paranyu
ความเคลื่อนไหวล่าสุด:
20 พฤษภาคม 2013
วันที่สมัครสมาชิก:
24 มีนาคม 2006
โพสต์:
259
พลัง:
122

โพสต์เรตติ้ง

ได้รับ: ให้:
ถูกใจ 122 295
อนุโมทนา 0 0
รักเลย 0 0
ฮ่าๆ 0 0
ว้าว 0 0
เศร้า 0 0
โกรธ 0 0
ไม่เห็นด้วย 0 0

กำลังติดตาม 1

  1. tro

ผู้ติดตาม 2

แชร์หน้านี้

paranyu

เป็นที่รู้จักกันดี

paranyu เห็นครั้งสุดท้าย:
20 พฤษภาคม 2013
    1. ติงติง
      ติงติง
      สวัสดีวันหยุดค่ะ มีความสุขมากๆนะคะ
    2. ติงติง
      ติงติง
      [IMG]
      อรุณสวัสดิ์ค่ะ...มีความสุข ความเบิกบานนะคะ
    3. ANUWART
      ANUWART
      เชิญทำบุญซื้ออิฐ หิน ทราย ปูน เหล็ก สร้างวิหารแก้วครอบสมเด็จองค์ปฐม
      http://palungjit.org/threads/เ�...153668.21/
    4. พระมหากุลวัฒน์ธนะ
      พระมหากุลวัฒน์ธนะ
    5. ake7440
      ake7440
      ฝากกระทู้งานบุญด้วยครับ
      ขอเชิญร่วมบุญสร้างวิหารบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันต์ธาตุ ณ วัดเขาพระครับ
      เชิญร่วมบุญหล่อพระพุทธรูป ประดิษฐานประจำวิหารบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    6. ANUWART
      ANUWART
      เชิญทำบุญสร้างบารมีปีใหม่ครับ
      ทำบุญโดยโอนเงินเข้าบัญชี ชื่อ สมทบทุนสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม
      ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.)/ (ออมทรัพย์) สาขาร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช
      บัญชีเลขที่ ๙๑๕
    7. ภัทรปัญโญเฮ
      ภัทรปัญโญเฮ
      อย่าลืม เอาให้ พระเกษมอ่านนะครับ เพราะผม ต้องเป็นคน มาช่วยท่าน แต่ก่อน ท่านมีบุญคุญกับผม เพราะ เมื่อก่อนผม ก็ ใช้วิธีเบิกบุญ ของท่าน ผมจึงล้าง กรรมทุกอย่างของผมได้ จนได้ปัญญา....จริงๆ....เพราะผมไม่เอา อรหันต์ ไม่เอานิพพาน ไม่เอาจิตเอาใจ....
      ทุกท่านก็เหมือนกัน....สามารถ สะสมปัญญา และรู้ความจริง แบบนี้ได้....
      เพราะ มันคือ ปัญญาจริงๆ...ไม่ไช่....อะไรที่ปลอมๆ...ที่ตีความกันผิดมาตลอด..
    8. ภัทรปัญโญเฮ
      ภัทรปัญโญเฮ
      เพราะ ถ้าทุกอย่าง สมมุติ โลก นรก สวรรค์ รูป นาม เป็น อนัตตาแล้ว....ก็คือ ไม่มีนั่นเอง
      เราล้าง จิตเราให้ ปราศจากของพวกนี้...นั่นคือ ความสะอาด บริสุทธิ์ ของดวงจิต และ สุดท้าย จิต(นาม) เองก็เป็น อนัตตา.....ก็ไม่มีอะไรเหลือ อีกแล้ว เวลาตาย ก็ ทิ้งไว้ทั้งหมด..
      ในเบื้องหลัง....สาธุ.....สิ่งที่พระพุทธะเจ้าเพียรสอน นั่นคือ...ปัญญาล้วนๆ.....
      ศีล ก็คือ ...เราไม่เคยคิด ชั่ว คิดดีตลอด...ก็ไม่ต้องผิดศีลข้อไหน...สมาธิ ก็คือ สติ ที่ สงบเพื่อ เกิดปัญญา...ปัญญาก็คือ การรู้ความจริง ..ของโลกสมมุติ รูปนาม สมมุติ เพื่อ การ วิมุตติ....
      .......................
      สุดท้าย...ในใจ ไม่มี บุญมีบาป ไม่มีนรกสวรรค์ ไม่มีธรรม ไม่มี อะไรเลย สมองว่างเปล่า....ก็ไร้ทุกข์...โดยสิ้นเชิง.....แล้ว ก็เป็นการ หลุดพ้น จากวงจร วัฏสงสาร ..ได้แล้วจริงๆ นั่นเอง......
      ......................
      และแน่จริง.....อิอิ มา.............กับผมสิ...
    9. ภัทรปัญโญเฮ
      ภัทรปัญโญเฮ
      สวัสดีครับ ผมเป็นฆราวาส...ผมเป็นนักปราชณ์ ผมเป็นได้ทุกอย่างที่อยากเป็น...ยกเว้น โกนหัว ห่มผ้าเหลืองเป็นพระ ...และที่จริง คุณแค่ ก็อบ คำพูดของผม ถวายท่านพระเกษม ให้ท่านได้อ่านผ่านตา ผมว่า พระอาจารย์เกษมท่าน ก็เข้าใจได้แล้วครับ.....ดังนี้
      1.พระเกษมเอง นามของท่าน จะข้ามขั้น ของอรหันต์ (ของใครของมัน) ข้ามไปสู่ จิตพุทธะ ที่เป็นที่รู้ได้ด้วย คนที่มีปัญญาเท่านั้น จึงจะทราบได้...นาม(จิต)ของพระเกษม นั้น เข้าไปสู่ เขตของ อนัตตา นั่นคือ รูป(กาย)และนาม(จิต) จะต้องหลุดพ้น จากโลกสมมุติ เพื่อข้ามไปสู่ ความวิมุตติ...แต่ตัวพระเกษมเอง จะยังข้ามอรหันต์ ไปสู่ จิตพุทธะ ยังไม่ได้ เพราะว่า...นาม(จิต)ของพระเกษม ท่าน ยังปล่อยวาง อภิญญา ความวิเศษ อิทธิฤทธิ์ ต่างๆ ทิ้งให้ได้เสียก่อน เพราะสิ่งเหล่านี้ มันมีเฉพาะ ในโลก สมมุติ เท่านั้น ถ้าจะข้ามไปสู่ความวิมุตติ พระเกษมเอง ต้องทิ้งให้ได้ พวก อภิญญา ความวิเศษ อิทธิฤทธิ์ เหล่านี้ อันนี้เป็นข้อแรก.....ข้อที่สอง พระเกษม ท่านต้อง ทิ้งความเป็น พระ ของรูป(กาย) ทิ้งศีล 227 ข้อ ให้ได้.....เพราะว่า ขอบเขตของพระ อยู่ได้ สูงสุดแค่พระ อรหันต์(ทางธรรม)...ดังนั้นตัวพระเกษมเอง นามมันพ้นจากความเป็นพระ แต่รูป ยังเป็นพระ หัวโล้น ห่มเหลือง มีศีล 227 และ ยังมี อภิญญาต่างๆ ...นั่นล้วนแต่เป็น ของที่มีในโลกสมมุตติ เท่านั้น ถ้าพระเกษมอยาก มีจิตพุทธะ มีโลกุตตรจิต ต้อง ทิ้งสิ่งเหล่านี้ให้ได้ วิธีทิ้งก็คือ...หาความจริงให้ได้ว่า รูป(กาย)ของพระเกษมเป็นใคร...จริงหรือ ปลอม อภิญญา คืออะไร คือสิ่งของภายนอก หรือ เป็นของไม่เที่ยง หรือ เป็นของจริง ที่ยั่งยืน....มีมัน กับไม่มีมัน อะไร สร้างทุกข์ได้...
      เพราะ จิตพุทธะ หรือ โลกุตตรจิตนั้น ...จะต้องเหลือ แค่ รูป(กาย)กับนาม(จิต) ที่ตัดขาดจากกันโดยสิ้นเชิง และไม่ร่วมกันสร้าง อุปาทานขันธ์ 5 ขึ้นมาได้อีก โดย มีแต่รูป(กาย) เท่านั้น ที่ยังมีความต้องการ ตามธรรมชาติ ของกาย เช่น หิว หนาว ร้อน เจ็บ อื่นๆ แต่ นาม (จิต)นั้น มันก็แค่รับรู้ แค่ว่า มีรูป(กาย) ที่คงอยู่ เป็นปกติ ไม่ไช่ของวิเศษอะไร และนาม(จิต) ก็ไม่ได้ ปรุงแต่งอะไรเพิ่มเติม เช่น รูป(กาย)มีสุข ก็สุขเท่าที่ รูปกายของพระเกษมมี จิต จะไม่ไป ปรุงแต่งเพิ่มเติม สุข ใหเป็นไปมากกว่านี้ได้ และถ้า รูป(กาย) ของพระเกษมมีทุกข์ ก็ทุกข์ เท่าที่กาย เป็นจริงๆ นาม(จิต) จะไม่ไปรังเกียจ ไม่ไป หนีทุกข์ หรือ ซ้ำเติม หรือ ปรุงแต่งให้มัน ทุกข์มากกว่า ที่รูป(กาย) มันจะเป็นไป.......
      ดังนั้น ธรรมทั้งหมด ที่พระเกษม ท่านมี....ก็ต้องทิ้งให้หมด....ทั้งธรรม ทั้งรูป ทั้งนาม...ล้วน เป็นของสมมุติ เท่านั้น ต้องทิ้งโดยปัญญา ที่มองว่า ทุกสิ่ง เป็น อนัตตา....
      แล้วพระเกษมเอง ก็ต้อง เอานาม(ที่วิมุตติ) มาอยู่กับรูป(กาย) ที่เป็นจริง คือ เป็นพระหัวโล้น ห่มเหลือง แบกศีล 227 ข้อ โดย ไม่มีอภิญญาใดๆ หรือ ถ้ามี ก็ เหมือนไม่มี คือ ...
      ตอนนี้ นาม(จิต) มันจะกลับเข้ามาอยู่ บ้านเก่า(รูปกาย) ได้อย่างสมบูรณ์ หรือ ที่เรียกว่า ทางสายกลาง...รูป สมดุลย์กับนาม.....โดยไม่ส่งออก จิต(นาม) ให้เป็นทุกข์ แต่ อยู่กับรูปกายที่เป็นอยู่ โดย ดี.......โดยเดินบนท่างสายกลาง นั่นคือ มรรค 8 โดยสมบูรณ์
      ....................
      ดังนั้น...สิ่งที่พระเกษม ต้องทำ ก็คือ
      1.ทิ้งอภิญญา...ทิ้งโดยการเข้าใจ ว่า มันคืออะไร มีได้อย่างไร ใครมี ...อะไรมี
      2.ทิ้งความเป็นพระ...นั่นคือ คิดว่า ตนเองมีรูปกาย เป็น มนุษย์ ธรรมดาคนหนึ่ง เท่านั้น
      3.ทิ้งธรรม...เพราะธรรมเป็นแค่กรอบ ...ในการปฏิบัติเพื่อ อรหันต์ ถ้าอยากพ้นอรหันต์ ไปสู่โลกุตตร...ต้องทิ้งธรรม ให้ได้
      4.เหลือ รูปกาย 1. นามจิต 1...แยกกันโดยสิ้นเชิง..เป็นอนัตตา
      5.นามจิต(วิมุตติ) ต้องกลับมาอยู่กับรูปกาย(สมมุติ)...และอยู่ในโลก(สมมุติ)ของคนอื่น
      หรือ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม.....เพราะ มันก็เป็นเช่นนั้นเอง
      .............
      จิตพุทธะ ก็มีแค่นี้แหล่ะ......การที่รูปนาม แยกกันได้ โดย อนัตตา เป็น การไม่มี อุปาทานขันธ์ 5 โดยสิ้นเชิง และการที่รูปนาม เป็น อนัตตา ก็เป็นการตายก่อนตายนั่นเอง...รับรองว่า ไม่กลับมาเกิดอีกแน่นอน เพราะหมดความอยาก ความสงสัย ...เหลือแค่อยู่ไปวันวัน บนโลกสมมุติใบนี้...เท่านั้น......
    10. nopam
      nopam
      เรียนคุณ Paranyu ค่ะ
      ท่านพระคุณเจ้าภัทรปัญโญเฮ ท่านตกลงไปคุยข้อธรรมกับหลวงปู่หรือเปล่าค่ะ อยากเห็นนะนักปราชญ์คุยข้อธรรมกัน ดูน่าจะสนุกและความรู้เพิ่มอีก คุณก้อ! มีความรู้ข้อธรรมมากเหมือนกันนะ เท่าที่ได้ดูคุณโพสต์เข้ามา ไม่ได้ชมนะแต่เป็นเช่นนั้นจริง ๆ
    11. PrasertN
      PrasertN
      ดีครับ ได้เข้าใจอะไรในตัวคุณมากเลย
    12. paranyu
      paranyu
      อีกหนึ่งเรื่องที่อยากบอกครับ.............

      ระหว่างอาจารย์อีกองค์ทำฤทธิ์ได้ เสกนู้น นี่ได้ มีคุณธรรมสูงแต่สอนให้ผมฉลาดได้ไม่มาก
      แถมผมยังต้องไปหวังพึ่งพิงอาจารย์อีก
      กับอาจารย์อีกหนึ่งองค์ มีฤทธิ์หรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่เคยเห็นฟังแต่เขาเล่ามามีคุณธรรมสูงเช่นกันแต่ท่านสอนให้ผมฉลาดขึ้นได้....เข้าใจอะไรถูกต้องมากขึ้น
      แถมสอนให้พึ่งพาตัวเองได้อีก

      ผมเลือกนับถือ องค์หลัง ครับ
    13. paranyu
      paranyu
      แล้วอีกอย่างครับที่ผมชอบหลวงปู่เกษมอาจเพราะเป็นแนวเดียวกันครับ

      คือถ้าเราเรียนรู้หลายๆมิติแล้ว คิดดีแล้ว มั่นใจแล้ว ผมไม่กลัวโดนคนเกลียด
      หรือกลัวโดนรุมหรอกครับ....
      แต่ตรงนี้อาจจะไม่เหมือนคุณ PrasertN ครับ
      เพราะคุณ PrasertN ก็ประมาณว่าถึงรู้ว่าดีแล้ว ถูกแล้ว มั่นใจแล้วก็ประมาณว่าถึงไม่รัก
      ก็ไม่อยากให้มีคนเกลียด.....

      แต่จุดยืนของผมคือ ถ้าเราคิดว่าเราถูกแล้ว ผมจะไม่ยอมให้กับพวกมาก
      หรือ ต้องยอมเพราะเดี๋ยวจะมีคนเกลียด หรือเพราะจะมี ศัตรูโดยไม่จำเป็น

      สุดท้ายถ้าเหตุผลจะมีว่า แล้วคุณรู้ได้ไงว่าของคุณถูก ของเขาผิด
      ก็ไม่เป็นไรครับ ถ้ากรณี หลวงปู่ ใครสามารถจับท่านสึกได้เหมือนกระแสตอนแรกๆ
      แต่มีข้อแม้ว่าต้องพิสูจน์ว่าท่านผิดใน ธรรม ในวินัยนะครับ ว่าผิด
      ไม่ใช่ท่านโดนจับสึกเพราะศาล หรือ ตำรวจนะครับ
      ถ้าเป็นเช่นนั้นกระผม ถือว่า ตัวเองโง่ ตัวเอง ผิด ตัวเอง อวดดื้อ ถือดี
      กระผมจะโพสต์ขอขมาทุกท่านที่เคยล่วงเกิน ตัวโตๆหนาๆด้วย
      จะบรรยายประจานความโง่ของตัวเองด้วย
      แต่ คนที่มาถกเถียงกับผมแบบมั่นใจว่า ตัวเองถูกสุดๆเช่นกัน กับไม่เคยยอมรับอะไรเลย
      อยากให้คนมาอนุโมทนาความเห็นตัวเองเยอะๆ ถ้าตัวเองผิดก็กลบเกลื่อนเปลี่ยนเรื่อง
      ตั้งคำถามใหม่ หาวิธีเอาชนะเรื่อยไป.......เฮ่อ น่าเบื่อ
      ถ้าไม่มั่นใจว่าถูกจะมาเถียงหาเรื่องทำไมก็ไม่รู้
    14. paranyu
      paranyu
      สวัสดีครับ คุณ PrasertN


      เมื่อก่อนตอนผมสวดมนต์ นั่งสมาธิ ผมก็ทำตามที่คุณและแม่ชีทศพรแนะนำครับเรื่อง
      อารธนาศีล 5 ก่อนลงมือปฏิบัติ.....แต่ผมมานั่งทบทวนแล้วครับว่าถือให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์
      ไม่ได้โดยเฉพาะข้อ สุราเพราะผมเป็นคนมีพรรคพวกเพื่อนฝูงเยอะ ผมก็ไม่อยากเสียสัจจะที่เรารู้อยู่แก่กับพระพุทธองค์ ส่วนอีก4ข้อผมถือยันตายได้สบายมาก ก็เลยไม่ได้นั่งสมาธิต่อตามเหตุผลที่เคยได้บอกกล่าวไปแล้วครับ ส่วนเรื่องมนต์ก็เหมือนที่ได้เคยอธิบายไปแล้วเหมือนกันครับ..แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้ไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ
      ก็ใช้วิธีอุทิศบุญเอารวมๆแล้ววันๆหนึ่งผมยังปฏิบัติมากกว่าเมื่อก่อนอีกครับ
      นึกได้เมื่อไหร่ก็ระลึกถึง พุทธ ธรรม สงฆ์ และก็อุทิศบุญออกไปวันๆเป็นร้อยๆเที่ยว

      ส่วนเรื่องสัญญาอะไรนั่นที่คุณบอก ผมรู้ครับ.....แต่มันรู้มากไปแล้วจะให้แกล้งลืมหรือทำเป็นไม่เคยรู้มาก่อนมันทำไม่ได้ครับเพราะมันไปรู้มาแล้วและส่วนตัวผมเป็นคนชอบเรียนรู้ด้วยครับ ที่ไหนว่าดีผมไปหมดครับ(เมื่อก่อนนะ)

      ส่วนหลวงปู่บัว วัดบ้านตาดผมเคยไปกราบไปทำบุญไปฟังเทศน์กับท่านมาแล้วเหมือนกันแต่ไม่เคยได้พูดคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวครับ

      ส่วนคุณแม่สิริ ผมไม่เคยได้ไปปฏิบัติกับท่านครับแต่ทราบมาว่าท่านแนวเดียวกับหลวงพ่อจรัล วัดอัมพวันคือเน้นเรื่อง สติปัฐฐาน 4 ผมก็ไปปฏิบัติที่วัด ครั้งละ3-7วัน มาแล้วประมาณ 6-7 ครั้งครับ แต่ไปมากกว่านั้นครับเพราะบางทีไม่ได้ไปอยู่ปฏิบัติแต่แวะไปทำบุญ ฟังเทศน์หลวงพ่อจรัลเฉยๆครับ

      ส่วนเรื่องข้อความในพระไตรปิฏกนะครับ ผมจะชี้แจงให้คุณ PrasertN นะครับ
      ว่าหลวงปู่หรือพระวัดสามแยก ท่านไม่ได้คัดเฉพาะข้อความหรือแต่ละประโยคขึ้นมาเพื่อตีความเข้าข้างตนนะครับ ตัวท่านอ่านพระไตรปิฏกมาเป็น สิบๆรอบและหลายเวอร์ชั่นแล้วครับ และที่มากกว่านั้นท่านก็ไม่ได้เอาตัวท่านเป็นใหญ่นะครับ จริงๆแล้วธรรม ที่ท่านรู้ ท่านรู้มากกว่าในพระไตรปิฏก(เพราะในนั้นพระพุทธองค์ท่านสอนธรรมเฉพาะที่จำเป็นในการพ้นทุกข์เท่านั้นจริงๆแล้วธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มีมากกว่าในพระไตรปิฏกอีกมากครับ)อีกนะครับ แต่ท่านจะสอนจะบอกได้ก็ต่อมามีเรื่องราวที่ตรงกับในพระไตรปิฏก ขนาดท่านสอนธรรมเรื่องที่มีในพระไตรปิฏกยังมีปัญหาเลยครับ......ขอย้ำนะครับ ท่านไม่ได้ตีความในหนังสือแล้วเอาออกมาสอนนะครับ ท่านรู้ธรรมจากจิตจากการปฏิบัติแล้วนำธรรมนั้นไปเทียบเคียงกับพระไตรปิฏกแล้วค่อยนำออกสอนครับ

      อย่างที่ผมเคยบอก ว่างๆคุณลองพาเพื่อนๆไปหาไปสนทนาธรรมกับท่านสิครับ

      อีกเรื่องหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับสัญญาอะไรนั่นหนะ ผมรู้ครับแต่ผมชอบรู้ให้ถึงที่สุด

      หลวงพ่อ จรัญ ท่านสอนว่า เอาสติอยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องปฏิบัติไปรู้ไปเห็น นรก สวรรค์
      ไปดูมันทำไม....ทำมนุษย์สมบัติให้ดีเถอะ บันไดสวรรค์ พรหม นิพพานมันก็มารอเอง
      (คำสอนท่านน่าฟังและมีเหตุผลไหมครับ)


      ที่นี้มาดูอีกองค์หนึ่ง คือ หลวงปู่ฤษีลิงดำ
      ท่านเน้นสอนให้ คนที่มาเป็นศิษย์ท่าน เห็น นรก สวรรค์ (มโนมยิทธิ)
      และท่านก็สอนด้วยว่า ฉันเคยไปลองมาแล้วปฏิบัติอะไรที่เดินช้าๆๆ หน่ะ (แนวสติปัฐฐาน4)
      มันไม่ไหวไม่เข้ากับจริตฉัน ต้องแบบที่ฉันสอนสิ (ฤทธิ์ทางใจ) สงสัยอะไรก็จะได้ขึ้นไปถาม องค์สมเด็จพระชินสีห์ ท่านปู่ ท่านย่า
      (ท่านก็สอนน่าฟังและมีเหตุผล)

      เพราะจริงๆแล้วผมก็นับถือคุณธรรมท่านทั้งสององค์แต่ท่านสอนขัดๆกันยังไงชอบกล
      ต้นเหตุก็อย่างที่ท่านว่า เพราะ สัญญามาก ไปอ่านมาก ไปรู้มาก(แล้วดันรู้ไม่จริงซะอีก)
      จริงๆแล้วถ้าไปนับถือองค์ใดองค์หนึ่งแล้วตั้งใจปฏิบัติตามที่องค์นั้นสอนก็จบป่านนี้ก็ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว มัวแต่เลือกอาจารย์เหมือนกบเลือกนายแล้วแต่คนจะมอง
      แต่เหตุผลส่วนตัวผมคือ ผมไปลองฝึกนั่ง มโนมยิทธิ ที่ซ.สายลม คนที่เข้าไปพร้อมผมไปครั้งแรกเหมือนกัน นั่งล้อมวงสิบคนมีอาจารย์นั่งตรงกลาง 9 คนอาจารย์เขาถามว่าเห็นไหมและเขาก็พาไปไหนต่อไหนกันหมด ส่วนผมไม่ให้อะไรเลย อาจารย์เขาก็บอกอีกว่าบา
      งทีมันอาจจะไม่เห็นเหมือนตาเนื้อ หรือภาพในฝันเพราะจิตของเรายังไม่ใส ไม่เคยฝึกมาก่อน แต่ก็ต้องมีความรู้สึกบ้างแหละน้า และแกก็ถามรู้สึกเหมือนมีใครอยู่ใกล้ๆไหม
      ผมก็ไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย แกก็ถามย้ำๆๆอยู่อย่างนั้นจนผมไม่รู้จะตอบยังไงดี หลังๆแกถาม
      ผมก็เงียบ ถึงคนอื่นเค้าจะมองเราเป็นตัวประหลาด เราก็ไม่อยากโกหก ก็มันไม่เห็น ไม่รู้สึกจะให้ผมตอบตามน้ำก็ไม่ได้

      พอไปปฏิบัติแบบที่ วัดอัมพวันก็ อึดอัดแสนอึดอัด เพราะผมเข้าใจหลักการท่านสอนให้ยิ่งช้ายิ่งดี แต่นิสัยเราใจเราเป็นคนคิดเร็วทำเร็ว พอมาฝืนให้มันช้าก็อึดอัดสุดๆๆเพราะเชื่อในคำแนะนำท่านการปฏิบัติธรรม ต้องฝืนใจเราเพราะกิเลสมันมักพาใจไหลสู่ที่ต่ำ การปฏิบัติก็เหมือนทวนน้ำขึ้นที่สูง แต่พากลับมาจากวัดตอนแรกๆๆสติดีมากๆๆ รู้สึกเห็นค่าของการฝึกมากๆๆ แต่พอกลับมาสู่กระแสของโลก การปฏิบัติที่ไปเรียนมา ไปฝึกมาก็ถูกละเลยไปจนในที่สุด ก็กลับมาได้แค่ไหว้พระ สวดมนต์ นั่ง สมาธิเหมือนเดิม

      ที่นี่ พอเรียนรู้ ธรรม มากๆเข้า ก็รู้ว่า ท่านก็มีเหตุผลท่านสองท่านนั่นแระ
      อีงค์องค์ ก็ให้เราเน้นฝึก สติ เพื่อนำไปสามารถใช้ได้กับทางโลก ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน
      การจะทำอะไรถ้ามีสติเราก็เจริญๆๆขึ้นเรื่อยๆ และแม้ทางธรรมถ้าเรามีสติ เราก็เจริญในธรรม
      เป็นขั้นๆไปเรื่อยๆ
      อีกองค์หนึ่ง ก็สอนให้เรา เห็น นรก สวรรค์ แม้จะไม่ค่อยได้มีประโยชน์โดยตรงกับเราทางโลกเท่าไหร่ แต่การที่เราไปเห็น นรกขุมนั้นๆเราก็จะได้เกรงกลัวไม่กล้าทำบาปอีกแม้ผิดเล็กน้อยแล้วเจริญในทางโลกก็ไม่เอาเพราะไปเห็นโทษในนรกขุมนั้นๆแล้ว ส่วนเห็นสวรรค์ก็เช่นกัน......

      ผมถึงเข้ามาถกอยู่ในเว็บนี่และมีปัญหาอยู่ไงครับ.....ใครเขาจะเกลียดเราวันนี้
      วันหน้าเขาเข้าใจเราเดี๋ยวเขาก็ชอบเราหรือไม่ชอบเรา เราก็ถือว่าเราได้ทำหน้าที่ก็พอแล้วครับ...
      ลองดูสิผมเอาเรื่องที่เล่าขึ้นมานี่(เรื่องที่ท่านสอนขัดกัน)ไปลงกระทู้ในเว็บบอร์ด
      ลูกศิษย์ หลวงปู่ฤาษีลิงดำ กับ ลูกศิษย์หลวงพ่อ จรัญ ก็เถียงกันตายไปข้างหนึ่ง
      ว่าของใครดีกว่าใคร ของใครถูกกว่าใคร
      แต่เรื่องหลวงปู่เกษมนี่สิแปลกก็เหมือนเรื่องที่ผมเล่า แต่ศิษย์หลวงปู่เกษมน้อยกว่าก็โดนรุมเป็นธรรมดา แต่เจตนาผมจริงๆผมไม่ได้กะมาคุยกับพวกนับถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่หรือนับถือหลวงพ่อที่ตัวเองเคารพเป็นใหญ่ซ้ำยังมาหาว่าเราสิที่เป็นแบบนั้น
      (คนในบอร์ดเขาไม่รู้หรอกครับ เขานึกว่าผมนับถือหลวงปู่เกษมเป็นสรณะแล้วนึกว่านับถือสุดๆซะด้วยถึงต้องมาออกตัวแทน)
      เจตนาผมเข้ามาถกเถียงเพื่อให้ กลุ่มคนที่อยู่ตรงกลาง และมีแนวความคิดคล้ายๆผมต้องการฟังเหตุผลสองด้านเพื่อจะได้ไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจ ว่ายังไง
      ผมถึง เชิญชวนให้คนที่ไม่เห็นด้วยทั้งหลาย เข้าไปศึกษาในเว็บ หรือไปศึกษาธรรมที่ท่านสอนที่วัด ถ้าไม่ดีเดี๋ยวก็รู้ได้เอง แต่นี่มันไม่ใช่ยังงั้นส่วนใหญ่ก็ไม่ศึกษาท่านแล้วก็มาคอม
      เม้นท์
      อีกประเภทก็ศึกษานิดๆหน่อย เคยอ่านหนังสือที่ท่านแจก เคยดูซีดีท่านท่านเทศน์แระแผ่น สองแผ่น รู้สึกไม่ชอบมันขัดๆๆยังไงก็ไม่รู้
      ก็ในเมื่อมันขัดๆๆทำไมไม่ยิ่งศึกษาเข้าไปอีกว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมท่านถึงสอนแบบนั้น
      พูดแบบนั้น เพื่ออะไร พอศึกษาไปเรื่อยๆมันก็รู้ขึ้นมาเองครับ
      แล้วคุณ PrasertN มีอะไรจะพอเล่าให้ผมฟังบ้างไหมครับ
    15. PrasertN
      PrasertN
      สวัสดีครับ
      จริงๆแล้วคุณเป็นคนดีมากๆเลยนะครับ
      ผมยังสวดมนต์นั่งสมาธิอย่างที่เมื่อก่อนคุณทำไม่ได้เลย
      ผมเองได้แต่รักษาศีลให้บริสุทธิ์เท่านั้น
      แล้วคุณทำไมไม่รักษาศีลให้บริสุทธิ์หละครับ
      จิตสงบเพียงชั่วเวลาครู่เดียวก็เป็นกุศลมหาศาล
      คุณปฏิบัติต้องไม่คำนึงถึงผลที่ได้ ทำไปเรื่อยๆที่เรียกว่าความเพียร
      แม่ชีทศพร วัดพิชัยญาติการามอยู่ใกล้สะพานพุทธ นี่หนึ่งที่ผมเคยพบ
      แม่ชีเคยบอกว่า ก่อนไหว้พระให้สมาทานศีลก่อนสวดมนต์ เมื่อสวดมนต์วาจาที่เราเปล่งออกมาเป็นวาจาสัตย์
      ก็ธรรมที่คุณยึดถือนั่นเป็นวาจาสัตย์ มนต์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
      พระภาสกร ภูริวฑฺฒโน (ภาวิไล) ค้นหาได้ในกูเกิล ท่านสอนให้สมาทานศีลเป็นภาษาไทย
      ข้าพเจ้าจะรักษาศีล5 ดังต่อไปนี้
      1 ฆ่าสัตว์ 2.....
      บัดนี้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีศีลแล้ว....
      หลังจากสมาทานเสร็จทันทีนั้นเราเป็นบุคคลผู้ที่มีศีลแล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องอดีต ว่าเราเป็นผู้ทุศีล เพราะทุศีลมาหลายชาติถ้านับย้อนกลับไป
      สมมุติปุถุชนคนหนึ่งสมาทานศีลเสร็จกลับมาบ้านไปจับปลา ช่วงเวลาหลังจากที่สมาทานศีลจนถึงเวลาที่เขาคิดไปจับปลานั้นถือว่าเขาได้รักษาศีลบริสุทธิ์ ทุกวินาทีที่ผ่านไปจิตเกิดดับไปกี่ล้านๆครั้ง แล้วคุณหยุดปฏิบัติทำความดีมันน่าเสียดาย พระอานนท์ที่อยู่เคียงพระผู้มีพระภาคเจ้าเสมอเป็นสัพพัญญูที่ไม่มีใครเทียบ ท่านรู้มากกว่าใครๆในพุทธพจน์ แต่ใยเล่าท่านจึงบรรลุอรหัตผลช้ากว่าพระผู้อื่น บรรลุหลังจากที่พระบรมสุคตปรินิพพานเสียแล้ว ก็เพราะท่านรู้มากสัญญาเลยมาก พระอานนท์ท่านบรรลุอย่างไรท่านคงหาอ่านดูในพระไตรปิฎกได้
      กลับมาปฏิบัติต่อไปเถิดครับ
      อย่าลืมสมาทานศีลปุ๊บท่านเป็นบุคลที่มีศีลทันทีนะครับ เมื่อมีศีลแล้วก็นั่งสมาธิต่อไปเลย
      ไม่พึงหวังผลเพราะจะเหมือนพระอานนท์
      ไม่แน่ต่อไปนี้ท่านอาจจะก้าวหน้าในธรรมมากกว่าใครๆในเว็บนี้
      อีกท่านก็คือหลวงปู่มหาบัว ญาณสัมปันโน (ที่ถูกต้องต้องหลวงปู่ก่อนเพราะท่านเป็นพระอริยะเจ้า)
      วันที่ 12 สิงหาคมนี้ ช่วงเช้ามีทำบุญที่วัดป่าบ้านตาด
      หรือลองสอบถามที่สวนแสงธรรมถึงกำหนดการเข้าศูนย์ของหลวงปู่ก็ได้ ค้นหาในกูเกิล
      อีกท่าน ดร.สนอง วรอุไร จ.เชียงใหม่ ท่านจบปริญญาเอกทางไวรัสวิทยา จากสหรัฐอเมริกา เรียกว่าสุดๆทางโลก แล้วท่านก็ลองบวชและปฏิธรรมจริงๆ ท่านนี่แหละที่บอกผม(ตอนที่ไปอบรมกรรมฐาน ๗วันที่วัดพระรามเก้าโดยศิษย์ของแม่ชีสิริ กรินชัย) ว่าอ่านมากก็สัญญามาก (หาวีดีทัศน์ปาฐกถาของดร.สนองในกูเกิลได้)
      คุณแม่สิริ กรินชัย คุณแม่เรณู
      ซึ่งเป็นอาจารย์ในยุวพุทธฯ ส่วนท่านอื่นๆนอกจากนี้ที่เป็นภิกษุผมยังไม่เคยได้ชื่นชมคุณธรรมของท่านจึงไม่สามารถแนะนำ

      หาโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่ยุวพุทธฯนาน ๗วันบ้าง

      อ้อ ลืมบอกไปว่าที่คุณ บอกว่าถูกหรือดีนั้น ต้องระวัง

      ถูกหรือผิดจะต้องมีจากมาตรฐานเป็นเกณฑ์
      standard หรือ datum
      หาก standard ไม่ได้รับการยอมรับ ก็มีข้อโต้แย้งอยู่ร่ำไป
      (Standard ของคุณคือข้อความบางส่วนบางตอนของพระไตรปิฎกที่มีถึง 84000 พระธรรมขันธ์ซึ่งมิใช่ทั้งหมด เหมือนชิ้นหูของนางงามแต่มิใช่นางงาม พระธรรมจะรวมเป็นหนึ่งเมื่อได้รู้เห็นตามจากการปฏิบัติ)
      แต่ถ้าเป็น fact หรือสัจจะแล้ว ไม่อาจหาข้อโต้แย้งใดๆได้

      การคิดว่าเราทำดีแล้วถูกแล้ว น่ากลัวมาก คุณจึงถูกเพื่อนๆโจมตีไงครับ
      การทำถูกแล้วดีแล้วต้องให้ คนอื่นพูด จึงจะมีน้ำหนักมาก เพราะหลายคนมองหลายแง่มุม

      ที่ผมเขียนหลายครั้งในกระทู้ บางครั้งผมก็มีโทสะ แต่พยายามตั้งสติ อาราธนาบารมีของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าช่วยประคองให้คิดถูกคิดตรงที่สุดครับ
      ระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าตามแนวทางของคุณเสมอๆนะครับ
    16. อรมณีจันทร์
      อรมณีจันทร์
      เป็นหมอดูมา 10 ปีแล้วทำไมเหรอ

      ส่วนของขลังมีไม่ถึง 10 อย่างเลยทุนน้อย
      - แต่ภูมิใจมากมายด้วย
      เพราะเคารพนับถือ สนใจเลยอยากขาย
      เพราะลองบูชาดูทีหล่ะอย่างแล้วได้ผลดี เทพยังมาเข้าฝันเลย
      พระสีวลีมาให้เห็นในฝัน1ครั้ง
      องค์ราชันย์ดำ ก็เมตตามาให้เห็นแค่ 1 ครั้ง
      แต่เทพทางฮินดูจะมาให้เห็นในฝันบ่อยมาก

      ดีกว่าคนบางคนไม่ได้นับถือเลยสักนิด
      แต่ก็มาขาย แถมบอกอีกนะ ว่าไม่ไหว้พระพุทธรูปเพราะเชื่อพระเกษมแต่ขายเอาเงินอย่างเดียว (แล้วมันจะขลังเหรอ)

      นอกนั้น สบู่สมุนไพร แชมพูไพร เครื่องสำอางค์สมุนไพรหมด ( ไม่ได้หนักหัวใครนี่)

      ขายเครื่องสำอางค์นานแล้วแต่ไม่จริงจัง แต่ขายก่อนพระเกษมจะดังอีกมั๊ง ตัวไหนใช้ดีก็เอามาลงขายก็เท่าน้าน คนทำมาหากิน
      ไม่ใช่ อวดอภินิหารไม่มีจะกิน อ้างธรรมะแต่ไร้เมียไปทำแท้งก็มี

      บางคนอ้างตัวเป็นศิษย์พระ แต่ไล่แฟนไปทำแท้งอ้างจะเข้าทางธรรม ถามหน่อยเถอะ มาตราฐานจิตใจยังเป็นคนเปล่า

      สิ่งที่เราทำมาหากิน เราไม่คิดว่าผิดนะเพราะ ภาษีเราก็เสีย
    17. BRAVA
      BRAVA
      ช่วยด้วยค่ะ หากระทู้ไม่เจอ กระทู้ที่มีคนโพสว่า พระพุทธรูปเป็นกสิณ เรียกว่ากสิณพระน่ะค่ะ จะเข้าไปเเก้หน่อย แต่หาไม่เจอ หามาเกือบชั่วโมงแล้ว คุณเห็นบ้างมั้ย ช่วยหน่อยนะคะ
    18. BRAVA
      BRAVA
      อนุโมทนาค่ะ คิดเหมือนกันเลย คือจากที่เคยโพสไป เจตนาว่าจะให้ผู้ที่ข้องใจ ได้มีความไฝ่หาคำตอบให้มากขึ้น คนที่ไม่เคยรู้ตรงนี้มาก่อนก็จะได้รู้ อย่างน้อยก็ให้เกิดความเอะใจบ้างว่า ทำไมยังมีคนที่เชื่อคำสอนของหลวงพ่อ แล้วเขาจะได้เข้าไปหาคำตอบให้ตัวเอง ส่วนจะเลือกเช่นไรนั้น ขึ้นอยู่กับสภาวะของเขาเองก็เท่านั้น แต่คนที่ไม่เชื่อเเละมานั่งเอาชนะกันเนี่ย ส่วนมากเป็นพวกปิดหูปิดตา ค่ะ แต่อย่างน้อย ที่เราได้ทำไป ก็ได้ช่วยคนอีกเยอะ ไม่ไหลไปตามกระเเสสังคมนิยมแน่นอนค่ะ เชื่อว่าอย่างนั้น ดิฉันเองก็จะยังคงคงโพสต่อไปเท่าที่เห็นว่าเกิดประโยชน์ ส่วนคนที่ไม่รับก็จะปล่อยเขาไป ใครอยากด่าท่าน ก็บาปไป ส่วนอันไหนที่ถามมา ตอบได้ก็ตอบ ยกเว้นคำถามที่มีเจตนาเป็นมิฉาทิฐิ ก็ปล่อยผ่าน
    19. BRAVA
      BRAVA
      ยินดีด้วยอย่างมากค่ะ คุณได้บุญมากเลยนะเนี่ย
    20. เมทิกา
      เมทิกา
      โอเย ดีเลย

      นี่เราว่าเขาเข้าใจนะ แต่เป็นประเภท กูไม่ยอมเสียฟอร์มอ่ะ เข้าใจป่ะ
      เพราะคนที่เขาเก็ทตั้งแต่แรก เขาไม่ทู่ซี้เถียงกับพวกเราหรอก
  • Loading...
  • Loading...
Loading...