จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    .............................................
    การเอาจิตเกาะพระก็ได้กําไรเพราะเป็นทั้งพุทธานุติและกสิณ(แล้วแต่พระเป็นทองหรือเงินหรือขาว) รวมทั้งพระธรรม พระสงฆ์ ก็ได้ครบเลย พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ สาธุธรรมค่ะ ท่าน อ ภู
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    โสดาบัน ๓ (ท่านผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้ว, ผู้แรกถึงกระแสอันนำไปสู่พระนิพพาน แน่ต่อการตรัสรู้ข้างหน้า — Stream-Enterer)

    ๑. เอกพีชี (ผู้มีพืชคืออัตตภาพอันเดียว คือ เกิดอีกครั้งเดียว ก็จักบรรลุอรหัต — the Single-Seed)

    ๒. โกลังโกละ (ผู้ไปจากสกุลสู่สกุล คือ เกิดในตระกูลสูงอีก ๒-๓ ครั้ง หรือเกิดในสุคติอีก ๒-๓ ภพ ก็จักบรรลุอรหัต — the Clan-to-Clan)

    ๓. สัตตักขัตตุงปรมะ (ผู้มีเจ็ดครั้งเป็นอย่างยิ่ง คือ เวียนเกิดในสุคติภพอีกอย่างมากเพียง ๗ ครั้ง ก็จักบรรลุอรหัต — the Seven-Times-at-Most)

    A.I.233: IV.380; V.120; Pug.3,16,74 องฺ.ติก.๒๐/๕๒๘/๓๐๒; องฺ.นวก.๒๓/๒๑๖/๓๙๔; องฺ.ทสก.๒๔/๖๔/๑๒๙/; อภิ.ปุ.๓๖/๔๗-๙/๑๔๗.
     
  3. pattranit uk

    pattranit uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 เมษายน 2012
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +1,446
    เงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ

    เคล็ดการสวดคาถาเงินล้าน จากหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ที่ท่านเมตตาแนะนำไว้มาฝากครับ

    เมื่อปี๒๕๒๘พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้ขอให้บรรดาลูกหลานใช้พระคาถาเงินล้านเพื่อเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตพระท่านก็อนุญาตให้เราจะสังเกตได้ว่าใครก็ตามที่ทำพระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอความคล่องขัดในการดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขาขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอเพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญาคนจะเป็นอภิญญาได้จะต้องมีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้งๆเมื่อท่านทั้งหลายได้ทำจริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก อย่างเช่นว่าอาจจะภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้นก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา
    โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่ ๙ จบก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....
    จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐จบ.......
    ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น๑,๒๐๐ จบ เป็นต้น
    การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย เป็นการเน้นคุณภาพไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒เดือนผลก็จะเกิดขึ้น credit:


    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรด ท่านบอกว่า "ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

    ญาติโยมทั้งหลายนั้นแม้จะทราบว่าคาถาเงินล้านเป็นของดีแต่ไม่ค่อยจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยต่อเนื่องบางคนก็มาบ่น บอกว่ามีความลำบากในการทำมาหากินมาก อาตมาก็บอกคาถาเงินล้านให้ไปใช้เขาบอกว่าเขาภาวนาเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ ?"โยมบอกว่า"๑ จบ"อาตมาก็อยากจะบอกว่า"จบเห่"คนอยากรวยทำงานวันละ ๑ นาที ขนาด ๒๔ ชั่วโมงทำ ๘ ชั่วโมงยังไม่ค่อยจะพอกินเลย จึงได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายไปเพิ่มจำนวนขึ้นทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ โดยให้ยึดที่ ๑๐๘ จบ เป็นหลักเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่แต่บ้านเราเท่านั้น เศรษฐกิจโลกก็พลอยแย่ไปด้วยถ้าหากว่าเราอาศัยบารมีพระยึดท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ ทำแบบมอบหมายถวายชีวิตจริง ๆขอยืนยันว่าทุกอย่างก็จะเป็นจริงไปด้วย

    ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆเหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆจนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้นญาติโยมทั้งหลายจำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆหากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกายถ้าตรงจุดพอเหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้นแบบที่หลวงปู่สดท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลงไปก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่าไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้คาถาบทนั้นจะมีผลมาก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ถ้าทำถูกไม่ต้องไปท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกินนั้น
    **
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้านเพื่อให้เกิดผลสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็งเวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย
    ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ ให้เป็นศูนย์กลางของเราเสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลยแต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆอยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงจะมีความคล่องตัวมาก จะทำงานใหญ่ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ
    ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหาจุดกึ่งกลางของเราที่พอดีโดยไม่ต้องเกร็งตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเราให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ เท่านั้นให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลาเงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ

    เคล็ดการสวดคาถาเงินล้าน จากหลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน ที่ท่านเมตตาแนะนำไว้มาฝากครับ

    เมื่อปี๒๕๒๘พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านได้ขอให้บรรดาลูกหลานใช้พระคาถาเงินล้านเพื่อเสริมสร้างความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตพระท่านก็อนุญาตให้เราจะสังเกตได้ว่าใครก็ตามที่ทำพระคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐานอย่างสม่ำเสมอความคล่องขัดในการดำเนินชีวิตจะมีน้อยกว่าคนอื่นเขาขอยืนยันคำว่าจริงจังและสม่ำเสมอเพราะว่าเรื่องคาถาเป็นพื้นฐานของอภิญญาคนจะเป็นอภิญญาได้จะต้องมีความจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำ ๆ ทิ้งๆเมื่อท่านทั้งหลายได้ทำจริงจังและสม่ำเสมอ โดยเฉพาะทำในจำนวนที่มาก อย่างเช่นว่าอาจจะภาวนาวันละ ๑๐๘ จบ เป็นต้นก็จะมีความสะดวกคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา
    โดยเฉพาะอาตมานั้น ตั้งแต่ท่านบอกมา ใช้การภาวนาจากที่เคยใช้อยู่ ๙ จบก็เพิ่มมาเป็น ๓๐ จบ....
    จากที่ใช้ ๓๐ จบ แล้วรู้ว่าเวลามันเหลืออีกเยอะ ก็เพิ่มเป็น ๓๐๐จบ.......
    ไล่มากเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็น ๓๖๐ จบ เป็น ๖๐๐ จบ เป็น ๙๐๐ จบเป็น๑,๒๐๐ จบ เป็นต้น
    การท่องใช้วิธีท่องอย่างช้า ๆ โดยจับลมหายใจภาวนาไปด้วย เป็นการเน้นคุณภาพไม่ใช่จ้ำ ๆ ให้จบไป สักแต่ว่าเอาปริมาณ เรื่องของคาถาถ้าทำด้วยความเคารพจริงจังและสม่ำเสมอแล้ว ไม่เกิน ๒เดือนผลก็จะเกิดขึ้น credit:


    พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมาโปรด ท่านบอกว่า "ถ้าภาวนาคาถาเงินล้านเป็นกรรมฐาน ทรงอารมณ์โดยไม่เคลื่อนเลยวันละ ๑ ชั่วโมงจะสร้างโบสถ์กี่หลังก็ทำได้"

    ญาติโยมทั้งหลายนั้นแม้จะทราบว่าคาถาเงินล้านเป็นของดีแต่ไม่ค่อยจะทำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ค่อยต่อเนื่องบางคนก็มาบ่น บอกว่ามีความลำบากในการทำมาหากินมาก อาตมาก็บอกคาถาเงินล้านให้ไปใช้เขาบอกว่าเขาภาวนาเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว ถามว่า "โยมภาวนาวันละกี่จบ ?"โยมบอกว่า"๑ จบ"อาตมาก็อยากจะบอกว่า"จบเห่"คนอยากรวยทำงานวันละ ๑ นาที ขนาด ๒๔ ชั่วโมงทำ ๘ ชั่วโมงยังไม่ค่อยจะพอกินเลย จึงได้บอกให้ญาติโยมทั้งหลายไปเพิ่มจำนวนขึ้นทำให้จริงจังและสม่ำเสมอ โดยให้ยึดที่ ๑๐๘ จบ เป็นหลักเพราะว่าภาวะเศรษฐกิจไม่ใช่แต่บ้านเราเท่านั้น เศรษฐกิจโลกก็พลอยแย่ไปด้วยถ้าหากว่าเราอาศัยบารมีพระยึดท่านเป็นที่พึ่งสุดท้ายจริง ๆ ทำแบบมอบหมายถวายชีวิตจริง ๆขอยืนยันว่าทุกอย่างก็จะเป็นจริงไปด้วย

    ท่านให้ภาวนาคาถาเงินล้านอย่างเดียว ตอนที่ภาวนาตามที่ท่านสั่ง ทำไป ๆเหมือนกับตัวเองดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆจนในที่สุดลมหายใจมันก็ลึกหมือนกับเหวที่ไม่มีก้นญาติโยมทั้งหลายจำตรงนี้ไว้ให้แม่น ๆหากว่าภาวนาจับลงที่ศูนย์กลางกายถ้าตรงจุดพอเหมาะพอดีมันจะลึกลงไปเรื่อย ๆ เหมือนเหวที่ไม่มีก้นแบบที่หลวงปู่สดท่านบอกว่าให้หยุดลงตรงกลาง....ตรงกลางลงไป...ตรงกลางลงไปก็จะไปได้เรื่อย ๆ อาตมาเองมีประสบการณ์หลายครั้งแล้วว่าไม่ว่าภาวนาคาถาบทไหนก็ตาม ถ้าหากว่ามาถึงตรงจุดนี้คาถาบทนั้นจะมีผลมาก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนทำให้ถูกตรงนี้ถ้าทำถูกไม่ต้องไปท่องเป็นร้อยเป็นพันจบก็ได้เพราะว่าอารมณ์เต็มที่มันก็จะไม่เกินนั้น
    **
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคนเข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้านเพื่อให้เกิดผลสูงสุดที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคนดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็งเวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไปจนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย
    ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ ให้เป็นศูนย์กลางของเราเสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลยแต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆอยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ
    องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่าถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมงจะมีความคล่องตัวมาก จะทำงานใหญ่ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีตทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ
    ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหาจุดกึ่งกลางของเราที่พอดีโดยไม่ต้องเกร็งตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเราให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ เท่านั้นให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา กราบอนุโมทนาสาธุด้วยเศียรเกล้าเจ้าค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128.4 KB
      เปิดดู:
      138
  4. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    คืนที่หลวงปู่มั่น‬
    บรรลุธรรมสู่อรหัตตผล


    หลวงปู่ชอบ(ฐานสโม) ท่านพักภาวนาอยู่กับองค์ท่านหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    ที่ถ้ำดอกคำ บ้านสหกรณ์ ตำบลน้ำแพร่ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่..
    คืนนั้น เวลาประมาณตีสามกว่า
    หลวงปู่ชอบท่านนั่งภาวนาอยู่ที่พักของท่าน
    จิตท่านในเวลานั้นสว่างไสวใสงามมาก
    แต่แล้วจู่ๆความสว่างไสวของจิตเกิดดับวูบลงไปอย่างกะทันหัน
    พร้อมกับมีเสียงกึกก้องกัมปนาทสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วขุนเขา..
    ท่านเปรียบเทียบว่า เสียงนี้ไม่ต่างอะไรกับระเบิดปรมาณู
    มาระเบิดอยู่ข้างๆตัวเรา จนท่านเกิดอาการสั่นไหวในจิต
    คล้ายกับผืนแผ่นพสุธาจะแตกสลายกลายเป็นจุล
    อาการเหล่านี้ เกิดขึ้นภายในจิตของท่านเท่านั้น
    แต่สิ่งต่างๆที่อยู่ภายนอกก็เป็นปรกติทุกอย่าง
    ตั้งแต่ท่านภาวนามา ก็ไม่เคยประสบพบเจอกับอาการแบบนี้ของจิต
    ท่านจึงพิจารณาดูภายในว่า เกิดอะไรขึ้นกับจิตของตน
    พิจารณาดูจิตก็ไม่เห็นผิดปรกติตรงไหน..
    ท่านจึงพิจารณาดูภายนอกว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
    พอดึงจิตออกมาดูข้างนอก
    จิตท่านก็พุ่งตรงไปที่องค์ท่านหลวงปู่มั่นทันที
    ท่านเห็นเทวดาพากันมาห้อมล้อมองค์ท่านหลวงปู่มั่นจำนวนมาก
    เทวดาพากันมาจากทุกสวรรค์ชั้นภูมิ จนเต็มพื้นดินแผ่นฟ้านภากาศ
    ครั้งนั้นท่านว่าเทวดามาหาองค์ท่านหลวงปู่มั่นมากถึงสิบโกฏิ
    (หนึ่งโกฏิเท่ากับสิบล้าน)
    รัศมีบารมีเทวดาเปล่งประกายเจิดจ้า
    จนทำให้ทั่วบริเวณถ้ำดอกคำสว่างไสวด้วยรัศมีของเทพเจ้าเหล่าเทวดา
    แต่รัศมีของเทวดาทั้งหลายยังไม่เท่ากับรัศมีธรรมขององค์ท่านหลวงปู่มั่น
    รัศมีธรรมขององค์ท่านสว่างไสวกว่ารัศมีเทวดามากมายจนเกินประมาณ
    หลังจากชื่นชมรัศมีบารมีธรรมขององค์ท่านหลวงปู่มั่นแล้ว
    ท่านก็ถอนจิตออกมา ท่านรำพึงในใจว่า
    “ เหตุการณ์นี้ต้องสำคัญกับท่านอาจารย์ใหญ่อย่างแน่นอน ”..
    ข้ามอีกวัน เวลาประมาณสี่โมงเย็น
    หลวงปู่ชอบท่านเข้าไปเตรียมน้ำ สำหรับสรงองค์ท่านหลวงปู่มั่น
    ขณะที่ท่านผลัดผ้าให้กับองค์ท่านหลวงปู่มั่นนั้น
    หลวงปู่มั่นถามท่านว่า
    ท่านชอบตอนนี้การภาวนาของท่านเป็นอย่างไรบ้าง..
    ท่านกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า
    การภาวนาของข้าน้อยตอนนี้เป็นปรกติดีขอรับ
    เพียงแต่เมื่อคืนวานมีเหตุการณ์หนึ่งทำให้จิตของข้าน้อยดับวูบลงไป
    มีเสียงดังกัมปนาทเหมือนระเบิดขนาดใหญ่มาแตกอยู่ข้างๆ
    ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้ข้าน้อยก็ไม่เคยเป็นมาก่อนในขณะกำลังภาวนา..
    องค์ท่านหลวงปู่มั่นถามว่า
    เรื่องนี้ท่านพิจารณาเห็นเป็นเช่นไร..
    ท่านตอบว่า
    ข้าน้อยพิจารณาดูภายในจิตก็ไม่เห็นอะไรผิดปรกติ
    พอถอนจิตออกมาดูภายนอก
    เห็นพ่อแม่ครูอาจารย์มีรัศมีสว่างไสวสดใสงดงามมาก
    รัศมีของพ่อแม่ครูอาจารย์สว่างไสวกว่าทุกครั้งที่ข้าน้อยเคยเห็นมา
    มีเทวดาจากทุกชั้นภูมิพากันมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์มากที่สุด
    เท่าที่ข้าน้อยเคยพบเห็น
    แต่ข้าน้อยไม่ทราบว่า
    ที่เทพเจ้าเหล่าเทวดาพากันมาหาพ่อแม่ครูอาจารย์จำนวนมาก
    ถึงขนาดนี้ เพราะเหตุจากอะไร..
    องค์ท่านหลวงปู่มั่นพูดขึ้นมาว่า
    ที่ท่านชอบเห็นเทวดามาหาเราจำนวนมากนั้น
    พวกเทพเทวดาเขาพากันมาร่วมอนุโมทนาที่เรา
    “ บรรลุธรรมธาตุ ” พ้นทุกข์แล้ว
    จากนี้ต่อไป การเกิดของเราจะไม่มีอีกแล้ว
    ทุกอย่างของเรามันขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว
    พระอรหันต์ท่านสิ้นกิเลสเช่นไร
    เราก็สิ้นกิเลสแล้วเช่นนั้น..
    เสียงดังเหมือนเสียงระเบิดที่ท่านได้ยินนั้น
    เป็นเสียงอนุโมทนาของเทพเจ้าเหล่าเทวดา
    เสียงอนุโมทนาของเทวดาเป็นเสียงเทวะฤทธิ์
    ไปกระทบกับจิตของท่าน ในขณะนั้นพอดี
    จึงเป็นเหตุทำให้จิตของท่านสะเทือน
    จนถอนออกจากสมาธิอย่างกะทันหัน..
    สิ้นคำพูดที่องค์ท่านหลวงปู่มั่น
    หลวงปู่ชอบท่านบอก
    “ เราถึงกับขนลุกซู่ขึ้นมาทันที
    เราเองก็ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องราวแบบนี้
    คำว่า “ธรรมธาตุ ”
    ตั้งแต่เราเกิดมาพึ่งจะได้ยินคำนี้ในวันนั้นเอง
    จนเราเกิดปีติอย่างแรงกล้าน้ำตาไหลพรากออกมาอย่างไม่รู้ตัว”..
    ท่านว่า ตอนนั้นเราก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยคำใดออกมา
    เพื่อให้สมกับฐานะธรรมของพ่อแม่ครูจารย์มั่น
    เรากราบลงแทบเท้าพ่อแม่ครูจารย์มั่น
    โดยห้ามการกระทำของตนเองไว้ไม่อยู่
    ก้มมองดูเท้าของพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้ว ร้องไห้ออกมา
    เพราะตื้นตันใจที่องค์ท่าน
    “ บรรลุธรรมธาตุ ” เป็น “ พระอรหันต์ ” อย่างสมภูมิ..
    หลวงปู่ชอบ
    “ เราร้องไห้แบบไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
    ไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกของตนเองได้อย่างไรในตอนนั้น
    มันเป็นนามธรรมเกินที่จะอธิบายให้ทราบได้
    ถึงตอนนั้นพ่อแม่ครูจารย์มั่น จะดุด่าอย่างไร เราก็ยอม
    แต่ท่านก็ไม่ว่าอะไรให้เรา
    ท่านปล่อยให้เราแสดงความรู้สึกออกมา พอความรู้สึกผ่อนลงแล้ว
    พ่อแม่ครูจารย์จึงว่าให้เรา
    ฮ่วย..มันเป็นถึงขนาดนี้หรือ ท่านชอบ
    ปีตีกระแทกจิตแรงจนบ่อน้ำตาแตกเลยหรือท่าน ”..
    ท่านกราบเรียนองค์ท่านหลวงปู่มั่นว่า
    ข้าน้อยตื้นตันใจ
    ที่รู้ว่าพ่อแม่ครูอาจารย์จบกิจในพระพุทธศาสนาพ้นทุกข์แล้ว
    เหลือแต่ข้าน้อยเท่านั้น
    ที่ยังต้องปฏิบัติกิจในพระศาสนาอีกต่อไป
    ชาตินี้ ข้าน้อยขอปรารถนารู้เห็นธรรมเหมือนกับพ่อแม่ครูบาอาจารย์..
    องค์หลวงปู่มั่นบอกกับท่านว่า
    ถ้าท่านอยากสำเร็จมรรคผลนิพพานในชาตินี้
    ท่านอย่าละความเพียรที่เคยบำเพ็ญมา
    ท่านอย่าท้อถอยเป็นอันขาด
    ให้ปฏิบัติตามที่เราอบรมสั่งสอนมา
    ถ้าท่านทำตามนี้แล้วเรารับรองให้เลยว่า
    ชาตินี้ท่านจะได้มรรคผลนิพพานสมใจอย่างแน่นอน
    Cre: webpalungjit
    ขอน้อมจิตก้มกราบแทบเท้าครูบาอาจารย์ทั้งสองท่าน
    ด้วยเศียรเกล้า กราบ กราบ กราบ สาธุๆๆ
    ภู ท ย า น ฌ า น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    อนาคามี ๕
    (ท่านผู้บรรลุอนาคามิผลแล้ว, ผู้ไม่เวียนกลับมาอีก — Non-Returner)

    ๑. อันตราปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานในระหว่าง คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้ว อายุยังไม่ถึงกึ่ง ก็ปรินิพพานโดยกิเลสปรินิพพาน — one who attains Parinibbana within the first half life-span)

    ๒. อุปหัจจปรินิพพายี (ผู้จวนจะถึงจึงปรินิพพาน คือ อายุพ้นกึ่งแล้ว จวนจะถึงสิ้นอายุจึงปรินิพพาน — one who attains Parinibbana after the first half life-span)

    ๓. อสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยง่าย ไม่ต้องใช้ความเพียรนัก — one who attains Parinibbana without exertion)

    ๔. สสังขารปรินิพพายี (ผู้ปรินิพพานโดยใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก — one who attains Parinibbana with exertion)

    ๕. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี (ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้วก็ตาม จะเกิดเลื่อนต่อขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพแล้วจึงปรินิพพาน — one who goes upstream bound for the highest realm; up-streamer bound for the Not-Junior Gods)

    A.I. 233; IV. 14,70,380; V. 120; Pug.16 องฺ.ติก.๒๐/๕๒๘/๓๐๒; องฺ.นวก.๒๓/๒๑๖/๓๙๔; องฺ.ทสก.๒๔/๖๔/๑๒๙; อภิ.ปุ.๓๖/๕๒-๖/๑๔๘.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • BuddhaGold1.jpg
      BuddhaGold1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      829.6 KB
      เปิดดู:
      967
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      61
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    อริยบุคคล ๗ (บุคคลผู้ประเสริฐ — noble individuals) เรียงจากสูงลงมา

    ๑. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ท่านที่ได้สัมผัสว๘ ด้วยกายและสิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้เจโตวิมุตติขั้นอรูปสมบัติมาก่อนที่จะได้ปัญญาวิมุตติ — one liberated in both ways)

    ๒. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา คือ ท่านที่มิได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกายแต่สิ้นอาสวะแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอรหันต์ผู้ได้ปัญญาวิมุตติก็สำเร็จเลยทีเดียว — one liberated by understanding)

    ๓. กายสักขี (ผู้เป็นพยานด้วยนามกาย หรือ ผู้ประจักษ์กับตัว คือ ท่านที่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย และอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีสมาธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — the body-witness)

    ๔. ทิฏฐิปปัตตะ (ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิ คือ ท่านที่เข้าใจอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัต ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — one attained to right view)

    ๕. สัทธาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยศรัทธา คือ ท่านทีเข้าในอริยสัจจธรรมถูกต้องแล้วและอาสวะบางส่วนก็สิ้นไปเพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มีศรัทธาเป็นตัวนำหน้า หมายเอาพระอริยบุคคลผู้บรรลุโสดาปัตติผลแล้วขึ้นไป จนถึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่ออรหัตที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้าในการปฏิบัติ — one liberated by faith)

    ๖. ธัมมานุสารี (ผู้แล่นไปตามธรรม หรือผู้แล่นตามไปด้วยธรรม คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผล ที่มีปัญญินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีปัญญาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นทิฏฐิปัตตะ — the truth-devotee)

    ๗. สัทธานุสารี (ผู้แล่นไปตามศรัทธา หรือผู้แล่นตามไปด้วยศรัทธา คือ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุโสดาปัตติผลที่มีสัทธินทรีย์แก่กล้า อบรมอริยมรรคโดยมีศรัทธาเป็นตัวนำ ท่านผู้นี้ถ้าบรรลุผลแล้วกลายเป็นสัทธาวิมุต — the faith devotee)

    D.III. 105,254; Vism.659. ที.ปา.๑๑/๘๐/๑๑๕; ๓๓๖/๒๖๖; องฺ.ติก.๒๐/๔๖๐/๑๔๘; ขุ.ปฏิ. ๓๑/๔๙๓-๕/๓๘๐-๓;
    อภิ.ปุ.๓๖/๑๓/๑๓๙; วิสุทธิ.๓/๓๐๒; วิสุทธิ.ฏีกา ๓/๕๖๒-๕๖๘.

    พระโสดาบัน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ 1
    https://www.youtube.com/watch?v=6qtgqvmHO1o
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SmileRich.jpg
      SmileRich.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33.7 KB
      เปิดดู:
      1,041
    • Smiledog.jpg
      Smiledog.jpg
      ขนาดไฟล์:
      69.4 KB
      เปิดดู:
      61
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    ประวัติหลวงปู่พุธ ฐานิโย (เสียงหลวงพ่อเอง)

    https://youtu.be/sMq_fMJIwM4
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpPutTaniyo.jpg
      LpPutTaniyo.jpg
      ขนาดไฟล์:
      131 KB
      เปิดดู:
      988
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      47
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 มีนาคม 2016
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ‪‎ดาวมฤตยู‬

    (ดาวยูเรนัส)
    หรือดาวแห่งความตาย

    พวกเรากังวลใจกันมั๊ย
    เพราะตั้งแต่ 6 มีนาฯนี้ เป็นต้นไป
    ดวงดาวเคลื่อน 84 ปี มีครั้งนึง
    ดาวมฤตยู หรือดาวแห่งความตายทับดวงเมือง
    กินระยะเวลานานถึง 7 ปี
    มีผลทั่วโลก เริ่มเข้าสู่ยุคการเปลี่ยนแปลง
    หรือ เรียกว่า "New World Order"
    อาจจะมีทั้งเรื่องดีและไม่ดี

    ถ้าใครอยากเริ่มต้นที่ดี ก็ด้วยการทำบุญ
    บุญภายนอกหรือบุญภายใน ก็เลือกทำเอง
    ฉะนั้น อย่าได้กังวลกับดาวมฤตยูกันนักเลย

    ข่าวดี! สำหรับนักภาวนา ถ้ามีความตั้งใจจริง
    เจริญในธรรม มีดวงตาเห็นธรรม ก็คราวนี้แน่
    ปกตินักภาวนานั้น เข้าใจกฎไตรลักษณ์ดี
    ฉะนั้น คำว่า อนิจจัง! คงมีอยู่ในใจทุกคนแน่
    ยอมรับกฎธรรมดา ยอมรับการแปรเปลี่ยนโลกนี้ได้แน่
    ในทางกลับกัน คือ ผู้ที่มุ่งหน้าทำแต่ความชั่ว
    ผลของกรรมนั้น ก็จะปรากฎเร็วขึ้น
    เพราะเป็นปีแห่งการเร่งกรรมของตนเอง
    ไหนโลกจะเปลี่ยนแปลง ไหนจิตคนเราที่เปลี่ยน
    แต่ไม่ขอพูดถึงจิตผู้คนคิดไม่ดี หรือคนไม่ดี
    แค่อยากบอกว่า คนที่มีศีล มีธรรม สบายแน่
    แต่มิได้หมายถึงคนมีศีลมีธรรม ไม่ตายนะ
    ตายแน่ ตายทุกคนด้วย ทั้งคนดี คนไม่ดี
    แต่นักภาวนามิให้ค่าคำว่า ตาย มากนัก
    แค่คงระลึกนึกถึงความตายของตนเป็นปกติ
    เพื่อความไม่ประมาท
    แต่โลกวิญญาณ(หลังความตาย)ของตนนี่สิ..น่าคิด..
    (ตายแล้ว ไปไหน)

    ฉะนั้นคนที่ฝึกจิตมาดี ย่อมไม่รักตัว กลัวตาย
    เพราะทุกคนเกิดมาย่อมตายทุกคน หนีไม่พ้น
    ฉะนั้น คนดีไม่เดือดร้อน
    เพราะอยู่ก็เป็นสุข ตายก็ไปสุคติ
    จะต่างกับคนไม่ดี คืออยู่ก็ทุกข์ใจ ไปก็ทุคติ
    ฉะนั้น พวกเราจงเลือกกรรมของตนเอง
    วันนี้ ขณะนี้ หากใครมีสติ หรือรู้ตัวก่อน
    ย่อมไม่ทำกรรมไม่ดีแน่นอน
    รีบๆปลุกจิตตนให้ตื่นไวๆ ก่อนจะหมดลมหายใจ
    เพราะด้วยเวลาของโลกวิญญาณนั้น (โลกหลังความตาย)
    มันแสนยาวนาน..
    เป็นกัปป์ เป็นกัลป์ หรือเป็นอสงไขย

    ‪#‎แต่ถ้าใครไม่แน่ใจไม่มั่นใจในพระรัตนตรัย‬
    เห็นซินแสแนะนำให้แก้เคล็ด คือ..
    1.ไหว้ศาลหลักเมือง
    2.ทำบุญมูลนิธิ บุญมูลนิธิ ทำบุญโลงศพ
    3.สวดมนต์ไหว้พระที่บ้าน
    จุดธูป 3 ดอก ถวายพวงมาลัยดาวเรือง
    นะโม 3 จบ
    และท่องคาถาโสฬสมงคล
    ของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม
    อดีตเจ้าอาวาสแห่งวัดสะพานสูง จ.นนทบุรี
    ท่านชาตะ เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ ปีฉลู พ.ศ.2358
    (ช่วงรัชกาลที่ 2 )
    เป็นเถราจารย์ผู้เรืองเวทย์ร่วมสมัยกับสมเด็จฯโตวัดระฆัง กรุงเทพฯ ,
    หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร, กรมพระยาปวเรศฯ วัดบวรนิเวศฯ กรุงเทพฯ,
    หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย จ.สมุทรปราการ
    และเจ้าคุณเฒ่า (เอี่ยม) วัดหนัง กรุงเทพฯ เป็นต้น

    " โสฬะสะมังคะลัญเจวะ นะวะโลกุตตะระธัมมะตา
    จัตตาโรจะมหาทีปา
    ปัญจะพุทธามหามุนี ตรีปิฏะกะธัมมักขันธา
    ฉะกามาวะจะราตะถา
    ปัญจะทัสสะกะเวสัจจัง ทะสะมังสีละเมวะจะ
    เตรัสสะธุตังคาจะ
    ปาฎิหารัญจะทะวาทัสสะ เอกะเมรุจะ สุราอัฎฐะ
    ทะเวจันทังสุริยังสัคคา
    สัตตะโพชฌังคาเจวะ จุททัสสะจักกะวัตติจะ
    เอกาทะสะวิษณุราชา
    สัพเพเทวา สะมาคะตา มังรักขันตุ ปาละยันตุ สัพพะทาเอเตนะ
    มังคะละเตเชนะ สัพพะโสตถี ภะวันตุ เมฯ

    ‪#‎ความรู้เรื่อง‬ ด า ว ยู เ ร นั ส
    ดาวยูเรนัส โคจรรอบดวงอาทิตย์ ใช้เวลา 84 ปี
    เป็นดาวเคราะห์ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ ลำดับที่ 7 ในระบบสุริยะ
    การหมุนรอบดวงอาทิตย์ของดาวยูเรนัสยังตรงข้ามกับดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ
    คือหมุนไปในทิศตามเข็มนาฬิกาเหมือนกันกับดาวศุกร์
    ด้วยความปรารถนาดีจาก..
    ภูทยานฌาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ดาว.jpg
      ดาว.jpg
      ขนาดไฟล์:
      11.7 KB
      เปิดดู:
      64
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มีนาคม 2016
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    วิธีใช้หนี้พ่อแม่...
    โดย พระราชสุทธิญาณมงคล (หลวงพ่อจรัญ) วัดอัมพวัน สิงห์บุรี

    วิธีใช้หนี้พ่อแม่ไม่ยากเลย จงสร้างความดีให้กับตัวเอง และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง... ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก ใคร ที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐานแล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุดทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ ผู้ ใดก็ตามที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐานรับรองสำเร็จแน่มรรคผลเกิดแน่ บางคนลืมพ่อลืมแม่ อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล เมื่อเร็วๆนี้ฆ่าพ่อตาย แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐาน พอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้ นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย แล้วพูดกับพ่อแม่ดังนี้ "กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้า และลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย" แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้าของท่าน ลูกหลานโปรดจำไว้ เมื่อแยกครอบครัว ไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไร ต้องไปหาพ่อแม่ ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อ จรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ นี่ บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนต์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงาน... "อาตมา ได้ปัญหาที่วัด ถามโยมที่มาวัดว่า โยมมาทำไม เขาบอกว่ามาขอบุญ อาตมาบอกให้ไปฟังบนศาลา เดี๋ยวจะสอนเด็ก จะได้ไปเลี้ยงลูกรวย สวย เก่ง... เขา บอก ไม่ฟังหรอกเจ้าค่ะ จะขอบุญสักหน่อย จะคอยอยู่ที่กุฏิ ก็จับได้เลยว่า คนไทยชอบทำบุญ ธรรมะไม่เอา ความสุขก็ไม่รู้ แล้วจะไปเอาบุญช่วยได้ยังไง"

    ชีวประวัติของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี และคลิปอื่นๆอีกมากมาย..



    http://www.fungdham.com/sound/<wbr>jarun.html


    วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี 16160 โทรศัพท์: 0-3659-9381
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2016
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    ...........................
    แถมค่ะ ประวัติหลวงปู่
    หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง 1

    https://www.youtube.com/watch?<wbr>v=_LVEtVnkAK0


    กล่าว ให้ปรากฏ อุปเท่ห์โสฬส บันดาลชายหญิง ภาวนาทีหนึ่ง สองทีดีจริง สิบแปดทีดียิ่งมีผลานิงค์ ชักลูกประคำ ร้อยแปดเลิศล้ำ ให้ได้คาบทรงคงเกิดส่วนบุญ มีผลานิสงค์ พบแล้วอย่างง ไม่พบเร่งหา ผู้ใดไม่พบบุญน้อยถอดถด เสียชิตเกิดมา เป็นคนขัดสน มืดมนต์หนักหนา พบแล้วท่านว่าภาวนาประจำ เหมือนชีวิตเกิดมา เป็นคนขัดสน มืดมนต์หนักหนา พบแล้วท่านว่าภาวนาประจำ เหมือนได้ดวงแก้วแถม ทองผ่องแผ้ว กุศลชักนำ สิ่งใดปรารถนาภาวนาหัวค่ำ กุศลเลิศล้ำ ประมูลพูนมา อุบาทว์จัญไร กันทั้งโรคภัย ปรากฏคาถากลับจิตคิดเห็น ๆ อนัตตา มิอาจมาทำลายตัวเรา ภาวนาภัยหัวค่ำทีหนึ่งประจำ เที่ยงคืนและย่ำรุ่งเป็นสามที<wbr>เกิดสวัสดี มีลาภทุกประการอาหารการกินปรี<wbr>เปรมเกษมสันต­์ ภาวนา ๓-๗ เป็นสำเร็จการ ทุกค่ำสำราญกว่าคนทั้งหลาย อายุวัณโณ บรมสุขโขภัญโญทั้งปลาย ถ้าไฟไหม้มาให้เสกข้าวสาร สาดหว่านหลังคา ลมพาพัดหวลอย่าได้สงกา ฝนตกลงมาภาวนาป้องกัน ถ้าจะขายของเสกน้ำประพรม สินค้าสารพันระบือลือสั่น พากันเข้ามาค้าเรือ เหนือใต้ เขียนคาถาไว้ แผ่นกระดาษปรารถนาเสกด้วยตั<wbr>วเองปิดหัวนาวา นำของสินค้าขายมีกำไร ถ้าเป็นความเสกน้ำล้างหน้าทาแป้<wbr>งเสกเครื่อ­งแต่งตน เสกหมากอย่านาน กินแล้วยาตรา กระทืบเท้าสามทีแปลกายบ่ายสู่คู<wbr>่ความตามที­่เป่าพ่นอย่าหนี พลุ่งพล่านต้องเวทย์มนต์ถาคาพลั<wbr>น ให้ภาวนาเสกน้ำล้างหน้า กันทั้งคุณไสยอุบาทว์ จัญไร อัคคีโจรภัยตามความปรารถนา

    พระ คาถาบทนี้ เป็นของหลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม วัดสะพานสูง ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งท่านได้ใช้บทนี้ ปลุกเสกสร้างพระปิดตา และ ตะกรุดทำให้มีพุทธคุณมาก จนเป็นที่ต้องการของผู้คนทั้<wbr>งหลายตราบเท่า­ทุกวันนี้

    บทนี้เป็นตำรับเก่าแก่<wbr>และตรงตามตำราหลวงปู­่เอี่ยมที่<wbr>สุดครับ ปัจจุบันไปขอได้ที่หลวงปู่เปรื่<wbr>อง วัดบางจากครับ


    คาถา โสฬสมงคล หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง

    https://www.youtube.com/watch?<wbr>v=22EbiYA6_Fk
    Published on Aug 3, 2015
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    . .;aa44
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ - "อดีตรำลึก" แนะนำให้ฟัง [ตอนเดียว จบ]

    https://www.youtube.com/watch?v=oy3mIUFqcH4


    โกปิโก้ โกยารักษ์

    Published on Apr 15, 2015
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpRuesriGift.jpg
      LpRuesriGift.jpg
      ขนาดไฟล์:
      288.4 KB
      เปิดดู:
      711
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      52
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    สู่แสงธรรม โดย พล.อ.ต.มนูญ ชมภูทีป

    หลวงพ่อช่วยงานศพหลวงปู่สี

    เมื่อ ประมาณปี พ.ศ. 2520 ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนเสนาธิการทหารอากาศ แต่ในวันหยุดก็ได้เดินทางกลับบ้านที่กองบิน 4 ตาคลี นครสวรรค์ ทุกครั้งและก็ได้ไปแวะเยี่ยมหลวงปู่สี ที่กำลังอาพาธหนักอยู่เสมอๆ ในบางครั้งที่เจอ คุณหมอโอ๊ด ซึ่งเป็นนายแพทย์ของกองบิน 4 (ชื่อจริงข้าพเจ้าต้องขอ
    ภัยที่จำไม่ได้เพราะเรียกกันแต่หมอโอ๊ดจนติดปาก) มาคอยให้การเยียวยารักษาอยู่ และด้วยเหตุนี้จึงได้รู้และเห็นกับตาว่า คราวใดก็ตามหากหลวงปู่สีไม่ยอมให้หมดฉีดยาแต่หมอจะฉีดให้ได้ เข็มฉีดยาก็จะต้องหักทุกครั้งไปเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง หมโอ๊ดเองก็หนักใจเพราะไม่สามารถรักษาได้ตามกระบวนการแพทย์ และครั้นเมื่อหลวงปู่สีมีอาการหนักมาก ท่านเจ้าอาวาสก็คลานเข้าไปสอบถามว่า “หากหลวงปู่สีมรณภาพ จะให้ทางวัดจัดพิธีศพของหลวงปู่สีอย่างไร” ซึ่งหลวงปู่สีก็ได้ตอบให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินกันอย่างทั่วถึงว่า “หากข้ามรณภาพเมื่อใด ท่านฤาษีลิงดำจะมาเป็นผู้จัดการศพของข้าเอง ขอทุกคนอย่าได้เป็นห่วง”

    ต่อจากนั้นมาอีกไม่กี่วัน ข้าพเจ้าก็ได้รับทราบจาก พ.อ.อ.สัมฤทธิ์ กลั่นดี ว่าหลวงปู่สีได้มรณภาพ เมื่อเวลาประมาณตีสามและหลวงพ่อก็ได้มาถึงวัดเมื่อเวลาประมาณตีห้า โดยมิได้รับการติดต่อจากผู้ใดทั้งสิ้น(ข้าพเจ้าต้องขอภัยอีกครั้ง ที่จำวันมรณภาพของหลวงปู่สีไม่ได้) และเมื่อหลวงพ่อมาถึงวัด ก็ได้สั่งการและอำนวยการให้เก็บศพหลวงปู่สีไว้ในโลงแก้ว ในสภาพเสมือนหนึ่งหลวงปู่สีนอนหลับสนิทมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ และที่น่าอัศจรรย์ยิ่งคือรางของหลวงปู่สีไม่เน่าเปื่อย อีกทั้งเล็บมือเล็บเท้าและผมก็งอกยาวออกมาเช่นบุคคลธรรมดาที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งทางวัดก็จะต้องเปิดโลงแก้วทุกๆ 15 วันเพื่อปลงผมและตัดเล็บมือเล็บเท้าให้หลวงปู่สีตลอดมา

    หลวงปู่สีได้ มรณภาพเมื่ออายุ 126 ปี บัดนี้ศพของท่านบรรจุอยู่ในโลงแก้ว วัดถ้ำเขาบุญนาค อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ หากท่านผู้ใดสนใจที่จะไปนมัสการกราบไหว้ก็ไปได้ตลอดเวลา

    เรื่องที่ข้าพเจ้าเล่ามานี้จะเห็นได้ว่าทั้งหลวงปู่สี และหลวงพ่อจะต้องได้ญาณ และติดต่อกันได้ทางจิตมาโดยตลอด ซึ่งในทันทีที่หลวงปู่สีสิ้นลม หลวงพ่อก็รับทราบและเดินทางมาจัดการได้ในทันที

    ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่ข้าพเจ้ามิได้หยิบยกมาเล่าไว้ ณ ที่นี้ แต่อาจจะสรุปตามที่ข้าพเจ้ามั่นใจเป็นส่วนตัวได้ว่า หลวงพ่อเป็นพระอริยะระดับสูงสุด ที่ทรงฌานและได้ญาณทั้ง 8 คือ ทิพจักขุญาณจุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ อตีตังสญาณ อนาคตังศญาณ ปัจจุปปันนุงสญาณ และยถากัมมุตาญาณ อีกทั้งเป็นผู้มีฤทธิ์ได้ทั้งวิชชสามและทรงอภิญญา 6 ด้วย และเมื่อข้าพเจ้าได้ศึกษาค้นคว้าเฝ้าติดตามหลวงพ่อมาโดยตลอด ก็แน่ใจว่าหลวงพ่อเป็นพระปฏิบัติคล่องในพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และพระวิปัสสนาญาณทั้ง 9 โดยแน่แท้ ทั้งนี้เพราะหลวงพ่อได้เคยปรารถนาพุทธภูมิมาจึงต้องปฏิบัติให้ได้ทั้งหมด เพื่อช่วยเหลือชี้แนะแนวทางให้แก่ลูกหลานทั้งหลาย ที่มีจริตแตกต่างกันไปได้ (นักปฏิบัติธรรมดาเช่นพวกเราหากจับกรรมฐานกอง
    ดกองหนึ่งได้ ก็ย่อมเกิดปีติได้ และปีติที่เกิดแม้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ย่อมทำให้การปฏิบัติสมถกรรมฐานรุดหน้า สามารถนำไปใช้เจริญวิปัสสนาญาณอย่างใดอย่างหนึ่งได้ ซึ่งก็นับว่าเป็นการดีที่สุด) ดังนั้นจึงย่อมเป็นการง่ายดายสำหรับ หลวงพ่อ ซึ่งได้วิชชาสาม ทรงอภิญญา 6 และได้ญาณทั้ง 8 อยู่แล้ว จะได้นำเอาสิ่งที่ได้มาพิจารณาวิปัสสนญาณเพื่อละสังโยชน์ 10 จนบรรลุเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดคือพระอรหันต์ได้ และด้วยความมั่นใจส่วนตัวของข้าพเจ้ามาโดยตลอดก็คือหลวงพ่อมิใช่เป็นพระ อรหันต์แบบสุกขวิปัสสโก เตวิชชโช หรือฉฬภิญโญ แต่ต้องเป็นพระอรหันต์ประเภท ปฏิสัมภิทาญาณ อีกด้วยเพราะหลวงพ่อทรงปฏิสัมภิทา 4 คือ

    1. อัตถปฏิสัมภิทา มีปัญญาแตกฉานในอรรถคือ ฉลาดในการอธิบายถ้อยคำที่ท่านอธิบายมาแล้วได้อย่างพิสดารถอดเนื้อความที่ พิสดารนั้น ให้ย่อสั้นลงมาได้ชัดเจนไม่เสียความ

    2. ธัมมปฏิสัมภิทา ฉลาดในการอธิบายหัวข้อธรรม ที่ท่านกล่าวมาแต่หัวข้อให้พิสดารเข้าใจ

    3. นิรุตติปฏิสัมภิทา มีความฉลาดในภาษา รู้และเข้าใจภาษาทุกภาษาได้อย่างอัศจรรย์(ไม่ว่าจะเป็นภาษาของพรหม เทพ มนุษย์ สัตว์ หรืออสุรกาย)

    4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา มีปฏิภาณเฉลียวฉลาดสามารถแก้อรรถปัญหาต่างๆ ได้อย่างอัศจรรย์

    ด้วยความศรัทธา และเชื่อมั่นในองค์หลวงพ่อดังกล่าว จึงทำให้ข้าพเจ้ายึดเอาหลวงพ่อเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริงจัง โดยเริ่มต้นสอบถามปัญหาธรรมะต่างๆที่ข้าพเจ้ายังเคลือบแคลงสงสัยอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อ ช่วยตอบให้อย่างกระจ่างชัดเจนในทุกปัญหาจนทำให้ข้าพเจ้าซึ่งเคยเต็มไปด้วย มิจฉาทิฐิ หมดความเคลือบแคลงสงสัยใดใดอีกต่อไป และเมื่อความเคลือบแคลงสงสัยหมดไป ข้าพเจ้าก็มุ่งปฏิบัติธรรมตามคำสอนของหลวงพ่อไปตามขั้นตอนเรื่อยมา จิตก็เริ่มเกิดปัญญาและเมื่อปัญญาเกิดความประพฤติของข้าพเจ้าแต่ดั้งเดิมที่ เคยดื่มสุราเป็นอาจิณก็ดี การใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่บนสโมสรก็ดี ก็หมดไป เกิดความเบื่อหน่าย รักสันโดษ มองเห็นโทษของการผิดศีล อีกทั้งเกิดความสุขในการปฏิบัติธรรมและสนทนาธรรมเป็นอันมากอีกด้วย

    ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าจำได้ว่า มีนายทหารนักบินรุ่นหนุ่มๆ จำนวน 4 ท่านได้ไปหาข้าพเจ้าที่บ้านพักในกองบิน 4 เพื่อสนทนาธรรมด้วยและเมื่อข้าพเจ้าได้ช่วยตอบปัญหาข้อข้องใจต่างๆ ของท่านเหล่านั้นไปแล้ว (ปัญหาต่างๆ ที่ถามกันมาซ้ำๆกับปัญหาที่ข้าพเจ้าเคยถามหลวงพ่อมาแล้วทั้งสิ้น) ก็พากันพออกพอใจหมดความเคลือบแคลงสงสัยโดยสิ้นเชิงและได้พากันลาออก จากราชการไปขอบวชกับหลวงพ่อที่วัดท่าซุงทั้ง 4 ท่าน (จำได้ว่ามี พระสมศักดิ์ พระทรงฤทธิ์ พระไตรรงค์ และพระชโลทัย)ซึ่งยังความปลาบปลื้มปิติยินดีให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และเรื่องนี้เป็นที่ฮือฮากันมากในกองบิน 4 ตาคลีและทั่วทั้งกองทัพอากาศทีเดียว

    นอกจากนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ข้าพเจ้าหลายคนที่ในอดีตเป็นนักเลงขั้นดาวร้าย และนักดื่มชนิดดื่มกันสามวันสามคืน อาทิเช่น พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ พ.อ.อ.ชลอ ผาสุก พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์ พ.อ.อ.เสรี เมฆจินดา และ พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ ซึ่งได้เคยติดตามข้าพเจ้าอยู่เสมอก็ได้เลิกเป็นนักเลงและนักดื่มกันหมด หลังจากที่ได้สนทนาธรรมกับข้าพเจ้าบ่อยๆ เข้าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์ ได้รับอาสาไปอยู่ปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่ออย่างใกล้ชิดตลอดมา จนกระทั่งถึงแก่กรรมและหลังจากนั้น พ.อ.อ.ประมวล ราชอินทร์ ก็รับอาสาไปปรนนิบัติหลวงพ่อแทน พ.อ.อ.สาย ศิริรัตน์จนถึงปัจจุบัน ส่วน พ.อ.อ.กริช บำรุงพงษ์นั้น ก็รับอาสาคอยบันทึกเทปที่หลวงพ่อมาเทศน์ออกอากาศที่สถานีวิทยุกระจายเสียง 04 อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ที่ข้าพเจ้าเป็นหัวหน้าสถานีและเป็นผู้รับผิดชอบอยู่ทั้งในเรื่องประวัติ หลวงพ่อปาน ไตรภูมิ มหาสติปัฏฐาน 4 และอื่นๆ โดยตลอด (ต่อมาพลอากาศโท ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ได้ขอไปถอดเทป จัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม ดังที่ลูกศิษย์รุ่นหลังๆ ได้อ่านกันอยู่ทุกวันนี้) ส่วน พ.อ.อ.ชลอ ผาสุกและ พ.อ.อ.เสรี เมฆจินดา นั่นก็ได้ถึงแก่กรรมไปแล้วทั้งคู่ จึงไมมีโอกาสได้ช่วยเหลืองานของหลวงพ่อมากนัก

    ในปัจจุบัน แม้ข้าพเจ้าจะไม่ค่อยได้มีโอกาสรับใช้หรือพบหลวงพ่อมากนักก็ตาม แต่จิตของข้าพเจ้าก็จับอยู่ที่หลวงพ่อโดยตลอด และตั้งปณิธานไว้อย่างแน่ชัดว่า จะต้องถวายสังฆทานกับมือหลวงพ่ออย่างน้อยที่สุดเดือนละ 1 ครั้ง ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ปฏิบัติมาโดยตลอด อีกทั้งขอยึดเอาพระพุทธเจ้า พระธรรม และหลวงพ่อเป็นที่พึ่งที่ระลึก ตลอดกาลโดยไม่คิดจะแสวงหาที่พึ่งอื่นใดอีกต่อไปแล้ว ทั้งนี้ เพราะหลวงพ่อเป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดอยู่แล้ว อีกทั้งยังได้เมตตาสงเคราะห์ชี้แนะหนทางปฏิบัติจนข้าพเจ้าเกิดปัญญาและมีดวง ตาเห็นธรรมได้ในที่สุด

    ��ǧ��ͪ��§ҹȾ��ǧ�����
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2016
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    "ศรัทธาจริต"
    คำว่า "ศรัทธาจริต" จิตจะต้องการความเชื่อ มีความเชื่ออยู่มาก ส่วนใหญ่ของบรรดาท่านพุทธบริษัทก็เชื่อในด้านบุญกุศล เชื่อในด้านตายแล้วเกิด ทำความดีไปสู่สุคติ ทำความชั่วไปสู่ทุคติ และถ้ายอมเชื่อว่านิพพานมีจริง คำว่า "ยอมเชื่อว่าพระนิพพานมีจริง" ใน ตอนต้นท่านบอกว่า คนของเราหนักในศรัทธาจริต การปฏิบัติมโนมยิทธิทุกคนที่ทำได้ ทุกคนไปถึงพระนิพพานหมด การที่จะไปถึงพระนิพพานนี่เป็น พุทธจริต ถ้าพุทธจริตอ่อน ไม่สามารถไปถึงพระนิพพานได้ และถ้าจะวัดถึงบารมีกันจริงๆ ก็ต้องถือว่ามีบารมีในขั้นของ ปรมัตถบารมี

    สำหรับท่านที่มีศรัทธาจริตเป็นพื้นฐาน พระพุทธเจ้าให้เลือกกรรมฐาน ๖ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเครื่องปฏิบัติ คือ
    ๑. พุทธานุสสติ นึกถึงและเคารพพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์
    ๒. ธัมมานุสสติ เคารพพระธรรมเป็นอารมณ์
    ๓. สังฆานุสสติ เคารพพระอริยสงฆ์เป็นอารมณ์
    ๔. สีลานุสสติ เคารพศิลเป็นอารมณ์
    ๕. จาคานุสสติ นึกถึงการบริจาคทานเป็นอารมณ์
    ๖. เทวตานุสสติ นึกถึงเทวาเป็นอารมณ์
    ทั้ง ๖ ประการนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าคณะพวกเรานี่หนักในจริตเหล่านี้ คนที่มี ศรัทธาจริต เป็นพื้นฐานและก็บวก พุทธจริต ก็เป็นคนที่ได้เปรียบ คือ ได้เปรียบในการหวังความสุขในภายภาคหน้าได้ดีมาก

    แล้วก็ยังมีอนุสติ คือ อุปสมานุสสติ คือกำลังใจต้องการพระนิพพาน

    บรรดาท่านพุทธบริษัท จงตั้งใจไว้ให้ดีว่า นับ
    ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขึ้นชื่อว่า ศิล ๕ มีอะไรบ้าง วันนี้เราจะไม่ยอมละเมิดตลอดวัน และเวลาก่อนหลับก็พิจารณาว่า วันนี้เราพลาดศิลข้อไหนบ้าง พบจุดพลาดก็คิดว่า ต่อไปเราจะไม่ยอมละเมิดอีก

    ตอนเช้าก็คิดอย่างนี้ ก่อนจะหลับก็ทำอย่างนี้ ไม่เกิน ๓ เดือน ทุกคนจะมีศิลบริสุทธิ์บริบูรณ์ในเขตของศิล ๕ และความเป็นพระโสดาบันกันมีกันได้แน่ ฐานะที่มีอุปสมานุสสติกรรมฐานประจำใจ อย่างนี้พระนิพพานไปได้แน่...


    จากหนังสือ "พ่อสอนลูก" โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มีนาคม 2016
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    . .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    . ;k05 .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    โอวาทหลวงพ่อฯ เล่ม 1----> หน้า 19

    *** อารมณ์พระกรรมฐานกับอารมณ์ชาวโลกไม่เหมือนกัน มันกลับจากหน้ามือเป็นหลังมื ไอ้การงานของชาวโลกนี่ ถ้าขยันมาก มุมานะมาก ผลงานมันสูงแล้วก็ดี
    แต่การเจริญพระกรรมฐาน มุมานะมากถอยหลัง แทนที่จะก้าวหน้ามันกลับลงต่ำ ใช้ไม่ได้ เพราะว่าการปฏิบัติความดีเพื่อการบรรลุในพุทธศาสนา ต้องละส่วนสุดสองอย่างคือ
    หนึ่ง อัตตกิลมถานุโยค การทรมานตนที่เรียกว่าขยันเกินไป
    สอง กามสุขัลลิกานุโยค เวลาทรงสมาธิหรือพิจารณาวิปัสสนาญาณมีตัวอยากประกอบไปด้วยอยากจะได้อย่างนั้น อยากจะถึงอย่างนี้ อยากจะได้ตอนโน้น อีตอนนี้มันเจ๊ง ทั้งสองทาง
    ที่ถูกคือจะต้องวางใจเฉย ๆ ปล่อยอารมณ์ให้มันเป็นไปตามสบาย ๆ

    *** การปฏิบัติไม่ว่ากรรมฐานกองใดทั้งหมด อุปสรรคทางจิตย่อมปรากฏมีขึ้นเสมอ และอุปสรรคใด ๆ เกิดจากอารมณ์ก็ดี หรือว่าเกิดจากทางกายก็ดี ถ้าเราไม่ยอมแพ้เสียอย่างเดียว
    เราก็ชนะอุปสรรคต่าง ๆ มันจะมีขึ้นได้มันก็ต้องสลายตัวได้เหมือนกัน ต้องถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ทุกอย่างถ้าเราเอาจิตเข้าไปจับธรรมดาเสียอย่างเดียว จิตมันก็มีความสุข
    การเจริญพระกรรมฐาน ความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ ต้องการให้มีความสุข

    *** ความจริงการทำจิตให้เป็นสมาธิ หรือทำจิตให้เป็นฌานสมาบัติเป็นของไม่ยาก คนที่จะได้ดีเขาทำกันแบบนี้ ขณะที่ฟังก็ดี ขณะที่ตั้งใจทรงสมาธิจิตก็ดี เขาไม่ให้อารมณ์ส่งไปสู่อารมณ์อื่น รู้จักควบคุมใจของเราให้อยู่เฉพาะกิจที่เราจะพึงทำ คือกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาลมหายใจเข้านึกว่า พุท ลมหายใจออกนึกว่า โธ นึกอยู่ควบคุมกำลังอยู่ เท่านี้ตามเวลาที่เรากำหนดไว้ เราจะไม่ยอมให้อารมณ์จิตเราไปสู่อารมณ์อื่น นอกจากลมหายใจเข้าออก และคำภาวนาว่าพุทโธ ถ้าเราบังคับจิตของเราอย่างนี้ไปทุกคราวที่เจริญพระกรรมฐาน จนกระทั่งจิตมีอารมณ์ชินอย่างนี้จิตของเราก็เป็นฌาน

    *** การฝึกจิตให้คล่องในการเข้าสมาธิ ต้องพยายามทำ จงอย่าคิดว่าทำไม่ได้ ไม่มีใครเขาทำได้มาตั้งแต่เกิด ทุกคนต้องฝึกเหมือนกัน พระอรหันต์ทุกองค์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ฝึกกันมาแบบนี้ ค่อยทำค่อยไปทีละน้อย ๆ ในที่สุดมันก็เข้าถึง ถ้าเราไม่ละความพยายาม

    *** ไอ้เรื่องอาการทางกายนี่เลิกถามกันเสียทีนะ มันจะเป็นมันจะตายอย่างไร ก็เชิญมันเถอะให้มันตายไป ถ้ามัวกลัวตายจะมานั่งเจริญกรรมฐานกันอยู่ทำไม ความดีมันไม่ได้หรอก คนกลัวตาย ห่วงกาย ห่วงมันมากกว่าความดี มันใช้ไม่ได้ อย่างนี้ไม่เอาไม่คบ

    *** มีคนพูดกันว่า ถ้าเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน จะต้องสามารถระงับทุกขเวทนาได้หมด ไม่เจ็บไม่ป่วยไม่ร้อนไม่หนาว นี่ไม่ใช่ความจริง ร่างกายยังมีความรู้สึก ร่างกายยังมีจิตเป็นเครื่องรักษา ร่างกายยังมีวิญญาณรู้การสัมผัส ถึงแม้ว่าพระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ก็ยังรู้สึก รู้สึกเจ็บ รู้สึกปวดเหมือนกัน นี่ว่ากันถึงอารมณ์ของพระโสดาบัน เมื่อจิตเข้าถึงพระโสดาบัน
    แล้ว มีความไม่ประมาทในชีวิต มีความรู้สึกเสมอว่า เราจะต้องแก่ เราจะต้องตายแล้วก็ขึ้นชื่อว่า
    ความตายนี้ไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ไม่ใช่ว่าจะไปกำหนดอายุการตาย ว่าต้องตายเท่านั้น เท่านี้ จะตายตั้งแต่ความเป็นเด็ก หรือความเป็นคนหนุ่มเป็นสาว ความเป็นคนแก่ อาการที่จะตายอาจจะด้วยโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะตายด้วยอุบัติเหตุ หรือตายเช้า ตายสาย ตายบ่าย ตายเที่ยง ตายกลางคืน ตายดึก ตายหัวค่ำ เอาแน่นอนไม่ได้

    *** จิตของเราถ้าหากนิวรณ์ไม่เข้ามายุ่งเมื่อไร มันก็เป็นฌานเมื่อนั้น นี่มันก็ไม่มีอะไรยากถ้าเรามีกำลังใจเข้มแข็ง จะไม่ยอมเชื่อไอ้ตัวร้ายนิวรณ์นี่ ที่นี้ในเมื่อเราไม่คิดถึงเรื่องอื่น ขณะที่พิจารณา
    ก็มองดูแต่ขันธ์ ๕ อย่างเดียว และเวลาภาวนาก็จับเฉพาะลมหายใจเข้าออกกับคำภาวนาว่า พุทโธ อันนี้นิวรณ์มันไม่กวน จิตเข้าถึงปฐมฌานทันที

    *** ไอ้เรื่องการเข้าฌานนี่มันต้องคล่อง เหมือนกับเราเขียนหนังสือคล่องแคล่ว จะเขียนเมื่อไรก็เขียนได้ ไม่ใช่เขาบอกว่าเอ้าเข้าฌานซิ มานั่งตั้งท่าขัดสมาธิมันก็เสร็จแล้ว มันไม่ทัน เวลาเราจะตายจริงไปตั้งท่าได้เมื่อไร มันต้องคล่อง การจะทำให้คล่องก็มีอยู่ว่าต้นๆ ถ้าจิตมันเข้าถึงสมาธิให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ใหม่ ๆ มันก็อึดอัด ไม่ช้าก็เกิดอาการชิน มันชินเสียจนช้าไม่เป็น

    *** การเจริญสมถภาวนานี่เราต้องการให้จิตสงบจากอกุศล และจิตน้อมอยู่ในส่วนของกุศลเป็นปกติ พระโบราณาจารย์ท่านแนะนำให้นึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ โดยใช้คำภาวนา พุทโธ แต่ว่าถ้าภาวนาว่าพุทโธอย่างเดียว จิตก็จะลอยเกินไป ไม่มีที่เกาะ เพราะจิตมีสภาพกวัด-แกว่ง ท่านจึงแนะนำให้ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อานาปานุสสติกรรมฐาน หรือการกำหนด
    รู้ลมหายใจเข้าออกนี้เป็นกรรมฐานที่ลดความฟุ้งซ่านของจิต และเป็นกรรมฐานที่ระงับกายสังขาร
    เวลาที่เราป่วยไข้ไม่สบาย ให้ใช้ อานาปานุสสติกรรมฐาน เข้าระงับ
    และประการที่สาม
    อานาปานุสสติ นี้ เป็นกรรมฐาน ระงับ โมหจริต และ วิตกจริต รวมความว่าตัดความโง่ของจิต ทำให้จิตฉลาดขึ้น

    *** การเจริญพระกรรมฐาน เราควรจับจุดเอา อานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นสำคัญ
    เพราะว่า อานาปานุสสติกรรมฐาน นี้ จะเป็นคนประเภทไหนก็ตาม มีความจำเป็นทั้งหมด
    เพราะว่า อานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานระงับอาการฟุ้งซ่านของจิต เราจะเจริญอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถระงับความฟุ้งซ่านของจิตได้ สมาธิมันก็ไม่เกิด แล้วใครที่ไหนเล่ามีบ้างไหม
    ที่มีอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน มีบ้างหรือเปล่า หาไม่ได้ คนที่มีอารมณ์ที่ไม่ฟุ้งซ่านจริง ๆ ก็มีพระอรหันต์
    เท่านั้น องค์สมเด็จพระทรงธรรม์ท่านจึงขึ้น อานาปานุสสติ ก่อนใน มหาสติปัฏฐานสูตร .

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=326
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • LpRuesriSittree.jpg
      LpRuesriSittree.jpg
      ขนาดไฟล์:
      31.9 KB
      เปิดดู:
      416
    • Sadhu.jpg
      Sadhu.jpg
      ขนาดไฟล์:
      6.7 KB
      เปิดดู:
      57
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2016
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,333
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,033
    [​IMG]
    การฝึกอานาปานสติ1

    https://www.youtube.com/watch?v=MP9...mZ9wyoCtlvCA5HhgdLlZhEJ8rfSwAqj0d_OFioSHY4M0Q
    การฝึกอานาปานสติ2

    https://www.youtube.com/watch?v=_COTDhoOfCA
    การฝึกอานาปานสติ3

    https://www.youtube.com/watch?v=by6uDgvyxj4
    การฝึกอานาปานสติ4

    https://www.youtube.com/watch?v=hdhZ3gq2oAs
    การฝึกอานาปานสติ5

    https://www.youtube.com/watch?v=BFZtCVjFV7M
    ารฝึกอานาปานสติ6

    https://www.youtube.com/watch?v=m6XryBA1_kE
    การฝึกอานาปานสติ7

    https://www.youtube.com/watch?v=TpfhwkSoUFY
    การฝึกอานาปานสติ8

    https://www.youtube.com/watch?v=jD69WsUEN9Q
    การฝึกอานาปานสติ 9

    https://www.youtube.com/watch?v=6D9kRb6TeY0
    การฝึกอานาปานสติ 10

    https://www.youtube.com/watch?v=pU2_LhSfvhQ
    การฝึกอานาปานสติ 11

    https://www.youtube.com/watch?v=W1Cp4HR7-2o
    การฝึกอานาปานสติ 12

    https://www.youtube.com/watch?v=PTXKxe6BSb0
    การฝึกอานาปานสติ 13

    https://www.youtube.com/watch?v=Qn_lfeG0IyI
    การฝึกอานาปานสติ 14(สรุปโสดาบันและสกิทาคามี)

    https://www.youtube.com/watch?v=FzrKTLUMWZw
    การฝึกอานาปานสติ 15(อนาคามี)

    https://www.youtube.com/watch?v=gfXKDXyY0uw
    การฝึกอานาปานสติ 16

    https://www.youtube.com/watch?v=BCm6-yB-vG4
    การฝึกอานาปานสติ 17(อรหัตมรรค)

    https://www.youtube.com/watch?v=AI29UbqatuY
    การฝึกอานาปานสติ 18(อรหัตผล)

    https://www.youtube.com/watch?v=Cws-3Aux5ss
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...