บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ที่เล่าไปเป็นนิทานฉบับมินิค่ะ

"รอบกายท่านมีเทพและพระโพธิสัตว์ที่คอยคุ้มครองอยู่ถึง 5 องค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เคยเป็นญาติพี่น้องและคนรัก ด้วยเหตุแห่งอดีตกาลนานมาแล้ว ท่านเคยเกิดเป็นจักรพรรดิ์จีน เมื่อตายจากชาตินั้นท่านและคู่ของท่านก็ไปจุติยังมหาดุสิต

เพราะท่านคือพระโพธิสัตว์ ท่านจงเชื่อเถอะว่าท่านคือผู้มีบุญบารมีมาก ท่านคือผู้มีฤทธิ์ บำเพ็ญเพียรมามากและยาวนาน คู่ของท่านคือพระโพธิสัตว์รอคอยท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นมหาดุสิต ไม่ต้องมองหาใครบนโลกมนุษย์หรอก ไม่มีใครที่คู่ควรกับท่าน ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกอะไรที่องค์โพธิสัตว์จะตามปกป้องคุ้มครองคู่ของตน

ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสถานะอะไร อยู่สถานที่ใด คู่ที่รอท่านอยู่ก็ทรงรักและมีท่านอยู่ในดวงใจแต่เพียงผู้เดียว เบื้องบนรอคอยให้พระโพธิสัตว์องค์นี้กลับไป วิมานเดิม ข้าทาสบริวารเดิม รอคอยท่าน แต่เมื่อท่านกลับไปแล้ว ท่านก็ยังคงช่วยเหลือมนุษย์อยู่ดี"

ไปฟังเค้าเล่ามาอีกทีค่ะ จำมาได้แค่เนี้ย ที่เหลือลืม 555

 

วันนี้นำธรรมะจากต้นไม้มาฝากค่ะ

 

.........จินตนาการ.........

 

ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ วันก่อนอยากเห็นลูกกะตาของตนเองอย่างชัดๆ ก็เลยหยิบแทบเลตของหลานมาถ่าย ไม่มีกล้องหน้าค่ะ ก็เลยเอาลูกกะตาไปไว้ใกล้ๆ เลนส์แล้วกดชัตเตอร์ได้ภาพออกมาอย่างด้านบน แต่ว่าภาพมันมืดมองไม่ค่อยชัด ก็เลยเอาภาพไปวางที่โปรแกรมไมโครซอฟเอ๊กเซล เพื่อปรับความสว่างของภาพ พอปรับแสงให้สว่างแล้ว ตาดำเป็นสีน้ำเงิน ก็ปรับให้เป็นภาพขาวดำแทน ทีนี้ ก็เลยได้ภาพออกมาแบบด้านบนค่ะ

ยังไม่หนำใจลองขยายภาพดูให้ชัดๆ ซิ ก็อยากเห็นอ่ะนะ เงาที่สะท้อนในแววตาดำเป็นแทบเลตสีขาวค่ะ ทีแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร อืมเพราะรู้ว่าอย่างไรต้องมีเงาสะท้อน แต่มาเอะใจตอนที่เพ่งมองเข้าไปแล้วพิจารณา เห็นภาพของผู้ชายเหมือนฤาษีเพราะมีเครายาวๆ สีขาวและมีนาคอยู่บนหัว เราตาฝาดหรือเปล่า มองให้ชัดๆ อีกทีซิ คราวนี้เห็นผู้หญิงอยู่ข้างๆ ฤาษี สวมชฎาสูง เพ่งมองอีกครั้ง คราวนี้เห็นผู้หญิงซ้อนกันอยู่สองคน อั้ยย่ะ!!! นี่อะไรกัน ขอการันตีว่าไม่ได้แต่งอะไรกับภาพเลยค่ะ เพราะไม่มีเครื่องมือแต่งภาพ ไม่มี app ในโปรแกรมวินโดร์ นอกจากปรับความสว่างและเปลี่ยนเป็นขาวดำเท่านั้นเอง

 

เมื่อคืนนี้ไปเที่ยวค่ะ เดาเอาเองว่าเป็นสวรรค์เพราะเห็นเมฆขาวๆ ลอยอยู่ทั่วไป ไปเจอพี่สาวเค้าได้รับรางวัลมาหลายอย่างเลย เป็นรางวัลที่ต้องเอาไปแลกอีกที แต่เค้าแลกมาผิด ต้องเอากลับไปแลกใหม่

ได้เจอกันแล้วเค้าแบ่งรางวัลให้เราด้วย ทีนี้ มันแลกมาผิดเราก็เลยรับอาสานำกลับไปแลกให้ใหม่เอง

ไปเจอห้องๆ หนึ่ง เราก็เลยเปิดประตูห้องเข้าไป ภาพที่เห็นในห้องคือผู้หญิงใส่เสื้อขาว และนุ่งกระโปรงสีน้ำเงิน นั่งกันอยู่เต็มห้องเลย ตกใจซิ นี่เราเข้าห้องผิดหรือเปล่า เค้ากำลังทำอะไรกัน แต่งชุดเหมือนนักศึกษา แต่ว่าทุกคนคือผู้ที่ทำงานที่นั่น

จิตบอกว่าเค้ากำลังทำข้อสอบวัดผลการปฏิบัติงานกันอยู่ แล้วมีหญิงคนหนึ่งชวนเราทำข้อสอบด้วย เราปฏิเสธไปและออกมาจากห้องนั้น จำได้แค่นั้นแหละ ไปไหนต่ออีกจำไม่ได้แระ 555

เช้ามาก็เลยพิจารณาว่า เมื่อคืนมีการแลื่อนขั้นตามตำแหน่งของเทวดาผู้หญิง ไปเล่าให้น้องฟัง น้องบอกว่าใช่ มีการปรับภพภูมิ แล้วเค้าก็ถามเราว่าถ้าปรับภพภูมิแล้วจจะเป็นอย่างไร เราบอกไปว่าการปรับภพภูมิของเทวดานางฟ้าก็ยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่ว่าบารมีเพิ่มขึ้น แสงสว่างเพิ่มมากขึ้นตามขั้นที่ปรับขึ้นไป....จบข่าว 555

 

ความหมายของคำเหล่านี้ นำมาฝากกันค่ะ

วิมุต
ความหมายที่ ๑. อักขระที่อ่านปล่อยเสียง เช่น สุณาตุ, เอสา ญตฺติ
ความหมายที่ ๒. พ้น, หลุดพ้น

วิมุตตานุตตริยะ
การพ้นอันเยี่ยม คือ หลุดพ้นจากกิเลส และ กองทุกข์ ได้แก่ พระนิพพาน

วิมุตติ
ความหลุดพ้น, การที่จิตหลุดพ้นจากกิเลส และ อาสวะ คือ ราคะ โทสะ โมหะ ได้ด้วยอำนาจการฝึกจิต (เจโตวิมุตติ) หรือ ด้วยปัญญา (ปัญญาวิมุตติ)

ความพ้นจากกิเลสมี ๕ อย่าง คือ

๑. ตทังควิมุตติ พ้นด้วยธรรมคู่ปรับ หรือ พ้นชั่วคราว
๒. วิกขัมภนวิมุตติ พ้นด้วยข่ม หรือ สะกดไว้
๓. สมุจเฉทวิมุตติ พ้นด้วยตัดขาด
๔. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ พ้นด้วยสงบ
๕. นิสสรณวิมุตติ พ้นด้วยออกไป

๒ อย่างแรก เป็น โลกิยวิมุตติ ๓ อย่างหลังเป็น โลกุตตรวิมุตติ

 

วิมุตติกถา
ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส

วิมุตติขันธ์
กองวิมุตติ, หมวดธรรมว่าด้วยวิมุตติ คือ การทำจิตให้พ้นจากอาสวะ เช่น ปหานะ การละ, สัจฉิกิริยา การทำให้แจ้ง

วิมุตติญาณทัสสนะ
ความรู้เห็นในวิมุตติ, ความรู้เห็นว่าจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย

วิมุตติญาณทัสสนกถา
ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดความรู้ความเห็นในความที่ใจพ้นจากกิเลส

 

อานิสงส์ของศีล.....สมเด็จโตฯ
อ่านเจอมาดังนี้ค่ะ

คุณหญิงระเบียบ: ลูกอยากจะทูลถามว่า ที่พระให้ศีล "สีเลนะ สุคะติง ยันติ" ศีลนำไปสู่สุคตินั้น ศีลนำให้ไปสู่สุคติได้อย่างไร โปรดขยายความให้ผู้มาชุมนุมในที่นี้ได้ฟังด้วย

สมเด็จ: การอธิบายเรื่องศีลนั้น ขอให้สังเกตว่า "ถ้าอาราธนาศีล อาตมาไม่ให้ แต่ถ้าอาราธนาธรรม อาตมาเทศน์ เพราะอาตมาถือว่า ศีลนั้นให้กันไม่ได้ ผู้ใดไปปฏิบัติศีล ผู้นั้นจึงจะมีศีล" ทีนี้ศีลนั้นดีอย่างไร ผู้ที่เป็นฆราวาส ถ้ามีศีลห้าครบบริสุทธิ์แล้วไซร้ ย่อมมีความผ่องใสในกระแสจิต

***ศีลข้อที่หนึ่ง***....ละเว้นจากมุสาวาท มุสาวาทนี้เป็นสิ่งที่ทำให้โลกยุ่ง เพราะ
1.ท่านโกหกชาวบ้าน ท่านก็ทำให้ชาวบ้านปั่นป่วน
2.เมื่อท่านโกหกครั้งใด กระแสจิตของท่านย่อมอดที่จะหวาดกลัวไม่ได้ เขาจะจับความโกหกของท่านได้ ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจนี้ คือโทษที่ท่านไม่รักษาศีลข้อมุสาวาท

***ศีลข้อที่สอง**......ละเว้นจากการผิดผัวผิดเมีย หมายถึง การละเว้นทั้งกายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม ท่านอย่าลืมว่า ความสุขทางโลกียะเพียงชั่วขณะหนึ่ง ทำให้ท่านต้องได้รับบาป เพราะ
1.การเป็นชู้เขา ถือว่าเป็นสิ่งไม่สมควรไม่ว่าท่านจะมีคู่ครองแล้วหรือยังไม่มี ก็ถือว่าท่านทำบาป
2.ระหว่างที่เป็นชู้กับผัวเขา เมียเขา ต้องมีความระแวงที่จะถูกเขาจับได้
3.เมื่อกระทำจิตท่านมีความระแวง และติดในรสแห่งกามคุณ ทำให้ท่านต้องสร้างบาปขึ้นมาอีก ไม่รู้จบสิ้น นี่คือโทษแห่งการไม่รักษาศีลในข้อกามคุณ...

 

*** ศีลข้อที่สาม ***.......ละเว้นจากการเสพของเมา สิ่งเสพติด เมื่อท่านผิดศีลในข้อสุรายาเมานี้ไซร้ อันว่าสุราเมรัย.....เมาเป็นระยะๆ คนดี คนมีวิชา คนดีมีความรู้ คนเป็นนักปราชญ์ ถ้าไม่เสพสุรายาเมา จะเป็นบุคคลที่น่านับถือ น่าสรรเสริญ แต่เมื่อความเมาตกเข้าท้อง ความเป็นผู้ดี ก็ไม่มี ความเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่มี กลายเป็นบุคคลที่ไม่น่าเลื่อมใสและน่าสมเพชที่สุด นี่เป็นโทษของการผิดศีลข้อสุรายาเมา

*** ศีลข้อที่สี่ ***.........ละเว้นจากการลักทรัพย์ ท่านที่มีสัมมาอาชีวะ คือมีการทำมาหากินโดยสุจริต แม้แต่ท่านเป็นขอทาน ขอเขากิน ท่านก็ยังสุขใจว่า สิ่งที่เขาให้ท่านมากินนี้ เป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ ฝ่ายตรงข้ามเขายินดีให้ท่าน ท่านไม่ต้องระแวงอะไร แต่ถ้าท่านไปขโมย ไปปล้นเขาไซร้ ท่านจะกินด้วยความระแวง กินด้วยความทุกข์ใจ กลัวเจ้าของจะจับได้ นี่คือโทษของการผิดศีลข้อลักทรัพย์......

*** ศีลข้อที่ห้า ***.........ศีลข้อนี้ ให้ละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ท่านฆ่าคนหรือฆ่าสัตว์ คนหรือสัตว์ ที่ถูกท่านฆ่า ย่อมจะติดเป็นอุปาทาน ทำให้ท่านเกิดความไม่สบายใจขึ้น เป็นอุปาทานติดหลอนอยู่ในใจท่านขณะที่ท่านจะไปสู่สัมปรายภพ นี่เป็นโทษของการผิดศีลข้อฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

สิ่งที่เกิดขึ้นเพราะการที่ท่านไม่มีศีล ย่อมจะทำให้ท่านไม่มีความสบายใจ เมื่อไม่มีความสบายใจ ก็ย่อมไม่มีความสุข ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะฉะนั้น "ศีล" จึงนำไปสู่สุคติด้วยประการฉะนี้.....

 

รักษาศีลข้อเดียวเป็นอย่างไร?

ศีลคือข้อห้ามมิให้ทำความชั่ว อาจมีหลายข้อ ตามฐานะของแต่ละคน แต่จริงๆมีข้อเดียว คือ ละเว้นจากการทำชั่ว ทั้งกาย-วาจา-ใจ หมายถึงกุศลกรรมบถ10 ได้แก่ไม่ฆ่าสัตว์-ไม่ลักทรัพย์-ไม่ผิดกาม(ศีลข้อ1-3) ไม่พูดเท็จ ไม่พูดหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ(ศีลข้อ4) ไม่โลภอยากได้ของเขา ไม่พยาบาทปองร้ายเขา ไม่ยินดีในการกระทำนั้น ไม่สรรเสริญในการกระทำ(ไม่ดี)นั้น......ถ้ารักษาศีลข้อเดียวนี้ได้ก็ไปสวรรค์ได้แน่นอน ถ้ามีการทำทานบุญกุศลและทำจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ด้วย ก็อาจขึ้นไปถึงพรหม นิพพานเลยก็ได้........ที่ว่ารักษาจิตไว้ก็ถูกนะ แต่ต้องเข้าใจว่าจิตคืออะไรด้วย การรักษาจิตได้คือควบคุมได้หมดทั้งกาย-วาจา-ใจนั่นแหละถึงจะถูกต้องตามความหมายที่ถามมา.....กุศลกรรมบถ10คือ สุจริตทางกาย3ประการ สุจริตทางวาจา4ประการ สุจริตทางใจ3ประการดังกล่าวมาข้างต้น

ศีลข้อเดียว ก็คือ การรักษาจิต การรู้เท่าทันจิต การเจริญสติเป็นการสำรวมอินทรีย์กลายเป็นศีลสังวรอยู่ในตัว เป็นธรรมที่ไม่ต้องมีอะไรมากล่าวอีกก็เป็นอันเข้าใจแล้ว

 

คืนก่อนฝันเห็นน้องคนหนึ่งที่เราเมตตาสอนธรรม เค้านำธรรมที่เราสอนไปพูดคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ทำนองที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก พอได้เห็นเรื่องราวที่เค้าพูดคุยกันจึงตกใจ พลิกตัวมาอีกด้านเพราะไม่อยากรู้เรื่อง ก็เลยต้องทำให้ตัวเองรู้สึกตัวออกจากฝันนั้น ทีนี้คงจะรีบพลิกตัว ตื่นมาจึงรู้สึกยอกที่หลังด้านขวาบริเวณชายโครง

เมื่อคืนนี้เข้านอนดึกเหมือนเคยค่ะ คือเกือบๆ เที่ยงคืน สวดมนต์นอนภาวนาจนหลับไป รู้สึกหนาวสะท้าน เวลาที่พัดลมพัดผ่านกาย ร้อนสลับหนาว ก็พิจารณาดูกาย เป็นอะไรอีก อาการหนาวสะท้านเหมือนจะเป็นไข้และมีไอร้อนออกมาจากกาย จึงลุกขึ้นหยิบผ้าห่มมาคลุมกาย นอนต่อ ฝันค่ะ.....

 

ฝันว่าไปเจอเพื่อนผู้หญิง แล้วเราก็พิจารณาธรรม พิจารณาว่าเราเคยเกิดสภาวะอุเพงคาปิติ ตัวลอยขึ้นที่สูง พอพิจารณาถึงตรงนี้สภาวะดังกล่าวก็เกิดขึ้นเหมือนจริง คือตัวเราลอยขึ้นไปอย่างเร็วไปติดที่เพดานห้อง ลงไม่ได้ด้วย 555 ก็เลยตะโกนบอกให้เพื่อนช่วยเอาลงที แต่ตะโกนเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา เพื่อนไม่ได้ยิน รู้สึกแปลกใจ ตัวเราเบามากเสียงก็ไม่มี....จำได้แค่นี้แหละ เพราะตอนอื่นๆ เล่าไม่ถูก (ประจำ)

เมื่อคืนนอนภาวนาปรับธาตุเพราะว่ายอกหลังค่ะ

ตื่นเช้ามาครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นไข้ ยังรู้สึกหนาวสะท้านอยู่ ปิดพัดลมก็ร้อน เปิดพัดลมก็หนาว นี่แหละหนอ.......ทุกขสัจจ์

 

เมื่อคืนนี้ได้ลอยอีกแล้วค่ะ ฝันเห็นตัวเองนอนหงายเอามือวางประสานกันไว้ใต้หน้าอกแล้วรู้สึกว่าสบาย กายเบาใจเบา ปล่อยใจให้ว่าง ตัวก็ลอยขึ้นในท่านั้น ลอยออกไปข้างนอกเลยทีนี้ ลอยไปตามถนนเห็นต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกเรียงรายอยู่ข้างทาง แต่ดันไปเห็นต้นไม้เรืองแสง ภายในลำต้นมีแสงเป็นวงกลมสีขาวขอบของวงกลมเป็นสีเขียวหรือน้ำเงินนี่แหละ 555 ลืม (ทิ้งเวลาเล่านานจัด)

จิตบอกว่ารุกขเทวดา ได้พิจารณาว่า....เออหนอ เวลาอยู่ในโลกปกติมันก็เป็นแค่ต้นไม้ธรรมดา พออยู่ในโลกทิพย์ มันก็มีความพิเศษอีกอย่างหนึ่ง อันแสดงให้เรารู้ว่านี่ไม่ใช่โลกปกติ คริคริ

จำได้แค่นั้นค่ะ ทิ้งเวลาไว้นานกว่าจะเล่าก็เลยลืม

 

เมื่อคืนทวนสัญญากลับไประลึกอารมณ์ครั้งแรกที่ได้เห็นสมมติของทุกสรรพสิ่ง ได้เห็นกิเลสและอุปาทานที่เกิดจากตน

มันเป็นความจริงที่ได้เห็นสมมติแล้วย้อนมาดูตนว่าทำไมเราจึงรู้สึกทุกข์ รู้สึกสุข รู้สึกเศร้าเสียใจ รู้สึกดีใจ รู้สึกเจ็บแค้น รู้สึกดดัน รู้สึกภาคภูมิใจฯ ความรู้สึกต่างๆ เหล่านั้นที่เคยเกิด เราไปทึกทักว่ามันเกิดจากคนอื่นทำให้เรารู้สึกอย่างนั้น เกิดจากกิเลสของคนอื่นทำให้เป็น แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย มันเกิดขึ้นจากกิเลสภายในตนทั้งสิ้นเลย เพราะสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า

พอพิจารณาถึงตรงนี้ก็ได้เห็นอีก เรายังคงโทษผู้อื่นอยู่ร่ำไป ในเมื่อสรรพสิ่งที่เราเคยเห็นความจริงแล้วว่ามันว่างเปล่า ไม่ได้มีอยู่จริง สภาวะจิต สภาวะอารมณ์เก่าคืนกลับมาเลยค่ะ

อวิชชามันลากเราไปอีกแล้วหรือนี่ นี่คงเป็นอาสวะกิเลส

 

สรรพสิ่ง....ล้วนว่างเปล่า
มีเพียงเงา....เฝ้าโง่งม
เรียกร้อง....ความสุขสม
ทุกข์ระทม....ถมแบกไป

 

เพิ่งนึกได้ค่ะ เมื่อคืนฝันเห็นชายแก่สองคน ได้พบทีละคน เราจูงมือพาไปพักในห้อง แล้วพอเดินออกมาก็เจออีก เป็นชายแก่ สงสัยว่าทำไมรูปร่างหน้าตาเหมือนกันเลย ใส่เสื้อขาวเหมือนกันเลย ก็เลยจูงมือไปพักในห้องอีก แต่ว่าเป็นคนละห้อง

อืม....ชักสงสัยๆ ว่าจะเป็นเลขเด็ดหรือป่าวน้า คนแก่ตีเป็น 9 สองคน จะเป็น 99 หรือ 92 นะ ส่วนห้องตีเป็นเลข 4 ฮ่าๆๆๆๆ รอลุ้นๆๆๆ

994-924 ขำๆ นะคะ ถ้าไม่ใช่เลขก็คงเป็นปริศนาอะไรสักอย่าง

 

วันนี้นึกถึงธรรมข้อนี้ค่ะ....สมานัตตา

สมานัตตตา แปลว่า ความเป็นผู้มีตนเสมอต้นเสมอปลาย หมายถึง การวางตัวดีวางตัวเสมอต้นเสมอปลายกับทุกคน การทำตัวให้เป็นคนน่ารัก น่าเคารพนับถือ และน่าให้ความช่วยเหลือร่วมมือ การทำตัวได้เหมาะสมแก่ฐานะ ภาวะ บุคคล เหตุการณ์

ลักษณะนิสัยของผู้มีสมานัตตตา คือ
- ปฏิบัติตัวเหมาะสมกับภาวะที่ตัวเป็น
- เป็นกันเอง ไม่ถือเนื้อถือตัว แต่ไม่ปล่อย
- เข้าหา พูดจาด้วยง่าย
- อ่อนน้อมถ่อมตน แต่เข้มแข็ง หวั่นไหว

สมานัตตตา เป็น สังคหวัตถุ คือ ธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวใจกันไว้ได้

 

วันนี้รู้สึกเบื่อๆ ออนเฟสทุกวัน ก็ได้เห็นแต่สิ่งที่ทำให้สลดหดหู่ใจ มีแต่ข่าวในเชิงลบ ใจเหี่ยวไปเลย ที่เหี่ยวไม่ใช่เพราะตื่นตระหนกกับข่าว แต่ความห่อเหี่ยวนั้นเกิดจากการที่ได้ไปเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นบ่อยๆ เห็นซ้ำๆ เห็นทุกๆ วัน

 

สงสารเค้า แล้วก็หันกลับมาสงสารเราเมื่อมองไปในอนาคต เหนื่อยล้าเหลือเกิน

 

​