยวขวาคือทางแห่งสุข ทางที่เลี้ยวซ้ายคือทางแห่งทุกข์ ทางตรงคือทางสายกลางไปสิ้นสุดที่แดนเอกันตบรมสุข หรือนิพพานนั่นเอง ที่ผ่านมาไม่เลือกทั้งซ้ายและขวา เดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ วันนี้ได้รู้แล้วว่าทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทาเป็นอย่างไร
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    การคอนโทรลให้ตนเองนั้นอยู่ในทางสายกลางไม่สุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่ง (สุขแลทุกข์) คือมีความเชื่อในเรื่องของโทษของการผิดศีลห้า จึงพยายามรักษาศีลห้าไว้ไม่ให้ขาด ทะลุหรือด่างพร้อย เป็นไปค่อนข้างยากสำหรับคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนซึ่งต้องทำการทำงาน ก็ต้องมีการสมาทานศีลห้ากันทุกวันตอนสวดมนต์ก่อนนอน

    มีความรักในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อมั่นในคำสอนของพระองค์ เมื่อมีสิ่งใดมาชักจูงให้ออกนอกเส้นทางแห่งคำสอนก็มีเผลอบ้างเหมือนกันนะ แต่ก็กลับตัวกลับใจได้ทัน ถือว่านั่นคือบทเรียน ใช้สติและปัญญาพิจารณาอย่างแยบคายในทุกกิจกรรมที่ตนเองเข้าไปมีส่วนร่วม

    จนมาถึงวันนี้ไม่มีความฝันเกี่ยวกับทางสามแพร่งอีกแล้ว มีเพียงทางตรงที่ต้องมุ่งเดินต่อไป และก็ยังคงเดินไปคนเดียวเหมือนเดิม
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เรื่องเล่ายังมีอยู่เรื่อยๆ นะคะ เพียงแต่ว่าขอพิจารณาต่ออีกหน่อย วันนี้เอารูปสวยๆ มาฝากก่อนค่ะ ไม่ค่อยได้สนใจใยดีเค้าเท่าไหร่ วันนี้น้ำแห้งเลยเปลี่ยนน้ำให้ใหม่ แล้วก็เลยขอถ่ายภาพเก็บไว้

    [​IMG]
     
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    [​IMG]

    เหมือนของปลอมเนอะ แต่ว่าไม่ปลอมจ้ะ เพราะน้ำแห้งคราบขี้เกลือเกาะรอบลูกแก้วเลย ต้องขัดล้างอยู่นานทีเดียว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • cdh;.jpg
      cdh;.jpg
      ขนาดไฟล์:
      51.6 KB
      เปิดดู:
      79
    • kkd.jpg
      kkd.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.1 KB
      เปิดดู:
      65
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2015
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เตือนตน

    "เค้าเหยียบย่ำเราแล้ว เราก็ไม่ควรเหยียบย่ำซ้ำเติมตน"
     
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    สรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นจากใจ เกิดที่ใจ เพราะฉะนั้นก็ต้องดับที่ใจ ไม่ใช่รอให้มันดับ แต่เราต้องดับมันก่อนที่มันจะเกิด ดับอุปาทานทั้งหลาย

    "ใจจึงเป็นเหตุ ใจจึงเป็นผล"

    ปล. พูดจาภาษาชาวบ้าน 555
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "เห็นใจ"

    ทุกเหตุการณ์ ทุกรูปนาม ที่ผ่านเข้ามาแล้วมีผลกระทบให้ดีใจ เสียใจ เศร้าซึม โศกาอาดูร ขุ่นข้องหมองใจ รุ่มร้อนเผาลน กระวนกระวาย รักใคร่ ชิงชัง เรารู้สึกขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ที่ทำให้เราได้มองเห็นใจตนในทุกๆ ขณะจิต ทำให้จิตพัฒนาไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง ได้เห็นอุปาทานปรุงแต่ง ได้เห็นตัณหา 3 ได้เห็นทุกข์โทษภัย ได้เห็นมายาของจิตที่มาแสดง โมหะหรืออวิชชาที่คอยติดตามไปอย่างไม่หยุดยั้ง

    ความพลัดพราก เราทุกคนเกิดมาเพื่อพลัดพราก แม้จะรักและผูกพันกันแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นความตาย ความตายคือความพลัดพราก คือความทุกข์ระทมใจของผู้ที่รักและผูกพัน กิเลสตัวนี้ช่างน่ากลัว เราเริ่มปล่อยวางได้อย่างช้าๆ ทีละอย่างๆ ไม่ใช่เกิดจากอุเบกขา แต่เกิดขึ้นจากการได้เห็นความจริงของทุกขสัจจ์

    วันนี้ได้เห็นแล้ว ความบีบคั้นต่างๆ

    ระยะเวลาที่เหลือสำหรับอัตภาพนี้ เราคงพัฒนาไปได้อีกไกล (เข้าข้างตัวเองนีสสสนุง อิอิ)
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    นิทานสักเรื่องนะ

    ในสมัยทวารวดี ณ เมืองลำปาว เจ้าผู้ครองนครได้ให้กำเนิดพระธิดาสามนาง มีนามว่า ฝนรุ้ง ฝนหนาว ฝนศึก สามพี่น้องนี้รักกันมาก พระธิดาได้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากพม่า เพื่อนำมาบรรจุลงพระธาตุเจดีย์ ซึ่งปัจจุบันคือพระธาตุลำปางหลวง

    ฝนรุ้งเป็นธิดาองค์โต มีใจฝักใฝ่ในการกุศลและการศึก เมื่อครั้งเกิดศึกสงคราม ฝนรุ้งได้แต่งกายเป็นชายและขี่ช้างนำทัพออกไปห้ำหั่นกับศัตรู มีฝนหนาวและฝนศึกซึ่งแต่งกายเป็นชายติดตามไปร่วมรบ

    การศึกไม่มีคำว่าปราณี ฝนรุ้งเพลี่ยงพล้ำถูกข้าศึกฟันจนร่วงตกลงจากคอช้าง ข้าศึกต่างกรูกันเข้าล้อมหมายจะเด็ดหัวแม่ทัพ ฝนหนาวและฝนศึกไม่ยอมให้ใครมาตัดหัวพระพี่นางจึงเข้าป้องกันและต่อสู้กับข้าศึกที่รายล้อมนั้น สุดท้ายทั้งสามพี่น้องก็ไม่รอดพ้นจากคมหอกคมดาบ ตายคาสนามรบ

    ฟ้ามืดมิดดินฟ้าสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนเป็นสัญญาณแห่งการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของแผ่นดิน แล้วก็มีสายอสุนีย์ฟาดลงมาพร้อมๆ กับมือใหญ่ๆ ที่คว้ารับเอาดวงพระวิญญาณของฝนรุ้งหายลับกลับขึ้นไป.....วันเวลาล่วงไป

    ณ เมืองบาดาล แดนหิมพานต์ ได้กำเนิดพญานาคแบบโอปปาติกะขึ้นสามตน มีนามว่า สรรตบรรณ ฉัตรพิณ และฉัตรแก้วหรือมณีแก้ว พญานาคทั้งสามตนมีกายสีฟ้าอมเขียว มณีแก้วนั้นเวลาพ่นไฟตัวจะเป็นสีแดง ตาจะเป็นสีดำเขียวเหมือนมรกต ไม่กินปลาด้วยกันจะกินพืชสมุนไพรและผลไม้ป่าในหุบเขา พญานาคทั้งสามนี้บำเพ็ญเพียรจนหมดอายุขัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2015
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    มณีแก้วจุติอีกครั้ง เป็นพระธิดาของท่านเจ้าเมือง บ้านเมืองเกิดความกันดาร ประชาราษฏร์ได้รับความเดือดร้อน พระบิดาจึงไปอัญเชิญพระพุทธชินราชจากเมืองเก่ามาประดิษฐานเพื่อเป็นมิ่งขวัญ หลังจากนั้น บ้านเมืองก็สงบสุขเรื่อยมา

    ทั้งพระธาตุลำปางหลวงและพระพุทธชินราช จึงมีความผูกพันกับนางในชาติปัจจุบันเป็นอย่างมาก
     

แชร์หน้านี้

Loading...