ร่างกายไม่ใช่เรา จิตนี่ก็ไม่ใช่เราแล้วอะไรล่ะที่เป็นเรา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 3 พฤศจิกายน 2015.

  1. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ถ้าสิ่งที่กล่าว กล่าวเพราะไม่ได้สำคัญตนยึดมั่นในตน
    แต่เป็นการกล่าวเพราะเจตนาอันดีงามเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระสัทธรรมอันดีของพระพุทธศาสนา เราขออนุโมทนา อันเป็นสิ่งที่ดีงาม และเป็นสัมมาทิฏฐิ

    สิ่งที่เรากล่าวสอนเราก็กล่าวสอนตามครรลองแห่งพุทธธรรม แต่การเข้าไปรู้ของเราอาจแตกต่างจากตำรา แต่ก็มีพระพุทธองค์เป็นแบบอย่าง เพราะเราสร้างบารมีมาแบบพุทธภูมิ แต่เราก็ไม่เคยหัวล้านนอกครูคือพระพุทธเจ้า

    เพราะวาสนาบารมีเราสร้างมาต่างกันย่อมมีภูมิธรรมภูมิจิตต่างกัน แต่แก่นแท้ในธรรมเป็นสิ่งเดียวกันเสมอ และเราก็มั่นใจว่าเราไม่เคยชักนำแนะนำให้ใครทำบาป เราไม่เคยเรียกร้องหรือหาเงินทองเบียดเบียนผู้อื่น ลาภยศสรรเสริญไม่ใช่สิ่งที่เราอยากได้อยากมีเพื่อกิเลส กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต แทบไม่มีเหลือในเรา

    ในโลกสังคมออนไลน์ ไซเบอร์ อินเตอร์เน็ต การสื่อสารไร้พรมแดนและมีอำนาจครอบงำจิตใจมนุษย์ มันเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกินที่จะแก้ไขการครอบงำความชั่วและกิเลสให้แก่มนุษย์

    มีเพียงคำสอนของพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่ขนหมู่สัตว์หลุดพ้นทุกข์ ได้จริง แต่เพราะเวลานี้และในอนาคตเป็นยุคแห่งกลียุค การเผยแผ่พระธรรมจึงมีความยากยิ่งขึ้นละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น

    แม้ในอนาคตกาลที่ไม่มีพุทธศาสนาหลงเหลืออยู่ แต่บารมีที่เราสั่งสมมาปัญญาที่เราสั่งสมให้เกิดแก่จิต ย่อมน้อมนำมาซึ่งการสร้างความดีที่สมควรแก่ บุคคล แก่ กาละ แก่เทศะ

    วันนี้ดูเหมือนเราอาจจะคุยกันไม่ค่อยจะเข้าใจ แต่ด้วยจิตใจที่ดีด้วยความดีที่มีอยู่ภายใน เราเชื่อว่าที่สุดแล้ว จิตที่ชำระได้สะอาดเสมอกันหรือใกล้เคียงกัน ย่อมรู้อยู่ภายในไม่จำเป็นต้องประกาศให้ใครรู้ ถ้าดีจริง ครับ สาธุ
     
  2. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก็อ่าน ที่ อธิบายไปสักหน่อยสิคร้าบ

    อาหาร มันมี 4 อย่าง


    การได้มาซึ่งอาหาร อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยมี ผู้อื่นเป็นแหล่งแสวงหา

    นั่นคือ อาการเลี้ยงชีพ ประกอบอาชีพ ทำให้ จิตเกิด ชีวตินทรีย์
    เกิดปฏิสนธิวิญญาณ มีเบื้องหน้าต้องไปเกิด !!!

    คุณมาอ้าง การเป็น โพธิสัตว์

    โพธิสัตว์ ไม่มีหรอก จะมา อาศัยผู้อื่นให้เป็นเหตุให้ตน มีปฏิสนธิวิญญาณ
    นั่นมันอาการ คนไม่รู้ธรรมะ อะไรเลย


    โพธิสัตว์ เกิดขึ้นเพราะ ปัจจัยการ ไม่ใช่ดำริจะเป็น ไม่ใช่การแสวงหาเหตุ
    ให้ได้ไปเกิดโดยอาศัยคนที่เขาทุกข์อยู่ หาทางออกไม่ได้ ไปซ้ำเติมเขาอีก

    โพธิสัตว์ เกิดขึ้นเพราะ ปัจจัยการ สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี ห้ามไม่ได้ บังคับบัญชา
    ไม่ได้ ไม่ใช่ตัวตน มีเรา มีเขา !!! เป็น สุญญตา นักรบสุญญตา ไม่ใช่การสะสม !!

    โพธิสัตว์ จึงต่างจาก อริยะตรงที่ อริยะเจ้าทำให้ปฏิสนธิวิญญาณไม่มี
    หรือไม่มีอีก ตัดขาด ส่วนโพธิสัตว์ภาวนาก็เพื่อตัด แต่มันตัดไม่ได้
    กิเลสเต็มหัว โง่ดักดาน !!! ไม่มีอ้างเลห์ ยกกูนี้โพธิสัตว์ สันติ !!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2015
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    โพธิสัตว์มีหลายจำพวกหลายระดับตามแต่บารมีที่สั่งสม
    ขั้นต้น
    อุปบารมี
    ปรมัตถ

    อย่าเหมารวม ผู้ปฏิบัติธรรม หากรอบรู้ในธรรมจริงย่อมแยกแยะดำขาวได้จริง

    การปรามาสพระโพธิสัตว์ที่ทรงคุณงามความดี พระอริยะเจ้าเขาไม่ทำกันหรอก

    ไปบอกว่าหลุดพ้นไม่มีเชื้อดับปฏิสนธิจิตแล้วแต่ยังปรามาสผู้อื่น มันไม่ได้เป็นไปเพื่อการรักษาไว้ซึ่งพระสัทธรรมเพื่อสืบทอดพระศาสนาหรอก มันเป็นเพียงอนุสัยสืบสันดารปรุงแต่งเพ่งโทษผู้อื่น

    แม้พระอริยะสงฆ์ก็กล่าวสาธุการในความดีที่พระโพธิสัตว์สร้างสั่งสม หากมีสติปัญญามันก็รู้ในโลกุตระธรรมเหมือนกัน เพราะโลกุตระธรรมมีอันเดียว แต่ที่ต่างกันก็แค่ พระอรหันต์ปราถนาไปนิพพานทันที กับพระโพธิสัตว์ที่บารมีถึงไปนิพพานได้แล้วแต่ยังไม่ไปยังอยากช่วยเหลือสรรพสัตว์เมื่อเต็มเมื่อพร้อมจึงไปนิพพาน มันก็เท่านี้

    นี่แหละธรรมชาติของสุนัข พอเราก้มหัวให้หน่อยก็เลียปากงับหัวเราทันที น่าเวทนาจริงๆครับ สาธุ

    โบราณจึงให้ตัดหางปล่อยนอกวัดครับ
     
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    นั่นไง แสดงอาการไม่ได้รู้อะไรในธรรมะ

    พอได้ยินคำว่า ปฏิสนธิจิต ก็โน้นไปโน้น แล่นไปดับ

    อ่านดีๆ จิฮับ บุคคลที่มีฐานะดับ ผมเขียนว่า พวกพระอริยเจ้า

    ส่วนโพธิสัตว์ ผมเขียนว่า โง่ดักดาน !!!

    อ่านภาษาคนแค่นี้ ยังอ่านไม่รู้เรื่อง แล้วอ้างเป็นโพธิสัตว์ คนดี สันติ !!


    โคตรภูญาณ โคตรภูบุคคล มันต้องเห็น จิฮับ ไม่ใช่ไม่เห็น ไม่รู้จัก
    แล้ว ละเมอว่า เป็นโพธิสัตว์

    สัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์ ที่เป็นโพธิสัตว์ ก็ต้องมี โคตรภูญาณ
    มีปัญญาอันยิ่งเอง ซึ่งเกิดจาก ปัจจัยการ บางประการ ไม่ใช่
    เพราะดำริจะเป็น ปัจจัยการนั้น กล่าวไปหลายหนแล้ว แต่
    อันนี้ของด เพราะว่า ..................................
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    โครตภูญาณเป็นปฐมเหตุแห่งความก้าวล่วงสู่ ความเป็นพระอริยะบุคคล คือพระโสดาบัน เป็นต้นไปถึงพระอรหันต์

    มันคนละเรื่องกับความเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ก็อย่างที่ผมเคยกล่าวไว้พระโพธิสัตว์ รอบรู้ก็จริง แค่ทรงอารมณ์ ได้ เจริญได้ รอบรู้ในอนุตระธรรมได้เสมอเหมือนเท่าพระอริยะ

    ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่มันอยู่ตรงที่ความเข้าใจในวิถีแห้่งพระอริยะ และพระโพธิสัตว์ ที่แตกต่างกัน ซึ่งบางท่านไม่มีวันเข้าใจหากไม่ลองทำดู หรือเปิดรับ นี่แหละจึงเป็นปัญหาที่คุยกันไม่ลงปลงไม่ได้ นั่นเอง ครับ สาธุ
     
  6. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    มีคนยืนอยู่บนภูเขา คนผ่านทางเดินผ่านมาถามถึงทางไปหมู่บ้าน คนบนภูเขาบอกทางให้ว่าไปทางนี้ แต่คนถามเดินไปอีกทาง เขาจะถึงหมู่บ้านได้อย่างไร มิหนำซ้ำเดินไปบ่นไป พอเดินไปเจอจอมปลวกก็นั่งลงยกมือไหว้
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    กั๊กๆๆๆ ก็แทนที่จะเอะใจว่าทำไม ไม่กล่าว " ปัจจัยการ ของ โคตรภูบุคคล "

    ไม่เอะใจ แล้ว ยังไปโน้นนนน ไปคว้าเอาสัญญา มาแทน ภูมิจิตภูมิธรรม

    เลยคว้าเอาแต่ ที่เขาพูดๆกันตามเว็บ ที่พระท่านนำมาพูดบางส่วน เท่าที่
    เป็นประโยชน์ของการเป็นสาวก

    ส่วนเรื่องที่เข้าไปเห็นเอง เอาภูมิปัญญาตัวเอง เอะใจ ไม่มี

    พอไม่มี ก็ไม่รู้จะทำยังไง

    ท่านคร้าบ ทักขินัยบุคคล มีหลายบุคคล บุคคล4คู่ นั่นก็อย่างหนึ่ง
    แต่ หากหมั่นฟังธรรมเสียหน่อย จะทราบ บุคคลอีกชนิดหนึ่ง มีในโลก

    ซึ่งจะเป็นโพธิสัตว์หรือไม่เป็น จะต้องมี ต้นทุน ตัวนั้นอยู่

    แล้วปัจจัยเนี่ยะ มันไม่ได้ยากอะไรเลย " นโม " นี่แหละ

    แต่ จะรู้เป่าเนี่ยะ นโม นี่อะไร มันเป็น รหัสหน่าคร้าบ
    คือขี้เกียจเว้นว่าง "..............." เดี๋ยวโดนคนด่าอีก
    พูดไปเว้นไป
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    มันมีเหตุมีผล มันทำความเข้าใจได้ ไม่ได้บอกว่าผิด แต่มันมีส่วนที่เห็นต่าง เป็นความจริงที่จริงที่แตกต่าง แต่มันก็คือความจริง มันก็ไม่มีอะไรให้กังวล มันก็มีอยู่แค่นี้แหละ

    อันความนอบน้อม มันมีอยู่ในจิตบุญของทุกจิตบุญอยู่แล้ว เพราะมันมีเหตุที่มา เรามีวันนี้ได้ เรามีวันพรุ่งนี้ได้ เราทำปัจจุบันให้เหลือเพียงปัจจุบันจิตได้
    เพราะพระพุทธเจ้า ความกตัญูมันเต็มเปี่ยม ความนอบน้อมมันเต็มอก ไม่ต้องให้ใครรู้ มันรู้อยู่ในอดของเราได้เองครับ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ก็ท่านไม่ฉลาดในการเป็นผู้บอกทางที่ดี อย่าไปโทษคนที่ถามแต่เพียงฝ่ายเดียว ความรอบรู้ในวิธีการของท่านมันด้อยค่ามันยังไม่พอที่จะช่วยเหลือคนบางจำพวกได้ ท่านไม่สามารถทำได้เพราะท่านสั่งสมมาน้อยกว่า
    การช่วยของท่านช่วยเหลือจำเพาะผู้มีปัญญามาก แต่พอเจอคนที่มีปัญญาน้อยมีอุปสรรคเยอะมีชะตากรรมเลวร้าย ท่านกลับช่วยเขาไม่ได้เพราะไม่ได้สั่งสมเรียนรู้สร้างบารมีตรงนี้มา


    ทำไมท่านไม่ละเอียดรอบคอบในการช่วยเหลือเขาละ
    ท่านเคยถามเขาไม๊ว่า
    1 เขาจะไปไหน
    2เขาจะไปทำไม
    3เขาไปแล้วได้อะไรดีอย่างไร
    4เมื่อไปแล้วดี คือมีเป้าหมายดี แล้วควรแนะนำเขาอย่างไร
    5วิธีที่แนะนำให้เขาควรบอกวิธีใดเพราะอะไร
    6ตรวจดูวาสนาบารมีเขา ปัญญาเขาหน่อยว่าเขาจะเข้าใจและทำได้ไหม
    7ตรวจดูอุปสรรคที่เขาอาจจะต้องพบเจอหรือมี เพื่อหาทางช่วยเหลือแก้ไขป้องกันให้เขา
    8เมื่อก้าวไปเขาจะต้องเจออะไรบ้างเราควรแนะนำเขาอย่างไร
    9กาย วาจา จิตเขามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหนเราควรสงเคราะห์เขาอย่างไร และควรเตรียมเสบียงบุญอย่างไรให้เอาไปใช้ระหว่างทางจนกว่าจะถึงเส้นชัย
    10เมื่อไปถึงแล้วควรแนะนำเขาอย่างไรก่อนเพื่อให้เขารู้ว่า นี่คือเส้นชัย เพื่อเขาจะได้รู้ว่าเส้นชัยเป็นอย่างไร จะได้รู้ว่าตนมาถึงแล้วจริง

    สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด มันคือความละเอียดอ่อนของจิตใจที่มีเพราะปราถนาช่วยเหลือผู้อื่นจริงๆ หรือแค่ใครถามอะไรก็บอก บอกไปตามที่ตนอยากบอก แต่ไม่สนใจจิตใจของคนถาม ถ้าคิดแบบนี้ท่านปิดปากไว้เงียบไว้เสียดีกว่า ครับสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2015
  10. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    รู้ มันมี รู้แบบงูๆ ปลาๆ

    รู้แบบ ก๊อปปี้เอาลอยๆ

    รู้โดยคิดเอาเองลอยๆ ว่ารู้ ว่าเป็น



    รู้ แบบโพธิสัตว์รู้ มีหรือ จะพาคนเสียเวลา ดูฤกษ์ ดูยาม ดูผีในบ้าน
    ดูผีข้างทาง พาไปรู้ในเรื่องไม่ใช่ประโยชน์

    รู้ แบบโพธิสัตว์ รู้ด้วยภูมิจิต ภูมิธรรม ทั่วถึงในประโยชน์ของการ
    คุ้มครองอินทรีย์6 ที่เรียกสั้นๆว่า ศีล

    ไม่มีหลอก หากสอนศีลได้ แล้วจะต้อง พาไปเห็นประโยชน์อื่น
    จากการ กราบไหว้ บูชา ดูฤกษ์ ดูยาม

    ของง่ายๆ ยังไม่รู้ แล้วไปอ้าง โพธิสัตว์ นั่นมัน คิดเอาเอง แล้ว
    ก็เต้นแร้งเต้นกาทำความดี เข้าไป ปะผุ เพื่อไว้ ยกมาอ้างยามคับขัน
    มาทวงบุญคุณ ห้ามปรามาส สันติ !!!
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    เมื่อเรายังไม่เข้าใจ แต่ถ้าหากเราอย่ากเข้าใจรู้จริง หากมีเจตนาที่บริสุทธิ์จริง อยากใคร่รู้ความจริง ก็ให้คุยกันให้มากๆ หรืออยู่ด้วยกันเลยดีไม๊ จะได้รู้ว่าความจริงมันเป็นเช่นไร

    ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เราก็คนจริง คุยกันทั้งวันคุยกันทุกวัน
    เอาปัญหามาคุยกันเยอะๆ แล้วให้สติปัญญาตามครรลองแห่งธรรมนี่แหละเป็นเครื่องตัดสิน ดูสิว่า ผลจะเป็นอย่างไร ยินดีนะครับ ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ สาธุ
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เชยระเบิด ระเบ้อ

    มันอ้างไปเรื่อย อ้างการช่วยคนอื่น เพื่อ ยกหางตน มันคนละรสชาติ ฮับ

    ถ้า สนใจการเป็น โพธิสัตว์ โคนำฝูง หรือ " โคบาล "


    ก็ควรจะไป ลอกการบ้าน โคบาลสูตร ดูก่อน

    ก่อนที่จะ ด้น เด้า เดาเอา ด้วยการ "ยกอ้าง" ทำความดี
    โดยอาศัย จมูก คนอื่น

    จะยกจิตเป็นผู้นำวิญญาณ แต่ จะทำอะไรสักอย่าง ต้องมี
    ตัวละคร เอาคนอื่นมาสมอ้าง ประกอบ ทำแบบนี้ อีกแสนล้านปี
    ก็ไม่ได้รู้เรื่อง การเป็นโพธิสัตว์
     
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    มันจะเอาอะไรมาจริง

    เดี๋ยว ตกใจ ถีนมิทธะกุมจิต ก็โน้นนน ยกมุขนัย " ตัดหางปล่อยวัด ช่วย
    สรรพสัตว์ไม่มีเว้น ชาติ วรรณะ นิสัย "

    ฮากลิ้ง ...พูดประโยคเดียวกัน ห่างไม่ถึง สองสามคำ ก็ ขาขวิด พูดหน้า
    ลืมหลัง

    เดี๋ยว ตกใจ นึกขึ้นได้ เกิดลูกขยัน ก็มา ท้าทาย มาเสวนากันไม่รู้จบ

    เฮ้ย เขามีแต่ เสวนาตามกาล มันถึงจะพอเหมาะ ไม่ใช่ ชวนสนทนา
    ตลอดกาล นั่นเขาเรียก อัปมงคล หน่าคร้าบ


    เอาง่ายๆ ถ้าจะพูดตาม " ครรลองคลองธรรม "

    ถามว่า

    " กับบุคคลที่อินทรีย์อ่อนที่สุด บรรลุธรรมไม่ได้ " พระพุทธองค์บอก
    กล่าว ขอวันเดือนปีเกิด ขอทราบเลขที่บ้าน เพื่อทำนาย ทายทัก ตั้งศาล
    พระภูมิ บอกการบูชาของดำ ของเขียว ของหวาน หรือเปล่าฮับ

    หรือ เว้นขาด
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==================

    เพราะสรรพสัตว์มีหลายจำพวก คือบัวสี่เหล่า การช่วยเหลือจึงต้องอาศัยพละกำลังหรือปัจจัยหลายอย่าง แน่นอน การที่เราจะช่วยผู้อื่นได้
    เราเองก็ต้องต้องเป็นที่พึ่งของตนเองได้แล้ว เอาตัวเองรอดแล้วด้วยเช่นกัน

    มันเป็นวิธีในแบบที่ละเอียดซับซ้อนที่เราต้องทำเป็นทำได้ แต่ไม่ต้องถามหรอกครับว่าทำไม เพราะปณิธาณมันต่างกันตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว และแน่นอน เราเข้าใจสิ่งที่ท่านเข้าใจดี เพราะเราสั่งสมมามากกว่า และเราก็ทราบดีว่า ท่านไม่มีวันเข้าใจเราเพราะท่านไม่ได้สั่งสมมาเหมือนเรา นั่นเอง ครับ สาธุ
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    หลวงปู่จันทา ถาวโร

    ช่วยเหลือเปรต ทั้ง3 ตน
    .
    สมัยหนึ่ง ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าช้าบ้านหัวดง อ.เมือง จ.นครพนม กับ พระอาจารย์อ่ำ (ธัมมกาโม)ที่นั้นเป็นป่าช้าเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยเริ่มตั้ง จ.นครพนม
    .
    เมื่อไปอยู่แล้ว ก็ตั้งใจทำความเพียร เพราะเราจากครูบาอาจารย์มาแล้ว จะประมาทไม่ได้ ในพรรษานั้น ก็ตั้งใจไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน ทำความเพียรอยู่ใน ๓ อิริยาบถเท่านั้น คือ เดิน ยืน นั่ง ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ลดละ ไม่หวั่นไหวต่อชีวิตสังขาร เพราะหวั่นไหวแล้วก็ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น ทำคุณงามความดี ให้เกิดมีขึ้นในตนเสียดีกว่า
    .
    วันหนึ่ง เดินจงกรมถึง ๓ ทุ่ม แล้วก็ยืน ยืนกำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท ออกว่า โธ อยู่กับ อานาปานสติกรรมฐาน ไม่ลดละ ไม่นาน จิตก็วางพุทโธ จิตก็รวมพึบ เกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้งในท่ายืนนั้น ไม่นานก็มีกลิ่นเหม็นลอยมา กลิ่นอะไรหนอ เขาฝังศพไม่ลึก แล้วหมาไปคุ้ยกินหรือเปล่า หรือว่ากลิ่นอะไร
    .
    ไม่นาน ก็ปรากฏเป็นหญิงเปรต ๓ ตน ร่างกายใหญ่โต ตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่มเหมือนคนโบราณในภาคอีสาน ไม่มีผ้าปกปิดร่างกาน มายืนอยู่ตรงหน้า ห่างประมาณ ๒ วาเท่านั้น มีหนอนตัวดำ ๆ ใหญ่ ๆ ขนาดเท่านิ้วมือเจาะไชของลับเต็มไปหมด แทงงัด ๆ บิดซ้ายบิดขวาเจ็บปวด มีน้ำเน่าไหลโทรมกายโทรมขา โทรมก้น ส่งกลิ่นเหม็น ไม่นานก็เอาของลับไปถูไถกับเครือไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้ หนอนหลุดออก แล้วก็ไต่เข้าไปอีก
    .
    กำหนดถามไปว่า “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?”
    .
    เขาก็ตอบว่า “ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เริ่ม จ.นครพนม พวกข้าพเจ้าทั้ง ๓ คนนี้เล่นชู้นอกใจผัว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทำให้ผัวคับแค้นอัดอั้นตันใจ ได้ไม่พอกิน ไม่อิ่ม เป็นคนมักมาก ขี้โลภในกิเลสกาม นั่นแหละ พระเทศน์ให้ฟังว่า กาเมสุมิจฉาจาร นั้น ไม่ให้ทำ เป็นบาปชั่วช้าลามกก็เฉย ไม่เชื่อฟัง เอาแต่สนุกสนานในการคบชู้สู่ชาย ไม่เลือกทั้งฆราวาส ทั้งพระ เอาหมดทั้งนั้น เมื่อตายแล้ว จึงมาเกิดเป็นเปรต มีหนอนเจาะของลับอยู่ในป่าช้านี่แหละท่าน”
    .
    ถามว่า จะพ้นจากกรรมได้เมื่อไร ก็ไม่รู้ ทำอย่าไรจึงจะพ้นกรรมก็ไม่รู้อีก จึงได้กำหนดถามพระธรรมตัวเองว่า
    .
    “หญิงเปรต ๓ ตนนี้ เป็นญาติของเราบ้างไหมหนอ ?”
    .
    พระธรรมพูดขึ้นมาที่ใจว่า “เป็น...เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ครั้นเมื่อเราตกทุกข์ได้ยาก เขาก็ช่วยเหลือสงเคราะห์
    ต่างคนก็ต่างสงเคราะห์กันมาอย่างนี้ มาชาตินี้ภพนี้ ต่างคนต่างทำกรรมไม่เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างไปคนละภพ แต่กรรมเก่าที่เคยสงเคราะห์กันมา ก็ดลบันดาลให้มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ฉะนั้น จงช่วยเหลือสงเคราะห์เขาเสีย”จากนั้นก็พูดกับหญิงเปรตนั้นว่า
    .
    “โยมทั้ง ๓ กับอาตมา เคยเป็นญาติกันมาแต่ปางก่อนโน้น หลายภพหลายชาติแล้ว ต่างคนต่างทำกรรมไม่ดี มาชาตินี้ก็เปลี่ยนแปลงภพชาติเป็นอย่างนี้ แต่กรรมเก่าก็ส่งผลให้มาสงเคราะห์ อาตมาจะสงเคราะห์ให้เอาไหม ?”
    .
    “เอา...เมตตาสงเคราะห์บ้างเถิดท่าน เป็นเปรตตกทุกข์ยาก ทรมานมานานแสนนาน ตั้งแต่เริ่มตั้ง จ. นครพนม แล้วละท่าน”
    .
    “เอ้า...นั่งลง เจ็บปวดก็ทนเอานะ เพราะตนเองทำไว้ ทำอย่างไรก็ให้ผลอย่างนั้น นั่นแหละ อัตตะนา วะกะตัง ปาปัง อัตตะนา สังกิสิสสะติ อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง อัตตะนา วะ วิสุชฌะติ ทำบาปเอง
    ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดและเศร้าหมองหาได้ไม่ ฉะนั้น บุญก็ดี บาปก็ดี ตนของตนเองหรอก เป็นผู้กระทำสะสมไว้ และให้ผลเป็นทุกข์แน่นอน”
    .
    เขาก็นั่งลง กราบไหว้ เสร็จแล้วก็ให้เขารับ พระไตรสรณคมน์ และ ศีล ๕ ธรรมทั้งสองรวมกันเข้าแล้วก็ได้ชื่อว่า มนุสสธัมโม จะได้ภพชาติกับมาเป็นมนุษย์อีก
    .
    ต่อจากนั้น ก็ให้เขาเดินจงกรมบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนาบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ
    พระไตรสรณคมน์และศีล ๕ กับการเดินจงกรม นั่งภาวนา เป็นการบำเพ็ญบุญเพื่อล้างบาป พวกท่านทำบาปใหญ่โตมโหฬารแล้ว ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการทั้งนั้น ฝนตกก็หนาว ลมพัดก็หนาว แดดออกก็ร้อน เป็นทุกข์ยากลำบากแสนกันดารนานแล้วนั่นแหละ จะบอกให้ชาวบ้านหัวดง เขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เขาก็เป็นญาติของเราของท่านเหมือนกันพอรุ่งเช้า เสร็จจากการบิณฑบาตแล้ว ก็เล่าให้โยมฟังว่า
    .
    “เมื่อคืนได้พบหญิงเปรต ๓ ตน มาหา ไม่มีเสื้อผ้าใส่ มีแต่หนอนเจาะไชของลับ เจ็บปวดแสนทุกข์ยากทรมาน ดูแล้วน่าสังเวชสลดใจ พวกเขาเหล่านั้นก็เคยเป็นญาติพี่น้องกับพวกท่านมา ฉะนั้น จงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาเสีย”
    .
    ชาวบ้านเขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วเปรตเหล่านั้นก็มารับส่วนบุญ พอถึงวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ก็ให้เขามารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๘ ตามอย่างมนุษย์นั่นแหละ เทศน์แนะนำพร่ำสอนเขาอยู่อย่างนั้น กรรมชั่วช้าลามกใครเล่าทำให้ เราเองหรอกเป็นผู้มักมาก มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ยอมทำความดี ทำแต่ความชั่วใส่ตัวอยู่เป็นนิจ นี่แหละทำลงไปแล้วก็ให้ผลเป็นทุกข์อย่างนี้
    .
    ต่อจากนั้น บางคืนสงบสงัด ก็ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่กลางป่าช้า (บางทีกลางวันสงบสงัดก็ได้ยิน)
    “โอ๊ย ! ... เจ็บเหลือเกิน เจ็บเด๊...ปวดเด๊...พ่อเอ๊ย...แม่เอ๊ย...เมื่อไหร่หนอจะพ้นจากกรรมเวร”
    .
    ได้ยินแล้วน่าสงสาร น่าสังเวชสลดใจ
    .
    เวลาล่วงเลยไปถึงเดือนตุลาคม ขึ้น ๑๐ ค่ำ ไปยืนภาวนาอยู่กลางป่าช้า ไม่นาน จิตใจก็สงบ เห็นหญิงเปรต ๓ ตนนั้นมาหา ใส่เสื้อผ้าและมีผ้าเฉลียงบ่าเรียบร้อยดี เข้ามากราบแล้วพูดว่า
    .
    “ท่านอาจารย์ พวกดิฉันพ้นบาปกรรมจากกำเนิดเป็นเปรตแล้ว เพราะว่าท่านมาโปรด หนอนเจาะของลับนั้นตายหมดแล้ว เพราะอำนาจของพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ สังหารล้างบาปเคราะห์เข็ญเวรร้ายได้หมด และอำนาจที่ไปอนุโมทนากุศลกับญาติทั้งหลายที่อุทิศให้ และท่านอาจารย์อุทิศให้ นั่นแหละ
    ก็พ้นทุกข์จากกำเนิดเป็นเปรตได้ รวมทั้งที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายได้น้อมเอาพระไตรสรณาคมน์และศีล ๕ ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนา เดินจงกรมอย่างที่ท่านสอนนั่นแหละ บาปทั้งหลายก็หมดสิ้นไป ไม่เหลือเศษอยู่ได้ เมื่อก่อนนี้ก็มีพระมาจำพรรษาอยู่ที่นี่เป็นร้อย ๆ ก็ไม่มีใครโปรดได้ ไปหาแล้วก็เฉย
    .
    ผลสุดท้ายเขย่าต้นไม้ถาม ก็วิ่งหนีขึ้นกุฏิไปเลย บางทีก็หันหน้ามาด่าว่าและขว้างปาใส่อีก แต่สำหรับท่านอาจารย์ มาหาแล้วก็คุยกันรู้เรื่องและโปรดสงเคราะห์ช่วยเหลือได้ ต่อแต่นี้ไป พวกดิฉันทั้ง ๓ จะขอลาไปเกิดยังเมืองมนุษย์”
    .
    อาตมาจึงว่า “พวกพระเหล่านั้นเขาไม่ใช่ญาติของโยม และก็ไม่เคยมีอุปการคุณต่อกันมา อีกทั้งจิตของเขาก็ไม่สงบลงสู่ภพเดียวกัน มันก็ไม่เห็นกันหรอก แต่อาตมากับพวกท่าน เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว กรรมเก่าจึงบันดาลให้มาโปรดนะ และถ้าจะไปเกิดยังเมืองมนุษย์ก็ขอให้ไปเกิดที่ จ.สกลนครโน่น
    เพราะมีพระกรรมฐานมาก มี หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ และอีกหลายองค์ หรือไม่ก็ไปที่ จ. อุดรธานี ก็มีพระกรรมฐานมากเช่นกัน ขอให้ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ อย่าได้ประมาท อำนาจของพุทโธ ธัมโม สังโฆ
     
  16. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    947
    ค่าพลัง:
    +1,210
    อย่าคิดมากครับ
    ภาวนามากๆจะดีกว่า
     
  17. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ก่อนรู้ความจริง..รูปนามเป็นของเรา
    พอรู้ความจริง..รูปนามไม่ไช่ของเรา
    ความจริงคือ...เราเองยังไม่มีเรา...

    หรืออยากมี...ก็จะอยากทำไมเกิดมาก็มีแล้วรูปนาม
    ไม่จำเป็นต้องอยากมีเรา...แค่ใช้รูปนามให้เป็นมรรคแปด...มันก็จะสบาย
     
  18. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    "ร่างกายไม่ใช่เรา จิตนี่ก็ไม่ใช่เราแล้วอะไรล่ะที่เป็นเรา"

    เพื่อให้เชื่อมโยงกับธรรมภาคปริยัติให้ง่ายขึ้น
    ขอให้ยกคำว่า "ร่างกาย" และ"จิต" ออกไปก่อน
    ให้ใช้ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แทน

    เมื่อนักปฏิบัติพิจารณาอย่างถึงใจจริงๆ แล้วว่า
    ขันธ์ 5 นี่ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
    เป็นของใช้เพียงชั่วคราว ไม่เป็นเรา เราไม่เป็น ไม่มีในเรา เราไม่มีใน แล้ว
    จากนั้นสิ่งที่ปรากฎขึ้นมาที่ไม่ใช่ขันธ์ 5 นั้นมีอยู่
    เป็นผู้รู้อยู่ แต่ผู้รู้ก็ไม่ได้สำคัญว่าผู้รู้เป็นเรา
    เป็นเพียงสักแต่ว่ารู้เท่านั้น

    ดังนั้นเมื่อไม่ยึดขันธ์ 5 ว่าเป็นเราแล้ว
    ความเป็นเราจึงไม่มี ความเป็นเรานั้นสูญไป
    แต่สิ่งที่ไม่เกิดดับไม่สูญไปนั้นยังมีอยู่
     
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    มาหมิ่นเหม่เอา ๒ ประโยคสุดท้ายนี่แหละครับ
    ทิฏฐิวิสุทธิหรือไม่วิสุทธิ อยู่ที่ปฏิบัติเพื่อสละละวาง
    ทั้งสิ้นทั้งปวงอย่างแท้จริง หรือยังจะมีคาดหวังอะไร
    เป็นรางวัลตอบแทนความเหนื่อยยากอยู่รึป่าวนั่นเอง
    สละออกให้หมดครับ
     
  20. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ขอบคุณครับที่ชี้แนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...