เรื่องเด่น นานาเรื่องราวหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 16 กันยายน 2014.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/Events2015/277935.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/Events2015/277935.jpg" border="0" alt=" photo 277935.jpg"/></a>

    ในห้องมีกาแฟไมโลให้ชุดนึงและมาม่าคัพให้สองถ้วยฟรีด้วยครับ แต่ไม่มี breakfast ให้ตอนเช้าและไม่มีบริการสั่งอาหารมาทานในห้อง มื้อเย็นต้องออกไปหาทานกับร้านอาหารนอกวัดครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2024
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    เรื่องความเกิดเป็นทุกข์/ห่างพระศาสนา

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากธัมมวิโมกข์ เมษายน 2536 หน้า 11 - 20)
     
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2024
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2024
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    [​IMG]

    [​IMG]

    เหรียญเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพร สร้างปี 2520 โดยลูกศิษย์หลวงพ่อท่านนึงเป็นผู้สร้างถวายให้วัด

    เนื้อเดิมเป็นเนื้อโลหะรมดำ จำนวนสร้างประมาณ 10,000 เหรียญ (ไม่ใช่ 100,000 เหรียญในหนังสือ)

    ด้านหลังเหรียญมีคาถาประจำราชสกุลอาภากรว่า "กยิราเจกยิราเถนํ" ถ้าจะทำก็พึงทำตามนั้นจริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2016
  6. Norr

    Norr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +127,437
    น้อมกราบสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    อรุณสวัสดิ์พี่วรรณและกัลยาณมิตรทุกๆท่าน

    [​IMG]
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/w...5/405656_441116925958749_452158445_n.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums...st2015/405656_441116925958749_452158445_n.jpg" border="0" alt=" photo 405656_441116925958749_452158445_n.jpg"/></a>

    กยิราเจ กยิราเถนํ (จะทำสิ่งไรควรทำจริง)


    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือเสด็จเตี่ยทรงอบรมสั่งสอนพระโอรส และพระธิดาเสมอเมื่อมีโอกาส

    วิธีสอนแบบหนึ่ง คือโปรดให้ท่องจำบทโคลงสอนใจที่พระองค์ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเอง เช่นบทต่อไปนี้

    ๐ ทำงานทำจริงเจ้า จงทำ
    ระหว่างเล่นควรจำ เล่นแท้
    หนทางเช่นนี้แล เป็นสุข
    ก่อให้เกิดรื่นเริง นับมื้อทวีคูณ

    ๐ Work while you work
    Play while you play
    That is the way
    To be cheerful and gay.

    ๐ทุกสิ่งที่ทำนั้น ควรตรอง
    โดยแน่สุดทำนอง ที่รู้
    สิ่งใดทำเป็นลอง ครึ่ง ๆ
    สิ่งนั้นไม่ควรกู้ ก่อให้เป็นจริง

    ๐ All that you do
    Do with you might
    Thing done by haft
    Are never done right .

    พวกเราในฐานะลูกๆของเสด็จเตี่ย หากน้อมรับคำสอนข้าง
    ต้นไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ย่อมช่วยให้กิจที่ทำนั้น เกิดผลสำเร็จได้ตามกำลังอย่างเเน่นอน.

    ภาพและเรื่องจากเพจ https://www.facebook.com/abhakara.th?fref=ts
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2024
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    [​IMG]

    ๏ ดาบของชาติ

    "...อย่ากลัวมัน... อย่ากลัวตาย ตั้งใจอาสาพระรัตนตรัยแลพระมหากษัตริย์ เดชะผลกตัญญูนั้นจะช่วยอภิบาลรักษา ก็จะหาอันตรายมิได้..." พระราชดํารัสในสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งถูกข้าศึกบุกกระนาบเข้าตั้งค่ายประชิดถึง ๔ ทิศ เพื่อปลุกขวัญว่าศัตรูแม้นจะมียุทธกําลังมหาศาล แต่ก็มิได้ยิ่งใหญ่เกินกว่าความห้าวหาญของทะแกล้วกล้าทหารไทย ที่มีหัวใจเป็นอาวุธ

    วิชาโลหศาสตร์โบราณของไทย แม้ว่าจะมีบางส่วนที่ไม่สอดคล้องกับหลักวิชาการสมัยใหม่ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นภูมิปัญญาแห่งปราชญ์ ที่สั่งสมโดยผ่านการคิดค้นและทดลอง ส่วนผสม ชนิดของแร่ และองศาความร้อน จนได้เนื้อโลหะที่แกร่ง มีคุณสมบัติเหมาะกับการใช้ขึ้นรูปเป็นของมีคมชั้นดี คุณวิเศษของโลหะชนิดต่างๆ ก็เป็นไปตามมูลเหตุแห่งลัทธิความเชื่อ เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้พกพา

    การที่จะได้เป็นชายชาตรีนั้น โบราณจารย์ระบุว่า ต้องมี "อาวุธชั้นดี อาคมชั้นเลิศ" ฉะนั้นการเดินทางเพื่อแสวงหาผู้ประสาทวิชาจึงถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องเป็นผู้สามารถบ่มเพาะต้นกล้าแห่งคุณธรรม แล้วเมื่อเจนจบสรรพวิทยา ผู้ทรงคุณวิเศษก็มักลงอักขระไว้บนเครื่องศาสตราไว้เพื่อคอยเตือนสติ ของมีคมสําหรับประหัตประหารทั้งหลาย จึงกลับกลายเป็นอาวุธที่ใช้สําหรับป้องกัน ดังพระนิพนธ์ "ดาบของชาติ" ในพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ว่า ดาบนี้มีไว้ "ให้มิตร ให้เมีย ให้ลูกแล้ชาติไทย" เรียกได้ว่า "กว่าจะได้โลหะครบถ้วนมาหลอมหล่อเข่นคมให้สมใจ ก็ละลายตนเป็นคนไปโดยสมบูรณ์"

    สําหรับความเชื่อดั้งเดิมในเรื่อง "ลวดลายต่างๆบนศาสตรา" จากการศึกษาได้พบว่า มีการจารลวดลายต่างๆบนอาวุธ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการสถิตของจิตวิญญาณอยู่ในศาสตรา เช่นรูปสัตว์ต่างๆ ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีความเก่าแก่มากที่สุด สืบเนื่องกันมานานนับพันปี บางท้องถิ่นเชื่อในเทพเจ้า ดังมีสัญลักษณ์ของเทพในอาวุธ เช่น ท้าวเวสสุวัณ ฤๅษี นาคาแลราหู ซึ่งพบได้เด่นชัดในวัฒนธรรมการสร้าง "กริช"

    "กริช" จัดเป็นอาวุธประเภทมีดสั้น ในสารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต้ ได้อธิบายเรื่อง "กริช" ไว้ว่า เป็นสิ่งแสดงความเป็นชายชาตรี และฐานะทางสังคมของผู้ครอบครอง ชื่อเรียกส่วนประกอบต่างๆของตัวกริช ล้วนเสริมให้เห็นถึงความมีชีวิตอยู่ เช่น คอ คาง เครา ตา หู กระดูก ฯลฯ รูปทรงของกริชได้พัฒนาไปตามกลุ่มวัฒนธรรมจนมีเอกลักษณ์เฉพาะ คือเป็นพระขรรค์บ้าง เป็นตรีศูทรก็มี ซึ่งล้วนมีต้นแบบมาจากวัชระ (สายฟ้า) นามของราชวงศ์ "จักรี" ก็เคยมีผู้กล่าวไว้ว่ามาจาก "จักร" และ "กริช" ตามคัมภีร์มูลศาสนาของพราหมณ์ ในขณะที่ความเชื่อดั้งเดิมในพระพุทธศาสนาฝ่ายตันตระ (วัชรยาน) ก็มีสัญลักษณ์เป็นสายฟ้า อันเป็นอาวุธประจําองค์ของพระอินทร์ เทพผู้พิทักษ์พระพุทธศาสนา ซึ่งนับเป็นสัญลักษณ์ที่มีปรากฏมากที่สุดในเครื่องศาสตราวุธของไทย

    "กริช" ที่พบว่ามีความสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย คือพระแสงกริชประจำพระองค์ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่ทรงใช้คราทำลายกําแพงเมืองจันทบูร (จันทบุรี) ในราตรีที่ทรงสั่งไพร่พลให้ทุบหม้อข้าว ดังความในพระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี ฉบับพันจันทนุมาศว่า "...เสด็จทรงช้างพระที่นั่งพังคิรีกุญชรฉัททันต์ เข้าทะลายประตูใหญ่ เหล่าทหารซึ่งรักษาประตูและป้อมเชิงเทินนั้นก็ยิงปืนใหญ่น้อยดุจห่าฝน แลจะได้ถูกต้องโยธาผู้ใดผู้หนึ่งหามิได้ กระสุนปืนลอดท้องช้างพระที่นั่งไป ควาญช้างจึงเกี่ยวไว้ให้ช้างพังคิรีกุญชรถอยออกมา พระเจ้าอยู่หัวทรงพระโกรธเงื้อพระแสงจะลงพระราชอาชญา นายควาญช้างขอพระราชทานโทษได้ จึงทรงพระแสงกฤช (กริช) แทงพังคิรีกุญชรขับเข้าทะลายประตูพังลง..."

    สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ได้ทรงใช้เมืองจันทบุรีเป็นฐานที่มั่น แล้วทรงรวบรวมสรรพกําลังไพร่พล จัดหาศาสตราวุธ ยุทธภัณฑ์ แล้วต่อเรือรบที่เมืองจันทบุรี เพื่อกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา กอบกู้อิสรภาพให้ไทยทั้งชาติได้สําเร็จในกาลต่อมา... กองทัพเรือยึดถือว่าทรงเป็น "องค์ปฐมบทของกองทัพเรือ" คู่เคียงกับกรมหลวงชุมพรฯ ที่ทรงเป็น "องค์บิดาของทหารเรือ"

    พระแสงกริชประจําพระองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินฯนี้ ถือเป็น ๑ ใน ๗ ยอดศาสตราวุธประเภทของมีคมของแผ่นดิน เช่นเดียวกันกับพระแสงของ้าว (เจ้าพระยาแสนพลพ่าย) และพระแสงดาบคาบค่าย (พระแสงขึ้นค่าย) ประจําพระองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ,พระแสงขรรค์ชัยศรี หนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และราชวงศ์จักรี ,ดาบแดงของพระยาพิชัย ดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน และพระขรรค์โสฬสประจําพระองค์กรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งอาวุธชั้นยอดเหล่านี้ล้วนประกอบไปด้วย ๒ คุณลักษณะใหญ่ คือเมื่อรุกต้องแหลมคม และทานทนเมื่อรับ

    พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี บันทึกเหตุการณ์ที่สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ทรงรวบรวมสรรพกําลัง เข้ายึดเมืองจันทบูรเป็นฐานกำลัง เตรียมพร้อมกลับมากู้กรุงศรีฯ ทรงใช้ "คมความคิด" ปลุกน้ำใจขุนทหาร ที่แม้ว่าไพรีจะมีอาวุธอันแกร่งกล้า ก็หาได้ทานทนไปกว่าหัวใจที่ห้าวหาญและเสียสละ ดังพระราชดำรัส "เจ้าตาก" ที่ปากพิง พ.ศ.๒๓๑๙ ว่า "...อันทหารแล้วองอาจอย่ากลัวตาย... เดชะผลกตัญญูนั้นจะช่วยอภิบาลรักษา ก็จะหาอันตรายมิได้..."

    จากโคลงพระนิพนธ์ "ดาบของชาติเล่มนี้ คือชี- วิตเรา ถึงจะคมอยู่ดี ลับไว้ สำหรับสู้ไพรี ให้ชาติ เรานา ให้มิตรให้เมียให้ ลูกแล้ชาติไทย" ใน "เสด็จเตี่ย" จะเห็นได้ว่าทรงมีพระอาจารย์ดี และทรงลึกซึ้งถึงคุณดาบ จนเป็นอีกตํานานกระบี่ของแผ่นดินไปแล้ว.


    ภาพและเรื่องจากเพจ https://www.facebook.com/abhakara.th/posts/688493214554451:0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2016
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    <a href="http://s1093.photobucket.com/user/wannachai007/media/643970_512197398850701_1909316426_n.jpg.html" target="_blank"><img src="http://i1093.photobucket.com/albums/i434/wannachai007/643970_512197398850701_1909316426_n.jpg" border="0" alt=" photo 643970_512197398850701_1909316426_n.jpg"/></a>

    กรมหลวงชุมพรฯ ระเบิดนํ้า


    คนไทยยุคบรรพกาล ยามบ้านเมืองสงบก็กลัวเกรงบาปมากกว่ากลัวของมีคม แต่หากแผ่นดินลุกเป็นไฟก็ไม่กลัวศาสตราใดๆ ว่ากันว่าต่างคนต่างก็มีของดีพกติดตัว บ้างก็มีวิทยาคม ตั้งแต่ระดับชาวบ้าน อย่างนายจันหนวดเขี้ยว แห่งบ้านบางระจัน หรือบรรดาขุนทหารอย่างขุนรองปลัดชู แห่งบ้านวิเศษชัยชาญ กระทั่งพระเจ้าแผ่นดิน อย่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราช คนสมัยนี้ออกนามว่า พระองค์ดํา เพราะเข้าใจว่าทรงมีพระฉวีหรือผิวสีดํา แต่คัมภีร์บางแห่งบันทึกว่าทรงมีพระฉวีไม่ผิดแผกไปจาก สมเด็จพระพี่นางสุวัณ (สุพรรณกัลยา) และสมเด็จพระน้องยาเอกาทศรถ

    แผ่นดินในยุคต้นและยุคกลางกรุงศรีอยุธยา ยังไม่นิยมการสักตามร่างกาย แต่นิยมการอาบนํ้าว่าน ว่ากันว่าทําให้ผิวเสมือนถูกเคลือบมัน รอยขูดขีดไม่เข้าผิวเนื้อ ผิวหนังเหนียวคงทนต่อคมหอก และคมดาบ ด้วยเหตุที่สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงอาบนํ้าว่านนี้เอง จึงทําให้นํ้าว่านติดพระวรกายจนเป็นสีดํา นอกจากจะทรงแช่นํ้าว่านแล้ว ยังทรงมีเครื่องรางติดพระองค์ ร่ำลือกันว่า คือ พระหูยาน กรุลพบุรี เมื่อครั้งทรงนํากองอาทมาฎเข้าโจมตีพม่า ก็ทรงนําพระเครื่องดังกล่าวมาประดับไว้ที่พระมาลา พระวีรกรรมครั้งนั้นเป็นที่มาของพระแสงดาบคาบค่าย ทรงถูกแทงฟันหลายหนก็ทรงรอดพระชนม์ กลับมารักษาพระวรกายจนเป็นปกติ แล้วนําทัพไทย กระทํายุทธหัตถีจนมีชัยเหนือพม่า ทรงเชื่อมั่นในเรื่องวิทยาคมมาก จะทรงใช้นํ้าพระพุทธมนต์ ที่ทําพิธีปลุกเสกโดยมหาเถรคันฉ่อง ล้างพระพักตร์เป็นประจำทุกทิวา และเจริญพุทธชัยมงคลคาถา ที่รจนาโดยสมเด็จพระวันรัตน์ วัดป่าแก้ว เป็นประจําทุกราตรี

    พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือเสด็จเตี่ย ก็ทรงเป็นเจ้านายอีกพระองค์หนึ่ง ที่มีผู้เลื่องลือกันถึงวิทยาคมของพระองค์ จนทรงเป็นตํานานหนึ่งของเมืองไทยว่าเข้มขลังเอกอุ ถึงขั้นทรงเคยสร้างพระปิดตา ที่วังนางเลิ้ง เพื่อประทานบรรดาข้าราชบริพาร ทรงเล่าเรียนวิชาอาคมจากหลายอาจารย์ โดยเฉพาะ พระครูวิมลคุณากร (ศุข) วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท นั้น เสด็จเตี่ยทรงให้ความนับถือเป็นพิเศษ และหลวงปู่ศุขเอง ก็ถ่ายทอดสรรพวิทยาให้เสด็จเตี่ยเป็นพิเศษด้วยเช่นกัน เช่น วิชาระเบิดนํ้า เป็นต้น ซึ่งวิชาเหล่านี้หากผู้ศึกษา ปราศจากศีล ปัญญา และเป็นคนที่ไม่ตั้งมั่นจริงจัง (สมาธิ) แล้ว ไม่มีโอกาสสัมฤทธิผลแน่แท้

    มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า เสด็จเตี่ย ทรงเชื่อมั่นในอาถรรพเวทย์มาก เมื่อทรงพบหลวงปู่ศุขครั้งแรกนั้น ทรงมีความรู้สึกว่าภิกษุชรารูปนี้ไม่ใช่พระหลวงตาธรรมดา เพราะถึงขนาดเสกใบไม้ใบหญ้าเป็นกระต่ายได้ จึงทรงเข้าไปสนทนาด้วย โดยทรงรับสั่งกับบรรดามหาดเล็กว่าไม่ประสงค์จะแสดงพระองค์ แต่ทว่าหลวงปู่ศุข ทราบด้วยวาระจิต จึงร้องทักขึ้นมาว่า ทรงเป็นลูกเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน จะให้ต้อนรับเยี่ยงสามัญชนคงไม่ได้ เสด็จเตี่ยก็ยิ่งเพิ่มเลื่อมใส หลวงปู่จึงสอบถามถึงกิจการราชนาวีสยาม เสด็จเตี่ยก็ทรงเล่าบอกเล่าให้ฟังถึงแสนยานุภาพของเรือกลไฟ ด้วยความภาคภูมิใจ "ปืนเรือรบของพระองค์นั้น ทําได้แค่นี้หรอกหรือ" หลวงปู่ส่ายหน้า "คาถาวิชาที่ชื่อว่าปืนคด ยังมีอานุภาพมากกว่าเสียอีก" หลวงปู่ศุขจึงเล่าถึงวิชาดังกล่าวถวาย เสด็จเตี่ยก็ยิ่งเกิดความศรัทธา จึงฝากองค์เป็นลูกศิษย์นับแต่นั้น

    หลวงปู่ศุข ได้ทดสอบลูกศิษย์พระองค์นี้อยู่หลายครั้ง และเสด็จเตี่ย ก็ทรงแสดงให้พระอาจารย์ได้เห็นทุกครั้ง ว่า พระองค์เป็นผู้มีสติ รู้คิด มีจิตใจเข็มแข็งเด็ดเดี่ยว พอที่จะรํ่าเรียนสรรพวิชาต่างๆได้ แต่ทว่าหลวงปู่ศุข มิได้ถ่ายทอดวิชาปืนคดให้เสด็จเตี่ย ด้วยเห็นว่ามีอานุภาพในการทําลายมากจนเกินการควบคุม จะเกิดโทษเสียมากกว่า แต่ได้แนะนําให้เรียนวิชาระเบิดนํ้า เพื่อจะก่อประโยชน์ในกิจการราชนาวีสืบไป วิชานี้เป็นวิชาเดียวกับที่ไกรทองใช้เปิดแม่นํ้า เป็นทางลงไปยังวังบาดาลของชาละวัน โดยเชื่อกันว่าหากผู้สําเร็จวิชานี้แม้อยู่ในนํ้า แต่สามารถหายใจได้ดุจอยู่บนบก การถ่ายทอดวิชาของทั้งสองล้มเหลวอยู่หลายครั้ง เสด็จเตี่ยก็ไม่ทรงท้อพระทัย ทรงกราบพระอาจารย์ขอแก้ตัวใหม่ทุกครั้ง หลวงปู่ศุขนั้นเป็นพระเถระที่มีเมตตาสูง แต่ครั้งหนึ่งมีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าไว้ว่า หลวงปู่ศุขถึงกับต้องใช้ไม้คํ้าถ่อ มีนัยยะว่าถ้าไม่ได้เรื่องคงต้องเจอไม้ในมือนี้สอนแทน แต่แล้วหลวงปู่ก็ต้องถือไม้เก้อ เพราะศิษย์เอกอยู่ใต้นํ้าได้นานกว่าปกติ จนเป็นที่พอใจพระอาจารย์

    อีกครั้งหนึ่ง เวลาเที่ยงคืน บริเวณใต้ต้นมะเดื่อริมนํ้าหน้าวัดปากคลองฯ หลวงปู่ศุข ให้เสด็จเตี่ย พนมมือถือเทียน ๗ เล่ม แล้วบริกรรมพระคาถา แล้วให้พระองค์ดําลงไปใต้นํ้า โดยหลวงปู่นั่งบริกรรมคาถาอยู่บนแพ ใช้บาตรครอบพระเศียรเสด็จเตี่ยเอาไว้ แล้วใช้มือกดบาตร ไม่ให้โผล่พ้นนํ้า แต่เสร็จเตี่ยก็ดําผุดดําว่ายอยู่หลายหน "ตัดสินใจให้แน่วแน่ ว่าจะเอาวิชานี้หรือไม่" หลวงปู่ศุขขึ้นเสียง เสด็จเตี่ยไม่เอ่ยว่ากระไร ทรงสงบนิ่งอยู่ในท่าพนมมือ แล้วทรงบริกรรมคาถา ตั้งมั่นพระทัยว่าเอาแน่ แล้วดําดิ่งหายไปใต้สายธาร ในคืนวันเพ็ญ หลวงปู่ชอบใจ ถึงกับหัวเราะเสียงดังลั่นคุ้งนํ้า ถึงความสามารถขององค์บิดาของทหารเรือ พระองค์นี้

    นอกจากเรื่องวิชาอาคมแล้ว เสด็จเตี่ย ยังทรงสักอักขระเลขยันต์ ทั้งเพื่ออํานาจพุทธาคม และทั้งเป็นเครื่องเตือนใจเช่น คําว่า "ร.ศ.๑๑๒ ตราด" เหนือพระอุระ และยังทรงมีเครื่องรางของขลังเฉกเช่นชายชาตรีนิยม มีพระขรรค์โสฬส และตะกรุดสามกษัตริย์ ที่หลวงปู่ศุข ได้สร้างไว้เพื่อเสด็จเตี่ยโดยเฉพาะ เป็นต้น ม.จ. เริงจิตรแจรง อาภากร เคยทรงเล่าให้ ม.ร.ว.อภิเดช อาภากร ฟังว่า แต่ก่อนท่าน (ม.จ.เริงจิตรแจรง) มาวัดปากคลองฯ หลายหน และเคยได้ลงเล่นนํ้าหน้าวัดหลายครั้ง เมื่อครั้งทําตะกรุดนี้ หลวงปู่ก็ระเบิดนํ้าลงไป ท่านก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย "ลงไปนานมั้ย" ม.ร.ว.อภิเดช ถาม "นาน... ถ้าพวกเราลงไปแบบนั้นคงตายไปนานแล้ว" ม.จ.เริงจิตรแจรง ตอบ ทรงเล่าต่อไปว่า เห็นหลวงปู่ศุขอยู่ใต้นํ้านานผิดปกติ ท่านจึงเดินไปกระซิบกับ ม.ร.ว.ดำแคงฤทธิ์ อาภากร เป็นทีเล่นว่า "สงสัยหลวงปู่จะถูกจระเข้คาบไปกิน" ตะกรุดสามกษัตริย์นี้ เสด็จเตี่ยทรงนําติดพระวรกายตลอดเวลา ก่อนสิ้นพระชนม์ทรงรับสั่งว่า "เอาเก็บไว้ให้เจ้าตุ่น" (ม.จ.รังษิยากร อาภากร)

    จะเห็นคนสมัยก่อนเขาปฎิบัติกิจการงานทุกอย่างด้วยความจริงจัง จึงสําเร็จผลศักดิ์สิทธิ์จริง ซึ่งคําสอนนี้ ถือเป็นคําสอนหลักที่ทรงถือปฎิบัติตลอดพระชนม์ อนึ่งจะเห็นว่าการถ่ายทอดศิลปะวิทยา คนโบราณไม่หวงแหน ไม่ถือเอาเป็นสมบัติส่วนตน แต่เป็นเพราะหาผู้มีสติ รู้คิด รู้ทํา และจริงจังได้ยาก มีแต่กะโหลกกะลาดําผุดดําว่าย ของดีจึงเป็นเหมือนนํ้าเต้าน้อยที่ถอยจม ซํ้าร้ายวิชาโจรกลับกลายเป็นกระเบื้องเฟื่องฟูลอย คงต้องให้หลวงปู่แมวดําแสดงอิทธิฤทธิ์ถือไม้คํ้าถ่อมายืนสอนกันกระมัง.


    ภาพและเรื่องจากเพจ https://www.facebook.com/abhakara.th/posts/512197468850694:0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2016
  10. Norr

    Norr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +127,437
    หลวงพ่อเล่า .เรื่องกระดูก..พระท่านสั่งว่า จงอย่าเผาร่างกายของเธอ ด้วยเหตุผลก็มีอยู่ว่า ฯ....
    “....ไม่ช้าวิญญาณก็จะออกจากร่าง ร่างกายนี้ก็ต้องทอดทิ้ง แต่อาศัยที่ พระท่านสั่งว่า ...”จงอย่าเผาร่างกายของเธอ " ด้วยเหตุผลก็มีอยู่ว่า ลูกศิษย์มากจะทะเลาะกันเรื่องกระดูก....
    ....เรื่องกระดูกนั่นเป็นปัจจัยให้คนทะเลาะกันเยอะแล้ว เอาไปแล้วไม่ได้ทำอะไร ไปวางทิ้งที่บ้าน ไปวางทิ้งที่วัด ลืมการสนใจ มีหลายอาจารย์แม้แต่กระดูกหลวงพ่อปานเองก็เหมือนกัน เวลาเผาแย่งกันเกือบตาย พอได้ไปแล้ว เปล่า ลืม บางคนก็ให้คนอื่นต่อไป แต่เวลาจะเอา แย่งกัน...
    ....ทีนี้ ของอาตมา ขณะเวลานี้เวลานั้นต่างกัน กำลังใจคนต่างกัน เวลานั้นว่ากันหยุด ขอร้องกันได้ แต่เวลานี้ไม่แน่ใจนักว่า จะว่ากันหยุด ขอร้องกันได้ ท่านจึงหาทางป้องกันเรื่องร้ายเกิดขึ้น ...พระท่านบอกไม่ให้เผา ด้วยการชดเชยของท่าน ท่านก็บันดาลให้ชานหมากเป็นพระธาตุบ้าง บันดาลให้ผมเป็นพระธาตุบ้าง บันดาลให้หางพลูเป็นพระธาตุบ้าง ตามที่ปรากฏกับบรรดาท่านพุทธบริษัทแล้ว นี่เป็นพุทธบารมี ไม่ใช่อาตมา ไม่ใช่บารมีของอาตมา...
    ....ทั้งนี้เพราะว่าท่านสั่งไม่ให้เผา ถ้าไม่เผาธาตุกระดูกก็ไม่ปรากฏขึ้น ไม่เป็นที่แย่งกัน ฉะนั้นท่านจึงบันดาลให้ ชานหมากก็ดี ผมก็ดี หางพลูก็ดี เป็นพระธาตุขึ้นมา นี่เป็นอำนาจพุทธานุภาพ ไม่ใช่อาตมาเสก ไม่ใช่ความดีของอาตมา เป็นความดีของพระพุทธเจ้าท่าน
    ....อันนี้ของใครจะเป็นหรือไม่เป็นก็เป็นเรื่องที่ท่านบูชา และพระท่านสงเคราะห์ จะโทษอาตมาหาว่าลำเอียงก็ไม่ได้ อาตมาไม่ลำเอียง ...รักเหมือนกันทุกคน เห็นใจทุกคน “
    .
    .
    โอวาทธรรมคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)จ.อุทัยธานี
    --------------------------------------------
    คัดลอกจากหนังสือ พ่อสอนลูก ฉบับประจำปี พ.ศ. ๒๕๔๖(ปกสีทอง) หน้า ๓๘.,โดยคำสอนของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ,วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมืองจ.อุทัยธานี., รวบรวมโดยคุณแม่ปาริชาต แสงหิรัญ และชมรมวิชชุเวทย์ธรรมปฏิบัติ
    คัดลอกโดย..วัดป่าโนนสมบูรณ์ จ.อุบลราชธานี



    [​IMG]
     
  11. Norr

    Norr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +127,437
    หลวงพ่อเล่าให้ฟัง " พระภูมิมีจริงไหม "



    [​IMG]


    "....ขอยืนยันว่า พระภูมิมีจริง ที่ท่านเรียกว่า ภูมิเทวดา มีวิมานอยู่ระดับแผ่นดิน วิมานเลื่อนหนีสิ่งที่มาชนได้โดยที่พระภูมิไม่ต้องเข็นวิมาน เมื่อถามว่าภูมิเทวดามีอานุภาพไหม ขอตอบว่าอานุภาพของท่านมีแน่ แต่ทว่าเทวดาไม่ใช่คนไม่ซุกซนใช้อานุภาพแบบคนอันธพาลหรือคนบ้า ท่านใช้ตามความจำเป็น ถ้าถามว่า เคยพบพระภูมิหรือ ขอตอบว่าพบแน่เมื่ออายุ ๓๒ ปี เรื่องราวมีดังนี้

    ปีนั้นรับภาระเป็นเจ้าอาวาส วัดบางนมโค อ.เสนา จ.อยุธยา กุฏิหลวงพ่อปานไม่มีใครเข้าไปอยู่ พระอาวุโสมากตั้งแต่ ๒๐ ถึง ๓๐ พรรษามี ท่านได้กรรมฐานท่านรู้ความเป็นไป ไม่มีองค์ใดเข้าไปอยู่ ผู้เขียนพรรษาน้อยท่านให้เป็นเจ้าอาวาส ตำแหน่งเจ้าอาวาสก็คือตำแหน่งขี้ข้า ที่ต้องพร้อมรับคำด่าตลอดเวลา พระ เณร เด็ก คนวัด หมาวัด ไปทำไม่ดีที่ไหนเขาก็ด่าเจ้าอาวาส เงินเดือนก็ไม่มีแต่ต้องเลี้ยงคนอื่น วัดก็ต้องสร้างมันจะพังก็ต้องบำรุงซ่อมแซม เป็นอันว่าตำแหน่งเจ้าอาวาสคือตำแหน่งขี้ข้างานและขี้ข้าเสียงนินทา

    คุยกันเรื่องพระภูมิ

    เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อรับตำแหน่งเจ้าอาวาสแล้ว เห็นกุฏิหลวงพ่อปานไม่มีใครอยู่ ก็เข้าไปทำความสะอาดทำเองไม่ได้ใช้ใคร เวลาใกล้ค่ำก็เอาเสื่อเก่า ๆ หนึ่งผืน หมอนเก่า ๆ หนึ่งใบ ผ้าห่มเก่า ๆ หนึ่งผืน เข้าไปนอนห้องในสมัยเมื่อหลวงพ่อปานอยู่ท่านนอนห้องนอกคือห้องใหญ่ เวลานั้นได้เอาโต๊ะหมู่บูชาและพระพุทธรูปมาตั้งที่หลวงพ่อปานนอน

    เมื่อเข้าไปห้องในเวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกา ก็ออกมาเพื่อบูชาพระพอจุดธูปไม่ทันจุดเทียน ได้ยินเสียงประตูห้องในเปิดมีเสียงคนเดินออกมาข้างหลัง เพราะนั่งหันหลังให้ห้องใน คนนั้นมายืนข้างหน้าด้านขวามือ เป็นชายท้วมเนื้อเต็ม ผิวขาวเครื่องแต่งกายขาวทั้งชุด

    ท่านบอกภายหลังว่าเครื่องแต่งกายวันนั้นเหลือง เพราะเข้ามาในเขตพระ ท่านใช้สีเหลืองแต่กลางคืนเห็นเป็นสีขาว มือขวาตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงปลายนิ้ว สีแดงจัด แดงมือเดียว ลืมตาก็เห็นหลับตาก็เห็นไม่ต้องใช้ฌานเพราะไม่มีจะใช้ ถามท่านว่า ท่านเป็นใคร ท่านตอบว่า ผมคือภูมิเทวดาที่รักษาที่วัดนี้ ถามท่านว่า ท่านมาทำไม ท่านตอบว่า ผมมาหาคุณจะแนะนำให้คุณตั้งศาลพระภูมิ ถามท่านว่า ท่านไม่มีวิมานอยู่หรือ

    ท่านตอบว่า วิมานผมมี แต่ที่ให้ตั้งศาลนี่ไม่ใช่พระภูมิจะอยู่ที่ศาล เป็นการแสดงความยอมรับนับถือกัน ได้บอกท่านว่า ศาลที่เจ้าอาวาสองค์เก่า ๆ ท่านตั้งไว้ข้างศาลของคุณศาลไม่พอหรือ ท่านตอบว่า นั่นเป็นศาลของคนอื่นไม่ใช่ศาลของคุณ ถามท่านว่า เมื่อก่อนนี้ได้อยู่วัดนี้มาตั้งหลายปีไม่ได้ตั้งศาลก็อยู่ได้ เดี๋ยวนี้ทำไมต้องตั้งศาล ท่านบอกว่า เมื่อก่อนคุณไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส เวลานี้เป็นเจ้าอาวาสแล้วต้องตั้งศาล หลวงพ่อปานอาจารย์คุณท่านก็ตั้ง เพราะท่านเกรงใจผมและคุณจะตั้งไหม ถามท่านว่า ถ้าไม่ตั้งจะมีอะไรเกิดขึ้น ท่านบอกว่า วันพรุ่งนี้ ๕ โมงเย็นถ้าคุณไม่คิดจะตั้งจมูกข้างซ้ายจะหายใจไม่ออก วันมะรืนนี้ ๕ โมงเย็นยังไม่คิดจะตั้ง จมูกข้างขวาจะหายใจไม่ออก อีกวันหนึ่งถ้ายังไม่คิดจะตั้ง คุณจะหายใจทางคอไม่ออก (ตาย)

    จึงบอกท่านว่า รอให้จมูกหายใจไม่ออกก่อนจึงจะตั้ง ท่านบอกว่า ถ้าคุณคิดจะตั้งศาลแน่นอนเมื่อไรจะหายใจคล่องทันทีผมลาละ เมื่อท่านไปแล้วก็คิดแบบคนเลวคิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหล พอถึงเวลานั้นหายใจไม่ออกทันที เห็นท่าไม่ได้การรับจุดธูปบอกผมยอมแพ้ ท่านปรากฏตัวให้เห็นแล้วก็ถามว่า รู้อานุภาพพระภูมิหรือยังก็ยอมรับอานุภาพท่านแล้ว

    ....ท่านก็บอกว่า จงไปตาม นายโต๊ะ มายกศาล คนอื่นยกไม่ได้ ท่านดีมากรู้จักพิสูจน์ ต่อไปถ้าต้องการให้ผมช่วยอะไร ถ้าไม่เกินวิสัยผมช่วยท่านตามกำลัง ถามท่านว่า ต้องเข้าฌานถามไหม ท่านถามว่าคุณมีฌานหรือ ตอบท่านว่า มีแต่มันใช้ไม่ค่อยดี ท่านบอกว่าเรากันเองไม่ต้องใช้ฌานหรือญาณ เพียงนึกถึงผม ผมก็มา อย่างที่เห็นอยู่นี้ดีกว่าเวลาไหนก็ได้ เพราะผมพักอยู่ในบริเวณวัดเป็นอันว่า ในเวลาต่อมานัดพบท่านเวลา ๖ โมงเช้าทุกวัน เพื่อถามภารกิจวันต่อไป

    พอดีกระดาษร่างต้นฉบับหมด "เรื่องผี" ยังมีอีก อ่านเล่ม ๓ ต่อไป จะเล่าเรื่องรุกขเทวดา ผีนางตะเคียน ให้ทราบ สำหรับเล่มนี้ขอลาเพียงเท่านี้ ขอทุกท่านที่อ่านจงรวยมาก ๆ และปลอดภัย..!

    ส.สังข์สุวรรณ

    *** จบหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๒ ***

    .
    .

    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    -------------------------------------------
    ที่มาจาก...หนังสืออ่านเล่นชุดที่๑ รวมเล่ม ๑-๒-๓ หน้า ๑๖๓-๑๖๕ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม(ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     
  12. Norr

    Norr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +127,437
    หลวงพ่อสอนเรื่องการทำบุญที่บ้านและทำทุกๆบุญ

    [​IMG]


    "....วันทำบุญนี่อย่าให้มันมีบาป และวันทำบุญจริง ๆ เวลาเริ่มอย่าให้มันมีบาปเข้ามาปะทะหน้า ถ้าหากมีบาปเข้ามาปะทะหน้าแล้ว บุญมันเข้าไม่ได้หรอก เพราะบาปกับบุญมันไม่ถูกกันเริ่มต้นงานก็เชือดไก่ เชือดปลา เลี้ยงเหล้า อารมณ์มันเป็นอกุศล แล้วอารมณ์กุศลมันก็เข้าไม่ได้
    ....ถ้าจะทำแบบโลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย วันต้นงานให้มันเรียบร้อยทุกอย่าง อย่าให้มีบาปเข้ามาปะทะ ถ้าทำบุญเสร็จ กิจที่เป็นเรื่องของพระเสร็จแล้ว จะเลี้ยงเหล้ายา ปลาปิ้งก็ว่ากันไปให้มันไปอยู่เสียคนละวัน แหม บางบ้านบอกทำบุญเยอะ ทำบุญหมดไปตั้งหลายหมื่น พระฉันไปสักกี่ช้อนและตอนพระฉันน่ะเป็นบุญหรือเปล่ายังไม่แน่เลย จิตของเจ้าภาพรับบุญหรือเปล่า...
    ....บางทีรักษาประเพณีกันเกินพอดีไป พอพระจะให้ศีล เจ้าภาพบอกไม่ว่าง อย่างเขาจะถวายทานก็ไม่ว่าง พระจะเทศน์ไม่ว่างอีก บุญมันมีตรงนี้ ถ้าไม่ว่างตรงนี้แล้วจะเอาอะไร
    .....ฉะนั้น การทำงานใหญ่ ๆ สู้อานิสงส์ของการถวายสังฆทานไม่ได้ แบบนี้ลงทุนเท่าไรถ้าหากว่ากำลังทรัพย์ เรามีไม่มากนัก จะถวายของอย่างละนิด อย่างละหน่อยก็ได้ เขาไม่ได้จำกัดและความกังวลแบบนั้นไม่มี สิ่งที่เป็นบาปแบบนั้นไม่มี ผลที่ได้รับต่างกันกับทำแบบนั้นหลายร้อยเท่า ยิ่งทำงานมากเท่าไร ความกังวลก็มากเท่านั้น กังวลดีก็มี กังวลเลวก็มี บางทีก็โมโหโทโส ใช่ไหม..."
    .
    .
    *******************************
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม(ท่าซุง)อุทัยธานี
    ------------------------------------
    ที่มาจาก...หนังสือ โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุงเล่ม ๒ หน้าที่ ๓๔ ​
     
  13. Norr

    Norr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,105
    ค่าพลัง:
    +127,437
    ชอบสวดมนต์



    [​IMG]


    [​IMG]


    ผู้ถาม หลวงพ่อครับ ผมทำสมาธิแต่ไม่ถนัดนัก แต่ชอบสวดมนต์ เช่น พระอาการวัตตสูตร ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฏก เดือนละครั้ง...
    หลวงพ่อ แหม นี่จริงๆ ฉันเก่งกว่านั้นนะ ๕๐ ปีครั้งหนึ่ง
    ผู้ถาม แต่ผมก็มีอารมณ์สบาย เป็นปกติ อยากเรียนถามว่าคนที่สวดมนต์ไม่มีสมาธิอย่างนี้ ตายแล้วจะมีโอกาสพ้นจากนนักได้หรือเปล่าขอรับ?
    หลวงพ่อ ถ้าสวดมนต์ถูกก็แสดงว่าจิตมีสมาธิ ไม่ใช่ไม่มี ทำสมาธิน่ะ นั่งก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ ทีนี้คำว่าสมาธิ แปลว่า การตั้งใจ นี่บางคนเข้าใจว่าต้องนั่งสมาธิมือก่ายกันภาวนา อันนี้ไม่ใช่ คำว่าสมาธิแปลว่าตั้งใจอยู่ในเขตของความดี การสวดมนต์ ถ้าจิตนึกถึงคำสวดมนต์อยู่เวลานั้น จิตห่างจากนิวรณ์ จิตว่างจากกิเลส จิตสะอาด การสวดมนต์จริง ๆ จิตอยู่ในเขตของอุปจารสมาธิ ถ้าจิตไม่เข้าถึงอุปจารสมาธิจะสวดมนต์ไม่ถูก ให้สังเกตไว้ นี่เขาดีอยู่แล้ว อย่านึกว่าไม่ดีนะ เขาดีกว่ายกทรงตั้งเยอะ ยกทรงนั่งคิดหวยอย่างเดียว (หัวเราะ)
    เดี๋ยวต่ออีกหน่อย ถ้านิยมสวดมนต์จริงๆ ไม่เคยทำสมาธิแบบกรรมฐานกับเขา ถ้าวันไหนหรือเวลาไหนเกิดไม่ได้สวดรำคาญใจ อย่างนี้เป็นอนุสสติใน ธัมมานุสสติ ถ้าตายจากความเป็นคน ถ้าไม่ละอารมณ์นี้นะ ไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าชั้นยามา เป็นสวรรค์ที่ไม่ต้องทำงานด้วย เป็นสวรรค์ที่บำเพ็ญบารมีต่อ ถ้าชอบสวดมนต์ในโลกมนุษย์ไปที่นั่นก็สวดตะบันอีกนั่นแหละ ถ้าชอบนั่งสมาธิ ไปก็นั่งสมาธิไม่เลิก ของแกไม่ต้องกินข้าว
    ฉันเคยไปคุยกับเทวดาชั้นยามา คุยกับองค์นี้ องค์นี้เคยนั่งสมาธิ ถึงอุปจารสมาธิก็ตายไป ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามาอีก ๒ องค์ อยู่ข้างหลัง ก็นั่งสวดมนต์ พอคุยองค์นั้นเสร็จแล้ว ก็หันมาคุยกับองค์ข้างหลัง องค์ที่นั่งสมาธิ ก็นั่งสมาธิต่อไปอีก เขาไม่ยอมละเลย เป็นต้น บำเพ็ญบารมีต่อจริง ๆ
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
    ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๔ หน้า ๑๖-๑๗
    (ลิขสิทธิ์เป็นของ "ทีมงานเว็บวัดท่าซุง)
     
  14. berbapor

    berbapor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,845
    ค่าพลัง:
    +21,862
    สวัสดียามดึกครับพี่วรรณชัย,ท่านพี่วุฒิ,คุณsupatach,คุณtaoreedman,คุณfive304,คุณThis_old_man,คุณpalmcc38,คุณyommatood, คุณizeberry , คุณtossa ,คุณช่างชิต,คุณjj85,คุณ6ThSense,น้องแพน, พี่รุ่ง, พี่กฤต, คุณเพชร,คุณชาตรี ช้างน้อย ,คุณออกพราน,คุณrung847,พี่chopper,คุณระงับ,คุณsylvenus,คุณรัก_ในหลวง ,คุณramo , คุณCobraa ,คุณนิช,คุณpowergen, คุณKRITVEE ,คุณบารมี10 คุณเมฆดำ ,คุณหมาอ้วน และศิษย์วัดท่าซุงผู้มีจิตใจดีงามทุกๆท่าน.(^__^)
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2024
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2024
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2024
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2024
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กุมภาพันธ์ 2024
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    110
    ค่าพลัง:
    +225,700
    [​IMG]

    ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณกรมหลวงชุมพรฯ

    ประวัติหมอพรเมื่อครั้งทรงเป็นหมอพร

    หมอพรขณะที่เสด็จในกรมฯ ได้ทรงออกจากประจำการชั่วคราว ระหว่างปี พ.ศ.2454 - 2459 เป็นระยะเวลา 6 ปี พระองค์จึงทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ เพื่อช่วยชีวิตคนยากจน โดยได้เสด็จไปหาพระยา พิษณุประสาทเวช หัวหน้าหมอหลวงฝ่ายยาไทย เพื่อขอเป็นลูกศิษย์ นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์อื่น ๆ อีกหลายคน เช่น หมอฝรั่งชาวอิตาเลียน และชาวญี่ปุ่น หม่อมเจ้าหญิง เริงจิตแจรง อาภากร พระธิดาเสด็จในกรมฯ ได้ทรงเล่าว่าพระองค์ทรงศึกษาอย่างจริงจัง ได้ทรงสั่งกล้องจุลทัศน์มาสำหรับตรวจโรค มีห้องพิเศษเรียกห้องเคมีวิทยาศาสตร์ พระองค์ทรงชอบ ทดลองมีการค้นคว้ายาแก้โรคต่าง ๆ ได้ทรงนำเอาสัตว์ต่าง ๆ ตั้งแต่สัตว์เล็ก ๆ จนถึงสัตว์ใหญ่มาทดลองยาที่ทรงปรุง ทรงชำระคัมภีร์อติสาระวรรคโบราณกรรม และปัจจุบันกรรม ซึ่งเป็นตำรายาแผนโบราณจนเสร็จบริบูรณ์ เมื่อ พ.ศ.2458

    หมอพร เมื่อทรงทดลองยาที่ทรงปรุงจนได้ผลดี จึงทรงรับเป็น หมอรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนทั่วไป ไม่ว่าคนมี คนจน ใครมาหาก็ทรงตรวจรักษาให้ทั้งนั้น เสด็จในกรมฯ ทรงตั้งชื่อพระองค์ว่า "หมอพร" คนป่วยมาหาเองไม่ได้ ถ้ามารับไปตรวจและรักษาที่บ้าน ต้องเอารถมารับส่ง เวลานั้นนายทหารเรือป่วยกันมากไม่ค่อยไปโรงพยาบาล ใครป่วยก็มาหาหมอพร หมอพรจะตรวจ และจ่ายยาให้โดยไม่คิดค่ายา ที่หายก็มี และที่ป่วยหนักตายก็มี สำหรับการรักษาประชาชนทั่วไปนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า มีครอบครัวจีนในสำเพ็งรายหนึ่ง สามีคือพ่อบ้าน ซึ่งกำลังเจ็บหนักดูเหมือนจะเป็นวัณโรค ซึ่งเรียกกันในสมัยนั้นว่า ฝีในท้องและใกล้จะตายอยู่แล้ว ก็ไม่มีทางจะกระเตื้องขึ้นเลย อาการมีแต่ทรงกับทรุด

    ครั้นบ่ายวันหนึ่งเสด็จในกรมฯ ซึ่งปลอมพระองค์เป็น "หมอพร" เดินถือย่ามยานุ่งผ้าม่วงไว้หนวดไว้เครา เสด็จเข้าไปในสำเพ็ง เด็กเล็กเดินหนีกันเกรียวกราว รู้ไปถึงหูภรรยาของคนเจ็บ เมื่อรู้ว่าหมอพรก็วิ่งกระหืดกระหอบ เข้าไปกราบที่พระบาท ร้องไห้ร้องห่ม ขอให้ไปช่วยชีวิตสามี จะเสียเงินเสียทองเท่าไรก็ยอม หมอพรจึงเดินตามอาซิ้ม เข้าไปในบ้านหลังใหญ่ และจะไปพินิจพิเคราะห์ตัวเถ้าแก่ใหญ่ ที่กำลังหายใจ ครอก ๆ อยู่ หลังจากพิจารณาด้วยความถี่ถ้วนแล้ว ก็ทำพิธีเป่ามนต์และท่องบ่นคาถาอยู่พักหนึ่ง แล้วได้อัญเชิญคุณพระมาทำน้ำมนต์และรดคนไข้

    พร้อมกับมอบ หมายยาไทยขนานหนึ่งไว้ให้ แล้วหมอพรก็อำลาไป ต่อมาชั่วเวลาไม่นานนัก พระองค์ก็เสด็จไปฟังผล ปรากฏว่าอาการของคนไข้กระเตื้องขึ้น อย่างทันตาเห็น เถ้าแก่ที่มีเงินทองมากมายได้ลุกขึ้นกราบ เรียกภรรยาให้เอาเงินมาถุงหนึ่ง เพื่อจะถวายให้พระองค์ เป็นค่ารักษา แทนที่เสด็จในกรมฯ หรือหมอพรจะรับไว้ กลับโบกพระหัตถ์ว่า พระองค์ไม่ใช่หมอประเภทเห็นแก่เงิน เสด็จในกรมฯ ขอให้คนไข้นำเงินนั้นไปทำสาธารณประโยชน์ อย่างอื่นต่อไป เศรษฐีจีนคนนั้นได้มอบเงินจำนวนนั้น ไปใช้ในการสร้างศาลาการเปรียญที่วัดแห่งหนึ่ง



    ตำรายาหมอพร


    หมอพร พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวง ชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงออกจากประจำการชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อปี พ.ศ.2454 เมื่อครั้งยังทรงเป็นกรมหมื่น ชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ พระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์ แผนโบราณจากตำราไทย ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณ จากตำราไทย ทรงเขียนตำรายาแผนโบราณ ลงในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง โดยทรงค้นคว้าตรวจหาตามคัมภีร์เก่า ที่เกือบจะสูญสิ้นอยู่แล้ว

    เขียนเสร็จในปี พ.ศ.2458 พระองค์ทรงตั้งชื่อ ตำราไทยสมุดข่อยเล่มนี้ว่า

    "พระคัมภีร์ อติสาระวรรคโบราณะกรรมและปัจจุบันนะกรรม"

    เป็นสมุดข่อยที่มีเนื้อหาทั้งตำรายาแผนโบราณ กล่าวถึงการผสมยาแก้โรคต่าง ๆ
    ซึ่งในตำรา กล่าวว่าเคยใช้ได้ผลมามากแล้วและบันทึกไว้ ด้วยศิลปภาพเขียน
    นับตั้งแต่หน้าปกที่เป็นลายไทย ปิดทองที่สวยงามมาก หน้าต่อไปเป็นภาพเขียน
    ด้วยหมึกสี ภาพพระพุทธเจ้านั่งขัดสมาธิ ด้านซ้ายและด้านขวา เป็นภาพฤาษี 2 องค์
    นั่งพนมมือ ถัดมาด้านขวามือสุด เป็นตราประจำราชสกุลอาภากร รูปพระอาทิตย์

    ทรงราชรถประทับยืน ทรงพระขรรค์ด้วยพระหัตถ์ขวา มีอักษรเขียนเป็นภาษาบาลีว่า

    "กยิราเจ กยิราเถนํ" แปลว่า "จะทำสิ่งไร ควรทำจริง" ขอบสมุดด้านซ้าย
    และขวาเขียนลายไทย ด้วยสีสันที่สดใสสวยงาม ตัวอักษรบางตัวเป็นอักษรประดิษฐ์ประกอบกับลายไทย

    นอกจากเสด็จ ในกรมฯ ทรงศึกษาค้นคว้าตำรายาต่าง ๆ แล้วพระองค์ยังไม่ทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แก่คนทั่วไปโดยไม่เลือกคนจนหรือคนมี และมิได้คิดค่ารักษาหรือค่ายา แต่อย่างใด ทุกคนที่มีความเดือดร้อน จะต้องได้รับความเมตตาอารีจากพระองค์ไปทั้งสิ้น จนเป็นที่นับถือของคนทั่วไปในนามของพระองค์ว่า "หมอพร" ข้อนี้เป็นที่ประจักษ์ในพระอัธยาศัย ของพระองค์อีกด้านหนึ่งว่า ทรงเมตตาอารี ต่อคนทุกชั้น แม้ผู้ที่มิใช่ทหารเรือ ก็เคารพนับถือ พระองค์เป็นที่สุดเช่นกัน

    พระคัมภีร์อติสาระวรรค ตำรายา "พระคัมภีร์ อติสาระวรรค" นี้ มีอยู่ 2 เล่ม เล่ม 1 นั้นอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ สมุทรปราการ ส่วนเล่ม 2 นั้น ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ถึงแม้ว่า จะมีร่องรอยของการถูกทำลายจากแมลงตัวเล็ก ๆ อยู่บ้าง แต่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือก็ยังคงเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี อยู่ในสภาพที่ดี สามารถอ่านข้อความได้ชัดเจน เคยมีผู้คัดลอกตำรายา พิมพ์เผยแพร่ลงหนังสือไปบ้างแล้ว 4 - 5 ขนาน คือ ยาเขื่อนกำบัง ยาเบญจขันธ์ ยาประสะพุงเม่น และยาแก้


    ยาแก้โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด

    ท่านให้เอา หัวกระเทียมโทน (กระเทียมหัวเดียวโดยเฉพาะไม่มีกลีบ) ๒๑ หัว นำมา
    ปอกเปลือกแล้วใส่โหล หรือใส่โถ ใส่น้ำผึ้งแท้ลงผสมให้ท่วมหัวกระเทียม ปิดฝาโหลหรือ
    โถให้สนิท หมักดองไว้ ๗ วัน ใช้รับประทานเวลาก่อนนอน ครั้งละ ๓ หัว พร้อมทั้งน้ำ
    แก้โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ



    ยาแก้โรคปวดศีรษะเรื้อรัง

    ท่านให้เอา แก่นขี้เหล็ก ๑ ผักเสี้ยนผี ๑ ต้นแมงลัก ๑ ตัวยาทั้ง ๓ อย่างนี้ เอาอย่างละ ๑ บาท
    นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำ ๓ ส่วน เคี่ยวให้เหลือ ๑ ส่วน ใช้น้ำยาทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาวันละ ๔-๕ ครั้ง
    มีสรรพคุณแก้โรคปวดศีรษะเรื้อรังให้หายขาดไป ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคเบาหวาน

    ท่านให้เอา รังผึ้ง (เอาทั้งรังพร้อมทั้งตัวอ่อน) ๑ รัง เหล้า ๑ ขวด หัวกระชาย ๑๒ หัว
    เปลือกตะโกนา (ต้นตะโกดัด สดหรือแห้งก็ได้) ๓ เปลือก ตัวยาทั้ง ๔ อย่างนี้ นำมา
    ดองรวมกัน โดยนำรังผึ้งใส่ลงในโถหรือใส่ในโหล เทเหล้าลงผสมพอท่วมรังผึ้ง ใส่หัว
    กระชาย (ซึ่งปลอกเปลือกและทุบให้แตกเสียก่อน) และใส่เปลือกตะโกนาลงผสม หมัก
    ดองไว้ ๓ วัน ใช้น้ำยาดองนี้รับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน เวลาก่อนอาหาร เช้า-เย็นวันละ ๒ เวลา
    ทุกวันติดต่อกันไปจนครบ ๑ เดือน
    ท่านให้เอา ต้นเหงือกปลาหมอทั้ง ๕ (เอาทั้งต้นตลอดถึงราก) จำนวนพอสมควร นำมา
    ล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงจำนวน ๖ ถ้วยชาจีน เอา
    พริกไทยร่อนจำนวน ๓ ถ้วยชาจีน บดให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาด
    เท่า เมล็ดพุทรา จำนวน ๑๐๘ เม็ด ใช้รับประทานครั้งละ ๑ เม็ด ก่อนเวลาอาหาร เข้า-เย็น ทุกวัน ติดต่อกันไปจนครบ ๕๔ วันโรคเบาหวานจะหายขาด
    เจ้าของยาขนานนี้ ได้ใช้รักษาตัวเองหายขาดมาแล้ว ชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคปวดเข่าอย่างรุนแรง

    ท่านให้เอา เถากะทกรกหนัก ๑ บาท หญ้างวงช้าง ๑ รากคนทา ๑ ขิงแห้ง ๑ หญ้าหางช้าง ๑ หัวข่า ๑
    ตัว ยาทั้ง ๕ นี้ เอาหนักอย่างละ ๑๐ บาทเท่ากัน ตัวยาทั้ง ๖ นี้ นำมาใส่หม้อดิน ต้มกับน้ำ ๓ ส่วน เคี่ยวให้เหลือ ๑ ส่วน ใช้น้ำยา ทานครั้งละ ๑ ถ้วยกาแฟ เวลา เช้า-กลางวัน-เย็น วันละ ๓ เวลา
    มีสรรพคุณ แก้โรคปวดหัวเข่าอย่างรุนแรงให้หายไป ได้ผลดี ชะงัดนักแล ฯ


    ยาทิพย์ไสยาสน์

    ท่านให้เอา ลูกจันทน์ ๑ ยาดำ ๑ มหาหิงคุ์ ๑ ตัวยาทั้ง ๓ นี้เอาอย่างละเท่าๆกัน
    พริกไทยร่อน หนักเท่ายาทั้ง ๓ อย่างนั้น นำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้
    ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ใช้ทานก่อนนอน มีสรรพคุณทำให้เลือดลมเดินสะดวกดี
    นอนหลับสบาย ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ



    ยาแก้โรคไอเรื้อรัง

    ท่านให้เอา หัวอุตพิดสด(พอสมควร) ๑ หัวกระเทียม ๗ กลีบ ๑ พริกไทยร่อน ๗ เม็ด ๑
    ดีปลี ๗ ดอก ๑ ตัวยาทั้ง ๔ นี้ นำมาตำให้ละเอียดผสมกับน้ำผึ้งแท้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด
    ใช้ทานครั้งละ ๑ เม็ด มีสรรพคุณแก้โรคไอเรื้อรัง ได้ผลอย่างชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคมะเร็งในมดลูก


    ท่านให้เอาหัวข้าวเย็นเหนือ ๑ หัวยาข้าวเย็นใต้ ๑ ต้นหนอนตายหยาก ๑ รากนมแมว ๑ หัวพุทธรักษา
    ( สีขาว) ๑ ตัวยาทั้ง ๕ อย่างนี้เอาหนักอย่างละ ๔ บาทเท่ากัน เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) ๔ กำมือ นำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยาดื่มครั้งละ ๑ ถ้วยชาจีน เช้าเย็น แก้โรคมะเร็งในมดลูก ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ



    ยาถอนพิษต่าง ๅ

    ท่านให้เอา สารส้ม ๑ ก้อน (ขนาดเท่าปลายนิ้วก้อย) นำมาตำให้ละเอียด ผสมน้ำต้มสุก ใช้รับประทาน
    มีสรรพคุณ จะทำให้เกิดการ อาเจียรถอนพิษต่าง ๆ เช่น เห็ดพิษ พิษกรดด่าง ยาพิษ เป็นต้น ให้หายไป อย่างชะงัดนักแล ฯ



    ยาแก้โรคโลหิตจาง

    ท่านให้เอา ผลมะนาวสด ผ่าซีก บีบเอาเฉพาะน้ำ นำมาผสมกับน้ำหวานและปรุงด้วยเกลือทะเล
    (เกลือใส่แกง) พอสมควร ใส่น้ำแข็ง ใช้ทานบ่อยๆ เป็นยาบำรุงโลหิต และแก้โรคโลหิตจาง
    ทำให้มีผิวพรรณผุดผ่อง มีน้ำมีนวล มีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคความดันต่ำ
    ท่านให้เอา หมูเนื้อแดง หนัก ๑ ก.ก. กับพริกไทยร่อน ๑ กระป๋องนมข้น ตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้
    นำมาบดผสมกัน ใส่โถ หรือ โหล ใส่น้ำผึ้งแท้พอท่วมยา หมกข้าวเปลือกไว้ ประมาณ ๑๕ วันขึ้นไป
    ใช้น้ำยาดองนี้ทานครั้งละ ๑ ช้อนโต๊ะ วันละครั้ง ทุกวัน เพียง ๕ วันเท่านั้น อาการป่วยโรคความดันต่ำ
    จะหายเป็นปรกติ มีสรรพคุณชะงัดนักแล ฯ


    ยาแก้โรคตาฟาง

    ท่านให้เอา ใบมะขาม ๒ กำมือ นำมาตำให้ละเอียดกับ น้ำฝน ๔ แก้ว นำมาใส่ภาชนะเคลือบ
    ใส่พิมเสน กับ เกลือทะเล ลงผสมเล็กน้อย หมักดองไว้ประมาณ ๑๐วัน แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง
    ใช้น้ำยาหยอดตา มีสรรพคุณแก้โรค ตาฟาง ตาฝ้า ตามัว ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแล ฯ



    ภาพและเรื่องจากเวบ ตำรายาหมอพร

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2015

แชร์หน้านี้

Loading...