บทความ...กระดานเล่าสู่กันฟัง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย nouk, 19 ตุลาคม 2014.

  1. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "โกกิลาเอย! เธอได้สละเพศฆราวาสมาแล้ว ซึ่งเป็นการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ยากที่ใครๆ จะสละได้ ขอให้เธอเสียสละต่อไปเถิด และสละให้ลึกกว่านั้น คือไม่สละแต่เพียงเพศอย่างเดียว แต่จงสละความรู้สึกอันจะเป็นข้าศึกต่อเพศเสียด้วย เธอเคยฟังสุภาษิตอันกินใจยิ่งมาแล้วมิใช่หรือ ในคนร้อยคนหาคนกล้าได้หนึ่งคน ในคนพันคนหาคนเป็นบัณฑิตได้หนึ่งคน ในคนแสนคนหาคนพูดจริงได้เพียงหนึ่งคน ส่วนคนที่เสียสละได้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่รู้ว่าจะมีหรือไม่ คือไม่ทราบจะคำนวณเอาจากคนจำนวนเท่าใดจึงจะเฟ้นได้หนึ่งคน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นนักเสียสละตัวอย่างของโลก เคยมีกษัตริย์องค์ใดบ้างทำได้เหมือนพระพุทธองค์ ยอมเสียสละความสุขความเพลินใจทุกอย่างที่ชาวโลกปองหมายมาอยู่กลางดินกลางทราย ก็เพื่อทำประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่มนุษยชาติ การเสียสละของพวกเรา เมื่อนำไปเทียบกับการเสียสละของพระบรมศาสดาแล้ว ของเราช่างเล็กน้อยเสียนี่กระไร

    "น้องหญิง! พระศาสดาตรัสว่าบุคคลอาจอาศัยตัณหาละตัณหาได้ อาจอาศัยมานะละมานะได้ อาจอาศัยอาหารละอาหารได้ แต่เมถุนธรรมนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ชักสะพานเสีย คืออย่าทอดสะพานเข้าไปเพราะอาศัยละไม่ได้"
     
  2. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "ข้อว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้น คือละความพอใจในรสของอาหาร จริงอยู่สัตว์โลกทั้งมวลดำรงชีพอยู่ได้เพราะอาหาร ข้อนี้พระศาสดาก็ตรัสไว้ แต่มนุษย์และสัตว์เป็นอันมากติดข้องอยู่ในรสแห่งอาหาร จนต้องกระเสือกกระสนกระวนกระวาย และต้องทำชั่วเพราะรสแห่งอาหารนั้น ที่ว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้นคืออาศัยอาหารละความพอใจในรสแห่งอาหารนั้น บริโภคเพียงเพื่อยังชีวิตให้ชีวิตนี้เป็นไปได้เท่านั้น เหมือนคนเดินทางข้ามทะเลทราย เสบียงอาหารหมด และบังเอิญลูกน้อยตายลงเพราะหิวโหย เขาจำใจต้องกินเนื้อบุตรเพียงเพื่อให้ข้ามทะเลทรายได้เท่านั้น หาติดในรสแห่งเนื้อบุตรไม่"

    "ข้อว่าอาศัยตัณหาละตัณหานั้น คือเมื่อทราบว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรืออรหันต์ ก็มีความทะยานอยากที่จะเป็นบ้าง เพื่อพยายามจนได้เป็นแล้ว ความทะยานอยากอันนั้นก็หายไป อย่างนี้เรียกว่าอาศัยตัณหาละตัณหา"

    "ข้อว่าอาศัยมานะละมานะนั้น คือเมื่อได้ยินได้ฟังภิกษุหรือภิกษุณี หรืออุบาสกอุบาสิกา ชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบันเป็นต้น ก็มีมานะขึ้นว่าเขาสามารถทำได้ ทำไมเราซึ่งเป็นมนุษย์และมีอวัยวะทุกส่วนเหมือนเขาจะทำไม่ได้บ้าง จึงพยายามทำความเพียร เผากิเลสจนได้บรรลุโสดาปัตติผลบ้าง อรหัตตผลบ้าง อย่างนี้เรียกว่าอาศัยมานะละมานะ เพราะเมื่อบรรลุแล้วมานะนั้นย่อมไม่มีอีก"
     
  3. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "ดูก่อนน้องหญิง! ส่วนเมถุนธรรมนั้น ใครๆ จะอาศัยละมิได้เลย นอกจากจะพิจารณาเห็นโทษของมันแล้วเลิกละเสีย ห้ามใจมิให้เลื่อนไหลไปยินดีในกามสุขเช่นนั้น น้องหญิง! พระศาสดาตรัสว่า กามคุณนั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน มีสุขน้อยแต่มีทุกข์มาก มีโทษมากมีความคับแค้นเป็นมูล มีทุกข์เป็นผล"

    พระอานนท์พูดจบ คอยจับกิริยาของโกกิลาภิกษุณีว่าจะมีความรู้สึกอย่างไร ธรรมกถาของท่านได้ผลภิกษุณีค่อยๆ ลุกจากเตียงสลัดผ้าห่มออกคลานมาหมอบลงแทบเท้าของพระอานนท์ สะอึกสะอื้นจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว นางพูดอะไรไม่ออก นางเสียใจอย่างสุดซึ้ง อันความเสียใจและละอายนั้น ถ้ามันแยกกันเกิดคนละครั้งก็ดูเหมือนจะไม่รุนแรงเท่าใดนัก แต่เมื่อใดทั้งความเสียใจและความละอายเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และในกรณีเดียวกันด้วยแล้ว ย่อมเป็นความทรมานสำหรับสตรีอย่างยวดยิ่ง นางเสียใจเหลือเกินที่ความรักของนางมิได้รับสนองเลยแม้แต่น้อย คำพูดของพระอานนท์ล้วนแต่เป็นคำเสียดแทงใจสำหรับนางผู้ยังหวังความรักจากท่านอยู่ ยิ่งกว่านั้นเมื่อนางทราบว่าพระอานนท์มิได้เชื่อในอาการลวงของนางเลย นางจึงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง ละอายสุดที่จะประมาณได้ นางจึงไม่สามารถพูดคำใดได้เลย นอกจากถอนสะอื้นอยู่ไปมา
     
  4. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ครู่หนึ่งพระอานนท์จึงพูดว่า "น้องหญิง! หยุดร้องไห้เสียเถิด การร้องไห้ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ช่วยเรื่องหนักใจของเธอให้คลายลงได้" อนิจจา! พระอานนท์ช่างพูดอย่างพระอริยะแท้

    "ข้าแต่พระคุณเจ้า" นางพูดทั้งเสียงสะอื้น ภิกษุผู้เป็นปัจฉาสมณะของพระอานนท์ต้องเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่ง เกรงว่าไม่สามารถจะอดกลั้นน้ำตาได้ "ข้าพเจ้าจะพยายามกล้ำกลืนฝืนใจปฏิบัติตามโอวาทของท่านแม้จะเป็นความทรมานสักป่านใด ข้าพเจ้าก็จะอดทนและขอเทิดทูนบูชาพระพุทธอนุชา ไว้ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง ข้าพเจ้าไม่เจียมตัวเอง จึงต้องทุกข์ทรมานถึงปานนี้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงหญิงทาสทูนหม้อน้ำ ข้าพเจ้าเพิ่งสำนึกตนเวลานี้เอง ความรักความอาลัยทำให้ข้าพเจ้าลืมกำเนิดชาติตระกูลและความเหมาะสมใดๆ ทั้งสิ้น มาหลงรักพระพุทธอนุชาผู้ทรงศักดิ์

    "ข้าแต่ท่านผู้สืบอริยวงศ์! กายกรรม วจีกรรม ที่ข้าพเจ้าล่วงเกินท่านและจะพึงขอโทษนั้นไม่มี ส่วนมโนกรรมนั้นมีอยู่ ข้าพเจ้ารักท่าน และรักอย่างสุดหัวใจ ถ้าการที่ข้าพเจ้ารักท่านนั้นเป็นความผิด ขอท่านผู้ประเสริฐโปรดให้อภัยในความผิดพลาดอันนั้นด้วย" นางพูดจบแล้วนั่งก้มหน้า น้ำตาของนางหยดลงบนจีวรผืนบางเสมือนหยาดน้ำค้างถูกสลัดลงจากใบหญ้า เมื่อลมพัดเป็นครั้งคราว
     
  5. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "น้องหญิง! เรื่องชาติเรื่องตระกูลนั้นอย่านำมาปรารมภ์เลย อาตมามิได้เคยคิดถึงมันเป็นเวลานานแล้ว ที่อาตมาไม่รักน้องหญิง มิใช่เพราะอาตมามาเกิดในตระกูลอันสูงศักดิ์ ส่วนเธอเป็นทาสีดอก แต่เป็นเพราะอาตมาเห็นโทษแห่งความรัก ความเสน่หา ตามที่พระศาสดาทรงสอนอยู่เสมอ เวลานี้อาตมามีหน้าที่ต้องบำรุงพระศาสดาผู้เป็นนาถะของโลก และพยายามทำหน้าที่กำจัดอาสวะในจิตใจ มิใช่เพิ่มอาสวะให้มากขึ้น เมื่ออาสวะยังไม่สิ้น ย่อมจะต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารอีก จะเป็นเวลานานเท่าใดก็สุดจะคำนวณ พระศาสดาตรัสว่าการเกิดบ่อยๆ เป็นความทุกข์ เพราะเมื่อมีการเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความทรมานอื่นๆ ก็ติดตามมาเป็นสาย นอกจากนี้ผู้วนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารอาจจะมีบางชาติที่ประมาทพลาดพลั้งไปแล้ว ต้องตกไปในอบายเป็นการถอยหลังไปอีกมาก กว่าจะตั้งต้นได้ใหม่ก็เป็นการเสียเวลาของชีวิตไปมิใช่น้อย"

    "น้องหญิง! เธออย่าน้อยใจในชาติตระกูลอันต่ำต้อยของเธอเลย บุคคลจะเกิดในตระกูลกษัตริย์ พราหมณ์,แพศย์ หรือสูทรก็ตาม ย่อมตกอยู่ภายใต้กฎธรรมดาเหมือนกันหมดคือเมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องแก่ต้องเจ็บ และในที่สุดก็ต้องตาย ความตายย่อมกวาดล้างสรรพสัตว์ไปโดยมิละเว้นใครไว้เลย และใครๆ ไม่อาจต่อสู่ด้วยวิธีใดๆ ได้"
     
  6. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "นอกจากนี้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีเลือดสีแดง รู้จักกลัวภัยและใคร่ความสุขเสมอกัน เหมือนไม้นานาชนิด เมื่อนำมาเผาไฟย่อมมีเปลวสีเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมัวมาแบ่งแยกกันอยู่ทำไมว่า คนนั้นเป็นวรรณะสูง คนนี้เป็นวรรณะต่ำ มาช่วยกันกระพือสันติสุขให้แก่โลกที่ร้อนระอุนี้จะมิดีกว่าหรือ มนุษย์ไม่ว่าจะเกิดในวรรณะใด เมื่อประพฤติดีก็เป็นคนดีเหมือนกันหมด เมื่อประพฤติชั่วก็เป็นคนชั่วเหมือนกันหมด"

    "เพราะฉะนั้น ขอให้น้องหญิงเลิกน้อยใจในเรื่องชาติตระกูลของตัว และตั้งหน้าพยายามทำความดีเถิด ขอให้น้องหญิงเชื่อว่าการที่อาตมาไม่สามารถสนองความรักของน้องหญิงได้นั้น มิใช่เป็นเพราะอาตมารังเกียจเรื่องชาติเรื่องตระกูลของเธอเลย แต่มันเป็นเพราะอาตมารังเกียจตัวความรักนั่นต่างหาก"

    "ภคินีเอย! อันธรรมดาว่าความรักนั้น มันเป็นธรรมชาติที่เร่าร้อนอยู่แล้ว ถ้ายิ่งมันเกิดขึ้นในฐานะที่ผิดที่ไม่เหมาะสมเข้าอีกมันก็จะยิ่งเพิ่มแรงร้อนมากขึ้น การที่น้องหญิงจะรักอาตมา หรืออาตมาจะรักเธออย่างเสน่หาอาลัยนั่นแล เรียกว่าความรักอันเกิดขึ้นในฐานะที่ผิดหรือไม่เหมาะสม ขอให้เธอตัดความรักความอาลัยเสียเถิด แล้วเธอจะพบความสุขความปลอดโปร่งอีกแบบหนึ่งซึ่งสูงกว่า ประณีตกว่า"
     
  7. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระอานนท์ละภิกษุนูปัสสยะไว้เบื้องหลัง ด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด ท่านเดินลัดเลาะมาทางริมสระแล้วนั่งลง ณ ม้ายาวมีพนักตัวหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นปัจฉาสมณะก็นั่งลง ณ ริมสุดข้างหนึ่ง พระอานนท์ถอนหายใจยาวและหนักหน่วง เหมือนจะระบายความหนักอกหนักใจออกมาเสียบ้าง ครู่หนึ่งท่านจึงบอกให้ภิกษุรูปนั้นกลับไปก่อน ท่านต้องการจะนั่งพักผ่อนอยู่ที่นั้นสักครู่ ถ้าพระศาสดาเรียกหาก็ให้มาตามที่ริมสระนั้น

    ท่านนั่งคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางครั้งรู้สึกสงสารภิกษุณีโกกิลาอย่างจับใจ แต่ด้วยอัธยาศัยแห่งมหาบุรุษประดับด้วยบารมีธรรมนั้นต่างหากเล่า จึงสามารถข่มใจและสลัดความรู้สึกสงสารอันนั้นเสีย ท่านปรารภกับตนเองว่า "อานนท์เธอเป็นเพียงโสดาบันเท่านั้น ราคะโทสะและโมหะยังมิได้ละเลย เพราะฉะนั้นอย่าประมาท อย่าเข้าใกล้ หรือยอมพบกับภิกษุณีโกกิลาอีก ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งดิ้นรนกลับกลอกง่าย บางคราวปรากฏเหมือนช้างตกมัน อานนท์! จงเอาสติเป็นขอสำหรับเหนียวรั้งช้าง คือจิตที่ดิ้นรนนี้ให้อยู่ในอำนาจ บุคคลผู้มีอำนาจมากที่สุด และควรแต่การสรรเสริญนั้นคือ ผู้ที่สามารถเอาตนของตนเองไว้ในอำนาจได้ สามารถชนะตนเองได้ พระศาสดาตรัสว่าผู้ชนะตนเองได้ชื่อว่าเป็นยอดนักรบในสงคราม เธอจงเป็นยอดนักรบในสงครามเถิด อย่าเป็นผู้แพ้เลย"
     
  8. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระอานนท์ตรึกตรองและให้โอวาทตนเองอยู่พอสมควรแล้ว ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ท่านไม่มีอะไรปิดบังสำหรับพระผู้มีพระภาค เพราะฉะนั้นท่านจึงกราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้พระจอมมุนีทรงทราบ รวมทั้งที่ท่านปรารภกับตนเอง และให้โอวาทตนเองนั้นด้วย พระมหาสมณะทรงทราบเรื่องนี้แล้ว ทรงประทานสาธุการแก่พระอานนท์แล้วตรัสให้กำลังใจว่า

    "อานนท์! เธอเป็นผู้มีบารมีอันได้สั่งสมมาดีแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแห่งเธอ เรื่องที่เธอจะตกไปสู่ฐานะที่ต่ำกว่านี้นั้นเป็นไม่มีอีก" แล้วพระศากยมุนีก็ทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ เมื่อพระอานนท์ทูลถามสาเหตุที่ทรงแย้มพระโอษฐ์นั้น จึงตรัสว่า

    "อานนท์! เธอคงลืมไปว่า พระโสดาบันนั้นมีการไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา จะต้องได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์อย่างแน่นอนไม่วันใดก็วันหนึ่ง เธออย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย"

    พระอานนท์ก็อาการแช่มชื่นแจ่มใสขึ้น เพราะพระดำรัสประโลมใจของพระศาสดานั้น
     
  9. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เย็นวันนั้นเอง พุทธบริษัทแห่งนครโกสัมพีผู้ใคร่ต่อธรรมมีมือถือดอกไม้ธูปเทียน และสุคันธชาติหลากหลายต่างมุ่งหน้าสู่โฆสิตาราม เพื่อฟังธรรมรสจากพระพุทธองค์ เมื่อพุทธบริษัทพรั่งพร้อมนั่งอย่างมีระเบียบแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสก (สบง = ผ้าสำหรับนุ่ง) ซึ่งย้อมไว้ด้วยดีแล้ว ทรงคาดพระกายพันธนะ (ประคตเอว = ผ้ารัดเอว) อันเป็นประดุจสายฟ้า ทรงครองสุคตมหาบังสุกุลจีวร อันเป็นประดุจผ้ากัมพลสีเหลืองหม่น เสด็จออกจาพระคันธกุฎีสู่ธรรมสภาด้วยพุทธลีลาอันงามยิ่งหาที่เปรียบมิได้ ประดุจวิลาสแห่งพระยาช้างตัวประเสริฐ และประดุจอาการเยื้องกรายแห่งไกรสรสีหราช เสด็จขึ้นสู่บวรพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้ดีแล้วท่ามกลางมณฑลมาล ซึ่งประทับตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา ทรงเปล่งพระฉัพพัณณรังสีประดุจพระอาทิตย์เปล่งแสงอ่อนๆ บนยอดภูเขายุคันธร เมื่อสมเด็จพระจอมมุนีเสด็จมาถึง พุทธบริษัทก็เงียบกริบ พระพุทธองค์ทรงมองดูพุทธบริษัทด้วยพระหฤทัยอันเปี่ยมไปด้วยเมตตา ทรงดำริว่า "ชุมนุมนี้ ช่างงามน่าดูจริง จะหาคนคะนองมือคะนองเท้า หรือมีเสียงไอเสียงจามไม่ได้เลย ชนทั้งหมดนี้มีคารวะต่อเรายิ่งนัก ถ้าเราไม่พูดขึ้นก่อน แม้จะนั่งอยู่นานสักเท่าใดก็จะไม่มีใครพูดอะไรเลย แต่เวลานี้เป็นเวลาแสดงธรรม"
     
  10. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    พระองค์ทรงดำริเช่นนี้แล้วจึงส่งข่ายแห่งพระญาณของพระองค์ไปสำรวจพุทธบริษัทว่า ใครหนอจะสามารถบรรลุธรรมเบื้องสูงได้บ้างในวันนี้ ทรงเล็งเห็นอุปนิสัยแห่งภิกษุณีโกกิลาว่า มีญาณแก่กล้าพอจะบรรลุธรรมได้ พระพุทธองค์จึงทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะกังวาน ดังนี้

    "ดูก่อนท่านทั้งหลาย! ทางสองสายคือกามสุขัลลิกานุโยค การหมกมุ่นอยู่ด้วยกามสุขสายหนึ่ง และอัตตกิลมถานุโยค การทรมานกายให้ลำบากเปล่าสายหนึ่ง อันผู้หวังความเจริญในธรรมพึงละเว้นเสีย ควรเดินทางสายกลาง คือเดินตามอริยมรรคมีองค์ ๘ คือความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดชอบ การทำชอบ การประกอบอาชีพในทางสุจริต ความพยายามในทางที่ชอบ การตั้งสติชอบ และการทำสมาธิชอบ

    "ดูก่อนท่านทั้งหลาย! ความทุกข์เป็นความจริงประการหนึ่งที่ชีวิตทุกชีวิตจะต้องประสบบ้างไม่มากก็น้อย ความทุกข์ที่กล่าวนี้มีอะไรบ้าง? ท่านทั้งหลาย! ความเกิดเป็นความทุกข์ ความแก่ความเจ็บความตายก็เป็นความทุกข์ ความแห้งใจ หรือความโศกความร่ำไรรำพันจนน้ำตานองหน้า ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ ความคับแค้นใจ ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งของอันเป็นที่รัก ความต้องประสบกับบุคคลหรือสิ่งของอันไม่เป็นที่พอใจ ปรารถนาอะไรไม่ได้ดังใจ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความทุกข์ที่บุคคลต้องประสบทั้งสิ้น เมื่อกล่าวโดยสรุปการยึดมั่นในขันธ์ ๕ ด้วยตัณหาอุปาทานนั่นเองเป็นความทุกข์อันยิ่งใหญ่
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "ท่านทั้งหลาย! เราตถาคตกล่าวว่าความทุกข์ทั้งมวลย่อมสืบเนื่องมาจากเหตุ ก็อะไรเล่าเป็นเหตุแห่งทุกข์นั้น เรากล่าวว่าตัณหานั้นเป็นเหตุเกิดแห่งทุกข์ ตัณหาคือความทะยานอยากดิ้นรน ซึ่งมีลักษณะเป็นสามคือดิ้นรนอยากได้อารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนาเรียกกามตัณหาอย่างหนึ่ง ดิ้นรนอยากเป็นนั่นเป็นนี่เรียกภวตัณหาอย่างหนึ่ง ดิ้นรนอยากผลักสิ่งที่มีแล้วเป็นแล้วเรียกวิภวตัณหาอย่างหนึ่ง นี่แลคือสาเหตุแห่งทุกข์ขั้นมูลฐาน

    "ท่านทั้งหลาย การสละคืนโดยไม่เหลือซึ่งตัณหาประเภทต่างๆ ดับตัณหาคลายตัณหาโดยสิ้นเชิงนั่นแล เราเรียกว่านิโรธคือความดับทุกข์ได้

    "ทางที่จะดับทุกข์ดับตัณหานั้นเราตถาคตแสดงไว้แล้ว คืออริยมรรคมีองค์ ๘"
     
  12. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    "ท่านทั้งหลายจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีอย่างอื่นเป็นที่พึ่งเลย เราตถาคตเองเป็นที่พึ่งแก่ท่านทั้งหลายไม่ได้ ตถาคตเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางบอกทางเท่านั้น ส่วนความเพียรพยายามเพื่อเผาบาปอกุศล ท่านทั้งหลายต้องทำเอง ทางมีอยู่เราชี้แล้วบอกแล้ว ท่านทั้งหลายต้องเดินเอง"

    พระธรรมเทศนา ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันนั้น เหมือนเจาะจงเทศนาแก่ภิกษุณีโกกิลาโดยเฉพาะ นางรู้สึกเหมือนพระองค์ประทับแก้ปัญญาหัวใจของนางให้หลุดร่วง สมแล้วที่ใครๆ พากันชมพระพุทธองค์ ว่าเป็นเหมือนดวงจันทร์ ซึ่งทุกคนรู้สึกเหมือนว่าจงใจจะส่องแสงสีนวลไปให้แก่ตนเพียงคนเดียว

    โกกิลาภิกษุณีส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนาปลดเปลื้องสังโยชน์คือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจทีละชั้น จนสามารถประหารกิเลสทั้งมวลได้สำเร็จมรรคผลชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งด้วยประการฉะนี้.

    คัดลอกจาก---http://www.dhammajak.net/book/anon/anon08.php
     
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดูเหินห่าง อ้างว้าง อย่างที่เห็น
    ใช่จะเป็นดั่งใจ ไปทุกสิ่ง
    แม้ขุนเขา สายน้ำ ดูเยือกเย็น
    ยังเปลี่ยนเป็นดินตมถมทับใจ

    เมื่อถึงคราวต้องพรากจากไม่กลับ
    ใช่ลาลับกลับกลอกย้อนยอกเสมอ
    วัฏฏ์สงสารสาบานผลาญจิตเธอ
    ใจละเมอเพ้อพร่ำจำนรรจา

    รูป รส กลิ่น เสียง เพียงสัมผัส
    เปี่ยมด้วยอรรถ ด้วยธรรม ทำจิตเฝือ
    คำสาบานสัญญาว่ารักเธอ
    อยากเสนออยากสนองตรองจนตรม

    กี่คราวแล้วกี่คราวที่หนาวเหน็บ
    กี่ความเจ็บกี่ครั้งตั้งใจหมาย
    เพราะรูปรสกลิ่นเสียงสำเนียงใคร
    จึงเผลอใจรักใคร่ให้โศกตรม

    อันว่ารูปและนามคำเขาว่า
    อนิจจาอนิจจังตั้ง....สลาย
    รูปจะงาม นามจะเพราะ เสนาะใจ
    เป็นเพียงให้ลุ่มหลงในกงกรรม

    เมื่อเบื่อหน่ายคลายจิตยึดติดไว้
    รูปสลาย นามหายสูญ เพิ่มพูนผล
    กิเลสราบ อนัตตา ไร้ตัวตน
    เข้าถึงผลดลจิตนิพพานเอย./
     
  14. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เมื่อสามคืนก่อน ตอนที่ทำสมาธิเห็นนิมิตเทวดาทรงเครื่องจักรพรรดิ์สีทองค่ะ จิตบอกว่าท่านเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต แล้วท่านมาปรากฏให้เห็นทำไม? งดงามมากค่ะ สีทองอร่ามทั้งองค์ ก็เลยใช้เครื่องทุ่นแรง อิอิ อาศัยญาณคนอื่นซิ ดูให้หน่อยว่าท่านนี้คือใคร และมาปรากฏให้เห็นทำไม? น้องชายค่ะ คราวนี้นับถือกันเป็นพี่น้อง ก็ไปถามกับเค้า น้องตอบว่าก็พี่เคยบอกว่าอยากเห็นไม่ใช่หรอ ก็ได้เห็นแล้วไง คู่บารมีของพี่นั่นแหละ ท่านรอพี่อยู่ เป็นเทพบุตรชั้นดุสิต ท่านเป็นพุทธภูมิ ก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟังเป็นนิทานแล้วกันนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2015
  15. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอย้อนเรื่องราวที่ค้างคาใจจากเมื่อครั้งที่ไปปฏิบัติธรรมที่วัดภูเพียง ครั้งหลังสุดแล้วกันค่ะ ถ้าจำไม่ผิดเมื่อเดือนเมษายน 2558 นี่เอง ไปปฏิบัติธรรมงานปริวาสกรรมครั้งที่ 21 เช้าวันหนึ่งที่ลานธรรม ขณะที่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเสร็จแล้ว ก็มีการนั่งกรรมฐาน ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณตีสี่เกือบตีห้าได้ วันนี้การนั่งกรรมฐานจิตนิ่งสงบดีมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วก็เห็นนิมิตรูปดวงตา ตอนแรกเห็นเป็นสีน้ำเงินก่อนค่ะ ก็เลยกำหนดให้เป็นอุคคหนิมิตและปฏิภาคนิมิตโดยลำดับ ดวงตานั้นก็หดเข้าและขยายออกไป พอขยายออกไป ตรงกลางของดวงตาเกิดช่องว่าง เราก็เลยเพ่งจิตเข้าไปในช่องว่างนั้น เหมือนตัวเองทะลุเข้าไปด้านใน เห็นภาพของของลานธรรมที่เรานั่งปฏิบัติกันอยู่นั้น เปลี่ยนเป็นเมืองโบราณ มีชาวเมืองเดินกันไปมา และที่ปิติที่สุด คือเห็นพระพุทธองค์ทรงดำเนินมาพร้อมกับพระสาวกจำนวนมาก จิตบอกว่าพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาประกาศพุทธศาสนาที่นี่

    ไม่ทันไร ได้ยินเสียงพระบอกว่าให้ออกจากกรรมฐานได้ อนุโมทนาบุญและแผ่เมตตา ก็เลยเป็นเรื่องค้างคาใจค่ะ ทำไมจึงเห็นนิมิตนี้ สถานที่แห่งนี้กับเราเคยมีความเกี่ยวข้องอะไรกันมา ทำไมเราจึงอยากมาปฏิบัติที่นี่ เวลาเดินเข้าวัดก็มีความรู้สึกเหมือนเป็นบ้านตนเอง คุ้นเคยมาก หรืออาจเป็นเพราะเรามาปฏิบัติที่นี่ในครั้งแรกเป็นเวลาถึง 6 เดือน เมื่อรู้แค่นั้นจึงได้ปล่อยวางไป สักวันเราคงได้รู้เองโดยกระจ่างแจ้ง รอให้วาระนั้นมาถึงก่อน
     
  16. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ขออนุญาตท่านเทพบุตรแระ ย้อนไปในอดีตชาติ ชาติหนึ่ง สมัยนี้เป็นสมัยที่มีพระพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้น พระนามว่า กกุสันโธพุทธเจ้า จะเล่าในสมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันโธ องค์แรกที่อุบัติขึ้นในภัทรกัปป์

    มีพระราชาครองเมืองเมืองหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ห่างไกลจากเมืองที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นนัก ก็คือท่านเทพบุตร ท่านถึงพร้อมด้วยทศพิธราชธรรม มีพระมเหสีซึ่งเป็นลูกกษัตริย์เช่นเดียวกัน พระพุทธองค์เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนามาเรื่อย ๆ และมาที่เมืองนี้ด้วยพระองค์เอง

    พระราชา (ท่านเทพบุตร) และพระมเหสี พร้อมทราบข่าวก็ได้เตรียมการต้อนรับเป็นอย่างดี ได้สร้างวิหารทานใหญ่มาก พร้อมด้วยที่พัก สำหรับพระภิกษุ ประมาณเก้าล้านกว่าหลัง วิหารทานจุคนได้ประมาณหลายล้านคน ประดับด้วยรัตนะทั้งเจ็ด และประดับโคมไฟให้แสงสว่าง ปราสาทนี้สวยงามมาก ตอนกลางวันเมื่อต้องกับแสงแดดจะส่องประกายระยิบระยับ พอพระพุทธองค์ได้เดินทางมาถึง ได้นิมนต์ท่านเข้าวิหารทาน ถวายน้ำปานะ ซึ่งได้จัดทำไว้รอแล้ว พร้อมพระมเหสี

    พระราชา (ท่านเทพบุตร) ถามเกี่ยวกับพระนิพพานว่าเป็นอย่างไร ตถาคตทรงตอบว่า............... พอถวายน้ำปานะแล้ว ตอนเย็นจะมีการแสดงพระธรรมเทศนาโดยพระพุทธองค์ พระราชาได้ทรงประกาศให้ชาวเมืองได้ทราบและมาฟังพระสัทธรรมกันโดยให้นำเครื่องหอมมาด้วย ดอกไม้ด้วยก็ดี พระพุทธองค์จะแสดงที่วิหารใหญ่ ชาวเมืองได้ฟังดังนั้นต่างดีใจเป็นอย่างมาก พอตกเย็นก็ได้อาบน้ำแต่งตัว หาเครื่องหอมดอกไม้มาไว้บูชาพระพุทธองค์ บางคนเตรียมสิ่งของมาถวาย บางคนทำเครื่องหอมยิ่งใหญ่มโหฬารมาก พระมเหสีทรงทำพานดอกไม้หลายชนิดที่หาได้ จำนวนมาก ในสมัยนั้นเป็นยังไงอธิบายไม่ถูก แต่ว่าตกแต่งอย่างสวยงาม พระราชาก็เ่ช่นเดียวกัน

    มีพระราชา พระมเหสี พร้อมพระญาติ ข้าราชบริพาร ประชาชนทุกหมู่เหล่า มาฟังกันมืดฟ้ามัวดิน วันนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเรื่องพระนิพพานโดยเฉพาะ ทรงมีนิทานชาดกเล่าเสริม มีผู้บรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก และตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์อีกจำนวนมากเช่นเดียวกัน พระราชาและพระมเหสีเกิดศรัทธาอย่างมาก หลังจากพระพุทธองค์ทรงแสดงพระสัทธรรมจบลง เทวดาพรหมนาคครุฑ ทั้ง สามแดนโลกธาตุกล่าวสาธุการ

    ประชาชนได้ถวายของที่ตัวเองนำมา โดยพระราชาและพระมเหสี ได้ถวายก่อน พระราชา (ท่านเทพบุตร) ทรงตั้งความปรารถนาไว้ในใจว่าจะกระทำทานอีก โดยนิมนต์พระพุทธองค์มาฉันอาหารถวายจีวรวัตถุไทยธรรม พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งให้ได้ ส่วนพระมเหสี ได้อธิษฐานไว้ว่าขอให้ถึงซึ่งพระนิพพาน ตอนเช้าได้ถวายและฟังพระธรรมเทศนาพร้อมกับประชาชนอีก ประมาณแปดเดือน ที่นิมนต์ให้ท่านอยู่ สร้างวัดเป็นจำนวนมาก และพระราชาออกบวช พระมเหสีก็ออกบวช ให้ลูกครองราชย์แทน ออกบวชตลอดชีวิตเลย พระราชาได้อภิญญาห้า สมาบัติแปด พระมเหสี ก็ได้อภิญญาห้า สมาบัติแปด เช่นเดียวกัน....จบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2016
  17. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ดีพอ กับ พอดี ความหมายมันช่างต่างกัน

    ดีพอ...ถูกวัดโดยผู้อื่น

    ส่วนพอดี...ถูกวัดโดยเราเอง

    ทั้งดีพอและพอดี ก็ให้คุณไปคนละอย่างค่ะ
    ดีพอให้คุณทางด้านโลกธรรม
    ส่วนพอดี ให้คุณทางด้านคุณธรรม
    ตราบใดที่เรายังอยู่ทางโลก....
    ก็พึงพิจารณาว่ากาลใดควรดีพอ และกาลใดควรพอดี:cool:
     
  18. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    หมดความตื่นเต้น หมดความอยากรู้อยากเห็น เข้าโหมดนิ่ง ทำอะไรไปโดยหนัาที่อย่างเดียว ไม่รู้อดีต ไม่รู้อนาคต ต้องเรียกว่าไม่สนใจมากกว่า วางเฉยมากกว่าเดิม มีคนบอกว่าเราคือความหวังของใครหลายๆคน ซึ่งเราก็ไม่รู้จุดหมายแห่งความหวังนั้นว่าคืออะไร...?
     
  19. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ช่วงนี้เรื่องเล่าคงจะซาๆ ห่างๆ ออกไปนะคะ เพราะอยู่ระหว่างการบำเพ็ญเพียร เมื่อคืนรู้สึกแปลกใจกับใครคนหนึ่งที่เพิ่งรู้จัก พูดคุยกันแค่ไม่กี่ครั้ง แต่เค้ากลับบอกเราว่าคิดถึง ก็เลยสงสัยค่ะ พอสงสัยก็อยากรู้ จึงได้นิมิตเรื่องแก้วปทุมมากับพหุล แล้วจะมาเล่าเป็นนิทานให้อ่านกันนะคะ เนื้อเรื่องแนวๆ รักสามเส้าอีกแล้วค่ะ พัวพันๆ
     
  20. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    เกริ่นให้อ่านกันก่อนนีสสสสสนุง ก็เห็นนิมิตแค่นิดเดียวอ่ะ

    ในนิมิตเห็นเป็นชายหนุ่มกับหญิงสาว แต่มีคนบอกเราว่าแก้วปทุมมาเป็นนาค ส่วนพหุลเป็นครุฑ แก้วปทุมมาในนิมิตนั้นงดงามมาก มีเสน่ห์ เป็นที่ต้องตาต้องใจแก่ผู้พบเห็น ดูอ่อนหวาน อัธยาศัยดี ส่วนพหุลนั้นเป็นชายหนุ่มที่ดูธรรมดาๆ มาก แต่ทั้งคู่เป็นคู่รักกัน

    คงต้องขอเวลาไปสืบหาเรื่องราวของทั้งสองก่อนนะคะ ในนิมิตมีเสียงเล่าให้ฟังว่า แก้วปทุมมาได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นปัทมาพรในภายหลัง เอ...เรื่องนี้ก็ยังไม่รู้เท็จจริง อ่านเล่นๆ เป็นนิทานไปนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...