ช้างเผือกในป่าอีสาน หลวงตาสมหมาย วัดป่าสันติกาวาส คำสอน/ประสบการณ์/วัตถุมงคล/ (ช่างชิต)

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ช่างชิต, 21 ตุลาคม 2013.

  1. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    สวัสดีครับพี่หญ้าแห้ง หายไปนานแล้วนะครับพี่ นึกว่าลืมกันละ 555
     
  2. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ...สวัสดีครับทุกท่าน หนังมหากาพย์ไตรภาค ทุนสร้างหลายแสนถ่ายทำกว่า 3 ปี 555++ บัดนี้จบลงแบบเรียบร้อยแล้วครับ ถ้าเปรียบให้เห็นภาพก็ประมาณ "The Lord" ภาคสุดท้ายที่โฟรเดอร์และสหายฮอบบิทเอาแหวนแห่งซารอนไปหย่อนลงปากภูเขาไฟเรียบร้อย ชื่นใจกันทั่วหน้าหลังจากผจญภัยและฝ่าฟันอุปสรรคตื่นเต้นพร้อมดราม่านิดๆหน่อยๆ อิอิ
    .....ขอเล่าคร่าวๆก่อนนะครับ ช่างชิตและสหายฌานกร เดินทางเมื่อคืนวันจันทร์ถึงวัดตอนเช้าวันอังคาร ตามหลวงตาไปฉันจังหันงานวัดของอาจารย์ลี(ศิษย์น้องหลวงตา)กลับมาแพคเหรียญใส่กล่องกำมะหยี่ เอาตัวอย่างเหรียญให้หลวงตาดูพร้อมอธิบายรายละเอียดการสร้างคร่าวๆ
    .......การนี้ก็มอบทองคำที่เหลือจากปั๊มเหรียญทองคำให้หลวงตา(ซื้อทอง 10 บาท ปั๊มไป 6 เหรียญ เหลือทอง 2 บาทนิดๆ)หลวงตาบอกจะเอาไปสร้างพอบเก็บอัฐิธาตุหลวงตามหาบัว อนุโมทนากับหลวงตาด้วยนะครับ
    ....หลังจากนั้นหลวงตาก็ลงมือทุบบล็อกเหรียญพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีการปั๊มซ้ำอีก แน่นอน หลวงตาบอกจะเอาบล็อกเหรียญรุ่นนี้ลงกรุหรือไม่ก็เข้าพิพิธภัณท์ของหลวงปู่
    ......การนี้ไม่เป็นการเสียกำลังใจของลูกศิษย์ที่ร่วมสร้างทุกท่าน หลวงตาก็เมตตาอธิฐานจิตให้เห็นเป็นปฐมฤกษ์เกือบ 30 นาที หลังจากนั้นช่างชิตกราบเรียนว่าจะเอากลับหลังปีใหม่ ให้หลวงตาอัดขลังๆเลยนะครับ หลวงตายิ้มตามสไตร์และตอบว่า
    .
    "จริงๆเอากลับเลยก็ได้นะเพราะที่ทำเมื่อกี้ก็ดีมากแล้ว"
    .
    ....สุดยอดไหมละครับ แต่ช่างชิตไม่เอา 555++ ขอแบบยาวไปครับ ขอแจ้งให้ทุกท่านทราบเท่านี้ก่อนเดี้ยวจะเขียนมันส์ๆให้อ่านอีกครั้ง ตอนนี้เหนื่อยมากพึ่งกลับมาถึงจันท์บุรี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2015
  3. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .....สวัสดีครับทุกท่าน คืนนี้ ช่างชิตเอารูปภาพเหรียญรุ่น ปัญญาอิทธิฤทธิ์ เนื้อพิเศษ
    ที่บรรจุลงกล่องกำมะหยี่และกล่องใส มีอะไรบ้างมาดูกันครับ
    กล่องเขียว เป็นกล่องในชุดกรรมการเจ้าภาพร่วมสร้าง
    กล่องแดง เหรียญทองคำ
    กล่องน้ำเงิน เหรียญเงิน
    กล่องใสสองหน้า เหรียญนวะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    .........สวัสดีครับ หายไปหลายวันมีธุระวุ่นไปหมดแต่มีแต่เรื่องไม่ได้ตัง วุ่นจังตังไม่มี น่าเบื่อที่สุด 555++ ตามที่สัญญากันไว้ครับว่าจะมาจัดแบบมันส์ๆอีกรอบลงรายละเอียด ก็ขอกล่าวซักหน่อยละกัน ต้องบอกว่างวดนี้ช่างชิตโดนแต่ละดอก จุกอก จุกปาก ไปหมด
    .....เรื่องของเรื่องพอแพคเหรียญเสร็จ ตอนที่เข้าไปกราบเรียนหลวงตาช่างชิตก็คุยกับท่านว่า
    .
    ชช "หลวงตาครับเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ ออยขอหลวงตาสร้าง 3 ปี วันนี้เสร็จแล้วครับ" ช่างชิตกล่าวพร้อมทำหน้าการ์ตูนญี่ปุ่นตาโตใสแววมุ้งมิ้ง
    .
    ลต "อืม ทุกข์พอไหม เหนื่อยพอไหมละ สมอยากบ่" หลวงตากล่าวพร้อมยิ้ม เสมือนที่ท่านอนุญาตให้สร้าง "เพื่อดัดนิสัยความอยากของช่างชิต"
    .
    ชช "สมครับ 555++ ก็มีลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันร่วมบุญนี้ละครับถึงแล้วเสร็จ"
    .
    ลต "ดีแล้วละ มันนานแล้ว ดีตรงไหนรู้ไหม?? ดีตรงที่มันเสร็จนี่ละจะได้ จบๆ ไป" หลวงตากล่าวแบบนี้ช่างชิตรู้เลย เพราะท่านไม่อยากให้มัวแต่วุ่นวายกับตรงนี้จน ทุกข์กาย ทุกข์ใจ พาลจะเสียเรื่องอื่นไปหมด
    .
    ....หลังจากนั้นช่างชิตก็เอาเหรียญให้หลวงตาพิจารณา พร้อมบอกหลวงตาว่า
    .
    ชช "หลวงตาครับเสกแบบ ปืนแตก เลยนะครับ ออยจะเอาไปแจกทหารด้วย"
    .
    ลต "ปืน ยิงมันก็แตกอยู่แล้ว เอานิ้วเหนี่ยวไกมันก็ ปัง....ทันที" หลวงตากล่าวพร้อมยิ้ม ทำเอาช่างชิตจุกอกไปดอกแรก
    "จะเอาไปแจกใครก็แจกโลด คนมันจะตายทำไงมันก็ตายละ เป็นไปตามกรรมเท่านั้นละคน" จุกอกไปอีกดอกสอง 555++
    .

    ลต "แล้วจะเอาไว้กี่วัน??"
    .
    ชช "ก็อยากให้อยู่กับหลวงตานานที่สุดครับหรือจนกว่าหลวงตาพอใจ"
    .
    ลต "หลังออกพรรษาก็มาเอาได้แล้ว"
    .
    ชช "นานกว่านั้นไม่ได้หราครับหลวงตา"
    .
    ลต "นานโพดเดี้ยวลืมจะหาย..(ท่านคงหมายถึงพวกเนื้อพิเศษ) ถ้าหาย คนสร้างรับผิดชอบเอาเอาเด้อ" หลวงตากล่าวแล้วก็หัวเราะ
    .
    ชช "......." จุกดอกสาม ปากบ่ออก 555++ กระนั้นก็จะเอาให้นานที่สุดนะครับบอกเลย ชอบแบบไตรมาส อิอิ

    .....หลังจากนั้นก็ขนเหรียญไปไว้กุฏิเก่าหลวงปู่ หลวงตาก็เมตตานั่งอธิฐานจิตให้เกือบครึ่งชั่วโมง จนช่างชิตที่นั่งใกล้ๆหลับ มาสะดุงตื่นตอนได้ยินเสียงหลวงตา กระแอ้ม แต่ครั้งนี้จะพิเศษ ช่างชิตสังเกตุว่างวดนี้ตอนที่หลวงตาเริ่มต้นอธิฐานจิตหลวงตามีสวดมนต์ปากพรืมพำอยู่เกือบ 10 นาที พอจบขั้นตอนนี้เสร็จ พวกเราก็พาหลวงตากลับกุฏิ ช่างชิตกับสหายฌานกรก็ขอโอกาสนวดถวายท่าน หลังจากนั้นช่างชิตก็เริ่มคุยต่อ
    .
    ชช "หลวงตาครับ หลวงตาเอาเหรียญไปไว้กุฏินู้นแล้วอย่างนี้เวลาหลวงตาจะอธิฐานจิตหลวงตาก็ต้องเดินไปกุฏินู้นทุกวันหราครับ"
    .
    ลต "ไม่ จะเดินไปทำไม จะอธิฐานก็นั่งอยู่ตรงนี้ละ ภาษาอธิฐานของ.....ไม่ต้องจับ ไม่ต้องเดินไปหรอก นั่งตรงนี้ก็ทำได้"
    .
    ชช "....." จุกดอกสี่
    .
    ลต "เดี้ยวมีสวดใหญ่ตอนไหนจะเอาเข้าไปร่วมในศาลาให้หรอก หลวงตามหาบัวท่านก็ทำแบบนี้ ฟ้าหญิงขอทำล็อกเก็ตผ้าป่าช่วยชาติ ท่านก็ไม่มานั่งจับนั่งเสกอะไร ท่านก็พาพระในวัดทำวัตรสวดมนต์ ท่านก็ทำเท่านั้น" หลวงตาคงพูดเพื่อรักษาน้ำใจช่างชิต หลังจากเห็นหน้าช่างชิตออกอาการตามประสาคนจิตหยาบ ที่จะต้องต้อง "รู้" ต้อง "เห็น" ต้องมีพิธีกรรม ถึงจะชอบใจ ลงใจ หารู้ไหมว่า จิตพระอริยะเจ้านั้น "เรื่องพิธีกรรม" แทบจะไม่มีผลอะไรเลย อยู่ที่จิตล้วนๆ.......
    .
    .......นอกเรื่องซักหน่อย สิ่งที่หลวงตากล่าวออกมานั้น เรื่องการอธิฐานจิตโดยไม่ต้อง จับต้องไปอยู่กับของ ทำให้ช่างชิตนึกถึง หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค พระเถระ อายุ 126 ปี ที่เขานิมนต์ท่านมาเสก พิธีจตุรพิธ แต่ท่านไม่มา ท่านบอกจะเดินจิตมาให้ แม้กระทั้งหลวงปู่ดู่ วัดสะแก ในพิธีจตุรพิธเดียวกันนี้ก็ตามท่านก็เดินจิตมา หรือ หลวงปู่พิศดู ศิษย์ท่านพ่อลี หลวงปู่แสง วัดป่าดงสว่างธรรม ครูบาอาจารย์รุ่นใหญ่สายเรา จริตท่านเองใครเอาของเอามาให้ท่านเมตตาให้ ท่านก็บอกไม่ต้องยกมา วางไว้ตรงไหนของกุฏิท่านก็ได้ จิตท่านครอบหมด หรือ ครูบาอาจารย์ที่ช่างชิตสัมผัสมาล่าสุด "หลวงปู่เล็ก วัดทำนบ" ผู้มีพลังจิตแก่กล้า
    ......ตามประวัติที่ศึกษามาหรือที่พี่พุธ ศิษย์อุปถากหลวงปู่เล่าให้ฟัง หลวงปู่ท่านเสก อธิฐานจิต วัตถุมงคล สมัยก่อนท่านก็ไม่จับเสียด้วยซ้ำ "แค่มอง ท่านก็ว่าเสร็จละ ใช้ได้" บางทีท่านก็ให้ยกมาดูเป็นตัวอย่างแล้วก็เอาที่ดูเป็นตัวอย่างนั้นละเอาไปวางทับกับวัตถุมงคลที่เหลือก็ "ใช้ได้" "ศักดิ์สิทธิ์" เช่นกัน..ช่างชิตก็ขอยกตัวอย่างพอเห็นภาพ นึกที่หลวงตาพูดก็ทำให้นึกถึง หลายเรื่องที่เคยได้ยินและเรื่องที่ยกตัวอย่างไว้ข้างต้น....
    .....อย่างว่าละครับ จริตพระอริยะเจ้ากับจริตปุถุชนธรรมดา ที่ยัง กิน ขี้ .... นอน ยังยึดยึดถืออะไรที่มองเห็นหรือจับต้องด้วยของ"หยาบ"อยู่ ตา จมูก ลิ้น หู ผิวสัมผัส ล้วนเป็นสิ่งที่ปุถุชนอย่างเราๆหรือช่างชิตเองยัง "ลุ่มหลง ยึดติดกับมัน" ไม่ใช่จิตที่ข้ามขั้นตรงนี้ไปแล้วแบบครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมา
    ......ฉะนั้น เมื่อเห็นเมื่อสัมผัสได้ ก็จะ ปิติ เกิดกำลังใจ มีแรงพลังขับเคลื่อนด้านบวกภายในใจ ซึ่งตรงนี้มีคงมีผลสำคัญอยู่ไม่น้อย ครูบาอาจารย์พระอริยะเจ้าที่ "จิตถึงขั้นแล้ว" ท่านถึงเมตตาจับๆเสกๆของ ให้พวก เราๆ ท่านๆได้ ปิติ ดีอกดีใจกัน พอเราดีใจปลื้มในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ทำให้ ก็จะไม่กล้าไปทำเรื่องไม่ดี ทำในสิ่งที่ท่านไม่ได้สอน สุดท้ายบางคนเมื่อปฏิบัติมากๆ อินทรีย์แก่กล้า ก็จะก้าวผ่านพวกวัตถุสิ่งของไปได้เอง
    .......การที่ท่านเมตตาเราๆแบบนั้น แม้จริงๆแล้วท่านเหล่านั้นไม่ต้องทำแบบนั้นเลยก็ได้เพราะ "จิต" ของท่านได้ฝึกฝนจนมีพลังงานครอบคลุมในทั่วทั้งแดนสามโลกธาตุ (เหมือนที่หลวงตามหาบัวท่านกล่าวไว้ว่า "จิต สำคัญนะมีอานุภาพยิ่งใหญ่คับสามแดนโลกธาตุ ให้พากันฝึกจิต โดยเริ่มจาก พุทโธ อย่าพากันลืม พุทโธ ") ล้วนเป็นกุศโลบายให้คนที่ยังอินทรีย์อ่อนไม่ให้หลงไปทางที่ผิด ยังยึดยังอิงกับพระพุทธศาสนาอยู่ นี้ละครับ "เมตตาธรรมค้ำจุนโลก"
    .
    ....เอากับมาเข้าเรื่องเราดีกว่าจะจบละ แล้วพอใกล้ถึงเวลาที่หลวงตาจะต้องเดินทางไปกิจนิมนต์ที่กรุงเทพต่อ ช่างชิตก็กราบเรียนท่านว่า
    .
    ชช "หลวงตาหลังปีใหม่ออยค่อยจะมาเอานะครับ ให้หลวงตาอัดขลังๆเลย"
    .
    "จริงๆเอากลับเลยก็ได้นะเพราะที่ทำเมื่อกี้ก็ดีมากแล้ว" หลวงตายิ้มแล้วตอบ
    .
    ชช "ไม่ดีกว่าครับ อยากให้อยู่กับหลวงตานานๆ 5555" หลังจากโดนจุกอกมาหลายดอก งวดนี้หน้ามึน ขอสู้ต่อ 555++
    "หลวงตาครับ ออยอยากสร้างหนังสือถวายหลวงตาอะครับ" ยังพูดไม่ทันจบ หลวงตาก็พูดดักออกมาทันทีว่า
    .
    ลต "ที่ผ่านมายัง "ทุกข์" ไม่พอติ ไม่ต้องสร้างอยากสร้างหลวงตาให้สร้าง พุทโธ นะ กลับไปสร้าง พุทโธ"
    .
    ชช "......" จุกอกดอกห้า 555++
    .
    ลต "หนังสืออยากทำค่อยมาร่วมบุญหนังสือชีวประวัติหลวงปู่เอา หลวงตาจะสร้างแจกปีหน้า" หลวงตาออกหมัดอีกชุด เหมือนปาเกียวต่อยเลี้ยงคนดู หลังจากออกหมัดเด็ดซัดปลายคาง(กิเลส)ช่างชิตจนน็อคนับ 8 ไป 5555++ น็อคได้แต่ไม่ยอมน็อค เดี้ยวลูกศิษย์ขี้ดื้ออินทรีย์อ่อนคนนี้จะแกว่ง กำลังใจตกเอาอีก ท่านเลยต้องซัดบ้าง(เวลาหน้ามึน)ประคองบ้าง
    .....
    ...ก็เอามาเล่าสู่กันฟังครับ เรื่อง การอธิฐานจิต บางคนอาจมีอคติมองว่า ช่างชิตเขียนอวยครูบาอาจารย์ตัวเองเกินไปหรือเปล่า.... ยกไปเทียบกับครูบาอาจารย์รุ่นเก่าหรือองค์อื่น (แล้วจะทำไปเพื่ออะไร..ไม่มีผลประโยชน์จากตรงนี้....) ก็สุดแล้วแต่จะคิดละครับ
    .....ช่างชิตเขียนตามที่สัมผัสมาจริงและเอามาวิเคราะห์กับข้อมูลที่มีอยู่ถ่ายทอดออกมาเท่านั้น "ของจริงยังไงก็ของจริง" หลวงตาทำมาแล้วกว่า 55 ปี ตั้งแต่บวชเป็นสามเณร ช่างชิตเองมาเขียนเรื่องหลวงตาแค่ 3 ปี ถ้าหลวงตาไม่ใช่ "ของจริง" เขียนเชียร์ให้ตาย ก็ไม่ได้ผลหรอกครับหรือต่อให้มีผลยังไง วันหนึ่งมันก็จะปรากฏผลในทางตรงกันข้ามเอง ให้คอยดูกันเถอะ
    ......แต่ถ้า "ไม่ใช่" แบบนั้น พอกาลเวลาผ่านไป "บารมีท่านเต็มจนล้นวันไหน" คนจะวิ่งเข้าหาท่านทุกสารทิศอย่างแน่นอน ช่างชิตฟันธงเลยครับว่าไม่เกิน 10 ปีข้างหน้านี้หรอก
    .......กระนั้นทุกวันนี้ ก็ยังไม่ได้เห็นหลวงตาได้หยุดพักเลยจริงๆ......
    ...................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(28)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรรษาที่ 37
    (พ.ศ. 2515 จำพรรษาที่ตึกมหิดลวรานุสรณ์ ชั้น 2 ห้อง 16 โรงพยาบาลศิริราช กรุงเทพฯ)
    .
    เมื่อหลวงปู่ย้ายมาอยู่ชั้น 2 ห้อง 16 อาการของหลวงปู่ดีขึ้น ไม่มีไข้ แต่ยังมีสะอึก ขาก็ยังถ่วงด้วยลูกตุ้มทั้งสองข้าง หนักข้างละ 10 กก. หลวงปู่ต้องนอนถ่ายนอนฉัน อยู่บนเตียง เพราะลุกนั่งยังไม่ได้ เมื่อถึงวันเข้าพรรษา หลวงปู่เป็นพระอาพาธ ผู้เขียนเป็นพระอุปัฏฐาก ได้อธิษฐานจำพรรษา กำหนดเอาในบริเวณห้องผู้ป่วยนั้นเองเป็นเขตจำพรรษา อาจารย์หมอโรจน์ สุวรรณสุทธิ ได้ปวารณาให้ผู้เขียนผู้เป็นพระเฝ้าไข้หลวงปู่ไปรับบิณฑบาตที่บ้านของท่านที่วังหลัง นับแต่วันแรกที่หลวงปู่เข้าโรงพยาบาลจนถึงวันกลับจากโรงพยาบาล นับว่าท่านเป็นผู้มีศรัทธาแก่กล้า พร้อมทั้งครอบครัวของท่าน
    .
    ในพรรษานี้ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม พร้อมทั้งพระลูกศิษย์ที่อุปัฏฐากท่าน ก็ได้จำพรรษาที่โรงพยาบาลศิริราชเหมือนกัน แต่หลวงปู่ชอบอยู่ตึก 72 ปี ตอนเช้าพระอุปัฏฐากท่านก็ไปรับบิณฑบาตที่บ้านอาจารย์หมอโรจน์เหมือนกัน หลวงปู่ชอบท่านมีอุปัฏฐากอยู่ 3 องค์ คือ ท่านอาจารย์บัวคำ มหาวีโร (มรณภาพแล้ว), ท่านอาจารย์ขันตี ญาณวโร และสามเณรนงคาร ส่วนหลวงปู่บุญจันทร์ มีผู้เขียนองค์เดียวเป็นพระอุปัฏฐาก และมีโยม 1 คน คือ พ่อมูล ทัพพิลา ซึ่งเป็นน้องชายของหลวงปู่
    .
    เนื่องจากหลวงปู่ไม่ให้หมอผู้หญิง พยาบาลผู้หญิง ฉีดยา และจับชีพจร ในขณะนั้นคุณหมอโรจน์รุ่ง สุวรรณสุทธิ ซึ่งเป็นลูกชายของอาจารย์หมอโรจน์ ยังเป็นนักศึกษาแพทย์ อาจารย์หมอโรจน์จึงให้มาช่วยวัดปรอท จับชีพจรให้หลวงปู่อยู่เรื่อยๆ
    .
    การเฝ้าอุปัฏฐากหลวงปู่
    .
    ตีห้าใกล้สว่าง ถวายการเช็ดหน้าเช็ดตัวให้หลวงปู่ หกโมงเช้าให้โยมเฝ้าหลวงปู่ ผู้เขียนไปรับบิณฑบาตที่บ้านอาจารย์หมอโรจน์ แล้วกลับมา บางวันผู้ป่วยตามห้องต่างๆอยากจะใส่บาตร มีญาติคอยนิมนต์ให้เข้าไปรับบิณฑบาตในห้องผู้ป่วยด้วย ก็เข้าไปรับให้ผู้ป่วยได้ทำบุญใส่บาตร พอกลับมาถึงห้อง ได้เวลาฉัน จัดอาหารที่หลวงปู่ฉันได้ เช่น ข้าวต้มหรือโจ๊กถวาย หลวงปู่ฉันเองไม่ได้ หมุนเตียงขึ้นนิดหน่อยแล้วก็ตักอาหารป้อนท่าน เมื่ออิ่มพอท่านก็บอกให้หยุด นำน้ำถวายให้ดูด เสร็จแล้วนำไม้ถูฟันชำระฟันให้ท่าน ถวายน้ำบ้วนปาก แล้วก็นำยาที่พยาบาลเอามาให้ ถวายให้ท่านฉัน บางวันท่านก็ไม่อยากฉัน เพราะยารักษาหลายโรครวมกันแล้วเยอะ ต้องคอยคะยั้นคะยอให้ท่านฉัน
    .
    เสร็จแล้วให้โยมนั่งเฝ้าท่าน ตัวเองจัดอาหารฉัน ฉันเสร็จมานั่งเฝ้าหลวงปู่ ให้โยมทานข้าว เก็บสัมภาระ กลางคืนกลางวันต้องสับเปลี่ยนกันเฝ้าอยู่อย่างนั้น ถึงวันปาฏิโมกข์ ให้โยมเฝ้าหลวงปู่ ผู้เขียนก็ไปลงปาฏิโมกข์ที่วัดบุรณะศิริ ซึ่งอยู่ติดกับกระทรวงยุติธรรม สนามหลวง กลับมาถึงห้องพัก ก็ให้หลวงปู่ท่านบอกบริสุทธิ์ในท่านอนอยู่บนเตียงนั้นเอง ถึงวันโกนก็ถวายการโกนผมท่านในท่านอนอยู่บนเตียง
    .
    ไม่ยอมให้ผ่าตัดครั้งที่ 2
    .
    หลังจากหมอผ่าตัดหลวงปู่แล้ว ถวายการรักษาด้วยการให้ยาฉันและฉีดยาเพื่อจะให้กระดูกงอกขึ้นมาแทนกระดูกที่เสีย เมื่อหายแล้วหลวงปู่จะนั่งพับขาได้
    .
    การรักษาผ่านไปได้หนึ่งเดือน หมอนำหลวงปู่ไปเอกซเรย์ ผลปรากฏว่ากระดูกข้อโคนขาไม่งอกตามที่ต้องการ อาจารย์หมอนทีจึงให้อาจารย์หมอชวดี รัตพงษ์ กราบเรียนหลวงปู่ว่า จะต้องผ่าใหม่ แล้วเอากระดูกเข้าชนกัน เมื่อหายแล้ว หลวงปู่จะเดินได้ แต่นั่งพับขาไม่ได้ พออาจารย์หมอชวดีกราบเรียน หลวงปู่จึงบอกว่า "เอาละ คุณหมอ แต่แค่นี้ก็เต็มทีแล้ว ถ้าจะผ่าอีกครั้งที่สอง อาตมาไม่เอาด้วยแหละ มันจะเป็นอย่างไรก็ให้มันเป็นไปตามเรื่องของสังขารเสีย" อาจารย์หมอนทีบอกว่า "ถ้าอย่างนั้น ลองเพิ่มยาฉีดดูสัก 7 วัน ถ้ากระดูกไม่งอกจะต้องผ่าตัดแน่ๆ ถ้าไม่ทำใหม่ท่านก็จะเดินไม่ได้" หมอให้เพิ่มยาฉีดครบเจ็ดวันแล้วนำหลวงปู่ไปเอกซเรย์ ผลปรากฏว่ากระดูกได้งอกตามความต้องการ หมอดีใจมาก จึงกราบเรียนว่า "ท่านอาจารย์ไม่ได้ผ่าตัดอีกหรอก เพราะกระดูกงอกแล้ว"
    .
    ศ.นพ. อุดม โปษะกฤษณะ เรียนถามหลวงปู่
    .
    อาจารย์หมออุดมได้เข้ามาเยี่ยมหลวงปู่ในห้อง และเรียนถามหลวงปู่ว่า "ท่านอาจารย์ไม่สบาย มีทุกขเวทนามากอย่างนี้ ท่านอาจารย์อยู่อย่างไร" หลวงปู่ตอบว่า "เวทนาก็ต่างหาก จิตก็ต่างหาก จิตไม่มีในเวทนา เวทนาไม่มีในจิต" เมื่ออาจารย์หมออุดมได้ฟังอย่างนั้นจึงปวารณาตัวรับใช้หลวงปู่ ถ้าหลวงปู่มีขาดอะไรก็ให้บอกได้ แล้วจึงลาหลวงปู่กลับไป
    .
    แม่ชีเข้ามาเยี่ยม
    .
    ได้มีพวกแม่ชีที่อยู่วัดในกรุงเทพฯ เข้ามาเยี่ยมอาการอาพาธหลวงปู่ และเรียนถามหลวงปู่ว่า "ท่านอาจารย์ไม่สบายอย่างนี้ ท่านดูอะไร" หลวงปู่ตอบว่า "ทุกข์มันแสดงอยู่อย่างนี้จะไปดูอะไร ก็ดูทุกข์นั้นแหละ"
    .
    อาการดีขึ้นเรื่อยๆ
    .
    นับแต่หมอได้ตรวจพบว่า กระดูกสะโพกหลวงปู่งอกตามความต้องการของหมอ หลวงปู่ดีขึ้นเรื่อยๆ อาการสะอึกก็หาย ไข้ก็ไม่มี ฉันอาหารก็ได้ แต่ยังป้อนอยู่ เพราะมือหลวงปู่ไม่มีแรง หมอได้ให้หลวงปู่ฝึกออกแรง โดยเอากระสอบทรายเล็กๆให้ฝึกยก โดยเอากระสอบทรายวางที่ข้อเท้าแล้วให้ยกขาขึ้นลง และให้เอามือจับถุงทรายแล้วยกขึ้นลง ในที่สุดก็มีกำลังขึ้น หลวงปู่ลุกขึ้นนั่งได้ และจับช้อนตักอาหารเองได้
    .
    เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ 29 กันยายน 2515 หลวงปู่เริ่มใช้ไม้เท้าค้ำรักแร้หัดเดิน มีกำลังแข็งแรงขึ้นทุกวัน
    .
    มีอาการแทรกซ้อนทางตาซ้าย
    .
    ในขณะที่โรคที่มีในกระดูกดีขึ้น แต่หลวงปู่มีอาการทางตา หลวงปู่บอกให้หมอทราบว่า มีอาการปวดศีรษะข้างซ้าย และตาข้างซ้ายมองไปมีสีแดงสีเขียว มีหลายสีเหมือนกับรุ้ง หมอบอกว่า คงจะเป็นเพราะฉันยารักษาวัณโรคกระดูก โรคตากำเริบขึ้นเรื่อยๆ แต่หมอก็ไม่ได้ให้จักษุแพทย์ตรวจหลวงปู่
    .
    ปวารณาออกพรรษาในห้องผู้ป่วย
    .
    ถึงวันปวารณาออกพรรษา หลวงปู่กับผู้เขียนได้ทำพิธีปวารณาออกพรรษาตามพระวินัยบัญญัติ ในห้องผู้ป่วยที่ได้อธิษฐานจำพรรษานั้นเอง
    .
    เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ชอบ ฐานสโม และลูกศิษย์ก็เดินทางกลับ จ.เลย ขณะที่พระอาจารย์คำผอง กุสลธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์ผู้ใหญ่ของหลวงปู่ชอบ และได้สัตตาหะมาเยี่ยมอาการอาพาธระหว่างพรรษาบ่อยๆ ได้เดินทางจากวัดป่าผาแด่น อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ลงมาเยี่ยมหลวงปู่ชอบ แต่มาไม่ทัน ท่านกลับไปก่อนแล้ว กลายเป็นว่าพระอาจารย์คำผองเกิดอาพาธปอดบวม ต้องนอนโรงพยาบาลแทนหลวงปู่ชอบล
    .
    หมออนุญาตให้เดินทางกลับ
    .
    หมอให้หลวงปู่พักฟื้นอยู่จนถึงเดือนธันวาคม 2515 เมื่อเห็นว่าหลวงปู่แข็งแรงขึ้น แผลผ่าตัดก็หาย หมอจึงอนุญาตให้หลวงปู่กลับได้ในวันที่ 23 ธันวาคม 2515
    .
    ท่านพระอาจารย์มหาบัวมาเยี่ยม
    .
    เมื่อท่านพระอาจารย์มหาบัวทราบว่าหลวงปู่ดีขึ้น และหมออนุญาตให้กลับได้ ท่านจึงไปเยี่ยมหลวงปู่ในห้องผู้ป่วย และท่านได้ปรารภว่า "เราเป็นผู้ส่งท่านบุญจันทร์มารักษา และได้มอบให้หมอเป็นผู้ดูแลรักษา เราคอยฟังช่าวจากหมอเป็นระยะๆอยู่ เราจึงไม่มารบกวน เมื่อทราบว่าอาการป่วยดีขึ้น และหมออนุญาตให้กลับได้แล้ว เราจึงมาเยี่ยมดู เราเป็นผู้ส่งท่านมา เราจะเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาทั้งหมด ทั้งค่าห้อง ค่ายา ให้ทางโรงพยาบาลคิดรวบรวมดูซิเป็นราคาเท่าไร อาจารย์จะเป็นผู้จ่ายให้" ในขณะนั้นอาจารย์หมอชวดีก็อยู่ที่นั้นด้วย จึงได้ติดต่อเคาน์เตอร์พยาบาล
    .
    ในระยะที่รอฟังผลค่าใช้จ่ายอยู่นั้น ได้มีพวกญาติโยมที่มาถวายอาหารตอนเช้ายังไม่กลับอยู่หลายคน ได้พากันกราบเรียนท่านพระอาจารย์มหาบัวว่า "จะร่วมทำบุญช่วยค่าใช้จ่ายในการรักษาท่านอาจารย์บุญจันทร์ด้วย" ท่านพระอาจารย์มหาบัวจึงปรารภธรรมะ ให้เป็นเครื่องรื่นเริงแก่พวกโยมว่า "พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดอยากปฏิบัติเราตถาคต ก็๗งปฏิบัติภิกษุไข้เถิด ผู้ใดปฏิบัติพยาบาลภิกษุไข้ ผู้นั้นเท่ากับว่าได้ปฏิบัติอุปัฏฐากเราตถาคต ดังนี้" ธรรมะได้ชะโลมจิตใจของผู้ฟังอยู่ขณะนั้น ทำให้เกิดปีติ พวกญาติโยมถึงกับน้ำตาไหล รวมทั้งผู้เขียนด้วย ไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ในขณะนั้นมันหากเป็นธรรมชาติของมัน ในจิตนี้มันนิ่มนวล มันอ่อนโยน มันอิ่ม มันซาบซึ้งในเมตตาธรรมของครูบาอาจารย์ที่ท่านมีต่อหลวงปู่ และมีความอิ่มเอิบในการที่ได้ปฏิบัติอุปัฏฐากหลวงปู่
    .
    คุณหมอชวดีกลับมากราบเรียนให้ท่านพระอาจารย์มหาบัวทราบว่า "สำหรับค่าหมอที่รักษาท่านอาจารย์บุญจันทร์ อาจารย์หมอนทีขอยกถวายทั้งหมด ไม่คิดค่ารักษา สำหรับค่าห้องค่าอาหารของโรงพยาบาล ที่ท่านอาจารย์บุญจันทร์เข้ารับการรักษาเป็นเวลา 6 เดือน ทางโรงพยาบาลไม่คิด ขอยกถวายทั้งหมด" ท่านพระอาจารย์มหาบัวจึงกล่าวขออนุโมทนาในส่วนกุศลในครั้งนี้ด้วย เมื่อท่านทราบว่าทุกอย่างเรียบร้อยไปด้วยดีแล้ว ท่านจึงกลับไปพักที่วัดบวรนิเวศ
    .
    ไปบรรยายธรรมที่ห้องประชุมแพทย์ ตึก 72 ปี
    .
    อาจารย์หมอโรจน์ สุวรรณสุทธิ ได้กราบนิมนต์ให้หลวงปู่บรรยายธรรม ที่ห้องประชุมแพทย์ ตึก 72 ปี โรงพยาบาลศิริราช ก่อนที่จะถึงวันเดินทางกลับ หลวงปู่ได้บรรยายธรรมในเรื่องการพิจารณากาย มีความโดยย่อว่า "คณะแพทย์ได้ศึกษาเรื่องกายภายนอกจนชำนาญอยู่แล้วเฃ่นการผ่าตัด การรักษาคนป่วยคนไข้ เห็นอยู่ทุกวัน ดูอยู่ทุกวัน แต่ยังขาดการน้อมเข้ามาดูกายของตน ทีนี้ให้น้อมเข้ามาดูกายของตน ในร่างกายนี้ประกอบด้วยอาการ 32 มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ประชุมกันอยู่ กายคนอื่นก็เหมือนกัน กายของเราก็เหมือนกัน ส่วนที่เป็นธาตุดิน ก็นับแต่ผม, ขน, เล็บ, ฟัน, หนัง, เนื้อ, เอ็น, กระดูก, ตับ, ไต, ปอด, ไส้น้อย, ไส้ใหญ่, อาหารใหม่, อาหารเก่า นี้เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำได้แก่ น้ำดี, น้ำเสลด, น้ำเหลือง, น้ำเลือด จนถึงน้ำมูก, น้ำมูตร นี้เป็นธาตุน้ำ พิจารณาให้เห็นเป็นของเน่าเปื่อย ไม่สวยไม่งาม เห็นภายนอกให้น้อมเข้ามาพิจารณาในกายของเรา เมื่อเห็นในกายของเราตามเป็นจริงแล้ว ใจก็จะไม่หลงยึดหลงติด จึงจะไม่วุ่นวายเดือดร้อนเพราะหลงกาย" นี้เป็นธรรมที่หลวงปู่ได้บรรยายในห้องประชุมแพทย์ ตึก 72 ปี โรงพยาบาลศิริราช
    .
    เดินทางกลับจากโรงพยาบาลศิริราช
    .
    วันที่ 23 ธันวาคม 2515 หลังจากฉันเช้าเสร็จ ได้เก็บสัมภาระสิ่งของ ร่ำลาพยาบาลที่ให้การดูแลหลวงปู่ หลวงปู่ได้มอบปัจจัยที่ญาติโยมได้ถวายไว้เวลามาเยี่ยมป่วย ให้สำหรับซื้อเครื่องมือแพทย์ เป็นจำนวนเงิน 25,000 บาท หลวงปู่นั่งรถเข็นของโรงพยาบาล มีอาจารย์หมอโรจน์ สุวรรณสุทธิ และภรรยาอาจารย์หมอนที และญาติโยมที่มีความเลื่อมใสในหลวงปู่ ได้ตามส่งหลวงปู่ถึงประตูเข้าตึกผู้ป่วย คุณธเนศ (กิมก่าย) เอียสกุล รับภาระในการส่งหลวงปู่กลับวัด ได้ให้คนขับรถนำรถมาคอยรับที่ประตูเข้าตึกผู้ป่วย ด้านริมแม่น้ำเจ้าพระยา หลวงปู่ขึ้นนั่งรถ มีผู้เขียนกับพ่อมูล ทัพพิลา นั่งข้างหลัง ญาติโยมที่ตามส่งหลวงปู่กราบลา รถออกจากโรงพยาบาลศิริราชเวลา 9.30 น. ถึงวัดป่าสันติกาวาส เวลา 17.00 น. หลวงปู่จากวัดไปเป็นเวลา 6 เดือน พวกญาติโยมทราบว่าหลวงปู่จะกลับวัด ได้มาชุมนุมคอยรับหลวงปู่ที่วัดเป็นจำนวนมาก
    .
    พึ่งบุญญาบารมีของพ่อแม่ครูบาอาจารย์
    .
    การที่หลวงปู่อาพาธในครั้งนี้ นับว่าเป็นการอาพาธครั้งใหญ่หลวง เกือบจะเป็นครั้งสุดท้ายก็ว่าได้ แต่ด้วยบารมีแห่งเมตตาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ คือท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านได้ช่วยเหลือทั้งภายนอกและภายใน ภายนอก ท่านได้ช่วยเรื่องการติดต่อฝากฝังกับหมอให้ดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ทั้งการเดินทางไปและกลับ และค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งญาติโยมที่ให้ความอุปการะในปัจจัยสี่ ก็ล้วนเป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านทั้งนั้น ภายใน คือเรื่องธรรมที่หลวงปู่มีความเคารพในองค์ท่านเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ยอมไปรักษาตามคำสั่งของท่าน เพราะหลวงปู่ได้เล่าให้ฟัง หลังจากกลับจากโรงพยาบาลมาถึงวัดแล้วว่า "การป่วยครั้งนี้ เราได้เตรียมปล่อยวางทั้งหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ครูจารย์บ้านตาดสั่งแล้ว เราไม่ไปเลย" หลวงปู่ได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้ศิษย์ได้พึ่งพาอาศัยต่อมาอีกเป็นเวลาถึง 23 ปี จึงได้ละขันธ์ไป
    .
    ในคราวที่ผู้เขียนเฝ้าไข้หลวงปู่อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราชนั้น เดือนที่ 1 ผ่านไป พอเดือนที่ 2 ผู้เขียนเกิดความคิดวุ่นวายเร่าร้อนในใจว่า "เราเคยอยู่ป่าอยู่ในที่สงบ พอไปอยู่ในที่วุ่นวาย เกิดไม่สบายตา มองเห็นคนเดินวุ่นวายไปมาในโรงพยาบาลก็เร่าร้อนในใจ หูได้ยินเสียงทั้งคืนทั้งวันก็เร่าร้อน จะทำอย่างไร ถ้าเราจะหนีกลับวัดก็ไม่มีใครเปลี่ยน ถ้าอยู่อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ไปก็เร่าร้อน" อยู่มาวันหนึ่งขณะที่เคลิ้มหลับไป จึงนิมิตฝันว่า ขึ้นไปกราบท่านพระอาจารย์มหาบัวที่ศาลาวัดป่าบ้านตาด พอกราบเสร็จท่านก็ชี้นิ้วมือมาที่หน้าผู้เขียน พร้อมกับพูดว่า "สติกับจิตให้มันห่างกันทำไม" พอได้ยินอย่างนั้น ปรากฏว่าในใจของเราเบาเย็นสบายไปหมด พอรู้สึกตัวขึ้น ความเร่าร้อนกระวนกระวายในใจได้หายไปหมด จึงได้ความว่า "เราเผลอสติ เมื่อตาเห็นก็ส่งจิตไปสำคัญมั่นหมาย หูได้ยินก็ส่งไป จึงวุ่นวายเร่าร้อน เมื่อมีสติเป็นคู่ของจิตอยู่ ความเราร้อนจึงหายไป เพราะจิตไม่ส่งไปตามสิ่งที่กระทบนั้น"
    .
    อีกครั้งหนึ่งผู้เขียนมีความกลัวในท่านพระอาจารย์มหาบัวมาก กลัวท่านจนเป็นทุกข์ กลัวว่าบางทีท่านมาเยี่ยมหลวงปู่ เราจะทำอย่างไรจึงจะถูก จึงจะไม่ผิด แล้วก็กลัวอยู่นั้นแหละ จนเป็นความทุกข์เร่าร้อนในใจ พออยู่มาวันหนึ่งขณะเคลิ้มหลับไป ก็นิมิตฝันว่า เข้าไปกราบท่านอีก ท่านเอามือชี้หน้าพร้อมกับพูดว่า "เข้าใจว่าครูบาอาจารย์เป็นเสือหรือ กลัวอะไรไม่มีเหตุผล" พอได้ยินอย่างนั้นจึงโล่งในใจ และรู้สึกตัวขึ้น จึงเข้าใจว่า เราไม่มีเหตุมีผล จากนั้นมาจึงหายเป็นทุกข์เร่าร้อน ผู้เขียนซาบซึ้งในบารมีธรรมและเมตตาธรรมของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นล้นพ้นหาประมาณมิได้
    .
    ท่านพระอาจารย์มหาบัวมาเยี่ยมที่วัด
    .
    หลังจากหลวงปู่กลับมาพักฟื้นอยู่ที่วัดไม่นาน ท่านพระอาจารย์มหาบัวได้มาเยี่ยมที่วัดอีก ในขณะนั้นหลวงปู่ยังนั่งเก้าอี้อยู่ เพราะนั่งราบธรรมดายังไม่สะดวก เมื่อหลวงปู่เห็นท่านพระอาจารย์ใหญ่เข้ามาในกุฏิ จึงพยายามจะลงจากเก้าอี้ ท่านจึงบอกว่า "ไม่ต้องลงหรอก ให้นั่งตามสบายคนป่วย" หลวงปู่กราบเรียนท่านพระอาจารย์มหาบัวว่า "ในขณะที่ป่วยอยู่โรงพยาบาลศิริราช พวกหมอผู้หญิงและพยาบาลผู้หญิงจะมาเจาะเลือดมาฉีดยา เกล้ากระผมไม่ยอมให้เจาะเลือดฉีดยา ขอให้หาหมอหรือพยาบาลผู้ชายมาทำให้ บางทีเขาก็แสดงกิริยาอาการไม่พอใจ" ท่านพระอาจารย์มหาบัวจึงพูดว่า "ที่ไหนมันถูกมันตรง ให้ยิงเข้าไปที่นั้นเลย ถ้ามันไม่ทะลุ เอาสิ่วเอาขวานช่วยเจาะช่วยฟันเข้าไป จนมันทะลุไปเลย ไม่ต้องหวั่นไหว" ท่านเยี่ยมหลวงปู่อยู่ครู่หนึ่งแล้วท่านพูดว่า "จะกลับแล้วนะ ไม่ทรมานคนป่วยหรอก" แล้วท่านก็กลับไป
    .
    ศ.นพ. โรจน์ สุวรรณสุทธิ ตามมาเยี่ยมหลวงปู่ที่วัด
    .
    ต้นเดือนมีนาคม 2516 อาจารย์หมอโรจน์มาเยี่ยมหลวงปู่ที่วัด ขณะนั้นตาข้างซ้ายของหลวงปู่ไม่สามารถมองเห็นอะไรแล้ว อาจารย์หมอจึงนิมนต์หลวงปู่ไปตรวจที่โรงพยาบาลอุดรธานี ปรากฏว่าตาหลวงปู่เป็นต้อหิน อาจารย์หมอจึงนิมนต์ให้หลวงปู่ลงกรุงเทพฯ ไปรักษาตาที่โรงพยาบาลศิริราช
    .
    วันที่ 17 มีนาคม 2516 หลวงปู่เดินทางโดยรถไฟลงกรุงเทพฯ ผู้เขียนติดตามไปด้วย หลวงปู่เข้าพักที่ตึกพลอย จาตุรจินดา โรงพยาบาลศิริราช อาจารย์หมอบรรจงศักดิ์เป็นผู้รักษาตาของหลวงปู่ พักรักษาอยู่ 22 วัน จึงได้เดินทางกลับวัด การรักษาตาซ้ายไม่สามารถทำอะไรได้ เป็นอันว่าตาซ้ายหลวงปู่เสียมองไม่เห็น รักษาไว้ได้เฉพาะตาข้างขวา ยังมองเห็นข้างเดียว
    .
    หลวงปู่แสดงเรื่องบุพกรรมให้ฟังว่า "นี้แหละกรรมที่เคยได้นิมิตว่าไปดูเขาชนไก่ เมื่อไก่ตัวที่เขาสับตาแตกแล้วมองมาหาเรา เหมือนเราเป็นเจ้าของมัน กรรมที่มีความยินดีไปดูกับเขานั้นแหละตามให้ผล ทำให้ตาของเราเสียมองไม่เห็น เป็นกรรมในอดีตชาติตามให้ผล ส่วนกรรมที่ถูกผ่าตัดที่ขาขวานั้น เป็นกรรมในปัจจุบัน คือ ตอนเป็นเด็กเลี้ยงวัวมีวัวตัวเมียตัวหนึ่ง เวลาต้อนวัวกลับเข้าคอก เวลามาถึงบ้านมันไม่เข้าคอก มันวิ่งเลยไปเข้าสวนหม่อนชาวบ้านเขา เขาก็ว่าให้ อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่ไปเลี้ยงวัว ได้ถือเสียมไปด้วย เวลาต้อนวัวกลับเข้าคอก วัวตัวนั้นก็วิ่งเลยไปเข้าสวนหม่อนเขาอีก ด้วยความโกรธจึงซัดเสียมใส่ขาวัวถูกเส้นเลือดมันขาด ได้รับทุกขเวทนาอยู่นาน นี้แหละ กรรมอันนั้นตามให้ผลจึงได้รับทุกข์ทรมานเช่นเดียวกัน"
    .
    อกตํ ทุกฺขตํ เสยฺโย ความชั่วไม่ทำเสียเลยดีกว่า

    .
    หลวงปู่สอนว่า การทำสิ่งที่เป็นบาปเรียกว่า กรรมชั่ว การโกรธกัน ชังกัน เบียดเบียนกัน เป็นสิ่งไม่ดีเลย ให้รักกันดีกว่าชังกัน ทำความดีดีกว่าทำความชั่ว เมื่อเราทำกรรมดีหรือกรรมชั่ว เราจะเป็นผู้ได้รับผลของกรรมนั้นไม่ต้องสงสัย
    .
    พระอาจารย์คำ สุมงฺคโล มรณภาพ
    .
    เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2516 ท่านพระอาจารย์คำ สุมงฺคโล ซึ่งเคยเป็นสหธรรมิก จำพรรษาร่วมกันกับหลวงปู่ ในคราวที่อยู่จังหวัดอุบลราชธานี ได้ถึงแก่มรณภาพในขณะที่ท่านมีอายุเพียง 59 ปี หลวงปู่ไม่สามารถที่จะไปร่วมในงานถวายเพลิงศพได้ เพราะหลวงปู่ก็ยังไม่แข็งแรง ท่านจึงให้ผู้เขียนเป็นตัวแทนไปร่วมในงานถวายเพลิงศพท่านพระอาจารย์คำ สุมงฺคโล ที่บ้านเศรษฐี อำเภอม่วงสามสิบ จังหวัดอุบลราชธานี
    .
    รูป
    หลวงปู่กับหลวงตาที่โรงพยาบาล 2515
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(29)..........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 38 (พ.ศ. 2516 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในพรรษานี้หลวงปู่เดินไปบิณฑบาตที่สำนักชีได้แล้ว และนั่งขัดสมาธิ นั่งไหว้พระสวดมนต์ได้แล้ว แต่การอบรมญาติโยม การนำพานั่งสมาธิภาวนานั้น รู้สึกว่าจะผ่อนลง เพราะท่านก็มีกำลังอ่อนลงมาก ถ้านั่งนานเดินนานจะมีปฏิกิริยาที่ขาที่ผ่าตัด เพราะฉะนั้น การเดินจงกรมของท่านก็จะไม่ได้นาน จะรู้สึกเสียวที่โคนขาที่ผ่าตัด
    .
    ศ.นพ. โรจน์ สุวรรณสุทธิ นิมนต์ลงกรุงเทพฯ เพื่อตรวจตาและขา.
    เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2517 หลวงปู่ลงกรุงเทพฯ ตามคำนิมนต์ของอาจารย์หมอโรจน์ เพื่อให้หมอตรวจอาการของตาและขาที่ผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้ติดตามหลวงปู่ไปด้วย เดินทางโดยรถไฟถึงกรุงเทพฯ แล้วพักที่วัดบวรนิเวศวิหาร บางลำพู หลวงปู่เข้ากราบนมัสการสมเด็จพระญาณสังวร (สมณศักดิ์ในขณะนั้น ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก) ที่ตำหนักคอยท่าปราโมช พอหลวงปู่จะกราบ สมเด็จฯท่านถามว่า "ท่านอาจารย์ได้กี่พรรษา" หลวงปู่กราบเรียนว่า "ได้ 38 พรรษา" สมเด็จฯท่านมีพรรษาแก่กว่าหลวงปู่ ท่านจึงยอมให้หลวงปู่กราบ เสร็จแล้วสมเด็จฯถามว่า "ท่านอาจารย์อยู่วัดไหน" หลวงปู่กราบเรียนว่า "อยู่วัดป่าสันติกาวาส อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี" (ในขณะนั้นไชยวานยังไม่ตั้งเป็นอำเภอ) สมเด็จฯท่านก็ไม่ค่อยพูด หลวงปู่ก็ไม่ค่อยพูด ท่านนั่งอยู่ด้วยกันครู่หนึ่ง แล้วหลวงปู่จึงกราบลากลับที่พัก
    .
    หลวงปู่เดินทางไปจันทบุรีครั้งที่ 2
    .
    เมื่ออาจารย์หมอโรจน์ สุวรรณสุทธิ นิมนต์หลวงปู่ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลศิริราช รู้ว่าอาการทุกส่วนดีขึ้น ไม่มีโรคแทรกซ้อน จึงกราบนิมนต์หลวงปู่ไปพักที่เขาสระบาป บริษัทสวนบ้านอ่าง อำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี หลวงปู่รับไปตามที่อาจารย์หมอนิมนต์ หลังจากฉันภัตตาหารเช้าเสร็จที่วัดบวรฯ อาจารย์หมอได้นำรถมารับหลวงปู่และผู้เขียน เดินทางไปจันทบุรี ถึงบางละมุง อาจารย์หมอได้พาแวะพักที่บ้านทรายหาด บางละมุง ถวายน้ำฉันพอหายเหนื่อย แล้วเดินทางต่อผ่านสัตหีบ ระยอง ผ่านจังหวัดจันทบุรี เลยไปอำเภอมะขาม เข้าบริษัทสวนบ้านอ่าง
    .
    อาจารย์หมอได้ให้คนงานที่สวน ทำที่สำหรับให้หลวงปู่พักบนเขาสระบาป ใกล้กับธารน้ำที่ไหลออกจากเขา มีน้ำใสเย็นดี ที่สำหรับให้หลวงปู่พักนั้น ยกเป็นร้านปูไม้กระดานชนกับก้อนหิน ข้างบนใช้ผ้ายางมุงเป็นหลังคาชนกับก้อนหิน แขวนกลดมุ้งใต้หลังคาผ้ายาง ที่สำหรับผู้เขียนและอาจารย์หมอ ใช้เตียงตั้ง แล้วแขวนกลดมุ้งเลย ไม่มีหลังคา ที่เขาสระบาปนี้เป็นป่าดงดิบ เต็มไปด้วยสัตว์ป่า มีทั้งทากและเห็บ ต้องคอยระวังไม่ให้ทากและเห็บกัด ถ้ามันกัดแล้วจะเป็นไข้ เมื่อเดินทางถึงสวนบ้านอ่างแล้ว หลวงปู่จะเดินขึ้นเขาไม่ได้ เพราะขาของท่านยังไม่แข็งแรง อาจารย์หมอจึงให้คนงานเอาเก้าอี้หวายผูกไม้ขนาบสองข้างให้หลวงปู่นั่ง แล้วหามขึ้นไปที่พักบนเขา ทางขึ้นเขาก็เป็นทางพอคนเดินได้
    .
    โปรดหนุ่มตาบอดผู้ชายสองพี่น้อง.
    ในขณะที่หลวงปู่พักอยู่บนเขานั้น ตอนกลางคืนจะมีพวกโยมที่สนใจในธรรมะ ซึ่งบ้านอยู่ตามสวนใกล้ๆนั้น ขึ้นไปฟังธรรมะจากหลวงปู่ และมีผู้ชายสองพี่น้อง ซึ่งตาบอดทั้งสองคน ให้ญาติจูงขึ้นไปฟังธรรมจากหลวงปู่ด้วย หลวงปู่นำพาเข้าที่นั่งสมาธิ เอาขาขวาทับขาซ้าย แล้วประนมมืออธิษฐานจิตต่อพระรัตนตรัยว่า "บัดนี้ข้าพเจ้าจะตั้งใจปฏิบัติ เพื่อเป็นปฏิบัติบูชา ต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับทั้งพระธรรม และพระอริยสงฆ์สาวก ขอให้น้ำใจของข้าพเจ้าจงสงบระงับตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีปัญญาเฉลียวฉลาด สามารถรู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกประการเทอญ" พุทโธ ธัมโม สังโฆ 3 หนแล้ว วางมือลง เอามือขวาวางทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง เอาสติความระลึกรู้ ระลึกพุท-หายใจเข้า ระลึกโธ-หายใจออก ไม่ให้พลั้งเผลอ ให้สติกับคำบริกรรมกลมกลืนกันอยู่ ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น ให้ปลูกศรัทธาความเชื่อมั่นลงในใจว่า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ พระธรรมอยู่ที่ใจ พระอริยสงฆ์อยู่ที่ใจ ให้สังเกตดูว่า ใจของเราเชื่อมั่นลงจริงๆ แล้วก็บริกรรมพุท-หายใจเข้า โธ-หายใจออก เรื่อยไป จนกว่าจิตของเรารวมอยู่กับคำบริกรรมจริงๆ เรียกว่าจิตสงบจากสัญญาอารมณ์ภายนอก จะเกิดความเบากายเบาจิต มีความตั้งมั่นแน่วแน่ เด่นอยู่ในคำบริกรรมอันเดียว เรียกว่าจิตเป็นสมาธิ เมื่อจิตถอนจากสมาธิแล้ว เราจะหยุดให้ทบทวนดูเสียก่อน ว่าเราตั้งสติอย่างไร เรากำหนดอย่างไร แล้วยกมือขึ้นประนมนึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ 3 หนเสียก่อนจึงออกจากที่นั่งภาวนา เมื่อออกจากที่นั่งภาวนาแล้วก็ให้ทำสติระลึกรู้ในอิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ให้ปล่อยจิตใจไปตามยถากรรม ให้เป็นผู้ฝึกจิตตั้งจิตอยู่เสมอ เมื่อเราเข้าที่ภาวนาทีหลังจิตจึงสงบได้ง่าย เมื่อจิตออกจากการพักในความสงบแล้ว ก็ให้พิจารณากาย และพิจารณาในจิต ให้เห็นเป็นสัจธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน
    .
    เมื่อหลวงปู่หยุดนำนั่งสมาธิแล้ว ท่านจึงสอนหนุ่มตาบอดสองพี่น้อง ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้เร่งประกอบคุณงามความดี ด้วยความเป็นผู้มีศีลและเจริญเมตตาภาวนา ผลของกรรมที่ทำให้เสียจักษุ ถือว่าเป็นกรรมเก่าที่ไม่ดีที่เราทำมาแล้ว ให้ยอมรับว่าเป็นผลกรรมที่เกิดจากเราทำมาแล้ว ต่อแต่นี้ไปให้ตั้งใจทำแต่กรรมดี ทำตนให้มีศีลห้าประจำ ตั้งอยู่ในพระไตรสรณคมน์ ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่เคารพและนับถือ หมั่นทำสมาธิภาวนาทำใจให้สงบขาดจากสัญญาอารมณ์ภายนอก เพ่งพิจารณาธาตุ 4 ขันธ์ 5 ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง แตกดับทำลาย ให้มันมืดแต่ตานอก ตาในให้มันสว่างจ้าอยู่อย่างนั้น เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาท ก็จะเป็นผู้พ้นจากกรรม เมื่อหลวงปู่หยุดการอบรมแล้ว พวกญาติโยมก็ลากลับ
    .
    พูดกับปลวกรู้ภาษากัน.
    ในขณะที่หลวงปู่พักอยู่เขาสระบาปเป็นวันที่ 3 ตอนกลางวันฝนได้ตกลงมาอย่างหนัก ผู้เขียนต้องไปหลบฝนอยู่ที่ที่พักของหลวงปู่ เพราะมีผ้ายางมุง เมื่อฝนหยุดจึงกลับที่พักของตัวเอง พอถึงเวลาค่ำมืดแล้ว พวกโยมก็มาฟังธรรมหลวงปู่ตามเคยเหมือนทุกวัน ผู้เขียนก็นั่งอยู่เป็นเพื่อนหลวงปู่คอยปฏิบัติท่านอยู่ข้างๆ ในขณะที่หลวงปู่อบรมธรรมะญาติโยมอยู่นั้น ได้มีกองทัพปลวกยกขบวนมา คงจะหนีน้ำเพราะฝนตกตอนกลางวัน ขึ้นมาตามเสาร้านที่พักหลวงปู่ เข้าไปจนถึงเสื่อที่หลวงปู่นั่งอยู่ หลวงปู่จึงพูดกับปลวกว่า "อ้าว พากันขึ้นมาทำไป ที่นี่เป็นที่อยู่ของพระ ไป พากันกลับลงไปที่อื่น" หลวงปู่พูดจบลง ปลวกที่เป็นหัวหน้าขบวนก็หันกลับพาขบวนพวกปลวกทั้งหลายกลับลงไปจากร้านที่พักหลวงปู่หมด ทำให้ผู้เขียนซึ่งนั่งดูอยู่ข้างๆหลวงปู่ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง จำเหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่ลืม และนึกอยู่ในใจว่า "หลวงปู่ช่างพูดกับปลวกรู้เรื่องรู้ภาษากัน"
    .
    หลวงปู่พักอยู่เขาสระบาป 4 วัน ศ.นพ. โรจน์ ก็รับหลวงปู่เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯ พักที่กรุงเทพฯหนึ่งวัน แล้วก็เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส อุดรธานี
    .
    รูป
    สมเด็จพระสังฆราช
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • suvaddhano.jpg
      suvaddhano.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17 KB
      เปิดดู:
      48
  7. jumpahom

    jumpahom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,747
    ค่าพลัง:
    +11,036
    :VO
    :VOไม่ลืมจ้า กลัวหากระทู้ไม่เจอก็กด "กระทู้ที่ติดตามอ่าน "ไว้เลยจ้า
     
  8. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    น่ารักที่สุดดดดดดดดดดดดดด ^o^
     
  9. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(30)..........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 39-40
    (พ.ศ. 2517-2518 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในพรรษาปี 2518 นี้ หลวงปู่ได้สัตตาหกิจไปร่วมงานถวายเพลิงศพหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดป่าหนองแซง ซึ่งท่านได้มรณภาพก่อนเข้าพรรษา แล้วทำการถวายเพลิงศพหลังจากเข้าพรรษาแล้วไม่กี่วัน หลวงปู่อยู่ร่วมงานจนเก็บอัฐิธาตุท่านเสร็จแล้วจึงได้กลับวัด
    .
    อาพาธครั้งที่ 5 ด้วยอุบัติเหตุเส้นโลหิตแตก
    .
    ในพรรษาปีพ.ศ. 2518 เดือนสิงหาคม มีต้นไม้ต้นหนึ่งไม่โตนัก ตายยืนต้นอยู่หลังกุฏิที่หลวงปู่พำนักอยู่ หลังจากฉันเช้าที่ศาลาเสร็จแล้วหลวงปู่กลับไปกุฏิ มีผ้าขาวคนหนึ่งอยู่ปรนนิบัติท่าน หลวงปู่นำมีดโต้ที่ท่านฝนไว้อย่างคมกริบ ให้ผ้าขาวตัดต้นไม้ที่ตายแห้งอยู่กลังกุฏิท่านออก ในขณะที่ตัดไม้ยังไม่เสร็จฝนได้ตกลงมา ผ้าขาวทิ้งมีดตากฝน ตัวเองวิ่งเข้าใต้ถุนกุฏิหลวงปู่ หลวงปู่เห็นมีดทิ้งตากฝนอยู่ ท่านจึงเดินไปเก็บเอามีดเข้ามาใต้ถุนกุฏิท่าน แล้วเอามีดเสียบไว้ที่กองไม้ใต้ถุนกุฏิ ท่านนึกว่ามีดเสียบไว้แน่นดีแล้ว จึงวางมือแล้วจะเดินออกจากที่นั้น ทันใดนั้นมีดได้หลุดออกจากกองไม้ เหวี่ยงลงมาถูกหลังเท้าติดกับข้อเท้าขวา เป็นเหตุให้เส้นเลือดใหญ่เป็นแผล ท่านสั่งไม่ให้ผ้าขาวไปบอกใคร เพราะในขณะนั้นท่านอยู่ที่กุฏิ 2 คนกับผ้าขาวเท่านั้น ท่านให้ผ้าขาวเอาใบเพิน (หรือหญ้าบ้านร้างก็เรียก) มาเคี้ยวแล้วเอาปิดแผล เพื่อขัดเลือดให้เลือดหยุด
    .
    ในวันนั้นพอตะวันบ่าย ผู้เขียนอยู่กุฏิตัวเองรู้สึกอยากจะไปหาหลวงปู่ที่กุฏิท่าน จึงลงจากกุฏิแล้วเดินไปหาหลวงปู่ที่กุฏิท่าน เห็นท่านนั่งเหยียดเท้าอยู่กับผ้าขาว ผู้เขียนกราบท่านแล้วถามว่าเป็นอะไร ท่านบอกว่า "ถูกมีด กรรมมันยังไม่สิ้นสุด" ผู้เขียนจะไปตามอนามัยมาเย็บแผล ท่านห้ามไม่ให้ไป ผู้เขียนก็ปฏิบัติตาม อยู่มาได้ 22 วัน เส้นเลือดที่เป็นแผลได้แตกเลือดพุ่ง ผู้เขียนได้ใช้ผ้าขาวพันที่แผลและขาของท่านไว้ แล้วไปติดต่อหารถนำท่านส่งโรงพยาบาลอุดรธานี เส้นเลือดหลวงปู่แตกตั้งแต่เวลา 11.00 น. จนเวลาบ่ายสามโมงเย็นจึงได้รถจากแขวงการทางสว่างแดนดินมารับหลวงปู่ ส่งถึงโรงพยาบาลอุดรธานีเกือบมืด นำเข้าห้องฉุกเฉิน หมอแก้ผ้าที่พันแผลไว้ออก เลือดพุ่งออกมา หมอใช้คีมจับเส้นเลือดไว้ แล้วนำหลวงปู่เข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน จนถึงเวลา 20.00 น. หมอนำหลวงปู่ออกจากห้องผ่าตัดไปพักที่ตึกสงฆ์อาพาธ หมอบอกว่าเหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ หลวงปู่จะสิ้นใจ เพราะเลือดออกมา จนถึงเวลา 02.00 น. หลวงปู่จึงลืมตาขึ้นมองดูลูกศิษย์ที่คอยอุปัฏฐากอยู่ใกล้ๆ ทุกคนจึงหายใจโล่งไปตามๆกัน
    .
    เราเตรียมตัวไปแล้ว
    .
    วันหลังเมื่อหลวงปู่อาการดีขึ้นแล้ว ท่านจึงเล่าให้ฟังว่า "ในขณะที่เลือดออกมากๆนั้น เรามองดูอะไรก็อยู่ไกลริบหรี่ไม่ได้การแล้ว จึงกำหนดเข้าที่ เตรียมตัวไปแล้วแต่มันยังไม่ไปจึงฟื้นคืนมา"
    .
    ศ.นพ. โรจน์ สุวรรณสุทธิ มาเยี่ยม
    .
    เมื่อ ศ.นพ. โรจน์ สุวรรณสุทธิ ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่อาพาธ ด้วยเส้นโลหิตแตก จึงเดินทางจากกรุงเทพฯ มาเยี่ยมหลวงปู่ที่ตึกสงฆ์อาพาธที่โรงพยาบาลอุดรธานี และได้ทำแผลล้างถวายหลวงปู่ด้วยตนเองด้วย เสร็จแล้วได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า "หากท่านอาจารย์พักอยู่โรงพยาบาลไม่เป็นที่สบาย ก็กลับไปรักษาอยู่ที่วัดได้ เพราะอาการอย่างอื่นไม่มีอะไร มีแต่การล้างแผลวันละครั้งเท่านั้น" เมื่อ ศ.นพ. โรจน์ เยี่ยมหลวงปู่เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว จึงกราบลาหลวงปู่กลับกรุงเทพฯ หลวงปู่พักรักษาอยู่โรงพยาบาลอุดรธานีประมาณ 1 อาทิตย์ ท่านพระอาจารย์เสน ปญฺญาธโร จึงนิมนต์หลวงปู่ไปพักรักษาอยู่ที่วัดป่าหนองแซง หลวงปู่พักอยู่วัดป่าหนองแซงได้ 3 วัน คุณลัดดาวัลย์ เอียสกุล ไปพบหลวงปู่ที่วัดป่าหนองแซง จึงกราบอาธาธนาให้หลวงปู่ไปพักรักษาที่โรงพยาบาลหนองคาย เพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหาทางหนองคายได้ถวายอุปัฏฐากบ้าง หลวงปู่รับนิมนต์ไปพักรักษาที่โรงพยาบาลหนองคายอยู่ระยะหนึ่ง จึงได้ออกจากโรงพยาบาลไปพักอยู่ที่วัดอรุณรังษี แผลที่เป็นก็ยังไม่หาย คุณลัดดาวัลย์และคณะลูกศิษย์ชาวหนองคายได้ถวายอุปัฏฐากเป็นอย่างดียิ่ง และได้ขอร้องให้ทางโรงพยาบาลหนองคาย ส่งพยาบาลผู้ชายไปทำแผลให้ที่วัดอรุณรังษี จนแผลหายดีเรียบร้อย หลวงปู่จึงได้กลับวัดป่าสันติกาวาส รวมเวลาที่พักรักษาอยู่ที่หนองคายเป็นเวลาถึง 3 เดือน เป็นอันว่าพรรษาที่ 40 ของหลวงปู่ ท่านไม่ได้จำอยู่วัดป่าสันติกาวาสตลอด ด้วยเหตุแห่งอาพาธจึงย้ายไปที่ต่างๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว
    .
    พรรษาที่ 41
    (พ.ศ. 2519 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในปี พ.ศ. 2519 นี้ ทั้งนอกพรรษา ในพรรษา หลวงปู่ได้เอาใจใส่ในการอบรมพระเณร และอุบาสกอุบาสิกา โดยเฉพาะวันประชุมพระเณร ในวัน 7 ค่ำ 14 ค่ำ เป็นวันที่ท่านอบรมพระเณรเป็นพิเศษ ส่วนวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ เป็นวันที่อุบาสกอุบาสิกา มาถือศีลอุโบสถและนอนอยู่ที่วัด ท่านก็จะอบรมญาติโยมหญิงชายที่มาจำศีลอุโบสถเป็นพิเศษ หลังจากท่านนำพาทำวัตรเย็นแล้ว ก็อบรมธรรมะและนำพานั่งสมาธิภาวนาไปจนถึงเวลา 24 นาฬิกา ท่านจึงเลิกกลับกุฏิที่พักของท่าน
    .
    ไปร่วมงานทำบุญสวดมนต์ถวายหลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    .
    เมื่อออกพรรษาแล้ว เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2519 หลวงปู่ฝั้น อาจาโร อาพาธ เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่ออาการดีขึ้นท่านได้เดินทางกลับวัดป่าอุดมสมพร คณะศิษยานุศิษย์ได้ทำบุญสวดมนต์ถวายเพื่อเป็นการต่ออายุให้ท่าน และได้นิมนต์หลวงปู่ไปร่วมในงานด้วย หลวงปู่รับนิมนต์และเดินทางไปค้างที่วัดป่าอุดมสมพร เพื่อสวดมนต์ถวายหลวงปู่ฝั้น ตอนเช้ารับฉันบิณฑบาตเสร็จแล้วจึงเดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส
    .
    อุบัติเหตุขวานถูกหัวแม่เท้าข้างซ้าย
    .
    ในปีพ.ศ. 2519 นี้ หลวงปู่ได้รับอุบัติเหตุขวานถูกที่หัวแม่เท้าซ้ายเกือบขาด ในวันนั้นเป็นเวลาบ่าย หลวงปู่สั่งให้พระเอาขวานมาถากเศษไม้ที่ทิ้งอยู่ เอาไว้ทำด้ามจอบด้ามเสียม พระจับขวานถากไม้ทำไม่เป็น ในขณะนั้นหลวงปู่ท่านยืนดูอยู่ เมื่อเห็นพระทำไม่เป็น ท่านจึงจับเอาขวานจากมือพระแล้วถากไม้ให้ดู ในขณะนั้นผู้เขียนกำลังทำข้อวัตรเอารถเข็นเข็นน้ำใส่ตุ่มตามกุฏิต่างๆ ผ่านไป เห็นหลวงปู่จับขวานถากไม้อยู่ เห็นไม้มันกระดกๆไปมา ในใจจึงนึกขึ้นว่า "โอ้ หลวงปู่ถากไม้ เดี๋ยวขวานจะถูกเท้าอีกแหละ" แล้วก็เข็นรถน้ำผ่านไป พอให้หลังไปไม่ไกลได้ยินเสียง วิ่งตามหลัง ในใจคิดว่าขวานคงถูกหลวงปู่แล้ว พอเณรวิ่งตามมาถึงจึงรีบถามเณรว่า "อะไร" เณรตอบว่า "ขวานถูกหัวแม่เท้าหลวงปู่แล้ว" ผู้เขียนวางรถเข็นน้ำแล้วรีบไปดูเห็นหัวแม่เท้าท่านเกือบขาดออกจากกันเลือดไหลอยู่ จึงเอาผ้ามาพันผูกไว้ให้แน่น ให้คนไปตามเอารถในหมู่บ้านมานำหลวงปู่ไปโรงพยาบาลอุดรธานี ให้หมอเย็บแผล เรียบร้อยแล้วหมอให้กลับวัดได้
    .
    คุณหมอสัมพันธ์เป็นผู้เย็บแผลให้ แล้วหมอพูดว่า "แหม ท่านอาจารย์ปีกลายนี้ก็ถูกมีด ปีนี้ก็ถูกขวานอีก" หลวงปู่จึงพูดว่า "กรรมมันให้ผลยังไม่หมด ทีนี้หมดแล้วละ 3 ครั้งแล้ว" หลวงปู่พูดต่อไปว่า "กรรมตั้งแต่เป็นเด็กเลี้ยงวัวโน้นแหละ ซัดเสียมใส่ข้อเท้าวัว เส้นเลือดมันขาด กรรมกลัวจะไม่ได้ให้ผลก็เลยรีบให้ผลในชาตินี้ เรื่องของกรรมเป็นสิ่งที่น่ากลัว อย่าไปยินดีในการทำบาปทำกรรมชั่วเลย เมื่อทำแล้วก็ได้รับผลอย่างนั้นแหละ" หลวงปู่เตือนลูกศิษย์ลูกหาไม่ให้กล้าต่อการทำกรรมชั่ว เพราะทำแล้วย่อมได้รับผลเป็นทุกข์
    .
    รูป
    หลวงปู่ตอนปี 2515
    หลวงปู่ฝั่น
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
    ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • luangpu_2517.jpg
      luangpu_2517.jpg
      ขนาดไฟล์:
      10.7 KB
      เปิดดู:
      35
    • ajaro.jpg
      ajaro.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.9 KB
      เปิดดู:
      43
  10. ไทยโคราช

    ไทยโคราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +655
    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้ไปกราบหลวงตาท่านเมตตามาก และก่อนกลับหลวงตาได้มอบแหวนให้หนึ่งวง (ไม่ใช่แหวนหัวเสือ) เหมือนหลวงตารู้ว่าเราอยากได้ สาธุ
     
  11. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(31).........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 42
    (พ.ศ 2520จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    หลวงปู่ฝั้น อาจาโร ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2520 ศิษยานุศิษย์ได้ตั้งศพท่านบำเพ็ญกุศลจนถึงปีพ.ศ. 2521 และได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพท่าน เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2521 ก่อนจะถึงวันพระราชทานเพลิงศพ 3 วัน หลวงปู่ท่านได้ระลึกถึงคุณานุคุณของครูบาอาจารย์ที่เคยได้ร่วมพบปะสนทนาธรรมซึ่งกันและกัน และท่านก็มีความเคารพในหลวงปู่ฝั้นด้วย จึงได้เดินทางไปกราบคารวะศพหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ที่วัดป่าอุดมสมพร ก่อนวันงาน ท่านบอกว่า "วันงานคนเยอะ เราตาไม่ดี ขาไม่ดี ต้องไปก่อนวันงาน"
    .
    ทำบุญฉลองและถวายศาลานิยม สุวรรณสิทธิ์
    .
    เดือนมีนาคม พ.ศ. 2521 การก่อสร้างศาลานิยม สุวรรณสิทธิ์ ซึ่งได้ก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 ได้สำเร็จเรียบร้อย สิ้นค่าก่อสร้างทั้งหมด 620,000 บาท (หกแสนสองหมื่นบาท) หลวงปู่จึงให้ทำพิธีทำบุญฉลองความสำเร็จที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันก่อสร้างมาจนเสร็จเรียบร้อยโดยให้นิมนต์ครูบาอาจารย์มาเจริญพระพุทธมนต์ และแสดงพระธรรมเทศนา 2 กัณฑ์ ในตอนกลางคืน กัณฑ์ที่ 1 แสดงโดยท่านอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร กัณฑ์ที่ 2 แสดงโดยท่านอาจารย์สีลา อินฺทวํโส ตอนเช้าก็ถวายอาหารบิณฑบาต ญาติโยมกล่าวคำถวายเสนาสนะก็เป็นเสร็จพิธี และคณะสงฆ์พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมือง ได้ทำการย้ายเขตวิสุงคามสีมาจากวิหารกลางน้ำมาปักเขนใหม่ที่ศาลาการเปรียญด้วย
    .
    พรรษาที่ 43-44
    (พ.ศ.2521-2522 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2523 พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโรและพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโมได้มรณภาพ ด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกพร้อมกับพระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม, พระอาจารย์วัน อุตฺตโม, พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ หลังจากตั้งศพของท่านบำเพ็ญกุศลที่วัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพฯ ครบ 7 วันแล้ว คณะศิษย์ได้นำศพของท่านพระอาจารย์สิงห์ทองมาตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าแก้ว ส่วนศพของท่านพระอาจารย์สุพัฒน์ นำไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าประสิทธิสามัคคี บ้านต้าย หลวงปู่ได้ไปค้างคืนประจำอยู่วัดป่าแก้ว เพื่อเป็นกำลังใจให้พระเณร ญาติโยม ที่มาร่วมกันจัดงานพระราชทานเพลิงศพพระอาจารย์สิงห์ทอง เมื่อถึงวันพระราชทานเพลิงศพพระอาจารย์สุพัฒน์ หลวงปู่ได้ไปร่วมเป็นกำลังใจให้แก่พระเณรญาติโยม ที่วัดป่าประสิทธิสามัคคี บ้านต้ายด้วย จนเสร็จการพระราชทานเพลิงศพและเก็บอัฐิท่านพระอาจารย์สุพัฒน์เสร็จแล้ว หลวงปู่จึงกลับไปพักอยู่ที่วัดป่าแก้วอีก จนถึงวันพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง
    .
    ไม่มีความสงสัยในธรรม
    .
    ในวันพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์สิงห์ทองนั้น หลวงปู่ได้พักอยู่กุฏิที่มุงด้วยไม้ที่วัดป่าแก้ว และมีท่านพระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ และครูบาอาจารย์องค์อื่นอีกหลายรูปนั่งอยู่ด้วยกัน ผู้เขียนก็นั่งอยู่ในที่นั้นด้วย พระอาจารย์สุวัจน์ท่านเคยจำพรรษาอยู่ร่วมกันกับหลวงปู่ในคราวที่อยู่จังหวัดร้อยเอ็ด พอมาพบกัน ท่านก็ไต่ถามสนทนาธรรมกัน สุดท้ายพระอาจารย์สุวัจน์จึงเรียนถามหลวงปู่ว่า "เป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์ยังมีความสงสัยในธรรมอยู่หรือไม่" หลวงปู่ตอบอย่างอาจหาญว่า "ไม่มีความสงสัยในธรรม"
    .
    หลวงปู่อยู่ร่วมพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง จนเก็บอัฐิท่านเรียบร้อยแล้วจึงได้กลับวัด ท่านอาจารย์สิงห์ทองและท่านอาจารย์สุพัฒน์ ทั้ง 2 องค์นี้ เป็นที่สนิทสนมกันมากกับหลวงปู่ในคราวที่มีชีวิตอยู่ ไปมาหาสู่กันไม่ได้ขาด
    .
    พรรษาที่ 45
    (พ.ศ.2523 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    วันที่ 25 เมษายน พ.ศ.2524 เป็นวันพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม หลวงปู่ได้เดินทางไปร่วมงานที่วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ภูผาเหล็ก เสร็จพิธีแล้วหลวงปู่จึงได้เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส
    .
    รูป
    อ วัน
    อ จวน
    อ สิงห์ทอง
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
    .....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ดีใจด้วยนะครับผม
     
  13. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(32).........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 46
    (พ.ศ 2524 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    เมื่อออกพรรษาแล้ว เข้าฤดูแล้ง เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2525 ได้มีพิธีถวายเพลิงศพหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่วัดป่านิโครธาราม บ้านหนองบัวบาน อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ซึ่งหลวงปู่อ่อนท่านได้มรณภาพตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2524 คณะศิษย์ได้ตั้งศพของท่านไว้บำเพ็ญกุศลจนถึงวันถวายเพลิงศพ หลวงปู่ท่านมีความเคารพในหลวงปู่อ่อนมาตั้งแต่ครั้งที่เคยอยู่ร่วมกับหลวงปู่อ่อนที่จังหวัดร้อยเอ็ด เมื่อมาอยู่ในเขตจังหวัดอุดรฯด้วยกัน ท่านก็ไปมาหาสู่กันมาโดยตลอด เมื่อถึงวาระสุดท้ายที่หลวงปู่อ่อน ญาณสิริจากไป หลวงปู่ถึงแม้ในขณะนั้นสุขภาพของท่านก็ไม่ค่อยแข็งแรง การเดินเหินไปมาก็ไม่ค่อยสะดวก นับแต่ที่ท่านได้ผ่าตัดที่โคนขาขวามาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2515 แล้ว ถึงอย่างนั้นท่านก็ได้พยายามไปร่วมงานวันถวายเพลิงศพของหลวงปู่อ่อนด้วย เพื่อเป็นการแสดงกตเวทิตาคารวะต่อครูบาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย
    .
    พรรษาที่ 47
    (พ.ศ 2525 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส
    อาพาธครั้งที่ 6 ด้วยโรคทางปอด)
    .
    พ.ศ. 2526 ระหว่างปลายเดือนพฤษภาคม หลวงปู่มีอาการไข้ต่ำๆ และฉันอาหารไม่ค่อยได้ เวลาไอบางครั้งจะมีเลือดปนเสมหะออกมาด้วย คณะศิษย์ทางจังหวัดหนองคายจึงอาราธนาให้ท่านไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลจังหวัดหนองคาย หลวงปู่รับอาราธนา คุณลัดดาวัลย์ เอียสกุล จึงให้รถมารับหลวงปู่ที่วัดป่าสันติกาวาสไปรักษาที่โรงพยาบาลหนองคาย หลวงปู่พักอยู่ที่ห้องพิเศษตึกสงฆ์อาพาธ โดยมีคุณหมอเลื่อน เป็นผู้ดูแลรักษา คณะศิษย์ชาวจังหวัดหนองคายเป็นผู้อุปถัมภ์ เมื่อหลวงปู่เข้าพักที่โรงพยาบาล อาการไข้ได้กำเริบขึ้นสูง หมอได้ให้ยารักษาทางปอดอาการค่อยดีขึ้น หลวงปู่พักรักษาอยู่เป็นเวลา 1 เดือน จึงหายปกติ หมอจึงอนุญาตให้กลับวัดได้
    .
    พรรษาที่ 48
    (พ.ศ 2526 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ครั้นออกพรรษาปีพ.ศ. 2526 แล้ว เข้าฤดูแล้ง วันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527 จะเป็นวันพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่วัดถ้ำกลองเพล อ.หนองบัวลำภู จ.อุดรธานีในขณะนั้น (ปัจจุบันเป็น อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู) หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านได้มรณภาพตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 คณะศิษยานุศิษย์ได้ตั้งศพของท่านบำเพ็ญกุศลมาตลอด จนถึงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2527 จึงได้จัดงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน และพระราชทานเพลิงจริงในเวลา 20.00 น. ก่อนจะถึงวันพระราชทานเพลิงศพ 1 วัน หลวงปู่ท่านได้ไปกราบคารวะศพหลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นครั้งสุดท้าย เพราะถ้าจะไปร่วมในวันพระราชทานเพลิงศพ จะมีพระเณร ประชาชนเป็นจำนวนมาก และหลวงปู่ก็ขาไม่ดี ตาไม่ดี ท่านกลัวว่าจะลำบากมาก ท่านจึงไปก่อนวันงาน 1 วัน หลวงปู่ท่านมีความเคารพในหลวงปู่ขาวมาก และท่านได้ไปมาหาสู่หลวงปู่ขาวตั้งแต่ครั้งที่ท่านอยู่วัดป่าแก้วชุมพล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    .
    พรรษาที่ 49
    (พ.ศ 2527 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    เมื่อออกพรรษาแล้ว ศ.นพ. โรจน์ สุวรรณสุทธิ ได้นิมนต์ให้หลวงปู่ลงไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลศิริราช พักที่ห้องพิเศษชั้น 4 ตึก 84 ปี หลวงปู่ได้ให้โอวาทธรรมแก่คณะศิษย์ที่ไปเยี่ยม ในขณะที่ท่านพักอยู่โรงพยาบาลศิริราช ดังนี้
    .
    กายเป็นดงหนาป่าทึบ
    .
    "ร่างกายนี้เป็นดงหนาป่าทึบ ยากที่บุคคลจะถากถางบุกป่าฝ่าดงนี้ให้ทะลุไปได้ ในดงหนาป่าทึบนี้เต็มไปด้วยอสรพิษ คอยกัดตอดให้ได้รับทุกขเวทนาอยู่ตลอดเวลา ได้แก่ความเจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บท้อง ปวดหัว เจ็บตา ปวดฟัน เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานอยู่ในกายอันนี้ เมื่อเราหลงอยู่ในดงหนาป่าทึบอันนี้ จึงถูกอสรพิษทำร้ายอยู่ตลอดเวลา หลงในร่างกายนี้ ชายหลงหญิง หญิงหลงชาย หลงกันอยู่อย่างนี้ เราหลงเขา เขาหลงเรา นี้จึงพ้นทุกข์ไปไม่ได้ ถ้าใครมาถากถางดงหนาป่าทึบคือร่างกายนี้ให้เตียนโล่ง คือพิจารณาให้เห็นสภาพความเป็นจริงในกายนี้ เป็นของแตกดับทำลาย ไม่จีรังยั่งยืน เป็นเพียงธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ประชุมกันอยู่เท่านั้น ในที่สุดก็จะสลายลงสู่ธาตุเดิมของเขาเท่านั้น เมื่อเห็นอย่างนี้จึงจะได้ชื่อว่า ข้ามดงหนาป่าทึบไปได้ จึงจะพ้นทุกข์พ้นภัยไปได้"
    .
    นี้เป็นโอวาทธรรมที่หลวงปู่แสดงเตือนศิษยานุศิษย์ที่ไปกราบเยี่ยมท่านที่โรงพยาบาลศิริราช
    .
    รูป
    หลวงปู่อ่อนทักทายหลวงปู่ขาว
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
    ....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ....ช่วงเย็นๆวันนี้ช่างชิตเอาภาพแห่งความประทับใจมาฝากทุกท่านครับ
    .
    เครดิตภาพและบทความ#อาจารย์ชาญชัย
    .
    "ภาพ1-2..........เมื่อวาน อังคารที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๘ พ่อแม่ครูอาจารย์ทองอินทร์ กตปุญโญ วัดป่ากุง พาคณะสงฆ์วัดป่ากุงและวัดสาขา พร้อมฆราวาส เดินทางไปกราบทำวัตร พ่อแม่ครูอาจารย์แบน ธนากโร วัดดอยธรรมเจดีย์ พ่อแม่ครูอาจารย์อุ่นหล้า ฐิตธมฺโม วัดป่าแก้วชุมพล และสุดท้าย เยี่ยมและให้คณะสงฆ์ฯ ทำวัตร พ่อแม่ครูอาจารย์สมหมาย อตฺตมโน วัดป่าสันติกาวาส"
    .
    "ภาพ 3.......และภาพแห่งความประทับใจสุดๆ องค์พ่อแม่ครูอาจารย์สมหมาย ฯ เก็บผ้าให้ องค์พ่อแม่ครูอาจารย์ทองอินทร์ฯ พร้อมเดินไปส่งถึงรถ เป็นภาพที่งดงามยิ่งนักในอาจาริยวัตรที่องค์ท่านได้กระทำต่อครูบาอาจารย์ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดๆก็ตามหากองค์พ่อแม่ครูอาจารย์สมหมายฯ อยู่กับครูบาอาจารย์ที่อาวุโสกว่าท่าน องค์ท่านจะเป็นดั่งพระหนุ่มเณรน้อย อ่อนน้อมถ่อมตน มีคารวะธรรมต่อครูบาอาจารย์เสมอมาให้เราได้เห็นและถือเป็นคติแบบอย่าง วัตรปฏิบัติองค์ท่านงดงามยิ่งนัก สาธุ สาธุ สาธุ."
    .
    ช่างชิตต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์ ณ ที่นี้ด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. ไทยโคราช

    ไทยโคราช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +655
    อีกอย่างที่ขอความเมตาหลวงตาคือ ได้นำแผ่นทองคำขนาด 2x2 นิ้ว ไปให้ท่านจาน เพื่อทำตะกรุดคล้องคอ หลวงตาก็เมตตา ตอนแรกกลัวท่านจะดุเอาเหมือนกัน แต่ท่านไม่ว่าอะไร ได้บอกเณรไปเอาเหล็กจารให้ ขอโอกาสให้ท่านลงทางด้านเมตตาและกันผี (555) ท่านจานยันเหมือนกับแหวนที่ให้ผม แล้วอธิฐานจิตให้ บอกว่าจะไปกลัวทำไมผี ภาวนาพุทโทเข้า นั่งสนทนาขอแนวทางปฏิบัต ระยะหนึ่ง ก็ขอโอกาสกราบลาท่านกลับ

    มีโอกาสจะไปกราบท่านอีกครับ
     
  16. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ยอดเยี่ยมมากเลยครับ
     
  17. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(33).........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 50
    (พ.ศ. 2528 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในระยะเข้าพรรษาปี พ.ศ. 2528 นี้ ตอนใกล้จะออกพรรษา หลวงปู่ได้เดินทางไปทำวัตรคารวะหลวงปู่ชอบ ที่วัดป่าโคกมน บ้านโคกมน อ.วังสะพุง จ.เลย พอไปถึงวัดป่าโคกมนเป็นเวลาเที่ยง ถามพระเณรในวัดทราบว่าหลวงปู่ชอบไม่อยู่ ท่านขึ้นไปพักอยู่ที่วัดป่าบ้านม่วงไข่ บนภูเขาทางไปอำเภอภูเรือ หลวงปู่จึงให้ลูกศิษย์ขับรถขึ้นเขาตามไปหาหลวงปู่ชอบ ถนนเข้าไปบ้านม่วงไข่ลำบาก เป็นถนนลงหินขรุขระ ไปถึงวัดป่าม่วงไข่เป็นเวลาบ่าย 3 โมง จึงได้พบหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบได้ถามสุขทุกข์กับหลวงปู่ แล้วหลวงปู่จึงพาลูกศิษย์ที่ติดตามไป ขอขมาคารวะหลวงปู่ชอบ เสร็จแล้วจึงได้กราบลาหลวงปู่ชอบ เดินทางไปวัดถ้ำผาปู่ เพื่อกราบคารวะศพหลวงปู่คำดี ปภาโส ถึงถ้ำผาปู่เป็นเวลาเกือบมืดแล้ว หลวงปู่ได้พาคณะศิษย์กราบคารวะศพหลวงปู่คำดี เสร็จแล้วได้อยู่ร่วมฟังสวดอภิธรรม จบแล้วจึงได้เดินทางกลับถึงวัดป่าสันติกาวาสเป็นเวลา 23.00 น.
    .
    ร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่คำดี ปภาโส
    .
    เมื่อออกพรรษาแล้ว เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2528 หลวงปู่เดินทางไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่คำดี ปภาโส ที่วัดถ้ำผาปู่ จังหวัดเลย ในวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2528 เพื่อเป็นการแสดงกตเวทิตาสักการะต่อครูบาอาจารย์เป็นครั้งสุดท้าย หลวงปู่มีความเคารพในหลวงปู่คำดีมาก ในฐานะที่หลวงปู่คำดีเป็นครูบาอาจารย์ ซึ่งหลวงปู่ได้เคยอยู่ปฏิบัติธรรมร่วมกับหลวงปู่คำดีในคราวที่ท่านอยู่ที่ถ้ำกวาง อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น
    .
    เดินทางลงกรุงเทพฯให้หมอตรวจตาข้างขวา
    .
    เมื่อเสร็จจากไปร่วมงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่คำดี ปภาโสแล้ว คณะศิษย์ทางกรุงเทพฯได้กราบอาราธนานิมนต์ให้หลวงปู่ไปตรวจตาที่กรุงเทพฯ เพราะหลวงปู่มีอาการตาข้างขวามัว หลวงปู่รับนิมนต์แล้วเดินทางลงกรุงเทพฯ โดยทางรถไฟ ได้เข้ารับการตรวจตาที่ไทยจักษุคลินิก โดยมีนายแพทย์สวัสดิ์ โพธิกำจร เป็นผู้ตรวจอาการ พบว่าตาข้างขวาของหลวงปู่เป็นต้อกระจก แต่ยังไม่แก่ดี หมอจึงให้ยาหยอดรักษาไปก่อน
    .
    เดินทางไปเชียงใหม่เป็นครั้งแรก
    .
    หลวงปู่เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่เป็นครั้งแรก เพื่อกราบคารวะศพของหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2528 หลวงปู่ได้เดินทางโดยเครื่องบินจากท่าอากาศยานกรุงเทพฯไปลงที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ แล้วนั่งรถตู้ต่อไปที่ดอยแม่ปั๋ง มีลูกศิษย์ติดตามไปด้วยเป็นพระ 2 รูป คือ ผู้เขียนองค์หนึ่ง และพระอึ่งองค์หนึ่ง ฆราวาสอีก 5 ท่าน คือคุณหมออุรพล บุญประกอบ, คุณหมอวันเพ็ญ บุญประกอบ, คุณญาณี-คุณนิดา ชิตานนท์, คุณหมออมรา มลิลา เดินทางถึงวัดดอยแม่ปั๋งเป็นเวลาเย็น หลวงปู่พาลูกศิษย์ที่เดินทางไปด้วย ทำพิธีคารวะศพหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ และทอดผ้าบังสุกุลถวายบูชาเป็นธัมมสักการะในองค์หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ หลวงปู่พักค้างคืนที่วัดดอยแม่ปั๋ง 1 คืน
    .
    เช้าวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2528 ฉันภัตตาหารเช้าที่วัดดอยแม่ปั๋ง เสร็จแล้วได้เดินทางไปแวะเยี่ยมท่านอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ที่วัดอรัญวิเวก บ้านปง อำเภอแม่แตง แต่ไม่พบ ท่านอาจารย์เปลี่ยนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ หลวงปู่เดินทางต่อไปวัดถ้ำปากเปียง อ.เชียงดาว เพื่อเยี่ยมพระอาจารย์เจริญ ญาณวุฑโฒ ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงปู่เอง ท่านอาจารย์เจริญได้จัดกุฏิไม้สักซึ่งอยู่ติดหน้าผาถวายให้หลวงปู่พำนัก อากาศเย็นมาก
    .
    วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2528 หลวงปู่ขึ้นถ้ำผาปล่อง เพื่อกราบนมัสการหลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร แต่ไม่พบ หลวงปู่สิมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ลงจากถ้ำผาปล่อง หลวงปู่เข้าชมถ้ำเชียงดาวแล้วกลับไปพักที่วัดถ้ำปากเปียง
    .
    วันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2528 ฉันเช้าเสร็จที่ถ้ำปากเปียง แล้วเตรียมบริขารขึ้นรถตู้ เดินทางเข้าเมืองเชียงใหม่ หลวงปู่และคณะศิษย์ที่ติดตามแวะมนัสการเจดีย์หลวง วัดเจดีย์หลวง แล้วเดินทางต่อไปนมัสการพระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน จากนั้นไปนมัสการพระพุทธบาทตากผ้าที่วัดพระพุทธบาทตากผ้า อ.ป่าซาง จ.ลำพูน และได้กราบนมัสการศพพระสุพรหมญาณเถระ (หลวงปู่วัดพระพุทธบาทตากผ้า)ด้วย แล้วเดินทางกลับเชียงใหม่ แวะโปรดคุณพ่อวิจิตรและแม่สายบัวที่บ้านพักเพื่อรอเวลาเครื่องบินเวลา 20.00 น. เดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินเชียงใหม่เดินทางกลับกรุงเทพฯ หลวงปู่พักที่กรุงเทพฯไม่นานก็เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส
    .
    เดินทางไปเชียงใหม่ครั้งที่ 2
    .
    เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 คุณนิดา ชิตานนท์ ได้กราบอาราธนาให้หลวงปู่เดินทางลงกรุงเทพฯ เพื่อตรวจตาข้างขวาของหลวงปู่อีกครั้งหนึ่ง ว่าต้อกระจกที่เป็นอยู่แก่หรือยัง สมควรที่จะผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ใหม่ได้หรือยัง หลวงปู่รับอาราธนาเดินทางลงกรุงเทพฯ โดยรถไฟปรับอากาศชั้นหนึ่ง โดยมีข้าพเจ้าผู้เขียนและท่านสนิทเป็นผู้ติดตามไปด้วย เมื่อถึงกรุงเทพฯ ได้พักที่รถราง ซึ่งคุณนิดาได้จัดถวายให้เป็นที่พักของหลวงปู่และพระติดตามต่างหาก ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านส่วนตัว คุณนิดาได้รับหลวงปู่ไปที่ไทยจักษุคลินิก ให้คุณหมอสวัสดิ์ตรวจตาหลวงปู่อีกครั้งหนึ่ง ผลปรากฏว่าต้อยังไม่แก่เต็มที่ หมอจึงให้รอไปก่อน คุณนิดาจึงได้นิมนต์ให้หลวงปู่ไปพักวิเวกที่บ้านแม่เมืองหลวง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
    .
    วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 หลวงปู่ออกจากที่พักบ้านคุณนิดาไปสนามบินดอนเมืองเพื่อขึ้นเครื่องบินไปเชียงใหม่ เวลา 7.00 น. เครื่องบินจะออกจากสนามบินดอนเมืองกรุงเทพฯ เมื่อถึงสนามบินดอนเมือง หลวงปู่และผู้ติดตาม คือข้าพเจ้าผู้เขียนและท่านสนิทกับโยมติดตามอีก 2 คน คือคุณนิดาและคุณลำพูน ได้ขึ้นนั่งบนเครื่องบินโดยสารจัมโบ้ขนาดใหญ่ พร้อมผู้โดยสารอีกเต็มลำ หลวงปู่นั่งที่นั่งติดกับผู้เขียน หลวงปู่ท่านเป็นผู้ไม่ประมาทตลอดเวลา เมื่อนั่งเก้าอี้รัดเข็มขัดเรียบร้อยแล้ว ท่านจะหลับตาเข้าที่สงบอยู่เมื่อถึงเวลาตามกำหนดที่เครื่องจะออก ได้ยินเสียงประกาศว่า "ขออภัยผู้โดยสาร มีความติดขัดทางเทคนิคบางประการ ขอให้รอเวลาอีก 15 นาที"
    .
    เมื่อรอถึง 15 นาทีแล้วก็ได้ยินเสียงประกาศอีกว่า "ยังแก้ไขไม่ได้ ขอให้รออีก 15 นาที" จนสุดท้ายรอไปถึง 45 นาที เครื่องบินจึงพาขึ้นจากสนามบินดอนเมือง ในวันนั้นแม่บัวผายได้ให้คุณนิดานิมนต์หลวงปู่และพระติดตาม ให้ไปฉันภัตตาหารเช้าที่บ้านที่เชียงใหม่ด้วย โดยได้เตรียมภัตตาหารเช้าไว้คอย
    .
    อนิจจาความไม่แน่นอน
    .
    เมื่อเครื่องบินบินไปจะถึงเชียงใหม่แล้ว ได้ยินเสียงประกาศว่า "เครื่องบินไม่สามารถจะลงเชียงใหม่ได้ เพราะเครื่องติดขัดเทคนิคบางประการ จะต้องกลับไปลงที่สนามบินกรุงเทพฯ" ในขณะนั้นพวกฝรั่งที่กำลังเล่นไพ่กันอย่างสนุกสนานอยู่ พากันตาเหลือกตาลานเพราะความกลัวตาย หยุดเล่นกันเงียบเลย สำหรับหลวงปู่ท่านนั่งเข้าที่สงบตั้งแต่เครื่องบินขึ้นจากดอนเมือง จนเครื่องกลับไปลงที่ดอนเมืองอีก ท่านจึงลืมตาขึ้น เมื่อเครื่องลงถึงสนามบินดอนเมืองแล้วได้ยินเสียงประกาศว่า "เที่ยวบินจะไปเชียงใหม่เปลี่ยนเป็นเวลาบ่าย 1 โมง" ตกลงในวันนั้นหลวงปู่และพระติดตามต้องกลับมาฉันภัตตาหารเช้าที่ดอนเมือง โดยคุณนิดาเป็นผู้จัดถวายเวลา 4 โมงเช้า เมื่อฉันเสร็จแล้วก็รอเครื่องเที่ยวบ่าย 1 โมง อยู่ที่สนามบินดอนเมือง
    .
    ส่วนพวกแม่บัวผายที่รออยู่ทางเชียงใหม่ เห็นเครื่องบินไม่ลงตามเวลาก็เกิดความกระวนกระวายใจ คิดว่าเครื่องบินตกหรือเป็นอะไรกัน รอจนถึง 5 โมงเช้า จึงได้ยินประกาศที่สนามบินเชียงใหม่ว่า เครื่องบินติดขัดไม่สามารถลงได้ จึงกลับไปลงที่กรุงเทพฯ จะมาใหม่เวลาบ่าย 2 โมง เป็นอันว่าอาหารที่จัดรอไว้ถวายหลวงปู่และพระติดตาม ญาติโยมทางเชียงใหม่ต้องรับประทานกันเอง
    .
    คอยจนถึงเวลา
    .
    หลวงปู่และผู้ติดตามคอยเวลาเครื่องไปเชียงใหม่เที่ยวที่ 2 อยู่ที่สนามบินดอนเมือง จนได้เวลาใกล้บ่าย 1 โมง เจ้าหน้าที่เรียกขึ้นเครื่อง หลวงปู่และผู้ติดตามขึ้นนั่งบนเครื่องบิน พร้อมกับผู้โดยสารอื่นในเที่ยวบินเดียวกัน ได้เวลาเครื่องทะยานขึ้นสู่ฟ้า นำพาไปถึงสนามบินเชียงใหม่ เวลาบ่าย 2 โมง ลงจากเครื่องบินเรียบร้อย พ่อวิจิตรนำรถมารับหลวงปู่และผู้ติดตามจากสนามบินเชียงใหม่ แวะไปพักที่บ้านพ่อวิจิตรแม่บัวผายก่อน ถวายน้ำดื่มน้ำเย็นหลวงปู่และพระติดตาม พักผ่อนพอหายเหนื่อยแล้วพ่อวิจิตรได้จัดรถรับหลวงปู่และผู้ติดตาม รวมทั้งพ่อวิจิตรและแม่บัวผายด้วย ออกจากเชียงใหม่ไปแวะพักที่บ้านป่าแป๋ครู่หนึ่ง จากนั้นรถได้นำขึ้นเขาคดเคี้ยวเลี้ยวไปตามไหล่เขา ถึงวัดป่าบ้านแม่เมืองหลวง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เป็นเวลาเย็น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 อากาศหนาวเยือกเย็นมาก ที่วัดป่าแม่เมืองหลวงมีพระอยู่ 2 รูป มีท่านทองน้อยเป็นหัวหน้า และสามเณรอีก 1 องค์ พระเณรในวัดให้การต้อนรับและเคารพหลวงปู่เป็นอย่างดี เมื่อรถส่งหลวงปู่และผู้ติดตามถึงวัดป่าแม่เมืองหลวงแล้วเขาก็กลับไป
    .
    ที่วัดป่าบ้านแม่เมืองหลวง
    .
    ในขณะที่หลวงปู่พักวิเวกอยู่นั้น มีหลวงปู่ ผู้เขียน ท่านสนิทและพระประจำอยู่ที่วัด 2 รูป สามเณร 1 รูป รวมเป็นพระ 5 รูป สามเณร 1 รูป สำหรับโยมที่ติดตามไปปฏิบัติธรรมและทำอาหารบิณฑบาตถวายหลวงปู่นั้น มีคุณนิดา, แม่บัวผาย, คุณพูลและคุณปิ๊ก ทั้ง 4 คน ได้พักอยู่ที่พักสำหรับโยมในวัด ที่วัดป่าแม่เมืองหลวงมีต้นไม้เขียว น้ำสะดวก มีความเงียบสงบวิเวกวังเวง อยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร พระภิกษุสามเณรอาศัยบิณฑบาตที่บ้านแม่เมืองหลวงและบ้านใต้ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยง บ้านใต้อยู่ห่างวัดประมาณ 1 กิโลครึ่ง บ้านแม่เมืองหลวงอยู่ห่างวัดประมาณ 1 กิโลเมตร หลวงปู่รับบิณฑบาตที่หน้าโรงครัวในวัด เพราะท่านเดินไม่ค่อยสะดวก
    .
    เป็นผู้มีความเอื้อเฟื้อในพระธรรมวินัยและข้อวัตรปฏิบัติ
    .
    หลวงปู่เป็นผู้ไม่ประมาทไม่หละหลวมในพระธรรมวินัยและข้อวัตรปฏิบัติแม้เล็กๆน้อยๆ เช่น การทำกัปปิยะโวหารพีชคาม ของที่จะปลูกให้เกิดได้ด้วยลำด้วยใบ หรือที่มีรากติดอยู่ก่อน เรียกว่า "วินัยกรรม" หรือเมื่อเวลามีโยมผู้หญิงเข้ามากราบเรียนถามเรื่องขัดข้องเกี่ยวกับการปฏิบัติด้านจิตตภาวนา หรือจะเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีผู้ชายมาด้วย ท่านจะให้เรียกพระเณรหรือลูกศิษย์ผู้ชายมานั่งอยู่เป็นเพื่อน ถ้ามีแต่ผู้หญิงถึงแม้จะหลายคนก็ตาม ถ้าไม่มีผู้ชายอยู่ด้วยถือว่าผิดพระวินัย การบิณฑบาตเป็นกิจประจำของพระ ถ้าหลวงปู่ท่านยังเดินได้ท่านจะบิณฑบาตก่อน หลวงปู่ท่านสอนว่า "ของใหญ่ๆท่อนซุง ท่อนยาง มันไม่เข้าตาของคนหรอก ของเล็กๆน้อยๆ หยากเยื่อนั้นแหละมันเข้าตาคน" การที่ท่านปฏิบัติก็เพื่อจะให้เป็นตัวอย่างแก่ลูกศิษย์ลูกหาต่อไป
    .
    กิจประจำวันในขณะที่หลวงปู่พักอยู่วัดป่าแม่เมืองหลวงคือ เช้ารับบิณฑบาต ฉันเช้าเสร็จแล้วสนทนาให้ธรรมะแก่ญาติโยม หลังจากนั้นก็เข้าที่ในความสงบในที่พัก ตอนบ่ายบางวันท่านก็เดินเที่ยวตามป่า ดูต้นไม้อันไหนเป็นยารักษาโรคได้ ท่านก็ให้เก็บเอา บ่าย 4 โมงเย็น ศิษย์พระเณรนำน้ำอุ่นไปถวายสรงน้ำหลวงปู่ ตอนหัวค่ำอบรมพระเณรและโยมที่ติดตามไปปฏิบัติธรรม
    .
    วันมาฆบูชา พ.ศ. 2529
    .
    วันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 เป็นวันมาฆบูชา ในขณะที่หลวงปู่พักวิเวกอยู่วัดป่าแม่เมืองหลวง ในตอนเช้าหลวงปู่พร้อมด้วยพระเณรรับบิณฑบาต โปรดชาวกะเหรี่ยงที่มารวมกันใส่บาตรในบริเวณวัด ตอนค่ำหลวงปู่นำทำพิธีกล่าวคำถวายบูชาดอกไม้ธูปเทียนเนื่องในวันมาฆบูชาและนำเวียนเทียน เสร็จแล้วนำทำวัตรสวดมนต์เย็น จบแล้วอบรมศีลธรรมแก่ญาติโยมที่มาร่วมทำพิธีมาฆบูชา ซึ่งมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่จากบ้านแม่เมืองหลวงและบ้านใต้ และที่อยู่ไกลคือบ้านขุนห้วยเดื่อ ซึ่งอยู่ห่างจากวัดแม่เมืองหลวงขึ้นเขาลงเขาไป 6 กิโลเมตร
    .
    กะเหรี่ยงตัดผี
    .
    หลังจากวันมาฆบูชาไม่กี่วัน ได้มีโยมกะเหรี่ยงบ้านขุนห้วยเดื่อมานิมนต์หลวงปู่ไปตัดผีให้ หลวงปู่ไม่สามารถจะเดินถึงบ้านขุนห้วยเดื่อได้เพราะขาท่านไม่ดี หลวงปู่จึงให้ผู้เขียนและพระอีก 2 รูป ไปทำพิธีตัดผีให้โยมกะเหรี่ยงบ้านขุนห้วยเดื่อ เดินจากวัดป่าแม่เมืองหลวง ขึ้นเขาลงห้วย และไปตามลำธารและนาของพวกกะเหรี่ยงซึ่งทำนาตามที่ราบในหุบเขา เดินไปตามทางพวกกะเหรี่ยงเดินไปมาหากินระหว่างหมู่บ้าน บางแห่งก็มีกองอิฐพังกระจัดกระจาย ดูแล้วเป็นสถูปเจดีย์สมัยโบราณ เดินไปประมาณชั่วโมงครึ่งถึงลำธารมีน้ำใสเย็นดี ข้ามลำธารไปมองเห็นหมู่บ้านชาวกะเหรี่ยงอยู่เชิงเขา ปลูกบ้านอยู่ที่สูงบ้างต่ำบ้างลดหลั่นกันไป บ้านหลังเล็กๆพอเดินไปถึงหมู่บ้าน ทีแรกเห็นมีโรงยาวประมาณ 8 เมตร มุงด้วยใบตองตึงมีเสาธงชาติปักอยู่ ถามโยมกะเหรี่ยงที่พาเดินทางไป ได้ความว่าเป็นโรงเรียนบ้านขุนห้วยเดื่อ แต่ไม่มีนักเรียน เขาบอกว่าวันนี้นักเรียนไม่มาเรียน คือวันไหนนักเรียนมาครูก็สอน วันไหนนักเรียนไม่มาครูก็ไม่สอน เพราะยังบังคับไม่ได้
    .
    เมื่อเดินไปถึงบ้านโยมที่ต้องการตัดผี เขาก็นิมนต์ให้ขึ้นบนบ้าน บ้านพวกกะเหรี่ยงหลักเล็ก เสาไม้ก่อ หลังคามุงด้วยใบตองตึง แอ้มด้วยฝาฟากไม้ไผ่ บางหลังก็แอ้มด้วยฝาใบตองตึง ปูด้วยฟากไม้ไผ่ เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว เจ้าของบ้านก็นำน้ำร้อนต้มรากไม้ และกระบอกเกลือหมากเม็ดพร้อมถ้วยสำหรับกินน้ำร้อนเข้ามาถวาย รับประเคนด้วยความเอื้อเฟื้อแล้ววางไว้ แล้วผู้เขียนก็ถามไถ่กับเจ้าของบ้านว่า "ทำไมจึงอยากตัดผี" เขาบอกว่า "ถือผีอยู่กับผีลำบากยุ่งยากหลายอย่าง คีไฟ (ที่ก่อไฟ) ก็เอาไว้กลางเรือน ทำให้ดำสกปรกไปหมด ทำอะไรก็คอยแต่จะผิดผี อย่างลูกสาวแต่งงานกับสามีออกเรือนไปแล้ว พอพ่อแม่เหลืออยู่บ้านคนเดียว จะกลับเข้ามาอยู่ด้วยก็ไม่ได้ ผิดผี ผีของชาวกะเหรี่ยงมีมาก มีอยู่ที่บันไดขึ้นบ้าน อยู่ที่ตุ่มน้ำกิน อยู่ที่เล้าหมูเล้าไก่ อยู่ที่หม้อต้มแกง อยู่ที่ประตูเรือน อยู่ที่คีไฟกลางเรือน ลำบากกับการเลี้ยงบวงสรวงผี และปฏิบัติตามกฎของผี ฉะนั้นเขาจึงอยากตัดผีทิ้งไป"
    .
    เมื่อได้ฟังอย่างนั้นผู้เขียนจึงกล่าวนำให้เจ้าของบ้านไหว้พระ แล้วประกาศตนถึงพระรัตนตรัยและสมาทานศีลห้า เสร็จแล้วสวดมนต์ทำน้ำพระพุทธมนต์พรมให้ทั้งบ้านทั้งคน แล้วก็ถอนก้อนเส้าที่อยู่คีไฟกลางเรือนสำหรับหุงข้าวต้มแกงออก เพื่อให้ทำเรือนไฟต่างหาก เสร็จแล้วก็สอนเขาให้สวดมนต์ไหว้พระและเจริญเมตตาภาวนา ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นอารมณ์ประจำใจ ให้เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ตามแบบที่หลวงปู่เคยสอนมา เสร็จบ้านหนึ่งก็ไปอีกบ้านหนึ่ง ในวันนั้นมี 5 หลังคาเรือนที่ให้ทำพิธีตัดผีให้
    .
    ซาบซึ้งในน้ำใจของยายแก่
    .
    มีบ้านหลังหนึ่ง เจ้าของบ้านเป็นยายแก่ตัวดำขะมุกขะมอม อาศัยใต้ยุ้งข้าวเล็กๆ ต่อเพิงหลังคาใบตองตึงรอบยุ้งข้าว ยายอาศัยอยู่คนเดียว ยายมีลูกสาวคนหนึ่ง แต่งงานแล้วมีลูกออกเรือนอยู่กับสามี ต่อมาสามีหย่าทิ้งให้อยู่กับลูกชายเล็กๆคนหนึ่ง ลูกสาวนั้นจะกลับมาอยู่กับยายก็ไม่ได้ ถ้ากลับมาก็ผิดผี ยายจึงต้องการตัดผีเพื่อจะให้ลูกสาวกลับมาอยู่ด้วย เมื่อผู้เขียนพร้อมพระอีก 2 รูป และพ่อโป๊กวา ซึ่งเป็นโยมผู้ชายชาวกะเหรี่ยงที่ติดตามไปด้วย ไปถึงบ้านยายแก่ มันเป็นใต้ถุนยุ้งข้าว หมอบเข้าไปนั่งพื้นยุ้งข้าวพอพ้นศีรษะ ในเรือนดำไปด้วยเขม่าเพราะคีไฟ (ที่ก่อไฟหุงต้ม) อยู่กลางเรือน จีวรมอมแมมไปด้วยเขม่าไฟ ทำพิธีตัดผีด้วยการนำยายไหว้พระ สมาทานศีลห้า แล้วสวดมนต์พรมน้ำมนต์ให้ สอนให้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ เว้นจากการทำบาป ตั้งอยู่ในการทำความดี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่ง
    .
    เสร็จแล้วยายได้นำน้ำอ้อยก้อนหนึ่งขนาดเท่าสองนิ้วมือเข้ามาถวาย เพราะปัจจัยไทยทานอย่างอื่นของยายไม่มี ยายมีอยู่เพียงน้ำอ้อยก้อนเดียวเท่านั้น ในขณะนั้นทำให้ผู้เขียนเกิดความซาบซึ้งในน้ำใจเสียสละของยายหาสิ่งจะเปรียบมิได้ และได้รับให้ยายด้วยความตื้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้สงเคราะห์ชาวกะเหรี่ยงบ้านขุนห้วยเดื่อทั้ง 5 หลังคาเรือนให้ตั้งอยู่ในพระรัตนตรัยแล้ว จึงเดินทางกลับวัดป่าแม่เมืองหลวง ถึงวัดเป็นเวลาเย็นมาก จึงได้กราบเรียนให้หลวงปู่ทราบด้วยความเอิบอิ่มใจ
    .
    กลับจากวัดป่าแม่เมืองหลวง
    .
    หลวงปู่พาพักวิเวกอยู่ที่วัดป่าแม่เมืองหลวง จนถึงวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2529 จึงเดินทางกลับ เช้าวันที่ 5 หลังจากฉันบิณฑบาตเช้าแล้วรถเข้าไปรับ อำลาญาติโยมชาวกะเหรี่ยงบ้านแม่เมืองหลวงแล้ว หลวงปู่และผู้ติดตามลาพระเณรในวัด กล่าวมอบเสนาสนะแล้วขึ้นรถกลับ พอมาถึงหลังเขาลูกศิษย์ขอถ่ายรูปหลวงปู่เป็นอนุสรณ์ ออกมาถึงบ้านป่าแป๋ แม่บัวผายนิมนต์ให้หลวงปู่แวะฉันน้ำที่ร้านบ้านป่าแป๋ด้วย ต่อจากนั้นจึงเดินทางเข้าเชียงใหม่
    .
    ขึ้นดอยสุเทพ
    .
    เมื่อมาถึงเชียงใหม่โยมพ่อวิจิตร ได้พาหลวงปู่ขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ รถนำหลวงปู่และผู้ติดตามวิ่งตามถนนคดเคี้ยวขึ้นสู่ยอดดอยสุเทพถึงลานจอดรถ หลวงปู่และผู้ติดตามลงจากรถแล้วท่านพยายามเดินขึ้นไปสู่พระธาตุด้วยตัวท่านเอง คณะศิษย์เป็นห่วงหลวงปู่เพราะขาของท่านไม่ดี หลวงปู่พาผู้ติดตามกราบนมัสการพระธาตุและพระประธานในพระวิหาร เสร็จแล้วเดินทางกลับเข้าเชียงใหม่ แวะพักที่บ้านโยมพ่อวิจิตร เวลา 20.00 น. โยมพ่อวิจิตรและแม่บัวผาย ไปส่งหลวงปู่และผู้ติดตามที่สนามบินเชียงใหม่ เมื่อได้เวลาเครื่องบินพาทะยานขึ้นสู่อากาศ เดินทางถึงกรุงเทพฯ เวลา 22.00 น. หลวงปู่พักที่กรุงเทพฯ ไม่กี่วันก็เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส อุดรธานี
    .
    รูป
    ลป แหวน
    ลป บุญจันทร์ คารวะสรีระ ลป แหวน
    พอ เจริญ
    พอ เปลี่ยน
    ลป สิม
    ลป บุญจันทร์ในวัดถ่ำผาปล่อง
    หามหลวงปู่ลงจากวัดถ่ำผาปล่อง
    หลวงปู่ขึ้นไปวัดป่าแม่เมืองหลวง
    ชาวกะเรี่ยงออกมาต้อนรับหลวงปู่
    หลวงปู่ถ่ายทางขึ้นดอยสุเทภ
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
    .....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    "คนเรานั้น เข้าใจผิดกันไปใหญ่โต เห็นพระมีฤทธิ์นิดๆหน่อยๆ เสกพระขลังยิงไม่เข้าฟันไม่ออก ก็นึกว่าท่านต้องสำเร็จเป็นพระอรหันต์กันไปโน่นแล้ว พวกเรียกคาถามนต์ไสยศาสตร์นี้ ตายไป ไม่ได้เป็นเกิดเป็นเทวดาอะไรหรอก แต่ต้องไปเกิดเป็นผีใหญ่(มหิทธิกาเปรต)หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกจิดังๆที่เล่นมนต์ไสยศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมากๆนั้น ตายแล้วไปเป็นผีใหญ่แทบทั้งสิ้น ก็บรรดามนต์ขลังหรือเครื่องรางที่อาจารย์ไสยศาสตร์นี้ทำไว้มันขลัง เพราะพวกอาจารย์ไสยศาสตร์ที่ตายไปเป็นผีใหญ่มหิทธิการเปรตนี้ เขาก็มีฤทธิ์เหมือนกัน เมื่อคนที่มีของขลังที่ทำเอาไว้มีอันตราย เขาก็จะส่งฤทธิ์มาช่วยให้เหนียวบ้าง คงกระพันบ้างไปตามเรื่อง นั่นเอง

    เป็นพระเป็นสงฆ์ วิชชาของพระพุทธเจ้ามีดีๆกลับไม่เรียน กลับไปเรียนมนต์ไสยศาสตร์ ตอนภาวนามนต์ไสยศาสตร์ แม้จิตจากสว่างไสว รู้ตื่นเบิกบาน รู้เห็นอะไรมากได้หลายอย่างก็จริง แต่ครั้นเวลาจะตาย แม้จะภาวนามนต์ไสยศาสตร์จนจิตสว่างก็ตาม (จิตดีน่าจะไปที่ดีๆ) พอจิตขาดปุ๊บ กว่าจะรู้ตัวอีกที ก็กลายเป็นผีใหญ่ไปแล้ว เพราะมนต์ไสยศาสตร์มันกดทับไว้ ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพานอะไรหรอก"

    "มีลูกสอนลูก มีหลานสอนหลานว่า เมื่อได้บวชมาเป็นพระเป็นสงฆ์แล้ว อย่าไปเรียนมนต์ไสยศาสตร์เน้อ มันจะกลายไปเป็นผีใหญ่หมดเน้อ..!!!!"

    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    ..........................................................
    ....เมื่อ 12 ปีที่แล้วสมัยช่างชิตบวชกับหลวงตาครั้งแรก ได้มีโอกาสนวดถวายหลวงตา พอท่านเห็นรอยสักช่างชิต ท่านก็บ่นว่าไปสักมาทำไมอย่างนั้นอย่างนี้ ช่างชิตเองสมัยก่อนบอกตรงๆว่า "ไม่รู้จักแก่นของพระพุทธศาสนาเลย" ที่บวชก็บวชตามประเพณีคิดแต่ว่า "พระที่ดีพระจริงๆต้องขมังเวทย์และขลังเท่านั้น พระที่ไม่มีฤทธิ์มีเดชคือพระไม่ดีไม่เก่ง" นั้นคือความเข้าใจในตอนนั้น
    .....พอหลวงตาท่านว่าช่างชิตเรื่องรอยสัก ช่างชิตก็แย้งท่านว่า
    .
    "พระเกจิรูปนั้นรูปนี้ที่ชื่อเสียงโด่งดัง ก็ยังสักยันต์ เป่าเสกสะเดาะห์เคราะห์ ลงนะ ดูดวง ให้คนอยู่เลยหลวงตา แล้วมันจะไม่ดีได้อย่างไร???"
    .
    หลวงตายิ้มแล้วตอบว่า
    .
    "พระที่เล่นไสยศาสตร์มนต์ดำตายไปกลายไปเป็นหัวหน้าผีเป็นผีใหญ่หมดเด้อ" ว่าจบท่านก็หลับตาพักผ่อนทันที
    .
    "........." ช่างชิตก็เงียบ ถ้าตามนิสัยจะต้องถามต่อว่า "ทำไมครับ?" แต่วันนั้นไม่ยักกะถาม จนผ่านมาหลายปีพอศึกษาแนวทางของพระพุทธศาสนาจริงๆจึงรู้ว่า "มันเป็นเช่นนี้นี่เอง" เขียนมาแล้วหลายรอบ แต่ยังเห็นว่าเป็นประโยชน์ ช่วยเตือนสติตัวเองด้วย มาเห็นบทความหลวงพ่อพุธทำให้คิดได้ จึงนำมาฝากทุกๆท่านครับผม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. ช่างชิต

    ช่างชิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +6,109
    ............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(34).........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
    .
    พรรษาที่ 51
    (พ.ศ. 2529 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    หลังจากออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ได้เดินทางลงกรุงเทพฯ เพื่อตรวจนัยน์ตาข้างขวาที่เป็นต้อกระจก หลวงปู่ได้ไปกราบนมัสการเยี่ยมหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ที่โรงพยาบาลภูมิพลด้วย ในขณะที่หลวงปู่และผู้เขียนเข้าไปในห้องที่หลวงปู่หลุยท่านพักอยู่ พระที่อุปัฏฐากหลวงปู่หลุยไม่รู้จักหลวงปู่ พากันออกไปอยู่ระเบียงนอกห้อง เหลือแต่ท่านอาจารย์สม วัดถ้ำใหญ่พรหมวิหาร ท่านรู้จักหลวงปู่และนั่งอยู่ในห้องกับหลวงปู่หลุย หลวงปู่และผู้เขียน กราบนมัสการท่านหลวงปู่หลุยด้วยความเคารพแล้ว หลวงปู่หลุยจึงถามหลวงปู่ว่า "ได้กี่พรรษาแล้ว" หลวงปู่กราบเรียนหลวงปู่หลุยว่า "51 พรรษา เกล้ากระผม" หลวงปู่หลุยจึงพูดว่า "แม้! พระมหาเถระ" แล้วท่านจึงเรียนพระอุปัฏฐากที่อยู่ระเบียงข้างนอก ให้เข้ามากราบหลวงปู่ว่า "อ้าว มากราบพระมหาเถระ นี้พระมหาเถระ" พระอุปัฏฐากจึงได้เข้ามากราบหลวงปู่ เมื่อหลวงปู่เยี่ยมสนทนากับท่านหลวงปู่หลุยพอสมควรแล้ว จึงได้กราบลาหลวงปู่หลุยกลับที่พักในกรุงเทพฯ หลวงปู่พักที่กรุงเทพฯ ไม่กี่วันก็เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส อุดรธานี
    .
    ไปร่วมงานถวายเพลิงศพพระอาจารย์บุญยัง ผลญาโณ
    .
    พระอาจารย์บุญยัง ผลญาโณ ท่านเคยไปมาหาสู่กับหลวงปู่อยู่บ่อยๆ และหลวงปู่นินซึ่งเป็นหลวงพ่อของท่านอาจารย์บุญยัง ก็เคยมาอยู่จำพรรษากับหลวงปู่ในคราวที่สร้างวัดป่าสันติกาวาสใหม่ๆ และเมื่อท่านอาจารย์บุญยังมาสร้างวัดป่าภูวังงาม บ้านคำเลาะ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไชยวานเพียง 15 กิโลเมตร ท่านอาจารย์บุญยังได้ไปมาหาหลวงปู่มิได้ขาด ด้วยเหตุนี้เมื่อพระอาจารย์บุญยังท่านกลับไปโปรดญาติพี่น้องทางจังหวัดศรีษะเกษ และได้สร้างวัดป่าขึ้นที่บ้านบาก ต.หนองอึ่ง อ.ราษีไศล จ.ศรีษะเกษ ต่อมาท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2529 คณะศิษย์ได้ตั้งศพของท่านบำเพ็ญกุศล จนถึงวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2530 จึงได้ทำพิธีถวายเพลิงศพของท่าน ในงานครั้งนี้หลวงปู่ได้เดินทางไปร่วมจนเสร็จงานจึงได้กลับวัด ในการเดินทางไปร่วมงานถวายเพลิงศพพระอาจารย์บุญยังในครั้งนี้ ได้ผ่านไปทางบ้านเกิดของหลวงปู่ คือบ้านคำพระ อ.พนมไพร จ.ร้อยเอ็ด ท่านจึงแวะเยี่ยมลูกหลานที่บ้านเกิดด้วย เป็นเวลาถึง 40 ปีที่ท่านไม่เคยกลับไปเลย นับแต่มาอยู่วัดป่าสันติกาวาส
    .
    พรรษาที่ 52-53
    (พ.ศ. 2530-2531จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
    .
    ในปี 2531 พรรษาที่ 53 นี้ หลวงปู่มีอายุครบ 6 รอบ คือ 72 ปีเต็ม ในวันที่ 15 กันยายน คณะศิษยานุศิษย์จึงขออนุญาตท่านบำเพ็ญกุศลเป็นพิเศษ ซึ่งหลวงปู่ท่านก็อนุญาต คณะศิษย์จึงได้กราบอาราธนานิมนต์ครูบาอาจารย์จากวัดต่างๆมาเจริญพระพุทธมนต์ในตอนเย็น แล้วแสดงพระธรรมเทศนาอบรมจิตตภาวนาแก่คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่ ซึ่งมารวมกันจากที่ต่างๆทั้งใกล้และไกล ตอนเช้า คณะญาติโยมจากที่ต่างๆ มารวมกันตักบาตรครูบาอาจารย์ในบริเวณวัด ถวายอาหารบิณฑบาตแด่ครูบาอาจารย์และภิกษุสามเณร เสร็จแล้วพระสงฆ์อนุโมทนา ก็เป็นเสร็จพิธีในการทำบุญครบรอบ 72 ปีของหลวงปู่
    .
    อาพาธครั้งที่ 7 ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์นัยน์ตาข้างขวา
    .
    เมื่อออกพรรษาแล้ว เดือนธันวาคม พ.ศ. 2531 หลวงปู่ลงกรุงเทพฯ เพื่อให้หมอตรวจตาข้างขวาที่เป็นต้อกระจกอยู่ เมื่อหมอตรวจพบว่าต้อได้แก่เต็มที่แล้ว จึงได้ผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์นัยน์ตาข้างขวาของหลวงปู่ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2531 ที่ไทยจักษุคลินิก โดยนายแพทย์สวัสดิ์ โพธิกำจร เป็นผู้ผ่าตัด และดูแลรักษาจนหายเป็นปกติ มีคุณนิดา ชิตานนท์ และหมู่เพื่อนที่กรุงเทพฯ เป็นผู้ถวายค่ารักษาและอุปัฏฐากหลวงปู่ ด้วยความเคารพมาโดยตลอด หลวงปู่พักรักษาตาที่กรุงเทพฯ จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2532 จึงได้เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส
    .
    วันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 หลวงปู่ได้เมตตาเป็นองค์ประธานวางศิลาฤกษ์สร้างอุโบสถวัดป่าโนนม่วง บ้านโนนม่วงโคกใหญ่ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี
    .
    พรรษาที่ 54
    (พ.ศ. 2532จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส อาพาธครั้งที่ 8)
    .
    เมื่อเข้าพรรษาแล้วไม่นาน ปลายเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม หลวงปู่มีอาการปวดชายโครงข้างขวามาก ฉันอาหารได้น้อยได้เพียง 5 คำ ฉันแล้วอาเจียน เสียแน่นท้อง อ่อนเพลีย เบื่ออาหารมาก พร้อมกับมีตุ่มน้ำใสขึ้นทั้งตัว ทั้งศีรษะ หน้า เพดานปาก มือและขา ต่อมามีไข้ คณะแพทย์และศิษยานุศิษย์จึงได้กราบนิมนต์อ้อนวอนให้หลวงปู่ไปรับการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น หลวงปู่รับนิมนต์และสัตตาหกิจ ไปรักษาตามคำอ้อนวอนของลูกศิษย์ เป็นผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลศรีนครินทร์ เมื่อตรวจรักษาเสร็จแล้วจึงกลับไปพักที่วัดป่ามหาวิทยาลัย (ซึ่งเป็นวัดสาขาของหลวงปู่ศรี มหาวีโร) อาการอาพาธในครั้งนี้ได้ทำการตรวจอัลตราซาวด์และเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ของตับ พบลักษณะก้อนที่ตับข้างขวาขนาด 2.5 เซนติเมตร แต่ไม่ได้ทำอะไรมาก อาการอาพาธของหลวงปู่ในครั้งนี้ค่อนข้างหนัก
    .
    หลวงปู่พักอยู่วัดป่ามหาวิทยาลัย 1 คืน แล้วก็เดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส คณะแพทย์ได้ถวายยารักษา คณะศิษย์ได้จัดดอกไม้ธูปเทียนกราบอาธาธนาให้หลวงปู่อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกศิษย์ลูกหาไปก่อน อย่าเพิ่งรีบละสังขาร ต่อมาหลวงปู่มีอาการดีขึ้น ลูกศิษย์ลูกหาต่างพากันมีใจแช่มชื่นเบิกบาน
    .
    ไปร่วมพิธีพระราชทานเพลิงศพพระครูวิมลญาณวิจิตร (หลวงปู่บุญ ชินวงฺโส)
    .
    เดือนมีนาคม พ.ศ. 2533 ได้มีพิธีพระราชทานเพลิงศพพระครูวิมลญาณวิจิตร (หลวงปู่บุญ ชินวงฺโส) ที่วัดศรีสว่าง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร หลวงปู่ได้พยายามไปร่วมในงานนี้ด้วย ถึงแม้สุขภาพของท่านไม่ค่อยแข็งแรง เพราะท่านถือว่าหลวงปู่บุญ ชินวงฺโส ก็เป็นครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง และท่านได้ไปมาหาสู่กันมิได้ขาด
    .
    รูป
    ลป หลุย
    ลป บุญจันทร์กับ ลป บุญ งานฌาปนกิจศพ ลป บุญยัง
    .
    *โปรดติดตามตอนต่อไป
    ...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • candasaro.jpg
      candasaro.jpg
      ขนาดไฟล์:
      15.5 KB
      เปิดดู:
      44
    • 51.jpg
      51.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.2 KB
      เปิดดู:
      55
  20. ฌานกร

    ฌานกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,433
    ค่าพลัง:
    +14,651

    สุดยอดครับพี่ไทยโคราช ได้ของดีติดตัวด้วย ได้ธรรมะ สาธุ สาธุ สาธุ

    :cool::cool::cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...