ผมสงสัยมากครับ สรุปพระศาสดามีผมหรือหัวล้าน

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย misterj, 11 กันยายน 2015.

  1. TheVisionMind

    TheVisionMind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2014
    โพสต์:
    1,827
    ค่าพลัง:
    +2,227
    เพราะในคัมภีร์กล่าวเช่นนี้ ..

    แต่อันที่จริงแม้พระสาวก คนนอกศาสนาก็กล่าวคำว่าหัวโล้น
    ทั้งๆที่ท่านมีผม แต่ต้องคอยโกนอยู่เสมอ แต่คงไม่น่าจะโกนทุกวัน
    ดังนั้นน่าจะมีเส้นผมที่สั้นมากๆ อยู่บ้าง รอจนยาวจนถึงรอบโกนอีกครั้ง


    สำหรับ จขกท เขาสงสัยว่า .. พระพุทธเจ้าไม่มีผมขึ้นเลย หรือว่ามีผมสั้นๆ
    จึงเป็นที่มาของพระพุทธรูปที่มีผมเป็นรูปก้นหอยเล็กๆบนศีรษะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กันยายน 2015
  2. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    อรรถกถา นิทานกถา
    ว่าด้วย ทูเรนิทาน อวิทูเรนิทาน สันติเกนิทาน


    (เหตุการณ์ช่วงหนึ่งในเวลาที่ทรงขึ้นม้าหนีออกผนวชนั้น)


    .... พระโพธิสัตว์ประทับยืนที่ฝั่งแม่น้ำ แล้วตรัสถามนายฉันนะว่า แม่น้ำนี้ชื่ออะไร ?


    นายฉันนะกราบทูลว่า ชื่ออโนมานที พะยะค่ะ.

    พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า บรรพชาแม้ของเราก็จักไม่ทราม จึงเอาส้นพระบาทกระตุ้นให้สัญญาณม้า. ม้าได้โดดข้ามแม่น้ำอันกว้างประมาณ ๘ อุสภะไปยืนที่ฝั่งโน้น. พระโพธิสัตว์เสด็จลงจากหลังม้า ประทับยืนที่เนินทรายอันเหมือนแผ่นเงิน ตรัสเรียกนายฉันนะมาว่า ฉันนะผู้สหาย เธอจงพาเอาอาภรณ์และม้าของเราไป เราจักบวช ณ ที่นี้แหละ.


    นายฉันนะกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็จักบวชกับพระองค์ พระเจ้าข้า.

    พระโพธิสัตว์ตรัสห้ามถึง ๓ ครั้งว่า เธอยังบวชไม่ได้ เธอจะต้องไป แล้วทรงมอบเครื่องอาภรณ์และม้ากัณฐกะให้ นายฉันทะรับไปแล้ว. ทรงดำริว่า ผมทั้งหลายของเรานี้ ไม่สมควรแก่สมณะ ทรงดำริต่อไปว่า ผู้อื่นที่สมควรจะตัดผมของพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่มี. เพราะเหตุนั้น เราจักตัดด้วยพระขรรค์นั้นด้วยตนเอง จึงเอาพระหัตถ์ขวาจับพระขรรค์ เอาพระหัตถ์ซ้ายจับพระจุฬา (จุก) พร้อมกับพระโมลี (มวยผม) แล้วจึงตัดออกเส้นพระเกศาเหลือประมาณ ๒ องคุลี เวียนขวาแนมติดพระเศียร พระเกศาได้มีประมาณเท่านั้น จนตลอดพระชนมชีพ. และพระมัสสุ (หนวด) ก็ได้มีพอเหมาะพอควรกับพระเกศานั้น ชื่อว่ากิจด้วยการปลงผมและหนวดมิได้มีอีกต่อไป. พระโพธิสัตว์จับพระจุฬาพร้อมด้วยพระโมลี ทรงอธิษฐานว่า ถ้าเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าไซร้ พระโมลีจงตั้งอยู่ในอากาศ. ถ้าจักไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า จงตกลงบนภาคพื้น แล้วทรงโยนขึ้นไปในอากาศ ม้วนพระจุฬามณีนั้นไปถึงที่ประมาณโยชน์หนึ่ง แล้วได้คงอยู่ในอากาศ. ท้าวสักกเทวราชตรวจดูด้วยทิพยจักษุ จึงเอาผอบแก้วประมาณโยชน์หนึ่งรับไว้ นำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์ ชื่อว่าจุฬามณีในภพชั้นดาวดึงส์ เหมือนดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า


    อัครบุคคลผู้เลิศได้ตัดพระโมลี อันอบด้วยกลิ่นหอมอันประเสริฐแล้ว โยนขึ้นไปยังเวหา.

    ท้าววาสวะผู้มีพระเนตรตั้งพัน เอาผอบทองอันประเสริฐทูนพระเศียรรับไว้แล้ว.



    http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=0&p=6
     
  3. noawarat pakdee

    noawarat pakdee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    242
    ค่าพลัง:
    +682
    น่าเศร้าใจจัง ที่พุทธศาสนิกชนของพระองค์ที่ได้ขึ้นชื่อ ว่านับถึอ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ที่สงสัยในเรื่องพระเศรียร ของศาสดาของตัวเอง แทนที่จะสนในคำสั่งสอน(พระธรรม) ของพระพุทธองค์ที่ทรงดำริสอนสั่ง ชี้ทาง ให้พ้นทุกข์ กลับสนใจในมูลเหตุที่ไม่บังควร :':)':)'(
     
  4. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    คุณ Saber และคุณ ddman ตอบครบถ้วนแล้ว

    เราไม่ต้องตอบอะไรอีก
     
  5. bosslnwskr10

    bosslnwskr10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,912
    ค่าพลัง:
    +1,512
    ขอเสริมนะครับ
    มีเรื่องหนึ่ง พระอนุชา(น้องชาย)ต่างมารดากับพระพุทธเจ้าออกบวช
    ท่านหน้าตาคล้ายพระพักพระพุทธเจ้า
    พอมองไกลๆคนมักเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า จึงเดินเข้าไปกราบไหว้ แต่พอมองดีๆจึงรู้ว่าไม่ใช่

    พระพุทธเจ้าทราบเลยออกกฏเพิ่มว่า
    ห้ามภิกษุสวมจีวรใหญ่หรือเท่ากับพระพุทธเจ้า
    ประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านปลงผมไม่ต่างอะไรกับภิกษุทั่วไปครับ
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ปลงพระเกศา

    คำว่าปลง ก็คือ ตัดออก เอาออก ละทิ้งเสียซึ่งเส้นพระเกศา แต่การตัดออก เอาออก ก็อาจจะหมายถึงทำให้สั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในเวลานั้น

    แล้วแต่ว่า อุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ในการปลงพระเกศา ด้วย

    จุดสำคัญจึงไม่ใช่ตรงนี้ จุดสำคัญคือได้ทำการปลงเกศาลงแล้ว จะสั้นมากไม่ติดหนังศรีษะ หรือสั้นน้อย คือยาวขึ้นมาเล็กน้อย ก็คือถือว่าปลงแล้ว ตัดละทิ้ง ปล่อยละทิ้งแล้ว

    การปลงผม จึงมีความหมายกว้าง ไม่เฉพาะแค่การโกนผม และเมื่อปลงผมแล้ว ผมก็จะต้องยาวขึ้นอีก ในไม่นาน ในที่สุดพระพุทธองค์ก็กำหนดให้สามารถปลงผมได้ทุกวันโกนก่อนวันพระ1วันนั่นเอง

    พระสาวกบางท่านก็ไม่ได้ปลงผมบ่อย บางท่านยาวก็มี พระที่เดินธุดงค์ ในป่าเป็นแรมปี ไม่มีมีดโกน บางทีก็ใช้หินคมๆในป่า ตัดปลงแค่ให้สั้นลงเท่านั้น

    สิ่งที่เรากำลังสงสัยในการปลงผมจึงไม่ใช่แก่นสำคัญมากนัก ขอให่้เข้าใจ เจตนาที่แท้จริงนะครับ ในพราหมอินดูประเทศอินเดีย การปลงผมตัดสั้น จะมากหรือน้อย ก็ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้สละแล้ว เป็นพวกนอกวรรณะไปแล้ว กลายเป็นนักบวชไปแล้วนั่นเอง

    ส่วนพระพุทธเจ้า ท่านปลงผม ด้วยพระขรรถ์ ก็หมายความว่า คงสั้นมากพอสมควร และจากประวัติ เมื่อโกนแล้ว ผมที่เหลือไม่มากติดศรีษะ ก็ม้วนเป็นก้นหอยและอยู่อย่างนั้นตลอดไป ก็เป็นเช่นนี้ครับ ส่วนพระสาวก เมื่อบวชเข้ามาก็ต้องปลงผม ก็พยายามปลงให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...